คมู่ อื การจัดกจิ กรรมการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสงิ่ แวดลอ้ ม ฐานการเรยี นรู้ “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีไทย” หน้า | 39
รายละเอียดสื่อ วัสดอุ ปุ กรณ์ และแหล่งการเรียนรู้
1. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น เรื่อง “สร้างเมฆตามรอยพอ่ ”
2. ใบความร้สู ำหรับผู้รบั บริการ เร่อื ง “สรา้ งเมฆตามรอยพอ่ ”
3. คลิปวีดิโอให้ เรื่อง “ภัยแล้ง” จาก https://www.youtube.com/watch?v=br-
6f_bxXM8 เวลา 3.30 นาที
4. คลปิ วดี ิโอให้ เร่อื ง “ฝนเทียม” จาก
https://www.youtube.com/watch?v=6EbCTFr6_ic เวลาเริ่มตน้ ที่ 0.24 ถึง 1.31 นาที
5. ตัวอย่างโมเดลฝนหลวง
6. คลปิ วดี ิโอให้ เรือ่ ง “โครงการพระราชดำริ ฝนหลวง” จาก
https://www.youtube.com/watch?v=maiszY0bWLc เวลา 2.28 นาที
7. คลิปวดี ิโอ เรอ่ื ง “[Clip] DeScience [by Mahidol] สร้างเมฆแอลกอฮอลฉ์ บับ DIY
กบั ดร.บญั ชา ธนบุญสมบตั ิ” จาก https://www.youtube.com/watch?v=XZ7ZXfp8AJY เวลา
2.33 นาที
8. ใบความรูส้ ำหรบั ผู้จัดกิจกรรม เรอ่ื ง “สร้างเมฆตามรอยพอ่ ”
9. ใบกจิ กรรมสำหรบั ผู้จัดกิจกรรม เรอ่ื ง “การทดลองการสรา้ งเมฆ”
10. ใบกจิ กรรมสำหรบั ผู้รับบริการ เรอ่ื ง “การทดลองการสร้างเมฆ”
11. วัสดุ อปุ กรณใ์ นการทดลองเรอ่ื ง “การทดลองการสร้างเมฆ”
12. PowerPoint สำหรับผู้จดั กิจกรรม เรื่อง การสรปุ ผลการเรยี นรู้ “สรา้ งเมฆตามรอยพอ่ ”
13. บทสรปุ ประกอบ PowerPoint สำหรับผูจ้ ัดกจิ กรรม เรอื่ ง การสรปุ ผลการเรยี นรู้ “สร้าง
เมฆตามรอยพอ่ ”
14. แบบทดสอบหลังเรียน เร่ือง “สรา้ งเมฆตามรอยพอ่ ”
15. แบบประเมินความพึงพอใจสำหรับผู้รับบริการในการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ เรื่อง “สร้าง
เมฆตามรอยพ่อ”
คู่มือการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสงิ่ แวดลอ้ ม ฐานการเรียนรู้ “พระบดิ าแห่งเทคโนโลยไี ทย” หน้า | 40
แบบทดสอบก่อนเรียน
เรื่อง สรา้ งเมฆตามรอยพ่อ
คำชี้แจง แบบทดสอบก่อนเรียน เป็นแบบเลอื กตอบถูกผิด มีจำนวนท้ังหมด 10 ขอ้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คำส่งั จงทำเครือ่ งหมาย () หน้าขอ้ ท่ถี กู และทำเครื่องหมาย (X) หน้าขอ้ ที่ผิด
........... 1. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงคิดค้นเทคโนโลยีการทำ
ฝนหลวงเพื่อแก้ปญั หาขาดแคลนน้ำของพสกนิกรในท้องถนิ่ ทุรกันดาร
........... 2. การดัดแปลงสภาพอากาศ เป็นกรรมวธิ ีหนงึ่ ในกระบวนการฝนหลวงเพอื่ ให้เกดิ ฝน
........... 3. การทำฝน เพ่อื เพิ่มปริมาณฝนตกเป็นเทคนิค หรือ วิชาการทเ่ี ก่ียวกบั การดัดแปลง
สภาพอากาศของเทคโนโลยฝี นหลวง
........... 4. วางแผน ก่อกวน เล้ยี งใหอ้ ้วน โจมตี เปน็ ขั้นตอนการทำฝนหลวง
......... 5. การดัดแปลงสภาพอากาศเพื่อเร่งหรือเสริมการเกิดเมฆ เรียกขั้นตอนนี้ว่า
“ก่อกวน”
........... 6. สารเคมีทม่ี ีคุณสมบัติในการคลายความชน้ื ได้ดี คอื ผงเกลอื โซเดยี มคลอไรด์
........... 7. การดัดแปลงสภาพอากาศเพื่อเร่งหรือเสริมการเพิ่มขนาดของเมฆ เรียกขั้นตอนนี้
ว่า “เลีย้ งใหอ้ ว้ น”
........... 8. วิธีการทำฝนหลวงแบบเมฆอุ่น แบบเมฆเย็น และซุปเปอร์แซนด์วิช อยู่ในขั้นตอน
โจมตี
........... 9. ฝนหลวงชว่ ยแกไ้ ขปญั หาไฟป่า
........... 10. ฝนหลวงช่วยแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในการเกษตรในช่วงที่เกิดภาวะฝนแล้ง
หรอื ฝนท้งิ
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น
1. 2. 3. 4. X 5. 6. X 7. 8. 9. X 10.
คู่มือการจดั กิจกรรมการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และส่งิ แวดล้อม ฐานการเรียนรู้ “พระบดิ าแห่งเทคโนโลยีไทย” หน้า | 41
ใบความร้สู ำหรบั ผู้รบั บริการ เร่ือง “สร้างเมฆตามรอยพอ่ ”
การเรอ่ื งรู้ เร่ือง “สร้างเมฆตามรอยพ่อ” เปน็ การเรยี นรู้เกี่ยวกบั ขั้นตอนการเกิดเมฆและฝน
ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการทำฝนหลวง ตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ฝนหลวง
ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รชั กาลที่ 9)
ทรงใช้ความเป็นนักวิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหาภัยแล้งของพสกนิกร ด้วยการดัดแปรสภาพอากาศ
โดยใช้สารเคมีก่อกวนเมฆให้เกิดฝน ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทำให้เกิดฝนเร็วข้ึน
โดยมรี ายละเอียดดังน้ี
1. ความเปน็ มาและความสำคญั ของโครงการอนั เน่ืองมาจากพระราชดำริ เรือ่ ง “ฝนหลวง”
1.1 ความเป็นมาของโครงการอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำริ เรื่อง “ฝนหลวง”
1.2 ความสำคญั ของโครงการอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำริ เรอื่ ง “ฝนหลวง”
2. ขนั้ ตอน และประโยชนก์ ารทำฝนหลวง
2.1 ข้ันตอนของฝนหลวง
2.2 ประโยชนก์ ารทำฝนหลวง
1. ความเป็นมาและความสำคญั ของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เรื่อง “ฝนหลวง”
1.1 ความเปน็ มาของโครงการอนั เน่ืองมาจากพระราชดำริ เรื่อง “ฝนหลวง”
รปู ภาพ ในหลวงรัชกาลท่ี 9 ทรงพระราชดำริ โครงการฝนหลวง
แหล่งท่มี า : https://sites.google.com/site/10khorngkarphrarachdaari
ฝนหลวง เป็นโครงการที่ก่อกำเนิดจากพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชน
กาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ที่ทรงห่วงใยในความทุกข์ยาก
ของพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดาร ที่ต้องประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ เพื่ออุปโภคบริโภค
ค่มู ือการจดั กิจกรรมการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสง่ิ แวดล้อม ฐานการเรยี นรู้ “พระบิดาแห่งเทคโนโลยไี ทย” หน้า | 42
และเกษตรกรรมอันเนื่องมาจากภาวะแห้งแล้ง ซึ่งมีสาเหตุมาจากความผันแปรและคลาดเคลื่อน
ของฤดูกาลตามธรรมชาติ
1.2 ความสำคัญของโครงการอนั เน่อื งมาจากพระราชดำริ เรือ่ ง “ฝนหลวง”
การทำฝนเทียมที่ทุกคนรู้จักกันดีในนามฝนหลวง เป็นกรรมวิธีดัดแปลงสภาพอากาศ
เพื่อให้เกิดฝน การทำฝนเทียมเป็นกรรมวิธีเลียนแบบธรรมชาติ คือ ความร้อนชื้นปะทะความเย็น
เป็นกรรมวิธีการเหนี่ยวนำน้ำจากฟ้า จะต้องใช้เครื่องบินบรรทุกสารเคมีขึ้นไปโปรยในท้องฟ้า
โดยดูจากความชนื้ ของจำนวนเมฆและสภาพของทิศทางลมประกอบกนั
เทคโนโลยีฝนหลวงเป็นเทคนิค หรือ วิชาการที่เกี่ยวกับการดัดแปลงสภาพอากาศ
โดยเน้นการทำฝน เพื่อเพิ่มปริมาณฝนตก (Rain enhancement) และ/หรือ เพื่อให้ฝนตกกระจาย
อย่างสม่ำเสมอ (Rain redistribution) สำหรับป้องกันหรือบรรเทาภาวะแห้งแล้งที่เกิดจากฝนแล้ง
หรือฝนทงิ้ ช่วงนั้นเปน็ วชิ าการทีใ่ หมส่ ำหรบั ประเทศไทยและของโลก
2. ขั้นตอน และประโยชนก์ ารทำฝนหลวง
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมพิ ลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รชั กาลท่ี 9)
ทรงประดิษฐ์คิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีฝนหลวงขึ้นมา และพระราชทานให้ใช้เป็นเทคโนโลยี
ในการดัดแปรสภาพอากาศให้เกิดฝนจากเมฆอุ่น (Warm Cloud) และเมฆเย็น (Cool Cloud)
ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่กระทำด้วยความตั้งใจของมนุษย์ที่มีการวางแผนการปฏิบัติการ
หวงั ผลทแ่ี น่นอน โดยการใชส้ ารฝนหลวงทด่ี ูดซับความช้ืนไดด้ ี (Hygroscopic Substance) เป็นตัวเร่ง
เร้าทั้งในบรรยากาศ หรือเมฆที่มีอุณหภูมิสูงกว่าและต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ให้กระบวนการเกิดฝน
เกิดเร็วขึ้น ตั้งแต่กระบวนการเกิดเมฆ (Cloud Formation) การเจริญของเมฆ (Cloud Growth)
การเริ่มต้นให้ฝนตก (Rain Initiation) การยืดอายุการตกของฝนให้นานขึ้น (Prolonging of rain
duration) ให้ฝนตกกระจายอย่างทั่วถึง (Rain Redistribution) และชักนำฝนให้ตกลงสู่พื้นที่
เป้าหมายที่กำหนด (Designated Target area) ได้อย่างแม่นยำและแผ่อาณาเขตครอบคลุม
อาณาเขตเปน็ บรเิ วณกวา้ งมากท่จี ะปลอ่ ยให้เกดิ ขน้ึ เองตามธรรมชาติ
2.1 ขั้นตอนของฝนหลวง
รูปภาพ อธิบายข้นั ตอนการทำฝนหลวง ขนั้ ตอนท่ี 1 ก่อกวน
แหล่งทีม่ า : http://www.realist.co.th/blog/ฝนหลวง-ในหลวง
คู่มอื การจดั กิจกรรมการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ฐานการเรยี นรู้ “พระบดิ าแหง่ เทคโนโลยีไทย” หนา้ | 43
ขั้นตอนที่หนึ่ง : ก่อกวน เป็นการดัดแปลงสภาพอากาศเพื่อเร่งหรือเสริมการเกิดเมฆ
โดยการโปรยสารเคมีผงละเอียดของเกลือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ที่ระดับความสูง 7,000 ฟุต
ในท้องฟ้าโปร่งใสที่มีความชื้นสัมพัทธ์ไม่น้อยกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ของผงเกลือโซเดียมคลอไรด์
ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดความชื้นได้ดี จะทำหน้าที่เสริมประสิทธิภาพของแกนกลั่นตัวในบรรยากาศ
(Cloud Condensation Nuclei) เรียกย่อว่า CCN ทำให้กระบวนการดูดซับความชื้นในอากาศ
ให้กลายเปน็ เม็ดเกิดเร็วข้ึนกวา่ ธรรมชาติและเกิดกลุ่มเมฆจำนวนมาก ซึ่งเมฆเหล่านี้จะพัฒนาเป็นเมฆ
ก้อนใหญใ่ นเวลาตอ่ มา
รูปภาพ อธิบายขัน้ ตอนการทำฝนหลวง ขนั้ ตอนท่ี 2 เล้ยี งให้อ้วน
แหล่งทม่ี า : http://www.realist.co.th/blog/ฝนหลวง-ในหลวง
ขั้นตอนที่สอง : เลี้ยงให้อ้วน เป็นการดัดแปลงสภาพอากาศเพื่อเร่งหรือเสริมการเพิม่ ขนาด
ของเมฆและขนาดของเมด็ น้ำในก้อนเมฆจะปฏิบัติการเม่ือเมฆทีก่ ่อตวั จากข้ันตอนท่ี 1 หรือเมฆเดมิ ที่มี
อยู่ตามธรรมชาติก่อยอดสูงถึงระดับ 10,000 ฟุต โดยการโปรยสารเคมีผลแคลเซียมคลอไรด์ (CaCl2)
เข้าไปในกลุ่มเมฆที่ระดับ 8,000 ฟุต ผงแคลเซียมคลอไรด์ซึ่งมีคุณสมบัติดูดความชื้นได้ดีจะดูดซับ
ความชื้นและเม็ดน้ำขนาดเล็กในก้อนเมฆให้กลายเป็นเม็ดน้ำขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกัน
จะเกิดปฏิกิริยาคายความร้อนซึ่งเป็นคุณสมบัติเฉพาะของสารแคลเซียมคลอไรด์ เมื่อละลายน้ำ
ความร้อนที่เกิดขึ้นจะเพิ่มอัตราเร็วของกระแสอากาศไหลขึ้น (Updraft) ในก้อนเมฆทั้งขนาดเม็ด
ที่โตขึ้นและความเร็วของกระแสอากาศไหลขึ้นที่เพิ่มขึ้นจะเป็น ปัจจัยเร่งกระบวนการชนกัน
และรวมตัวกัน (Collision and coalescence process) ของเม็ดน้ำ ทำให้เม็ดน้ำขนาดใหญ่จำนวน
มากเกิดขึ้นในก้อนเมฆ และยอดเมฆพัฒนาตัวสูงขึ้น ในขั้นนี้เมฆจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและต่อยอดสูงขึ้น
ไปได้มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับการทรงตัวของบรรยากาศในแต่ละวัน ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ
คือในบางวันเมฆจะไม่สามารถก่อยอดสูงเกินระดับอุณหภูมิจุดเยือกแข็ง ( 0 องศาเซลเซียส หรือ
ประมาณ 18,000 ฟตุ เรยี กว่า เมฆอ่นุ (Warm Cloud) ในบางวนั เมฆจะสามารถก่อยอดข้ึนไปสูงกว่า
ระดบั อณุ หภูมิจุดเยือกแข็ง เชน่ ถงึ ระดบั 20,000 ฟุต เรียกว่า เมฆเย็น (Cold Cloud) ซึ่งภายในยอด
เมฆจะประกอบดว้ ยเมด็ นำ้ เย็นจัด (Super cooled droplet) ท่ีมอี ุณหภมู ิตำ่ ถึง - 8 องศาเซลเซยี ส
คูม่ ือการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสง่ิ แวดล้อม ฐานการเรียนรู้ “พระบดิ าแห่งเทคโนโลยไี ทย” หน้า | 44
รปู ภาพ อธบิ ายขั้นตอนการทำฝนหลวง ขัน้ ตอนที่ 3 โจมตี
แหลง่ ที่มา : http://www.realist.co.th/blog/ฝนหลวง-ในหลวง
ชั้นที่สาม : โจมตี เป็นการดัดแปลงสภาพอากาศ เพื่อเร่งให้เมฆเกิดเป็นฝนภายในกลุ่มเมฆ
จะมีเม็ดน้ำขนาดใหญ่มากมาย หากเครื่องบินบินเข้าไปในกลุ่มเมฆฝนนี้ จะมีเม็ดน้ำเกาะตามปีก
และกระจงั หนา้ ของเคร่ืองบิน เปน็ ขน้ั ตอนสำคญั ตอ้ งอาศัยประสบการณม์ าก เพราะจะต้องปฏิบัติการ
เพื่อลดความรุนแรงของ updraft หรือทำให้อายุของ updraft หมดไป สำหรับการปฏิบัติการ
ในขั้นตอนนี้ จะต้องพิจารณาจุดมุ่งหมายของการทำฝนหลวง ซึ่งมีอยู่ 2 ประเด็นคือ เพื่อเพิ่มปริมาณ
ฝนตก และเพือ่ ก่อใหเ้ กดิ การกระจายการตกของฝน ขั้นตอนการโจมตีมรี ปู แบบ ดงั นี้
(1) แบบ Sandwich เป็นเทคนคิ ปฏบิ ัติการที่ความสูงไมเ่ กิน 10,000 ฟุต (เมฆอุ่น) ใช้ผง
โซเดียมคลอไรด์โปรยทับยอดเมฆด้านเหนือลม เพราะผงยูเรียโปรยที่ระดับฐานเมฆด้านใต้ลมในเวลา
เดียวกัน โดยให้แนวโปรยทั้ง 2 ทำมุมเยื้องกัน 45 องศา ด้วยปฏิบัติการนี้เมฆจะทวีความหนาแน่น
ของเม็ดน้ำขนาดใหญ่ขึ้นและปริมาณมากขึ้นจนตกลงมารวมตัวกันที่ฐานเมฆ ทำให้ใกล้จะเกิดฝน
วิธีการนี้จะต้องเสริมการโจมตีด้วยการโปรยสารเคมีสูตรเย็นจัด คือ น้ำแข็งแห้ง ที่ใต้ฐานเมฆ 1,000
ฟุต เพือ่ เร่งใหก้ ล่มุ ฝนกตลงเรว็ ข้ึน
คมู่ อื การจดั กิจกรรมการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสงิ่ แวดล้อม ฐานการเรียนรู้ “พระบดิ าแห่งเทคโนโลยีไทย” หน้า | 45
(2) แบบเมฆเย็น เปน็ กรณที ่ียอดเมฆสูงมาจนถึงระดับเมฆเย็นหรือประมาณ 20,000 ฟุต
ดังทีไ่ ด้กลา่ วไวแ้ ล้วธิ กี ารคอื ใช้สารซิลเวอรไ์ อโอไดดย์ งิ จากเคร่อื งบนิ ท่รี ะดบั ความสูงประมาณ 21,500
ฟุต ทำใหไ้ อน้ำระเหยจากเมด็ น้ำเย็นยิ่งยวดมาเกาะตวั รอบแกนของสารเคมีท่ยี งิ กลายเปน็ ผลกึ นำ้ แข็ง
จนกระทั่งตกลงมา และละลายเป็นเม็ดนำ้ เมือ่ เข้าสู่ระดับเมฆอุ่น ทำให้ไอน้ำและเม็ดน้ำในเมฆอุ่นเขา้
มาเกาะรวมตัวเป็นเมด็ ใหญ่ข้นึ ทะลฐุ านเมฆเปน็ ฝนตกลงสพู่ ื้นดนิ
(3) แบบ Super Sandwich เป็นเทคนิคใหม่ที่ทรงคิดค้นขึ้นในปี พ.ศ. 2542 ด้วยน้ำ
พระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใยพสกนิกร และพระอัจฉริยภาพของพระองค์ ในช่วงสถานการณ์ภัยแล้ง
อย่างกว้างขวางสืบเนื่องยาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 จากปรากฏการณ์ “เอล นิโน” ปฏิบัติการนี้
ใช้วิธีการแบบ Sandwich และแบบเมฆเย็นควบคู่กันในเวลาเดียวกัน จะทำให้ฝนตกหนัก
และต่อเนื่องยาวนาน ให้ปริมาณน้ำฝนสูงยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นประสานประสิทธิภาพของการโจมตี
เมฆอุ่นและเมฆเย็นในเวลาเดยี วกนั
สารเคมีท่ใี ช้ในกระบวนการทำฝนหลวง มี 3 ประเภท คือ ประเภทคลายความร้อนหรือทำให้
อุณหภูมิสูงขึ้น ประเภทดูดกลืนความร้อนหรือทำให้อุณหภูมิต่ำลง และสารเคมีที่ทำหน้าที่ดูดซับ
ความชื้นประการเดียว
(1) สารเคมีประเภทคลายความร้อนหรือทำให้อุณหภูมิสูงขึ้ น มี 3 ชนิด คือ
แคลเซียมคาร์ไบด์ (Calcium carbide; CaC2) แคลเซียมคลอไรด์ (Calcium Chloride, CaCl2)
และแคลเซียมออกไซด์ (Calcium Oxide; CaO)
(2) สารเคมีประเภทดูดกลืนความร้อนหรือทำให้ อุณหภูมิต่ำลง มี 3 ชนิด คือ
ยูเรีย (Urea, Co(NH2)2) แอมโมเนียมไนเตรท (Ammoniumnitrate; NH4NO3) และน้ำแข็งแห้ง
(Dry ice; CO2(s))
(3) สารเคมีที่ทำหน้าที่ดูดซับความชื้นประการเดียว คือ เกลือ ( Sodium chloride : NaCl)
และสารเคมีสตู ร ท.1 ท่ีเปน็ สารผสมสารประกอบหลายชนดิ (ปจั จบุ นั ไม่ใช้ในการทำฝนหลวง)
2.2 ประโยชน์ของการทำฝนหลวง
(1) เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในการเกษตรในช่วงที่เกิดภาวะฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง
ยาวนานเพ่ือเพมิ่ ปรมิ าณน้ำ ให้กับพน้ื ทล่ี มุ่ รบั น้ำของแมน่ ้ำสายตา่ ง ๆ
(2) เพอื่ แกป้ ญั หาการขาดแคลนน้ำเพื่อการอปุ โภคบรโิ ภค เสริมสรา้ งเสน้ ทางคมนาคมทาง
นำ้ เปน็ การเพมิ่ ปรมิ าณน้ำ โดยเฉพาะในบรเิ วณแม่น้ำท่ตี น้ื เขนิ ให้สามารถใช้เปน็ เส้นทางคมนาคมได้
(3) เพื่อป้องกันและบำบัดภาวะมลพิษของสิ่งแวดล้อม “ฝนหลวง” ได้บรรเทาสภาวะ
สิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษอันเกิดมาจากการระบายน้ำเสีย และขยะมูลฝอยลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา
ปรมิ าณน้ำฝนหลวงจะทำให้มลพษิ จากน้ำเสยี เจือจางน้อยลง
(4) เพ่ือเพ่มิ ปริมาณน้ำในเข่อื นภูมิพลและเข่ือนสริ ิกติ เ์ิ พ่ือผลิตกระแสไฟฟา้
คู่มือการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสง่ิ แวดล้อม ฐานการเรยี นรู้ “พระบดิ าแห่งเทคโนโลยไี ทย” หน้า | 46
ใบความรสู้ ำหรับผจู้ ดั กจิ กรรม เรอื่ ง “สรา้ งเมฆตามรอยพอ่ ”
การเรอื่ งรู้ เร่อื ง “สรา้ งเมฆตามรอยพ่อ” เป็นการเรียนร้เู กีย่ วกับ ขัน้ ตอนการเกิดเมฆและฝน
ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการทำฝนหลวง ตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ฝนหลวง
ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร (รัชกาลที่ 9)
ทรงใช้ความเป็นนักวิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหาภัยแล้งของพสกนิกร ด้วยการดัดแปรสภาพอากาศ
โดยใช้สารเคมีก่อกวนเมฆให้เกิดฝน ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทำให้เกิดฝนเร็วข้ึน
โดยมรี ายละเอียดดังนี้
1. ความเป็นมาและความสำคัญของโครงการอนั เน่ืองมาจากพระราชดำริ เรอ่ื ง “ฝนหลวง”
1.1 ความเปน็ มาของโครงการอันเนอื่ งมาจากพระราชดำริ เรือ่ ง “ฝนหลวง”
1.2 ความสำคัญของโครงการอันเนือ่ งมาจากพระราชดำริ เรอื่ ง “ฝนหลวง”
2. ข้ันตอน และประโยชน์การทำฝนหลวง
2.1 ขนั้ ตอนของฝนหลวง
2.2 ประโยชน์การทำฝนหลวง
1. ความเปน็ มาและความสำคญั ของโครงการอนั เนือ่ งมาจากพระราชดำริ เร่ือง “ฝนหลวง”
1.1 ความเป็นมาของโครงการอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำริ เรอ่ื ง “ฝนหลวง”
รูปภาพ ในหลวงรัชกาลท่ี 9 ทรงพระราชดำริ โครงการฝนหลวง
แหล่งท่ีมา : https://sites.google.com/site/10khorngkarphrarachdaari
ฝนหลวง เป็นโครงการที่ก่อกำเนิดจากพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชน
กาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) ที่ทรงห่วงใยในความทุกข์ยาก
ของพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดาร ที่ต้องประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ เพื่ออุปโภคบริโภค
ค่มู ือการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสงิ่ แวดลอ้ ม ฐานการเรยี นรู้ “พระบดิ าแหง่ เทคโนโลยไี ทย” หนา้ | 47
และเกษตรกรรมอันเนื่องมาจากภาวะแห้งแล้ง ซึ่งมีสาเหตุมาจากความผันแปรและคลาดเคลื่อน
ของฤดูกาลตามธรรมชาติ
1.2 ความสำคญั ของโครงการอันเนอ่ื งมาจากพระราชดำริ เร่ือง “ฝนหลวง”
การทำฝนเทียมที่ทุกคนรู้จักกันดีในนามฝนหลวง เป็นกรรมวิธีดัดแปลงสภาพอากาศ
เพื่อให้เกิดฝน การทำฝนเทียมเป็นกรรมวิธีเลียนแบบธรรมชาติ คือ ความร้อนชื้นปะทะความเย็น
เป็นกรรมวิธีการเหนี่ยวนำน้ำจากฟ้า จะต้องใช้เครื่องบินบรรทุกสารเคมีขึ้นไปโปรยในท้องฟ้า
โดยดูจากความชนื้ ของจำนวนเมฆและสภาพของทิศทางลมประกอบกัน
เทคโนโลยีฝนหลวงเป็นเทคนิค หรือ วิชาการที่เกี่ยวกับการดัดแปลงสภาพอากาศ
โดยเน้นการทำฝน เพื่อเพิ่มปริมาณฝนตก (Rain enhancement) และ/หรือ เพื่อให้ฝนตกกระจาย
อย่างสม่ำเสมอ (Rain redistribution) สำหรับป้องกันหรือบรรเทาภาวะแห้งแล้งที่เกิดจากฝนแล้ง
หรือฝนทิ้งชว่ งนัน้ เป็นวชิ าการทใี่ หม่สำหรับประเทศไทยและของโลก
2. ขั้นตอน และประโยชนก์ ารทำฝนหลวง
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมพิ ลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รชั กาลที่ 9)
ทรงประดิษฐ์คิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีฝนหลวงขึ้นมา และพระราชทานให้ใช้เป็นเทคโนโลยี
ในการดัดแปรสภาพอากาศให้เกิดฝนจากเมฆอุ่น (Warm Cloud) และเมฆเย็น (Cool Cloud)
ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่กระทำด้วยความตั้งใจของมนุษย์ที่มีการวางแผนการปฏิบัติการ
หวงั ผลท่แี น่นอน โดยการใชส้ ารฝนหลวงทด่ี ดู ซบั ความชน้ื ไดด้ ี (Hygroscopic Substance) เปน็ ตวั เรง่
เร้าทั้งในบรรยากาศ หรือเมฆที่มีอุณหภูมิสูงกว่าและต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ให้กระบวนการเกิดฝน
เกิดเร็วขึ้น ตั้งแต่กระบวนการเกิดเมฆ (Cloud Formation) การเจริญของเมฆ (Cloud Growth)
การเริ่มต้นให้ฝนตก (Rain Initiation) การยืดอายุการตกของฝนให้นานขึ้น (Prolonging of rain
duration) ให้ฝนตกกระจายอย่างทั่วถึง (Rain Redistribution) และชักนำฝนให้ตกลงสู่พื้นที่
เป้าหมายที่กำหนด (Designated Target area) ได้อย่างแม่นยำและแผ่อาณาเขตครอบคลุม
อาณาเขตเป็นบรเิ วณกวา้ งมากทจ่ี ะปลอ่ ยให้เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ
2.1 ขัน้ ตอนของฝนหลวง
รูปภาพ อธบิ ายขน้ั ตอนการทำฝนหลวง ขน้ั ตอนท่ี 1 ก่อกวน
แหล่งท่ีมา : http://www.realist.co.th/blog/ฝนหลวง-ในหลวง
คู่มอื การจดั กิจกรรมการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิง่ แวดลอ้ ม ฐานการเรียนรู้ “พระบดิ าแห่งเทคโนโลยีไทย” หน้า | 48
ขั้นตอนที่หนึ่ง : ก่อกวน เป็นการดัดแปลงสภาพอากาศเพื่อเร่งหรือเสริมการเกิดเมฆ
โดยการโปรยสารเคมีผงละเอียดของเกลือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ที่ระดับความสูง 7,000 ฟุต
ในท้องฟ้าโปร่งใสที่มีความชื้นสัมพัทธ์ไม่น้อยกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ของผงเกลือโซเดียมคลอไรด์
ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดความชื้นได้ดี จะทำหน้าที่เสริมประสิทธิภาพของแกนกลั่นตัวในบรรยากาศ
(Cloud Condensation Nuclei) เรียกย่อว่า CCN ทำให้กระบวนการดูดซับความชื้นในอากาศ
ให้กลายเปน็ เม็ดเกิดเร็วข้ึนกวา่ ธรรมชาติและเกิดกลุ่มเมฆจำนวนมาก ซ่ึงเมฆเหล่านี้จะพัฒนาเป็นเมฆ
ก้อนใหญใ่ นเวลาตอ่ มา
รูปภาพ อธบิ ายขน้ั ตอนการทำฝนหลวง ข้นั ตอนท่ี 2 เล้ยี งให้อ้วน
แหล่งทม่ี า : http://www.realist.co.th/blog/ฝนหลวง-ในหลวง
ขั้นตอนที่สอง : เลี้ยงให้อ้วน เป็นการดัดแปลงสภาพอากาศเพื่อเร่งหรือเสริมการเพิ่มขนาด
ของเมฆและขนาดของเม็ดน้ำในก้อนเมฆจะปฏบิ ตั กิ ารเม่ือเมฆที่ก่อตัวจากขนั้ ตอนท่ี 1 หรือเมฆเดมิ ท่ีมี
อยู่ตามธรรมชาติก่อยอดสูงถึงระดับ 10,000 ฟุต โดยการโปรยสารเคมีผลแคลเซียมคลอไรด์ (CaCl2)
เข้าไปในกลุ่มเมฆที่ระดับ 8,000 ฟุต ผงแคลเซียมคลอไรด์ซึ่งมีคุณสมบัติดูดความชื้นได้ดีจะดูดซับ
ความชื้นและเม็ดน้ำขนาดเล็กในก้อนเมฆให้กลายเป็นเม็ดน้ำขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกัน
จะเกิดปฏิกิริยาคายความร้อนซึ่งเป็นคุณสมบัติเฉพาะของสารแคลเซียมคลอไรด์ เมื่อละลายน้ำ
ความร้อนที่เกิดขึ้นจะเพิ่มอัตราเร็วของกระแสอากาศไหลขึ้น (Updraft) ในก้อนเมฆทั้งขนาดเม็ด
ที่โตขึ้นและความเร็วของกระแสอากาศไหลขึ้นที่เพิ่มขึ้นจะเป็นปัจจัยเร่งกระบวนการชนกัน
และรวมตัวกัน (Collision and coalescence process) ของเม็ดน้ำ ทำให้เม็ดน้ำขนาดใหญ่จำนวน
มากเกิดขึ้นในก้อนเมฆ และยอดเมฆพัฒนาตัวสูงขึ้น ในขั้นนี้เมฆจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและต่อยอดสูงขึ้น
ไปได้มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับการทรงตัวของบรรยากาศในแต่ละวัน ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ
คือในบางวันเมฆจะไม่สามารถก่อยอดสูงเกินระดับอุณหภูมิจุดเยือกแข็ง ( 0 องศาเซลเซียส หรือ
ประมาณ 18,000 ฟตุ เรียกว่า เมฆอุ่น (Warm Cloud) ในบางวนั เมฆจะสามารถก่อยอดข้ึนไปสูงกว่า
ระดบั อณุ หภูมิจุดเยือกแข็ง เชน่ ถึงระดับ 20,000 ฟุต เรียกว่า เมฆเย็น (Cold Cloud) ซึ่งภายในยอด
เมฆจะประกอบดว้ ยเมด็ น้ำเย็นจัด (Super cooled droplet) ท่ีมีอุณหภมู ติ ่ำถึง - 8 องศาเซลเซียส
คูม่ ือการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และส่งิ แวดล้อม ฐานการเรียนรู้ “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีไทย” หน้า | 49
รปู ภาพ อธบิ ายขั้นตอนการทำฝนหลวง ข้ันตอนท่ี 3 โจมตี
แหลง่ ที่มา : http://www.realist.co.th/blog/ฝนหลวง-ในหลวง
ชั้นที่สาม : โจมตี เป็นการดัดแปลงสภาพอากาศ เพื่อเร่งให้เมฆเกิดเป็นฝนภายในกลุ่มเมฆ
จะมีเม็ดน้ำขนาดใหญ่มากมาย หากเครื่องบินบินเข้าไปในกลุ่มเมฆฝนนี้ จะมีเม็ดน้ำเกาะตามปีก
และกระจงั หนา้ ของเคร่ืองบิน เปน็ ขน้ั ตอนสำคัญตอ้ งอาศยั ประสบการณ์มาก เพราะจะตอ้ งปฏิบัติการ
เพื่อลดความรุนแรงของ updraft หรือทำให้อายุของ updraft หมดไป สำหรับการปฏิบัติการ
ในขั้นตอนนี้ จะต้องพิจารณาจุดมุ่งหมายของการทำฝนหลวง ซึ่งมีอยู่ 2 ประเด็นคือ เพื่อเพิ่มปริมาณ
ฝนตก และเพือ่ ก่อใหเ้ กดิ การกระจายการตกของฝน ขั้นตอนการโจมตีมรี ปู แบบ ดงั น้ี
(1) แบบ Sandwich เปน็ เทคนคิ ปฏบิ ัติการที่ความสงู ไมเ่ กนิ 10,000 ฟตุ (เมฆอ่นุ ) ใช้ผง
โซเดียมคลอไรด์โปรยทับยอดเมฆด้านเหนือลม เพราะผงยูเรียโปรยที่ระดับฐานเมฆด้านใตล้ มในเวลา
เดียวกัน โดยให้แนวโปรยทั้ง 2 ทำมุมเยื้องกัน 45 องศา ด้วยปฏิบัติการนี้เมฆจะทวีความหนาแน่น
ของเม็ดน้ำขนาดใหญ่ขึ้นและปริมาณมากขึ้นจนตกลงมารวมตัวกันที่ฐานเมฆ ทำให้ใกล้จะเกิดฝน
วิธีการนี้จะต้องเสริมการโจมตีด้วยการโปรยสารเคมีสูตรเย็นจัด คือ น้ำแข็งแห้ง ที่ใต้ฐานเมฆ 1,000
ฟุต เพือ่ เร่งใหก้ ล่มุ ฝนกตลงเรว็ ข้ึน
คู่มือการจัดกจิ กรรมการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิง่ แวดล้อม ฐานการเรียนรู้ “พระบิดาแหง่ เทคโนโลยไี ทย” หน้า | 50
(2) แบบเมฆเย็น เป็นกรณที ่ยี อดเมฆสูงมาจนถงึ ระดับเมฆเยน็ หรือประมาณ 20,000 ฟุต
ดงั ทีไ่ ด้กลา่ วไว้แลว้ ิธกี ารคือ ใชส้ ารซลิ เวอรไ์ อโอไดดย์ ิงจากเคร่ืองบินท่รี ะดบั ความสงู ประมาณ 21,500
ฟตุ ทำให้ไอนำ้ ระเหยจากเมด็ นำ้ เยน็ ย่งิ ยวดมาเกาะตัวรอบแกนของสารเคมีทยี่ งิ กลายเป็นผลึกน้ำแข็ง
จนกระทั่งตกลงมา และละลายเป็นเม็ดนำ้ เมื่อเข้าสู่ระดับเมฆอุ่น ทำให้ไอน้ำและเม็ดน้ำในเมฆอุ่นเข้า
มาเกาะรวมตัวเป็นเม็ดใหญข่ ้ึนทะลฐุ านเมฆเปน็ ฝนตกลงสู่พืน้ ดนิ
(3) แบบ Super Sandwich เป็นเทคนิคใหม่ที่ทรงคิดค้นขึ้นในปี พ.ศ. 2542 ด้วยน้ำ
พระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใยพสกนิกร และพระอัจฉริยภาพของพระองค์ ในช่วงสถานการณ์ภัยแล้ง
อย่างกว้างขวางสืบเนื่องยาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 จากปรากฏการณ์ “เอล นิโน” ปฏิบัติการนี้
ใช้วิธีการแบบ Sandwich และแบบเมฆเย็นควบคู่กันในเวลาเดียวกัน จะทำให้ฝนตกหนัก
และต่อเนื่องยาวนาน ให้ปริมาณน้ำฝนสูงยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นประสานประสิทธิภาพของการโจมตี
เมฆอุ่นและเมฆเย็นในเวลาเดยี วกัน
สารเคมีท่ีใช้ในกระบวนการทำฝนหลวง มี 3 ประเภท คือ ประเภทคลายความร้อนหรือทำให้
อุณหภูมิสูงข้ึน ประเภทดูดกลืนความร้อนหรือทำให้อุณหภูมิต่ำลง และสารเคมีที่ทำหน้าที่ดูดซับ
ความชื้นประการเดยี ว
(1) สารเคมีประเภทคลายความร้อนหรือทำให้อุณหภูมิสูงขึ้ น มี 3 ชนิด คือ
แคลเซียมคาร์ไบด์ (Calcium carbide; CaC2) แคลเซียมคลอไรด์ (Calcium Chloride, CaCl2)
และแคลเซยี มออกไซด์ (Calcium Oxide; CaO)
(2) สารเคมีประเภทดูดกลืนความร้อนหรือทำให้ อุณหภูมิต่ำลง มี 3 ชนิด คือ
ยูเรีย (Urea, Co(NH2)2) แอมโมเนียมไนเตรท (Ammoniumnitrate; NH4NO3) และน้ำแข็งแห้ง
(Dry ice; CO2(s))
(3) สารเคมีที่ทำหน้าที่ดูดซับความชื้นประการเดียว คือ เกลือ ( Sodium chloride : NaCl)
และสารเคมีสูตร ท.1 ทีเ่ ปน็ สารผสมสารประกอบหลายชนิด (ปัจจุบัน ไม่ใชใ้ นการทำฝนหลวง)
2.2 ประโยชนข์ องการทำฝนหลวง
(1) เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในการเกษตรในช่วงที่เกิดภาวะฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง
ยาวนานเพอื่ เพ่ิมปรมิ าณน้ำ ให้กบั พนื้ ทล่ี ุม่ รับนำ้ ของแม่นำ้ สายตา่ ง ๆ
(2) เพ่อื แกป้ ญั หาการขาดแคลนนำ้ เพ่ือการอุปโภคบรโิ ภค เสริมสร้างเสน้ ทางคมนาคมทาง
นำ้ เปน็ การเพม่ิ ปรมิ าณนำ้ โดยเฉพาะในบรเิ วณแม่นำ้ ท่ตี น้ื เขนิ ให้สามารถใชเ้ ป็นเสน้ ทางคมนาคมได้
(3) เพ่ือป้องกันและบำบัดภาวะมลพิษของสิ่งแวดล้อม “ฝนหลวง” ได้บรรเทาสภาวะ
สิ่งแวดล้อมท่ีเป็นพิษอันเกิดมาจากการระบายน้ำเสีย และขยะมูลฝอยลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา
ปริมาณนำ้ ฝนหลวงจะทำใหม้ ลพิษจากน้ำเสยี เจอื จางนอ้ ยลง
(4) เพอื่ เพิ่มปรมิ าณน้ำในเขื่อนภมู ิพลและเข่อื นสิริกติ เ์ิ พ่ือผลิตกระแสไฟฟ้า
ค่มู อื การจัดกจิ กรรมการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสงิ่ แวดล้อม ฐานการเรยี นรู้ “พระบดิ าแหง่ เทคโนโลยีไทย” หน้า | 51
ใบกจิ กรรมสำหรับผูจ้ ดั กจิ กรรม
เรอ่ื ง การทดลองการสร้างเมฆ
คำช้ีแจง
1. ผู้จัดกิจกรรมอธิบายและสาธิตขั้นตอนการปฏิบัติ เรื่อง “การทดลองการสร้างเมฆ”
ตามใบกิจกรรมสำหรับผู้จัดกิจกรรม เรื่อง “การทดลองการสร้างเมฆ” พร้อมทั้งให้ผู้รับบริการร่วมปฏิบัติ
ในการสาธิตของผู้จัดกิจกรรมด้วย ทั้งนี้เปิดโอกาสให้ผู้รับบริการได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดยให้ผู้รับบริการ
ตั้งประเด็นข้อสงสัย หรือสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ในกระบวนการของการสาธิต และเชื่อมโยงสู่การนำไปใช้
ในชีวติ จริงของผรู้ บั บริการต่อไป
2. แบง่ ผู้รบั บริการออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 5 – 6 คน ใหผ้ ้รู บั บริการแต่ละกลุ่มลงมือปฏิบัติ
จริง โดยผู้รับบริการแต่ละกลุ่มวางแผนและดำเนินการเกี่ยวกับการทดลอง เรื่อง “การทดลองการสร้าง
เมฆ” ตามใบกิจกรรมสำหรับผู้รับบริการ เรื่อง “ การทดลองการสร้างเมฆ” ทั้งนี้ ผู้จัดกิจกรรมเตรียม
วัสดุ อุปกรณ์ให้กับผู้รับบริการในการทดลอง เรื่อง “การทดลองการทำเมฆ” ตามใบกิจกรรมสำหรับ
ผู้จดั กจิ กรรม เรอ่ื ง “การทดลองการสร้างเมฆ”
3. ให้ผู้รับบริการแต่ละกลุ่มตามข้อ 2 ปฏิบัติกิจกรรมตามใบกิจกรรม เรื่อง “การทดลอง
การสร้างเมฆ” ทั้งนี้ ผู้จัดกิจกรรมจะต้องกำกับการปฏิบัติกิจกรรมของผู้รับบริการจนกิจกรรม
แลว้ เสรจ็ ตามใบกิจกรรมสำหรบั ผ้จู ัดกิจกรรม เรือ่ ง “การทดลองการสรา้ งเมฆ”
4. ให้ผู้รับบริการแต่ละกลุ่มนำเสนอผลการทดลอง เรื่อง “การทดลองการสร้างเมฆ”
ตามใบกิจกรรมของผรู้ บั บริการ เรื่อง “การทดลองการสร้างเมฆ”
5. ผู้จัดกจิ กรรมและผรู้ ับบริการอภปิ รายและสรุปผลการเรียนรู้ร่วมกัน
ค่มู ือการจัดกิจกรรมการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสง่ิ แวดล้อม ฐานการเรยี นรู้ “พระบิดาแหง่ เทคโนโลยไี ทย” หนา้ | 52
การอธบิ ายและสาธิตการทดลอง
เรอื่ ง การทดลองการสรา้ งเมฆ
คำชแ้ี จง ให้ผู้รับบริการปฏิบัติการทดลอง บันทึกผลการทดลอง และสรุปผลการทดลอง
ตามทกี่ ำหนด ดงั รายการต่อไปนี้
1. อุปกรณใ์ นการทำการทดลอง จำนวน 1 อนั
จำนวน 1 อัน
(1) กระบอกสบู ลมยาง จำนวน 3 ขวด
(2) จุกยาง จำนวน 10 มลิ ลิลติ ร
(3) ขวดนำ้ พลาสตกิ ขนาด 500 มิลลิลิตร จำนวน 10 มิลลลิ ิตร
(4) แอลกอฮอล์
(5) นำ้ สะอาด
2. วธิ ีดำเนินการทดลอง
ครงั้ ที่ 1 สร้างเมฆ โดยใช้แอลกอฮอล์
(1) เทแอลกอฮอลป์ ริมาณ 10 มลิ ลิลติ ร ลงในขวดพลาสติก
(2) กลิ้งขวดหมุนไปมาเพื่อให้แอลกอฮอล์สัมผัสผิวด้านในภายในขวดพลาสติก เพื่อนำให้
เกดิ ไอแอลกอฮอลใ์ นขวด
(3) ตง้ั ขวดในแนวตง้ั ตรง จับขวดให้มนั่ ใช้กระบอกสูบลมทม่ี ีจกุ ยางสูบดนั อากาศเข้าสู่ขวด
พลาสตกิ ประมาณ 20 ครง้ั
(4) ดึงกระบอกสูบอยา่ งรวดเรว็ เมอื่ รู้สกึ วา่ แนน่ จนดนั ไมเ่ ขา้
คร้งั ท่ี 2 สร้างเมฆ โดยใช้นำ้
(1) เทนำ้ สะอาด 10 มลิ ลิลติ ร ลงในขวดพลาสตกิ
(2) ตั้งขวดในแนวตงั้ ตรง จบั ขวดให้มั่น ใช้กระบอกสูบลมทมี่ จี กุ ยางสบู ดันอากาศเข้าสู่ขวด
พลาสตกิ ประมาณ 20 ครง้ั
(3) ดงึ กระบอกสูบอย่างรวดเรว็ เมื่อร้สู กึ วา่ แนน่ จนดันไมเ่ ขา้
คร้งั ท่ี 3 สรา้ งเมฆ โดยใช้อากาศภายในขวด
(1) ต้ังขวดในแนวตัง้ ตรง จบั ขวดใหม้ ่นั ใช้กระบอกสบู ลมท่ีมีจกุ ยางสูบดนั อากาศเข้าสู่ขวด
พลาสตกิ ประมาณ 20 ครงั้
(2) ดงึ กระบอกสบู อยา่ งรวดเร็ว เม่อื รสู้ กึ ว่าแน่นจนดนั ไมเ่ ข้า
คมู่ ือการจัดกจิ กรรมการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และส่งิ แวดล้อม ฐานการเรยี นรู้ “พระบดิ าแห่งเทคโนโลยีไทย” หนา้ | 53
3. บนั ทึกผลการทดลอง
ตารางบันทึกผลการทดลอง
วิธีดำเนนิ การทดลอง ผลการสงั เกตการเปลยี่ นแปลง
ครั้งที่ 1 โดยใชแ้ อลกอฮอล์ จากการทดลองการสร้างเมฆโดยใช้แอลกอฮอล์ พบว่า
มีควันเมฆเกิดขึ้น และในขณะที่อัดอากาศเข้าไปใน
ขวดพลาสติก ทำให้มีความดันสูงจนอุณหภูมิภายใน
ขวดสูงขึ้น เกิดการระเหยกลายเป็นไอ และเมื่อเรานำ
จุกยางออกย่างรวดเร็ว กา๊ ซกเ็ กดิ การขยายตัวอณุ หภูมิ
ภายในขวดลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้อากาศภายใน
ขวดเย็นลง ในช่วงนี้จะทำให้ไอน้ำควบแน่นกลายเป็น
หยดน้ำ ไอแอลกอฮอล์กลั่นตัวเป็นหยดน้ำเล็กๆ ซึ่งมี
ลักษณะเป็นเมฆลอยอยูใ่ นขวด
คร้ังที่ 2 โดยใชน้ ้ำ จากการทดลองการสร้างเมฆโดยใช้น้ำ พบว่ามีเมฆ
เกิดขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากน้ำมีจุดเดือดที่สูงกว่า
แอลกอฮอล์ น้ำจึงระเหยได้ช้ากวา่ แอลกอฮอล์ ไอน้ำท่ี
ได้จะมองเห็นได้น้อยกว่านั่นเอง และแอลกอฮอล์ก็
กลายเปน็ ไอไดเ้ รว็ กว่าน้ำ
ครง้ั ท่ี 3 โดยใช้อากาศภายในขวด จากการทดลองการสร้างเมฆโดยใช้อากาศภายในขวด
พบว่าทำให้เกิดเมฆ แต่เมฆนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว
เพราะว่าความชื้นในอากาศนั้นมีอยู่น้อยกว่าความชื้น
ในแอลกอฮอลแ์ ละในนำ้
สรุปผลการทดลองของผู้รบั บรกิ าร
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................
4. สรุปผลการทดลอง
แนวคำตอบ จากการทดลองพบว่า การใช้แอลกอฮอล์มีผลต่อการทำให้เกิดเมฆได้ดีกว่าการ
ใช้น้ำ เน่ืองจากน้ำมจี ุดเดอื ดที่สงู กวา่ แอลกอฮอล์ ระเหยไดช้ า้ กว่าแอลกอฮอล์ ไอนำ้ ทไ่ี ดจ้ ะมองเห็นได้
น้อยกว่า และการใช้อากาศภายในขวดจะทำให้เกิดเมฆ แต่เมฆนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะว่า
ความช้นื ในอากาศน้ัน มอี ยนู่ ้อยกวา่ ความช้ืนในแอลกอฮอล์และในน้ำ เมอ่ื ใชล้ กู สบู อดั อากาศเข้าไปใน
ขวดพลาสติกที่มีแอลกอฮอล์ให้มีความดันสูง ๆ ทำให้อุณหภูมิภายในขวดสูงขึ้น เกิดการระเหย
กลายเป็นไอ และเมื่อนำจุกยางออกย่างรวดเร็ว ทำให้ก๊าซเกิดการขยายตัว อุณหภูมิภายในขวดลดลง
อยา่ งรวดเร็ว อากาศภายในขวดจงึ เย็นลง ทำให้ไอนำ้ เกิดการควบแนน่ กลายเปน็ หยดน้ำ จะสงั เกตเหน็
คมู่ ือการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสงิ่ แวดล้อม ฐานการเรียนรู้ “พระบิดาแห่งเทคโนโลยไี ทย” หน้า | 54
ไอแอลกอฮอล์กลั่นตัวเป็นหยดน้ำเล็ก ๆ มีลกั ษณะคล้ายเมฆลอยอยู่ในขวด นน่ั คือ การจำลองการเกิด
เมฆในขวด ซึ่งการเกิดเมฆ เกิดจากการที่ไอน้ำในอากาศ เกิดการควบแน่นในอากาศ รวมตัวกันด้วย
อณูเล็ก ๆ ของแกนกลั่น เช่น ฝุ่น ละอองที่ลอยอยู่ในอากาศ เป็นตัวช่วยใหเ้ กิดการรวมตัวกันของ
ไอน้ำที่เพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นก้อนเมฆขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้าง เมฆ เป็นกลุ่มละอองน้ำที่เกิดจาก
การควบแน่น ซึ่งเกิดจากการยกตัวของกลุ่มอากาศ (Air parcel) ผ่านความสูงเหนือระดับควบแน่น
และมีอุณหภูมิลดต่ำกว่าจุดน้ำค้าง ตัวอย่างการเกิดเมฆที่เห็นได้ชัด ได้แก่ “คอนเทรล” (Contrails)
ซึ่งเป็นเมฆที่สร้างข้ึนโดยฝีมอื มนุษย์ เมื่อเครื่องบินไอพ่นบินอยูใ่ นระดับสงู เหนือระดับควบแนน่ ไอน้ำ
ซึ่งอยู่ในอากาศร้อนที่พ่นออกมาจากเครื่องยนต์ ปะทะเข้ากับอากาศเย็นซึ่งอยู่ภายนอก เกิดการ
ควบแน่นเป็นหยดน้ำ โดยการจับตัวกับเขม่าควันจากเครื่องยนต์ซึง่ ทำหน้าที่เปน็ แกนควบแน่น เราจึง
มองเห็นควันเมฆสีขาวถูกพ่นออกมาทางท้ายของเครื่องยนต์เป็นทางยาว ในการสร้างฝนหลวง
(ฝนเทยี ม) กเ็ ช่นกัน เครอื่ งบนิ ทำการโปรยสารเคมี “ซิลเวอรไ์ อโอไดด”์ (Silver Iodide) เพอ่ื ทำหนา้ ที่
เป็นแกนควบแน่น เพื่อให้ไอน้ำในอากาศมาจับตัว และควบแน่นเปน็ เมฆนัน่ เอง
คูม่ อื การจดั กจิ กรรมการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิง่ แวดลอ้ ม ฐานการเรยี นรู้ “พระบดิ าแหง่ เทคโนโลยไี ทย” หน้า | 55
ใบกจิ กรรมสำหรบั ผรู้ บั บริการ
เรื่อง การทดลองการสร้างเมฆ
คำชแี้ จง ให้ผู้รับบริการดำเนินการ ดงั น้ี
1. ผู้รับบริการร่วมปฏิบัติในการทดลอง เรื่อง “การทดลองการสร้างเมฆ” ของผู้จัด
กิจกรรม
2. แบ่งผู้รับบริการออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 5 – 6 คน ให้ผู้รับบริการแต่ละกลุ่มลงมือปฏิบัติ
จรงิ โดยผรู้ บั บริการแตล่ ะกลมุ่ วางแผนและดำเนนิ การเกี่ยวกบั การปฏิบัติ เรือ่ ง “การทดลองการสร้าง
เมฆ”
3. ให้ผู้รับบริการแต่ละกลุ่มตามข้อ 2 ปฏิบัติกิจกรรมตามใบกิจกรรมสำหรับผู้รับบริการ
เรอ่ื ง “การทดลองการสร้างเมฆ”
4. ใหผ้ ู้รับบริการแต่ละกลมุ่ นำเสนอผลการทดลอง เรอ่ื ง “การทดลองการสรา้ งเมฆ”
5. ผ้จู ัดกิจกรรมและผรู้ บั บริการอภปิ รายและสรปุ ผลการเรยี นร้รู ว่ มกัน
คมู่ ือการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และส่ิงแวดล้อม ฐานการเรยี นรู้ “พระบดิ าแหง่ เทคโนโลยีไทย” หนา้ | 56
การนำเสนอผลการทดลอง
เรอ่ื ง การทดลองการสร้างเมฆ
ชื่อกลุ่ม...............................................................
โรงเรยี น/สถานศกึ ษา/หนว่ ยงาน...........................................................จงั หวดั ...............................
1. ชื่อ - นามสกุล……………………………………………………………………………………………………………….
2. ชอ่ื - นามสกุล……………………………………………………………………………………………………………….
3. ชอ่ื - นามสกุล……………………………………………………………………………………………………………….
4. ชือ่ - นามสกุล……………………………………………………………………………………………………………….
5. ช่อื - นามสกลุ ……………………………………………………………………………………………………………….
6. ช่ือ - นามสกุล……………………………………………………………………………………………………………….
คำชแ้ี จง ให้ผู้รับบริการปฏิบัติการทดลอง บันทึกผลการทดลอง และสรุปผลการทดลอง
ตามทกี่ ำหนด ดังรายการต่อไปน้ี
1. อปุ กรณ์ในการทำการทดลอง จำนวน 1 อัน
จำนวน 1 อัน
(1) กระบอกสูบลมยาง จำนวน 3 ขวด
(2) จกุ ยาง จำนวน 10 มิลลิลติ ร
(3) ขวดนำ้ พลาสตกิ ขนาด 500 มิลลิลิตร จำนวน 10 มลิ ลลิ ิตร
(4) แอลกอฮอล์
(5) นำ้ สะอาด
2. วธิ ีดำเนนิ การทดลอง
คร้ังที่ 1 สรา้ งเมฆ โดยใช้แอลกอฮอล์
(1) เทแอลกอฮอลป์ รมิ าณ 10 มลิ ลลิ ิตร ลงในขวดพลาสติก
(2) กลิ้งขวดหมุนไปมาเพื่อให้แอลกอฮอล์สัมผัสผิวด้านในภายในขวดพลาสติก เพื่อนำให้
เกิดไอแอลกอฮอล์ในขวด
(3) ตั้งขวดในแนวต้งั ตรง จบั ขวดใหม้ น่ั ใชก้ ระบอกสูบลมท่ีมจี ุกยางสูบดนั อากาศเข้าสู่ขวด
พลาสติก ประมาณ 20 ครง้ั
(4) ดงึ กระบอกสบู อยา่ งรวดเร็ว เม่อื รู้สึกวา่ แน่นจนดันไมเ่ ข้า
ค่มู อื การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสงิ่ แวดล้อม ฐานการเรียนรู้ “พระบดิ าแหง่ เทคโนโลยไี ทย” หนา้ | 57
ครั้งท่ี 2 สร้างเมฆ โดยใช้นำ้
(1) เทน้ำสะอาด 10 มลิ ลลิ ติ ร ลงในขวดพลาสตกิ
(2) ตงั้ ขวดในแนวต้ังตรง จบั ขวดใหม้ ่นั ใช้กระบอกสบู ลมที่มีจกุ ยางสบู ดนั อากาศเข้าสู่ขวด
พลาสตกิ ประมาณ 20 คร้ัง
(3) ดึงกระบอกสูบอยา่ งรวดเร็ว เม่ือรู้สึกว่าแนน่ จนดันไมเ่ ข้า
ครง้ั ท่ี 3 สร้างเมฆ โดยใช้อากาศภายในขวด
(1) ตง้ั ขวดในแนวตั้งตรง จบั ขวดใหม้ น่ั ใช้กระบอกสบู ลมทมี่ ีจกุ ยางสูบดนั อากาศเข้าสู่ขวด
พลาสตกิ ประมาณ 20 ครั้ง
(2) ดงึ กระบอกสูบอยา่ งรวดเรว็ เม่ือรู้สกึ ว่าแนน่ จนดนั ไม่เข้า
3. บันทกึ ผลการทดลอง
ตารางบันทึกผลการทดลอง
วิธดี ำเนนิ การทดลอง ผลการสงั เกตการเปลี่ยนแปลง
คร้งั ที่ 1 โดยใชแ้ อลกอฮอล์
……………………………………………………………………………………
ครง้ั ที่ 2 โดยใช้นำ้ ……………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………
ครงั้ ที่ 3 โดยใช้อากาศภายในขวด ……………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………
4. สรปุ ผลการทดลอง
……………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………
คู่มอื การจัดกิจกรรมการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และส่ิงแวดล้อม ฐานการเรยี นรู้ “พระบิดาแห่งเทคโนโลยไี ทย” หนา้ | 58
แบบทดสอบหลงั เรยี น
เร่อื ง สรา้ งเมฆตามรอยพ่อ
คำชแี้ จง แบบทดสอบหลังเรียน เปน็ แบบปรนัย ชนดิ เลอื กตอบ จำนวนท้ังหมด 10 ข้อ
คำสง่ั จงทำเคร่ืองหมายถูก () หน้าข้อท่ถี ูก และทำเครอื่ งหมายผิด (X) หนา้ ขอ้ ท่ีผดิ
........... 1. เทคโนโลยีฝนหลวงเป็นเทคนิค หรือ วิชาการที่เกี่ยวกับการดัดแปลงสภาพอากาศ
โดยเน้นการทำฝน เพ่อื เพมิ่ ปริมาณฝนตก
............. 2. ฝนหลวง เปน็ กรรมวิธีดัดแปลงสภาพอากาศเพื่อให้เกดิ ฝน
............. 3. ผงเกลือโซเดยี มคลอไรด์ มีคณุ สมบตั ใิ นการคลายความช้นื ไดด้ ี
............. 4. ฝนหลวงเปน็ หนึง่ ในโครงการพระราชดำริของรชั กาลท่ี 9 ท่ีทรงหว่ งใยในความทุกข์ยาก
ของพสกนิกรในท้องถิน่ ทรุ กนั ดาร ท่ตี อ้ งประสบปญั หาขาดแคลนนำ้
............. 5. ฝนหลวงช่วยแก้ไขปญั หาไฟปา่
............. 6. ฝนหลวงช่วยแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในการเกษตรในชว่ งท่ีเกิดภาวะฝนแล้ง หรอื ฝนท้งิ
............. 7. ขั้นตอน โจมตี แบง่ เปน็ 3 แบบ คือ แบบเมฆอุ่น แบบเมฆเยน็ และซุปเปอรแ์ ซนด์วิช
............. 8. เล้ียงใหอ้ ้วน เป็นการดัดแปลงสภาพอากาศเพื่อเร่งหรอื เสรมิ การเพิ่มขนาดของเมฆ
............. 9. กอ่ กวน เปน็ ขนั้ ตอนการดัดแปลงสภาพอากาศเพื่อเรง่ หรอื เสรมิ การเกิดเมฆ
............. 10 ขั้นตอนการทำฝนหลวงมี 4 ขั้นตอน คือ วางแผน ก่อกวน เล้ยี งใหอ้ ว้ น โจมตี
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น
1. 2. 3. X 4. 5. X 6. 7. 8. 9. 10. X
ค่มู อื การจดั กจิ กรรมการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ฐานการเรียนรู้ “พระบิดาแห่งเทคโนโลยไี ทย” หนา้ | 59
PowerPoint สำหรบั ผจู้ ดั กิจกรรม
เร่อื ง การสรุปผลการเรยี นรู้ “สรา้ งเมฆตามรอยพอ่ ”
ค่มู อื การจดั กิจกรรมการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดลอ้ ม ฐานการเรยี นรู้ “พระบิดาแหง่ เทคโนโลยไี ทย” หนา้ | 60
คู่มือการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสงิ่ แวดล้อม ฐานการเรยี นรู้ “พระบดิ าแห่งเทคโนโลยีไทย” หนา้ | 61
บทสรุปประกอบ PowerPoint สำหรบั ผู้จดั กจิ กรรม
เรือ่ ง สรา้ งเมฆตามรอยพอ่
จากวตั ถุประสงค์ทกี่ ำหนดตามแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ จำนวน 4 ขอ้ สรปุ ไดด้ งั น้ี
1. ความเปน็ มาและความสำคญั ของโครงการอันเน่ืองมาจากพระราชดำริ เร่ือง “ฝนหลวง”
1.1 ความเป็นมาของโครงการอันเนอื่ งมาจากพระราชดำริ เร่อื ง “ฝนหลวง”
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
(รัชกาลที่ 9) ทรงพระราชทานแนวคิด “ทำให้เมฆรวมตัวกันตกลงมาเป็นฝน” เป็นที่มาของโครงการ
อันเนื่องมาจากพระราชดำริ “ฝนหลวง” ในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน ทุกข์ยากของพสกนิกร
ชาวไทยท่ีขาดแคลนน้ำอุปโภคบรโิ ภค และการเกษตรอันเนอ่ื งมาจากภาวะแห้งแล้ง ซ่งึ มสี าเหตุมาจาก
ความผันแปรและคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติ ทฤษฎีต้นกำเนิดหลักการแรก คือให้โปรย
สารดูดซับความชื้น (เกลือทะเล) จากเครื่องบิน เพื่อดูดซับความชื้นในอากาศ แล้วใช้สารเย็นจัด
(นำ้ แขง็ แห้ง) เพอ่ื ให้ความช้นื กล่ันตัวและรวมตวั เป็นเมฆ ความคดิ เรมิ่ แรกในการดัดแปรสภาพอากาศ
เพือ่ ให้เกดิ ฝน
1.2 ความสำคัญของโครงการอนั เนอื่ งมาจากพระราชดำริ เร่อื ง “ฝนหลวง”
การทำฝนเทียม ที่ทุกคนรู้จักกันดีในนาม “ฝนหลวง” เป็นกรรมวิธีดัดแปลงสภาพอากาศ
เพื่อให้เกิดฝน การทำฝนเทียมเป็นกรรมวิธีเลียนแบบธรรมชาติ คือ ความร้อนชื้นปะทะความเย็น
เป็นกรรมวิธีการเหนี่ยวนำน้ำจากฟ้า จะต้องใช้เครื่องบินบรรทุกสารเคมีขึ้นไปโปรยในท้องฟ้า
โดยดจู ากความช้ืนของจำนวนเมฆและสภาพของทิศทางลมประกอบกัน
เทคโนโลยีฝนหลวงเป็นเทคนิค หรือ วิชาการที่เกี่ยวกับการดัดแปลงสภาพอากาศ
โดยเน้นการทำฝน เพื่อเพิ่มปริมาณฝนตก (Rain enhancement) และ/หรือ เพื่อให้ฝนตกกระจาย
อย่างสม่ำเสมอ (Rain redistribution) สำหรับป้องกันหรือบรรเทาภาวะแห้งแล้งที่เกิดจากฝนแล้ง
หรอื ฝนทงิ้ ชว่ ง นน้ั เป็นวชิ าการที่ใหม่สำหรับประเทศไทยและของโลก
2. ข้ันตอน และประโยชนก์ ารทำฝนหลวง
2.1 ขนั้ ตอนของการทำฝนหลวง
ขั้นตอนที่หนึ่ง : ก่อกวน เป็นการดัดแปลงสภาพอากาศเพื่อเร่งหรือเสริมการเกิดเมฆ
โดยการโปรยสารเคมีผงละเอียดของเกลือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ที่ระดับความสูง 7,000 ฟุต
ในท้องฟ้าโปร่งใสที่มีความชื้นสัมพัทธ์ไม่น้อยกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ ของผงเกลือโซเดียมคลอไรด์
ซึ่งมีคุณสมบัติในการดูดความชื้นได้ดี จะทำหน้าที่เสริมประสิทธิภาพของแกนกลั่นตัวในบรรยากาศ
(Cloud Condensation Nuclei) เรียกย่อว่า CCN ทำให้กระบวนการดูดซับความชื้นในอากาศ
ใหก้ ลายเปน็ เม็ดเกิดเร็วขึ้นกวา่ ธรรมชาติและเกดิ กลุ่มเมฆจำนวนมาก ซึง่ เมฆเหลา่ น้ีจะพัฒนาเป็นเมฆ
กอ้ นใหญใ่ นเวลาตอ่ มา
ขั้นตอนที่สอง : เลี้ยงให้อ้วน เป็นการดัดแปลงสภาพอากาศเพื่อเร่งหรือเสริมการเพิ่มขนาด
ของเมฆและขนาดของเมด็ น้ำในก้อนเมฆจะปฏิบตั กิ ารเมอื่ เมฆทกี่ ่อตวั จากขนั้ ตอนที่ 1 หรือเมฆเดมิ ที่มี
อยู่ตามธรรมชาติก่อยอดสูงถึงระดับ 10,000 ฟุต โดยการโปรยสารเคมีผลแคลเซียมคลอไรด์ (CaCl2)
คู่มือการจดั กิจกรรมการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม ฐานการเรียนรู้ “พระบิดาแหง่ เทคโนโลยไี ทย” หนา้ | 62
เข้าไปในกลุ่มเมฆที่ระดับ 8,000 ฟุต ผงแคลเซียมคลอไรด์ซึ่งมีคุณสมบัติดูดความชื้นได้ดีจะดูดซับ
ความชื้นและเม็ดน้ำขนาดเล็กในก้อนเมฆให้กลายเป็นเม็ดน้ำขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกัน
จะเกิดปฏิกิริยาคายความร้อนซึ่งเป็นคุณสมบัติเฉพาะของสารแคลเซียมคลอไรด์ เมื่อละลายน้ำ
ความร้อนที่เกิดขึ้นจะเพิ่มอัตราเร็วของกระแสอากาศไหลขึ้น (Updraft) ในก้อนเมฆทั้งขนาดเม็ด
ที่โ ตขึ้นและคว ามเร็ว ของกระแสอากาศไหลขึ้นที่เพิ่มข้ึ นจะเป็นปัจจัยเร่งกระบว นการช นกั น
และรวมตัวกัน (Collision and coalescence process) ของเม็ดน้ำ ทำให้เม็ดน้ำขนาดใหญ่จำนวน
มากเกิดขึ้นในก้อนเมฆ และยอดเมฆพัฒนาตัวสูงขึ้น ในขั้นนี้เมฆจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและต่อยอดสูงข้ึน
ไปได้มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับการทรงตัวของบรรยากาศในแต่ละวัน ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ
คือในบางวันเมฆจะไม่สามารถก่อยอดสูงเกินระดับอุณหภูมิจุดเยือกแข็ง ( 0 องศาเซลเซียส หรือ
ประมาณ 18,000 ฟุต เรียกวา่ เมฆอุ่น (Warm Cloud) ในบางวันเมฆจะสามารถก่อยอดขนึ้ ไปสูงกว่า
ระดบั อุณหภูมิจุดเยือกแขง็ เช่น ถงึ ระดับ 20,000 ฟตุ เรยี กวา่ เมฆเยน็ (Cold Cloud) ซึง่ ภายในยอด
เมฆจะประกอบด้วยเม็ดน้ำเยน็ จัด (Super cooled droplet) ที่มอี ุณหภูมิตำ่ ถึง - 8 องศาเซลเซยี ส
ชั้นที่สาม : โจมตี เป็นการดัดแปลงสภาพอากาศ เพื่อเร่งให้เมฆเกิดเป็นฝนภายในกลุ่มเมฆ
จะมีเม็ดน้ำขนาดใหญ่มากมาย หากเครื่องบินบินเข้าไปในกลุ่มเมฆฝนนี้ จะมีเม็ดน้ำเกาะตามปีก
และกระจังหนา้ ของเคร่ืองบนิ เปน็ ขน้ั ตอนสำคญั ตอ้ งอาศยั ประสบการณ์มาก เพราะจะต้องปฏิบัติการ
เพื่อลดความรุนแรงของ updraft หรือทำให้อายุของ updraft หมดไป สำหรับการปฏิบัติการ
ในขั้นตอนนี้ จะต้องพิจารณาจุดมุ่งหมายของการทำฝนหลวง ซึ่งมีอยู่ 2 ประเด็นคือ เพื่อเพิ่มปริมาณ
ฝนตก และเพอื่ กอ่ ให้เกิดการกระจายการตกของฝน ขั้นตอนการโจมตีมรี ูปแบบ ดังน้ี
(1) แบบ Sandwich เปน็ เทคนคิ ปฏบิ ัติการท่ีความสูงไม่เกิน 10,000 ฟุต (เมฆอุ่น) ใช้ผง
โซเดียมคลอไรด์โปรยทับยอดเมฆด้านเหนือลม เพราะผงยูเรียโปรยที่ระดับฐานเมฆด้านใต้ลมในเวลา
เดียวกัน โดยให้แนวโปรยทั้ง 2 ทำมุมเยื้องกัน 45 องศา ด้วยปฏิบัติการนี้เมฆจะทวีความหนาแน่น
ของเม็ดน้ำขนาดใหญ่ขึ้นและปริมาณมากขึ้นจนตกลงมารวมตัวกันที่ฐานเมฆ ทำให้ใกล้จะเกิดฝน
วิธีการนี้จะต้องเสริมการโจมตีด้วยการโปรยสารเคมีสูตรเย็นจัด คือ น้ำแข็งแห้ง ที่ใต้ฐานเมฆ 1,000
ฟตุ เพอื่ เรง่ ใหก้ ลุม่ ฝนกตลงเร็วขนึ้
(2) แบบเมฆเย็น เป็นกรณที ่ียอดเมฆสูงมาจนถึงระดับเมฆเย็นหรือประมาณ 20,000 ฟุต
ดังทไี่ ด้กลา่ วไวแ้ ล้วิธีการคอื ใช้สารซิลเวอร์ไอโอไดดย์ ิงจากเครื่องบินที่ระดบั ความสงู ประมาณ 21,500
ฟตุ ทำใหไ้ อน้ำระเหยจากเมด็ นำ้ เยน็ ย่งิ ยวดมาเกาะตัวรอบแกนของสารเคมีทยี่ งิ กลายเป็นผลึกนำ้ แข็ง
จนกระทั่งตกลงมา และละลายเป็นเม็ดน้ำเมือ่ เข้าสู่ระดับเมฆอุ่น ทำให้ไอน้ำและเม็ดน้ำในเมฆอุ่นเข้า
มาเกาะรวมตัวเปน็ เม็ดใหญ่ข้นึ ทะลุฐานเมฆเปน็ ฝนตกลงสพู่ ื้นดิน
(3) แบบ Super Sandwich เป็นเทคนิคใหม่ที่ทรงคิดค้นขึ้นในปี พ.ศ. 2542 ด้วยน้ำ
พระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใยพสกนิกร และพระอัจฉริยภาพของพระองค์ ในช่วงสถานการณ์ภัยแล้ง
อย่างกว้างขวางสืบเนื่องยาวนานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 จากปรากฏการณ์ “เอล นิโน” ปฏิบัติการนี้
ใช้วิธีการแบบ Sandwich และแบบเมฆเย็นควบคู่กันในเวลาเดียวกัน จะทำให้ฝนตกหนัก
และต่อเนื่องยาวนาน ให้ปริมาณน้ำฝนสูงยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นประสานประสิทธิภาพของการโจมตี
เมฆอนุ่ และเมฆเยน็ ในเวลาเดียวกนั
คมู่ อื การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสงิ่ แวดลอ้ ม ฐานการเรียนรู้ “พระบิดาแหง่ เทคโนโลยไี ทย” หนา้ | 63
2.2 ประโยชนก์ ารทำฝนหลวง
(1) เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในการเกษตรในช่วงที่เกิดภาวะฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง
ยาวนานเพอ่ื เพม่ิ ปริมาณนำ้ ให้กับพนื้ ท่ลี ุ่มรับนำ้ ของแมน่ ำ้ สายตา่ ง ๆ
(2) เพือ่ แกป้ ัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการอปุ โภคบริโภค เสริมสร้างเสน้ ทางคมนาคมทาง
นำ้ เป็นการเพมิ่ ปรมิ าณน้ำ โดยเฉพาะในบริเวณแมน่ ำ้ ท่ตี ้นื เขนิ ให้สามารถใชเ้ ป็นเสน้ ทางคมนาคมได้
(3) เพื่อป้องกันและบำบัดภาวะมลพิษของสิ่งแวดล้อม “ฝนหลวง” ได้บรรเทาสภาวะ
สงิ่ แวดลอ้ มทีเ่ ปน็ พิษอันเกดิ มาจากการระบายน้ำเสยี และขยะมลู ฝอยลงสแู่ มน่ ำ้ เจ้าพระยา
ปรมิ าณน้ำฝนหลวงจะทำให้มลพษิ จากนำ้ เสียเจอื จางน้อยลง
(4) เพื่อเพ่มิ ปรมิ าณน้ำในเข่ือนภมู ิพลและเขอ่ื นสริ ิกิต์ิเพื่อผลติ กระแสไฟฟ้า
3. สาธติ การทดลองการสร้างเมฆ
คร้ังที่ 1 สร้างเมฆ โดยใช้แอลกอฮอล์
(1) เทแอลกอฮอล์ปริมาณ 10 มิลลิลิตร ลงในขวดพลาสตกิ
(2) กลิ้งขวดหมุนไปมาเพื่อให้แอลกอฮอล์สัมผัสผิวด้านในภายในขวดพลาสติก เพื่อนำให้
เกิดไอแอลกอฮอลใ์ นขวด
(3) ตัง้ ขวดในแนวต้ังตรง จับขวดใหม้ ัน่ ใชก้ ระบอกสูบลมท่ีมีจุกยางสูบดนั อากาศเข้าสู่ขวด
พลาสติก ประมาณ 20 ครั้ง
(4) ดงึ กระบอกสูบอย่างรวดเร็ว เมอ่ื ร้สู ึกว่าแนน่ จนดันไมเ่ ขา้
ครง้ั ที่ 2 สรา้ งเมฆ โดยใช้นำ้
(1) เทนำ้ สะอาด 10 มิลลลิ ติ ร ลงในขวดพลาสติก
(2) ตั้งขวดในแนวตั้งตรง จบั ขวดให้มั่น ใช้กระบอกสบู ลมท่มี จี ุกยางสูบดนั อากาศเข้าสู่ขวด
พลาสตกิ ประมาณ 20 ครั้ง
(3) ดงึ กระบอกสบู อยา่ งรวดเร็ว เมื่อรู้สึกวา่ แนน่ จนดนั ไม่เข้า
ครั้งท่ี 3 สร้างเมฆ โดยใช้อากาศภายในขวด
(1) ตั้งขวดในแนวตงั้ ตรง จบั ขวดใหม้ ัน่ ใชก้ ระบอกสบู ลมท่มี จี ุกยางสูบดนั อากาศเข้าสู่ขวด
พลาสติก ประมาณ 20 คร้ัง
(2) ดึงกระบอกสบู อยา่ งรวดเร็ว เมือ่ รสู้ ึกว่าแน่นจนดันไม่เข้า
4. การปฏบิ ตั ิการทดลองการสร้างเมฆ
ครั้งที่ 1 โดยใช้แอลกอฮอล์
จากการทดลองการสร้างเมฆโดยใช้แอลกอฮอล์ พบว่ามีควันเมฆเกิดขึ้น และในขณะที่อัด
อากาศเข้าไปในขวดพลาสติก ทำให้มีความดันสูงจนอุณหภูมิภายในขวดสูงขึ้น เกิดการระเหย
กลายเป็นไอ และเมื่อเรานำจุกยางออกย่างรวดเร็ว ก๊าซก็เกิดการขยายตัวอุณหภูมิภายในขวดลดลง
อย่างรวดเร็ว ทำให้อากาศภายในขวดเย็นลง ในช่วงนี้จะทำให้ไอน้ำควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำ
ไอแอลกอฮอลก์ ลน่ั ตัวเป็นหยดน้ำเลก็ ๆ ซง่ึ มลี กั ษณะเป็นเมฆลอยอยูใ่ นขวด
ค่มู อื การจัดกิจกรรมการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และส่ิงแวดลอ้ ม ฐานการเรียนรู้ “พระบดิ าแห่งเทคโนโลยไี ทย” หนา้ | 64
ครั้งที่ 2 โดยใชน้ ำ้
จากการทดลองการสร้างเมฆโดยใชน้ ้ำ พบว่ามีเมฆเกิดข้ึนเล็กนอ้ ย เนื่องจากน้ำมจี ดุ เดือด
ที่สูงกว่าแอลกอฮอล์ น้ำจึงระเหยได้ช้ากว่าแอลกอฮอล์ ไอน้ำที่ได้จะมองเห็นได้น้อยกว่านั่นเอง
และแอลกอฮอล์กก็ ลายเปน็ ไอได้เร็วกวา่ นำ้
ครงั้ ท่ี 3 โดยใช้อากาศภายในขวด
จากการทดลองการสร้างเมฆโดยใช้อากาศภายในขวดพบว่าทำให้เกิดเมฆ แต่เมฆนั้น
หายไปอย่างรวดเรว็ เพราะวา่ ความช้นื ในอากาศน้ันมีอยนู่ อ้ ยกวา่ ความช้นื ในแอลกอฮอลแ์ ละในน้ำ
สรปุ ผลการทดลองของผู้รับบริการ
จากการทดลองพบว่า การใช้แอลกอฮอล์มีผลต่อการทำให้เกิดเมฆได้ดีกว่าการใช้น้ำ
เนื่องจากน้ำมีจุดเดือดที่สูงกว่าแอลกอฮอล์ ระเหยได้ช้ากว่าแอลกอฮอล์ ไอน้ำที่ได้จะมองเห็นได้น้อย
กว่า และการใชอ้ ากาศภายในขวดจะทำใหเ้ กิดเมฆ แต่เมฆน้นั หายไปอย่างรวดเรว็ เพราะว่า ความช้ืน
ในอากาศนั้น มีอยู่น้อยกว่าความชื้นในแอลกอฮอล์และในน้ำ เมื่อใช้ลูกสูบอัดอากาศเข้าไปในขวด
พลาสติกที่มีแอลกอฮอล์ให้มีความดันสูง ๆ ทำให้อุณหภูมิภายในขวดสูงขึ้น เกิดการระเหยกลาย
เป็นไอ และเมื่อนำจุกยางออกย่างรวดเร็ว ทำให้ก๊าซเกิดการขยายตัว อุณหภูมิภายในขวดลดลง
อยา่ งรวดเร็ว อากาศภายในขวดจึงเยน็ ลง ทำใหไ้ อนำ้ เกดิ การควบแนน่ กลายเปน็ หยดนำ้ จะสังเกตเห็น
ไอแอลกอฮอล์กลนั่ ตัวเป็นหยดน้ำเล็ก ๆ มีลกั ษณะคล้ายเมฆลอยอยู่ในขวด น่ันคอื การจำลองการเกิด
เมฆในขวด ซึ่งการเกิดเมฆ เกิดจากการที่ไอน้ำในอากาศ เกิดการควบแน่นในอากาศ รวมตัวกันด้วย
อณูเล็ก ๆ ของแกนกลั่น เช่น ฝุ่น ละอองที่ลอยอยู่ในอากาศ เป็นตัวช่วยให้เกิดการรวมตัวกัน
ของไอน้ำที่เพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นก้อนเมฆขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้าง เมฆ เป็นกลุ่มละอองน้ำที่เกิด
จากการควบแน่น ซึ่งเกิดจากการยกตัวของกลุ่มอากาศ (Air parcel) ผ่านความสูงเหนือระดับ
ควบแน่น และมีอุณหภูมิลดต่ำกว่าจุดน้ำค้าง ตัวอย่างการเกิดเมฆที่เห็นได้ชัด ได้แก่ “คอนเทรล”
(Contrails) ซึ่งเป็นเมฆที่สร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์ เมื่อเครื่องบินไอพ่นบินอยู่ในระดับสูงเหนือระดับ
ควบแน่น ไอน้ำซึ่งอยู่ในอากาศร้อนที่พ่นออกมาจากเครื่องยนต์ ปะทะเข้ากับอากาศเย็น
ซึ่งอยู่ภายนอก เกิดการควบแน่นเป็นหยดน้ำ โดยการจับตัวกับเขม่าควันจากเครื่องยนต์ซึ่งทำหน้าท่ี
เป็นแกนควบแน่น เราจึงมองเห็นควันเมฆสีขาวถูกพ่นออกมาทางท้ายของเครื่องยนต์เป็ นทางยาว
ในการสร้างฝนหลวง (ฝนเทียม) ก็เช่นกัน เครื่องบินทำการโปรยสารเคมี “ซิลเวอร์ไอโอไดด์” (Silver
Iodide) เพอ่ื ทำหนา้ ทเี่ ป็นแกนควบแน่น เพื่อใหไ้ อนำ้ ในอากาศมาจับตวั และควบแน่นเปน็ เมฆนั่นเอง
ค่มู ือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดลอ้ ม ฐานการเรียนรู้ “พระบิดาแหง่ เทคโนโลยีไทย” หน้า | 65
แบบประเมินความพงึ พอใจของผู้รับบรกิ ารในการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
ฐานการเรยี นรู้ พระบดิ าแหง่ เทคโนโลยีไทย เรอื่ ง สรา้ งเมฆตามรอยพ่อ
คำช้ีแจง กรุณาตอบแบบสอบถามโดยทำเครือ่ งหมาย หรอื เติมข้อความ ในช่องว่างตามความ
เป็นจรงิ เพอื่ ใช้เปน็ ขอ้ มลู ในการพฒั นาและปรบั ปรงุ การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
ตอนท่ี 1 ขอ้ มูลท่วั ไป
1. เพศ ชาย หญงิ
2. อายุ ตำ่ กว่า 11 ปี 11 – 20 ปี 21 - 30 ปี
31 – 40 ปี 41 – 50 ปี 51 ปี ข้นึ ไป
3. ประเภทผูร้ บั บริการ
นกั เรียน/นักศกึ ษาในระบบ นักเรยี น/นกั ศกึ ษานอกระบบ
ประชาชนทั่วไป อน่ื ๆ ระบ.ุ ............................
4. ระดับการศกึ ษา
ประถมศกึ ษา มธั ยมศึกษาตอนตน้
มธั ยมศึกษาตอนปลาย อาชีวศกึ ษา
ปรญิ ญาตรี สูงกวา่ ปริญญาตรี
ตอนท่ี 2 ความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนรู้และการใหบ้ รกิ าร
ระดับความพึงพอใจ
รายการ มากท่ีสดุ มาก ปานกลาง น้อย นอ้ ยทีส่ ดุ
(5) (4) (3) (2) (1)
ด้านความรคู้ วามเขา้ ใจ
1. ความรูค้ วามเขา้ ใจในเร่อื งนี้ ก่อน การจัดกิจกรรม
2. ความรูค้ วามเขา้ ใจในเร่อื งน้ี หลัง การจัดกจิ กรรม
ดา้ นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1. รปู แบบ/กระบวนการจัดกิจกรรม
2. กจิ กรรมที่จัดเหมาะสมกบั ผ้รู ับบริการ
3. สาระความรูท้ ี่ไดร้ ับ
4. ส่อื การเรยี นรู้/แหล่งเรียนรู้
5. การมสี ว่ นรว่ มของผรู้ บั บริการ
6. ระยะเวลาในการจดั กจิ กรรม
7. สามารถนำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์
8. การจดั บรรยากาศเออ้ื ต่อการเรียนรู้
ตอนที่ 3 ขอ้ เสนอแนะเพิม่ เติม………..…………………………………………………………………………….………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขอขอบคุณสำหรบั ความรว่ มมือในการตอบแบบประเมินความพงึ พอใจ
ศูนย์วิทยาศาสตร์เพือ่ การศึกษาพระนครศรีอยธุ ยา
ค่มู ือการจัดกิจกรรมการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิง่ แวดล้อม ฐานการเรียนรู้ “พระบดิ าแห่งเทคโนโลยไี ทย” หน้า | 66
7
7
4321
1.
2. ความสะอาด
เรียบร้อย
สวยงาม
3.
4.
คมู่ ือการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดลอ้ ม ฐานการเรยี นรู้ “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีไทย” หนา้ | 67
แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเรยี นรขู้ องผู้รับบรกิ าร
ชอ่ื โครงการ/กิจกรรม........................................................................................................................
ชื่อโรงเรยี น/สถานศกึ ษา ……………………………………………………………………………………………………..
ชื่อหัวหน้าโครงการ/กจิ กรรม.............................................................................................................
คำชี้แจง ให้ผู้ประเมินทำเครื่องหมายถูก () ลงในช่องระดับพฤติกรรมของผู้รับบริการ โดยมี
เกณฑร์ ะดับคณุ ภาพการประเมนิ ดังนี้
5 มีพฤติกรรมการเรยี นรู้ มากท่ีสุด
4 มีพฤติกรรมการเรยี นรู้ มาก
3 มีพฤติกรรมการเรียนรู้ ปานกลาง
2 มีพฤติกรรมการเรยี นรู้ น้อย
1 มีพฤติกรรมการเรียนรู้ นอ้ ยทสี่ ุด
เกณฑ์การพิจารณาระดับคุณภาพ
คะแนนเฉลย่ี ร้อยละ 0 - 50 ระดับคณุ ภาพ ปรบั ปรงุ
พอใช้
คะแนนเฉลี่ยรอ้ ยละ 51 - 69 ระดับคณุ ภาพ ดี
ดมี าก
คะแนนเฉลย่ี ร้อยละ 71 - 79 ระดับคณุ ภาพ ดเี ยย่ี ม
คะแนนเฉล่ียร้อยละ 80 - 89 ระดับคณุ ภาพ
คะแนนเฉลย่ี ร้อยละ 90 - 100 ระดบั คุณภาพ
พฤติกรรมการเรียนรู้ ระดบั พฤติกรรม
54321
1. ความต้ังใจในการทำงาน
2. ความรบั ผิดชอบ
3. ความกระตอื รอื ร้น
4. การตรงต่อเวลา
5. ผลสำเร็จของงาน
6. การทำงานร่วมกับผอู้ ่ืน
7. มีความคดิ ริเรมิ่ สร้างสรรค์
8. มกี ารวางแผนในการทำงาน
9. การมีสว่ นร่วมในการแสดงความคดิ เหน็ ในกลุม่
10. การมสี ่วนร่วมในการแกไ้ ขปัญหาในกลุ่ม
ลงช่ือ......................................................................ผปู้ ระเมนิ
............../.............................../.....................
คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และส่งิ แวดล้อม ฐานการเรยี นรู้ “พระบดิ าแหง่ เทคโนโลยีไทย” หน้า | 68
บรรณานกุ รม
๙ นทิ ศั นร์ าชภัฏ มหาวิทยาลยั ราชภัฎวไลยอลงกรณ์. (ม.ป.ป.). โครงการพระราชดำรแิ กม้ ลิง
คน้ เมือ่ 26 กรกฎาคม 2564 จาก http://learn.vru.ac.th/king/KaemLingProject.php
กรมฝนหลวงและการบนิ เกษตร. (ม.ป.ป.). โครงการพระราชดำรฝิ นหลวง. คน้ เมือ่ 15 กรกฎาคม
2564 จาก https://www.royalrain.go.th/royalrain/Editor_Page.aspx?MenuId=15
คณะอนกุ รรมการการสง่ เสรมิ การขับเคล่ือนการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
ในภาคการเกษตรและชนบท. (2558). สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพ่อื ประสานงาน
โครงการอันเน่ืองมาจากพระราชดำริ (กปร.). คู่มือการขบั เคลอ่ื นการพัฒนาตามปรชั ญา
ของเศรษฐกจิ พอเพียงในภาคการเกษตรและชนบท และด้านความมั่นคง. กรุงเทพ : หา้ ง
หนุ้ สว่ นจำกัด อรณุ การพิมพ์, ค้นเม่อื 20 กรกฎาคม 2564.
จริ าภรณ์ ปกรณ์ คลงั ความรู้ SciMath. (2560). สังเกตเมฆ คน้ เม่ือ 20 กรกฎาคม
2564 จาก https://www.scimath.org/article-science/item/7574-2017-10-17-02-
04-19
ณฐั ดนยั เนียมทอง คลังความรู้ SciMath. (2561). วธิ กี ารทำเมฆแบบงา่ ยๆ สามารถ
ทำไดด้ ว้ ยตัวเอง. คน้ เมื่อ 20 กรกฎาคม 2564 จาก https://www.scimath.org/article-
chemistry/item/7752-2017-12-04-06-35-46
พอเพยี ง. (2564). โครงการพระราชดำริฝนหลวง. คน้ เมื่อ 18 กรกฎาคม 2564 จาก
https://www.porpeang.org
มูลนธิ ปิ ิดทองหลังพระ.(2555). สบื สานแนวพระราชดำริ สถาบันส่งเสรมิ และพฒั นากิจกรรม
ปดิ ทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดำร.ิ คน้ เมอื่ 15 กรกฎาคม 2564. จาก
http://www.pidthong.org/knowledge-detail.php?id=14&parent_id=1#.YMn0
rmgzaUk
มลู นธิ ปิ ดิ ทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ สถาบนั ส่งเสริมและพฒั นากจิ กรรมปิดทองหลงั พระ
สบื สานแนวพระราชดำร.ิ (ม.ป.ป.). ฝนหลวง: พระราชดำริเพอ่ื แกไ้ ขปัญหาน้ำแล้ง.
ค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2564 จาก http://www.pidthong.org/knowledge-
detail.php?id=7&parent_id=1#.YSpWsY4plPa
มลู นิธมิ ่นั พฒั นา. (2559). TSDF มลู นธิ ิม่ันพฒั นา. ค้นเม่ือ 19 กรกฎาคม 2564. จาก
http://tsdf.nida.ac.th/th/royally-initiated-projects/10886%E0%B9%82%E0%B8
%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%
E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A1%
E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B8%9E%E0%B8%A8-2538/
ศูนยก์ ารเรียนรวู้ ทิ ยศาสตรโ์ ลกและดาราศาศตร์. (2555). เมฆ. ค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2564
จาก http://www.lesa.biz/earth/atmosphere/cloud
คู่มอื การจดั กจิ กรรมการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสง่ิ แวดลอ้ ม ฐานการเรียนรู้ “พระบดิ าแห่งเทคโนโลยีไทย” หนา้ | 69
ส่งเสริมและพัฒนากจิ กรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดาริ, สถาบัน. (2558).
โครงการพัฒนาแก้มลงิ หนองเลิงเปอื ย จงั หวดั กาฬสินธุ์ มหากาพย์แหง่ ความรว่ มมือ.
กรุงเทพฯ : หา้ งหนุ้ ส่วนจากดั อรณุ การพิมพ์, ค้นเมื่อ 22 กรกฎาคม 2564.
สว่ นประสานการพฒั นาพ้นื ที่ตามพระราชดำริ สำนกั นโยบายและแผน สำนักงานปลัดกระทรวง
มหาดไทย. (2557). แนวทางการดำเนนิ งานตามแผนพฒั นาชนบทเชงิ พนื้ ท่ีประยกุ ต์ตาม
พระราชดำร.ิ กรุงเทพฯ : บริษัท พิมพ์ดีการพิมพ์ จำกัด, ค้นเม่อื 23 กรกฎาคม
สำนกั บรรณสารสนเทศ มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช. (2538). ห้องสมดุ มสธ.
ค้นเมอ่ื 20 กรกฎาคม 2564. จาก https://library.stou.ac.th/odi/king-sage-of-
water/page4.html
อุทยานหลวงราชพฤกษ์. (2564). โครงการแก้มลิง. คน้ เม่ือ 22 กรกฎาคม 2564. จาก
https://www.royalparkrajapruek.org/Knowledge/view/210
National Geographic. (2564). ทำความรจู้ กั กับ “เมฆ” แตล่ ะประเภท.
ค้นเมือ่ 20 กรกฎาคม 2564 จาก https://ngthai.com/environment/2949/type-
clouds/
Realist update ขา่ วอสังหาฯ / ขา่ วคมนาคม. (2560). เปดิ ตำรา การทำฝนหลวง.
ค้นเมอ่ื 20 กรกฎาคม 2564 จาก http://www.realist.co.th
คู่มือการจัดกจิ กรรมการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสง่ิ แวดล้อม ฐานการเรยี นรู้ “พระบิดาแหง่ เทคโนโลยไี ทย” หน้า | 70
คณะผู้จดั ทำ
ทป่ี รกึ ษา รกั ษาการในตำแหน่ง
ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะดา้ นสง่ เสริมมาตรฐานการศกึ ษานอกโรงเรยี น
นางรุ่งอรณุ ไสยโสภณ ครู รักษาการในตำแหน่ง
ผอู้ ำนวยการศูนยว์ ทิ ยาศาสตรเ์ พือ่ การศึกษาพระนครศรีอยุธยา
นางอญั ชรา หวงั วรี ะ
ครชู ำนาญการพเิ ศษ
ผู้จดั ทำ ครชู ำนาญการพเิ ศษ
ครู
นางอญั ชรา หวังวรี ะ ครู
นางสาวขวัญกมล แกว้ คง ครูผู้ชว่ ย
นางสาวขวัญอิสรา ทองโคตร พนักงานนำชมระดับ ส2/หัวหน้า
นางเสาวนีย์ เสระพล นักวชิ าการเงินและบญั ชี
นางสาวทพิ วรรณ ผ่านเมือง นกั วชิ าการพสั ดุ
นายสมชาย แก้วเขยี ว นกั วเิ คราะหน์ โยบายและแผน
นางสาวศริ วิ รรณ ศิริทรัพย์ เจ้าพนกั งานธรุ การ
นางประพฒั สร พนั ธุ์ธนโสภณ นกั วิชาการวทิ ยาศาสตร์ศึกษา
นายอานนท์ ดษิ ฐ์จาด นักวิชาการวิทยาศาสตร์ศึกษา
นางสาวกมลชนก ตะสารกิ า นกั วิชาการวิทยาศาสตรศ์ ึกษา
นายอนกุ ลู เมฆสุทศั น์ นักวชิ าการวทิ ยาศาสตรศ์ ึกษา
นางสาวปรางคแ์ ก้ว แหลมสุข นกั วชิ าการวิทยาศาสตร์ศึกษา
นายเดชา พูลสวัสดิ์ นกั วิชาการวิทยาศาสตรศ์ ึกษา
นายณฐั วฒุ ิ รอตเกษม
นายฐาปนิก ผาสกุ ะกุล ครูผชู้ ว่ ย
นายวฒั นา สรุ ยิ ะ นักวิชาการวิทยาศาสตร์ศึกษา
ผู้สรปุ และผู้เขยี นรายงาน รักษาการในตำแหนง่
ผูเ้ ช่ียวชาญเฉพาะด้านสง่ เสริมมาตรฐานการศกึ ษานอกโรงเรียน
นางสาวทพิ วรรณ ผ่านเมือง ครชู ำนาญการพเิ ศษ
นายณัฐวุฒิ รอตเกษม ครผู ู้ชว่ ย
บรรณาธิการกจิ ครูผ้ชู ว่ ย
นักวิชาการวิทยาศาสตร์ศึกษา
นางรุ่งอรุณ ไสยโสภณ
นางอญั ชรา หวงั วรี ะ
นางสาวทิพวรรณ ผ่านเมือง
ออกแบบปกและรูปเลม่
นางสาวทิพวรรณ ผ่านเมอื ง
นายณฐั วุฒิ รอตเกษม
คูม่ อื การจัดกจิ กรรมการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และส่งิ แวดลอ้ ม ฐานการเรียนรู้ “พระบดิ าแห่งเทคโนโลยไี ทย” หนา้ | 71
เอกสารลำดบั ที่ 11/2564
จดั พิมพ์โดยศูนย์วทิ ยาศาสตร์เพื่อการศึกษาพระนครศรีอยธุ ยา อำเภอพระนครศรอี ยุธยา
จงั หวัดพระนครศรอี ยธุ ยา โทร 035 – 352558 โทรสาร 035 – 352559