The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 611011284, 2022-03-05 22:40:15

วันฉัตรมงคล

วันฉัตรมงคล

วันฉัตรมงคล

วันที่ ๔ พฤษภาคม

ตราสั ญลักษณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒

ตราสัญลักษณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ ประกอบด้วยอักษรพระปรมาภิไธย วปร อยู่ตรงกลาง

ฟื้นอักษรสีขาวขอบเดินทอง อันเป็นสีของวันจันทร์ซึ่งเป็นวันพระบรมราชสมภพ ภายในอักษรประดับเพชรตามความ
หมายแห่งพระนามมหาวซิราลงกรณอักษร วปร อยู่บนพื้นสีขาบ (น้ำเงินเข้ม) อันเป็นสีของขัตติยกษัตริย์ภายใน
กรอบพุ่มข้าวบิณฑ์สีทองสอดสีเขียว อันเป็นสีซึ่งเป็นเดชแห่งวันพระบรมราชสมภพ กรอบทรงพุ่มข้าวบิณฑ์อัญเชิญ
มาจากกรอบที่ประดิษฐานพระมหาอุณาโลมอันเป็นพระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
จุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ แวดล้อมด้วยเครื่องเบญจราชกกุรภัณฑ์ อันเป็นเครื่อง
ประกอบพระบรมราชอิสริยยศของพระมหากษัตริย์และเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราช
ได้แก่ พระมหาพิชัยมงกุฎพร้อมอุณาโลมประกอบเลขมหามงคลประจำรัชกาล อยู่เบื้องบนพระแสงขรรค์ชัยศรีกับ
พระแสจามรี ทอดไขว้อยู่เบื้องขวา ธารพระกรกับพัดวาลวิชนี ทอดไขว้อยู่เบื้องซ้าย และฉลองพระบาทเชิงงอนอยู่
เบื้องล่าง พระมหาพิชัยมงกฎหมายถึงทรงรับพระราชภาระอันหนักยิ่งของแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขของประชาทน
พระแสงชรรค์ชัยศรีหมายถึงทรงรับพระราชภาระปกป้องแผ่นดินให้พ้นจากภยันตรายธารพระกรหมายถึงทรงดำรง
ราชธรรมเพื่อค้ำจุนบ้านเมืองให้ผาสุกมั่นคงพระแส้จามรีกับพัดวาลวิชนีหมายถึงทรงขจัดปัดเป่าความทุกข์ยากเดือด
ร้อนของอาณาประชาราษฎร์ ฉลองพระบาทเชิงงอนหมายถึงทรงทำนุบำรุงปวงประชาทั่วรัฐสีมาอาณาจักรเบื้องหลัง
พระมหาพิชัยมงกุฎประดิษฐานพระมหาเศวตฉัตรอันมีระบายขลิบทอง จงกลยอดฉัตรประกอบรูปพรหมพักตร์อัน
วิเศษสุด ระบายชั้นล่างสุดห้อยอุบะจำปาทองแสดงถึงพระบารมีและพระบรมเดชานุภาพที่ปกแผ่ไปทั่วทิศานุทิศ
เบื้องล่างกรอบอักษรพระปรมาภิไธยมีแถบแพรพื้นสีเขียว ถนิมทอง ขอบขลิบทอง มีอักษรสีทองความว่า "พระราช
พิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒" ปลายแถบแพรเบื้องขวามีรูปคซสีห์กายม่วงอ่อนประคองฉัตร ๗ ชั้น หมาย
ถึงข้าราชคารฝ่ายทหารเบื้องซ้ายมีรูปราชสีห์กายขาวประคองฉัตร ๗ ชั้นหมายถึงข้าราชคารฝายพลเรือนผู้ปฏิบัติ
ราชการสนองงานแผ่นดินอยู่ด้วยกันข้างคันฉัตรด้านในทั้งสองข้างมีดอกลอยกนกนาคแสดงถึงปีมะโรงนักษัตรอัน
เป็นปีพระบรมราชสมภพ สีทองหมายถึงความเจริญรุ่งเรืองยิ่งของประเทศชาติและประชาชน

4 พฤษภาคม วันฉัตรมงคล เป็นวันสำคัญที่พสกนิกรชาวไทยรำลึกถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่ง
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกอบพระ
ราชพิธีบรมราชาภิเษก เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 10 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์และราช
อาณาจักรไทยอย่างสมบูรณ์ตามโบราณราชประเพณี เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พุทธศักราช 2562 ในพระราชพิธี
บรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พุทธศักราช2562 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ
ถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์และเครื่องราชูปโภคต่าง ๆ เครื่องราชกกุธภัณฑ์ หมายถึง เครื่องหมายแห่งความเป็น
พระราชาธิบดี ประกอบด้วย พระมหาเศวตฉัตร พระมหาพิชัยมงกุฎ พระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกร วาลวิชนี
และฉลองพระบาทเชิงงอน พระมหาเศวตฉัตร เป็นฉัตร 9 ชั้น หุ้มผ้าขาวมีระบาย 3 ชั้น ขลิบทองแผ่ลวด มียอด
ชั้นล่างสุดห้อยอุบะจำปาทอง พระมหาพิชัยมงกุฎ ทำด้วยทองลงยาประดับเพชรพระแสงขรรค์ชัยศรี เป็น
พระแสงราชศัสตราวุธประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ ด้ามและฝักทำด้วยทองลงยาประดับอัญมณี ธารพระกร
ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ปิดทอง หัวและส้นเป็นเหล็กคร่ำลายทอง ที่สุดส้นเป็นส้อมสามง่าม วาลวิชนี ลักษณะเป็น
พัดใบตาล ที่ใบตาลปิดทองทั้ง 2 ด้าน ขอบขลิบทองคำ ด้ามทำด้วยทองลงยาคู่กับพระแส้จามรี และฉลอง
พระบาทเชิงงอน ทำด้วยทองทำลงยาราชาวดีฝังเพชร

ด้วยพระราชปณิธานอันแน่วแน่ ในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้แก่พสกนิกร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการแก่ปวงชนชาวไทย “ เราจะสืบสาน รักษา และ
ต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป ” และทรงตั้งพระราช
สัตยาธิษฐานจะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจปกครองราชอาณาจักรไทยโดยทศพิธราชธรรมจริยา

ความสำคัญของวันฉัตรมงคล

ฉัตรมงคลปี 2564 นี้ ตรงกับวันอังคารที่ 4 พฤษภาคม ถือเป็นวันฉลองพระเศวตฉัตรปีแรกของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันและเป็นวันรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหา
กษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี วันฉัตรมงคล คือวันฉลองพระเศวตฉัตรในอดีตมีบันทึกเกี่ยวกับพระราชพิธี
ฉัตรมงคลเป็นงานหลวงครั้งแรกในวันที่ 15 พฤษภาคม 2393 ซึ่งเป็นการฉลองพระเศวตฉัตรของ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) จากแต่เดิมพิธีนี้ถือเป็นงานส่วนตัวของพระมหา
กษัตริย์ที่จัดขึ้นในเขตพระราชฐานและมีพระราชดำริว่าควรสมโภชพระมหาเศวตฉัตรให้เป็นสวัสดิมงคล
แก่ราชสมบัตินับจากรัชสมัยของพระองค์วันฉัตรมงคลก็ได้ถูกระบุเป็นวันนักขัตฤกษ์มงคลนับแต่นั้นมา

ตามธรรมเนียมเดิม พระราชพิธีฉัตรมงคลที่จัดขึ้นในเดือน 6 ตามปฏิทินไทยซึ่งตรงกับเดือน
พฤษภาคมตามปฏิทินสากลเจ้าพนักงานทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายในมีหน้าที่รักษาเครื่องราชูปโภคและพระ
ราชนิเวศน์จะทำพิธีสมโภชเป็นการฝ่ายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรับบรม
ราชาภิเษกเมื่อวันพุธ เดือน 12 แรม 12 ค่ำ ปีมะโรงสัมฤทธิศก จ.ศ.1230 ตรงกับวันที่ 11 พฤศจิกายน
พ.ศ.2411 แต่ยังคงให้จัดพระราชพิธีฉัตรมงคลในเดือน 6 ตามแบบอย่างในรัชกาลที่ 4 ต่อมา จนกระทั่ง
เมื่อประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ 2 ในวันอาทิตย์ เดือน 12 แรม 12 ค่ำ ปีระกาเบญจศก
จ.ศ.1235 ตรงกับวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ.2416 พระองค์โปรดเกล้าฯพระราชทานเครื่องราช
อิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าแก่พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการที่ได้รับพระราชทานพานทองด้วย ในปี
ต่อมาจึงย้ายเวลาจัดพระราชพิธีฉัตรมงคล จากเดือน 6 มาทำในเดือน 12 และเรียกว่า “การสมโภชพระ
มหาเศวตฉัตร” มีการจัดพระราชพิธีรวม 4 วัน ในเดือน 12 แรม 10 ค่ำ ถึงแรม 13 ค่ำ

พระราชพิธีฉัตรมงคลนั้นเป็นพิธีจัดสมโภชเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระบรมมหาราชวัง เจ้าพนักงาน
อัญเชิญเครื่องมงคลสิริเบญจราชกกุธภัณฑ์ขึ้นประดิษฐานบนพระแท่นใต้พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร จาก
นั้นพระราชครูหัวหน้าพราหมณ์อ่านประกาศพระราชพิธีฉัตรมงคล พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์เย็น
สำหรับเครื่องสิริเบญจราชกกุธภัณฑ์ ประกอบด้วย

1. พระมหาพิชัยมงกุฎ

พระมหาพิชัยมงกุฎทำด้วยทองลงยาประดับเพชร มีค่าสำคัญเท่ากับราชกกุธภัณฑ์อื่นภาย
หลังประเทศไทยติดต่อกับประเทศในทวีปยุโรปจึงนิยมตามราชสำนักยุโรปที่พระมหากษัตริย์
สวมมงกุฎจากนั้นมาจึงถือเป็นสิ่งสำคัญพระมหากษัตริย์จะทรงสวมพระมหาพิชัยมงกุฎในพระ
ราชพิธีบรมราชาภิเษก

2. พระแสงขรรค์ชัยศรี

พระแสงขรรค์ชัยศรีเป็นพระแสงราชศัสตราวุธประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ ใบพระขรรค์เป็นของ
เก่า เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์(แบน) ให้ข้าราชการจากเมืองพระตะบองนำมาทูลเกล้าฯ ถวายพระบาท
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อพุทธศักราช ๒๓๒๗และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้
ทำด้ามและฝักขึ้นด้วยทองลงยาประดับอัญมณีใช้เป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในการพระราชพิธีบรม
ราชาภิเษก เมื่อพุทธศักราช ๒๓๒๘

3. ธารพระกร

รัชกาลที่ 1 โปรดให้สร้างธารพระกรจากไม้ชัยพฤกษ์ปิดทอง หัวและส้นเป็นเหล็กคร่ำลายทอง
ที่สุดส้นเป็นส้อมสามง่าม เรียกว่า ธารพระกรชัยพฤกษ์ ภายหลังรัชกาลที่ 4 โปรดให้สร้างด้วย
ทองคำ ภายในมีพระเสน่า ยอดมีรูปเทวดา เรียกว่า ธารพระกรเทวรูป มีลักษณะเป็นพระแสงดาบ
มากกว่า ครั้งถึงรัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ธารพระกรชัยพฤกษ์ในการพระราชพิธี
บรมราชาภิเษกสืบมาจนถึงรัชกาลที่ 9

4. วาลวิชนี

วาลวิชนี หรือ พัดและแส้ รัชกาลที่ 1 โปรดให้สร้างขึ้น พัดเป็นใบตาลปิดทองทั้ง 2 ด้าน ขอบ
ขลิบทองคำ ด้ามทำด้วยทองลงยา ต่อมารัชกาลที่ 4 ทรงพระราชดำริให้เรียกตามภาษาพระบาลีว่า
“วาลวิชนี” เป็นเครื่องโบกทำด้วยขนหางจามรีและขนหางช้างเผือกในเวลาต่อมาเป็นเครื่องราช
กกุธภัณฑ์ใช้ควบคู่กับพัดใบตาล

5. ฉลองพระบาทเชิงงอน

ฉลองพระบาทเชิงงอน เป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตามแบบอินเดียโบราณ ทำด้วยทองคำลงยา
ราชาวดีฝังเพชรและพราหมณ์เป็นผู้สวมถวายในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกหลังจากจบพิธีสงฆ์
ทหารบก และทหารเรือยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติ ฝ่ายละ 21 นัด และมีพิธีพระราชทานเครื่องราช
อิสริยาภรณ์แก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และผู้ทำความดีให้แก่ชาติ ศาสนา และพระมหา
กษัตริย์

พระราชประวัติ

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาท
สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระ
ราชสมภพเมื่อวันจันทร์ที่ 28 ก.ค.2495 ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิตได้รับพระราชทาน
พระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ

ทรงมีพระเชษฐภคินี คือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และ
พระขนิษฐา 2 พระองค์ คือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ
สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช
เจ้าฟ้ามหาวิชราลงกรณสยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2515 ขณะนั้นทรงเจริญ
พระชนมายุ 20 พรรษานับเป็นกระบวนการสืบราชสันตติวงศ์ที่ชัดเจนตามกฎมณเฑียรบาลว่า
ด้วยการสืบสันตติวงศ์ พ.ศ.2467

การศึกษา

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงเริ่มการศึกษาที่โรงเรียน
จิตรลดาแล้วเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาต่อในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนคิงส์มีด
แคว้นซัสเซกส์ และศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนมิลฟิลด์ แคว้นซอมเมอร์เซท สหราช
อาณาจักร

หลังจากนั้นทรงศึกษาต่อวิชาทหารที่โรงเรียนคิงส์ นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ทรง
สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาอักษรศาสตร์ ด้านการทหาร จากมหาวิทยาลัยนิวเซาธ์
เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย

หลังจากทรงสำเร็จการศึกษาได้เสด็จฯ นิวัติประเทศไทย ทรงศึกษาต่อสาขาวิชานิติศาสตร์
รุ่นที่ 2 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

ทรงผนวช

วันที่ 6 พ.ย.2521 ทรงผนวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
โดยมีสมเด็จพระสังฆราช วาสนมหาเถร วัดราชบพิธ เป็นพระราชอุปัธยาจารย์ ถวายพระสมณนามว่า
วชิราลงฺกรโณ ประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อครบ 15 วัน ทรงลาผนวช

พระราชกรณียกิจ

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทน
พระองค์มาโดยตลอด เพื่อแบ่งเบาพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ทั้งในการพระราชพิธีสำคัญ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เกษตรกรไทย และพระราชพิธีทางศาสนาต่าง ๆ
นอกจากนี้ได้โดยเสด็จสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินไปแปรพระราชฐาน
ประทับแรมตามภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย โดยทรงติดตามความก้าวหน้าด้านการชลประทาน การ
สร้างเขื่อนต่างๆ และพระราชทานแนวพระราชดำริให้กรมชลประทานแก้ปัญหาตามที่ชาวบ้าน
กราบทูล ส่งให้ราษฎรมีน้ำใช้ในการเกษตรอย่างอุดมสมบูรณ์และช่วยบรรเทาปัญหาอุทกภัยในฤดูฝน

ด้านการแพทย์และสาธารณสุข
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรทรงตระหนักว่าสุขภาพพลานามัยอันดีของ

ประชาชนเป็นปัจจัยสำคัญของการสร้างสรรค์ทรัพยากรบุคคล จึงทรงสนพระราชหฤทัยในการประกอบพระรา

ชกณียกิจ เช่น เมื่อรัฐบาลได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่งทั่วประเทศ

พระองค์ก็ได้ทรงพระอุตสาหะเสด็จฯ ไปทรงประกอบพิธีเปิดโรงพยาบาลทุกแห่งและทรงเยี่ยมโรงพยาบาล

อย่างสม่ำเสมอรวมทั้งพระราชทานพระราชทรัพย์สนับสนุนให้มีอุปกรณ์การแพทย์ เครื่องมือเครื่องใช้ที่ทัน

สมัย

ด้านการศึกษา


ทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชทรัพย์ร่วมสนับสนุนให้กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ก่อตั้งโรงเรียน

มัธยมศึกษาในถิ่นทุรกันดาร 6 แห่ง ทรงรับโรงเรียนไว้ในพระราชูปถัมภ์ พระราชทานวัสดุอุปกรณ์การศึกษาที่ทัน

สมัย เช่น คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ วิดีทัศน์ และในด้านการอุดมศึกษา พระองค์ได้ทรงพระกรุณาเสด็จฯ แทน

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชไปพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตของมหาวิทยาลัยต่างๆ

ทรงจัดตั้งโครงการทุนการศึกษาพระราชทานด้วยทรงมีพระราชปณิธานในการสร้างโอกาสทางการ
ศึกษาแก่เยาวชนไทย และในปี 2553 มีพระราชดำริให้จัดตั้งมูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทาน สมเด็จ
พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารขึ้น โดยทรงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ ซึ่งที่ผ่านมา
นักเรียนทุนพระราชทานทุกรุ่นเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า มีอัตราสูงกว่าร้อยละ 97
โดยผู้ได้รับทุนพระราชทานไม่มีภาระผูกพันที่ต้องใช้ทุนคืน และเมื่อจบการศึกษา ทรงเปิดโอกาสให้
สมัครเข้าถวายงานเป็นข้าราชบริพารในพระองค์ได้ตามความสมัครใจ

ด้านสั งคมสงเคราะห์
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรทรงพระกรุณาห่วงใยการพัฒนาคุณภาพ
ชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนที่ด้อยโอกาส ได้เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมชุมชนแออัดของกรุงเทพฯ
หลายแห่ง เช่น ชุมชนแออัดพระโขนง เขตคลองเตย เขตยานนาวา พระราชทานพระราชทรัพย์
สนับสนุนโครงการของชุมชน เช่น โครงการพัฒนาเด็กเล็กที่ขาดแคลน โครงการปราบปรามยาเสพติด

ด้านการต่างประเทศ
ทรงเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระ
นางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไปทรงเยือนมิตรประเทศทั่วทุกทวีป เช่น ประเทศอิตาลี สาธารณรัฐ
ประชาชนจีน ญี่ปุ่น อิหร่าน เนปาล สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา สาธารณรัฐเปรู
ออสเตรเลีย สิงคโปร์ นอกจากจะมุ่งเจริญสัมพันธไมตรีแล้ว ยังทรงสนพระราชหฤทัยในการทอด
พระเนตรและศึกษากิจการต่างๆ ที่จะทรงนำประโยชน์มาใช้ในการพัฒนาประเทศไทย เช่น เสด็จฯ ไป
ทรงเยี่ยมชมกิจการทหาร ศิลปวัฒนธรรม อุตสาหกรรมและความเป็นอยู่ของประชาชน

ด้านเกษตรกรรม

ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อส่งเสริมกิจการด้านเกษตรกรรม เช่น เสด็จฯ แทนพระองค์ในการ
พระราชพิธีพืชมงคล

ด้านพระศาสนา

ทรงเสด็จฯ แทนพระองค์ไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจทางศาสนาเป็นประจำสม่ำเสมอ เช่น ทรงเปลี่ยน
เครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตามฤดูกาล รวมถึงการเสด็จ
พระราชดำเนินไปในการพระราชทานถ้วยรางวัล การทดสอบการอัญเชิญพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านระ
ดับประเทศ

ด้านการต่างประเทศ

ทรงเสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระ
นางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ไปทรงเยือนมิตรประเทศทั่วทุกทวีป เช่น ประเทศอิตาลี สาธารณรัฐ
ประชาชนจีน ญี่ปุ่น อิหร่าน เนปาล สาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา สาธารณรัฐเปรู
ออสเตรเลีย สิงคโปร์ นอกจากจะมุ่งเจริญสัมพันธไมตรีแล้ว ยังทรงสนพระราชหฤทัยในการทอด
พระเนตรและศึกษากิจการต่างๆ ที่จะทรงนำประโยชน์มาใช้ในการพัฒนาประเทศไทย เช่น เสด็จฯ ไป
ทรงเยี่ยมชมกิจการทหาร ศิลปวัฒนธรรม อุตสาหกรรมและความเป็นอยู่ของประชาชน

ด้านเกษตรกรรม

ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อส่งเสริมกิจการด้านเกษตรกรรม เช่น เสด็จฯ แทนพระองค์ในการ
พระราชพิธีพืชมงคล

ด้านการกีฬา
ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ทั้งในผู้แทนพระองค์และในส่วนของพระองค์เอง เช่น พระราชทานไฟพระ
ฤกษ์กีฬาเยาวชนแห่งชาติ พระราชทานพระราชวโรกาสให้นักกีฬาไทยเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาทรับ
พระราชทานรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยม

ด้านการทหาร
ทรงสนพระราชหฤทัยในวิทยาการด้านการทหารมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ นอกจากทรงรับการ
ศึกษาด้านการทหารจากประเทศออสเตรเลียแล้ว ยังทรงพระวิริยะอุตสาหะเพิ่มพูนความรู้และ
ประสบการณ์อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในด้านวิทยาการการบิน ทรงรับราชการทหารมาโดยตลอด
ตั้งแต่วันที่ 9 ม.ค.2518 และทรงดำรงพระยศทางทหารของ 3 เหล่าทัพ คือ พล.อ. พล.ร.อ. พล.อ.อ.
โดยทรงเข้าร่วมปฏิบัติการรบในการต่อต้านการก่อการร้ายในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียง
เหนือ รวมทั้งการคุ้มกันพื้นที่ในบริเวณรอบค่ายผู้อพยพชาวกัมพูชา ที่เขาล้าน จ.ตราด อีกทั้งยัง
เสด็จพระราชดำเนินไปในพิธีการด้านทหาร อาทิ งานวันราชวัลลภ

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถใน
การปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานับประการด้วยความวิริยะอุตสาหะ มุ่งมั่นตั้งใจอย่างไม่เห็นแก่ความ
เหน็ดเหนื่อย พระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ ทั้งที่ทรงปฏิบัติแทนพระองค์และทรงปฏิบัติในส่วน
พระองค์เองล้วนเป็นไปเพื่อประเทศชาติให้มีความเจริญก้าวหน้ามั่นคงและเพื่อประชาชนชาวไทยได้
มีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

อดุลย์ แป้นโคตร ผู้จัดทำ ที่มา : https://news.thaipbs.or.th/content/258223


Click to View FlipBook Version