The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Laksamon Panuay, 2022-09-22 07:31:12

51436CB4-B62B-493E-9B04-A747D6C42CBA

51436CB4-B62B-493E-9B04-A747D6C42CBA

UP SKILLS ITEM

CONTENTS
โครงสร้างของใบพืช

PAGE

01 โครงสร้างภายนอก 1-9
(ลักษณะของใบ, ลักษณะวิสัย)

02 โครงสร้างภายใน 10-16

(ลักษณะและโครงสร้างของพืช C3 และ C4)

03 เอกสารเพิ่มเติม 17-18

PAGE 01

ลักษณะวิสัย
ของพืช

PAGE 02

ไม้พุ่ม (SHRUBS)

พืชที่มีลำต้นขนาดกลาง ลำต้นแข็งมีเนื้อไม้
แตกกิ่งก้านสาขาใกล้ระดับดิน ทำให้ลำต้นเป็นพุ่ม
มักจะไม่เห็นส่วนที่เป็นลำต้นชัดเจน ขนาดของไม้พุ่ม
จะอยู่ระหว่าง herb และ tree เช่น ชาฮกเกี้ยน ,
พุดศุภโชค

ไม้ต้น (TREE) PAGE 03

พืชขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีเนื้อไม้ ลำต้นแข็ง เห็นส่วนลำต้นตั้งตรง
ชัดเจน มักจะมีการแตกกิ่งก้านสาขาตอนบนๆ ของลำต้น เรียกส่วนนี้ว่า
เรือนยอด มีอายุยืนนานหลายปี ลำต้นจะขยายขนาดทั้งด้านกว้างและ
ความสูงไปเรื่อยๆ เช่น ต้นมะม่วง ขนุน จามจุรี เป็นต้น

PAGE 04

ไม้เลื้อย (CLIMBER)

พืชที่ไม่สามารถทรงตัวตั้งตรงอยู่ได้ ต้องอาศัย “หลัก”
(supporter) ยึดเกาะเกี่ยวพัน ส่วนของลำต้นมักจะทอด
ขนานยาวพันกับหลักหรือพันกับต้นไม้อื่น การพันอาจจะ
อาศัยอวัยวะพิเศษ เช่น มือเกาะ (tendril) หรือรากเกาะ
(climbing root) หรือ อาศัยลำต้น พันรอบหลัก (twiner)
หรือมีหนามงอเหมือนขอ (hook) ไม้เลื้อยมีทั้งพวกที่ลำต้น
อ่อน ไม่มีเนื้อไม้ (herbaceous climber) และพวกที่ลำต้น
แข็งมีเนื้อไม้ (woody climber) มักจะเป็นไม้เถาขนาดใหญ่
มีชื่อเฉพาะเรียกว่า “Liane” เช่น เถากะไดลิง สะบ้า เป็นต้น

PAGE 05

ไม้รอเลื้อย (SCANDENT)

ได้แก่ ไม้พุ่มบางชนิด ถ้ามีหลักอยู่ใกล้ๆ ปลายกิ่งก็จะ เลื้อยพันหลัก
มีสภาพเป็นไม้เลื้อย แต่ถ้าไม่มีหลักอยู่ใกล้ๆ ก็จะทรงตัวอยู่ได้เป็นไม้พุ่ม
จึงเรียกพืชที่มีลักษณะวิสัยเช่นนี้ว่า scandent หรือไม้รอเลื้อย เช่น
เฟื่ องฟ้า ,สายหยุด ,การเวก

PAGE 06

ไม้ล้มลุก (HERB)

พืชที่มีขนาดเล็ก ลำต้นอ่อน มีเนื้อเยื่อที่ให้ความแข็งแรง
แก่ลำต้นน้อย อายุการเจริญเติบโตสั้น ลำต้นอ่อนนุ่ม
ไม้ล้มลุกจะตายเมื่อหมดฤดูของการเจริญเติบโต ได้แก่
ชวนชม พริก บานชื่น ดาวกระจาย เป็นต้น

PAGE 07

ลักษณะของ
ใบเลี้ยงเดี่ยวและใบเลี้ยงคู่

PAGE 08

พืชใบเลี้ยงเดี่ยว
(MONOCOTYLEDON)




พืชที่เมื่อใบแรกแทงออกมาจากเมล็ด มีใบเดียว
และเมื่อเติบโตขึ้นจะเห็นลำต้นเป็นข้อปล้องอย่างชัดเจน
ได้แก่ พืชจำพวกหญ้า ข้าว ข้าวโพด อ้อย ไผ่ พืชเหล่านี้จะ
มีใบเรียงตัวเป็นเลขคี่หรือใบเดียว เส้นบนใบจะเรียงตัว
แบบขนานไปตามแนวยาวของใบ ลำต้นมักเรียว และเป็น
พืชล้มลุกเป็นส่วนมาก พืชในกลุ่มนี้มีระบบรากฝอย

PAGE 09

พืชใบเลี้ยงคู่
(DICOTYLEDON)




พืชใบเลี้ยงคู่จะงอกออกจากเมล็ดพร้อมกับใบเลี้ยง 2 ใบ
และเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้วจะเห็นข้อและปล้องในส่วนของ
ลำต้นไม่ชัดเจน เนื่องจากมันมักจะมีเปลือกแข็งห่อหุ้ม และยังมี
การเจริญเติบโตออกด้านข้าง มีกิ่งก้านสาขา แผ่ทุกทิศทางเพื่อ
เก็บเกี่ยวแสงแดดได้มากกว่า รากของพืชใบเลี้ยงคู่เป็นระบบ
รากแก้ว และนั่นทำให้ต้นของพืชใบเลี้ยงคู่มีความมั่นคง
มากกว่า ทั้งยังมีอายุยาวนานกว่าพืชใบเลี้ยงเดี่ยว

PAGE 10

ลักษณะของพืช C3
และ พืช C4

PAGE 11

พืช C3

พืช C3 เป็นพืชที่มีระบบการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์
ด้วย Calvin Cycle เพียงอย่างเดียว จะเห็นได้ว่าใน
Calvin Cycle สารอินทรีย์ตัวแรกที่เกิดขึ้นจากการตรึง
คาร์บอนไดออกไซด์คือ PGA จึงเป็นสารที่มีคาร์บอน 3
อะตอม เราจึงเรียกพืชกลุ่มนี้ว่า พืช C3

พืช C3 นี้เป็นพืชกลุ่มใหญ่ที่สุด มีจำนวนชนิดมากว่า
พืช C4 พืชที่เป็นพืช C3 ได้แก่ ข้าว ข้าวสาลี ถั่ว เป็นต้น

PAGE 12

พืช C4

พืช C4 มักเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในเขตศูนย์สูตร เช่น
ข้าวโพด อ้อย และบานไม่รู้โรย

พืช C4 ปรับตัวโดยมีการตรึง CO2 2 ครั้ง ครั้งแรก เกิดขึ้น
ที่มีโซฟิลล์ (Mesophyll) มีการตรึงCO2 จากบรรยากาศเข้า
สู่มีโซฟิลล์ใช้ Phosphoenolpyruvate(PEP:C3) เป็นสาร
ตั้งต้น และโดยใช้เอนไซม์ PEPCarboxylase เป็นเอนไซม์
เร่งปฏิกิริยา ได้ Oxaloacetate (OAA: C4) แล้วเปลี่ยนเป็น
Malate (C4) แล้ว Malate กลับไปเป็น PEP เพื่อให้ได้ CO2
ออกมา

PAGE 13

โครงสร้างภายในของใบพืช C3 และ พืช C4

จ C3 พ C4

มีเซลล์ในชั้น MESOPHYLL 2 ชนิด เซลล์ MESOPHYLL ติดกับ BUNDLE
คือ PALISADE MESOPHYLL และ SHEATH มี PLASMODESMATA เชื่อม
SPONGY MESOPHYLL และพบ
CHLOROPLAST ใน MESOPHYLL ระหว่างเซลล์ทั้ง 2
ทั้ง 2 ชนิดอย่างชัดเจน และ BUNDLE พบ CHLORORPLAST ในเซลล์
MESOPHYLL และ BUNDLE SHEATH
SHEATH อาจมีหรือไม่มีก็ได้
หากมีจะไม่พบ CHLOROPLAST อย่างชัดเจน

ใน BUNDLE SHEATH

เอพิเดอร์มิส PAGE 14
มีโซฟิลล์
เป็นเนื้อเยื่อผิว มีทั้งด้านบน(upper) และด้านล่าง(lower) ประกอบด้วยเซลล์
เพียงชั้นเดียวหรือหลายชั้น ได้แก่ เซลล์ผิว เซลล์ขน หรือเปลี่ยนไปเป็น
เซลล์คุม (guard cell) ภายในเซลล์ผิวมักไม่ค่อยมีคลอ โรพลาสต์หรือมีน้อย
ยกเว้นเซลล์คุม เซลล์ผิวมีคิวทินเคลือบอยู่ที่ผนังเซลล์ด้านนอกเพื่อป้องกัน
การระเหยของน้ำ เซลล์คุมมีรูปร่างคล้ายไตหรือเมล็ดถั่ว 2 เซลล์ประกบกัน

แพลิเซดมีโซฟิลล์
มักพบอยู่ใต้ชั้นเอพิเดอร์มิสด้านบน ประกอบด้วย เซลล์รูปร่างยาว เรียงตัว

เป็นแถวตั้งฉากกับผิวใบคล้ายรั้ว อาจมีแถวเดียวหรือหลายแถว ภายในเซลล์มี
คลอโรพลาสต์ค่อนข้างหนาแน่นมาก
สปองจีมีโซฟิลล์

อยู่ถัดจากแพลิเซดมีโซฟิลล์ลงมาจนถึงชั้นเอพิเดอร์มิสด้านล่าง ประกอบด้วย
เซลล์ที่มีรูปร่างไม่แน่นอนเรียงตัวในทิศทางต่างๆกัน ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเซลล์
มาก ภายในเซลล์มีคลอโรพลาสต์หนาแน่นแต่น้อยกว่าแพลิเซดมีโซฟิลล์

วาสคิวลาร์บันเดิล มัดท่อลำเลียง ประกอบด้วยท่อลำเลียงน้ำ (xylem) และท่อลำเลียงอาหาร
(phloem)

PAGE 15

ภาพโครงสร้างภายในของใบพืช c3 และ c4

ตารางความแตกต่างของพืช C3 และ พืช C4 PAGE 16

รายละเอียด พืช C3 พืช C4

โครงสร้างของ mesophyll 2 ชั้น : Palisade และ Spongy ไม่แยกเป็นชั้น

Chloroplast ใน bundle sheath ไม่พบ พบ

Photorespiration สูง ต่ำ หรือแทบไม่เกิดเลย

จำนวนครั้งการตรึง CO2 1 ครั้ง 2 ครั้ง

สารตั้งต้น RuBP PEP และ RuBP

เอนไซม์ Rubisco ครั้วที่ 1 : PEP carboxylase
ครั้งที่ 2 : Rubisco

สารตัวแรกที่เสถียร PGA (C-3 อะตอม) OAA (C-4 อะตอม)

บริเวณที่เกิดการตรึง CO2 Mesophyll 1.mesophyll
2.Bundle sheath

PAGE 17

เอกสารเพิ่มเติม

PAGE 18

QR Code

คู่มือการใช้แอพ วิธีการ cross-section ใบกิจกรรม ส่งใบกิจกรรม

ผู้สอน PAGE 19

น า ง ส า ว ณั ฏ ฐ นิ ช อ ยู่ ส า ย บั ว น า ง ส า ว จ า รุ ว ร ร ณ พุ่ ม พ ว ง น า ง ส า ว ณั ฐ น รี ย ง บุ ต ร น า ง ส า ว ลั ก ษ ม ณ ป า น อ่ ว ย
เ ล ข ที่ 4 เ ล ข ที่ 3 เ ล ข ที่ 5 เ ล ข ที่ 1 7


Click to View FlipBook Version