กวีนพิ นธใ์ นปจั จบุ นั
1. ฉันทลักษณ์ ความเปลี่ยนแปลงในสมัยรัชกาลที่ 5 ยังไม่ชัดเจน แต่กวี
เร่ิมใช้รูปแบบฉันทลักษณ์น้อยกว่าในอดีต เช่น ไม่นิยมการแต่ง ฉันท์ ลิลิต
ฯลฯ เพราะแต่งยาก ฉันทลักษณ์ท่ีนิยมแต่งมากที่สุดคือกลอนแปด เพราะ
แต่งง่ายกว่าร้อยกรองชนิดอื่น ๆ ขนบนิยมการแต่งกลอน ก็นิยมสัมผัสในท่ี
แพรวพราวตามแบบสนุ ทรภู่
ความคล่ีคลายในด้านฉันทลักษณ์ของกวีนิพนธ์ในปัจจุบันที่เห็นได้ชัด
มี 3 ประการ คือ
1.1 มีการนาทานองกลอนของเพลงพื้นบ้านมาแต่ง ท้ังเพลงฉุยฉาย
เพลงกลอ่ มเด็ก กลอนดอกสร้อย เพลงร้องเล่น มาประยกุ ตใ์ หม้ ีเน้อื หาเพ่ือ
ชีวิตและสะท้อนให้เห็นค่านิยมสมัยใหม่ เช่น เพลงจันทร์เจ้าที่ ประสิทธิ์
มุสกิ เกษม นามาแปลงเนอ้ื ใหมว่ า่
จนั ทร์เจา้ ขอขา้ วราดแกง
ขอขึ้นค่าแรง ใหก้ ับพอ่ ขา้
ขอเสือ้ ผา้ ใหน้ อ้ งสกั ชดุ
ขอสมดุ ใหน้ ้องได้เขยี น
ขอหนงั สอื เรยี น ใหน้ ้องไดอ้ ่าน
ขอมงี าน ให้ขา้ ทาเลยี้ งชพี
ขอเรง่ รีบ แกไ้ ขดว้ ยเถิด
ขออยา่ เกิด ความทกุ ขย์ ากกว่านเี้ อย
1.2 ไม่เคร่งครัดในฉันทลักณ์ตามแบบแผนนัก เช่น จานวนคาอาจจะ
มากกว่าหรือน้อยกว่าที่กาหนด ไม่นิยมสัมผัสในแพรวราวอย่างสุนทรภู่
แต่เพียงคงสัมผัสนอกบางครั้ง ร้อยกรองร่วมสมัยบางบทมีลักษณะคล้าย
ร้อยกรองปนรอ้ ยแก้ว อาศัยเสียงสัมผสั เช่อื มโยงแตล่ ะวรรคเท่าน้ันทร่ี ู้ว่าเป็น
ร้อยกรอง นอกจากน้ีสังเกตได้ว่า ร้อยกรองที่นิยมแต่งในปัจจุบันคือกาพย์
ยานีและกลอนแปด แต่ส่วนมากมักไม่อาจบอกได้ว่าเป็นร้อยกรองชนิดใด
เพราะแต่ละวรรคมีจานวนคาไม่แน่นอน ต้ังแต่ 2-8 คา สัมผัสระหว่างวรรค
ก็ไม่ตายตวั ที่สาคญั คอื ไม่มสี ัมผัสระหวา่ งบท เชน่ กวีนิพนธข์ องเอ่ียม เกยี รติ
บุญญาฤทธ์ิ
ท่มี หาวทิ ยาลัย
ประชาธิปไตยกาลังเบง่ บาน
พอ่ ซัมเมอรน์ ้ี ลูกไมก่ ลบั บา้ น
จะไปช่วยงาน
เผยแพร่ประชาธปิ ไตย
ท่ีบา้ นนา
นา้ ตาพ่อไหล
ควายคูส่ ุดท้ายกาลงั ถกู ยดึ ไป
ก่อนประชาธิปไตยจะมา
ลักษณะการประพันธ์ร้อยกรองอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือกลอนของ
วัฒน์ วรรลยางกูร ซึ่งมักแต่งกลอนส่ีหรือกลอนหกท่ีใช้คาเรียบง่าย แต่
ลงน้าหนักคาท้ายด้วยคาเดียวกัน เพ่ือเน้นเน้ือความเป็นการละเล่ นคา
ในลกั ษณะทนี่ า่ สนใจ ดังบทกวี “กล้วยหาย”
บา้ นฉนั อย่ซู อย ชื่อซอยต้นกล้วย
ข้างบ้านมลี งิ ลิงชอบกนิ กลว้ ย
ลงิ อยใู่ นสวน สวนไมม่ กี ลว้ ย
ก่อนนอนทุกวนั ฉนั ชอบกินกล้วย
ซื้อมาหวใี หญ่ แขวนไวก้ ินกล้วย
เช้าออกทางาน ทางานแลกกลว้ ย
กลบั มาตอนเยน็ ไม่เห็นมีกล้วย
ตาลายทอ้ งหวิ ฉันหิวหากลว้ ย
คน้ หาเห็นลิง ลิงถือหวกี ล้วย
ฉนั โมโหลงิ เตะลงิ แยง่ กล้วย
โมโหเสยี แย่ มแี ต่เปลือกกล้วย
ฉันรคู้ วามจรงิ ลงิ เปลา่ กินกล้วย
เพ่ือนบ้านหลายคน เหน็ คนลกั กล้วย
เป็นคนขดุ ดิน ไมช่ อบกินกล้วย
ลูกเลก็ ของเขา กินขา้ วบดกล้วย
เขาเปน็ คนจน จนไม่กนิ กล้วย
ลกู เล็กหวิ นัก เขาจงึ ลักกลว้ ย
1.3 การสร้างฉันทลักณ์แบบใหม่ข้ึน
ตัวอย่างท่ี 1 บทหนึ่งมี 2 วรรค วรรคละ 10 คา คาสุดท้ายของวรรค
ในแต่ละบทมีเสียงสัมผัสกัน แต่ละบทเป็นอิสระในตัวเอง ไม่ต้องมีการเข้า
ลิลิตหรือสัมผัสระหว่างบท การแบ่งช่วงจังหวะการอ่านในแต่ละวรรคไม่
แนน่ อน แล้วแตใ่ จความ บางวรรคอ่านได้ช่วงเดียว บางวรรคอ่านได้ 2-3 ช่วง
ดังตวั อย่างกวีนพิ นธเ์ รื่อง “อานาจกับความสบาย” ดังนี้
อานาจเปน็ ความใฝ่ฝันของลกู ผู้ชาย สาหรบั ลกู ผู้หญิงความจริงทส่ี วยสบาย
ใครมีอานาจคนนน้ั กม็ แี ตค่ วามสุข สว่ นใครท่ีสบายคนน้ันกห็ ายทกุ ข์
ท้งั ชายหญิงในความจริงของทกุ วนั น้ี ตา่ งกเ็ ปลา่ เปลย่ี วเหลียวที่หวงั ไมม่ ี
ผชู้ ายสูบบุหรก่ี นิ เหล้าเมากนั หงาเหงอะ ผหู้ ญงิ เอาแต่แตง่ หนา้ ทาปากเลอะเทอะ
แตล่ ะคนอยากโตใหญเ่ พราะได้โอกาส หนทางหากนิ คล่องทุกช่องเปน็ ไม่พลาด
อดุ มคติอดุ มการณล์ ้วนงานของคนงั่ง สาหรบั คนฉลาดนะ่ หรอื ขอให้ช่ือดงั
ชวี ติ ทุกคนวนั นีไ้ มค่ ่อยมีทห่ี มาย หดหู่ส้นิ หวังทั้งผ้หู ญิงและผ้ชู าย
ลอตเตอร่ีจึงมีชุกทกุ แห่งทกุ หน เหลา้ ยาบุหรซ่ี อ่ งของหนีไม่พ้น
หนงั สอื น้าเนา่ หายเศรา้ อา่ นแล้วสขุ ใจ โรงหนงั กต็ ั้งหนา้ ฉายแตก่ าลังภายใน
อานาจเป็นความใฝ่ฝนั ของลกู ผู้ชาย สาหรบั ผู้หญิงความจริงทสี่ วยสบาย
ตัวอย่างที่ 2 แบบที่ 2 บทหนึ่งมี 3 วรรค วรรคละ 5-7 คา คา
สุดท้ายของแต่ละวรรคสัมผัสกัน แต่ไม่มีการส่งสัมผัสระหว่างบท ช่วงการ
อ่านขึ้นอยู่กับข้อความ แต่โดยมากมีเพียงช่วงจังหวะเดียว เพราะในแต่ละ
วรรคใชค้ าน้อย ดังตวั อย่างกวีนพิ นธ์ “หญิงชรายงั ไมไ่ ดข้ ้ามถนน”
หญงิ ชรารอขา้ มถนน
ถนนเตม็ ไปดว้ ยรถยนต์
และแกไม่อาจข้ามพ้น
แกยืนรอ ๆ รี ๆ
ไม่รจู้ ะทาอย่างไรดี
ถนนมแี ต่รถราขับขี่
เดก็ หนุ่มบอกรอตรงไฟแดง
แกร้สู ึกวา่ หมู นั แปรง่
เพราะไมเ่ ขา้ ใจแจม่ แจง้
แกเดนิ ตามทเี่ ขาชไ้ี ป
เดินไปคอ่ นข้างไกล
แลว้ หยุดอย่กู ลางกลมุ่ คนใหญ่
สัมภาระทตี่ ิดตัวมา
เปน็ กระบุงและตะกร้า
ซงึ่ ทาให้แกดชู กั ช้า
เม่ือสญั ญาณไฟเขียวบอก
ทุกคนที่ยนื มุงพงุ่ ตวั ออก
แกทาไม่เป็นเพราะคนบ้านนอก
แกอกึ อกั เงิ่น ๆ งก ๆ
เลยถกู เขาชนตะกร้าตก
จงึ ก้มลงเกบ็ เข้าของท่หี ก
พอเก็บเสรจ็ เรียบรอ้ ย
หญิงชราก็ต้องคอย
สญั ญาณข้ามถนนเปล่ียนบอ่ ย
คนทยอยมารวมกนั อกี
แกจาต้องทาตวั ปลีก
เหมือนว่ากาลงั หลบหลกี
แกกลัวข้าวของจะหาย
ต้องมองขวามองซ้าย
ลมื ดูสญั ญาณเพราะตาลาย
จนเด๋ยี วนีห้ ญิงชรายังไมไ่ ด้ขา้ มถนน
ครับ แกยนื อยตู่ รงนัน้ ขา้ มไม่พ้น
2. กลวธิ นี าเสนอ
2.1 มีการใช้สัญลักษณ์ เช่น ในกลอนเปล่า “สวนดอกไม้” ของ จ่าง
แซ่ตงั้ “ดอกไม้” เปน็ สญั ลักษณก์ ินความกวา้ งถงึ เยาวชนทมี่ จี ติ ใจบริสุทธ์ิ
เม่ือดอกไมอ้ อกดอกในสวน
ทกุ ทุกดอกออกงดงามร่วมกนั
ทกุ ทุกดอกกไ็ ด้ทาหนา้ ท่ีของตน
ทุกทุกดอกกไ็ มเ่ คยเป็นห่วงที่
จะเสยี สละ หรือคดโกงคนอ่นื
เพราะทุกทุกดอกมโี อกาสได้รับ
ความงามอันย่ิงใหญ่ กว้างใหญร่ ่วมกัน
เมอื่ สวนน้ันดอกไม้ออกดอกยิง่ กว้างใหญ่
2.2 การใชภ้ าพพจนเ์ หนือจรงิ เช่น กวีนิพนธ์ “วักทะเล” ดงั นี้
วักทะเลเทใส่จาน รบั ประทานกบั ข้าวขาว
เออื้ มเก็บบางดวงดาว ไวค้ ลุกเคลา้ ซาวเกลอื กนิ
เต้นราทาเพลงวังเวงส้นิ
ดูปหู อยเริงระบา ไปกินตะวันและจนั ทร์
กิ้งกา่ กิ้งกือบนิ
2.3 การต้ังคาถาม เป็นการตัง้ คาถามตอ่ ผอู้ ่าน ส่วนคาตอบบางคร้ังก็
ตอบให้ บางครั้งก็ถามโดยไม่ต้องการรู้คาตอบ เพราะคาตอบเป็นท่ีรู้กันดีอยู่
แล้ว เชน่ กวีนิพนธ์ “ทาไม”
เคยไหม ว่าวุ่นหว่ันไหวสับสน
วา่ เหว่แม้อยูใ่ นหมู่คน จับตน้ ชนปลายไม่ไดเ้ ลย
แลว้ ก็ให้ตอบไวว้ า่
คาตอบก็คอื ความสับสน
ทาไมหรือ เดินผา่ นเดนิ ชนกนั ไป
เกิดมาแลว้ อยใู่ นหม่คู น ตา่ งคนต่างก็คว้าไขว่
ตา่ งคนตา่ งกแ็ สวงหา เหยยี ดกนั อาศยั อยูบ่ นดิน
แยง่ อาหารแยง่ ลมหายใจ
2.4 ใช้การเล่าเรื่องปนบทสนทนาหรือเป็นบทสนทนาล้วน ๆ ดังเช่นกวี
นิพนธ์ “แม่ของอ้อย” ดงั น้ี
ออ้ ยบอกกับแมว่ า่ “แม่จา๋ แม่” คณุ หนยุ่ แกนัดหนไู ปดูหนงั
ใหห้ นไู ปนะคะนะ่ สกั ครั้ง ไมล่ าพังหรอกเพ่อื นไปเหมือนกัน
แมห่ ้ามออ้ ย “อย่าไปไม่ดีหรอก ชาวบ้านตรอกเรานท่ี จี ะหยัน
พวกปากยาวสาวไสใ้ ครทัง้ นนั้ จะสาคัญผดิ ลูกดถู ูกเอา
และแม่มธี ุระจะไปดว้ ย ลกู อ้อยช่วยอยู่บ้านแมว่ านเฝา้ ”
ออ้ ยรบั คาขรมึ ขรมึ อยา่ งซึมเซา มองแมค่ วา้ กระเปา๋ ก้าวเดินไป
พอแมพ่ ้นประตูบา้ นไมน่ านนัก ออ้ ยคกึ คักเข้าห้องหน้าผอ่ งใส
นุง่ “มนิ ”ิ สีแดงเหมือนแสงไฟ ลงกระไดเจด็ ขั้นอย่างทนั ที
เจอคุณหนุ่ยหนา้ มนแฟนคนโก๋ รีบมาโอโ๋ อบจนอ้อยต้องถอยหนี
พร้อมกับพูดกระเส่าอยา่ งเซ้าซี้ “ไปหาท่ีคุยกนั สักวนั นะ”
โก๋หนุ่มพรอดอดหนอ่ ยออ้ ยใจอ่อน จะไปนอนโฮเตล็ เปน็ กิจจะ
แต่พอกา้ วไปโอยตายละ พบแมก่ ะเจา้ มะกันตรงบนั ได
2.5 ใช้คาพูดมากกว่าภาษาเขียน ได้แก่ การใช้คาสแลง ใช้ภาษา
ก้าวร้าว บางครั้งรุนแรงและหยาบคาย ในเร่ืองการใช้ภากวีนิพนธ์ในปัจจุบัน
จึงต่างไปจากอดีตมาก เพราะปัจจุบันไม่เน้นแสดงสุนทรียภาพด้านความ
ไพเราะหรือคาท่ีประดิษฐ์ขึ้นเป็นพิเศษ แต่ต้องเป็นภาษาท่ีสื่อความหมายได้
ตรงเป้า และอาจแสดงความรุนแรงสัมพันธ์กับความคิด ฉะน้ันจึงอาจจะใช้
ถ้อยคาก้าวร้าวหรือคาไม่สุภาพ และมักเป็นถ้อยคาท่ีใช้กันในชีวิตประจาวัน
มากกว่าคาทีค่ ัดเลอื กมาอย่างพเิ ศษ เช่นกวนี พิ นธ์ “ทสี่ ุด” ดังน้ี
ทุกข์กสู ิทุกขเ์ หลอื พวกมึงเถือกูไปทง้ั สิ้น
สบู เลือดดงั เหลือบรน้ิ แมแ้ ผน่ ดนิ ยังไรค้ รอง
กูสดุ ทางชีวิต จะถูกผิดก็ขอลอง
ดว้ ยชพี และมอื สอง รว่ มผองกูคือคนจน
ทุกเหล่าหมู่จะกู้คน
มวลชนจะลุกสู้ ถงึ กูจนก็คนไท
สิน้ หมดความอดทน เลือดของมงึ จะรนิ ไหล
เพราะอกในมีแต่แคน้
แล้ววันกูมาถงึ ดว้ นตระกลู กลู ้างแคน้
กจู ะผลาญพวกจังไร ดนิ แดนกเู หลา่ คนจน
โลกเก่าจะพลนั สญู
โลกใหม่จะเหมอื นแมน้
3. เน้ือหาและแนวคิด
เน้ือหาและแนวคิดเป็นส่ิงท่ีสอดคล้องกัน โดยเน้ือหาและแนวคิดของ
ร้อยกรองปัจจุบันแบ่งได้เป็น 2 พวกใหญ่ๆ คือ พาฝันและก้าวหน้า พวก
พาฝันได้แก่กลอนท่ีแสดงความรู้สึกอารมณ์ส่วนตัว โดยเฉพาะเร่ืองความรัก
ทั้งสุขสมและเศร้า ส่วนเน้ือหาและแนวคิดแบบก้าวหน้า มีชื่อเรียกหลายชื่อ
เช่น ร้อยกรองเพื่อนชีวิต ร้อยกรองมวลชน คือร้อยกรองท่ีกวีมองข้ามจาก
ตนเองออกไปสู่ผู้อ่ืนและสังคมรอบตัว ผู้เขียนใช้ร้อยกรองเป็นส่ือส่งสาร
บางอย่างแก่ผู้อ่าน อาจเป็นภาพสะท้อน การปลุกเร้าเชิญชวน การร้องขอ
แต่จุดประสงค์ในเนื้อหาร้อยกรองประเภทน้ีเป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนส่วน
ใหญ่ ไมใ่ ชส่ ว่ นตวั