หลักสูตสู ร การผลิต น้ำ หอม โครงการพัฒ พั นาการเรีย รี นรู้สู่ผลิต ลิ ภัณ ภั ฑ์ทางวิท วิ ยาศาสตร์ ประจำ ปีการศึก ศึ ษา 2566 โดย นายอนิวัต วั ต์ ตั้ง ตั้ ธีร ธี โชติกุล ตำ แหน่ง ครู วิท วิ ยฐานะครูชำ นาญการพิเศษ โรงเรีย รี นเทศบาลวัด วั อุปนัน นั ทาราม สังสักัดกัเทศบาลเมือมืงระนอง จังจัหวัดวัระนอง เทีย ที นหอม ก้านไม้หอม
หลักสูตรการผลิตน ้าหอม ก้านไม้หอม และเทียนหอม โครงการพัฒนาการเรียนรู้สู่ผลิตภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ โดย นายอนิวัตต์ ตั งธีรโชติกุล การผลิตน ้าหอม 5 Levels Perfume ระดับ ความเข้มข้นของน ้าหอม ศาสตร์แห่งการแต้มกลิ่นให้ชวนหลงใหลทีละสเต็ป เวลาเลือกน ้าหอม เชื่อว่าสิ่งที่ทุกคนให้ความส้าคัญมาเป็นอย่างแรกเลยคือ ‘กลิ่น’ ถ้ากลิ่นถูกใจแล้ว แพคเกจจิ ง สวยแล้ว ก็ตัดสินใจซื อเลย และสิ่งส้าคัญที่คนส่วนใหญ่มักมองข้ามก็คือ ระดับ ความเข้มข้นของน ้าหอม หลังจากที่คุณได้เลือกประเภทกลิ่นที่ชอบได้แล้ว คุณก็ยังต้องเลือกประเภทของ ความเข้มข้นของ น ้าหอม เพื่อให้เหมาะกับการใช้งาน ซึ่งน ้าหอมจะมีความเข้มข้นอยู่ด้วยกัน 5 ประเภท ดูจากเปอร์เซ็นน ้าหอม เช่น หากต้องการฉีดน ้าหอมไปงานก็ควรเลือกประเภทที่กลิ่นติดทนนาน เป็นต้น นอกจากนี ยิ่งน ้าหอมมีความเข้มข้น มากเท่าไหร่ ระยะเวลาในการติดนานก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ น แถมราคาก็ยังแพงขึ นอีกด้วย 1. Parfum (หรือ Perfume) ระดับความเข้มข้นของน ้าหอม 15-40% ถ้าคุณอยากจะซื อของขวัญชิ นพิเศษให้ตัวเองหรือคนที่คุณรักแล้วล่ะก็ เราแนะน้าให้ซื อประเภท Parfum เพราะ เปอร์เซ็นความเข้มข้นที่สูงที่สุด และราคาแพง ท้าให้เหมาะส้าหรับช่วงเวลาพิเศษอย่างยิ่ง นอกจากนั น Parfum เป็นประเภทน ้าหอมที่เหมาะส้าหรับการท้างาน ออกเดท หรือในวันที่ต้องอยู่ข้างนอกนาน ๆ เพราะกลิ่นจะอยู่ได้ถึง 6-8 ชั่วโมง โดยไม่ต้องมานั่งเติมบ่อย ๆ เพียงแค่ฉีด 2-3 ครั ง ก็รับประกันได้ว่าอยู่ติดทนนานทั งวันแน่นอน 2. Eau de Parfum ระดับความเข้มข้นของน ้าหอม 15-20% Eau de Parfum ที่เป็นความเข้มข้นระดับ 2 ในลิสต์ของเรา จะสามารถอยู่ได้ถึง 4-5 ชั่วโมง หลังจากการ ฉีดครั งแรก เหมาะส้าหรับการไปเที่ยวปาร์ตี งานแต่งงาน หรือกิจกรรมยามเช้าหรือเที่ยงที่เราสามารถกลับมาเติม กลิ่นได้ 3. Eau de Toilette ระดับความเข้มข้นของน ้าหอม 5-15% Eau de Toilette เป็นกลิ่นที่มีคนซื อเยอะมากที่สุด เนื่องจากราคาที่น่าคบหาและผลิตภัณฑ์ที่มีให้เลือก เยอะมากมายในท้องตลาด น ้าหอมประเภทนี สามารถอยู่ได้ 2-3 ชั่วโมง แปลว่าต้องเติมระหว่างวันเพื่อจะให้กลิ่น ติดตัวเราตลอดเวลา เหมาะส้าหรับการออกไปท้ากิจกรรมเวลาสั น ๆ เช่น อีเวนท์ ดินเนอร์ ดูหนัง หรือประชุม 4. Eau de Cologne ระดับความเข้มข้นของน ้าหอม 2-4% Eau de Cologne (แต่อย่าสับสนกับ Cologne ของผู้ชาย) ระดับความเข้มข้นนี อย่างมากที่สุดอยู่ได้เพียง 1-2 ชั่วโมง เพราะเหตุผลนี ถึงไม่เหมาะกับการฉีดในเวลากลางวัน เพราะคุณแทบไม่มีเวลามานั่งเติมบ่อย ๆ แต่ด้วย
ความที่ต้องเติมบ่อย ๆ กลิ่นที่ไม่แรงมากในระดับนี จึงเหมาะส้าหรับคนที่ไม่ชอบให้มีกลิ่นน ้าหอมติดตัวนาน ๆ และ ชอบการที่น ้าหอมจางตามเวลา 5. Eau Fraicheความเข้มข้นของน ้าหอม 1-3% สุดท้ายประเภท Eau Fraiche มีความเข้มข้นน้อยที่สุด กลิ่นจะไม่ติดทนนานอยู่ไม่เกิน 1 ชั่วโมง ท้าให้เรา ต้องฉีดเพิ่มอยู่บ่อย ๆ ตลอดวัน ไม่เหมาะกับการฉีดออกไปนอกบ้านนาน ๆ แน่นอน แต่เหมาะส้าหรับกิจกรรม สั น ๆ ที่ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง เรียนรู้ศาสตร์การปรุงน ้าหอม 1. รู้จัก notes ต่าง ๆ ของน ้าหอม การท้าน ้าหอม คือการปรุงผสานกลิ่นต่าง ๆ ทับซ้อนกันเป็นชั น ๆ หรือ ที่เขาเรียกกันว่า “notes” เวลาคุณฉีดน ้าหอมลงบนผิวกาย คุณจะค่อยๆ ได้กลิ่นน ้าหอมทีละ note ตามล้าดับ ดังต่อไปนี Top notes คือกลิ่นแรกที่แตะจมูกคุณ และเป็นกลิ่นที่จะจางหายไปก่อนเพื่อน ปกติก็คือภายใน 10 - 15 นาทีMiddle notes จะปรากฏหลัง top notes จางไป นี่แหละ "แก่น" ของน ้าหอมของคุณ ซึ่งก็จะแตกต่าง กันไปแล้วแต่ว่าน ้าหอมนั นจัดอยู่ในตระกูลไหน เช่น เป็นน ้าหอมแบบ oriental (ออกแนวเครื่องเทศ), woody (โทนอุ่น), fresh (เบาๆ ใสๆ) หรือ floral (เน้นกลิ่นดอกไม้) Base notes ช่วยเสริมเติมแต่ง middle notes ให้ยิ่ง โดดเด่น นับเป็น "ธีมหลัก" หรือฐานของน ้าหอม เป็นกลิ่นสุดท้ายที่จะคงอยู่ ติดผิวของคุณอีก 4 - 5 ชั่วโมง 2. ลองศึกษาท้าความคุ้นเคยกับ top notes ที่นิยมใช้ท้าน ้าหอมดูtop notes หลักๆ ของน ้าหอมสมัยนี ก็เช่น โหระพา (basil), มะกรูด (bergamot), เกรปฟรุต, ลาเวนเดอร์, มะนาว (ทั งมะนาวเหลือง (lemon) และ เขียว (lime)), มินต์, ดอกส้ม (neroli), โรสแมรี่ แล้วก็ส้มเกลี ยง (sweet orange) 3. ลองศึกษาท้าความคุ้นเคยกับ middle notes ที่นิยมใช้ท้าน ้าหอมดู. นั่นก็คือ พริกไทยด้า, กระวาน เทศ (cardamom), คาโมมายล์ (chamomile), อบเชย (cinnamon), กานพลู (clove), ใบต้นเฟอร์ (fir needle), มะลิ, สนจูนิเปอร์ (juniper), ตะไคร้ (lemongrass), ดอกส้ม (neroli), จันทน์เทศ (nutmeg), กุหลาบ, ไม้โรสวู้ด (rosewood) แล้วก็กระดังงา (ylang-ylang) 4. ลองศึกษาท้าความคุ้นเคยกับ base notes ที่นิยมใช้ท้าน ้าหอมดูเช่น ไม้สนซีดาร์ (cedarwood), สน ไซเปรส (cypress), ขิง, พิมเสน (patchouli), สน (pine), ไม้จันทน์ (sandalwood), วานิลลา แล้วก็หญ้าแฝก (vetiver) 5. รู้สัดส่วนที่เหมาะสม เวลาคุณปรุงน ้าหอม ให้ใส่ base notes ก่อน จากนั น middle notes แล้วปิด ท้ายด้วย top notes สัดส่วนที่แนะน้าในการผสม notes ต่าง ๆ ของน ้าหอมก็คือ top notes 30%, middle notes 50% แล้วก็ base notes 20% "สุคนธกร" หรือนักปรุงน ้าหอมบางคนแนะน้าให้ผสม dominant notes หรือโน้ตหลักของน ้าหอมไม่เกิน 3-4 กลิ่นเท่านั น
6. รู้จักสูตรน ้าหอมเบื องต้น ถ้าอยากได้น ้าหอม คุณต้องมีมากกว่าแค่ top, middle แล้วก็ base notes มีอะไรบางอย่างที่จะช่วยแต่งเติมกลิ่นให้น ้าหอมของคุณ ขั นตอนการปรุงน ้าหอมนั นเริ่มจาก carrier oil คือน ้ามัน กระสายยา หรือน ้ามันตัวพา ซึ่งที่นิยมกันก็คือโจโจ้บาออยล์ (jojoba oil), น ้ามันสวีทอัลมอนด์ (sweet almond oil) แล้วก็น ้ามันเมล็ดองุ่นสกัดเย็น (grape seed oil) ต่อมาก็ต้องค่อยๆ หยด base, middle แล้วก็ top notes ลงไปใน carrier oil สุดท้ายคือสารที่จะช่วยประสานทุกส่วนผสมเข้าด้วยกัน ที่นิยมกันมากที่สุดก็คือแอลกอฮอล์นี่ แหละ เพราะระเหยเร็วแถมช่วยกระจาย notes ต่าง ๆ ของน ้าหอมด้วย [9]แต่เหล่านักปรุงน ้าหอมท้ามือก็นิยมใช้ วอดก้าคุณภาพสูง 80 - 100 proof (คือมีปริมาณแอลกอฮอล์ 40% - 50%) ถ้าคุณอยากท้าน ้าหอมแห้ง (solid perfume) แบบตลับไว้ทาแต้มตามจุดต่าง ๆ เหมือนลิปบาล์ม ให้เปลี่ยนขี ผึ งเหลวเป็นสารยึดเกาะแทนแอลกอฮอล์ หรือน ้า 7. ส้ารวจ notes ของน ้าหอมดังที่คุณชื่นชอบ ถ้าไม่แน่ใจว่าจะผสมกลิ่นอะไรยังไงดี ให้ลองส้ารวจว่า น ้าหอมดังๆ ที่คุณชอบนั นประกอบไปด้วยกลิ่นอะไรบ้าง แต่ถ้าเช็คส่วนผสมหรือแยกเป็น notes ได้ยาก ลองเข้า เว็บ Basenotes ดู นี่แหละสุดยอดเว็บที่รวบรวมข้อมูล notes ต่าง ๆ ของน ้าหอมดังระดับโลกไว้ รวบรวมวัตถุดิบและอุปกรณ์ 1. ซื อขวดแก้วสีชา หลายคนแนะน้าให้ใช้ขวดแก้วสีชาหรือสีเข้ม เพราะช่วยป้องกันไม่ให้น ้าหอมโดนแสง ไฟหรือแสงแดด จะได้ยืดอายุน ้าหอม ต้องเช็คให้ชัวร์ว่าขวดแก้วของคุณไม่เคยเอาไปใส่อาหารมาก่อน เพราะกลิ่นที่ ตกค้างแม้แต่นิดเดียวอาจท้าน ้าหอมคุณกลิ่นเพี ยนไปเลย ยกเว้นคุณอยากให้กลิ่นเดิมที่ติดขวดเป็นส่วนหนึ่งของ กลิ่นน ้าหอม (ค้าเตือน: "เนยถั่ว ผสมเนย ผสมกล้วยหอม บวกช็อคโกแลต" ปกติหอมน่ากิน แต่จะหอมน่าใช้เป็น น ้าหอมหรือเปล่านี่สิ!) 2. ซื อ carrier oil น ้ามันตัวพานี่แหละคือสารที่จะท้าให้กลิ่นน ้าหอมติดบนตัวคุณ ปกติจะไม่มีกลิ่นใน ตัวเอง และใช้ท้าละลายหัวน ้าหอมกับสารประกอบอะโรมาติกไม่ให้เข้มข้นจนระคายเคืองผิว carrier oil ของคุณ จริง ๆ แล้วจะเป็นอะไรก็ได้ ใช้น ้ามันมะกอกยังได้ ถ้าไม่ฉุนไปส้าหรับคุณนะ สุคนธกรผู้โด่งดังคนหนึ่ง ใช้วิธีหมัก กลีบกุหลาบในน ้ามันมะกอกบริสุทธิ์ จากนั นผสมกับน ้ามันจากวิตามินอีเพื่อคงสภาพน ้าหอมไว้ 3. ใช้แอลกอฮอล์แรงที่สุดเท่าที่จะหาได้อย่างที่บอกไป นักปรุงน ้าหอมท้ามือเขานิยมใช้วอดก้า คุณภาพสูง 80 - 100 proof (คือมีปริมาณแอลกอฮอล์ 40% - 50%) กัน แต่บางคนก็ใช้แอลกอฮอล์ 190 proof (ปริมาณแอลกอฮอล์ 80%) แทน แอลกอฮอล์ 190 proof ที่ว่าก็เช่น เหล้าองุ่นออร์แกนิกแบบนิวทรัล (ไม่มีสี กลิ่น รส) กับ Everclear แบบหมักจากธัญพืชที่ถูกกว่าเยอะเลย 4. เลือกกลิ่นที่ชอบ คุณท้าน ้าหอมได้จากส่วนผสมมากมายหลากหลายเกินจินตนาการ หัวน ้าหอมหลัก ๆ ก็ได้มาจากน ้ามันหอมระเหย (essential oil) กลีบดอกไม้ ใบไม้ แล้วก็สมุนไพรต่าง ๆ
5. เลือกวิธีการปรุง วิธีการปรุงน ้าหอมนั นก็แตกต่างกันไปตามส่วนผสมที่เลือกใช้ โดยหัวน ้าหอมหลักๆ มี 2 ชนิดด้วยกัน คือส่วนต่าง ๆ ของพืช (ดอกไม้ ใบไม้ และสมุนไพร) กับน ้ามันหอมระเหย (essential oil) ซึ่ง 2 ชนิดนี จะมีวิธีการปรุงต่างกัน ท้าน ้าหอมจากดอกไม้ใบไม้สดหรือสมุนไพร 1. ใช้ขวดแก้วสะอาด จริง ๆ แล้วภาชนะที่ใช้ไม่ส้าคัญเท่าประเภทส่วนผสม ขอแค่ภาชนะที่เลือกนั น 1. สะอาด 2. ท้าจากแก้ว นอกจากนี ภาชนะที่ว่าต้องมีฝาปิดสนิทด้วย สุคนธกรหรือนักปรุงน ้าหอมทั่วไปเขาแนะน้า ให้ใช้ขวดแก้วสีชา เพราะป้องกันแสงแดด ช่วยยืดอายุให้น ้าหอมได้อย่าใช้ขวดหรือภาชนะที่เคยใช้ใส่อาหารมา ก่อน ถึงล้างสะอาดแล้วก็ไม่ได้ เพราะอาจมีกลิ่นตกค้าง 2. ใช้น ้ามันไร้กลิ่น ที่นิยมใช้ท้าน ้าหอมกันก็คือโจโจ้บาออยล์ (jojoba oil), น ้ามันอัลมอนด์ (almond oil) แล้วก็น ้ามันเมล็ดองุ่นสกัดเย็น (grape seed oil) 3. ใช้ดอกไม้ใบไม้หรือสมุนไพรกลิ่นที่ชอบ ให้คุณเก็บส่วนต่าง ๆ ของพืชที่ว่าตอนที่กลิ่นยังแรงและใบ แห้งแล้ว ถ้าทิ งไว้นานกว่านั นจะท้าให้เฉา กลิ่นจางลง อาจต้องเก็บดอกไม้ใบไม้ต่าง ๆ ที่จะมาตากแห้งเยอะกว่า ที่จะใช้จริงหน่อย เผื่ออยากเพิ่มความเข้มข้นของกลิ่นทีหลัง 4. ส่วนไหนไม่ใช้ให้เด็ดทิ ง อย่างถ้าจะใช้ดอกไม้ ก็ให้เด็ดมาแต่กลีบ ถ้าเป็นใบไม้หรือสมุนไพรต่าง ๆ ก็ ต้องเด็ดกิ่งหรือส่วนอื่น ๆ ที่จะมารบกวนกลิ่นออก 5. บดใบไม้ดอกไม้เบาๆ จริง ๆ จะไม่ท้าก็ได้ แต่ถ้าท้าก็ช่วยดึงกลิ่นออกมามากขึ นอีกหน่อย อาจจะใช้ ช้อนไม้บี ใบไม้ดอกไม้เบาๆ ก็ได้ 6. รินน ้ามันใส่ขวดแก้ว แค่นิดเดียวเท่านั น ให้พอเคลือบขวดและท่วมกลีบดอก/ใบไม้/สมุนไพร 7. ใส่ส่วนผสมลงในน ้ามันแล้วปิดฝา เช็คให้ชัวร์ว่าปิดฝาสนิทแล้ว 8. ทิ งส่วนผสมไว้ในขวดแบบนั น 1 - 2 อาทิตย์ในที่มืดๆ และอากาศเย็น 9. เปิดขวด กรอง แล้วทิ งไว้ต่อ ถ้าผ่านไป 1 - 2 อาทิตย์แล้วน ้ามันกลิ่นไม่แรงตามต้องการ ให้กรองเอา ใบไม้ดอกไม้เก่าออก แล้วใส่ส่วนผสมชุดใหม่เข้าไปในน ้ามัน แล้วทิ งขวดไว้อีกรอบ ทิ งไว้ต่อได้อีกหลายอาทิตย์หรือ เป็นเดือน ๆ ก็ได้ จนกว่าน ้ามันจะเข้มข้นกลิ่นแรงตามต้องการ น ้ามันเก่าห้ามเททิ ง ที่ต้องกรองออกคือใบไม้ดอกไม้ เก่าต่างหาก 10. เก็บรักษาน ้ามันหอมของคุณ พอได้ที่สมใจแล้ว ให้ใส่สารกันบูดตามธรรมชาติอย่างวิตามินอีหรือสาร สกัดจากเมล็ดองุ่นลงไป 1 - 2 หยด เพื่อยืดอายุน ้ามันหอมของคุณ ถ้าอยากท้าบาล์มจากน ้ามันหอม ก็ให้ใส่ขี ผึ งลง ไป โดยละลายขี ผึ งในไมโครเวฟก่อน แล้วเอาไปผสมกับน ้าหอม สุดท้ายก็เทลงภาชนะ (ตลับ) แล้วรอจนเย็นให้ แข็งตัว
ท้าน ้าหอมจากน ้ามันหอมระเหย 1. รวบรวมส่วนผสม ที่ต้องใช้ก็มี 1.1 น ้ามันตัวพา 2 ช้อนโต๊ะ (เช่น โจโจ้บาออยล์, น ้ามันอัลมอนด์ หรือน ้ามันเมล็ดองุ่นสกัดเย็น 1.2 แอลกอฮอล์ 100 - 190 proof 6 ช้อนโต๊ะ 1.3 น ้าดื่มบรรจุขวด 2.5 ช้อนโต๊ะ (ห้ามใช้น ้าก๊อก) 1.4 น ้ามันหอมระเหย 30 หยด (base, middle และ top อย่างน้อยอย่างละ 1) 1.5 ที่กรองกาแฟ 1.6 กรวยกรอกน ้า 1.7 ขวดแก้วสะอาด 2 ขวด (หรือภาชนะอื่นที่ท้าจากแก้วและมีฝาปิดสนิท) 2. ใส่น ้ามันตัวพา 2 ช้อนโต๊ะในขวดแก้ว 3. ใส่น ้ามันหอมระเหย ทั งหมดประมาณ 30 หยด เริ่มจาก base notes ตามด้วย middle notes แล้ว ปิดท้ายด้วย top notes สัดส่วนที่แนะน้าคือ base 20%, middle 50% แล้วก็ top 30% ระวังกลิ่นที่คุณใช้ปรุง ให้ดี ถ้ากลิ่นหนึ่งแรงกว่ากลิ่นอื่น ๆ มาก ก็ให้เติมน้อยหน่อย จะได้ไม่ไปกลบกลิ่นอื่นหมด 4. เติมแอลกอฮอล์ต้องใช้แอลกอฮอล์คุณภาพสูงที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงตามไปด้วย วอดก้านี่แหละ ที่นิยมกันในหมู่นักปรุงน ้าหอมท้ามือ 5. รอน ้าหอมได้ที่อย่างน้อย 48 ชั่วโมง ปิดฝาให้สนิทแล้วบ่มไว้อย่างน้อย 48 ชั่วโมง หรือจะนานเป็น 6 อาทิตย์ก็ยังได้ ซึ่งจะเป็นตอนที่กลิ่นก้าลังแรงได้ที่เลย หมั่นเช็คกลิ่นเป็นระยะ ว่าไปถึงไหนแล้ว 6. เติมน ้า 2 ช้อนโต๊ะ พอได้กลิ่นที่ต้องการแล้ว ก็ให้เติมน ้าสะอาดจากขวด 2 ช้อนโต๊ะลงไปในน ้าหอ 7. เขย่าเยอะๆ เขย่าขวดน ้าหอมแรงๆ 1 นาที ให้แน่ใจว่าผสมเข้ากันดีแล้ว 8. เทน ้าหอมใส่ขวดอื่น ใช้ที่กรองกาแฟกับกรวยกรอกน ้าหอมลงในขวดแก้วสีชาสะอาดเอี่ยม หรือขวด หรูๆ หน่อยถ้าจะให้เป็นของขวัญของฝาก อาจจะติดฉลากบอกส่วนผสมกับวันที่ผลิตไปด้วยก็ได้ จะได้ดูว่าหมดอายุ หรือกลิ่นเปลี่ยนเมื่อไหร่ ต่อไปจะได้รู้ควรท้ามากน้อยแค่ไหน 9. ลองท้าน ้าหอมแบบอื่น ถ้าอยากท้าน ้าหอมแห้ง (solid perfume) คือใช้ทาเหมือนลิปบาล์ม แทนที่จะ ฉีดพ่นเหมือนน ้าหอมทั่วไป ก็ให้เปลี่ยนน ้าเป็นขี ผึ งเหลวแทน ให้คุณเติมขี ผึ งเหลวลงในน ้าหอม แล้วเทส่วนผสมที่ ก้าลังร้อนลงในตลับหรือภาชนะอื่น พอเย็นก็จะแข็งตัวเอง ถ้าแถวบ้านหาซื อขี ผึ งยาก ก็ลองหาซื อจากในเน็ตแทน เลือกที่คุณภาพดีหน่อย
เคล็ดลับ 1. อย่าโลภใส่กลิ่นแรงหรือหลายกลิ่นเกินไป ให้ค่อยๆ ส้ารวจไปทีละกลิ่น ว่าชอบกลิ่นไหน และกลิ่นจะไป ด้วยกันได้ไหม ถ้ามีหลาย notes เกิน ระวังน ้าหอมจะพัง 2. เวลาล้างขวดแก้ว ให้ล้างในน ้าร้อนที่สุดเท่าที่จะร้อนได้ จากนั นเอาใส่ถาด แล้วอบแห้งในเตาอบ ที่อุณหภูมิ 110 องศา 3. อาจจะลองเลียนกลิ่นอาหารหรือเครื่องดื่มที่ชอบก็ได้ เช่น ท้าน ้าหอมกลิ่นชา chai โดยใช้น ้ามันซินนา มอน น ้ามันส้มเกลี ยง น ้ามันกานพลู แล้วก็น ้ามันกระวานเทศ [15]อีกกลิ่นที่น่าลองก็คือพายฟักทอง โดยใช้น ้ามัน หอมระเหยอย่างน ้ามันซินนามอน กานพลู ขิง จันทน์เทศ วานิลลา แล้วก็ส้ม ค้าเตือน 1. ระวังอย่าใช้น ้าผลไม้ปรุงน ้าหอม เพราะอาจท้าน ้าหอมคุณข้นเป็นก้อนหรือมีกลิ่นหืนได้ นอกจากนี มะนาวเหลือง (เลม่อน) ก็มีคุณสมบัติไวต่อแสง (phototoxic) แปลว่าถ้าคุณเอาอะไรที่มีส่วนผสมของน ้ามะนาวไป ทาผิว ผิวก็จะไหม้ง่ายเวลาโดนแสงแดด ที่มา : https://thepassion.in.th/5-levels-perfume-concentration/ https://th.wikihow.com/
การผลิตก้านไม้หอม ไม่ว่าคุณจะตั งใจเตรียมพร้อมส้าหรับการบ้าบัดด้วยกลิ่นหอมหรือเพียงต้องการเพิ่มความสดชื่นภายใน บ้านของคุณ ลองเลือกใช้ก้านไม้หอมปรับอากาศที่ช่วยให้คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับกลิ่นหอมได้ง่าย ๆ ขั นตอน การใช้ก้านไม้หอมปรับอากาศที่บ้านไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอย่างที่คิด เพียงคุณเสียบก้านไม้ลงไปในขวดแก้วที่เติมน ้ามัน หอมระเหยกลิ่นต่าง ๆ ไว้ จากนั นน ้ามันหอมระเหยจะเริ่มดูดซึมผ่านตามรูพรุนภายในก้านไม้ขึ นมาจนถึงปลายของ ก้านไม้ก่อนส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่วทั งห้อง ตราบใดที่คุณมีน ้ามันหอมระเหยและน ้ามันตัวพาครบถ้วนแล้ว สิ่งที่ คุณต้องเตรียมมีเพียงก้านไม้และแจกันทรงยาวหรือภาชนะอื่น ๆ ที่มีปากแคบเท่านั น การเตรียมอุปกรณ์ 1. มองหาภาชนะที่มีปากแคบ เริ่มต้นจัดเตรียมอุปกรณ์ส้าหรับท้าก้านไม้หอมปรับอากาศของคุณด้วย การมองหาภาชนะที่เหมาะสมส้าหรับใส่ก้านไม้สักใบหนึ่ง พยายามเลือกใช้ภาชนะประเภทเซรามิก แก้ว สแตน เลสสตีล ดินเผา หรือไม้ที่สูงประมาณ 5-10 นิ วและมีปากแคบและหลีกเลี่ยงภาชนะประเภทพลาสติกที่อาจ เกิดปฏิกิริยาต่อน ้ามันหอมระเหยได้ 1.1 ปากภาชนะที่เล็กจะช่วยลดอัตราการระเหยของน ้าให้น้อยที่สุด เพราะอัตราการระเหยของน ้าที่ มากเกินไปจะส่งผลให้สัดส่วนของน ้ามันหอมระเหยสูงขึ นจนส่งกลิ่นฉุนจัดไปทั่วทั งห้อง 1.2 หากคุณมีขวดโหลที่มีจุกไม้คอร์กปิดอยู่ คุณสามารถใช้วิธีเจาะรูบนจุกไม้คอร์กเพื่อช่วยลดอัตรา การระเหยของน ้าให้น้อยลงได้เช่นเดียวกัน 1.3 ลองใช้ความคิดสร้างสรรค์เพิ่มเติมด้วยการเลือกสีของภาชนะที่กลมกลืนกับสีภายในห้องของคุณ หรือตกแต่งด้านนอกของภาชนะให้ดูสวยงามยิ่งขึ น 1.4 คุณสามารถหาซื อขวดแก้วหรือแจกันหลากหลายขนาดได้ตามร้านขายอุปกรณ์งานฝีมือในราคาที่ ไม่แพงนัก 2. หาซื อก้านไม้คุณสามารถหาซื อก้านหวายส้าหรับกระจายกลิ่นได้ทั งจากร้านค้าออนไลน์หรือร้าน ขายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพโดยเฉพาะ หมั่นเปลี่ยนก้านไม้ใหม่เป็นประจ้า เนื่องจากก้านไม้อันเก่าจะเริ่มสูญเสีย ประสิทธิภาพเมื่อเกิดการอิ่มตัวจากน ้ามันหอมระเหยที่ดูดซึมเข้ามา 2.1 ก้านไม้จะต้องมีความยาวมากพอจนสูงเกินปากภาชนะที่คุณเลือกใช้ขึ นไปประมาณหนึ่ง คุณยัง สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการกระจายกลิ่นด้วยการเลือกใช้ก้านไม้ที่มีความยาวเป็นสองเท่าขึ น ไปของภาชนะ 2.2 โดยทั่วไปแล้วก้านไม้ส้าเร็จรูปมักมีความยาวให้เลือกซื อตั งแต่ 10, 12 และ 15 นิ ว (25, 30 และ 38 ซม.)
2.3 คุณยังสามารถเลือกใช้ไม้เสียบอาหารแทนได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามก้านหวายจะมีประสิทธิภาพใน การกระจายกลิ่นที่ดีกว่า 3. เลือกน ้ามันหอมระเหย เลือกน ้ามันหอมระเหยชนิดต่าง ๆ ที่คุณชื่นชอบ โดยควรแน่ใจว่าน ้ามันหอม ระเหยที่เลือกใช้เป็นชนิดบริสุทธิ์ 100% ไม่เช่นนั นกลิ่นที่ระเหยออกมาอาจไม่แรงมากพอ คุณสามารถเลือกใช้ น ้ามันหอมระเหยเพียงชนิดเดียวหรือจะจับคู่น ้ามันหอมระเหย 2 ชนิดขึ นไปที่มีกลิ่นเข้ากันได้ดีก็ได้เช่นกัน นิยมใช้ หัวน ้าหอม 25-30% 3.1 ตัวอย่างน ้ามันหอมระเหยที่สามารถจับคู่เข้ากันได้อย่างดีเยี่ยม ได้แก่ ลาเวนเดอร์และเปปเปอร์ มินต์ ส้มและวานิลลา สเปียร์มินต์และพิมเสน หรือคาโมไมล์และลาเวนเดอร์ 3.2 น ้ามันลาเวนเดอร์ มะลิ เนโรลี และเจอเรเนียมมีกลิ่นหอมที่ช่วยให้รู้สึกสงบและผ่อนคลาย 3.3 น ้ามันเปปเปอร์มินต์ โรสแมรี่ ทีทรี เลมอน โหระพา และขิงมีกลิ่นหอมที่ชวนให้รู้สึกสดชื่นและ กระปรี กระเปร่า 3.4 น ้ามันคาโมไมล์ ส้ม ไม้จันทน์ ลาเวนเดอร์ และมาร์จอรัมมีส่วนช่วยในการขจัดความวิตกกังวลได้ อย่างมีประสิทธิภาพ เลือกน ้ามันตัวพา น ้ามันตัวพาเป็นน ้ามันที่มีรสเป็นกลางที่ใช้ส้าหรับผสมกับน ้ามันหอมระเหยเพื่อเจือจางไม่ให้กลิ่น ฉุนจัดจนเกินไป โดยน ้ามันตัวพาที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือน ้ามันดอกค้าฝอยและน ้ามันอัลมอนด์ แต่หากคุณไม่ ต้องการหาซื อน ้ามันตัวพา คุณสามารถเลือกใช้น ้าเปล่าผสมเข้ากับแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นอย่างน้อย 90% แทนได้เช่นกัน นิยมใช้เบสก้านไม้หอม 25-30% 3.5 คุณสามารถเลือกใช้ได้ทั งรับบิ งแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์ส้าหรับผสมน ้าหอม หรือวอดก้าส้าหรับ ผสมกับน ้าเปล่าเพื่อใช้แทนน ้ามันตัวพา 3.6 น ้ามันตัวพาที่เป็นที่นิยมได้แก่ น ้ามันสวีทอัลมอนด์ น ้ามันดอกค้าฝอย น ้ามันโรสแมรี่ น ้ามันไม้ จันทน์ น ้ามันโป๊ยกั ก น ้ามันกานพลู น ้ามันอบเชย น ้ามันส้ม หรือน ้ามันเกรปฟรุต วิธีการท้าแบบพื นฐาน 1. ตวงน ้ามันตัวพา ¼ ถ้วย เทน ้ามันตัวพาลงไปในถ้วยตวงให้ได้ปริมาณ ¼ ถ้วย (60 มล.) หรือหาก คุณเลือกใช้น ้าเปล่าและแอลกอฮอล์ ให้คุณเทน ้าเปล่าลงไป ¼ ถ้วย (60 มล.) และเติมแอลกอฮอล์ที่คุณเลือกเพิ่ม ลงไป 1 ช้อนชา (5 มล.) ก่อนผสมให้เข้ากัน 1.1 อาจปรับเปลี่ยนปริมาณของน ้ามันตัวพาเล็กน้อยหากเลือกใช้ภาชนะที่มีขนาดเล็ก แต่พยายามให้ สัดส่วนของน ้ามันตัวพาต่อน ้ามันหอมระเหยอยู่ที่ประมาณ 85:15 ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจลด สัดส่วนลงเป็น 17:1 แทนส้าหรับภาชนะขนาดเล็ก หรือหากคุณต้องการให้ก้านไม้หอมปรับอากาศ
มีกลิ่นหอมที่แรงและเข้มข้นมากขึ น คุณก็สามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนของน ้ามันตัวพาต่อน ้ามัน หอมระเหยให้อยู่ที่ประมาณ 75:25 แทนได้เช่นกัน 1.2 จ้าไว้ว่าส่วนผสมน ้าเปล่าและวอดก้าจะมีอัตราการระเหยที่รวดเร็วกว่าน ้ามันตัวพา ดังนั นคุณจึง อาจจ้าเป็นต้องเติมเพิ่มเข้าไปบ่อยครั งยิ่งขึ น 2. เติมน ้ามันหอมระเหยลงไป 25-30 หยด เติมน ้ามันหอมระเหยที่คุณต้องการ 25-30 หยดเพิ่มลงไป ในถ้วยตวงที่บรรจุน ้ามันตัวพาไว้ หรือหากคุณเลือกใช้น ้ามันหอมระเหย 2 ชนิด ให้คุณเติมลงไปอย่างละ 15 หยด 3. คนผสมให้น ้ามันเข้ากัน แกว่งถ้วยตวงเป็นวงกลมหรือใช้ช้อนคนเบาๆ เพื่อผสมให้น ้ามันตัวพาและ น ้ามันหอมระเหยเข้ากันเป็นเนื อเดียว 4. เทส่วนผสมน ้ามันลงไปในภาชนะ ค่อยๆ เทส่วนผสมน ้ามันลงไปในภาชนะปากแคบที่คุณเตรียมไว้ ในกรณีที่ถ้วยตวงของคุณไม่มีปากส้าหรับเท คุณอาจใช้กรวยวางลงบนปากขวดเพื่อช่วยให้คุณสามารถเทส่วนผสม น ้ามันลงไปในภาชนะได้ง่ายยิ่งขึ น 5. เสียบก้านไม้ลงไป เสียบก้านไม้ 4-8 ก้านลงไปในภาชนะ และเพื่อให้ก้านไม้สามารถกระจายกลิ่น ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ น ให้คุณแผ่ก้านไม้ให้กระจายออกจากกันและไม่เกาะกลุ่มเอนไปทางด้านใดด้านหนึ่ง การใช้งาน 1. กลับด้านก้านไม้หลังเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง. แช่ก้านไม้ในส่วนผสมน ้ามันทิ งไว้นาน 1 ชั่วโมงก่อนน้า ขึ นมาและเสียบกลับลงไปใหม่อีกครั งโดยกลับด้านให้ปลายก้านไม้ที่แห้งแช่ในน ้ามันหอมระเหยแทน วิธีนี จะท้าให้ น ้ามันหอมระเหยถูกดูดซึมเข้ามายังปลายก้านไม้ทั งสองด้านและช่วยเร่งให้กลิ่นหอมแพร่กระจายไปทั่วทั งห้องได้ เร็วยิ่งขึ น จะเริ่มได้กลิ่นหอมจากน ้ามันหอมระเหยหลังผ่านไป 1 วัน 2. แกว่งน ้ามันไปมาทุก ๆ สัปดาห์. แกว่งน ้ามันหอมระเหยไปมาเบาๆ ประมาณสัปดาห์ละครั งเพื่อให้ แน่ใจว่าน ้ามันตัวพาและน ้ามันหอมระเหยยังคงผสมเข้ากันดี หรือหากคุณเลือกใช้น ้าเปล่าและวอดก้าส้าหรับเป็น เบสแทนน ้ามันตัวพา ให้คุณเพิ่มจ้านวนครั งในการแกว่งน ้ามันไปมาเป็นสัปดาห์ละ 2 ครั ง 3. หมั่นกลับด้านก้านไม้อย่างสม่้าเสมอ. หลังกลับด้านก้านไม้ในครั งแรกแล้ว พยายามหมั่นกลับด้าน ก้านไม้เป็นประจ้าทุก ๆ 3-4 วันเพื่อป้องกันไม่ให้ก้านไม้แห้งลงและยังสามารถกระจายกลิ่นหอมจากน ้ามันหอม ระเหยได้อย่างต่อเนื่อง สามารถกลับด้านก้านไม้หลังจากที่คุณแกว่งน ้ามันไปมาหรือเมื่อไรก็ได้ที่คุณต้องการ 4. เติมน ้ามันเพิ่มลงไปเมื่อกลิ่นหอมเริ่มจางลง. หลังผ่านไป 1 เดือน คุณอาจสังเกตเห็นว่ากลิ่นหอม จากน ้ามันหอมระเหยเริ่มจางลงแม้คุณจะหมั่นกลับด้านก้านไม้อย่างสม่้าเสมอ ลองตรวจสอบดูว่าส่วนผสมน ้ามันที่ บรรจุในขวดโหลหรือแจกันยังคงเหลืออยู่มากน้อยเพียงใดและเติมน ้ามันตัวพาและน ้ามันหอมระเหยเพิ่มลงไปให้มี ปริมาณเท่าเดิมโดยให้อัตราส่วนของน ้ามันตัวพาต่อน ้ามันหอมระเหยยังคงเดิมคือ 75-85:15-25 หากเลือกใช้
น ้าเปล่าและแอลกอฮอล์ส้าหรับเป็นเบส คุณอาจจ้าเป็นต้องเติมน ้าเปล่าและแอลกอฮอล์พร้อมน ้ามันหอมระเหย เพิ่มลงไปมากกว่าเดือนละครั งโดยให้อัตราส่วนของน ้าเปล่าและแอลกอฮอล์ต่อน ้ามันหอมระเหยอยู่ที่ 85:15 เสมอ 5. เปลี่ยนก้านไม้ใหม่เดือนละครั ง. หลังผ่านไป 1 เดือน คุณอาจสังเกตเห็นด้วยเช่นกันว่าก้านไม้ดูด ซึมน ้ามันหอมระเหยเข้าไปในปริมาณมากจนเกิดการอิ่มตัว ดังนั นคุณจึงควรเปลี่ยนก้านไม้ใหม่เป็นประจ้าทุกเดือน หรือเมื่อก้านไม้เริ่มเกิดการอิ่มตัว ส่วนผสมน ้ามันจะส่งผลให้สีของก้านไม้ดูเข้มขึ นกว่าเดิมเล็กน้อย ดังนั นหากก้าน ไม้มีสีเข้มจนทั่วทั งก้าน แสดงว่าก้านไม้นั นดูดซึมน ้ามันหอมระเหยเข้าไปจนเกิดการอิ่มตัวแล้ว หลังจากที่ก้านไม้ เกิดการอิ่มตัวแล้ว ก้านไม้นั นจะไม่สามารถกระจายกลิ่นหอมจากน ้ามันหอมระเหยได้อีก ด้วยเหตุนี การเปลี่ยนก้าน ไม้ใหม่เป็นประจ้าจึงเป็นสิ่งที่ส้าคัญอย่างยิ่ง เคล็ดลับ หมั่นกลับด้านก้านไม้และแกว่งน ้ามันหอมระเหยไปมาอย่างสม่้าเสมอเพื่อให้ก้านไม้หอมปรับอากาศยัง สามารถกระจายกลิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพดังเดิม หากจุดประสงค์ในการใช้ก้านไม้หอมปรับอากาศของคุณคือ การบ้าบัดด้วยกลิ่นหอม ลองเลือกน ้ามันหอมระเหยโดยพิจารณาจากคุณสมบัติของน ้ามันหอมระเหยแต่ละชนิด ยกตัวอย่างเช่น น ้ามันลาเวนเดอร์และน ้ามันมะลิมีคุณสมบัติที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ในขณะที่น ้ามันเปปเปอร์มินต์ และน ้ามันเลมอนมีคุณสมบัติที่ชวนให้รู้สึกกระปรี กระเปร่า 1. เลือกหัวน ้าหอมที่ไม่ผ่านการเจือจาง 2. เลือกเบสก้านไม้หอมที่กลิ่นไม่ฉุนไม่กลบกลิ่นน ้าหอม 3. พอท้าเสร็จให้บ่มทิ งไว้ 2-3 อาทิตย์ เพื่อกลิ่นที่ได้จะนุ่มนวล และกลิ่นจะกระจายได้ดี 4. ภาชนะที่มีปากแคบที่ไม่ใช่ประเภทพลาสติก 5. น ้ามันหอมระเหยเพียงชนิดเดียวหรือ 2 ชนิดขึ นไป 6. น ้ามันตัวพา เช่น น ้ามันอัลมอนด์ 7. รับบิ งแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 90% หรือวอดก้า 8. ก้านหวาย 9. ถ้วยตวง ที่มา : https://th.wikihow.com https://youtu.be/7u619NWquPY
การผลิตเทียนหอม เทียนหอม คือ เนื อเทียนที่น้ามาเพิ่มน ้ามันหอมระเหย และแต่งแต้มสีสันให้สวยงาม เมื่อจุดแล้วจะให้ กลิ่นหอมของอโรม่า ปัจจุบันนอกจากนิยมใช้ในวงการสปาแล้ว ยังน้ามาใช้จุดในบ้านเพื่อเพิ่มความหอม และสร้าง บรรยากาศผ่อนคลายให้แก่ผู้อาศัยอีกด้วย เทียนหอมที่เราคุ้นเคยกันดีในปัจจุบันนี มีประวัติความเป็นมาที่พัฒนามาจาก "เทียน" อุปกรณ์ให้แสง สว่าง ซึ่งแต่เดิมมักมีความเชื่อมโยงกับความเชื่อทางศาสนา และพิธีกรรมต่าง ๆ โดยเมื่อราว 3,000 ปีก่อน คริสตกาล ชาวอียิปต์และชาวโรมันรู้จักน้าไขมันสัตว์มาประดิษฐ์เป็นเทียน โดยใช้ต้นกกเป็นไส้เทียน และพัฒนามา เป็นเทียนขี ผึ ง ซึ่งสามารถให้แสงสว่างได้ยาวนานกว่าการใช้ไม้เสียดสีกันเพื่อให้เกิดการเผาไหม้ต่อมามีเมื่อมี กระดาษใช้ มนุษย์ใช้กระดาษม้วนเป็นรูปทรงยาวส้าหรับขึ นรูปเทียน จุดให้เกิดแสงสว่าง หลังจากนั นแต่ละ วัฒนธรรมก็ประยุกต์การผลิตเทียนด้วยการใช้ถั่ว อบเชย หรือไม้ที่มีกลิ่นหอมแทนการใช้ไขมันสัตว์ โดยมาผสมใส่ ไว้ในเทียน เมื่อจุดแล้วจะส่งกลิ่นหอม ซึ่งได้กลายเป็น "เทียนหอม" ในเวลาต่อมา ปัจจุบันเทียนหอมมีหลายชนิด มีการใช้แม่พิมพ์เพื่อขึ นรูปทรงต่าง ๆ ที่มีลวดลายสวยงาม เติมสี เติม น ้าหอมกลิ่นที่หลากหลาย จนได้รับความนิยมในการฐานะผลิตภัณฑ์เครื่องหอมชนิดหนึ่ง น้ามาจุดร่วมกับอโรม่า เพื่อให้กลิ่นหอมที่ผ่อนคลายในสปา ก่อนจะน้ามาใช้อย่างแพร่หลายในบ้านเรือน ซึ่งมีขนาดและราคาแตกต่างกัน ออกไป ตั งแต่แบรนด์ดังราคาแพง ไปจนถึงเทียนหอมประดิษฐ์เองที่สามารถท้าใช้เองได้ง่าย ๆ ภายในบ้าน เทียนหอมท้าเองไม่ได้มีขั นตอนยุ่งยากอย่างที่คิด เพียงแต่ต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม เพื่อให้เหมาะสม กับการท้าเทียนหอมแต่ละประเภท เช่น เทียมหอมอโรม่า เทียนหอมแฟนตาซี เทียนหอมสปา เทียนหอมสมุนไพร เป็นต้น เมื่อฝึกท้าไปนานิๆ ก็จะเริ่มช้านาญในการพลิกแพลงส่วนผสม สร้างไอเดียใหม่ ๆ ให้เทียนหอมมีความ สวยงาม ซึ่งอาจน้าไปสู่การสร้างรายได้เสริมในยุคนี การเตรียมอุปกรณ์ 1. พาราฟิน ขี ผึ ง ไขถั่วเหลือง (soy wax) หรือเทียนเล่มเก่า 2. เชือกฝ้าย ส้าหรับท้าไส้เทียน 3. แหวนสกรูส้าหรับยึดไส้เทียน หรือจะเลือกซื อไส้เทียนส้าเร็จก็ได้ (ต้องซื อสติกเกอร์เพื่อยึดมาด้วย) 4. กาวร้อน 5. น ้ามันหอมระเหย (essential oil) 6. สีย้อมเทียน สีเทียน (ตามชอบ จะไม่ใส่ก็ได้) 7. ภาชนะบรรจุเทียน เช่น กระปุกแก้ว ถ้วยแก้ว หรือจะเลือกใช้เป็น "แม่พิมพ์เทียน" ก็ได้ 8. หม้อต้มเทียน (หม้อ 2 ชั น) หรือหม้อโลหะ กับถ้วยแก้วทนไฟ 9. แท่งไม้ หรือไม้หนีบผ้า
10. อุปกรณ์ตวง ทัพพีหรือช้อนตัก กรรไกร ตะเกียบ วิธีการท้าแบบพื นฐาน 1. เตรียมไส้เทียน 2. ละลายพาราฟินน้าเชือกฝ้ายลงไปชุบ จากนั นดึงไส้เทียนให้ตึง 3. จากนั นคีบขึ นมาทิ งไว้ พอแห้งจะได้ไส้เทียนเป็นเส้นตรง 4. จากนั นตัดความยาวตามต้องการ 5. เมื่อไส้เทียนแข็งตัวจึงน้ามายึดติดกับแหวนสกรูด้วยกาวร้อน กับถ้วยหรืออุปกรณ์ใส่เทียนอื่น ๆ วิธีการท้าเทียนหอม 1. ในกรณีที่ใช้ พาราฟิน ขี ผึ ง ให้ผสมพาราฟิน และแว๊กซ์ในสัดส่วนที่เท่ากัน (ถ้าชั่งเป็นน ้าหนักให้ใช้ สัดส่วนพาราฟิน 100 กรัม ต่อแว๊กซ์ 30 กรัม) ต้มในหม้อต้ม 2 ชั น จนหลอมละลายเข้ากัน 2. ในกรณีที่ใช้ “ไขถั่วเหลือง” ให้น้าไขถั่วเหลืองมาใส่ถ้วยแก้วที่ทนความร้อน ในหม้อที่ต้มน ้าร้อนไว้ แล้ว จากนั นต้มไขถั่วเหลืองให้ละลาย ด้วยอุณหภูมิประมาณ 76.6 – 82.2 ° C คนไขถั่วเหลืองให้เป็นเนื อเดียวกัน จากนั นยกลงมาตั งพักให้อุ่น 3. การผสมสี ให้ผสมสีย้อมเทียนให้ละลายเสียก่อน จึงเทไปผสมในหม้อ เพื่อให้ได้สีที่เรียบเนียนเสมอ กัน ส่วนใครที่ใช้สีเทียน ให้ละลายสีเทียนนั นก่อนจะผสมลงไปในเทียนใหม่ 4. หากต้องการผสมน ้ามันหอมระเหย ให้หยดน ้ามันหอมระเหยลงไป 4-5 หยด หรือตามปริมาณ ที่แนะน้าข้างขวด จากนั นคนให้เข้ากัน 5. เทเทียนที่ยังร้อนอยู่ ประมาณ 92 องศา ลงในพิมพ์ หรือภาชนะใส่เทียนอื่น ๆ ที่มีไส้เทียนรอไว้ หา ตะเกียบหรือแผ่นไม้เจาะรูวางทับเพื่อไม้ไห้ไส้เทียนล้ม 6. ทิ งให้เย็น เป็นอันเสร็จเรียบร้อย (ไขถั่วเหลืองจะใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง) 7. หากจะท้าเทียนเป็นชั น หรือท้าเทียน 2 สี ให้เทเทียนสี ที่ 1 ลงไปในพิมพ์ก่อนปล่อยให้เทียนเกือบ แข็งตัว ( สังเกตุดูเนื อเทียนจะเป็นสีขุ่นมาก ) แล้วเทเทียนสี ที่ 2 ลงไป อาจท้าสลับกันเป็นชั น ๆ แต่ต้องทิ งให้แต่ ละชั นเย็นตัวเสียก่อน แต่ไม่แข็ง เพราะหากแข็งตัวแล้วเทียนจะไม่ติดเป็นเนื อเดียวกัน ไอเดีย “เทียนหอม” ให้แตกต่าง ขายได้ง่ายกว่า 1. เลือกพิมพ์แปลกใหม่ สวย ๆ เก๋ ๆ เลือกแม่พิมพ์เป็นรูปร่างแปลกๆ หรือรูปร่างที่ไม่เหมือนใคร จะเป็นรูปดอกไม้ เรขาคณิต หรือรูปสัตว์น่ารัก ๆ ก็สร้างความแตกต่างได้แล้ว
2. ตกแต่งด้วยดอกไม้แห้ง ดอกไม้แห้ง เป็นอุปกรณ์ตกแต่งที่ไม่แพง และให้ความเป็นธรรมชาติ ที่ดูดี อีกด้วย ลองเลือกดอกไม้แห้ง และกลิ่นเดียวกันดูก็ช่วยให้เทียนหอมของเราแตกต่างไป 3. เน้นกลิ่นบ้าบัด นอกจากน ้ามันหอมระเหย จะให้ความหอมผ่อนคลาย ยังช่วยบ้าบัดอาการต่าง ๆ ได้ อีก เช่น ไมเกรน หรืออาการวิงเวียนของคุณแม่ตั งครรภ์ ลองเลือกกลิ่นที่ไม่ฉุนเกินไป หรือกลิ่นใหม่ๆ เช่น กลิ่น กาแฟ หรือกลิ่นขนม ก็ได้ 4. เน้นบรรจุภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เลือกขวดแก้วใส รูปทรงสวยๆ หรือภาชนะอื่นที่ไม่ติด ไฟ และไม่ร้อนง่าย หรืออาจจะเลือกตกแต่งด้วยสติกเกอร์น่ารัก ๆ ก็ได้ ที่มา : https://www.starfishlabz.com/blog https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2115306#google_vignette
DATE