The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารปฐมนิเทศ จศป.65 (ดร.วี)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by arjinrob66, 2022-09-30 09:28:38

เอกสารปฐมนิเทศ จศป.65 (ดร.วี)

เอกสารปฐมนิเทศ จศป.65 (ดร.วี)

สารบญั หนา้
1
สาระสำคัญทค่ี วรรู้ 1
1. วัตถปุ ระสงค์ของการจัดการศกึ ษาพระปริยัตธิ รรม 1
2. หน้าที่ของสถานศึกษาพระปรยิ ตั ิธรรม 1
3. คุณลกั ษณะของผู้เรียน 2
4. ผปู้ ฏิบัติงานในสถานศึกษาพระปริยัตธิ รรม มี 2 ประเภท 2
5. สถานศึกษาพระปริยัตธิ รรม ประเมินผลการปฏบิ ัตงิ าน ของ จศป. 2
6. ความผดิ ของผแู้ อบอ้าง 3
6
ความผิดของผ้แู อบอ้าง 6
ขอ้ บังคบั กบป. ว่าดว้ ยการบริหารงานบุคคลการศึกษาพระปรยิ ตั ิธรรม 7
10
หมวด ๑ คณะกรรมการบริหารงานบคุ คลการศกึ ษาพระปริยตั ิธรรม 11
หมวด 2 การบริหารงานบคุ คล 12
หมวด 3 การพฒั นาและเพ่ิมประสทิ ธิภาพ 14
หมวด 4 วนิ ยั และการรักษาวนิ ยั 16
หมวด 5 การดำเนนิ การทางวินัย 16
หมวด 6 การออกจากงาน
หมวด 7 การอทุ ธรณ์และการร้องทุกข์
บทเฉพาะกาล

~1~

สาระสำคญั ท่ีควรรู้ ตาม พ.ร.บ.การศึกษาพระปรยิ ตั ิธรรม พ.ศ. 2562

1. วัตถุประสงคข์ องการจดั การศึกษาพระปรยิ ัติธรรม (ม.5) มี 3 ข้อ

1) เพอื่ ใหก้ ารศกึ ษาพระปรยิ ัตธิ รรมเป็นไปตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาท่ี
ปรากฏในพระไตรปิฎก โบราณราชประเพณี และสอดคลอ้ งกบั มาตรฐานการศึกษาของ
ชาติ

2) เพอ่ื ให้พระภกิ ษุและสามเณรมีการนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาใช้ให้
เกิดการพัฒนาจติ ใจและปัญญา และมีการรักษาพระธรรมวินัยให้เป็นไปอยา่ งถูกต้องดี
งามโดยเครง่ ครดั เปน็ ทเี่ ลือ่ มใสศรัทธาแก่พทุ ธศาสนกิ ชนทั่วไป

3) เพือ่ ให้พุทธศาสนกิ ชนนาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปประยุกต์ใช้ในการ
ดำรงชีวิตได้อยา่ งถูกต้อง

2. หน้าที่ของสถานศึกษาพระปริยัติธรรม (สศป.) (ม.16) ทีค่ วรคำนึง

1) การให้การศึกษาวิชาการทางพระพุทธศาสนาเพือ่ ความเป็นเลิศที่เปี่ยมด้วย
ปัญญาพทุ ธธรรม

2) การส่งเสริมความรู้และความเข้าใจในคุณค่าแห่งหลักธรรมทางพระพุทธ-
ศาสนา

3) การผลิตผู้เรียนให้มีคุณธรรมนำความรู้ เป็นศาสนทายาทที่ดีของพระพุทธ-
ศาสนา สำนึกในความเปน็ คนไทย มีความรกั และผกู พนั ตอ่ ท้องถ่ิน

4) มาตรฐานการศึกษาของชาตแิ ละวิธีการดำเนนิ งานของการจัดการศึกษาตาม
กฎหมายว่าดว้ ยการศึกษาแห่งชาติ

3. คุณลกั ษณะของผูเ้ รียน (ม. 17) สถานศึกษาพระปรยิ ตั ธิ รรมตอ้ งมุ่งปลูกฝัง
ให้ผู้เรยี นมคี ณุ ลักษณะ 7 ขอ้ ดังนี้

1) เปน็ ศาสนทายาททดี่ ีของพระพทุ ธศาสนาและพลเมืองทด่ี ีของสังคม
2) มคี วามรูแ้ ละทักษะในวชิ าการทางพระพุทธศาสนา
3) มีนิสัยใฝห่ าความรู้ ปฏิบัติตามข้อบังคบั ระเบยี บ และวนิ ยั สงฆ์
4) มสี ุขภาพดที ้งั ร่างกายและจิตใจ
5) รจู้ กั บำรุงรกั ษาศาสนสมบัติ อนรุ ักษ์และเสริมสรา้ งสภาพแวดล้อม
6) มคี วามภูมิใจความเปน็ สมณะ จงรักภักดีตอ่ ชาติ ศาสนาและพระมหากษัตรยิ ์
7) มีความคิดสร้างสรรค์ และสง่ เสรมิ สนบั สนนุ แนวทางปฏิบัตใิ หเ้ กดิ ความเจริญ

แก่ชุมชน สังคม และพระพทุ ธศาสนา

~2~

4. ผูป้ ฏิบตั ิงานในสถานศึกษาพระปรยิ ัติธรรม มี 2 ประเภท (ม.18)
1) ประเภทผู้ปฏิบัติงานสอน ได้แก่ ครูสอนพระปริยัติธรรม และครูโรงเรียน

พระปริยัติธรรม แผนกสามญั ศกึ ษา
2) ประเภทผู้สนับสนุนการศึกษา ได้แก่ บุคลากรทางการศึกษา ผู้บริหาร

สถานศึกษาผู้ปฏบิ ตั ิหน้าท่ีดา้ นวชิ าการ ซึ่งทำหน้าท่ีให้บรกิ าร หรือปฏิบตั ิงานเกีย่ วกับการ
จัดกระบวนการการเรียนการสอน การนิเทศก์ และการบริหารการศึกษาในสถานศึกษา
พระปริยัติธรรม ได้แก่ ผู้ปฏิบัติหน้าที่บรรณารักษ์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่งานแนะแนว ผู้ปฏิบัติ
หน้าที่เทคโนโลยีการศึกษา ผู้ปฏิบัติหน้าที่งานทะเบียนวัดผล ผู้ปฏิบัติหน้าที่บริหารงาน
ทวั่ ไป หรอื ผปู้ ฏบิ ตั หิ น้าท่ีอ่นื ตามที่คณะกรรมการกำหนด

5. สถานศกึ ษาพระปรยิ ตั ิธรรม ประเมนิ ผลการปฏิบัตงิ านของ จศป. (ม.20)

ให้สถานศึกษาพระปริยัติธรรมจัดใหม้ ีการประเมินผลการปฏบิ ตั งิ านของ
ผปู้ ฏิบัติงานในสถานศึกษาพระปรยิ ัติธรรม ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และ
ระยะเวลาท่คี ณะกรรมการกำหนด

รอ

6. ความผดิ ของผูแ้ อบอ้าง (ม.27-28)

1. สถานศึกษาพระปรยิ ตั ิธรรมอาจกำหนดให้มี ตรา เครื่องหมาย หรือสญั ลักษณ์
และการใช้ตรา เคร่ืองหมาย หรอื สัญลักษณข์ องสถานศกึ ษาพระปริยตั ิธรรมได้

ตรา เครอื่ งหมาย หรอื สญั ลักษณต์ ามวรรคหน่งึ ใหป้ ระกาศในราชกจิ จานเุ บกษา
2. ผ้ใู ดใชเ้ คร่อื งหมายวทิ ยฐานะ ตรา เคร่ืองหมาย หรือสัญลกั ษณ์ของสถานศึกษา
พระปริยัติธรรมโดยไมม่ สี ทิ ธจิ ะใช้ หรอื แสดงดว้ ยประการใด ๆ วา่ ตนมีประกาศนียบตั ร
ปริญญา หรอื ตำแหนง่ ของสถานศึกษาพระปริยตั ธิ รรมโดยทตี่ นไม่มสี ทิ ธิ ถ้าไดก้ ระทำเพอื่ ให้
บุคคลอืน่ เชอื่ วา่ ตนมสี ทิ ธิจะใช้ หรอื มวี ิทยฐานะ หรือตำแหนง่ เชน่ นน้ั ต้องระวางโทษจำคุก
ไมเ่ กินหกเดือน หรอื ปรบั ไมเ่ กินหา้ หมื่นบาท หรือทง้ั จำท้งั ปรับ

*********

~3~

โครงสรา้ งการบรหิ าร

(ข้อบงั คับ กศป. ว่าด้วยโครงสร้างการบริหารงานและการจดั การศึกษาพระปรยิ ตั ธิ รรม
และสถานศึกษาพระปรยิ ัตธิ รรม พ.ศ. 2563 : 12 (25) พ.ค.63)

1. โครงสร้างการบรหิ ารงานและการจดั การศึกษาพระปริยัติธรรม

การบริหารงาน และการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม ให้มีโครงสร้างการบริหาร

ดังตอ่ ไปน้ี (ข้อ 4)

1) สำนกั งานแมก่ องบาลีสนามหลวง ปรากฏใน พรบ.
2) สำนกั งานแมก่ องธรรมสนามหลวง มาตรา 6
3) สำนกั งานการศึกษาพระปรยิ ัตธิ รรม แผนกสามญั ศึกษา

4) ศนู ยพ์ ระปรยิ ตั ินิเทศแห่งคณะสงฆ์

สำนักงานแม่กองบาลีสนามหลวง (ขอ้ 6)

สว่ นกลาง ส่วนภูมภิ าค

(แบง่ ส่วนงานเป็น 6 กอง) (แบง่ เปน็ หน)
1) กองบรหิ ารงานกลาง ใหม้ สี านกั งานแม่กองบาลสี นามหลวง
2) กองเทคโนโลยสี ารสนเทศ - ประจาหนกลาง
3) กองนโยบายและแผนการจดั การศกึ ษา - ประจาหนเหนือ
4) กองนติ กิ าร - ประจาหนตะวนั ออก
5) กองบรหิ ารทะเบยี นและวดั ผล - ประจาหนใต้ และ
6) กองวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา - ประจาคณะธรรมยุต
โดยแต่ละหนแบ่งส่วนงาน ดงั ตอ่ ไปน้ี

1) กองบรหิ ารงานทวั ่ ไป
2) กองนโยบายและแผนการจดั
การศกึ ษา
3) กองวชิ าการและมาตรฐาน
การศึกษา

~4~

สำนกั งานแม่กองธรรมสนามหลวง (ข้อ 9)

สว่ นกลาง ส่วนภูมภิ าค

(แบง่ ส่วนงานเป็น 6 กอง) (แบง่ เปน็ หน)
1) กองบรหิ ารงานกลาง ใหม้ สี านกั งานแม่กองธรรมสนามหลวง
2) กองเทคโนโลยสี ารสนเทศ - ประจาหนกลาง
3) กองนโยบายและแผนการจดั การศึกษา - ประจาหนเหนอื
4) กองนิตกิ าร - ประจาหนตะวนั ออก
5) กองบรหิ ารทะเบยี นและวดั ผล - ประจาหนใต้ และ
6) กองวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา - ประจาคณะธรรมยตุ
โดยแต่ละหนแบง่ ส่วนงาน ดงั ตอ่ ไปน้ี

1) กองบรหิ ารงานทวั ่ ไป
2) กองนโยบายและแผนการจดั
การศกึ ษา
3) กองวชิ าการและมาตรฐาน
การศึกษา

สำนักงานการศึกษาพระปริยัตธิ รรม แผนกสามญั ศึกษา (ข้อ 12)

สว่ นกลาง สว่ นภูมภิ าค

ใหม้ ีสำนักอำนวยการ มี 6 สว่ นงาน ใหม้ ีสำนกั เขตการศกึ ษาพระปรยิ ัติธรรม

1) กองบรหิ ารงานกลาง แผนกสามัญศกึ ษา จำนวน 14 เขต โดยแต่

2) กองเทคโนโลยสี ารสนเทศ ละเขตแบง่ สว่ นงาน ดังตอ่ ไปน้ี

3) กองนโยบายและแผนการจัดการศกึ ษา 1) กองอำนวยการ
2) กองเทคโนโลยีสารสนเทศ
4) กองนิติการ 3) กองนโยบายและแผนการจดั การศึกษา
4) กองประเมินผลการจัดการศกึ ษา
5) กองบริหารทะเบยี นและวดั ผล 5) กองสง่ เสรมิ และพฒั นาการจัดการศกึ ษา
6) กองวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา

~5~

ศนู ย์พระปรยิ ตั นิ ิเทศแห่งคณะสงฆ์ (ข้อ 15)

ส่วนกลาง ส่วนภมู ิภาค

(มี 1 สำนกั 5 กอง) (แบ่งเป็น หน)

ใหม้ ี สำนกั อำนวยการ โดยแบ่งสว่ นงาน ใหม้ ีศนู ยพ์ ระปริยัตนิ ิเทศแห่งคณะสงฆ์
- ประจำหนกลาง
ดงั ตอ่ ไปนี้
- ประจำหนเหนอื
1) กองบริหารงานกลาง
- ประจำหนตะวนั ออก
2) กองเทคโนโลยีสารสนเทศ
3) กองนโยบายและแผนการจดั การศกึ ษา - ประจำหนใต้ และ
4) กองวิชาการและมาตรฐานการศึกษา - ประจำคณะธรรมยุต
โดยแตล่ ะหนแบง่ ส่วนงาน ดังต่อไปน้ี
5) กองศาสนวิเทศ 1) กองบรหิ ารงานทวั่ ไป

2) กองนโยบายและแผนการจดั การศึกษา

3) กองวิชาการและมาตรฐานการศึกษา

หมายเหตุ ท้งั 4 หนว่ ยงาน มกี ลมุ่ ตรวจสอบภายใน ข้ึนตรงต่อผูบ้ ริหารสงู สดุ ของแตล่ ะแห่ง

สถานศึกษาพระปรยิ ตั ธิ รรม (ข้อ 18)

(สำนักเรยี น สำนักศาสนศึกษา หรือโรงเรยี น)

ใหส้ ถานศึกษาพระปริยัตธิ รรมแต่ละแหง่ มสี ่วนงาน ดังต่อไปน้ี
1) กลุ่มบรหิ ารงานทวั่ ไป
2) กลุ่มงานบริหารงานงบประมาณ
3) กล่มุ งานบริหารงานบุคคล
4) กลมุ่ งานวิชาการ

***********

~6~

ขอ้ บงั คับ กบป. ว่าด้วยการบริหารงานบคุ คลการศึกษาพระปรยิ ตั ธิ รรม
พ.ศ. 2563 : มีผลบังคบั 26 กนั ยายน 2563

1. การนำกฎหมายอ่นื มาบงั คบั ใช้โดยอนุโลม (ข้อ 4)

หลักเกณฑห์ รอื วธิ ปี ฏบิ ตั ใิ ดทีม่ ิได้กำหนดไว้ในข้อบงั คับนี้ ใหน้ ำหลกั เกณฑ์
หรือวธิ ีปฏิบตั ิตามกฎหมายว่าด้วยระเบยี บบริหารราชการแผ่นดิน
กฎหมายวา่ ดว้ ยระเบยี บข้าราชการพลเรือน หรอื กฎหมายวา่ ด้วย
วิธีปฏบิ ัตริ าชการทางปกครอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม

หมวด ๑

คณะกรรมการบรหิ ารงานบคุ คลการศกึ ษาพระปริยตั ิธรรม : กบป. (ขอ้ 5)
ประกอบด้วย 13 รปู /คน ประกอบด้วย

• ประธานกรรมการ 1 รูป (กศป. แต่งตงั้ )
• กรรมการโดยตำแหนง่ 4 รปู (แมก่ องธรรม,แม่กองบาลี,ประธานสามัญ

และประธานศูนย์พระปริยตั ินเิ ทศแหง่ คณะสงฆ์)
• กรรมการผู้ทรงคุณวฒุ ิ 7 รูป/คน (ไมน่ ้อยกว่า 5 แต่ไม่เกนิ 7 รปู /คน)

(อยูใ่ นตำแหน่งคราวละ 4 ปี และอาจได้รับเลือกอกี ได้)
• ผอู้ ำนวยการกองพุทธศาสนศึกษา เป็นกรรมการและเลขานกุ าร

ข้อ ๑๐ ให้มีคณะอนกุ รรมการบริหารงานบคุ คลการศึกษาพระปรยิ ตั ิธรรม
เรยี กโดยย่อว่า “อบป.” เพ่ือบรหิ ารทรพั ยากรบคุ คล ใน สศป. ดงั นี้
๑) อบป. สำนกั งานแม่กองบาลสี นามหลวง
๒) อบป. สำนกั งานแมก่ องธรรมสนามหลวง
๓) อบป. สำนักงานการศึกษาพระปริยัตธิ รรม แผนกสามัญศึกษา
๔) อบป. ศูนยพ์ ระปรยิ ตั นิ ิเทศกแ์ ห่งคณะสงฆ์

หมายเหตุ โดยเฉพาะ อบป. สศป.แผนกสามญั ศึกษา ไม่นอ้ ยกวา่ 13 รปู /คน

~7~

หมวด ๒
การบริหารงานบุคคล

ข้อ ๑๔ จศป. ที่เป็นบรรพชติ และคฤหสั ถต์ ้องไดร้ ับการสรรหา บรรจุ และแตง่ ต้ัง
ตามที่กำหนดไวใ้ นหมวดน้ี เวน้ แตก่ รณที ี่มีกฎหมายบญั ญัติไวเ้ ปน็ อยา่ งอื่น

ข้อ ๑๕ ผทู้ ี่จะได้รับการสรรหา บรรจุ และแตง่ ต้ังเป็น จศป. ตอ้ งมีคณุ สมบัติ
ดงั ต่อไปน้ี

(๑) มีสัญชาติไทย
(๒) มอี ายไุ มต่ ่ำกว่าสบิ แปดปบี ริบรู ณ์
(๓) เป็นผเู้ ลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
(๔) เปน็ ผู้ เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มี
พระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมุขดว้ ยความบริสุทธิ์ใจ
(๕) ไม่เปน็ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรรมการ หรือเจา้ หน้าท่ีใน
พรรคการเมือง
(๖) ไม่เปน็ บุคคลลม้ ละลาย
(๗) ไมเ่ ปน็ ผมู้ คี วามประพฤติเส่ือมเสียหรอื บกพรอ่ งในศลี ธรรมอันดี
(๘) ไมเ่ ปน็ คนไรค้ วามสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ หรอื
สตฟิ ่ันเฟือนไม่สมประกอบ หรอื มกี ายหรือจิตใจไม่เหมาะสมท่ีจะปฏบิ ตั ิหน้าท่ีได้
ตามความเห็นของแพทย์ หรือเป็นโรคตามที่ กบป. กำหนด
(๙) ไม่อยู่ระหวา่ งถูกพกั งาน พักราชการ หรอื ส่ังให้หยดุ งานเป็น
การชั่วคราวในลักษณะเดยี วกนั กบั พักงาน หรอื พกั ราชการ
(๑๐) ไม่เคยไดร้ บั โทษจำคกุ โดยคำพพิ ากษาถึงที่สุดให้จำคกุ หรือมี
คำพพิ ากษาให้จำคุก แต่อยู่ระหวา่ งรอลงอาญา เวน้ แต่เป็นโทษสำหรับความผดิ
ทไี่ ดก้ ระทำโดยประมาทหรือความผิดลหโุ ทษ
(๑๑) ไม่เคยถกู ลงโทษ ให้ออก ปลดออก หรือไล่ออก จากหน่วยงาน
ของรัฐหรอื เอกชน เพราะกระทำผิดวนิ ยั
(๑๒) ไม่เคยทุจรติ ในการสอบเขา้ รบั ราชการหรือเข้าปฏบิ ัติงานใน
หนว่ ยงานของรฐั หรือเอกชน
(๑๓) ไม่เคยตอ้ งอาบัติหนกั พน้ จากความเปน็ บรรพชติ ในกรณที ่ีมีเหตผุ ล
และความจำเป็น กบป. อาจพจิ ารณาอนุมัติให้บรรจุผทู้ ่ีขาดคุณสมบตั ิ ตาม (๑) ได้

~8~

ข้อ ๑๖ อัตราเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินวิทยฐานะ เงินค่าตอบแทน รอ
สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์อื่น ของ จศป. ให้เป็นไปตามท่ี กบป. กำหนด โดยได้รับ
ความเห็นชอบจาก กศป.

จศป. ผู้ใดท่ีถูกไล่ออกจากงานเพราะกระทำผิดวินัย จะไม่ได้รับเงิน และ
ประโยชนต์ อบแทนตามวรรคหนึ่ง

ขอ้ ๑๗ วนั เวลาปฏบิ ัตงิ าน และวันหยุด ใหเ้ ป็นไปตามท่ี อบป. กำหนด รอ

ขอ้ ๑๘ เครื่องแบบของ จศป. ฝา่ ยคฤหสั ถ์ ใหเ้ ปน็ ไปตามท่ี กบป.กำหนด รอ

ขอ้ ๑๙ จศป. มีสองประเภท ดังตอ่ ไปน้ี
(๑) ประเภทผปู้ ฏิบตั ิงานสอน
(๒) ประเภทผู้สนบั สนนุ การศกึ ษา

ข้อ ๒๐ จศป. ประเภทผู้ปฏิบตั ิงานสอน ได้แก่ ตำแหนง่ ครู ระดบั ปฏบิ ตั ิการ ระดบั
ชำนาญการ ระดับชำนาญการพเิ ศษ ระดับเชี่ยวชาญ และระดบั เชี่ยวชาญพิเศษ รอ

ขอ้ ๒๑ จศป. ประเภทผ้สู นับสนนุ การศกึ ษา ไดแ้ ก่ ตำแหน่ง และระดับ ดงั ตอ่ ไปน้ี

(๑) ตำแหนง่ บรหิ าร ระดับตน้ และระดบั สงู

(๒) ตำแหนง่ อำนวยการ ระดบั ตน้ และระดบั สูง

(๓) ตำแหนง่ วิชาการ ระดับปฏิบัตกิ าร ระดบั ชำนาญการ รอ
ระดบั ชำนาญการพิเศษ ระดบั เช่ียวชาญ และระดบั ทรงคุณวุฒิ

(๔) ตำแหนง่ ท่ัวไป ระดบั ปฏบิ ตั ิงาน ระดบั ชำนาญงาน ระดับอาวโุ ส

และระดบั ทักษะพิเศษ

ข้อ ๒๒ ตำแหน่ง จศป. จะมใี นสว่ นงานใด จำนวนเทา่ ใด เป็นตำแหนง่ ประเภทใด
สายงานใด ระดบั ใด ต้องคำนึงถึงประสิทธภิ าพและประสทิ ธิผล ทั้งนี้ ตามหลกั เกณฑ์และ
วธิ ีการท่ี กบป. กำหนด โดยความเหน็ ชอบของ กศป. และต้องเป็นไปตามมาตรฐานกำหนด
ตำแหนง่ ตามขอ้ ๒๓

ข้อ ๒๓ ให้ กบป. จัดทำมาตรฐานกำหนดตำแหน่ง โดยจำแนกตำแหน่ง และสาย

งานตามลักษณะงาน และจัดตำแหน่ง และสายงานเดียวกันท่ีคุณภาพของงานเท่ากันโดย

ประมาณ เป็นระดบั เดยี วกนั ท้ังนี้ โดยความเห็นชอบของ กศป.

มาตรฐานกำหนดตำแหน่งตามวรรคหนึ่ง ใหร้ ะบุช่ือตำแหน่งในสายงาน หน้าท่ีความ

รับผิดชอบหลัก และคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งด้วย ในกรณีที่มีเหตุผลและความจำเป็น

กบป. อาจอนุมตั ใิ ห้บรรจุและแตง่ ตั้ง จศป. ที่มคี ณุ สมบัติตา่ งไปจากท่ีกำหนดกไ็ ด้ รอ

~9 ~

ข้อ ๒๔ การสรรหา การบรรจุ การแต่งต้ัง การถอดถอน และการพน้ จากหน้าที่ของ
จศป. ให้เป็นไปตามที่ อบป. กำหนด โดยความเหน็ ชอบของ กบป.

ข้อ ๒๕ สศป. ใด มีเหตุผลและความจำเป็นท่ีจะบรรจุและแต่งตั้งบุคคลท่ีมีความรู้
ความสามารถและประสบการณ์สูง ผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ทรงคุณวุฒิเข้าเป็น จศป. ให้เสนอ
กบป. เพ่ือพิจารณาอนุมัติให้บรรจุและแต่งต้ังโดยความเห็นชอบของ กศป. ได้ โดยให้ผู้มี
อำนาจตามขอ้ ๓๐ สั่งบรรจุและแตง่ ต้ังได้ตามหลกั เกณฑ์ และวธิ ีการที่ กบป. กำหนด

ข้อ ๒๖ จศป. ผู้ใดพน้ จากตำแหน่งเนื่องจากถูกส่ังใหอ้ อกจากงาน เพื่อไปรับราชการ

ทหารตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร ไปปฏิบตั ริ าชการ หรืองานพเิ ศษตามความ

ต้องการของ สศป. มติมหาเถรสมาคม หรอื ออกจากงาน ไปปฏิบตั ิงานพเิ ศษอ่ืนใด ถ้าผู้น้ัน

ประสงคจ์ ะกลับเข้าปฏิบัตงิ านใน สศป. ให้ผู้มีอำนาจตามข้อ ๓๐ บรรจแุ ละแต่งตั้งให้ดำรง

ตำแหน่งและรบั เงนิ เดือนตามหลักเกณฑแ์ ละวิธกี ารที่ กบป. กำหนด รอ

ข้อ ๒๗ จศป. ผู้ใดพ้นจากตำแหน่งและออกจากงานไปแล้ว หรือพ้นจากความเป็น
จศป. ตามข้อ ๕๕ ซ่ึงไม่ใช่กรณีพ้นเพราะกระทำผิดวินัยร้ายแรง ถ้าสมัครเข้าทำงาน และ
สศป. เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่องาน และต้องการรับผู้นั้นกลบั เข้ามากลับปฏิบัติหน้าที่ ผู้มี
อำนาจตามขอ้ ๓๐ อาจรบั ผนู้ ั้นใหด้ ำรงตำแหน่งและรับเงินเดอื นตามหลักเกณฑ์และวิธีการ
ที่ กบป. กำหนด

ข้อ ๒๘ ในกรณีท่ีตำแหน่งอำนวยการว่างลง ให้ผู้มีอำนาจตามข้อ ๓๐ ส่ังให้
ปฏิบัติงานตามทีเห็นสมควรรักษาการในตำแหน่งน้ันเป็นการช่ัวคราวได้ให้ผู้รักษาการใน
ตำแหน่งตามวรรคหน่ึงมหี น้าทแี ละอำนาจตามตำแหนง่ ทรี ักษาการน้ัน

ในกรณที ่ีมกี ฎหมาย หรือระเบียบอื่นแตง่ ต้ังให้ผู้ดำรงตำแหนง่ นั้น ๆ เป็นกรรมการ
หรือให้มีหน้าทแี ละอำนาจอย่างใด ให้ผรู้ ักษาการในตำแหน่งทำหนา้ ที่กรรมการหรือมีหน้าที่
และอำนาจอยา่ งน้ันในระหวา่ งรกั ษาการในตำแหน่ง แลว้ แตก่ รณี

ขอ้ ๒๙ จศป. ผูใ้ ดประสงคจ์ ะยา้ ยไปปฏบิ ัตงิ านใน สศป. อ่ืน ใหแ้ จ้งความจำนงต่อ

ผบู้ ังคับบญั ชาตามลำดับช้ัน เพ่ือเสนอ กบป. พจิ ารณาส่ังย้าย กรณีย้าย

ในกรณีมีเหตผุ ลความจำเป็นเพื่อประโยชน์ของ สศป. อาจเสนอ กบป. พจิ ารณาให้

ส่ังย้ายไปดำรงตำแหน่งในระดับเดิมได้ แต่หากเป็นการย้ายไปดำรงตำแหน่งในระดับท่ีต่ำ

กว่าเดิม ต้องได้รับอนุมัติจาก กบป. ก่อน ในกรณีย้ายไปดำรงตำแหน่งอื่นภายใน สศป.

เดยี วกัน ตอ้ งไดร้ ับอนุมตั จิ ากผู้มีอำนาจตามขอ้ ๓๐ กอ่ น

~ 10 ~

ข้อ ๓๐ ให้แม่กองบาลีสนามหลวง แม่กองธรรมสนามหลวง ประธานกรรมการ

การศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา หรือประธานศูนย์พระปริยัตินิเทศก์แห่ง

คณะสงฆ์ แล้วแต่กรณี เป็นผู้มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง จศป. ทุกตำแหน่งใน สศป.

แล้วแต่กรณี ผมู้ ีอำนาจแต่งต้งั

ข้อ ๓๑ การแต่งตั้งและให้ได้รับเงินเดือนของ จศป. ให้มีการประเมินผลการ

ปฏบิ ัตงิ าน ตามหลักเกณฑ์และวธิ ีการที่ กบป. กำหนด รอ

ข้อ ๓๒ ประเภทการลา หลักเกณฑ์ และวิธีการลาแต่ละประเภท ให้เป็นไปตามที่

กบป. กำหนด รอ

หมวด ๓
การพฒั นาและเพิ่มประสทิ ธภิ าพ

ข้อ ๓๓ เพ่ือประโยชน์ในการพัฒนาและเพ่ิมประสิทธิภาพของ จศป. อบป. อาจ
กำหนดให้มีการพฒั นา จศป. ดงั น้ี

(๑) การไปศึกษา ฝึกอบรม ดงู าน
(๒) การไปปฏิบตั ิงานวิจัย
(๓) การไปปฏิบัติงานวิชาการ หรือบริการวิชาการ
(๔) การไปเพ่ิมพูนความรทู้ างวชิ าการ
(๕) การอ่ืนใดทจ่ี ำเป็นหรือเหมาะสมเพื่อประโยชน์ในการพัฒนา จศป.

ข้อ ๓๔ หลักเกณฑ์ และวิธีการในการพัฒนา จศป. ตามข้อ ๓๓ ให้เป็นไปตามที่

อบป. กำหนด รอ

ข้อ ๓๕ สศป. อาจกำหนดใหบ้ ำเหน็จความชอบพเิ ศษแก่ จศป. ที่มผี ลงานดเี ด่น
หรอื ปฏบิ ตั งิ านเปน็ ประโยชน์แก่ สศป. ทั้งน้ี ใหเ้ ป็นไปตามระเบียบที่ อบป. กำหนด

รอ

~ 11 ~

หมวด ๔
วินยั และการรกั ษาวนิ ยั

ขอ้ ๓๖ จศป. ตอ้ งสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตริย์
ทรงเปน็ ประมขุ

ข้อ ๓๗ จศป. ต้องรกั ษาวนิ ัยโดยกระทำการหรือไม่กระทำการตามที่ระบุไว้ในหมวด
น้ีโดยเคร่งครัดอยเู่ สมอ

ข้อ ๓๘ จศป. ตอ้ งกระทำการ ดังต่อไปนี้ หนา้ ที่ตอ้ งทำ
(๑) ใหค้ วามเคารพต่อพระรตั นตรัย

(๒) ปฏิบตั งิ านดว้ ยความซื่อสัตย์สุจรติ และเที่ยงธรรม

(๓) ปฏิบตั ิงานให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของ กศป. กบป. สศป.

มตมิ หาเถรสมาคม มตคิ ณะรัฐมนตรี และนโยบายของรัฐบาล

(๔) ปฏิบัตงิ านให้เกิดผลดี หรอื ความกา้ วหน้าแก่ สศป. ด้วยความต้ังใจ

อุตสาหะ เอาใจใส่ และรกั ษาประโยชน์ของ สศป.

(๕) ปฏิบตั ติ ามคำส่ังของผู้บงั คับบญั ชา ซ่ึงสั่งในหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย

และระเบียบของ สศป. โดยไมข่ ดั ขืนหรือหลีกเลี่ยง แตถ่ ้าเห็นวา่ การปฏิบตั ิตามคำสั่งนั้นจะ

ทำให้เกิดความเสียหาย หรือจะเป็นการไม่รักษาประโยชน์ของ สศป. ต้องเสนอความเหน็

เป็นหนังสือทันที เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาทบทวนคำส่ังน้ัน และหากผู้บังคับบัญชา

ยงั คงยืนยันให้ปฏิบตั ิตามคำส่ังเดมิ ผูใ้ ตบ้ ังคับบัญชาต้องปฏบิ ัติตามคำส่ังน้ัน

(๖) อุทศิ เวลาของตนใหแ้ ก่ สศป. จะละทิ้งหรือทอดท้ิงงานมไิ ด้

(๗) รักษาความลบั ของ สศป.

(๘) สุภาพเรียบร้อย รกั ษาความสามคั คแี ละชว่ ยเหลือกันในการปฏบิ ัตงิ าน

ระหวา่ ง จศป. ด้วยกัน และผ้รู ว่ มปฏิบัตงิ านอ่ืน

(๙) ตอ้ นรับ ใหค้ วามสะดวก ให้ความเปน็ ธรรม และให้การสงเคราะหแ์ ก่

ประชาชนผูต้ ดิ ต่องานเก่ียวกับหน้าที่ของตน

(๑๐) วางตนเปน็ กลางทางการเมอื งในการปฏิบัติงาน และงานอน่ื ท่ี

เกยี่ วข้องกับประชาชน

(๑๑) รกั ษาช่ือเสยี งของตนและรักษาเกียรตศิ ักดิ์ของตำแหนง่ ของตนมใิ ห้

เส่ือมเสีย

(๑๒) กระทำการอ่ืนใดตามท่ี กบป.กำหนด

~ 12 ~

ขอ้ ๓๙ จศป. ต้องไมก่ ระทำการใดอนั เปน็ ข้อหา้ ม ดังตอ่ ไปนี้ ข้อหา้ ม
(๑) ต้องไม่กระทำการอนั เปน็ การลบหลูพ่ ระรตั นตรัย

(๒) ต้องไมร่ ายงานเท็จต่อผ้บู งั คับบญั ชา การรายงานโดยปกปดิ ขอ้ ความซ่ึง

ควรตอ้ งแจง้ ถือว่าเปน็ การรายงานเทจ็ ดว้ ย

(๓) ต้องไมป่ ฏบิ ัตงิ านอันเป็นการกระทำการขา้ มผูบ้ ังคับบญั ชาเหนอื ตน เว้น

แต่ผบู้ งั คบั บญั ชาเหนอื ตนขึ้นไปเปน็ ผู้ส่ังใหก้ ระทำหรอื ไดร้ ับอนุญาตเปน็ พิเศษเปน็ ครั้งคราว

(๔) ต้องไมอ่ าศัยหรือยอมใหผ้ ู้อื่นอาศยั ตำแหน่งหน้าท่ีของตนหาประโยชน์

ให้แก่ตนเองหรือผ้อู ่ืน

(๕) ตอ้ งไม่ประมาทเลินเล่อในหน้าที่

(๖) ตอ้ งไม่กระทำการหรือยอมใหผ้ ู้อ่ืนกระทำการหาผลประโยชน์อนั อาจทำ

ใหเ้ สยี ความเทยี่ งธรรมหรือเส่ือมเสียเกียรติศักด์ิของตำแหน่งหนา้ ที่ของตนหรอื เกดิ ความ

เสียหายต่อ สศป.

(๗) ตอ้ งไม่เป็นกรรมการผู้จดั การหรอื ผจู้ ดั การในห้างหนุ้ ส่วนหรือบริษัท

จำกดั อ่ืน เว้นแตไ่ ด้รบั อนุญาตจาก สศป.

(๘) ต้องไมก่ ระทำการอนั เปน็ การกลั่นแกลง้ กดขี่ หรอื ข่มเหงกนั ในการ

ปฏบิ ัตงิ าน

(๙) ต้องไมก่ ระทำการอนั เปน็ การล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศ

(๑๐) ตอ้ งไม่ดหู มิ่น เหยยี ดหยาม กดขี่ หรอื ข่มเหงประชาชนผตู้ ิดต่องาน

(๑๑) ไม่กระทำการอื่นใดตามที่ กบป. กำหนดไวเ้ ปน็ ขอ้ ห้าม

ขอ้ ๔๐ การกระทำผดิ วนิ ยั ลักษณะดังต่อไปน้ี เปน็ ความผดิ วนิ ัยอยา่ งร้ายแรง
(๑) ปฏบิ ัติหรือละเวน้ การปฏบิ ตั หิ น้าที่โดยมชิ อบเพ่ือให้เกดิ ความเสยี หาย

อย่างรา้ ยแรงแกผ่ ู้ใดผหู้ นึ่ง หรอื ปฏิบัตหิ รอื ละเวน้ การปฏิบัติหนา้ ทโี ดยทจุ ริต
(๒) ละท้ิงหรือทอดทิ้งหน้าท่ีโดยไม่มีเหตผุ ลอันสมควรเป็นเหตุใหเ้ สยี หายแก่

สศป. อย่างรา้ ยแรง
(๓) ละท้ิงหนา้ ท่ีติดต่อในคราวเดยี วกันเปน็ เวลาเกนิ สิบห้าวันโดยไม่มีเหตอุ นั

สมควร หรือโดยมพี ฤตกิ ารณอ์ นั แสดงถึงความจงใจไมป่ ฏิบตั ติ ามระเบยี บของ สศป.
(๔) กระทำการอนั ไดช้ ่ือวา่ เปน็ ผ้ปู ระพฤตชิ ่ัวอยา่ งรา้ ยแรง
(๕) ดหู ม่ิน เหยียดหยาม กดข่ี ข่มเหง หรอื ทำร้ายประชาชนผตู้ ิดต่องาน
(๖) กระทำความผดิ อาญาจนได้รบั โทษจำคกุ หรอื โทษท่ีหนกั กวา่ โทษ

จำคุกโดยคำพพิ ากษาถงึ ท่ีสุดให้จำคกุ หรอื ใหร้ ับโทษหนักกว่าโทษจำคุก เว้นแตเ่ ปน็ โทษ
สำหรบั ความผิดทีไดก้ ระทำโดยประมาทหรือความผดิ ลหโุ ทษ

(๗) ละเวน้ การกระทำหรอื กระทำการใด ๆ อันเป็นการไม่ปฏบิ ตั ิตามข้อ ๓๘
หรือฝา่ ฝืนขอ้ ห้ามตามขอ้ ๓๙ อนั เปน็ เหตใุ หเ้ สยี หายอยา่ งร้ายแรง

~ 13 ~

ขอ้ ๔๑ จศป. ผูใ้ ดกระทำผิดวนิ ัย จะตอ้ งได้รบั โทษทางวินัย เว้นแตม่ เี หตุอันควรงด
โทษตามทก่ี ำหนดไวใ้ นหมวด ๕ แหง่ ข้อบังคับนี้

ขอ้ ๔๒ โทษผิดวนิ ัยมหี ้าสถาน คอื
(๑) ภาคทัณฑ์
(๒) ตัดเงนิ เดอื น
(๓) ลดเงินเดือน
(๔) ปลดออก
(๕) ไล่ออก

ข้อ ๔๓ การลงโทษ จศป. ให้ทำเป็นคำส่ัง ผสู้ ่ังลงโทษตอ้ งสั่งลงโทษให้เหมาะสมกับ
ความผิด และต้องเป็นไปด้วยความยุตธิ รรม และโดยปราศจากอคติ โดยในคำสั่งลงโทษให้
แสดงวา่ ผถู้ กู ลงโทษกระทำผิดวินยั ในกรณีใด และตามข้อใด

การลงโทษ จศป. ตำแหน่งบริหาร ให้เป็นอำนาจของ กบป. ตามหลักเกณฑ์และ
วิธกี ารที่ กบป. กำหนด

การลงโทษ จศป. ตำแหน่งอ่ืนให้เป็นอำนาจของผู้มีอำนาจตามข้อ ๓๐ ตาม
หลักเกณฑ์และวิธกี ารท่ี กบป. กำหนด

หมวด ๕
การดำเนนิ การทางวนิ ัย

ข้อ ๔๔ เมื่อมีการกล่าวหาหรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่า จศป. ผู้ใดกระทำผิดวินัย ให้
ผบู้ งั คบั บัญชามีหนา้ ที่ต้องรายงานให้ผูม้ อี ำนาจตามข้อ ๓๐ ทราบโดยเรว็ และให้ดำเนนิ การ
ตามหลกั เกณฑ์และวิธีการที่ กบป. กำหนด โดยเร็วด้วยความยุติธรรมและปราศจากอคติ
ผมู้ อี ำนาจตามขอ้ ๓๐ จะมอบหมายเป็นลายลักษณ์อกั ษรให้ผบู้ งั คับบัญชาระดับรองลงไป
ปฏบิ ตั ิหน้าที่แทนกไ็ ด้

ข้อ ๔๕ จศป. ผใู้ ดกระทำผิดวินัยอย่างไม่รา้ ยแรง ให้ผูบ้ งั คับบญั ชาส่ังลงโทษตาม
ควรแก่กรณใี ห้เหมาะสมกบั ความผดิ ถ้ามีเหตุอันควรลดหยอ่ นจะนำมาประกอบการ
พจิ ารณาลดโทษก็ได้

ข้อ ๔๖ จศป. ผู้ใดกระทำผิดวินยั อยา่ งร้ายแรง ให้ไดร้ ับโทษปลดออกหรอื ไล่ออก
ถ้ามเี หตุอนั ควรลดหยอ่ น จะนำมาประกอบการพจิ ารณาลดโทษก็ได้ แต่จะต้องไม่ต่ำกว่า
ปลดออก

~ 14 ~

ข้อ ๔๗ จศป. ผู้ใดถกู กลา่ วหาว่ากระทำผิดวินยั อยา่ งร้ายแรง หรอื ถูกฟ้องคดีอาญา
หรือต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เว้นแต่เป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือ
ความผิดลหุโทษ แม้ภายหลังผู้นั้นจะออกจาก สศป. ไปแล้วโดยมิใช่เพราะเหตุมรณภาพ
หรือตาย ผมู้ อี ำนาจตามข้อ ๓๐ ยังมีอำนาจส่ังลงโทษปลดออกหรอื ไล่ออกได้

ข้อ ๔๘ จศป. ผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่า กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้ ง
คณะกรรมการสอบสวน หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรอื ตอ้ งหาว่ากระทำความผิดอาญา เว้นแต่
เปน็ ความผิดท่ีกระทำโดยประมาท หรอื ความผดิ ลหโุ ทษผู้มอี ำนาจตามข้อ ๓๐ มอี ำนาจสั่ง
พักงาน เพ่ือรอฟังผลการสอบสวน หรือการพิจารณาคดีได้ แต่ถ้าภายหลังปรากฏผลการ
สอบสวนพจิ ารณาหรือคำพิพากษาถงึ ท่ีสุดว่าผูน้ ้ันมิได้กระทำผิด หรือกระทำผดิ ไม่ถึงกับถูก
ลงโทษ ปลดออกหรือไล่ออก และไม่มีกรณีท่ีจะตอ้ งออกจากงานด้วยเหตุอื่น กใ็ หผ้ มู้ อี ำนาจ
ตามข้อ ๓๐ สั่งให้ผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติงานในตำแหน่งเดิมหรือตำแหน่งในระดับเดียวกันที่
จะต้องใช้คุณสมบัติเฉพาะทีผู้น้ันมีอยู่เงินเดือนของผู้ถูกสั่งพักงาน และการส่ังพักงาน ให้
เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ี กบป. กำหนด

หมวด ๖
การออกจากงาน
ข้อ ๔๙ จศป. ออกจากงานเม่ือ
(๑) มรณภาพหรอื ตาย
(๒) เกษียณอายุการทำงาน
(๓) ไดร้ บั อนญุ าตใหล้ าออก
(๔) ถูกส่ังให้ออกตามเหตุผลและความจำเปน็ อ่ืนที่ กบป. กำหนด
(๕) ถูกส่ังลงโทษปลดออก
(๖) ถูกส่ังลงโทษไล่ออก
ขอ้ ๕๐ จศป. ผ้ใู ดมีอายุครบหกสิบปีบริบรู ณ์ ให้พน้ จากตำแหน่งเพราะเกษียณอายุ
การทำงานเมื่อสิ้นปงี บประมาณของ สศป.
ในกรณีท่ีเป็นบรรพชิต ให้พ้นจากตำแหน่งเพราะเกษียณอายุการทำงาน เมื่ออายุ
ครบเจ็ดสบิ ปี และสามารถตอ่ อายุการทำงานได้คราวละหนึ่งปี แตไ่ มเ่ กนิ สบิ ปี การนับเวลา
เกษียณอายุ ให้นำความในกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนมาบังคับใช้โดย
อนโุ ลม
ความในวรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม มิให้ใช้บงั คบั แกแ่ ม่กองบาลสี นามหลวง
แม่กองธรรมสนามหลวง ประธานกรรมการการศึกษาพระปรยิ ตั ธิ รรมแผนกสามัญศกึ ษา
ประธานศนู ย์พระปริยัตนิ เิ ทศแห่งคณะสงฆ์ และตำแหน่งอื่นตามที่ กศป. กำหนด

~ 15 ~

ขอ้ ๕๑ จศป. ผูใ้ ดประสงคจ์ ะลาออกจากงาน ใหย้ ่ืนหนงั สอื ขอลาออกล่วงหน้าไม่
น้อยกว่าสามสิบวัน ต่อผู้บังคับบัญชาเหนือข้ึนไปช้ันหนึ่ง เพื่อให้ผู้มีอำนาจตามข้อ ๓๐
พจิ ารณา เม่ือผูม้ อี ำนาจตามขอ้ ๓๐ สั่งอนญุ าตแล้ว จึงให้ออกจากงานได้

ในกรณีที่ จศป. ขอลาออก เพ่ือดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
ตำแหน่งทางการเมืองหรือตำแหน่งอื่นที่ กบป. กำหนด หรือเพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็น
สมาชิกรัฐสภา สมาชิกสภาท้องถ่ิน หรือผู้บริหารท้องถ่ิน ให้ยืนหนังสือขอลาออกต่อ
ผบู้ งั คับบญั ชาตามวรรคหนึ่ง และใหก้ ารลาออกมีผลนับต้ังแตว่ นั ที่ผู้นั้นขอลาออก

ข้อ ๕๒ ให้ผู้อำนาจตามข้อ ๓๐ มีอำนาจสั่งให้ จศป. ออกจากงานได้ในกรณี

ดังตอ่ ไปนี้ดว้ ย เหตุให้ออก
(๑) เจบ็ ปว่ ยไม่อาจปฏิบัตหิ นา้ ทีของตนได้โดยสม่ำเสมอ

(๒) ประพฤติตนไม่เหมาะสมกบั ตำแหนง่ หนา้ ที่ หรือบกพรอ่ งในหน้าท่ีด้วย

เหตอุ นื่ ใด

(๓) ขาดคุณสมบัติ หรือขาดพ้ืนความรอู้ ยกู่ อ่ นบรรจุ โดยไม่ได้รับการยกเวน้

(๔) มีผลการปฏบิ ัตงิ านต่ำกวา่ เกณฑ์ จนเป็นเหตุใหไ้ ม่ไดร้ บั การพิจารณาข้ึน

เงนิ เดือนประจำปี ติดตอ่ กันสามปี เวน้ แตก่ รณเี งนิ เดือนเตม็ ขั้น

(๔) ปฏบิ ัติหน้าท่ีโดยไมม่ ปี ระสิทธภิ าพ หรอื ปฏบิ ตั งิ านโดยใช้ความรู้

ความสามารถไม่ถึงเกณฑ์ที่ สศป. กำหนด

(๖) ถกู กล่าวหาวา่ กระทำผิดวนิ ัยอย่างร้ายแรง และได้มีการสอบสวนแล้ว

ผลการสอบสวนไม่ได้ความว่ากระทำความผิดที่จะถูกลงโทษปลดออกหรือไล่ออก แต่มี

มลทินมวั หมอง ในกรณีท่ีถูกสอบสวน หากให้ปฏิบัติงานตอ่ ไปอาจจะเกิดความเสียหายแก่

สศป.

(๗) ตอ้ งรับโทษจำคุก โดยคำพิพากษาถึงที่สดุ ให้จำคุก กรณีถูกจำคกุ ใน

ความผิดลหโุ ทษหรอื ความผิดทไี ด้กระทำโดยประมาท ถ้าผู้มีอำนาจตามข้อ ๓๐ เห็นว่าไม่

เกิดความเสียหายแก่ สศป. จะไม่ส่ังใหอ้ อกจากงานก็ได้ การให้ออกจากงานตาม (๒) และ

(๕) ใหเ้ ปน็ ไปตามหลักเกณฑแ์ ละวิธีการท่ี กบป. กำหนด

ขอ้ ๕๓ จศป. ผ้ใู ดได้รับอนุมัติจาก สศป. ไปปฏิบัตริ าชการหรอื งานพเิ ศษตามความ
ต้องการของ สศป. หากพ้นกำหนดที่ได้รับอนุมัติแล้วไม่กลบั มาปฏิบัติงานตามปกติ ให้ผู้มี
อำนาจตามข้อ ๓๐ ส่ังให้ผ้นู ั้นออกจากงานได้ ในกรณีท่ีมีเหตุผลและความจำเปน็ ผมู้ อี ำนาจ
ตามข้อ ๓๐ จะสั่งให้ผู้นั้นออกจากงานกไ็ ด้

ข้อ ๕๔ เมื่อ จศป. ผู้ใดไปรับราชการทหาร ตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการ
ทหาร ให้ผมู้ อี ำนาจตามข้อ ๓๐ ส่ังใหผ้ นู้ ้ันออกจากงานเป็นการช่ัวคราวกไ็ ด้

~ 16 ~

ข้อ ๕๕ จศป. ท่ีเปน็ บรรพชติ เมื่อพน้ จากความเป็นบรรพชติ ให้ถอื วา่ พน้ จาก
ความเป็น จศป.

หมวด ๗
การอทุ ธรณ์และการร้องทกุ ข์

ข้อ ๕๖ จศป. ผู้ใด ถูกส่ังลงโทษโดยผู้บังคับบัญชาตามข้อบังคับน้ี ผู้น้ันมีสิทธิ์

อุทธรณ์ต่อผู้มีอำนาจตามข้อ ๓๐ ภายในสามสิบวัน นับแต่วันรับทราบหรือถือว่าทราบ

คำส่ัง

กรณีท่ีผสู้ ่ังลงโทษเป็นผูม้ ีอำนาจตามข้อ ๓๐ หรือไม่เหน็ ด้วยกบั ความเหน็ ของ กบป.

ผู้น้ันมีสิทธ์ิอุทธรณ์ตอ่ กศป. ภายในสามสิบวัน นับแต่วันทราบ หรือถือว่าทราบคำสั่งการ

อุทธรณ์ และการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ กบป.

กำหนด รอ

ข้อ ๕๗ จศป. ผู้ใดมีความคับข้องใจอนั เกิดจากการปฏิบตั ิหรือไม่ปฏบิ ัติตอ่ ตนของ

ผู้บังคับบญั ชา ผู้น้ันมีสทิ ธ์ิร้องทุกข์ต่อผบู้ งั คบั บัญชาตามลำดับชั้นจนถึง กบป. ได้

กรณีที่ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของ กบป. ผู้นั้นมีสิทธิ์ร้องทุกข์ต่อ กศป. ท้ังน้ี ให้

เปน็ ไปตามหลักเกณฑแ์ ละวิธกี ารท่ี กบป. กำหนด รอ

บทเฉพาะกาล

ข้อ ๕๘ ให้ผู้ดำรงตำแหน่งหรือปฏิบัติหน้าท่ีประจำในกองบาลีสนามหลวง กอง
ธรรมสนามหลวง กลุ่มโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา ศูนย์พระปริยัตินิเทศ
แห่งคณะสงฆ์ไทย และสถานศึกษาพระปริยัติธรรม อยู่ในวันก่อนวันท่ีข้อบังคับนี้ใช้บังคับ
เป็น จศป. ตามขอ้ บงั คบั นี้ ทงั้ น้ี ใหเ้ ปน็ ไปตามหลกั เกณฑ์ และวิธกี ารที่ กบป. กำหนด โดย
ความเหน็ ชอบของ กศป.

ข้อ ๕๙ ให้ผอู้ ำนวยการสำนกั งานพระพทุ ธศาสนาแห่งชาตริ กั ษาการ
ให้เปน็ ไปตามข้อบังคับน้ี

ประกาศ ณ วนั ท่ี ๑๐ เดือน กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๓

สมเดจ็ พระวันรัต
(สมเด็จพระวนั รัต)
ประธานกรรมการการศกึ ษาพระปริยตั ิธรรม

~ 17 ~

เรือ่ ง อืน่ ๆ (ถ้ามี)
...................................................................................................................................

...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................
...............................................................................................................................................


Click to View FlipBook Version