The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Gew Wee Nana, 2022-10-20 11:05:43

ประวัติศาสตร์ความเป็นมาบ้านห้วยเสี้ยว

บ้านห้วยเสี้ยว

ประวัติศาสตร์ความเป็นมาบ้านห้วยเสี้ ยว

คำนำ

หนังสือออนไลน์(e-book) จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาเรื่องต่างๆของบ้านห้วยเสี้ ยว เช่น การอพยพ
ประวัติศาสตร์ความเป็นมา วิถีการดำเนินชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่บ้านห้วยเสี้ ยว และวัฒนธรรม และประเพณี เพื่อให้นัก
ศึษาและผู้ที่สนใจศึกษาค้นคว้ามีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของบ้านห้วยเสี้ ยวมากยึ่งขึ้น

ผู้จัดจึงได้รวบรวมข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของบ้านห้วยเสี้ ยวจากแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องต่างๆ เช่น
อินเตอร์เน็ต สัมภาษณ์ เพื่อหวังว่าประวัติศาสตร์ความเป็นมาของบ้านห้วยเสี้ ยวในหนังสือออนไลน์ (e-book) จะเป็นแหล่ง
ความรู้สำหรับที่ผู้สนใจไม่มากก็น้อย

สารบัญ หน้า
2
เรื่อง 3
คำนำ 4
สาบัญ 9
การอพยพเข้าสู่ ประเทศไทยของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง
ประวัติความเป็นมาของบ้านห้วยเสี้ ยว 18
วิถีการดำเนินชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่บ้านห้วยเสี้ ยว 32
วัฒนธรรม และประเพณี 41
สรุป 43
อ้างอิ่ง

การอพยพเข้าสู่ ประเทศไทย
ของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง

กลุ่มชาติพันธุ์ม้งเป็นกลุ่มเชื้ อชาติมองโกลอยด์( Mongoloid ) ซึ่งเป็น
ประชากรเก่าแก่ดั้งเดิมของ ธิเบต มองโกเลียจีน

ภาษาม้งนักภาษาศาสตร์ได้จัดให้อยู่ในตระกูลภาษาม้ง-เมี่ยน ในกลุ่มภาษาจีน-
ธิเบต

กลุ่มชาติพันธุ์ม้ง เป็นกลุ่มแรกที่อพยพเข้าสู่ประเทศไทยนั้นไม่มีหลักฐานใด ๆ บ่ง
ชี้ ได้ชั ดเจนแต่จากเอกสารของสถาบันวิจัยชาวเขาคาดว่าเริ่มต้นอพยพเข้ามาทางตอน
เหนือของประเทศไทย ในราวปี พ.ศ. 2387 – 2417 จุดที่ชนเผ่าม้งเข้ามามีอยู่ด้วย
กัน 3 จุดคือ

1.1 เข้ามาทางห้วยทราย – เชียงของ อำเภอ เชียงของ จังหวัดเชียงราย ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือสุด เป็นจุดที่เข้ามาก่อน และ
เข้ามามากที่สุด หลังจากนั้นแยกย้ายกระจัดกระจายไปตามแนวทองของเส้นเขามุ่งไปทางทิศตะวันตกสู่จังหวัดเชียงใหม่
แม่ฮ่ องสอน ตากและสุโขทัย

1.2 เข้ามาทางไชยบุรี ปัว และทุ่งช้าง เขตอำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน แล้วบางกลุ่มได้อพยพลงสู่ทางใต้และ
ทางตะวันตกเข้าสู่จังหวัดแพร่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ กำแพงเพชร และจังหวัดตาก

1.3 เข้าทางภูคา – นาแห้ว และด่านซ้าย อำเภอนาแห้วและอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย แล้วบางกลุ่มได้เข้ามาสู่จังหวัด
เพชรบูรณ์ในที่สุด

นอกจากทั้งสามจุดนี้แล้ว จุดหนึ่งที่ชาวม้งได้อพยพผ่านมาแต่ไม่มีใครกล่าวถึงคือ เข้ามาทางอำเภอฝาง จังหวัด
เชียงใหม่ โดยผ่านมาทางประเทศพม่า ช่องดอยอ่างขาง ซึ่งเป็นที่กล่าวขันกันว่า ม้งกลุ่มนี้คือกลุ่มที่หลงทางจากการ
อพยพจากจุดที่ 1

ประวัติความเป็นมาของบ้านห้วยเสี้ ยว



บ้านห้วยเสี้ ยวหรือหมู่บ้านห้วยเสี้ ยวตั้งอยู่ที่
ตำบลบ้านปง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่
มีชื่ อหมู่บ้านมาจากลำห้วยเสี้ ยวซึ่งเป็นลำห้วยที่
ไหลผ่านหมู่บ้าน และคำว่าเสี้ ยวมีความหมายว่า
การที่น้ำไหลจากลำห้วยแล้วหายเป็นช่วงๆ บาง
ช่วงเห็นน้ำไหลออกมาบนดิน บางช่วงน้ำก็จะจม
หายไปใต้ดินและจะออกมาในลำห้วยอีกช่วงหนึ่ง

พื้นที่บริเวณบ้านห้วยเสี้ ยวมีลักษณะ
ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบเชิงเขา สูงจาก
ระดับน้ำทะเล 450 เมตร ประกอบด้วยป่าโปร่ง
ผลัดใบ ดิน มีลักษณะเป็นดินร่วนปนทรายและดิน
ลูกรัง ความอุดมสมบูรณ์ต่ำ อุณหภูมิสูงสุด 37
องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 11 องศา
เซลเซียส ปริมาณน้ำฝน 1,277 มิลลิเมตรต่อปี

หมู่บ้านห้วยเสี้ ยวนั้นเป็นชุมชนม้งที่มีการตั้งถิ่นฐานประมาณปี พ.ศ.2518 โดย
ในเวลานั้นพื้นที่ในหมู่บ้านยังเป็นพื้นที่ป่าและไม่มีคนอาศัยอยู่ จุดเริ่มต้นของหมู่บ้าน
เกิดจากการที่ชาวม้งจากหมู่บ้านอื่น ๆ เช่น หมู่บ้านดอยปุย บ้านหนองหอย บ้านน้ำ

ซุ้ม บ้านดอยคำ บ้านแม่โถอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในบ้านห้วยเสี้ ยว โดยสาเหตุมา
จากการที่รัฐบาลไทยมีกฎหมายห้ามการปลูกฝิ่ นทำให้ชาวม้งที่อยู่ในหมู่บ้านเดิมของ
ตนเองไม่สามารถดำรงอยู่ได้ เนื่องจากว่าชาวม้งมีรายได้จากการปลูกฝิ่ นเป็นหลัก จึง
ต้องหาพื้นที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ เพื่ออทำการเกษตร และปรับตัวให้เข้ากับสังคมไทย แต่
ชาวม้งที่อพยพมาในบ้านห้วยเสี้ ยวนั้นก็ตั้งถิ่นฐานอยู่ได้ไม่นาน ซึ่งในปีพ.ศ.2520
ชาวม้งส่วนใหญ่ได้อพยพออกจากหมู่บ้านห้วยเสี้ ยว โดยแบ่งออก เป็น 2 กลุ่มคือ

อพยพกลับไปยังหมู่บ้านเดิมที่เคยอพยพออกมา อพยพไปยังหมู่บ้านใหม่ เหลือ

เพียงบางส่วนที่ยังคงอาศัยอยู่ที่บ้านห้วยเสี้ ยว สาเหตุที่ชาวม้งส่วนมากนั้นย้ายออก
จากหมู่บ้านเนื่องจากบ้านห้วยเสี้ ยวนั้นมีสภาพดินที่ไม่เหมาะ
แก่การเพาะปลูกอะไรเลย ดินมีคุณภาพต่ำ

ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. 2521 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหา
ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินไปทรง
เยี่ยมราษฎรบ้านห้วยเสี้ ยวและได้เห็นถึงปัญหาต่างๆของบ้านห้วยเสี้ ยว
เลยได้มีการจัดตั้งศูนย์โครงการหลวงบ้านห้วยเสี้ ยว และมีการสร้างอ่าง
เก็บน้ำบ้านห้วยเสี้ ยว เพื่อที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวม้งในหมู่บ้าน
และชาวพื้นเมืองบริเวณนั้น เนื่องจากคนในหมู่บ้านห้วยเสี้ ยวนั้นมี
ประชากรที่น้อย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลย
เดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงมีนโยบายต่างๆที่และชักจุงชาวม้งจาก
หมู่บ้านอื่นๆที่ทำอาชีพปลูกฝิ่ นเปลี่ยนมาเพราะปลูกมะม่วงแทนที่บ้าน
ห้วยเสี้ ยว โดยมีนโยบายดังนี้

1.ชาวบ้านทุกครอบครัวที่ย้ายมาจะได้รับพื้นที่ทำกินกันครอบครัว
ละ3ไร่
2.ทางศูนย์โครงการหลวงนั้นจะมีการไถที่ดินในการทำบ้าน และไถ
พื้นที่ในการเพาะปลูก
3.มีการช่วยเหลือในเรื่องปุ๋ยและยา โดยจะให้ปุ๋ย1กระสอบต่อ1ปี
เป็นระยะเวลา3ปี
4.กรณีที่ครอบครัวไหนต้องการย้ายมาที่บ้านห้วยเสี้ ยวสามารถ
ติดต่อศูนย์โครงการหลวง ทางโครงการหลวงมีบริการในการไป
รับและช่วยย้ายข้าวของมายังบ้านห้วยเสี้ ยว
5.ศูนย์โครงการหลวงห้วยเสี้ ยวจะรับซื้ อมะม่วงในราคากิโลกรัม
ละ20บาท

ดังนั้นเมื่อชาวม้งจากหมู่บ้านอื่นๆได้รับรู้ก็พากันอพยพเข้ามาในบ้านห้วย
เสี้ ยวทำให้ประชากรบ้านห้วยเสี้ ยวนั้นมีเยอะมากขึ้น ต่อมาเมื่อ 7
มีนาคมพ.ศ. 2525 ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยเสี้ ยวได้ก่อตั้งขึ้นอย่าง
เป็นทางการ และมะม่วงที่ชาวม้งได้ทำการเพราะปลูกได้ถึงช่วงเวลาที่ต้อง

เก็บเกี่ยวผลผลิต ชาวม้งจึงเก็บมะม่วงและทำการส่งขายให้กับศูนย์โครงการ

หลวงบ้านห้วยเสี้ ยวแต่ราคามะม่วง กิโลกรัมละ 2-3 บาท

ซึ่งไม่ตรงตามนโยบายที่ตั้งไว้กับชาวม้ง ว่าจะให้ราคามะม่วง กิโลกรัมละ 20
บาท ดังนั้นชาวม้งในหมู่บ้านจึงไม่พอใจ บางส่วนจึงเลือกที่จะย้ายออกจาก
หมู่บ้าน บางส่วนที่ยังคงอยู่ในหมู่บ้านได้ทำการตัดต้นมะม่วงออกจนหมด

แล้วหันไปปลูกต้นลำไยแทน หลังจากนั้นชาวม้งบ้านห้วยเสี้ ยวเริ่มไม่สนใจ
ศูนย์โครงการหลวงห้วยเสี้ ยวแล้ว และดูเหมือนว่ามีศูนย์โครงการหลวงไว้ใน

หมู่บ้านเฉยๆโดยไม่มีประโยชน์อะไรกับชาวม้งในบ้านห้วยเสี้ ยวเลย

จนกระทั่งในปีพ.ศ.2545 ศูนย์โครงการหลวงห้วยเสี้ ยวได้เพิ่มการส่งเสริม จาก
การปลูกมะม่วงอย่างเดียวเพิ่มเป็นการปลูกมะละกอและมะระ ทำให้ชาวบ้านนั้น
เริ่มหันมาสนใจโครงการหลวงห้วยเสี้ ยวมากขึ้นจากเดิม ในพ.ศ.2547 ได้มีการ
ส่งเสริมการปลูกผักคะน้า ปีพ.ศ.2549 ส่งเสริมการปลูกผักกวางตุ้ง เมื่อ

ปีพ.ศ.2550 การส่งเสริมการปลูกผักเบบี้ฮ่ องเต้และในปีพ.ศ.2555 ได้มีการส่ง

เสริมการปลูกฟักแม้ว

ทำให้ชาวม้งในบ้านห้วยเสี้ ยวนั้นเริ่มที่จะหันมาให้ความสนใจกับโครงการหลวง
อีกครั้ง จนกระทั่งทุกวันนี้ชาวม้งบ้านห้วยเสี้ ยวก็ยังคงปลูกผักส่งให้กับโครงการ
หลวงห้วยเสี้ ยวและชาวม้งที่เคยย้ายออกไปก็เริ่มทยอยอพยพกลับเข้ามาในบ้าน
ห้วยเสี้ ยวอีกครั้ง ทำให้ในปัจจุบันนี้พื้นที่ในหมู่บ้านห้วยเสี้ ยวนั้นไม่เพียงพอ
สำหรับชาวม้งที่ต้องการจะอพยพเข้ามาในหมู่บ้านห้วยเสี้ ยว
ทำให้คนที่ต้องการจะอพยพเข้ามานั้นต้องซื้ อที่ดิน
จากคนในหมู่บ้านถึงจะมีพื้นที่ที่ใช้ในการสร้างบ้านได้

ปัจจุบันโครงสร้างพื้นฐานของชุมชนบ้านห้วยเสี้ ยวมีดังนี้
1.เส้นทางคมนาคม สภาพถนนที่เข้าถึงหมู่บ้านห้วยเสี้ ยว
เป็นถนนคอนกรีตตลอดทางและมีถนนลำลองเข้าสู่ สวน
ของชาวบ้าน
2.การไฟฟ้า หมู่บ้านห้วยเสี้ ยวได้รับการขยายเขตไฟฟ้า
ครบทุกครัวเรือน

3.น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ในสมัยก่อนนั้นชาวม้งบ้านห้วยเสี้ ยวนั้นใช้น้ำ
จากดอยมะตึนได้มีการสร้างบ่อน้ำขนานเล็กและต่อด้วยไม้ไผ่เพื่อเป็นทาง
น้ำให้ไหลเขาสุบ้านของตนเองใช้น้ำประปาจากอ่างเก็บน้ำของหมู่บ้าน ซึ่ง
มีน้ำไม่ตลอดปีขึ้นอยู่กับแต่ละปีว่าปริมาณน้ำฝนนั้นมีมากหรือน้อย ถ้า
ปริมาณน้ำฝนมีน้อยในช่วงฤดูร้อน เดือน มีนาคม-พฤษภาคม จะไม่มีน้ำ
พอใช้จะปล่อยน้ำเข้าหมู่บ้านเป็นช่วงเวลา
6.00-8.00และ 17.00-19.00 ของทุกวัน
4.โทรศัพท์ มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่วนบุคคล
ทุกครัวเรือน และมีเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์
แค่2เครือข่ายคือ เครือข่ายทรูมูฟ เอชและเครือข่าย ais

วิถีการดำเนินชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ม้งที่บ้านห้วยเสี้ ยว ชาวบ้านห้วยเสี้ ยวเป็นชาวม้งกลุ่มหนึ่งที่ได้ดำเนินชีวิตอยู่ใน
สังคมไทย และได้มีวิถีชีวิตที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง โดยสามารถแสดงให้เห็นถึงในด้านภาษา การแต่งกาย การ
ประกอบอาชีพ ที่อยู่อาศัย การนับถือศาสนา และการศึกษา ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้

1.ภาษา

จากการสำรวจข้อมูลมี 2 ภาษาคือภาษาม้งและภาษาไทยกลาง ในส่วนของภาษาม้งนั้นแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน
คือภาษาม้งเขียวหรือภาษาม้งจั๊ว และภาษาม้งขาวหรือภาษาม้งเด๊อว

ตารางตัวอย่างคำศัพท์ที่แตกต่างกันของม้งเขียวและม้งขาวบ้านห้วยเสี้ ยว

จากตารางข้างต้นทำให้เห็นได้ว่ากลุ่มม้งเขียวและม้ง
ขาวแม้จะมีสำเนียงและคำศัพท์บางส่วนที่แตกต่างกัน แต่
พวกเขาต่างก็สามารถสื่ อสารเข้าใจกันได้ เช่นเดียวกันกับ
ภาษาคำเมืองกับภาษาไทย ซึ่งเป็นจุดที่สังเกตได้ว่าคน
ไหนเป็นม้งเขียวหรือม้งขาวและนอกจากภาษาแล้วยังมี
การแต่งกายที่แสดงถึงการเป็นม้งเขียวและม้งขาว

ส่วนภาษาไทยกลางใช้ในการติดต่อสื่ อสารกับหน่วย
งานของศูนย์โครงการหลวงและการค้าขายเพราะว่าการ
ค้าขายเป็นอาชีพรองลงมาจากการทำเกษตร

2.การแต่งกาย
กลุ่มชาติพันธุ์ม้งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความเด่นชัดในด้านการ

แต่งกาย เป็นเอกลักษณ์ที่สามารถสะท้อนให้เห็นถึง
ประวัติศาสตร์ การดำรงชีวิต และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์
ม้ง โดยกลุ่มชาติพันธุ์ม้งจะมีการแต่งกาย2 ลักษณะคือแบบม้ง

เขียวและม้งขาว สามารถแบ่งลักษณะการแต่งกายได้ดังนี้

ม้งเขียว
หญิง
ยังสวมกระโปรงสีฟ้าแก่ ประดับลายภาพวาดด้วยขี้ผึ้งและมีปักลวดลายใน ส่วนล่างของกระโปรง มีผ้าคาดเอวสี
แดง ผ้าห้อยลงมาสีดำ เสื้ อเป็นสีต่าง ๆ คอปกเสื้ อเล็ก กว่าม้งขาว 4 นิ้ว ขอบปกเป็นรูปโค้ง ไม่มีผ้าโพกหัว แต่มี
ผ้าถักบาง ๆ แถบเป็นลายดอกไม้สีแดง พันรอบมวยผม
ชาย
ใส่กางเกงดำเหมือนม้งขาว แต่เป้ากางเกงหย่อนลงมาจนเกือบถึงพื้น ดินแบบ อาหรับ ปลายขารัดที่ข้อเท้า สวม
หมวกทำด้วยผ้าแพรต่วน ไม่มีขอบ

ม้งขาว
หญิง
สวมกระโปรงผ้าป่านดิบยาวลงมาถึงหัวเข่า มีผ้าพันหน้าแข้งตั้งแต่ข้อเท้ถึงหัวเข่า แต่ปัจจุบันนี้หันมาใส่กางเกงสีดำ
กว้าง ๆ แบบจีน คาดเอวด้วยผ้าสีแดง ปล่อยชายผ้าสี่เหลี่ยมทิ้ง ยาวลงมาด้านหน้าและด้านหลัง คอปกเสื้ อกว้าง
แบบทหารเรือ โพกหัวด้วยผ้าสีคราม หรือสีดำ
ชาย
นุ่งกางเกงดำกว้าง ๆ เป้าหย่อนลงมาไม่มากนัก สวมเสื้ อป้ายอกมีผ้าคาดเอว

การแต่งตัวในปัจจุบันนี้สามารถแบ่งได้เป็น2ลักษณะ
ตามช่วงอายุคือเด็กวัยรุ่น และ ผู้อาวุโส มีดังนี้

1.เด็กวัยรุ่นจะมีการดัดแปลงชุดม้งดังเดิมให้ดูทัน
สมัยขึ้นและเป็นแฟชั้นมากขึ้นแต่ยังคงลวดลาย และ
ลายผ้าปักดังเดิมของชาวม้งไว้ เช่น จากเสื้ อชุดม้งที่
เป็นแขนยาว กลายเป็นแขนสั้ น และจากกระโปรงสั้ น
เป็นกระโปรงยาว เด็กและวัยรุ่นจะนิยมแต่งกายชุดม้ง
แค่ในช่วงเทศกาลเท่านั้น

2.ผู้อาวุโส ยังคงแต่งกายตามลักษณะ
ดังเดิมของชุดม้ง ไม่นิยมแต่งกายเป็น
ชุดแฟชั้ นและมักจะแต่งกายด้วยชุดม้ง
ตลอดเวลาซึ่งจะแตกต่างจากเด็กและวัย
รุ่น

3.การประกอบอาชีพ
ชาวม้งบ้านห้วยเสี้ ยวส่วนมากประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากว่าในอดีตมีการตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่
ในป่าและบนภูเขามีอาชี พหลักคือการทำเกษตรและได้รับสื บทอดการทำเกษตรต่อจากบรรพบุรุ ษและยังมีศูนย์โครงการหลวง
ห้วยเสี้ ยวอยู่ในหมู่บ้านเป็นที่ส่งเสริมและสนับสนุนในการเกษตรที่เป็นผักอินทรีย์และไม่เป็นผักอินทรีย์ โดยมีพืชผักที่สำคัญ
ดังนี้ เช่น มะระ มะละกอ ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ผักเบบี้ฮ่ องเต้ และฝักแม้ว

แต่ในปัจจุบันนี้เด็กรุ่นใหม่นั้นไม่ค่อยที่จะทำการ
เกษตรส่ วนมากจะทำงานเป็นลูกจ้างมากกว่าเนื่ องจาก
บ้างครอบครัวนั้นไม่มีพื้นที่ทำเกษตรและปัจจุบันกรมป่า
ไม้ได้เข้ามาควบคลุมพื้นที่ทำกิน ส่วนบ้างส่วนก็มีการ

ศึ กษาที่ดีและได้ไปทำงานราชการหรืองานเอกชน

4.ที่อยู่อาศั ย
ลักษณะตัวบ้าน ในอดีตตัวบ้านปลูกคร่อมอยู่บนพื้นดินที่ทุบแน่น วัสดุส่วนใหญ่ใช้ไม่เนื้ออ่อน ผนังกั้นระหว่างห้องหรือ
บ้านทำใช้ลำไม้ไผ่ ผ่าคลี่เป็นแผ่น หลังคามุง ด้วยหญ้าคา หรือใบจาก แต่เสาจะเป็นไม้เนื้อแข็ง แปลนเป็นแบบง่าย ๆ ตัว
บ้านไม่มีหน้าต่าง เนื่องจากอยู่ในที่อากาศหนาวเย็น ใกล้กับประตูหลัก จะมีเตาไฟเล็ก และแคร่ไม่ไผ่สำหรับนั่ง หรือนอน
เอาไว้รับแขก กลางบ้านจะเป็นที่ทำงานบ้าน เข้าไปในสุด ด้านซ้ายจะเป็นเตาไฟใหญ่สำหรับ ทำอาหารเลี้ยงแขกจำนวนมาก

และเอาไว้ต้มอาหารหมู บางบ้านจะมีครกไม้ใหญ่สำหรับตำข้าวเปลือก มีลูกโม่หินสำหรับบดข้าวโพด แป้ง ถั่วเหลือง ใกล้
กับที่ทำงานจะมีกระบอกไม้ไผ่รองน้ำตั้งอยู่ สำหรับมุมบ้านฝั่ งซ้ายมักจะกั้นเป็นห้องนอนของพ่อแม่ กับลูก แต่ปัจจุบันนี้
ชาวม้งบ้านห้วยเสี้ ยวเริ่มที่จะมีฐานะเริ่มที่จะสร้างแบบตามคนพื้นเมือง

5.การนับถือศาสนา
ในปัจจุบันชาวม้งบ้านห้วยเสี้ยวนับถือศาสนาคริสต์ ศาสนาพุทธ ศาสนาผี ซึ่งภายในบ้านห้วยเสี้ยว มีศาสนาสถาน

จำนวน2 แห่ง คือ คริสตจักรห้วยเสี้ยว และวัดคาทอลิก

6.การศึ กษา

ชาวม้งในชุมชนห้วยเสี้ ยวในอดีตนั้นไม่ได้รับการศึกษาและบางส่วนที่ได้รับการศึกษานั้นจบ.แค่ชั้นป.6เท่านั้น
เนื่องจากว่าในหมู่บ้านห้วยเสี้ ยวนั้นไม่มีโรงเรียนและต้องเดินทางไปเรียนที่โรงเรียนวัดคีรีเขตเป็นโรงเรียนประถม
ศึกษา ซึ่งห่างจากหมู่บ้านประมาณ3กิโลเมตรซึ่งเป็นระดับการศึกษาสูงสุดคือป.6 และพ่อแม่ก็ไม่มีเงินที่จะส่งให้ลูก

เรียนในระดับที่สูงกว่านี้

แต่ว่าในปัจจุบันนี้ ระดับการศึ กษาของชาวม้งใน
ชุมชนห้วยเสี้ ยวนั้นสูงขึ้นเพราะว่าเริ่มมีฐานะที่ดีขึ้น
และสามารถส่ งลูกไปเรียนที่อื่นๆได้และปัจจุบันนี้ มี
หลายทางเลือกในการส่ งลูกไปเรียนโดยลดภาระของ

พ่อแม่ได้ เช่นการส่งไปเรียนโรงเรียนประจำ
โรงเรียนที่ชาวม้งห้วยเสี้ ยวมักที่จะส่งลูกไปเรียนคือ

โรงเรียนศึ กษาสงเคราะห์เชี ยงใหม่

วัฒนธรรม และประเพณี
ชาวเขาเผ่าม้งบ้านห้วยเสี้ ยวมีประเพณีและวัฒนธรรมตลอดทั้งความเชื่ อ เป็นของตนเองสืบ

มาแต่บรรพบุรุษ ดังนี้

1.ประเพณีฉลองปีใหม่ หรือที่เรียกกันว่า “น่อเป๊เจ่าซ์” แปลว่ากินสามสิบ โดยถือเอาวันสุดท้ายคือ 30 ค่ำ ของเดือน 12
ในทุกปีเป็นวันส่งท้ายปีเก่า อยู่ในราวปลายเดือนพฤศจิกายน ถึง ธันวาคม ชาวม้งจะประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ทุกคนจะสวม
เสื้ อผ้าชุดใหม่ ประดับเครื่องเงินสวยงาม เด็ก ๆ จับกลุ่มกันเล่นลูกข่าง และร้องรำทำเพลง หนุ่มสาวจะจับคู่กันโยนลูกช่วง
พูดคุยกัน

2.ประเพณีแต่งงาน หรือที่เรียกกันว่า “น่อ ช่ง” ชาวม้ง จะไม่เกี้ยวพาราสี หรือแต่งงานกับคนแซ่หรือ
ตระกูลเดียวกันเพราะถือเป็นพี่น้องกัน ชาวม้งนิยมแต่งงาน ในระหว่างอายุ 15 – 18ปี เมื่อแต่งงานกันแล้ว
ฝ่ายหญิงจะย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของฝ่ายชาย ซึ่งนับเป็นการเพิ่มสมาชิกในครอบครัวชายชาวม้งอาจมีภรรยา
ได้มากกว่าหนึ่งคน อยู่รวมกันในบ้านของฝ่ายสามี

3.การละเล่นลูกช่วง หรือที่เรียกกันว่า “จุเป๊าะ” ในวาระขึ้นปีใหม่ม้งจะมีการละเล่นเพื่อ
ฉลองวันปีใหม่โดยเฉพาะ การเล่นลูกช่วง มีลักษณะกลมเหมือนลูกบอลทำด้วยเศษผ้า มี
ขนาดเล็กพอที่จะถือด้วยมือข้างเดียวได้

วิธีการเล่น
3.1 การละเล่นลูกช่วง จะแบ่งกลุ่มผู้เล่นออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายหญิงกับฝ่ายชายโดยที่ก่อนจะมีการละเล่น ฝ่ายหญิงจะเป็นผู้ที่เอา
ลูกช่วงไปให้ฝ่ายชาย หรือญาติ ๆ ของฝ่ายหญิงเป็นผู้ที่นำลูกช่วงไปให้ฝ่ายชาย เมื่อตกลงกันได้ก็จะทำการโยนลูกช่วงโดยฝ่ายหญิง
และฝ่ายชายแต่ละฝ่ายจะยืนเป็นแถวหน้า กระดานเรียงหนึ่ง หันหน้าเข้าหากันมีระยะห่างกันพอสมควร แล้วโยนลูกช่วงให้กันไปมา
และสามารถทำการสนทนา กับคู่ที่โยนได้
3.2จุดประสงค์ของการเล่น เพื่อความสนุกสนานเป็นการฉลองปีใหม่ และเป็นการหาคู่่ให้กับหนุ่มสาว เพื่อมิตรภาพที่ดีต่อกัน ส่วน
หญิงที่แต่งงานแล้วจะไม่มีสิทธิ์ในการเล่นลูกช่วงอีก เพราะถือว่าผิดตามธรรมเนียมของม้ง ส่วนฝ่ายชาย สามารถเล่นได้แต่อยู่ที่ว่า
ฝ่ายหญิงจะทำการยินยอมเล่นกับตนหรือไม่ แล้วแต่ฝ่ายหญิงสาวคนนั้น การเล่นลูกช่วง ยังเป็นการช่วยฝึกทักษะความชำนาญใน
การคว้าจับสิ่งของที่พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้าการเล่นลูกช่วงหนุ่มสาวที่เล่นลูกช่วงจะร้องเพลงโต้ตอบกัน เพิ่มความสนุกสนานในการ
เล่น

4.กีฬาแข่งขันรถม้ง หรือที่เรียกกันว่า”จัง เชช ดง” การแข่งขันรถ
สามล้อจะมีเฉพาะในเทศกาลปีใหม่เท่านั้น
จะเป็นการเล่นของเด็ก และผู้ใหญ่ ซึ่งสมัยก่อนม้งไม่มีรถ หรือยวดยาน
พาหนะใช้ในการเดินทาง และไม่มีของเล่นให้กับเด็ก ๆ
ได้เล่นกัน เนื่องจากอยู่ห่างไกลจากความเจริญมาก ดังนั้นไม่สามารถที่
จะหาซื้ อของเล่นให้กับเด็ก ๆ
เล่นได้ ดังนั้นผู้ใหญ่จึงได้คิดค้นสร้างรถสามล้มขึ้นให้กับ เด็ก ๆ ได้เล่น
กัน ต่อมาจึงได้มีการนำมาขี่แข่งขันกัน
และได้มีวิวัฒนาการที่จะพัฒนาให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้ผู้ใหญ่สามารถ
ที่จะเล่นได้ จึงได้มีการประกวดแข่งขันกันว่า รถคันไหนไปไกลที่สุด
และรถคันไหนตกแต่งได้สวยงามที่สุด

5.การเล่นลูกข่าง หรือที่เรียกกันว่า “เดาต้อลุ๊”
เป็นการละเล่นอีกอย่างหนึ่งที่นิยมเล่นกันในวันขึ้นปี
ใหม่ของม้ง เป็นการละเล่นสำหรับผู้ชายโดยเฉพาะ
การเล่นลูกข่างในโอกาสเช่นนี้จะแยกเล่นเป็นวงผู้ใหญ่
และวงเด็ก ซึ่งในกติกาในการเล่นจะถูกแบ่งออกเป็น
สองฝ่าย โดยที่ฝ่ายหนึ่งจะเป็นฝ่ายตีลูกข่างที่กำลัง
หมุนอยู่ของอีกฝ่าย โดยฝ่ายที่ตีนั้นจะต้องพยายามตี
ลูกข่างให้ถูกมากที่สุด ซึ่งถ้าหากสามารถทำการตีถูก
มาก ก็จะสามารถทำการตีต่อไปได้ แต่หากตีไม่ถูกก็จะ
ต้องเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายหมุนลูกข่างให้อีกฝ่ายผลัดไป
เป็นฝ่ายตีแทน

6.การแสดงการเป่าแคนของม้ง หรือที่เรียกว่า “ชัว เฆ่น”
ใช้แสดงในงานเทศกาลปีใหม่ และวันสำคัญต่าง ๆ เท่านั้น
เป็นการสื่ อถึงวิถีชีวิตม้ง เนื่องจากเครื่องดนตรีแคน หรือเฆ่น
(ภาษาม้ง) นั้นเป็นอุปกรณ์คู่กายของชายม้ง เช่นกันที่ใช้ใน
การสื่ อถึงการบอกรักกับหญิงสาว หรือสามารถที่จะใช้แคนใน
การทำ พิธีกรรมต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน งานศพ เป็นต้น ซึ่ง
ปัจจุบันมีให้เห็นได้มากในยูทูป เช่น วิดีโอ แคนม้ง ไกรสร แซ่
ว่าง แหล่งที่มา:https://www.youtube.com/watch?
v=ngO5JMcG0Rc

7.การแสดงการรำกระด้งของม้ง หรือที่เรียกันว่า “เซง เจ วะ” จะแสดงในงานเทศกาลปีใหม่ และ
วันสำคัญต่าง ๆ เท่านั้น เป็นการสื่ อถึงเครื่องมือเครื่องใช้ของม้ง ซึ่งอดีตนั้นม้งนิยมใช้กระด้งในการฟัด
ข้าว หรือใช้เป็นอุปกรณ์ในการทำขนมม้ง ดังนั้นม้งจะขาดกระด้งไม่ได้เลย ซึ่งกระด้งมี ความสำคัญ
ต่อม้งมากเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน

สรุป




จากการที่ได้ไปสัมภาษณ์และรวบรวมข้อมูลพบว่า บ้านห้วยเสี้ ยวนั้นเกิดขึ้นในช่วงปีพ.ศ.2518 มีประวัติ
ความเป็นมาที่มีความซับซ้อนเนื่องจากว่ามีการอพยพเข้าและอพยพออกหลายครั้ง โดยการอพยพเข้ามาครั้ง
แรกเป็นการบุกเบิกหมู่บ้านจากเดิมที่เป็นป่าทึบ ต่อมาเมื่อชาวม้งรู้ว่าสภาพดินที่บ้านห้วยเสี้ ยวนั้นไม่มีความอุดม
สมบูรณ์ไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้จึงพากันอพยพออกจากหมู่บ้าน หลังจากนั้นพระบาทสมเด็จพระบรมชน
กาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้มาก่อตั้งศูนย์โครงการหลวงห้วยเสี้ ยวในปี
พ.ศ. 2521 ทำให้ชาวม้งเริ่มมีการย้ายเข้ามาในหมู้บ้านห้วยเสี้ ยวอีกครั้ง พอถึงในปีพ.ศ. 2525 ศูนย์พัฒนา
โครงการหลวงห้วยเสี้ ยว
ได้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ และมะม่วงที่ชาวม้งได้ทำการเพราะปลูกได้ถึงช่วงเวลาที่ต้องเก็บเกี่ยวผลผลิต ชาว
ม้งจึงเก็บมะม่วงและทำการส่งขายให้กับศูนย์โครงการหลวงบ้านห้วยเสี้ ยวแต่ได้ราคาไม่ตามที่ตกลงกันไว้ ดังนั้น
ชาวม้งในหมู่บ้านจึงไม่พอใจและพากันอพยพออกจากหมู่บ้าน

จนกระทั่งในปีพ.ศ.2545-พ.ศ.2555 ศูนย์โครงการหลวงห้วยเสี้ ยวได้เพิ่มการส่ งเสริม จากการปลูก
มะม่วงอย่างเดียวเพิ่มเป็นการปลูกมะละกอ มะระ ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ผักเบบี้ฮ่ องเต้และฝักแม้ว ทำให้

ชาวม้งเริ่มย้ายเข้ามาหมู่บ้านห้วยเสี้ ยวอีกครั้งจนถึงปัจจุบัน ซึ่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงเป็นผู้ที่บทบาทสำคัญที่ได้ก่อตั้งศูนย์โครงการหลวง
ห้วยเสี้ ยวซึ่งเป็นส่ วนสำคัญในการส่ งเสริมให้ชาวม้งทำการเกษตรที่ไม่มีสารเคมีมากและรับซื้ อพืชผล

ของชาวม้งแต่ต้องเป็นต้นกล้าที่มาจากศูนย์โครงการหลวงเท่านั้น ทำให้ชาวม้งนั้นสามารถประกอบ
อาชีพและดำรงชีวิตอยู่ได้แบบมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจนถึงปัจจุบัน

อ้างอิง

สมรัก ธรรมรังกา, สุพัตรา ตังกุ, ภูมิใจ จงสวัสด./(2554). เชื้ อชาติ(Race). นักศึกษา
ปริญญาตรีชั้นปีที่ 2

โปรแกรมวิชาสั งคมศึ กษาคณะมนุษยศาสตร์และสั งคมศาสตร์,19-22

มูลนิธิโครงการหลวง. ( 2555). เผ่าม้ง. สืบค้นเมื่อ 2 ตุลาคม 2565 จาก

https://www.royalprojectthailand.com/node/797
มูลนิธิโครงการหลวง. ( 2555). ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงห้วยเสี้ ยว. สืบค้นเมื่อ 2 ตุลาคม
2565 จาก

https://royalprojectthailand.com/huaisiao
โครงการหลวงห้วยเสี้ ยว. ( 2015). Top Chiang Mai สุดยอด ที่เที่ยว. สืบค้นเมื่อ 2
ตุลาคม 2565 จาก

https://bit.ly/3McLXnBอิมธิรา อ่อนคำ. (2554). วิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง :
กรณีศึกษาบ้านแม่สาใหม่ ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม

ไกรสร แซ่ว่าง. (2015). แคนม้ง ไกรสร แซ่ว่าง, สืบค้นเมื่อ 5 ตุลาคม 2565 จาก
https://www.youtube.com/watch?v=ngO5JMcG0Rc

จังหวัดเชียงใหม่ (รายงานผลการวิจัย). สมุทรปราการ: คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัย
หัวเฉียวเฉลิมพระ เกียรติ
ทวีศักดิ์ สว่างยิ่งเจริญ ( 1 ตุลาคม 2565). สัมภาษณ์.
เทวฤทธิ์ สว่างยิ่งเจริญ. (1 ตุลาคม 2563). สัมภาษณ์.
เกศมณี แซ่ย่าง. (1 ตุลาคม 2563). สัมภาษณ์.
กมล เลาว่าง. ( 2 ตุลาคม 2563). สัมภาษณ์.
ประพัฒน์ สว่างยิ่งเจริญ. ( 2 ตุลาคม 2563). สัมภาษณ์.
มนัส แซ่ย่าง. ( 2 ตุลาคม 2563). สัมภาษณ์.


Click to View FlipBook Version