The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by peeradasao, 2023-01-08 04:31:09

เรื่องราวต่างๆในราชวงศ์โจว

pdf_20230108_155010_0000

เรื่องราวต่างๆในราช
วงศ์โจว

คำนำ



รายงานเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของ
วิชาคอมพิวเตอร์ชั้น ม.2เพื่อให้ได้ศึกษา
หาความรู้ในเรื่อง เรื่องราวต่างๆราชวงศ์
โจวและได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็น
ประโยชน์กับการเรียน


ผู้จัดทำหวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็น

ประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษา ที่
กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำ

หรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้อม
รับไว้และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย




ด.ญ. พีรดา เสาแสง
วันที่ 7 ธ.ค. 65

ราชวงศ์โจว หรือ ราชวงศ์จิว เป็นราชวงศ์ที่ 3 ในประวัติศาสตร์จีน
ปกครองอารยธรรมจีนประมาณ 1123 ปีก่อนคริสต์ศักราช - 256 ปีก่อน

คริสต์ศักราช นับว่าเป็นราชวงศ์ที่ปกครองยาวนานที่สุด ด้วยเวลาที่
ยาวนานกว่า 867 ปี ทั้งนี้ยังเป็นราชวงศ์ที่มีเรื่องราวของการสู้รบระหว่าง
แว่นแคว้นต่างๆ เพื่อชิงความเป็นใหญ่จนทำให้บ้านเมืองแตกแยก รวมทั้ง
ยังเป็นยุคแห่งการกำเนิดของเหล่านักปรัชญาเมธีหลายท่าน อาทิ ขงจื๊อ,

เล่าจื๊อ, ซุนวู เป็นต้น
ราชวงศ์โจวแบ่งออกเป็น 2 ยุค ได้แก่



1. ยุคราชวงศ์โจวตะวันตก ปกครองราว 1046 – 771 ปีก่อนคริสต์ศักราช
สถาปนาขึ้นโดยพระเจ้าโจวอู่หวังหรือ จีฟา ภายหลังโค้นล้มราชวงศ์ซางลง
ได้สำเร็จ โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่ซีอาน มีกษัตริย์ปกครองทั้งสิ้น

12 พระองค์



2. ราชวงศ์โจวตะวันออก ปกครองราว 771-256 ปีก่อนคริสต์ศักราช
ปกครองสืบต่อจากราชวงศ์โจวตะวันตกโดยพระเจ้าโจวผิงหวัง ได้ย้าย
เมืองหลวงมาอยู่ที่ลั่วหยาง ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองซีอาน ในสมัยนี้
เกิดการแย่งชิงอำนาจกันของเหล่าอ๋องและการแข็งเมืองของเหล่าอ๋อง
ทำให้เกิดความไร้เสถียรภาพในการปกครองเกิดขึ้นจนนำไปสู่การล่มสลาย
ของราชวงศ์ โดยในราชวงศ์โจวตะวันออกมีการแบ่งออกเป็น 2 ยุค โดยยุค
แรกเรียกว่า ยุคชุนชิว และยุคสุดท้ายเรียกว่า ยุคจ้านกว๋อ จนราชวงศ์โจว

ล่มสลาย



1. ยุคชุนชิว ยุคนี้เป็นยุคที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายในอาณาจักร แว้นแคว้น
ต่าง ๆ เกิดความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันจนเกิดสงครามระหว่างแคว้นต่างๆ
ผู้คนเดือดร้อนทุกข์ยากจนก่อเกิดนักปราชญ์นักปรัชญาขึ้นและมีโอกาส
เข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ทางสังคม ไม่ว่าจะเป็น
ด้านปรัชญา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม รวมทั้งการ
ปกครอง ผู้คนในเวลานั้นต่างก็ต้องการที่พึ่ง ผู้ปกครองก็ต้องการแม่ทัพผู้
ปราชญ์เปรื่องเรื่องยุทธวิธีการวางแผน วางกำลังการรบที่เหนือกว่าคู่แข่ง
จึงทำให้มีผู้คนมากมายรับฟังนักปราชญ์ และเกิดนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงขึ้น

มากมาก อย่างเช่น ขงจื้อ เล่าจื่อ หรือซุนวูผู้เขียนตำราพิชัยสงคราม



2. ยุคจ้านกว๋อ เป็นยุคแห่งการทำสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่ของ
แว่นแคว้นต่างๆ อันได้แก่ แคว้นฉู่ แคว้นเจ้า แคว้นเอี้ยน แคว้นฉี แคว้นฉิน

แคว้นห่าน และแคว้นวุ่ย จนในที่สุดฉินหวังเจิ้งหรือฉินสื่อหวงหรือจิ๋นซี
ฮ่องเต้ ฮ่องเต้แห่งแคว้นฉินก็เก็บกวาดแค้วนต่างๆ ทั้ง 6 แคว้นรวบรวม

เป็นหนึ่งเดียวจนเป็นปึกแผ่นและสถาปนาราชวงศ์ฉินขึ้นมาในที่สุด

ความก้าวหน้าทางวิทยาการ



เกิดนวัตกรรมการถลุงแร่เหล็ก โดยใช้วิทยาการเตาเผา ความ

ร้อนสูง
เตาเผาถลุงเป็นเตาเผาแบบพ่นลม
เครื่องมือเครื่องใช้ อาวุธผลิตจากเหล็ก
ทองสัมฤทธิ์มีการใช้ในการผลิตเครื่องใช้ในราชสำนัก ชนชั้นสูง
และพิธีกรรม เป็นเครื่องกำหนดสถานะผู้คน
การเพาะปลูกได้ผลผลิตมาก จากการใช้เหล็กทำเครื่องมือ
การค้าขายสินค้าจากเหล็กมีแพร่หลายจำนวนมาก
เครื่องมือเครื่องใช้จากเหล็กกล้ายเป็นเครื่องมือผ่อนแรง การ
ขยายพื้นที่การเกษตร การก่อสร้าง การขุดคู คลอง แม่น้ำ
มีการใช้รถม้าเป็นพาหนะ ทำให้การคมนาคมสะดวกขึ้น




เศรษฐกิจ

ที่ดิน



มีการทำสำมโนครัวเรือนและที่ดิน เพื่อประโยชน์ในการเก็บภาษี
สมัยตอนต้นใช้ระบบศักดินา โดยขุนนางจะได้รับที่ดิน แรงงาน

สัตว์เลี้ยง และเครื่องมือ
แรงงานสามารถชื้อ-ขายได้
ขุนนางใช้ระบบจัดสรรที่ดินให้แก่ชาวนา ดังนี้
ชาวนา 8 ครัวเรือน เข้าทำกินครัวเรือนละ 1 ส่วน
ชาวนาทั้ง 8 ส่วน ต้องทำนาให้เจ้าของที่ดิน 1 ส่วน
ในตอนปลาย ระบบจัดสรรที่ดินเสื่อมไป เปลี่ยนเป็นระบบจับจอง
ที่ดิน โดยให้ชาวนาเสียภาษีตามจำนวนที่จับจอง (ค่านา)
ต่อมาเมื่อรัฐขยายขึ้นที่ดินถูกจัดสรรแก่ชาวนา สามารถมีกรรม
สิทธ์ซื้อ-ขายได้ ไม่มีภาระผูกพันกับขุนนาง
ชาวนามีหน้าที่เสียภาษีค่านาให้แก่รัฐ




การเพาะปลูก



การเกษตรมีความก้าวหน้า เพราะเครื่องมือทำจากเหล็ก เช่น

คันไถ
การเพาะปลูกขยายพื้นที่ได้มากขึ้น
มีการขุดคลองเพื่อส่งน้ำ และการขนส่งผลผลิต
ในตอนปลายชาวนาสามารถบุกเบิกที่ดินทำกินได้อย่างเสรี
กลุ่มพืชที่เพราะปลูกได้แก่ ข้าวสาลี ข้าวเจ้า ถั่วเหลือง ธัญพืช
มีวิธีการอนุรักษ์ที่ดินโดย ใช้ปุ๋ยมนุษย์ การไถหว่าน ปลูกเรียง

แถว การปลูกพืชหมุนเวียน
มีระบบระบายน้ำที่ดี

มีการจัดระบบชลประทานโดยเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเป็นผู้ดูแล



การค้าขาย



สินค้ามีจำนวนมากขึ้นเนื่องจากวิทยาการ การถลุง

แร่โลหะเหล็ก
เมืองหลวงเป็นศูนย์กลางการค้า
การค้ามีความซับซ้อน มีการเรียกเก็บส่วยและอากร
ตอนต้นใช้เบี้ยหอยในการแลกเปลี่ยน
ในตอนปลายเปลี่ยนมาเป็นใช้เหรียญกษาปณ์

ทองแดง (copper)
การใช้เงินตรานับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการตลาด

อย่างแท้จริง
สินค้าที่ทำรายได้งดงามกล้ายเป็นสินค้าต้องห้าม

เช่น เหล็ก เกลือ

การเมืองการปกครอง ระเบียบบริหารของรัฐ



ผู้นำตั้งตนเป็นราชา(wang)บนทฤษฎีคติเดิมของราชวงค์ชาง

เกิดทฤษฎีอ้างถึงเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
ราชวงค์ชาง คือ พระเจ้าตี้ (TI)

ราชวงค์โจว คือ พระเทพสวรรค์หรือฟ้า (Tien)
เทพแห่งสวรรค์จะมอบอำนาจให้ผู้ใดผู้นั้นมีอำนาจในการปกครอง และสามารถเพิกถอนอำนาจ

ได้ทุกเมื่อ
ราชาเป็นโอรสแห่งสวรรค์
จากความเชื่อดังกล่าวเป็นพลังหลักในการรวมบ้านเมือง
จีนถือว่า แผ่นดินมีจักรพรรดิองค์เดียวเหมือนท้องฟ้ามีพระอาทิตย์ดวงเดียว
จักรพรรดิทรงไว้ซึ่งอำนาจเด็ดขาดเพียงผู้เดียว
จักรพรรดิเป็นผู้เชื่อมต่อพิภพกับสวรรค์ (เป็นผู้ติดต่อสวรรค์)
การปกครองที่ดีคือการปกครองตามประสงค์ของสวรรค์จึงต้องมีการตั้งพิธีบวงสรวง
จักรพรรดิและผู้ปกครองต้องปกครองโดยธรรม
พระราชกำเนิดหรือการเป็นโอรสสวรรค์ไม่สามารถคุ้มครองจักรพรรดิผู้ประพฤติผิดธรรม
สวรรค์สามารถเพิกถอนให้ผู้อื่นหรือวงศ์อื่นได้




การทหาร

แผ่นดินโจวขยายตัวจากสังคมเกษตร จึงไม่มีระเบียบบริหารที่ดี
การปกครองใช้อำนาจส่วนกลางและวัฒนธรรมเป็นสื่อโดยถือว่า แผ่นดิน

ใดที่มีภาษาวัฒนธรรม พิธีกรรม แบบโจว ถือว่าเป็นโจว
โจวใช้กุศโลบายกลืนชาติโดยใช้ภาษาและวัฒนธรรมในวการขยายอำนาจ

การปกครองใช้ระบบศักดินาสวามิภักดิ์ โดยมีการแบ่งซอยย่อยไปตาม
ลำดับชั้น

การปกครองถือสายสำพันธ์เครือญาติเป็นหลัก โดยผู้ปกครองส่วนใหญ่
มาจากเครือญาติพี่น้อง

เมืองหลวงมีกำแพงล้อมรอบ เป็นชุมชนขนาดใหญ่
เมืองนครรัฐน้อยใหญ่ก็มีการสร้างกำแพงและผังเมืองตามแบบของโจว
เมืองนครรัฐเปรียบประดุจรัฐบริวาล ลดลั่นความสำคัญไปตามลำดับส่วน

ใหญ่เป็นเมืองป้อมปราการ
คนที่อยู่ในนครรัฐส่วนใหญ่มักเป็นตระกูลเดียวกันหรือเชื้อชาติเดียวกัน

นักรบเป็นชนชั้นผู้ปกครอง
ผู้ปกครองตามระดับชั้นได้รับการแต่งตั้งจากจักรพรรดิ ยศถา

บรรดาศักดิ์ และมีพิธีแต่งตั้งเข้ารับตำแหน่ง
ผู้ปกครองจะได้รับบรรณการเป็นสิ่งของ ที่ดิน และกำลังคน แรงงาน และ

มีกองทัพเป็นของตน โดยจัดระเบียบบริหารตามเมืองหลวง
การทหาร





กองทัพโจว ใช้กลรถศึกหุ้มเกาะหนัก การรบบนหลัง

ม้าและทหารราบ
มีการเกณฑ์ชาวนาเป็นทหารราบหรือไพร่ราบ
อาวุธหลักเป็นธนู หน้าไม้ ดาบเหล็กปลายยาว

เริ่มมีทหารอาชีพรับจ้าง
กำลังหลัก คือ ทหารม้าและทหารราบ
การรบต้องฝึกตามตำราพิชัยยุทธศิลปะ (Ping-fa)

ของชุนจื๊อ

การเสื่อมของระบบศักดินาสวามิภักดิ์ในยุค

ปลาย



ในยุคหลังได้เกิดบรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิตจำนวนมาก
บรรดานักปราชญ์เห็นว่าผู้ปกครองไม่ได้ปกครองโดยชอบธรรมจึงมี
แนวคิดในการปกครองแบบรวมอำนาจโดยมีผู้ปกครองที่มีคุณธรรม

เกิดระบบราชาธิปไตย ที่รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง
มีการแต่งตั้งเสนาบดีเป็นเจ้ากระทรวง ทบวง กรม เพื่อบริหารราช

สำนัก พิธีกรรม ทรัพยากรในแผ่นดิน เก็บส่วยอากร
เสนาบดีและผู้ใกล้ชิดเป็นสุภาพชนผู้ทรงความรู้

การปกครองนครรัฐ ผู้ปกครองจะต้องมาจากการโปรดเกล้าแต่งตั้ง
ระดับล่างของภูมิภาคคือ ระดับเมือง ตำบล หมู่บ้าน

การปกครองของส่วนผู้มิภาคเป็นอิสระจากส่วนกลางภายใต้การดูแล
ของผู้ตรวจการแผ่นดิน

สังคม



เมืองหลวงมีกำแพงคันดินล้อมรอบยาวประมาณ 3

กิโลเมตร
ผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
เมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้น เกิดเมืองใหม่ตามที่ราบแม่น้ำมี
วัดเป็นสูนย์กลางการปกครอง มีกำแพงล้อมรอบเพื่อ
ป้องกันพวกเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์
ในเมืองประกอบด้วยที่อยู่ของชนชั้นสูงที่มีรั่วรอบขอบ
ชิด พื้นที่อาศัยของช่าง พื้นที่การค้า แหล่งบันเทิง ร้าน
อาหาร โรงแรม หอนางโลม พื้นที่ทำไร่ไถนาอยู่นอก

กำแพงเมือง
ชาวไร่ชาวนาต้องถูกเรียกเกณฑ์ขึ้นป้อม ค่าย ประตูหอ
โคตรรวงค์ขยายเพิ่มขึ้นเป็น 100 แซ่ แต่ละแซ่ล้วนมี

อำนาจปกครอง

สังคมช่วงปลายสมัยโจว




ชนชั้นสูงประกอบด้วยผู้นำรัฐ เหล่า

ขุนนางในราชสำนัก เสนาบดี

ชนชั้นกลางได้แก่บริวาล ผู้ติดตาม

ขุนนาง เช่น นักรบ ทนายหน้าหอ เสมียน

อาลักษณ์ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ผู้ทำงานใน

ทำเนียบ

ชนชั้นต่ำ ประกอบด้วย สามัญชน ชาวไร่

ชาวนา ทาส

ปัญญาชน ทหาร นักรบ สามารถเลื่อน

ระดับขึ้นเป็นชนชั้นสูงได้

พ่อค้าที่มั่งมี มีอำนาจอิทธิพลในสังคม

ชนชั้นสูงต่างต่อสู้กันทุกรูปแบบเพื่อ

ภูมิปัญญา แข่งขันครอบครองชนชั้นล่าง

ปรัชญาถือกำเนิดขึ้นจาก




ความไม่สงบสุขจากสงคราม การแบ่งฝ่าย

พิธีกรรมเซ่นไหว้บวงสรวงไม่ได้ทำให้จีน

สงบสุขอย่างแท้จริง

ราชวงศ์ไม่สามารถล้มล้างได้ เพราะ

คตินิยมเทวาราชาธิปไตย

เกิดแนวคิดของบรรดานักปราชญ์ที่เชื่อว่า

“มนุษย์คือสัตว์สังคม และสัตว์การเมือง

สังคมจะดีหรือเลว

เกิดสำนักนักคิดนักปราชญ์นับร้อยแห่ง ที่

สำคัญและขึ้อได้แก่ ขงจื๊อ หยิน หยาง

(ลัทธินิยมธรรมชาติ) เล๋าจื๊อ (เต๋า) ม่อจื๊อ

(โม่จื๊อ) เม่งจื๊อ ชุนจื๊อ เฟยจื๊อ(ฝาเจี่ย-นิติ

นิยม)

อักษรศาสตร์



ในสมัยโจวตอนปลายเกิด
วัฒนธรรมต้นแบบชั้นครู (ยุค

คลาสสิค)
เกิดวรรณกรรมตำราจีนคลาสสิค 3

ประเภท คือ
ตำรา 5 เล่ม (กวีนิพนธ์,
ประวัติศาสตร์, โหราศาสตร์,
พิธีกรรม, ประวัติศาสตร์ยุคชุนชิว)

ศิลปกรรม



เริ่มมีการใช้กระเบื้องมุงหลังคา
ใช้อิฐเผ่าไฟเป็นวัสดุก่อสร้าง
ใช้หินทำเป็นเสา ฐานเสา ทาง
ระบายน้ำ

สร้างบ้านโดยยกพื้นดินอัดแน่น
เครื่องทองสัมฤทธิ์นิยมใช้ในราช

สำนัก ชนชั้นสูง พิธีกรรม
ริเริ่มทำเครื่องเขิน

นิยมใช้ตะเกียบในการบริโภค
อาหาร

รู้จักปรุงอาหาร

เสื้อผ้า

เสื้อผ้าของผู้ชายในสมัยโจว เป็น
เสื้อผ้าแบบหลวมๆ แขนเสื้อกว้าง

ปกเสื้อเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
เนื่องจากในยุคนี้ยังไม่มีเข็มขัด
หนัง จึงใช้ผ้ารัดแทน และมักห้อย
เครื่องประดับหยกไว้ที่ผ้ารัดเอว
นั้นด้วย นอกจากนี้บริเวณท้อง
ของผู้สวมใส่มักห้อยแพรแถบที่
ข้างบนแคบข้างล่างกว้างสำหรับ

ประดับให้สวยงาม

สรุป

ได้โค่นราชวงศ์ซางลงแล้ว ได้ตั้งราชวงศ์โจวขึ้นแทน ได้เริ่ม
การปกครองด้วยระบบศักดินา คือแยกแผ่นดินออกเป็นแคว้น

ต่าง ๆ แล้วส่งเชื้อพระวงศ์แซ่ "จี" ของพระองค์ให้เป็น"เจ้าผู้
ครองนครรัฐ" ไปปกครอง โดยพระองค์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด
ในยุคของราชวงศ์นี้สร้างความเจริญให้แก่บ้านเมืองมาก ทั้ง
ด้านการเมือง การปกครอง ศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ แต่มีช่วง
เวลา ที่เข้มแข็งจริง ๆ คือราว ๆ 350 ปีก่อนคริสต์ศักราช ที่
เรียกว่า ราชวงศ์โจวตะวันตก หรือ ซีโจว (Western Zhou) ที่

มีเมืองหลวง คือ เฮ่าจิง



ต่อมา สมัยของโจวอิวหวาง กษัตริย์องค์ที่ 12 ซึ่งหลงใหลมเหสี
มาก มเหสีมีนามว่า เปาสี กล่าวกันว่านางเป็นคนสวยมาก แต่
เป็นคนยิ้มไม่เป็น ทำให้โจวอิวหวางกลุ้มใจมาก ถึงกับตั้ง
รางวัลไว้พันตำลึง สำหรับผู้ที่ออกอุบายให้นางยิ้มได้ วันหนึ่ง
คิดอุบายได้ด้วยการจุดพลุให้อ๋องต่าง ๆ เข้าใจว่า ข้าศึกบุก
เมืองหลวงแล้ว เมื่อยกทัพมาถึงกลับไม่มีอะไร ทำให้เปาสียิ้ม
หัวเราะออกมาได้ แต่อ๋องต่าง ๆ โกรธมาก แล้วในที่สุด ก็มี
ข้าศึกยกมาตีเมืองหลวงจริง ๆ โจวอิวหวางได้จุดพลุขึ้นอีก
ครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีอ๋องคนไหนเชื่อ เลยไม่มีใครยกทัพมาช่วย
ข้าศึกจึงตีเมืองได้ โจวอิวหวางถูกฆ่าตาย นางเปาสีถูกจับตัว
ไป ยิ้มของนางต่อมาถูกเรียกว่า "ยิ้มพันตำลึงทอง" ซึ่งเป็นยิ้ม
ที่นำความวิบัติ มาสู่ราชวงศ์โจวโดยแท้ ต่อมา พวกอ๋องต่าง ๆ
ได้ยกทัพมาช่วยตีข้าศึก แล้วตั้งโจวผิงหวาง โอรสของโจวอิว
หวาง เป็นกษัตริย์ต่อไป ราชวงศ์โจวจึงต้องย้ายเมืองหลวงไป
อยู่ที่ลกเอี๋ยง (ลั่วหยาง ในปัจจุบัน) ซึ่งอยู่ทางตะวันออก เรียก
ว่า ราชวงศ์โจวตะวันออก หรือ ตงโจว (Eastern Zhou) หลัง
จากนั้น ราชวงศ์โจวก็บัญชาอ๋องต่าง ๆ ไม่ได้อีกต่อไป
เนื่องจากอ๋องต่าง ๆ ต่างแข็งเมืองและรบกันเองระหว่างแว่น
แคว้นเพื่อต้องการเป็นใหญ่

บรรณานุกรม

ชื่อเว็บไซต์http://kru-
tay.blogspot.com/2 ./ชื่อปรเทศ
มาจากประเทศจีน;/ปีที่จดทะเบียน
หรือปีที่เริ่มเผยแพร่เว็บไซต์ [วันทีี่

7 ตุลาคม 2559 .(;)/วันที่21
ธันวาคม พ.ศ 2565.

จักรพรรด์โจว

แผนที่ประเทศโจว
สัณญาลักษณ์โจว


Click to View FlipBook Version