ประวัติจังหวัดตรัง ด.ช.ศุภกฤษณ์ อ่อนช่วย โรงเรียรีนสภาราชินีชิ นีจังจัหวัดวัตรังรั
ตรังเป็นจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ของประเทศไทย ด้านฝั่งทะเลตะวันตก มีหลักฐานความเป็นมาที่ ยาวนานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ส่วนการแบ่ง ยุคหรือสมัยประวัติศาสตร์ของตรังในที่นี้พิจารณา จากเหตุการณ์ภายในของเมืองตรังเป็นหลัก โดย เฉพาะเรื่องที่ตั้งเมืองซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามศูนย์ อำ นาจ แบ่งได้ดังนี้
บรรพบุรุษของชาวตรังส่วนหนึ่งพัฒนาจากมนุษย์ถ้ำ ที่หาของป่าล่าสัตว์ มารู้จักปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ สร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัย อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม กลายเป็นหมู่เขา และหมู่นาหรือหมู่ทุ่ง แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งยังคงวิถี ดั้งเดิมเป็นที่รู้จักกันในนามหมู่ซาไก รวมทั้งกลุ่มที่เร่ร่อนไปในทะเลก็สร้าง ที่อยู่ถาวรตามชายฝั่ง ยังชีพด้วยการประมงจนกลายเป็นหมู่เลในที่สุด นับ เป็นการเข้าสู่สังคมเกษตรกรรมและพัฒนาเรื่อยมาจนเกิดชุมชนใหญ่ริม แม่น้ำ ตรัง ต่อมาเมื่อแม่น้ำ ตรังเป็นเส้นทางข้ามคาบสมุทรไปสู่เมืองท่าฝั่งตะวัน ออก มีการกล่าวถึงชื่อ “ตะโกลา” เมืองท่าฝั่งตะวันตกที่ปรากฏในแผนที่ป โตเลมี ราวพุทธศตวรรษที่ ๗-๘ ทำ ให้นักวิชาการบางกลุ่มกล่าวว่าเมือง ตรังน่าจะเป็นที่ตั้งของตะโกลา แต่ก็เป็นเพียงข้อถกเถียงที่ยังไม่ยุติ
หลักฐานรุ่นแรก ๆ ได้แก่ จารึกรึเขาช่องคอย ที่พวก ศาสนาฮินดูหรือรืพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย จารึกรึไว้ ขณะใช้เส้นทางแม่น้ำ ตรังแล้วแยกเข้าคลองกะปาง ผ่านหุบเขาช่องคอยไปยังนครศรีธรีรรมราช จากนั้นนั้ ก็มีโบราณวัตถุ ได้แก่ พระพิมพ์ดินดิบ อายุ ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔ พบที่ถ้ำ ต่าง ๆ ใน แถบอำ เภอห้วยยอด แสดงถึงการผ่านเข้ามาของ พุทธศาสนานิกายมหายาน ที่เข้าสู่ชุมชนตามแนว แม่น้ำ ตรัง
ต่อมามีตำ นานเมืองนครศรีธรรมราช ตำ นานนางเลือดขาว และตำ นานท้องถิ่นตรังเรื่องการสร้างวัดสร้างพระที่เชื่อมโยงกับพระบรมธาตุนครศรีธรรมราชบ่งบอกถึงการรับพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ทำ ให้เห็นความเป็นปึกแผ่นของชุมชนคนตรังหมู่เขา ในแถบชายเขา และหมู่ทุ่ง ในแถบลุ่มน้ำ ที่เชื่อมต่อกับ แม่น้ำ ตรัง มีศาสนสถานและศาสนวัตถุเป็นศูนย์กลาง ขณะนั้นคงมีการปกครองในลักษณะเมืองแล้ว เพราะตำ นานเอ่ยชื่อเจ้าเมืองตรัง หนึ่งในเมือง ๑๒ นักษัตร ของนครศรีธรรมราช ว่าเป็นเมืองตราม้าประจำ ปีมะเมีย แต่ที่ตั้ง เมืองคงจะอยู่ทางเหนือขึ้นไป
เมื่อกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีได้ไม่นานนัก ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก เฉียงใต้ก็ก้าวสู่ยุคใหม่ ด้วยประเทศตะวันตกที่เข้ามาเพื่อแสวงหาดินแดนที่ อุดมด้วยทรัพยากร เริ่มจากโปรตุเกสเข้ายึดครองมะละกาและตั้งสถานีการค้า เป็นชาติแรก จากนั้นฮอลันดาและชาติอื่น ๆ ตามมาเป็นลำ ดับ ดินแดนแหลม มลายูจึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างชาติตะวันตกและตะวันออก ทำ ให้ เมืองท่าการค้าหลายแห่งรุ่งเรืองขึ้น เช่น สงขลา ปัตตานี สิงคโปร์
การเข้ามาของโปรตุเกสแสดงว่าชาวยุโรปรู้จัก เมืองตรังแล้วในฐานะเมืองท่าปากประตูสู่ อาณาจักรไทย แต่ไม่สามารถหาหลักฐาน ศูนย์กลางที่ตั้งตั้เมืองว่าอยู่ ณ จุดใด จนกระทั่งทั่ เวลาผ่านมาอีกร้อยปี จึงมีจารึกรึเขาสามบาตร หรือรื เขาสะบาป พ.ศ.๒๑๕๗ ที่ตำ บลนาตาล่วง อำ เภอ เมืองตรังปัจจุบัน เป็นหลักฐานว่าที่ตั้งตั้เมืองอยู่ตรง บริเริวณนั้นนั้มาก่อนจารึกรึและต่อเนื่องมาอีกยาวนาน
ในสมัยธนบุรี พ.ศ.๒๓๑๙ มีชื่อเมืองตรังปรากฏในแผนที่โบราณใน สมุดภาพไตรภูมิฉบับกรุงธนบุรี และในปีเดียวกันนี้สมเด็จ พระเจ้าตากสินโปรดเกล้าฯ ให้ยกหัวเมืองทั้งทั้หมดของนครศรีธรีรรมราช ไปขึ้นกับกรุงธนบุรี ยกเว้นเมืองท่าทองทางฝั่งทะเลตะวันออก และ เมืองตรังทางฝั่งทะเลตะวันตก ฐานะของเมืองตรังจึงยังเป็นเมืองใน กำ กับของนครศรีธรีรรมราช
เมื่อเริ่มริ่สมัยรัตนโกสินทร์ ที่ตั้งตั้เมืองคงอยู่ที่เขาสาม บาตร และบางช่วงที่ตั้งตั้บ้านผู้ว่าราชการอยู่ที่ บ้านนาแขก ตำ บลหนองตรุด
ช่วงนั้นนั้ปรากฏว่ามีเมืองภูราอีกเมืองหนึ่ง จนถึง พ.ศ.๒๓๓๐ พระภักดีบริรัริรักษ์ผู้ว่าราชการเมือง ได้ ขอรวมเมืองตรังทางฝั่งตะวันตกแม่น้ำ ตรังกับ เมืองภูราทางฝั่งตะวันออก เป็นเมืองตรังภูรา
โต๊ะปังกะหวาปลัดเมืองซึ่งอยู่ที่เกาะลิบงได้เลื่อน ตำ แหน่งเป็นพระยาลิบง ผู้ว่าราชการเมือง เกาะลิบง จึงเป็นที่ตั้งตั้เมืองตามที่อยู่ของผู้ว่าราชการและเป็น ท่าเรือรืค้าขาย ทั้งทั้เป็นศูนย์กลางระหว่างเมืองทาง ทะเลหน้านอก เช่น ถลาง ปีนัง ต่อมาพระยาลิบงเกิด ไม่ลงรอยกับเจ้าพระยานครฯ(พัด)รัชกาลที่ ๑ จึงให้ เมืองตรังภูรามาขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ใน พ.ศ.๒๓๔๗ เมื่อสิ้นพระยาลิบง หลวงฤทธิสงครามได้ ว่าราชการต่อมา แต่ไม่สันทัดการบริหริารบ้านเมือง รัชกาลที่ ๒ จึงให้ขึ้นต่อสงขลา เมื่อหลวงฤทธิ สงครามถึงแก่กรรม เมืองตรังภูราถูกยกกลับมาขึ้น ต่อนครศรีธรีรรมราชอีกครั้งหนึ่ง
พ.ศ.๒๓๕๔ พระบริรัริรักษ์ภูเบศร์(น้อย)ได้เลื่อนเป็นผู้ สำ เร็จราชการเมืองนครฯ ได้ปรับปรุงตำ แหน่ง กรมการเมือง มีชื่อหลวงอุภัยราชธานีเป็นผู้ พยาบาลเมืองตรัง ตั้งตั้เมืองที่ควนธานี เมืองตรังยัง คงฐานะเป็นเมืองท่าหน้าด่านของนครศรีธรีรรมราช
มื่อถึงต้นรัชกาลที่ ๕ หัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตกมี ความสำ คัญยิ่งขึ้นในฐานะเป็นแหล่งดีบุก ทางส่วน กลางจึงส่งข้าหลวงใหญ่ฝ่ายทะเลตะวันตกมา ประจำ ที่ภูเก็ตตั้งตั้แต่ พ.ศ.๒๔๑๘ ต่อมาพวก กรรมกรจีนก่อจลาจล ข้าหลวงฯ จึงมาประจำ อยู่ที่ เมืองตรังคือที่ควนธานี
พระยารัษฎาฯ เริ่มริ่งานพัฒนา ได้แก่ การวาง ผังเมือง ก่อสร้างสถานที่ราชการ ตัดถนนเพิ่ม ระหว่างอำ เภอและจังหวัดใกล้เคียง เปิดการค้ากับ ต่างประเทศอย่างเป็นระบบ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เสด็จฯ เมืองตรังในปี พ.ศ.๒๔๕๘ ซึ่งอยู่ระหว่าง สงครามโลกครั้งที่ ๑ ทรงเห็นว่าที่กันตังไม่ ปลอดภัยในยามสงคราม ทั้งทั้เป็นที่ลุ่มมักทำ ให้เกิด โรคระบาด และยากแก่การขยายเมือง
ตรังเป็นเมืองท่าโบราณที่มีประวัติยาวนานนับพันปี สามารถย้อนกลับไปได้ถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ ผู้คนยังไม่รู้จักสื่อสารด้วยตัวอักษร มีหลักฐานตาม ถ้ำ เขาต่าง ๆ ว่าบรรพบุรุษของชาวตรังอาศัยอยู่ บนแผ่นดินนี้มาไม่น้อยกว่า ๕,๐๐๐ - ๑๐,๐๐๐ ปี
ต่อมาเมื่อเข้าสู่สมัยความรุ่งเรือรืงของอาณาจักร โบราณในภาคใต้ เช่น ตามพรลิงค์ ศรีวิรีชัวิชัย แม่น้ำ ตรังเป็นหนึ่งในเส้นทางข้ามคาบสมุทรของผู้คน จากอินเดีย อาหรับ ตลอดจนยุโรป อ้างอิงได้จาก โบราณวัตถุที่ยังหลงเหลืออยู่และตำ นานท้องถิ่น
ที่ตั้งตั้เมืองแต่เดิมเข้าใจว่าอยู่ทางต้น ๆ ของแม่น้ำ ตรัง เพิ่งมีหลักฐานชัดเจนในสมัยอยุธยาว่าอยู่ที่ เขาสามบาตร ตำ บลนาตาล่วง แล้วมีการย้ายที่ตั้งตั้ อีกหลายครั้ง จนในที่สุดมาตั้งตั้ที่ตำ บลทับเที่ยง
ในอดีต เมืองตรังมักจะถูกกล่าวชื่อในฐานะส่วน หนึ่งของนครศรีธรีรรมราชมาตลอด จนถึงสมัย รัชกาลที่ ๕ จึงได้เปลี่ยนแปลงเป็นส่วนหนึ่งของหัว เมืองฝ่ายทะเลตะวันตก
ประวัติจังหวัดตรัง จัดจัทำ โดย ด.ช.ศุภกฤษณ์ อ่อนช่วช่ย โรงเรียรีนสภาราชินีชิ นี จังจัหวัดวัตรังรั