The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by runguthai.pho, 2022-09-19 15:01:20

บทที่ 12 ฮอร์โมนพืชและการตอบสนองของพืช

PPT การสอน

Keywords: ฮอร์โม,นพืช

ฮอรโ์ มนพชื



การเจรญิ เตบิ โตของพืช

ในวัฏจกั รชีวติ ของพชื ตง้ั แตเ่ มล็ดมีการงอกเปน็ ต้นพืช จนกระทั่งออกดอก ตดิ ผล พบวา่ พืชมี การเจริญเตบิ โต และมกี าร
เปลย่ี นแปลงสภาพทางสรรี วทิ ยา สว่ นใหญ่เปน็ ผลมาจากการตอบสนองของพชื ต่อปัจจัยภายนอก เช่น น้าหรือความชน้ื แกส๊
ออกซเิ จน อณุ หภมู ิ และแสง ซ่ึงจะสง่ ผลต่อไปยังปจั จัยภายใน เช่น ฮอรโ์ มนพชื กลุม่ ตา่ ง ๆ คือ ออกซิน ไซโทไคนิน เอทิลนี
จิบเบอเรลลนิ และกรดแอบไซซกิ พืชจะสรา้ งฮอร์โมนเหล่านใ้ี นปรมิ าณนอ้ ย และท้างานในระดับความเขม้ ขน้ ตา้่ โดยฮอรโ์ มน
ต่าง ๆ มีการทา้ งานรว่ มกนั ในสัดสว่ นทีเ่ หมาะสมในแตล่ ะช่วงการเจรญิ เติบโตซงึ่ สามารถกระตุ้น ยับย้งั หรอื ท้าใหเ้ กดิ การ
เปลี่ยนแปลงสภาพทางสรีรวทิ ยาของพืชให้เป็นไปตาธรรมชาติได้ นอกจากฮอร์โมนพชื ทีพ่ ืชสร้างข้นึ ตามธรรมชาติแลว้ มนุษย์
สามารถสังเคราะห์สารสังเคราะหท์ ี่มสี มบัติคล้ายฮอรโ์ มนพชื เพือ่ ประโยชนใ์ นทางการเกษตรอีกด้วย

การเจริญเติบโตของพืช

พืชมีการตอบสนองตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มภายนอกในรูปแบบของการเคล่อื นไหว เช่น แสง
แรงโน้มถ่วงของโลก สารเคมี การสัมผัส โดยการตอบสนองของพืชตอ่ สงิ่ เร้า อาจเกิดใน
รปู แบบทรอพิซมึ หรือแนสตกิ มฟู เมนต์ นอกจากน้ีพชื ยงั มีการตอบสนองแบบนูเทชนั ท่ี
ไมไ่ ดถ้ ูกกระต้นุ จากสงิ่ เร้าภายนอกแตเ่ ป็นผลมาจากธรรมชาติของพชื ที่ควบคมุ โดยพนั ธกุ รรม

การเจริญเติบโตของพืช

พืชมีการตอบสนองตอ่ ภาวะเครียด เนอื่ งจากได้รับปจั จยั ภายนอกมากหรอื นอ้ ยเกนิ ไป
เชน่ ภาวะเครียดจากน้าท่วม ความแห้งแล้ง ความรอ้ น อุณหภูมติ ่า้ ความเคม็ การถกู สตั ว์
กดั กิน หรอื การเขา้ ทา้ ลายของจลุ นิ ทรีย์ พชื จะมวี ิธีการตอบสนองตอ่ ภาวะเครยี ดต่าง ๆ
เพือ่ ให้สามารถมชี วี ิตอยู่รอดต่อไปได้

แบบทดสอบกอ่ นเรยี น-หลังเรยี น

ใหน้ กั เรยี นใสเ่ คร่อื งหมายถกู (√) หรอื ผิด () หนา้ ขอ้ ความตามความเข้าใจของนกั เรยี น
1. หลงั การปฏสิ นธริ งั ไขจ่ ะเจริญไปเปน็ เมล็ด
2. เอนโดสเปริ ์มท้าหน้าท่ีสะสมอาหารสา้ หรับการเจริญเติบโตของเอ็มบรโิ อ
3. เอ็มบริโอเจรญิ มาจากไซโกต ประกอบดว้ ย 3 ส่วน คือ รากแรกเกิด ล้าต้นแรกเกิดและใบเลย้ี ง
4. เมลด็ ถว่ั และเมลด็ ข้าวโพด มีใบเล้ยี งทา้ หน้าทสี่ ะสมอาหาร
5. โดยทั่วไปเมล็ดพชื ตอ้ งการ นา้ แกส๊ ออกซเิ จน และอณุ หภูมิท่เี หมาะสมในการงอก
6. โครงสรา้ งแรกทีเ่ จรญิ ออกจากเมลด็ ในการงอกของเมลด็ ข้าวโพดและเมลด็ ถ่วั เหลอื ง คอื รากแรกเกดิ
7. พชื มีการตอบสนองต่อสิ่งเรา้ ซึง่ เป็นสมบตั ิอยา่ งหนงึ่ ของส่งิ มีชวี ิต

การตอบสนองของพืช

การตอบสนองของพชื ตอ่ สง่ิ แวดล้อม
1. การเคลื่อนไหวเน่ืองจากการเจริญเติบโต (growth movement)

- การตอบสนองต่อสง่ิ เรา้ ภายนอก (paratonic movement หรอื stimulus movement)
- การตอบสนองทเี่ กิดจากส่งิ เร้าภายใน (autonomic movement)

2. การเคลอ่ื นไหวเนือ่ งมาจากการเปลีย่ นแปลงแรงดนั เต่ง (turgor movement)
3. การตอบสนองของพชื ตอ่ สารควบคมุ การเจริญเตบิ โต (growth hormone)

1.การเคล่ือนไหวทเ่ี กิดเนอ่ื งจากการเจริญเติบโต (growth movement)

1. การตอบสนองท่ีเกิดจากส่งิ เร้าภายนอก (paratonic movement หรือ stimulus movement) มี 2 แบบ คอื
1.1 แบบมที ิศทางเกย่ี วขอ้ งสัมพนั ธ์กับสิง่ เร้า (tropism หรอื tropic movement)
การตอบสนองแบบนี้อาจจะทา้ ใหส้ ่วนของพชื โค้งเข้าหาสิ่งเร้า เรยี กว่า positive tropism หรือ เคล่อื นท่ีหนีสิ่งเรา้

ท่มี ากระตุ้น เรียกวา่ negative tropism จา้ แนกไดต้ ามชนดิ ของส่ิงเรา้ ดงั นี้
1.1.1 โฟโททรอปซิ มึ (phototropism) เป็นการตอบสนองของพืชทต่ี อบสนองตอ่ สงิ่ เร้าท่ีเปน็ แสง พบว่าท่ปี ลาย

ยอดพชื (ล้าต้น) มที ศิ ทางการเจริญเตบิ โตเจริญเขา้ หาแสงสว่าง (positive phototropism) ส่วนที่ปลายรากจะมที ิศ
ทางการเจริญเติบโตหนจี ากแสงสว่าง (negative phototropism)

1.การเคลอ่ื นไหวท่ีเกดิ เนื่องจากการเจรญิ เตบิ โต (growth movement)

1. การตอบสนองที่เกิดจากส่ิงเร้าภายนอก (paratonic movement หรือ stimulus movement) มี 2 แบบ คอื
1.1 แบบมีทศิ ทางเกย่ี วข้องสมั พันธ์กับสงิ่ เรา้ (tropism หรือ tropic movement)
1.1.2 จีโอทรอปซิ ึม (geotropism) เปน็ การตอบสนองของพืชท่ีตอบสนองตอ่ แรงโนม้ ถว่ งของโลกโดยรากพืชจะ

เจริญเข้าหาแรงโนม้ ถ่วงของโลก (positive geotropism) เพือ่ รับน้าและแร่ธาตจุ ากดนิ ส่วนปลายยอดพืช (ลา้ ตน้ ) จะ
เจรญิ เตบิ โตในทศิ ทางตรงขา้ มกบั แรงโนม้ ถ่วงของโลก (negative geotropism) เพ่ือชูใบรับแสงสว่าง

1.1.3 เคมีทรอปซิ มึ (chemotropism) เป็นการตอบสนอง
ของพืชโดยการเจรญิ เขา้ หาหรือหนจี ากสารเคมีบางอยา่ งทีเ่ ปน็ สงิ่ เร้า เชน่
การงอกของหลอดละอองเรณไู ปยังรงั ไขข่ องพืช โดยมสี ารเคมีบางอย่างเป็นสิง่ เรา้

1.การเคลื่อนไหวท่เี กิดเนอื่ งจากการเจรญิ เตบิ โต (growth movement)

1. การตอบสนองที่เกิดจากสิง่ เรา้ ภายนอก (paratonic movement หรอื stimulus movement) มี 2 แบบ คอื
1.1 แบบมีทศิ ทางเกยี่ วขอ้ งสัมพันธ์กบั สิ่งเรา้ (tropism หรือ tropic movement)
1.1.4 ไฮโดรทรอปซิ ึม (hydrotropism) เป็นการตอบสนองของพชื ที่ตอบสนองตอ่ ความชืน้ ซึง่ รากของพชื จะ

งอกไปสู่ ท่มี คี วามชื้น
1.1.5 ทิกมอทรอปิซมึ (thigmotropism) เป็นการตอบสนองของพืชบางชนิดที่ตอบสนองตอ่ การสมั ผัส เชน่

การเจรญิ ของมือเกาะ (tendril) ซ่ึงเป็นโครงสรา้ งที่ยื่นออกไปพนั หลกั หรอื เกาะบนต้นไมอ้ ่นื หรือพืชพวกที่ล้าตน้ แบบเล้อื ยจะพนั
หลกั ในลกั ษณะบิดลา้ ตน้ ไปรอบๆเป็นเกลียว เช่น ต้นตา้ ลึง ตน้ พลู ต้นองุ่น ตน้ พริกไทย เปน็ ต้น

1.การเคล่ือนไหวทเ่ี กดิ เนื่องจากการเจริญเติบโต (growth movement)

1. การตอบสนองทเ่ี กิดจากส่งิ เรา้ ภายนอก (paratonic movement หรอื stimulus movement) มี 2 แบบ คือ
1.2 แบบมที ิศทางที่ไม่สัมพนั ธ์กบั ทศิ ทางของสง่ิ เรา้ (nasty หรอื nastic movement)
การตอบสนองแบบนจ้ี ะมที ิศทางคงท่ี คือ การเคลอ่ื นข้นึ หรอื ลงเทา่ นนั้ ไม่ขนึ้ กบั ทศิ ทางของสิ่งเรา้
การบานของดอกไม้ (epinasty) เกดิ จากกล่มุ เซลด์ ้านในหรอื ดา้ นบนของกลบี ดอกยดื ตัวหรอื ขยายขนาดมากกวา่

กลุม่ เซลล์ด้านนอกหรอื ด้านล่าง
การหบุ ของดอกไม้ (hyponasty) เกิดจากกลมุ่ เซลลด์ ้านนอก หรอื ด้านลา่ งของกลบี ดอกยดื ตัวหรอื ขยายขนาด

มากกวา่ กลุ่มเซลล์ด้านมนหรือดา้ นบน ตัวอยา่ งเชน่
- ดอกบวั สว่ นมากมักหุบในตอนกลางคืน และบานในตอนกลางวนั
- ดอกกระบองเพชร ส่วนมากจะบานใน ตอนกลางคืนและหุบในตอนกลางวนั

1.การเคลือ่ นไหวที่เกดิ เนื่องจากการเจรญิ เติบโต (growth movement)

2. การตอบสนองที่เกิดจากสิ่งเร้าภายในของตน้ พชื เอง (autonomic movement)
เป็นการตอบสนองท่ีเกิดจากการกระตุ้นจากส่งิ เรา้ ภายในจา้ พวกฮอร์โมนโดยเฉพาะออกซนิ ทา้ ใหก้ ารเจรญิ ของลา้ ต้นท้ัง

สองดา้ นไม่เทา่ กัน ได้แก่
2.1 การเอนหรอื แกวง่ ยอดไปมา (nutation movement) เปน็ การเคลอื่ นไหวท่ีเกิดเฉพาะสว่ นยอดของพืช

สาเหตเุ นื่องจากดา้ นสองด้านของล้าต้น (บริเวณยอดพืช) เตบิ โตไม่เทา่ กนั ทา้ ใหย้ อดพืชโยกหรอื แกว่งไปมาขณะท่ปี ลายยอด
ก้าลังเจรญิ เตบิ โต

2.2 การบิดล้าต้นไปรอบๆเปน็ เกลยี ว (spiral movement) เป็นการเคลื่อนไหวทปี่ ลายยอดค่อยๆบิดเป็น
เกลยี วข้ึนไป เมือ่ เจรญิ เติบโตข้นึ ซง่ึ เปน็ การเคล่ือนไหวทีม่ องไม่เหน็ ดว้ ยตาเปล่า โดยปกตเิ ราจะมองเหน็ สว่ นยอดของพืช
เจริญเติบโตขน้ึ ไปตรงๆ แตแ่ ท้จริงแลว้ ในส่วนทีเ่ จริญข้ึนไปนน้ั จะบิดซา้ ยขวาเลก็ นอ้ ย เนอ่ื งจากลา้ ต้นทง้ั สองด้านเจรญิ เตบิ โตไม่
เทา่ กนั เช่นเดียวกับ นวิ เทชัน ซึง่ เรยี กวา่ circumnutation พชื บางชนิดมลี ้าตน้ อ่อนทอดเล้ือยและพนั หลักในลักษณะการบดิ
ล้าต้นไปรอบๆ เป็นเกลยี วเพื่อพยุงลา้ ตน้ เรียกวา่ twining เชน่ การพันหลักของต้นมะลวิ ัลย์ พรกิ ไทย อัญชัน ต้าลงึ ฯลฯ

2.การเคลอื่ นไหวทเี่ กิดเนือ่ งจากการเปลย่ี นแปลงแรงดนั เต่ง (turgor movement)

ปกตพิ ชื จะมกี ารเคลอื่ นไหวตอบสนองตอ่ การสมั ผัส (สิง่ เร้าจากภายนอก) ชา้ มาก แต่มีพืชบางชนิดทีต่ อบสนองไดเ้ ร็ว โดย
การสัมผัสจะไปทา้ ให้มีการเปลีย่ นแปลงของปริมาณน้าภายในเซลล์ ท้าใหแ้ รงดันเตง่ (turgor pressure) ของเซลล์
เปลย่ี นแปลงไป ซ่งึ เปน็ ไปอย่างรวดเร็วและไมถ่ าวร ซ่งึ มหี ลายแบบ คอื

1. การหุบของใบจากการสะเทือน (contract movement)
- การหุบใบของต้นไมยราบ ตรงบริเวณโคนกา้ นใบและโคนก้านใบย่อยจะมีกล่มุ เซลล์ชนิดหนง่ึ (เซลล์

พาเรงคมิ า) เรียกวา่ พัลไวนัส (pulvinus) ซงึ่ เป็นเซลลท์ ่มี ขี นาดใหญ่และผนังเซลลบ์ างะ มคี วามไวสูงตอ่ สิง่ เรา้ ทมี่ ากระตนุ้
เชน่ การสมั ผสั เมื่อส่ิงเร้ามาสัมผสั หรือกระตนุ้ จะมผี ลทา้ ใหแ้ รงดนั เต่งของ กลุ่มเซลลด์ ังกล่าวเปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเร็ว คือ
เซลล์จะสญู เสยี น้าให้กบั เซลล์ข้างเคียงท้าให้ใบหบุ ลงทนั ที หลังจากนั้นสกั ครูน่ า้ จะซมึ ผ่านกลบั เขา้ สู่เซลล์พลั ไวนัสอกี แรงดนั เต่ง
ในเซลลเ์ พม่ิ ขึ้นทา้ ใหแ้ รงดนั เตง่ และใบกางออก

2.การเคลอื่ นไหวทีเ่ กดิ เนือ่ งจากการเปลี่ยนแปลงแรงดันเตง่ (turgor movement)

ปกตพิ ชื จะมกี ารเคลอ่ื นไหวตอบสนองตอ่ การสมั ผัส (ส่งิ เรา้ จากภายนอก) ชา้ มาก แต่มีพืชบางชนิดท่ตี อบสนองไดเ้ รว็ โดย
การสัมผัสจะไปทา้ ใหม้ กี ารเปลีย่ นแปลงของปริมาณน้าภายในเซลล์ ท้าให้แรงดนั เต่ง (turgor pressure) ของเซลล์
เปล่ยี นแปลงไป ซง่ึ เป็นไปอย่างรวดเร็วและไมถ่ าวร ซง่ึ มหี ลายแบบ คอื

1. การหุบของใบจากการสะเทือน (contract movement)
- การหบุ ของใบพชื พวกท่มี ีการเปลย่ี นแปลงรูปรา่ งไปเพือ่ จับแมลง ได้แก่ ใบของต้นหมอ้ ขา้ วหมอ้ แกงลิง

ต้นสาหรา่ ยขา้ วเหนยี ว ต้นกาบหอยแครง ต้นหยาดนา้ ค้าง เป็นต้น พชื พวกน้ีถือไดว้ ่าเป็นพืชกนิ แมลงจะมกี ารเปลี่ยนแปลง
รปู ร่างของใบเพอื่ ท้าหน้าท่ีจบั แมลง ภายในใบจะมีกลุ่มเซลล์หรือขนเล็กๆ (hair) ที่ไวต่อสง่ิ เร้าอย่ทู างด้านในของใบ เมือ่
แมลงบินมาถกู หรอื มาสมั ผัสจะเกิดการสูญเสียน้า ใบจะเคลอ่ื นไหวหุบทนั ที แล้วจงึ ปลอ่ ยเอนไซมอ์ อกมาย่อยโปรตนี ของแมลงให้
เปน็ กรดอะมิโน จากน้ันจงึ ดูดซึมท่ผี ิวด้านในนั้นเอง

2.การเคล่ือนไหวทเ่ี กิดเนือ่ งจากการเปลย่ี นแปลงแรงดนั เตง่ (turgor movement)

2. การหุบใบตอนพลบคา้่ ของพชื ตระกูลถ่ัว (sleep movement)
เป็นการตอบสนองต่อการเปล่ยี นแปลงความเข้มของแสงของพืชตระกลู ถั่ว เชน่ ใบกา้ มปู ใบมะขาม ใบไมยราบ ใบถ่วั
ใบแค ใบกระถนิ ใบผกั กระเฉด เปน็ ตน้ โดยทใี่ บจะหุบ กา้ นใบจะห้อยและลลู่ งในตอนพลบค่้า เนือ่ งจากแสงสว่างลดลง ซ่ึง
ชาวบ้านเรยี กวา่ “ต้นไม้นอน” แต่พอรงุ่ เช้า ใบกจ็ ะกางตามเดิม การตอบสนองเช่นน้ีเกดิ จากการเปลย่ี นแปลงแรงดันเตง่ ของ
กล่มุ เซลล์พัลไวนัสท่ีโคนก้านใบ โดยกลมุ่ เซลล์พัลไวนัสน้ีเปน็ กลุ่มเซลลข์ นาดใหญแ่ ละผนังเซลลบ์ าง มีความไวสูงตอ่ ส่ิงเร้าทม่ี า
กระตุน้ เมอ่ื ไมม่ แี สงสว่างหรือแสงสว่างลดลง มผี ลท้าให้เซลลด์ ้านหนึง่ สูญเสยี นา้ ให้กบั ชอ่ งวา่ งระหวา่ งเซลล์ท่ีอยู่เคยี งขา้ งท้าให้
แรงดันเต่งลดลงใบจงึ หุบลง กา้ นใบจะหอ้ ยและลู่ลง พอรุง่ เช้ามีแสงสวา่ งนา้ จะเคล่อื นกลับมาทา้ ใหแ้ รงดนั เตง่ เพ่มิ ข้นึ และเซลล์
เตง่ ดนั ให้ทีล่ ู่นน้ั กางออก

2.การเคลอ่ื นไหวทเี่ กดิ เน่ืองจากการเปลย่ี นแปลงแรงดนั เตง่ (turgor movement)

3. การเปิดปดิ ของปากใบ (guard cell movement)
การเปดิ -ปิดของปากใบข้นึ อยู่กับความเตง่ ของเซลล์คมุ (guard cell) ในตอนกลางวนั เซลลค์ มุ มกี ระบวนการสังเคราะห์
ด้วยแสงเกดิ ขนึ้ ทา้ ให้ภายในเซลลค์ ุมมรี ะดับน้าตาลสูงขน้ึ นา้ จากเซลล์ขา้ งเคียงจะซึมผา่ นเขา้ เซลลค์ มุ ท้าให้เซลล์คุมมีแรงดนั
เต่งเพ่มิ ขึ้น ดนั ให้ผนงั เซลล์คุมท่ีแนบชิดติดกนั ใหเ้ ผยออก จงึ ท้าให้ปากใบเปดิ แต่เมือ่ ระดับนา้ ตาลลดลงเน่ืองจากไมม่ ี
กระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสง น้าก็จะซมึ ออกจากเซลลค์ ุม ท้าให้แรงดันเตง่ ในเซลลค์ ุมลดลงเซลล์จะเห่ียวและปากใบก็จะปิด

การตอบสนองตอ่ สงิ่ เรา้ ของพชื ด้วยการเคลือ่ นไหวแบบตา่ งๆ
ท่เี กิดข้ึนจะมผี ลตอ่ ประสทิ ธิภาพในการด้ารงชีวติ ของพืช สรุปไดด้ งั นี้

1. การหันยอดเข้าหาแสงสว่าง ชว่ ยให้พชื สงั เคราะหอ์ าหารไดอ้ ย่างท่วั ถึง
2. การหันรากเข้าสู่ศูนยก์ ลางของโลก ชว่ ยให้รากอยู่ในดิน ซ่ึงเป็นแหล่ง ทพ่ี ืชได้รบั นา้ และแรธ่ าตุ
3. การเจริญเข้าหาสารเคมีของละอองเรณู ชว่ ยในการผสมพันธุ์ การขยายกลบี ช่วยในการกระจายหรอื รบั
ละอองเกสร
4. การเคล่อื นไหวแบบ nutation , spiral movement และ twining movement ชว่ ยใหพ้ ชื เกาะ
พันกับส่ิงอ่ืนๆสามารถชกู ง่ิ หรือยอด เพ่ือรับแสงแดด หรือชดู อกและผลเพอ่ื การสบื พันธุ์หรอื กระจายพันธุ์
5. การหุบของตน้ กาบหอยแครงช่วยในการจบั แมลงหรอื อาหาร การหบุ ของไมยราบชว่ ยในการหลบหลกี ศัตรู

3. การตอบสนองของพชื ต่อสารควบคุมการเจรญิ เตบิ โต (growth hormone)

ฮอร์โมนพืช (Phytohormone) คือ สารเคมที พ่ี ืชสร้างขนึ้ ในปรมิ าณเพยี งเล็กน้อย และ มผี ลตอ่
ขบวนการ หรือ ควบคมุ การเจริญในพชื (Plant Development)

ปัจจบุ ันพบว่า เราสามารถสงั เคราะหส์ ารไดห้ ลายชนิด ทม่ี สี มบัติเหมอื น ฮอรโ์ มนพชื จงึ จัดรวมกบั ฮอรโ์ มนพืช เรยี กวา่
สารควบคมุ การเติบโตของพืช (Plant Growth Regulators หรือ Substances)

3. การตอบสนองของพืชต่อสารควบคุมการเจรญิ เติบโต (growth hormone)
ปัจจุบนั จะแบง่ ฮอรโ์ มนพืชออกเป็น 5-6 กล่มุ ดว้ ยกัน คือ

1. ออกซิน (auxin) มาจากภาษากรกี แปลว่า ท้าใหเ้ พ่มิ (to increase)
2. ไซโทไคนิน (cytokinin) มาจาก เพิม่ การแบง่ เซลล์ cytokinesis
3. จบิ เบอเรลลนิ (gibberellin) มาจากชือ่ รา Gibberella fujikuroi
4. กรดแอบไซซิค (abscisic acid) มาจาก การร่วงของใบ abscission
5. เอทิลีน (ethylene) เปน็ ชนดิ เดียวทีเ่ ปน็ กา๊ ซ ช่วยเร่งการสกุ ผลไม้

+ นอกจากนยี้ ังมีพวก Oligosaccharins, Brassinosteroids, Florigen, Vernalin เปน็ ตน้

3. การตอบสนองของพชื ต่อสารควบคุมการเจรญิ เติบโต (growth hormone)
1. ออกซนิ (auxin) - ฮอร์โมนพชื ตวั แรกทคี่ น้ พบ
โดยเริม่ จาก การศึกษาเกย่ี วกับกระบวนการโค้งงอเข้าหาแสงของ ยอดออ่ นต้นกล้าของพชื ใบ
เลยี้ งเดย่ี ว (coleoptile) ซง่ึ ตอ่ มาเรยี กวา่ Phototropism

ออกซนิ ธรรมชาติ (Natural Auxin)
Indole-3-Acetic Acid (IAA)
Indole-3-Butyric Acid (IBA)

ออกซนิ สังเคราะห์ (Synthetic Auxin)
Naphthalene Acetic Acid (NAA)
2,4-Dicholophenoxy acetic acid (2,4-D)
2,4,5-Trichlorophenoxy acetic acid (2,4,5-T)

3. การตอบสนองของพืชตอ่ สารควบคุมการเจรญิ เติบโต (growth hormone)
2. ไซโทไคนนิ (cytokinin)
เป็นฮอร์โมนพชื ที่ค้นพบเน่ืองมาจากการวจิ ัยดา้ นการเพาะเลยี้ งเนอื้ เย่ือพชื (plant tissue
culture) โดยทมี นักวจิ ยั น้าโดย F. Skoog มหาวิทยาลัย Wisconsin
พบวา่ น้ามะพร้าว และ น้าสะกัดจากยีสต์ จะสามารถ เรง่ การแบง่ เซลลใ์ นการเพาะเลี้ยง
เน้ือเยือ่ พืชได้ เมอ่ื แยกและทา้ ใหบ้ รสิ ทุ ธิพบว่าเปน็ N6-furfurylamino purine และเรยี กวา่
kinetin เนือ่ งจากเป็นสารเรง่ กระบวนการแบง่ เซลล์ (cytokinesis) ซึง่ ถอื วา่ เปน็ cytokinin
ตวั แรกทีค่ น้ พบ แตช่ นิดที่พบมากทสี่ ุดในพชื คือ Zeatin (พบครง้ั แรกในขา้ วโพด=Zea mays)
ชื่อ cytokinin เสนอโดย Skoog และคณะในปี 1965

3. การตอบสนองของพืชต่อสารควบคุมการเจรญิ เตบิ โต (growth hormone)
2. ไซโทไคนิน (cytokinin)
หน้าทีส่ า้ คญั

-กระตุ้นการแบ่งเซลล์ และ เร่งการขยายตวั ของเซลล์
-สง่ เสรมิ การเจรญิ ของตาข้าง - ชะลอการแกข่ องใบ
-ชว่ ยการงอกของเมล็ด - ควบคุมการปิดเปดิ ปากใบ
-และ อนื่ ๆ… โดยท้าหนา้ ท่ีรว่ มกบั Auxin

3. การตอบสนองของพชื ต่อสารควบคมุ การเจรญิ เตบิ โต (growth hormone)
3. จิบเบอเรลลนิ (gibberellin)
เปน็ ฮอร์โมนพชื ท่ีค้นพบโดยปญั หาทพ่ี บโดยชาวนาญป่ี นุ่ เกย่ี วกบั โรคชนิดหนึง่ ของข้าว ท่ีท้า
ใหล้ ้าต้นสูงกวา่ ปกติ และ ให้ผลผลิตต่า้ ซ่งึ ต่อมา นกั วิทยาศาสตร์ชาว ญปี่ ุ่นชือ่ E. Kurosawa
ในปี 1938 พบว่าสาเหตุ เกิดมาจากสารที่ผลิตโดยเชื้อรา ชนดิ หนึง่ ช่อื Gibberella fujikuroi
ซ่งึ เมอื่ แยกและทา้ ใหบ้ ริสทุ ธแิ์ ล้ว จงึ ต้ังชือ่ สารนว้ี ่า gibberellin

หน้าท่ีสา้ คัญของ GA
-เร่งการขยายตวั ของเซลล์ และ การยดื ของล้าต้น -เร่งการออกดอก - การแสดงออกของเพศดอก

– การตดิ ผล -ช่วยการงอกของเมล็ด และ ตา (bud) -ท้าลายการพักตัวของเมลด็
-และ อน่ื ๆ… โดยทา้ หนา้ ที่รว่ มกบั hormone ชนดิ อน่ื ๆ

3. การตอบสนองของพืชตอ่ สารควบคมุ การเจรญิ เตบิ โต (growth hormone)
4. กรดแอบไซซคิ (abscisic acid หรอื ABA)

คน้ พบจากการศึกษาสารเร่งกระบวนการรว่ งของใบทเี่ รยี กว่า abscission และ เมอ่ื มีการ
ทา้ ใหบ้ รสิ ทุ ธิพบว่าเป็นสารตัวเดยี วกนั กบั สารยบั ยง้ั การเจรญิ ของตา (bud dormancy-
inducing substances) ทีเ่ รยี กกันวา่ dormin และสารยบั ยัง้ การยดื ตวั ของ coleoptile

หนา้ ทส่ี า้ คญั ของABA
-การรว่ งของใบ และการยับยั้งการเจรญิ ของตา ปัจจบุ นั พบว่าเกี่ยวกับสองขบวนการนนี้ ้อย
-ยับย้งั การเจริญ หรือ ยบั ยง้ั การทา้ งานของฮอร์โมนชนดิ อ่นื ๆ
- ยับยั้งการงอกของเมล็ด
-กระตนุ้ การปดิ ของปากใบเมอ่ื ขาดน้า

3. การตอบสนองของพืชตอ่ สารควบคมุ การเจริญเติบโต (growth hormone)

5. เอทิลนี (ethylene)
ผลไม้สุก หรอื ผลไม้ทเ่ี นา่ เสยี เอทิลีนจะมผี ลไปเรง่ ใหผ้ ลไมอ้ ืน่ สกุ เรว็ ข้ึน ซงึ่ พบว่าเกดิ จาก
การปลอ่ ยสารระเหยบางชนดิ ออกมา และในปี 1934 R. Gane เป็นผู้พสิ ูจนว์ ่า สารนค้ี อื
เอทลิ ีน (C2H4) ต่อมาพบว่า นอกจากจะมีผลในการกระต้นุ การสุกของผลไม้แล้ว ยงั มีผลตอ่ พชื ใน
แงอ่ ่นื ๆ อีกหลายอยา่ ง เชน่ การรว่ งของใบ การออกดอกของสบั ปะรด การเพม่ิ ปรมิ าณของนา้
ยางพารา เปน็ ตน้ เป็นฮอรโ์ มนชนิดเดยี วทเ่ี ป็นก๊าซ
หนา้ ทสี่ า้ คญั ของเอทิลนี
-กระตนุ้ การสุกของผลไม้ - กระตุ้นการรว่ งของใบ
-กระต้นุ การออกดอก - ยบั ยัง้ การยืดตัวของล้าตน้
ยับย้งั หรือ กระต้นุ การออกราก ใบ หรือ ดอก แลว้ แต่ชนิด ของพชื และ มีผลตอ่ อีกหลายๆ ขบวนการของพชื ท่ี
เก่ยี วกับความแก่ (Aging or Senescence) โดยทา้ หน้าทีร่ ว่ มกบั hormone ชนดิ อ่นื ๆ

อที ฟี อน (Ethephon) เอทิลนี สังเคราะห์

• เนื่องจาก เอทิลีน เป็นก๊าซ ท้าให้การใชไ้ มส่ ะดวก ในหลายกรณี จงึ มีการสังเคราะห์สารชอื่ อที ี

ฟอน (Ethephon) ซึ่งคือสาร 2-chloroethyl phosphonic acid ท่ีเป็นสารก่งึ แข็ง ที่
สลายตัวให้ก๊าซเอทลิ ีน ออกมา ใชแ้ ทน โดยมีชอ่ื ทางการคา้ แตกตา่ งกนั ออกไป เช่น

• อเี ทรล (Ethrel) ,อเี ทรล ลาเท็กซ์ (Ethrel latex), ซฟี า (Cepha) หรอื อีโซฟอน

(Esophon) เป็นต้น

อีทีฟอน (Ethephon) เอทิลีน สังเคราะห์

• การใช้ เอทลิ นี หรือ เอทลิ ีนสังเคราะห์ ปจั จุบันใชก้ นั อย่างกวา้ งขวาง ในการ บม่ ผลไม้

ใหส้ ุกเร็วขนึ้ และ พร้อมกนั การเรง่ ดอกสบั ปะรดให้ออกพรอ้ มกนั การเรง่ สีของ
องนุ่ และ มะเขือเทศ เป็นต้น

• ในบางกรณี อาจใช้ ถ่านก๊าซ (Calcium Carbide) ซงึ่ ปลอ่ ย กา๊ ซอะเซทลิ นี

(Acetylene) บม่ ผลไมแ้ ทนได้ แต่ไม่ดเี ท่า

อที ฟี อน (Ethephon) เอทลิ นี สังเคราะห์

ข้อแตกตา่ งระหวา่ ง ฮอร์โมนพชื กับ ฮอร์โมนสัตว์

1. แหล่งสงั เคราะหใ์ นพชื ไมแ่ น่นอน เหมอื นในสัตว์
2. ตา้ แหน่งการท้างานในพชื ไม่แนน่ อน และ ไมจ่ ้าเป็นตอ้ งเป็นคนละที่กับแหล่งสร้าง
3. การทา้ งานโดยความเข้มข้นของฮอรโ์ มน ไม่ชัดเจน
4. การท้างานของฮอรโ์ มนพืช แตล่ ะตวั มีหลายอย่าง และมักทา้ งานรว่ มกบั กับฮอรโ์ มนชนิดอน่ื ๆ
ด้วยเสมอ

* ดงั น้นั บางคนจงึ ไม่อยากเรยี กว่า ฮอรโ์ มนพืช ( Plant Hormones) แต่เรยี กว่า สาร
ควบคุมการเตบิ โต ( Plant Growth Regulators หรอื Substances ) แทน

การตอบสนองต่อฮอรโ์ มนพชื

การตอบสนองต่อฮอรโ์ มนพชื

การตอบสนองต่อฮอรโ์ มนพชื

แบบฝกึ

จงใส่เคร่ืองหมาย √ ลงในชอ่ งชนิดของฮอร์โมนพชื ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับหนา้ ท่ขี องสารควบคมุ การเจริญเตบิ โตท่มี กี ารใช้ในทางการเกษตร

แบบฝกึ

จงใส่เคร่ืองหมาย √ ลงในชอ่ งชนิดของฮอร์โมนพชื ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับหนา้ ท่ขี องสารควบคมุ การเจริญเตบิ โตท่มี กี ารใช้ในทางการเกษตร

ปจั จัยที่มผี ลตอ่ การงอกของเมล็ด

พชื ส่วนใหญท่ ่ีพบบนโลกเปน็ พวกท่ี
ใชเ้ มล็ดในการสบื พันธุ์

เมลด็ (seed) คอื โอวูล
(ovule) ทีไ่ ด้รับการผสมและเจริญ
เตม็ ที่แล้ว

ปจั จยั ที่มผี ลต่อการงอกของเมลด็

ปจั จัยทม่ี ผี ลต่อการงอกของเมล็ด

สภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมตอ่ การงอกของเมล็ด
น้า หรอื ความชน้ื
ก๊าซออกซิเจน
อณุ หภูมิ
เมลด็ ของพชื บางชนิดตอ้ งการแสงด้วย จึงจะสามารถงอกได้ เชน่ เมลด็ ยาสบู , กาฝาก,

ผักกาดหอม, ไทร เป็นตน้

การพกั ตัวของเมลด็

การพักตวั ของเมลด็ เป็นบทบาททส่ี ้าคัญของพชื ในการท่ีจะรอดชีวติ อย่ไู ด้ เพราะเมลด็ จะทนทานตอ่
สภาพแวดล้อมที่ไมเ่ หมาะสมดกี วา่ เน้ือเยือ่ ทว่ั ๆ ไป

การพกั ตัวของเมลด็ มขี อ้ เสยี อยบู่ า้ ง เชน่ ตอ้ งสิ้นเปลืองหาวิธกี ารกา้ จดั การพกั ตวั ออกไป และในกรณีท่เี มลด็
ตกคา้ งในดนิ และพักตวั อย่แู ต่มางอกในฤดทู ป่ี ลกู พชื ชนิดถดั ไปท้าให้เกดิ ปญั หาวชั พชื ได้

สาเหตุการพักตัวของเมลด็ เช่น เปลือกเมลด็ มคี วามหนาและแขง็ นา้ ไมส่ ามารถเข้าสภู่ ายใน
เมลด็ ได้ เปลือกเมล็ดมีสารเคลือบจ้าพวกไข คิวทนิ ลิกนิน ซเู บอรนิ สะสมอยูบ่ นผนังเซลล์ของ
เปลอื กเมลด็ ทา้ ใหน้ ้าไม่สามารถซึมผา่ นเขา้ ไปในเมล็ดได้ เปลือกเมลด็ ไม่ยอมใหแ้ ก๊สออกซเิ จนแพรผ่ ่าน
เปลอื กเมล็ดมสี ารเคมีบางชนดิ ท่ีมผี ลยับยั้งการงอกของเมลด็ เอม็ บรโิ อยงั เจรญิ ไมเ่ ตม็ ท่ี

การทา้ ลายสภาพพกั ตวั ของเมลด็

เมลด็ พชื บางชนิดมีสภาพการพักตัวส้นั มาก เมล็ดพชื บางชนดิ สามารถงอกได้ขณะท่ีอยู่ในผล หรือ
บางชนิดไมส่ ามารถงอกไดห้ รืองอกได้ชา้

วธิ ีการท้าลายสภาพพักตัวของเมลด็ เช่น การย่อยสลายโดยจุลนิ ทรยี ใ์ นดนิ การเผา การแช่เมล็ด
ในนา้ ร้อนหรอื สารละลายกรด การปาด การเฉอื น การกะเทาะเปลือก การชะลา้ งสารเคลือบท่ีเปลือก
เมล็ดออก

การท้าลายสภาพพักตวั ของเมลด็

เมล็ดทม่ี ีสภาพพกั ตวั นานกับเมล็ดท่ไี ม่มสี ภาพพกั ตัวจะมขี อ้ ไดเ้ ปรยี บหรือข้อเสียเปรียบในการขยายพันธุอ์ ยา่ งไร
เมลด็ ทม่ี สี ภาพพกั ตัวนาน เอ็มบริโอจะพฒั นาและเจริญเต็มที่เม่ืองอกในสภาพแวดลอ้ มที่เหมาะสม ต้นพืชที่

งอกออกมาจึงมโี อกาสอยรู่ อดสูง ในขณะทเี่ มลด็ พชื ทไ่ี มม่ ีสภาพพกั ตวั จะงอกต้งั แตอ่ ยู่ในผล ซึ่งสภาพแวดล้อมในการ
เจริญเตบิ โตอาจยังไม่เหมาะสม โอกาสในการอยู่รอดจงึ ต่า้ กว่าเมลด็ พืชทม่ี ีสภาพพกั ตัวนาน

แตเ่ มล็ดพชื ท่ีไมม่ สี ภาพพักตัวอาจไดเ้ ปรยี บโดยงอกเรว็ และเจรญิ เตบิ โตเรว็ ท้าใหแ้ พร่พันธไุ์ ดเ้ ร็ว ถา้
สภาพแวดล้อมเหมาะสม การมีเมล็ดจ้านวนมากจะช่วยเพิม่ โอกาสในการอยู่รอดใหส้ งู ขน้ึ เน่ืองจากถ้าเมลด็ จา้ นวน
มากงอกแล้วตายไปก็ยงั มีเมลด็ เหลืออีกจ้านวนหลายเมลด็ ให้อยู่รอดได้

แบบฝึก

จงใสเ่ ครอื่ งหมายถูก (√) หนา้ ขอ้ ความทถ่ี กู ตอ้ ง ใสเ่ ครอ่ื งหมายผดิ (×) หนา้ ขอ้ ความทไ่ี มถ่ กู ตอ้ ง
1. ออกซนิ มีประโยชน์ตอ่ การขยายพันธุแ์ บบไมอ่ าศยั เพศของพชื โดยจะกระตุ้นการสรา้ งรากพเิ ศษในกิ่งตอน
2. เกษตรกรใช้จบิ เบอเรลลนิ ชว่ ยใหก้ ้านของผลอง่นุ ยดื ยาวและทา้ ใหผ้ ลอง่นุ มขี นาดใหญข่ ้ึน
3. เอทิฟอนเป็นสารสงั เคราะหท์ ี่มีสมบตั ิเหมอื นกรดแอบไซซกิ น้ามาใช้เพอ่ื เพิ่มผลผลติ นา้ ยางพารา
4. พืชตอบสนองต่อการขาดนา้ ในดินโดยการสร้างเอทลิ นี ทา้ ให้ปากใบปดิ
5. ออกซนิ และไซโทไคนนิ ชักน้าการเปลี่ยนแปลงของเนอื้ เย่อื เป็นยอด ลา้ ตน้ และรากในการเพาะเลย้ี งเนอ้ื เยอื่ พืช
6. เอทิลนิ เปน็ ฮอรโมนพืชทม่ี ีสถานะแกส๊ ชว่ ยเร่งการสกุ ของผลไม้โดยทา้ ให้ผลไมม้ อี ัตราการหายใจเพ่มิ ข้นึ
7. การโคง้ เข้าหาแสงของโคลอี อพไทล์เกดิ ขน้ึ เนอ่ื งจากแสงกระตนุ้ ใหป้ ลายดา้ นโคลีออพไทล์ทไ่ี ดร้ ับแสงมากลา้ เลียงออกซนิ ไปดา้ นท่ีได้รบั แสงน้อย

แล้วกระตนุ้ ให้เซลล์ยดื ตวั ยาวมากกวา่ ดา้ นท่ีไดร้ บั แสงมาก โคลอี อพไทล์จงึ โคง้ เขา้ หาแสง
8. การกางแผ่นใบออกรับแสงในเวลากลางวันและการหบุ ใบในเวลากลางคนื และการบานของดอกไมบ้ างชนิดในเวลากลางวนั และหุบในเวลา

กลางคืนเปน็ การตอบสนองต่อสง่ิ เร้าของพชื อยา่ งมที ศิ ทางสมั พนั ธก์ บั ทศิ ทางของสิง่ เร้าภายนอก
9. รากพชื เจรญิ เติบโตเขา้ สู่บรเิ วณทมี่ ีนา้ มาก ซง่ึ อาจไมเ่ ป็นทศิ ทางเดยี วกับแรงโนม้ ถ่วงของโลกจดั เปน็ การตอบสนองของพชื แบบทรอพิซมึ
10. เมอื่ เพาะเมล็ดขา้ วโพดในทีม่ ืด พบวา่ รากขา้ วโพดเจริญเตบิ โตลงสดู่ ้านลา่ งจดั เป็นการเบนหนแี รงโน้มถว่ งของโลกและปลายยอดขา้ วโพด

เจรญิ เติบโตข้นึ ส่ดู า้ นบนจัดเป็นการเบนเข้าหาแรงโน้มถว่ งของโลก

THE END


Click to View FlipBook Version