The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานจังหวัดยโสธร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Alongkorn Manasen, 2023-02-14 10:16:05

รายงานจังหวัดยโสธร

รายงานจังหวัดยโสธร

1 รายงาน เรื่อง จังหวัดยโสธร จัดทำโดย นายอลงกรณ์ มานะเสน นักศึกษาชั้น ปวช.๒ นำเสนอ นายธนกฤต วงค์ตาขี่ รายงานเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาผลิตสื่อดิจิตอล ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ วิทยาลัยเทคนิคนครพนม


ก คำนำ รายงานเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาผลิตสื่อดิจิตอลชั้น ปวช.๒ เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ ในเรื่อง จังหวัดยโสธรและได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์กับการเรียน ผู้จัดทำหวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษา ที่กำลังหาข้อมูลเรื่อง นี้อยู่ หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับไว้และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ผู้จัดทำ นาย อลงกรณ์ มานะเสน วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566


ข สารบัญ เรื่อง หน้า ประวัติศาสตร์-ความเป็นมา จังหวัดยโสธร 1 ประวัติศาสตร์สมัยทวารวดี 1 สมัยเจนละ 1-2 สมัยสุโขทัย 2 สมัยอยุธยา 2 สมัยธนบุรี 2-4 สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น 4-6 สมัยปฏิรูปประเทศ 6-11 ภูมิศาสตร์ 11-13 ภูมิอากาศ 13 การปกครองส่วนท้องถิ่น 14-15 ประวัติและความเป็นมาของแต่ละอำเภอ 16 อำเภอเมืองยโสธร 16-19 อำเภอมหาชนะชัย 20-27 อำเภอค้อวัง 27-28 อำเภอเริงนกทา 29-39 อำเภอทรายมูล 39-41 อำเภอกุดชุม 42-45 บรรณานุกรม 46


1 ประวัติศาสตร์-ความเป็นมา จังหวัดยโสธร ยโสธร เป็นจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของประเทศไทย เดิมชื่อ บ้านสิงห์ท่า เมืองยศ สุนทร เป็นเมืองเก่าแก่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำชีมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 250 ปี ต่อมาปี พ.ศ. 2443 ถูกรวมเข้าอยู่ ในสังกัดมณฑลลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ (มณฑลลาวกาว) และกลายเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัด อุบลราชธานี และถูกจัดตั้งขึ้นเป็นจังหวัดโดยคณะปฏิวัติของจอมพลถนอม กิตติขจร ตามประกาศของคณะ ปฏิวัติ ฉบับที่ 70 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2515 อันให้แยกอำเภอยโสธร อำเภอกุดชุม อำเภอเลิงนกทา อำเภอ คำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะชัย และอำเภอป่าติ้ว ออกจากจังหวัดอุบลราชธานีแล้วรวมกันตั้งเป็นจังหวัด ยโสธร และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2515 สืบไป มีนายชัยทัต สุนทรพิพิธ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ยโสธรคนแรก ประวัติศาสตร์ สมัยทวาราวดี มีร่องรอยการสร้างชุมชนด้วยการขุดคูน้ำล้อมรอบ แล้วนำดินที่ขุดมาสร้างเป็นคันดินล้อมบริเวณคู่ไป กับคูน้ำ ในเขตจังหวัดยโสธร พบการตั้งถิ่นฐานในช่วงพุทธศตวรรษที่ 11-16 ได้แก่ บ้านตาดทอง บ้านขุมเงิน อำเภอเมืองยโสธร บ้านโนนเมืองน้อย ดงเมืองเตย อำเภอคำเขื่อนแก้ว บ้านบึงแก บ้านคูสองชั้น บ้านหัวเมือง บ้านบากเรือ อำเภอมหาชนะชัย บ้านโพนแพง บ้านน้ำอ้อม บ้านหมากมาย บ้านแข้ และบ้านโพนเมือง อำเภอ ค้อวัง ตามชุมชนดังกล่าวได้พบศิลปวัตถุร่วมสมัยกับศิลปกรรมแบบอมราวดี ทวาราวดี และลพบุรีปะปนอยู่ ด้วย และตามตำนานอุรังคนิทาน (พระธาตุพนม) ยังมีข้อความว่า ชาวสะเดาตาดทองได้นำสิ่งของมาช่วย ซึ่ง ชื่อสะเดาตาดทองนั้นคือ บ้านตาดทอง และบ้านสะเดา ตำบลตาดทอง อำเภอเมืองยโสธร สมัยเจนละ ในจังหวัดยโสธรพบจารึกโบราณที่ได้กล่าวถึงอาณาจักรเจนละไว้ 4 หลัก ได้แก่ 1. จารึกดงเมืองเตย บ้านสงเปือย ตำบลสงเปือย อำเภอคำเขื่อนแก้ว (ราวพุทธศตวรรษที่ 12) กล่าวถึงชื่อเมืองศังขปุระ และราช สกุล 2. จารึกบ้านตาดทอง ตำบลตาดทอง อำเภอเมืองยโสธร (ราวพุทธศตวรรษที่ 15) กล่าวถึงกษัตริย์พระ นามว่า ศรีอีสานวรมัน (กษัตริย์แห่งอาณาจักรเจนละ พ.ศ. 1159-1178) ได้พระราชทานบุตรีชื่อนางสุรัสวดี พร้อมด้วยหมู่บุตรหลาน ข้าทาส เงินทอง ให้แก่ชายหนุ่มผู้เป็นเชื้อพระวงศ์เพื่อมงคลสมรส แสดงให้เห็นว่า บริเวณจังหวัดยโสธรเคยเป็นชุมชนใหญ่ ชื่อว่า เมืองศังขปุระนคร และมีความสัมพันธ์กับอาณาจักรขอมใน ฐานะเครือญาติ และมีความยิ่งใหญ่พอสมควรที่กษัตริย์ขอมจึงพระราชทานบุตรีมาให้เป็นพระมเหสี


2 3. ประวัติการก่อสร้างพระธาตุอานนท์แห่งวัดมหาธาตุ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองยโสธร ว่า พระธาตุ อานนท์ได้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1218 โดยเจตตานุวิน และจินดาชานุ สองพี่น้องชาวนครเวียงจันทน์ กับเอียง เวธา ผู้ปกครองชุมชนชาวขอม แสดงให้เห็นว่า สถานที่ตั้งเมืองยโสธรเคยเป็นชุมชนโบราณมีผู้คนอาศัยอยู่มา ตั้งแต่สมัยนั้น และสอดคล้องกับยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 1 (กษัตริย์แห่งอาณาจักรเจนละ พ.ศ. 1200-1233) 4. จารึกโนนสัง บ้านบึงแก ตำบลบึงแก อำเภอมหาชนะชัย (ประมาณ พ.ศ. 1432) กล่าวสรรเสริญเทพ เจ้าพระนามว่า โสมาทิตย์ซึ่งไม่ปรากฏพระนามว่าเป็นกษัตริย์ของอาณาจักรขอมสมัยพระนคร สันนัษฐานว่า อาจเป็นชุมชนอิสระนอกอาณาเขตอาณาจักรขอม สมัยสุโขทัย ไม่ปรากฏว่ามีศิลปะสมัยสุโขทัยอยู่เลย อาจจะเนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ซึ่งมีภูเขาสูงใหญ่กั้นอยู่ การ ติดต่อค้าขายและไปมาหาสู่กันจึงแทบไม่มี ประกอบกับอาณาจักรสุโขทัยทางด้านตะวันออก มีอาณาเขตมาถึง อาณาจักรล้านช้างเท่านั้น สมัยอยุธยา ไม่ปรากฏว่ามีศิลปะสมัยอยุธยาเข้ามาถึง อาจจะเนื่องจากดินแดนแห่งนี้อยู่ในเขตของอาณาจักรล้าน ช้าง และได้เป็นพันธมิตรกับราชอาณาจักรอยุธยา ดังจะเห็นได้จากการสร้างพระธาตุศรีสองรัก อันเป็นสักขี พยานถึงความรักใคร่ เป็นสัมพันธไมตรีต่อกัน ที่อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ แห่งกรุงศรีอยุธยา และพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช แห่งกรุงศรีสัตนาคนหุตล้านช้างหลวงพระบาง ราชอาณาจักร อยุธยาได้แผ่ไปถึงจังหวัดนครราชสีมา ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมัยธนบุรี อนุสาวรีย์พระสุนทรราชวงศา (ท้าวคำสิงห์) พระประเทศราชผู้ครองเมืองยศสุนทรประเทศราชองค์แรก พ.ศ. 2314 พระวรราชปิตา พระโอรสของเจ้านอง ขุนนางล้านช้างเชื้อสายไทพวนแห่งราชวงศ์แสน ทิพย์นาบัวซึ่งสืบมาแต่ต้นวงศ์สามัญชนชนชาติไทพวน ผู้สร้างนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน (หนองบัวลุ่มภู)


3 ได้ให้ท้าวคำสูเจ้าคำขุย ท้าวคำม่วง ท้าวคำสิงห์(บุตรคนโตของท้าวฝ่ายหน้า) ญาติพี่น้อง และไพร่พล ลงมา สร้างบ้านเมืองใหม่ไว้เป็นเมืองหน้าด่านของนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน เมื่อท้าวคำสูและคณะเดินทางมาถึง ดงหัวช้างได้ตั้งสัจจาอธิษฐานต่อเทพยดาอารักษ์อันศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตย์อยู่ในดงแห่งนี้ขอตั้งบ้านเรือน แล้วจัด พิธีจับสลากเสี่ยงทาย แต่จับสลากไม่ได้ ท้าวคำสูจึงให้คณะหยุดพักอยู่ ณ ดงแห่งนี้ก่อน โดยให้ตั้งบ้านเรือนขึ้น เพื่อเป็นที่พักพิงชั่วคราว ตั้งชื่อหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ว่า "บ้านสิงห์หิน" (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นบ้านสิงห์โคก) ต่อจากนั้นท้าวคำสูจึงได้ให้ท้าวอินทิสาน ท้าวเมืองกลาง และพราหมณ์ ออกตรวจหาภูมิประเทศหาที่ตั้ง บ้านเมืองต่อไป ท้าวอินทิสานและคณะได้พากันเดินทางมาถึงดงใหญ่ใกล้ท่าชีได้พบพระพุทธรูปใหญ่ อยู่ในวัด ร้างองค์หนึ่ง และพบรูปสิงห์ทองอีกตัวหนึ่ง ท้าวอินทิสานและคณะจึงได้ทำพิธีขอตั้งบ้านเมือง โดยให้ท้าวเมือง กลางเป็นผู้จับสลาก ในที่สุดจับสลากได้ใบที่เป็นอุตมะดีเลิศ จึงได้กลับรายงานให้ท้าวคำสูทราบ และท้าวคำสู จึงได้แบ่งไพร่พลเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งให้คงไว้ที่บ้านสิงห์หิน โดยให้ท้าวคำขุยรักษาญาติพี่น้องและไพร่พลที่ อยู่ที่บ้านสิงห์หิน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งท้าวคำสูได้พามาสร้างบ้านเมืองขึ้นใหม่ที่ดงขวางท่าชี ตั้งชื่อหมู่บ้านที่ตั้งขึ้น ใหม่นี้ว่า บ้านสิงห์ท่า ให้สร้างวัดขึ้นที่บริเวณที่มีพระพุทธรูปใหญ่อยู่ก่อนนั้น เสร็จแล้วให้ชื่อว่า วัดหลวงพระ เจ้าใหญ่ ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นวัดสิงห์ท่า ถือได้ว่าเป็นพระอารามแห่งแรก ในปีเดียวกันนั้นพระเจ้าสิริบุญสาร ซึ่งเป็นเจ้านครเวียงจันทน์เกิดหวาดระแวงในพระตา และพระวอ จึง ยกกองทัพจากนครเวียงจันทน์มาปราบปราม พระตาถูกข้าศึกยิงด้วยอาวุธปืน และฟันด้วยดาบจนถึงแก่พิราลัย ในที่สนามรบ ส่วนพระวอ ท้าวคำผง ท้าวฝ่ายหน้า ท้าวทิดพรหม และท้าวก่ำ ได้ยกทัพฝ่าหนีออกจากนคร เขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบานลงมาตามลำน้ำชีมาพักกับท้าวคำสูผู้ปกครองบ้านสิงห์ท่าสิงห์โคก ภายหลังต่อมา พระวอดำริว่าหากอยู่กับท้าวคำสูแล้ว ถ้าเวียงจันทน์ยกทัพมาก็จะเป็นการลำบากแก่บ้านสิงห์ท่าสิงห์โคก และ จะเกิดศึกสงครามกันต่อไป เมื่อประชุมตกลงกันแล้วจึงได้พาไพร่พลอพยพลงไปตามลำน้ำมูล และสร้างเมือง ใหม่ที่เวียงดอนกองเขตนครจำปาศักดิ์ ตามรับสั่งของพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร เจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์ โดย พระวอให้สร้างค่ายขุดคูประตูหอรบขึ้นเรียกว่า "ค่ายบ้านดู่บ้านแก" พ.ศ. 2321 เมื่อพระเจ้าสิริบุญสารทราบเรื่อง จึงได้ยกทัพมาปราบอีกครั้งจนทำให้พระวอถึงแก่พิลาลัย ในสนามรบ ท้าวคำผง ท้าวฝ่ายหน้า ท้าวทิดพรหม พร้อมบริวารจึงได้อพยพต่อไปยังเกาะกลางลำน้ำมูลซึ่ง เรียกว่า "ดอนมดแดง" แต่เนื่องจากเป็นที่ต่ำไม่เหมาะสมที่จะสร้างเมืองใหม่จึงอพยพขึ้นมาตามลำน้ำมูลถึงห้วย แจระแม แล้วมาสร้างเมืองขึ้นที่ดงอู่ผึ้ง เมื่อปีกุน พ.ศ. 2322 แล้วมีหนังสือกราบบังคมทูลขอขึ้นอยู่ในขอบ ขัณฑสีมาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แห่งกรุงธนบุรี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนาม เมืองที่ตั้งว่าเมืองอุบล เพื่อเป็นการรำลึกถึงบ้านเมืองเดิมของตนคือเมืองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน (หนอง บัวลุ่มภู) จากนั้นท้าวคำผงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นเจ้าเมืองคนแรก และได้รับพระราชทาน พระราชทินนามว่า "พระปทุมสุรราช"


4 พ.ศ. 2323 เกิดจราจลในเขมร สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) จึงมีใบบอกมายังพระปทุม สุรราช (ท้าวคำผง) พร้อมกับท้าวฝ่ายหน้า ท้าวทิดพรหม เมืองอุบล และท้าวคำสิงห์ (บุตรชายคนโตท้าวฝ่าย หน้า) แห่งบ้านสิงห์ท่า ได้ยกกำลังลงไปช่วยราชการปราบจราจลที่เขมรคราวนั้น แต่ก็หาทันได้ปราบปรามจน เสร็จสิ้นไม่ ทางกรุงธนบุรีก็เกิดจราจลขึ้น และได้ยกกำลังเข้าไปช่วยปราบจราจลในกรุงธนบุรีจนสำเร็จลง สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พ.ศ. 2329 ท้าวฝ่ายหน้า ผู้น้องพระปทุมสุรราช (ท้าวคำผง) พร้อมกับท้าวฝ่ายบุตผู้เป็นบุตร และพระ พี่นางอูสา ได้นำไพร่พลญาติวงศาอีกส่วนหนึ่งขอแยกตัวกลับมาอยู่ที่บ้านสิงห์ท่าซึ่งท้าวคำสูปกครองอยู่ บูรณปฏิสังขรณ์วัดมหาธาตุตั้งมั่นเป็นกองนอกหวังจะตั้งบ้านเมืองขึ้นให้ใหญ่โตสมฐานะดั่งเมืองอุบล และพระ ปทุมสุรราช (ท้าวคำผง) ก็เห็นสมควรด้วยกับท้าวฝ่ายหน้า ไม่ขัดข้องประการใด จึงได้แยกย้ายกันไปทำมาหา กินที่บ้านสิงห์ท่า ได้ปรับปรุงและสร้างบ้านสิงห์ท่าจนเจริญรุ่งเรืองต่อจากท้าวคำสู พ.ศ. 2334 เกิดกบฏอ้ายเชียงแก้วได้พาพรรคพวกเข้ายึดนครจำปาศักดิ์ ความทราบถึงพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยานครราชสีมา (ทอง อิน) เมื่อครั้งเป็นพระพรหม ยกกระบัตร ยกกองทัพเมืองนครราชสีมา มาปราบกบฏอ้ายเชียงแก้ว ขณะที่ กองทัพนครราชสีมายกมาไม่ถึงนั้น พระประทุมสุรราช (ท้าวคำผง) และท้าวฝ่ายหน้า ผู้น้องซึ่งเป็นนายกอง นอกที่บ้านสิงห์ท่า และท้าวคำสิงห์ บุตรคนโตได้ร่วมกันยกกำลังไปปราบกบฎอ้ายเชียงแก้วก่อน ทั้งสองฝ่ายได้ สู้รบกันที่บริเวณแก่งตะนะ จนกองกำลังอ้ายเชียงแก้วแตกพ่ายไป ท้าวฝ่ายหน้าจับตัวอ้ายเชียงแก้วไว้ได้ และ ประหารชีวิตที่แก่งตะนะปากด่านแม่น้ำมูล เมื่อกองทัพเมืองนครราชสีมายกมาถึงนครจำปาศักดิ์เหตุการณ์ก็ สงบเรียบร้อยแล้ว จึงพากันยกกองทัพไปตีพวกข่า ชาติกระเสงสวาง จะรายระแดร์ ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตะวันออกแม่น้ำ โขง จับพวกข่าเป็นเชลยได้เป็นจำนวนมาก พ.ศ. 2335 จากความดีความชอบในการปราบปรามกบฏอ้ายเชียงแก้วครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาให้ท้าวฝ่ายหน้าเป็นที่พระวิไชยราชสุริ ยวงษขัติยราช เป็นพระประเทศราชผู้ครองนครจำปาศักดิ์ องค์ที่ 3 แทนพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารที่ถึงแก่ พิราลัยไป และให้ท้าวคำสิงห์ บุตรคนโตเป็นราชวงศ์เมืองโขง (สีทันดร) และได้ย้ายไพร่พลส่วนหนึ่งจากบ้าน สิงห์ท่าไปที่นครจำปาศักดิ์ ส่วนทางบ้านสิงห์ท่าได้ให้เจ้าคำม่วง เป็นผู้ปกครองแทน พ.ศ. 2354 พระวิไชยวรราชสุริยวงศ์ขัตติยราชได้ถึงแก่พิราลัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านู หลานพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร เจ้านครจำปาศักดิ์องค์ ก่อน เป็นเจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์สืบต่อไป จึงทำให้ราชวงศ์เมืองโขง (ท้าวคำสิงห์) ไม่เป็นที่พอใจที่จะทำ


5 ราชการกับเจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์องค์ใหม่ จึงได้พาครอบครัว และไพร่พลอพยพมาอยู่ที่บ้านสิงท่าดังเดิม พร้อมนำอัฐิพระวิไชยวรราชสุริยวงศ์ขัตติยราชมาก่อเจดีย์บรรจุไว้ข้างองค์พระธาตุอานนท์ที่วัดมหาธาตุ เพราะ เกรงว่าเจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์องค์ใหม่ จะไม่เคารพอัฐิเจ้าพระวิไชยวรราชสุริยวงศ์ขัตติยราช และได้ปรับปรุง พัฒนาบ้านสิงห์ท่าให้ใหญ่โตรุ่งเรืองขึ้นเป็นอันมาก พ.ศ. 2357 ราชวงศ์คำสิงห์ได้มีใบกราบบังคมทูลขอยกบ้านสิงห์ท่าขึ้นเป็นเมือง พระบาทสมเด็จพระ พุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะบ้านสิงห์ท่าขึ้นเป็นเมืองนาม ว่า เมืองยศสุนทร มีฐานะเป็นเมืองประเทศราชขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ให้ราชวงศ์คำสิงห์เป็นที่พระสุนทรราช วงศา (เจ้าคำสิงห์) พระประเทศราชผู้ครองเมืองยศสุนทรคนแรก (พ.ศ. 2357-2366) ให้ท้าวสีชาเป็นอุปราช ให้ท้าวบุตร (บุตรท้าวคำสิงห์) เป็นราชวงศ์ ให้ท้าวเสน (บุตรพระวอ)เป็นราชบุตร พระราชทานเครื่องประกอบ ยศพระประเทศราชผู้ครองเมืองดังนี้ พานหมากเงินถมทองปากจำหลัก ลายกลีบบัว เครื่องในทองคำ กระโถน เงินถมทอง ลูกประคำทองคำ 1 สาย สัปทนปัศตู 1 คัน กระบี่บั้งทองคำ 1 เล่ม เสื้อทรงประหาส หมวกตุ้มปี่ ปืนชนวนทองแดงเลี่ยมเงิน 1 กระบอก และอื่นๆ ตามสมควร และให้อาณาเขตเมืองยศสุนทรทิศเหนือจรดภูสี ฐานด่านเมยถึงยอดยัง ทิศใต้จรดห้วยก้ากว้าก ทิศตะวันออกถึงบ้านคำพระมะแงลำน้ำเซ ทิศตะวันตกจรดห้วย ไส้ไก่วังเจ็ก ทิศตะวันตกเฉียงเหนือจรดห้วยตาแหลว ให้เมืองยศสุนทรส่งส่วยบำรุงราชการของหลวงคือ น้ำรัก สองเลขต่อเบี้ย ป่านสองเลขต่อขวด และพระสุนทรราชวงศา (ท้าวคำสิงห์) ได้ให้ไพร่พลก่อสร้างฉางข้าว สร้าง ที่ว่าการเมือง สร้างท้องพระโรง (โฮงคำ) และปกครองเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขตลอดสมัย จนถึงแก่พิลาลัย ในปี พ.ศ. 2366 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อุปราชสีชาขึ้นเป็นที่พระสุนทรราชวงศา (ท้าวสีชา) พระประเทศ ราชผู้ครองเมืองยศสุนทร คนที่ 2 แต่ท่านครองเมืองได้เพียง 3 เดือนก็ถึงแก่พิลาลัย ในระหว่าง พ.ศ. 2369 เกิดสงครามเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์กับกรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระ นั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ เป็นแม่ทัพที่ 1 ยกทัพขึ้นไปปราบเจ้าอนุวงศ์ ให้พระยาราชสุภาวดี (สิงห์ สิงหเสนี) ได้ยกกองทัพหน้ามาตั้งที่เมืองยศสุนทร ท้าวฝ่ายบุตพร้อมกับท้าวสุวอธรรมา (บุญมา) (ต่อมาได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นพระปทุมเทวาภิบาล เจ้าเมือง หนองคายคนแรก) และท้าวเคน บุตรชายของท้าวสุวอธรรมา (บุญมา) ได้นำกองกำลังเมืองยศสุนทรเข้าร่วม กองทัพเจ้าพระยาราชสุภาวดียกทัพไปปราบเจ้าอนุวงศ์ที่นครเวียงจันทน์ได้สำเร็จ พระยาราชสุภาวดีจึงกราบ บังคมทูลความดีความชอบของท้าวฝ่ายบุต พ.ศ. 2370 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งท้าวฝ่ายบุตเป็นที่พระสุนทรราชวงศา มหาขัตติย ชาติ ประเทศราชวงศ์เวียง ดำรงรักษ์ภักดียศฦๅไกร ศรีพิไชยสงคราม หรือ พระสุนทรราชวงศาฯ (ท้าวฝ่าย บุต) พระประเทศราชผู้ครองเมืองยศสุนทร คนที่ 3 (พ.ศ. 2370-2400) พร้อมพระราชทานพระพุทธรูปสำคัญ คือ พระพุทธปฏิมาบุษยรัตน์หรือ พระแก้วหยดน้ำค้าง อันเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองยโสธรในปัจจุบัน ,


6 พระราชทานเชลยศึกจากนครเวียงจันทน์ จำนวน 500 ครอบครัว และพระราชทานปืนใหญ่ไว้สำหรับเมืองยศ สุนทร 1 กระบอก อันมีชื่อว่า "ปืนนางป้อง" ซึ่งยังคงปรากฏอยู่ที่ศาลหลักเมืองยโสธรมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อท้าว ฝ่ายบุตได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งขึ้นเป็นพระประเทศราชผู้ครองเมืองแล้ว ได้ให้ไพร่พลนำหินศิลาจาก บ้านแก้งหินโงม มาสร้างพระพุทธบาทจำลองประดิษฐานที่มณฑปวัดป่าอัมพวัน สร้างวัดขึ้นที่ท่าน้ำริมฝั่งแม่น้ำ ชี เรียกว่า วัดท่าแขก (หรือวัดศรีธรรมารามในปัจจุบัน) และสร้างวัดขึ้นที่กลางเมือง เรียกว่า วัดกลางศรีไตร ภูมิไว้เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองสืบมา พ.ศ. 2373 พระสุนทรราชวงศาฯ (ท้าวฝ่ายบุต) พร้อมด้วยอุปราชแพง ราชวงศ์สุดตา ราชบุตรอินทร์ แลกรมการเมืองยศสุนทรก่อสร้างอูบมุงครอบรอยพระพุทธบาท ณ บริเวณลานที่ตั้งค่ายพระยาราชสุภาวดี (สิงห์ สิงหเสนี) ไว้เป็นที่ระลึกถึงชัยชนะเหนือนครเวียงจันทน์คราวนั้น ให้ชื่อว่า วัดชุมพลชัยชนะ สงคราม (ปัจจุบันคือ วัดทุ่งสว่างชัยภูมิ) พ.ศ. 2378 เมื่อพระบรมราชา (มัง) เจ้าผู้ครองเมืองนครพนมได้หลบหนีไปกับเจ้าอนุวงศ์ แล้วพระยาม หาอำมาตยาธิบดี (หรุ่น) จึงได้มอบหมายให้พระสุนทรราชวงศาฯ (ท้าวฝ่ายบุต) ขึ้นไปเป็นพระประเทศราชผู้ ครองเมืองนครพนมอีกตำแหน่งหนึ่ง ส่วนทางเมืองยศสุนทรให้อุปราชแพง แลกรมการเมืองยศสุนทรปกครอง ดูแลแทน พ.ศ. 2400 พระสุนทรราชวงศาฯ (ท้าวฝ่ายบุต) ได้ถึงแก่พิราลัย ยังแต่พระศรีวรราช (ท้าวเหม็น) บุตร พระสุนทรราชวงศาฯ (ท้าวฝ่ายบุต) แลกรมการช่วยกันดูแลราชการบ้านเมืองอยู่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระศรีวรราช (ท้าวเหม็น) บุตรพระสุนทรราชวงศาฯ (ท้าว ฝ่ายบุต) เป็นที่พระสุนทรราชวงศา มหาขัตติยชาติ ประเทศราชดำรงศักดิยศฤๅไกร ศรีพิไชยสงคราม เจ้าผู้ ครองเมืองยศสุนทร คนที่ 4 (พ.ศ. 2400-2420) พระราชทานเครื่องยศประกอบตำแหน่งพระประเทศราชผู้ ครองเมืองดังนี้ พานหมากเงินกลมถมทอง เครื่องในทองคำยวง คณโฑทองคำ กระโถนเงินถม ประคำทองคำ 1 สาย กระบี่บั้งทองคำ สัปทน ปัศตู เสื้อกำมะหยี่ หมวกตุ้มปี่ ปืนชนวนทองแดง ต้นเหลี่ยมเงิน เสื้อเข้มขาบริ้วดี เสื้อแพรจีนจาว แพรสีทับทิมติดขลิบ ส่านไทยปักทอง ผ้าลายเกี้ยว ผ้าปูมเขมร ผ้าขาวหงินไก่ และผ้าขาวโล่ พ.ศ. 2416 พระสุนทรราชวงศา (ท้าวเหม็น) พระศรีรราชสุพรหม ผู้เป็นบุตร พร้อมด้วยญาติวงศ์ แล ไพร่พลได้พร้อมกันปฏิสังขรณ์วัดท่าแขกที่สร้างขึ้นในสมัยท้าวฝ่ายบุต แล้วนิมนต์พระเกตุโล (เกตุ) จากวัด โสมนัสราชวรวิหาร กรุงเทพฯ มาเป็นเจ้าอาวาส พร้อมตั้งวงศ์ธรรมยุติกนิกายในเมืองยศสุนทรเป็นครั้งแรก และให้ชื่อวัดใหม่ว่า "วัดศรีธรรมารามหายโศรก" (วัดศรีธรรมาราม) พระเกตุโล (เกตุ) ยังเป็นพระภิกษุที่ได้รับ การอุปสมบทเป็นพระสงฆ์ธรรมยุติกนิกายโดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเป็นพระ อุปัชฌาย์ จึงเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และนับว่าวัดศรีธรรมารามหายโศ


7 รกเป็นวัดธรรมยุติกนิกายแห่งแรกของเมืองยศสุนทร ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เขียนและเรียกชื่อเมืองยศสุนทร ว่า ยศโสธร หรือหากเรียกเพียงสั้นๆ ก็จะเป็นเมืองยศๆ และได้แปรเปลี่ยนมาเป็น ยโสธร สมัยปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2417 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เกิดศึกฮ่อยกกำลังมาตี เมืองหนองคาย กองกำลังเมืองยศสุนทรถูกเกณฑ์ให้ไปสมทบกองทัพจากกรุงเทพฯ กำลังพล 500 คน โดยมี พระยามหาอำมาตยาธิบดี (หรุ่น) เป็นแม่ทัพเข้าปราบปราม พ.ศ. 2420 พระสุนทรราชวงศา (ท้าวเหม็น) ได้ประชวรและถึงแก่พิราลัย ต่อมาใน พ.ศ. 2421 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระศรีวรราชสุพรหม บุตรพระ สุนทรราชวงศาฯ (ท้าวเหม็น) เป็นที่พระสุนทรราชวงศา (ท้าวสุพรหม) พระประเทศราชผู้ครองเมืองยศสุนทร คนที่ 5 (พ.ศ. 2420-2429) และใน พ.ศ. 2423 หลวงจุมพลภักดี นายกอง บุตรหลานของพระประทุมวรราชสุริ ยวงศ์ (ท้าวคำผง) ไปตั้งบ้านบึงโดนขึ้นแขวงเมืองยศสุนทร ซึ่งพระสุนทรราชวงศา (ท้าวเหม็น) พระประเทศ ราชผู้ครองเมืองยศสุนทรคนก่อนได้ตั้งให้เป็นกรมการเมืองยศสุนทรนั้น จะขอทำส่วยผลเร่วแยกจากเมืองยศ สุนทรขึ้นต่อกรุงเทพฯ โดยตรง แต่ฝ่ายพระสุนทรราชวงศา (ท้าวสุพรหม) พระประเทศราชผู้ครองเมืองไม่ยอม ตามหลวงจุมพลภักดีๆ มีความขุ่นเคืองจึงเอาบัญชีรายชื่อตัวเลขไปสมัครขึ้นกับพระราษฎรบริหาร เจ้าเมือง กมลาไสย และมีใบกราบบังคมทูลขอตั้งบ้านบึงโดนขึ้นเป็นเมือง ขอตั้งหลวงจุมพลภักดีเป็นเจ้าเมือง จึงทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านบึงโดนขึ้นเป็นเมืองเสลภูมินิคม ให้หลวงจุมพลภักดีเป็นพระนิคมบริรักษ์ เจ้า เมืองเสลภูมินิคม ให้ท้าวสุริยะเป็นอัคฮาด ให้ท้าวผู้ช่วยเป็นอัควงษ์ ท้าวสุทธิสารเป็นอัคบุตร รักษาราชการ เมืองเสลภูมินิคมขึ้นกับเมืองกมลาไสย พ.ศ. 2426 พวกฮ่อได้ยกกำลังมาตั้งอยู่ที่ทุ่งเชียงคำ เมืองยศสุนทรได้รับเกณฑ์ให้เอากำลังช้างม้าโคต่าง ๆ ไปเป็นพาหนะบรรทุกเสบียงไปเลี้ยงกองทัพ ต่อมาใน พ.ศ. 2429 พระสุนทรวรราชวงศา (ท้าวสุพรหม) ได้ ถึงแก่พิราลัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อุปราช (แก) เป็นที่ พระสุนทรราชเดช เป็นข้าหลวงกำกับราชการเมืองยโสธรคนแรก (พ.ศ. 2430-2438) พ.ศ. 2433 มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองแบบเมืองประเทศราชมาเป็นการปกครองแบบมณฑล เทศาภิบาล หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ เมืองอุบลราชธานีเป็นเมืองเอก มีเมืองขึ้นกับข้าหลวงต่าง พระองค์ทั้งหมด 41 เมือง ประกอบด้วยหัวเมืองเอก 12 หัวเมือง คือ อุบลราชธานี กาฬสินธุ์ สุวรรณภูมิ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ภูแล่นช้าง กมลาไสย เขมราฐ หนองสองคอนดอนดง และศรีสะเกษ และเมืองยโสธรจึง จัดอยู่ใน 41 เมืองดังกล่าวด้วย ปี พ.ศ. 2436 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ข้าหลวงต่างพระองค์ผู้สำเร็จราชการมณฑล ลาวกาว โปรดเกล้าฯ ให้หลวงพิทักษ์สุเทพ ข้าหลวง ท้าวไชยกุมาร เมืองอุบลราชธานี ขึ้นมาจัดราชการเมือง ยโสธร แล้วอุปราชแก ราชบุตรหนู พระศรีวรราช ท้าวสิทธิกุมาร ต่อมาคือพระอุบลศักดิ์ประชาบาล (กุคำ


8 สุวรรณกูฏ) ผู้ที่รับหน้าที่ราชวงศ์ จึงพร้อมด้วยหลวงพิทักษ์สุเทพ ร่วมงานพระราชทานเพลิงศพพระสุนทรราช วงศา (ท้าวสุพรหม) เมื่องานพระราชทานเพลิงศพฯ เสร็จลง เมืองยโสธรก็ว่างเว้นจากผู้ครองเมือง เหลือแต่ อุปราชแก ราชบุตรหนู รับราชการกับหลวงพิทักษ์สุเทพ ในปีนี้เองเกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ฝรั่งเศสได้ยกกำลังจากเมืองญวนมาตีเมืองสมโบกของไทย ฝ่ายเมืองยโสธรได้ถูกเกณฑ์กำลังทหารไปสมทบ กองทัพจากกรุงเทพฯ ทั้งสามกองทัพ กองทัพละ 1,000 คน จำนวน 1,000 นาย โดยมีหลวงพิทักษ์สุเทพ เป็น นายคุมทัพไป พ.ศ. 2437 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เสด็จขึ้นมาเป็นข้าหลวงต่างพระองค์ ผู้สำเร็จราชการมณฑลลาวกาว ประดับที่เมืองอุบลราชธานี แล้วโปรดเกล้าฯ ให้นายร้อยโทสอน เป็นข้าหลวง มาจัดราชการเมืองยโสธร แล้วให้อุปราชแกเป็นที่พระสุนทรราชเดช ให้ราชบุตรหนูเป็นราชวงศ์ และหลวง ศรีวรราช (แข้) เป็นราชบุตร พ.ศ. 2438 พระสุนทรราชเดชได้ถึงแก่อนิจกรรมลง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้นายร้อยโทสอน เป็นขุนราญอริพล (สอน) ผู้ว่าราชการเมืองยโสธร คนที่ 2 และ พ.ศ. 2440 ขุนราญอริพลก็ถึงแก่กรรมลงอีก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้หลวง ศรีวรราช (แข้) เป็นพระสุนทรราชเดช (แข้ ประทุมชาติ) ผู้ว่าราชการเมืองยโสธร คนที่ 3 (พ.ศ. 2440 - 2455) พ.ศ. 2442 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ เสด็จขึ้นมาประทับที่เมืองยโสธร โปรด เกล้าฯ ให้ราชวงศ์ทองดี เป็นหลวงยศไกรเกรียงเดช (ทองดี ต้นสกุลโพธิ์ศรี) เป็นยกบัตรเมือง 4. ท้าวโพธิสาร (ตา ต้นสกุลไนยกุล) เป็นหลวงยศเยศสุรามฤทธิ์เป็นนายอำเภออุทัยยะโสธร 5. ท้าวสิทธิสาร (สมเพศ) เป็น หลวงยศวิทยธำรง ผู้ช่วย 6. เมืองจันทร์ (ฉิม) เป็นหลวงยศเขตรวิมลคุณ มหาดไทย เป็นนายอำเภอปจิม ยโสธร พ.ศ. 2443 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ จัดการปกครองในรูปแบบมณฑลเทศาภิบาล เมืองยโสธรจึงถูกจัดอยู่ในมณฑลตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้ง กองบัญชาการมณฑลที่เมืองอุบลราชธานี (บริเวณอุบลราชธานี) ต่อมา พ.ศ. 2445 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม หลวงสรรพสิทธิประสงค์ โปรดเกล้าฯ ให้ซานนท์ (ชาย) เป็นหลวงยศอดุลพฤฒิเดช เป็นตำแหน่งพลเมือง วันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2449 เวลาย่ำรุ่ง 20 นาทีพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ ดำรง ตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น ทรงเสด็จจากที่ประทับแรมพลับพลาบ้านนากอก แขวงเมือง มุกดาหาร ข้ามป่าดงบังอี่มายังเมืองยโสธร เวลาเช้า 5 โมงถึงตำบลกุดเชียงหมี ระยะทาง 180 เส้น มีที่พักแรม รวมระยะทางวันนี้ 480 เส้น มีข้าราชการมณฑลอีสานมารับคือ หลวงสถานบริรักษ์ กรมวัง และพระอุบลเดช ประชารักษ์ ปลัดรักษาราชการเมือง พระอุบลศักดิ์ประชาบาล ยกกระบัตรเมืองอุบลราชธานี และกรมการ อำเภอต่างๆ หลายนาย


9 วันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2449 เวลาย่ำรุ่งออกจากที่พักแรมตำบลกุดเชียงหมี ข้ามลำน้ำเซแดนเมืองเส นางคนิคมกับแดนเมืองยโสธรต่อกัน แล้วเข้าทางเขตบ้านฮ่องแซง (ตำบลห้องแซง) ถึงปากดงภูสะมากัง หรือ บ้านคำบอน เวลาเช้าโมงครึ่งกับ 25 นาที ระยะทาง 258 เส้นมีที่พักร้อน ชาวบ้านมาหา ซึ่งชาวบ้านนี้เป็นผู้ ไทยเดินมาจากเมืองตะโปน เวลาเช้า 3 โมงครึ่ง เดินทางต่อมาเข้าดงสะมากัง เป็นดงมีไม้งาม ๆ และมีไม้ยมผา อย่างไม้ทำหีบบุหรี่ฝรั่ง เป็นดงเล็กกว่าดงบังอี่ และหนทางเรียบร้อยดี เวลาเช้า 5 โมงพ้นดงสะมากัง ถึงที่พัก แรมตำบลบ้านส้มพ้อ (ตำบลส้มผ่อ) ระยะทาง 260 เส้น รวมระยะทางวันนี้ 516 เส้น นายร้อยเอกหลวงสมรรถ สรรพยุทธ ข้าหลวงโยธามณฑลอีสานมาคอยรับ วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2449 เวลาย่ำรุ่งออกจากที่พักแรมบ้านส้มพ้อมาตามเขตบ้านนาฮีแล้วเข้าเขต บ้านคำไหล ระยะทาง 306 เส้น ถึงที่พักร้อนเวลาเช้าโมงหนึ่งกับ 45 นาที เวลาเช้า 3 โมงออกจากที่พักร้อน ออกจากเขตบ้านคำไหลเข้าเขตบ้านตาสืม แล้วถึงบ้านนาซึมที่พักแรมเวลาเช้า 3 โมง 50 นาที ระยะทาง 211 เส้น รวมระยะทางวันนี้ 515 เส้น วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2449 เวลาย่ำรุ่งออกจากที่พักแรมบ้านนาซึมทางมาเป็นโคกไม้เล็ก ๆ หนทางที่ ตัดแลดูแต่ไกลเห็นทิวไม้สองข้างทางข้างหน้าซึ่งงามดี และที่ริมหนทางที่มามีที่นาดี ๆ เป็นอันมาก เมื่อเวลา ออกจากบ้านนาซึมเข้าเขตบ้านนาโป่ง และบ้านเผือฮี มีสระน้ำริมทางแล้วเข้าเขตบ้านนาซวยใหญ่ บ้านนาซวย น้อย ถึงบ้านนาสีนวลที่พักร้อนเวลาเช้า 2 โมง ระยะทาง 377 เส้น เวลาเช้า 3 โมง ออกจากบ้านนาสีนวล พ้น เขตบ้านนาสีนวลมาเข้าเขตบ้านหนองสรวง บ้านหนองแวง และบ้านคำหม้อ ถึงเมืองยโสธร เวลาเช้า 4 โมงครึ่ง ระยะทาง 266 เส้น รวมระยะทางวันนี้ 643 เส้น มีหลวงศรีวรราช (แข้) ผู้ว่าราชการเมืองยโสธร หลวงยศไกร เกรียงเดช (ทองดี) ยกกระบัตร และกรมการเมืองคอยรับอยู่ ในการที่มามณฑลอีสานคราวนี้ อยากจะไปเฝ้า กรมขุนสรรพสิทธิที่เมืองอุบล แต่เป็นการขัดข้องด้วยข้าหลวงปักปันแดนกับฝรั่งเศสจะประชุมกันที่เมืองอุบล กรมขุนสรรพสิทธิท่านทรงติดพระธุระกับแขกเมือง จะไปเพิ่มความลำบากถวายหาควรไม่ จึงกะทางหลีกมาเสีย เมืองยโสธรห่างเมืองอุบลอยู่ 2 วัน ฝ่ายกรมขุนสรรพสิทธิเดิมก็จะเสด็จมาพบที่เมืองยโสธร แต่เผอิญเวลานี้ ข้าหลวงปักปันเขตแดนอยู่ที่เมืองอุบลราชธานีจึงเสด็จมาไม่ได้ ได้แต่สนทนากันโดยทางโทรศัพท์ เวลาบ่าย 4 โมงไปที่วัดพระธาตุ มีพระเจดีย์เก่าเป็นรูปปรางค์องค์หนึ่ง พระครูยโสธราจารย์เป็นเจ้าอาวาส และไปวัดสิงทา และวัดธรรมหายโศก ที่วัดธาตุและวัดธรรมหายโศกมีนักเรียนร้องคำชัยมงคล ทำนองสรภัญญะ ซึ่งพระศาสน ดิลก เจ้าคณะมณฑลได้เรียบเรียงส่งมา แลวัดธรรมหายโศกเป็นวัดธรรมยุติกา เวลาค่ำ มีหลวงเถกิงรณกาจ ผู้ บังคับการตำรวจภูธร ได้จัดแคนวงกรมตำรวจภูธรมณฑลอีสานมาเล่นเวลากินด้วย


10 ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองยโสธร ตั้งอยู่ย่านเมืองเก่าบ้านสิงห์ท่า เป็นย่านการค้าที่สำคัญในอดีตของเมืองยโสธร และถือเป็นจุดหมายสำคัญของพ่อค้าชาวไทยเชื้อสายจีนชาวยโสธรที่อาศัยในสิงห์ท่า วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2449 เวลาเช้าโมงหนึ่ง ไปดูตลาดและหมู่บ้านในเมืองยโสธร ๆ นี้ตั้งอยู่บนเนิน ใกล้ลำน้ำพาชีที่ว่าใกล้นี้มิใช่ริมน้ำอย่างเมืองที่ตั้งตามริมแม่น้ำเจ้าพระยา ลำน้ำทางมณฑลนครราชสีมา และ มณฑลอุดร อีสาน เช่น ลำน้ำพาชีนี้เป็นต้นน้ำไหลลงแม่น้ำโขง เวลาฤดูฝนน้ำในแม่น้ำโขงมาก น้ำในลำน้ำ เหล่านี้ไหลลงแม่น้ำโขงไม่ได้ก็ท่วมตลิ่งที่ลุ่มเข้าไปลึก ๆ บ้านเรือนต้องตั้งพ้นที่น้ำท่วมจึงมักอยู่ห่างตลิ่ง แต่เมื่อ ฤดูแล้งน้ำลดแห้งขอดก็กลายเป็นอยู่ดอน หาน้ำยากเป็นอย่างนี้แทบทั้งนั้น เว้นแต่บางแห่งเช่นเมืองอุบลเพราะ ที่ริมแม่น้ำมูลตรงนั้นเป็นที่ดอน เมืองจึงอยู่ชิดลำน้ำ ที่เมืองยโสธรนี้มีถนนใหญ่เป็นทางสี่แยก ริมถนนใหญ่เป็น ทางสี่แยก ริมถนนใหญ่มีร้านเป็นตึกดินอย่างโคราช มีพ่อค้าจีนและพ่อค้าไทยมาจากโคราชตั้งขายของต่าง ๆ ซึ่งนำมาจากเมืองนครราชสีมามากร้านด้วยกัน และมีผ้าม่วงหางกระรอกและโสร่งไหมซึ่งทำในพื้นเมืองมาขาย บ้างบางร้านหมู่บ้านราษฎรก็แน่นหนา มีจำนวนพลเมืองทั้งสิ้นประมาณ 30,000 คน มีถนนเล็ก ๆ เดินถึงกันใน หมู่บ้าน แต่เป็นที่มีฝุ่นมาก สินค้าพื้นเมืองยโสธรส่งไปขายเมืองนครราชสีมา มีหนัง เขา เร่ว ครั่ง และไหม ได้ ความว่าใน ๕ ปีมานี้สินค้าไหมทวีมากขึ้น สินค้าฝั่งซ้ายมาทางเมืองมุกดาหารมาขายถึงเมืองยโสธร มียาง กะตังกะติ้วบ้าง และยางกะตังกะติ้วนี้ได้มาจากเมืองหนองสูงข้างฝั่งขวาก็มี และ มีพ่อค้าซื้อโคกระบือไปขาย คราวหนึ่ง ตั้งแต่ 400 ถึง 500 บ้าง ลงทางดงพระยาไฟไปขายที่ปากเพรียวทางหนึ่ง ลงทางดงพระยากลางไป ขายที่อำเภอสนามแจงแขวงเมืองลพบุรีทางหนึ่ง ลงทางช่องตะโกไปขายที่เมืองพนัสนิคม พนมสารคามและ เมืองนครนายกทางหนึ่ง แต่เดิมลงทางช่องเสม็ด แต่เดี๋ยวนี้ใช้ลงทางช่องตะโก เพราะเป็นทางสะดวกกว่า พ่อค้าที่ไปปากเพรียวนำกระบือลงไปขายเป็นพื้น พ่อค้าที่ไปสนามแจงนำโคลงไปขาย พ่อค้าที่ไปมณฑล ปราจีนบุรีมีกระบือ และโคคละไปด้วยบ้าง ฟังดูตามเสียงพ่อค้าว่าการนำโคลงไปขาย ได้กำไรมากกว่ากระบือ เพราะโคเลี้ยงง่าย กระบือเมื่ออดน้ำมักจะเป็นอันตรายตามทาง เวลาเช้า 4 โมงครึ่งมีการประชุมบายศรี ผู้เฒ่า คนหนึ่งกล่าวคำชัยมงคลเป็นทำนองไพเราะ และวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2449 เวลาย่ำรุ่ง เสด็จออกจากที่พัก แรมเมืองยโสธรไปยังเมืองเสลภูมิ


11 พ.ศ. 2452 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบอำเภอคำเขื่อนแก้ว และอำเภอปจิมเขมราฐ โดยให้รวมกับ อำเภออุไทยเขมราฐ พร้อมกันนั้นก็ให้ยุบเมืองเขมราฐ ส่วนอำเภอที่อยู่ในเขตการปกครองเมืองเขมราฐ ก็ให้มา รวมอยู่ในเขตการปกครองของเมืองยโสธร เมืองยโสธรจึงมีอำเภอในเขตการปกครองรวม 6 อำเภอ ได้แก่ • อำเภออุไทยยะโสธร มีท้าวสิทธิกุมาร (ทุม) เป็นนายอำเภอ • อำเภอปจิมยะโสธร มีท้าวอุเทนวงษา (เขียน) เป็นนายอำเภอ • อำเภออุไทยเขมราฐ มีหลวงเขมรัฐการอุตส่ห์ (แสง) เป็นนายอำเภอ • อำเภออำนาจเจริญ มีราชวงศ์ (ซาว) เป็นนายอำเภอ • อำเภอโขงเจียม มีท้าวบุญธิสาร (คำบ่อ) เป็นนายอำเภอ • อำเภอวารินทร์ชำราบ มีอุปราช (บุญ) เป็นนายอำเภอ จึงเป็นปีที่เมืองยโสธรมีพื้นที่อาณาเขตกว้างใหญ่ และมีจำนวนอำเภอมากที่สุด พ.ศ. 2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบ อำเภอวารินทร์ชำราบอันอยู่ในเขตการปกครองของเมืองยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี โดยให้ท้องที่ตำบลต่างๆ ไปรวมกับอำเภอพิมูลมังษาหาร และส่วนหนึ่งไปรวมกับอำเภอบูรพาอุบล (อำเภอเมืองอุบลราชธานี) พ.ศ. 2455 รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แยกมณฑลอีสาน เป็น 2 มณฑล คือ มณฑบล อุบลราชธานี และมณฑลร้อยเอ็ด โดยกำหนดให้มณฑลอุบลราชธานี มี 3 จังหวัด คือ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดขุขันธ์ และจังหวัดสุรินทร์ ในช่วงเวลาดังกล่าวได้เปลี่ยนชื่อเมืองให้เรียกเป็นจังหวัดแล้ว แต่ยังไม่ได้ ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ เมืองยโสธรก็ถูกยุบไปในคราวเดียวกันนั้น ส่วนอำเภอต่างๆ ที่เคยขึ้นกับเมือง ยโสธร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2452 ก็ถูกโอนย้ายให้อยู่ในเขตการปกครองของจังหวัดอุบลราชธานีตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้น มา พ.ศ. 2456 กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการเปลี่ยนชื่ออำเภอในจังหวัดอุบลราชธานีให้เหมาะสม การ นี้จึงได้เปลี่ยนชื่ออำเภออุไทยยะโสธร เป็นอำเภอคำเขื่อนแก้ว และอำเภอปจิมยะโสธร เป็นอำเภอยะโสธร สมัยเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจนถึงปัจจุบัน[แก้] พ.ศ. 2489 นายสุวิชช์ จิตตยะโสธร คนอำเภอยะโสธรคนแรกที่ได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี โดยได้เสนอร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งอำเภอยะโสธรเป็นจังหวัด ยโสธรตามที่ได้รับปากไว้กับประชาชนชาวอำเภอยโสธรในขณะที่หาเสียง แต่ปรากฏว่าไม่สำเร็จเพราะมีกระแส คัดค้านไม่ให้แยกออกจากจังหวัดอุบลราชธานี และได้มีการปฏิวัติเกิดขึ้น พ.ศ. 2494 นายดิเรก มณีรัตน์ (เขยเมืองยศ) ได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรจังหวัดอุบลราชธานี ก็ได้พยายามดำเนินการขอจัดตั้งจังหวัดยะโสธร และกระทรวงมหาดไทยได้ริเริ่มขอ ตั้งอำเภอยโสธรขึ้นเป็นจังหวัดครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากฝ่ายใด


12 ต่อมาระหว่าง พ.ศ. 2500–2513 ร.ต.ท.พวง ศรีบุญลือ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอยโสธร เห็นว่า คำว่า "ยโสธร" อันมีความหมายว่า "ทรงไว้ซึ่งยศ" แต่การเขียนหรือการเรียกสั้นๆ ว่า เมืองยโสธร พูดแล้วฟังดู ไม่เป็นที่ไพเราะหูและไม่เป็นมงคลนาม จึงได้มีหนังสือขอให้เขียนชื่ออำเภอเสียใหม่เป็น "ยโสธร" และได้รับ อนุญาตจากกระทรวงมหาดไทย โดยความเห็นชอบของราชบัณฑิตยสถานให้เปลี่ยนได้ และใช้มาจนบัดนี้ พ.ศ. 2514 จอมพลถนอม กิติขจร ในฐานะหัวหน้าคณะปฏิวัติ ได้นำเรื่องการจัดตั้งจังหวัดยโสธรที่ค้าง คาอยู่ ออกประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 70 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 โดยได้แยกอำเภอต่าง ๆ ที่อยู่ ในการปกครองของจังหวัดอุบลราชธานีเดิม 6 อำเภอ คือ อำเภอยโสธร อำเภอกุดชุม อำเภอเลิงนกทา อำเภอ คำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะชัย และอำเภอป่าติ้ว รวมเข้าเป็นจังหวัดยโสธร จังหวัดที่ 71 ของประเทศไทย มี ผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2515 เป็นต้นไป และแต่งตั้งนายชัยทัต สุนทรพิพิธ รองผู้ว่าราชการจังหวัด อุบลราชธานี ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธรคนแรก ภูมิศาสตร์ ที่ตั้งและอาณาเขต ศาลากลางจังหวัดยโสธรตั้งอยู่ที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองยโสธร ณ ละติจูด 15° 47´.6 เหนือ ลองจิจูด 104° 08´.7 ตะวันออก และมีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียงดังนี้ • ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดมุกดาหาร • ทิศตะวันออก ติดต่อกับจังหวัดอำนาจเจริญ และจังหวัดอุบลราชธานี • ทิศใต้ติดต่อกับจังหวัดศรีสะเกษ • ทิศตะวันตก ติดต่อกับจังหวัดร้อยเอ็ด ภูมิประเทศ จังหวัดยโสธรตั้งอยู่ในบริเวณที่ราบหรือแอ่งโคราช โดยอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 128 เมตร มี พื้นที่ 4,161.444 ตารางกิโลเมตร หรือ 2,600,902.5 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 0.81 ของพื้นที่ทั่วประเทศ (321 ล้าน ไร่) และคิดเป็นร้อยละ 12.89 ของพื้นที่กลุ่มจังหวัด แยกเป็นพื้นที่การเกษตร 1,623,649 ไร่ (62.42%) ป่า สงวนแห่งชาติ 712,822 ไร่ (27.41%) ที่อยู่อาศัย 34,776 ไร่ (1.34%) และอื่นๆ อีก 29,655 ไร่ (8.83%) พื้นที่ มีลักษณะลาดเอียงจากทิศตะวันตกลงไปทางทิศตะวันออก ลักษณะดินส่วนมากเป็นดินทรายและดินเค็ม ทางด้านตอนบนของจังหวัดมีลักษณะส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูงสลับกับพื้นที่แบบลูกคลื่น มีสภาพเป็นป่าและภูเขา ขนาดเล็กเป็นบางบริเวณ ในอดีตเคยเป็นพื้นที่ของป่าดงบังอี่คือ อำเภอเลิงนกทา อำเภอกุดชุม และอำเภอไทย เจริญ และเป็นต้นกำเนิดลำน้ำสายสำคัญคือ ลำเซบาย และลำน้ำโพง และมีลำน้ำเล็กๆ คือ ห้วยสะแบก ห้วย ลิงโจน เป็นต้น ทางด้านตอนกลางและตอนใต้ของจังหวัดมีลักษณะเป็นเป็นที่ราบลุ่มต่ำสลับกับสันดินริมน้ำ


13 แม่น้ำชีคือ อำเภอเมืองยโสธร อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะชัย และอำเภอค้อวัง ความยาวเฉพาะช่วงที่ แม่น้ำชีไหลผ่านจังหวัดยโสธร มีความยาว 110 กิโลเมตร มีน้ำไหลตลอดปี มีปริมาณน้ำท่าเฉลี่ย 8,035 ล้าน ลูกบาศก์เมตรต่อปี ปริมาณน้ำที่กักเก็บได้เฉลี่ย 4,179 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีปริมาณน้ำท่าเหลือเฉลี่ย 3,856 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และมีลำน้ำเล็กๆ คือ ลำชีหลง ลำทวน ห้วยขั้นไดใหญ่ ห้วยพระบาง ห้วยน้ำเค็ม ห้วย พันทม ห้วยสันโดด เป็นต้น ด้านตะวันตกของจังหวัดมีลำน้ำยังไหลลงมาบรรจบกับแม่น้ำชีในพื้นที่อำเภอเมือง ยโสธร และอำเภอทรายมูล มีลำน้ำเล็กๆ คือ ห้วยแกวใหญ่ ส่วนด้านตะวันออกมีลำเซบาย และลำน้ำโพงไหล ผ่านในพื้นที่อำเภอป่าติ้ว และอำเภอคำเขื่อนแก้ว มีลำน้ำเล็ก ๆ คือ ห้วยทม พื้นที่ในจังหวัดยโสธรมีลักษณะดินต่าง ๆ โดยเป็นดินปนทราย 306,899 ไร่ หรือร้อยละ 11.79 ของ พื้นที่จังหวัด ดินเค็ม(ปานกลางและน้อย) 140,255 ไร่ หรือร้อยละ 5.39 เป็นดินตื้นปนกรวดและดินภูเขา 68,117 ไร่ หรือร้อยละ 2.62 และตามข้อมูล กชช.2ค. มีจำนวนหมู่บ้านที่มีปัญหาคุณภาพดิน ระดับมาก จำนวน 270 หมู่บ้าน ระดับปานกลาง 241 หมู่บ้าน รวมเป็น 511 หมู่บ้าน คิดเป็นร้อยละ 57.74 ของจำนวน หมู่บ้านทั้งหมด ถือว่ามีปัญหาเรื่องคุณภาพดินค่อนข้างมาก จังหวัดยโสธรมีพื้นที่ประกาศเป็นป่าสงวนแห่งชาติทั้งสิ้น จำนวน 27 ป่า เนื้อที่ 712,822 ไร่ ปัจจุบัน กรมป่าไม้ได้ส่งมอบพื้นที่เสื่อมโทรมให้สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม นำไปปฏิรูปให้เกษตรกร ทั้งสิ้น 509,405 ไร่ และมีพื้นที่กันคืนให้กรมป่าไม้เนื่องจากสภาพยังคงเป็นป่าแปลงเล็กแปลงน้อย จำนวน 241 แปลง เนื้อที่ 38,544 ไร่ คงเหลือพื้นที่ป่าที่จะดูแลรักษาจำนวน 297,419 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 11.43 (เป็นพื้นที่ C จำนวน 114,713 ไร่) จากสถิติกรมป่าไม้ ปี พ.ศ. 2551 เหลือพื้นที่ป่า จำนวน 272,725 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 10.49 ของพื้นที่จังหวัด และมีอุทยานแห่งชาติอยู่ 1 แห่ง คือ 1. อุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว อยู่ในท้องที่อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร เนื้อที่ 42,500 ไร่ ซึ่งประกาศทับซ้อนกับป่าสงวนแห่งชาติป่าดงบังอี่ ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2550-2554) คดีป่าไม้ เฉลี่ย 40 คดี/ปี พื้นที่ถูกบุกรุกเฉลี่ย 145-2-58 ไร่/ปี มีไฟป่าเกิดขึ้นเฉลี่ย 14 ครั้ง/ปี พื้นที่เสียหาย เฉลี่ย 231 ไร่/ปี 2. โครงการจัดตั้งวนอุทยานภูหินปูน ในท้องที่อำเภอกุดชุม และอำเภอเลิงนกทา แหล่งน้ำ แหล่งน้ำธรรมชาติที่สำคัญได้แก่ • แม่น้ำชีมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาเพชรบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ โดยไหลผ่านอำเภอเมืองยโสธร ผ่าน อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะชัย และอำเภอค้อวัง ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำมูลในเขตอำเภอ เมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี แม่น้ำชีมีน้ำไหลผ่านตลอดทั้งปี แม่น้ำชีมีลำน้ำสาขาอยู่


14 ในเขตจังหวัดยโสธรหลายสาย คือ ลำน้ำกว้าง ห้วยพระบาง ห้วยสันโดด ห้วยพันทม ห้วยกุด กุง ฯลฯ • ลำเซบาย มีต้นกำเนิดจากภูถ้ำยางเดียว บ้านกุดแข้ด่อน ตำบลกุดเชียงหมี อำเภอเลิงนกทา ไหลผ่านอำเภอไทยเจริญ อำเภอป่าติ้ว อำเภอเมืองอำนาจเจริญ อำเภอหัวตะพาน อำเภอคำ เขื่อนแก้ว อำเภอเขื่องใน ก่อนไหลลงสู่กับแม่น้ำมูลที่บ้านดงบัง ตำบลหนองบ่อ จังหวัด อุบลราชธานี ลำเซบายมีลำน้ำสาขาอยู่หลายสาย คือ ลำน้ำโพง ห้วยลิงโจน ห้วยสะแบก ห้วย ส้มฝ่อ ฯลฯ • ลำน้ำโพง มีต้นกำเนิดจากภูด่านฮัง บ้านโพง ตำบลห้องแซง อำเภอเลิงนกทา ไหลผ่านอำเภอ ไทยเจริญ อำเภอกุดชุม อำเภอเมืองยโสธร อำเภอป่าติ้ว ก่อนไหลลงสู่ลำเซบายที่บ้านกุดสำโรง ตำบลศรีฐาน อำเภอป่าติ้ว ลำน้ำโพงมีน้ำไหลเกือบตลอดปี • ลำน้ำยัง มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาภูพานในเขตอำเภอเขาวง จังหวัดกาฬสินธุ์ ไหลผ่านพื้นที่ จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดร้อยเอ็ด และไหลลงสู่แม่น้ำชีที่บ้านแจ้งน้อย ตำบลค้อเหนือ อำเภอ เมืองยโสธร ลำน้ำยังมีน้ำไหลเกือบตลอดปี • ลำแกวใหญ่ มีต้นกำเนิดจากภูหินแม่ช้าง บ้านโนนประทาย ตำบลหนองแหน อำเภอกุดชุม ไหลผ่านอำเภอทรายมูล อำเภอเสลภูมิ ก่อนไหลลงสู่ลำน้ำยังที่บ้านใหม่ชุมพร ตำบลเดิด อำเภอเมืองยโสธร ลำแกวใหญ่มีน้ำไหลเกือบตลอดปี ภูมิอากาศ จังหวัดยโสธรตั้งอยู่ระหว่างเส้นแวงที่ 104 และ 105 องศาตะวันออก และเส้นรุ้งที่ 15 และ 16 องศา เหนือ สำหรับภูมิอากาศ จังหวัดยโสธรมี 3 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว ความชื้นสัมพัทธ์ เฉลี่ยเท่ากับ 71.1% อุณหภูมิสูงสุด 43 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 11 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในรอบ 5 ปี (2552 – 2556) เฉลี่ย 1,600 ม.ม. ต่อปี


15 การปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีจำนวน 88 แห่ง แบ่งออกเป็น 1 องค์การบริหารส่วนจังหวัด, 1 เทศบาลเมือง, 22 เทศบาลตำบล และ 64 องค์การบริหารส่วนตำบล มีรายชื่อดังนี้ อำเภอเมืองยโสธร • เทศบาลเมืองยโสธร • เทศบาลตำบลตาดทอง • เทศบาลตำบลเดิด • เทศบาลตำบลทุ่งแต้ • เทศบาลตำบลน้ำคำใหญ่ • เทศบาลตำบลสำราญ อำเภอทรายมูล • เทศบาลตำบลทรายมูล • เทศบาลตำบลนาเวียง อำเภอกุดชุม • เทศบาลตำบลกุดชุมพัฒนา อำเภอมหาชนะชัย • เทศบาลตำบลฟ้าหยาด อำเภอค้อวัง • เทศบาลตำบลค้อวัง อำเภอเลิงนกทา • เทศบาลตำบลเลิงนกทา • เทศบาลตำบลสามแยก • เทศบาลตำบลบุ่งค้า • เทศบาลตำบลห้องแซง • เทศบาลตำบลสามัคคี • เทศบาลตำบลศรีแก้ว • เทศบาลตำบลกุดเชียงหมี


16 อำเภอคำเขื่อนแก้ว • เทศบาลตำบลคำเขื่อนแก้ว • เทศบาลตำบลดงแคนใหญ่ อำเภอป่าติ้ว • เทศบาลตำบลป่าติ้ว • เทศบาลตำบลเชียงเพ็ง • เทศบาลตำบลสวาท • เทศบาลตำบลกุดแห่ อำเภอไทยเจริญ • เทศบาลตำบลคำเตย ประวัติและความเป็นมาของแต่ละอำเภอ อำเภอเมืองยโสธร เป็นอำเภอหนึ่ง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย มีเนื้อที่ ประมาณ 578.20 ตารางกิโลเมตร หรือ 361,378.5 ไร่ ที่ตั้งและอาณาเขต อำเภอเมืองยโสธรตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของจังหวัด ห่างจากกรุงเทพมหานครเป็นระยะทาง 531 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้ • ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอเสลภูมิ(จังหวัดร้อยเอ็ด) อำเภอทรายมูล และอำเภอกุดชุม • ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอป่าติ้ว • ทิศใต้ติดต่อกับอำเภอคำเขื่อนแก้ว และอำเภอพนมไพร (จังหวัดร้อยเอ็ด) • ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอเสลภูมิ (จังหวัดร้อยเอ็ด) ประวัติ จากพงศาวดารเมืองยโสธรลงจารึก พ.ศ. 2314 พระวรราชปิตา เจ้าผู้ครองนครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัว บาน (หนองบัวลุ่มภู) พระโอรสของเจ้าอุปราชนอง ปฐมราชวงศ์แสนทิพย์นาบัว ทรงมีรับสั่งให้ท้าวคำสู ท้าว คำขุย ท้าวคำสิงห์ พร้อมญาติวงศาลงมาหาทำเลที่ตั้งบ้านเมืองบริเวณดงผีสิงห์ และตั้งบ้านเมืองขี้นนาม ว่า บ้านสิงห์ท่าบ้านสิงห์โคก


17 พ.ศ. 2315 พระวรราชภักดีท้าวฝ่ายหน้า ท้าวคำผง ท้าวทิดพรหม และท้าวก่ำ ได้หนีราชภัยสงคราม ลงมาหวังจะไปอาศัยอยู่กับเจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์แต่ก็ได้พาไพร่พลแวะพักอยู่ที่บ้านสิงห์ท่าบ้านสิงห์โคก ด้วยเช่นกัน พ.ศ. 2357 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงยกฐานะบ้านสิงห์ท่าขึ้นเป็น "เมืองยศสุนทร" ขึ้นตรงต่อกรุงเทพมหานคร ให้ราชวงศ์สิงห์เป็นเจ้าผู้ครองเมืองในราชทินนามที่พระสุนทรราชวงศา พ.ศ. 2443 ได้รวมเข้าอยู่ในบริเวณอุบลราชธานี แล้วแบ่งเป็น 2 อำเภอ เรียกอำเภออุทัยยโสธร และ อำเภอปจิมยะโสธร ปีพ.ศ. 2450 เมืองยโสธรถูกยุบลงเพื่อรวมกับจังหวัดอุบลราชธานี พ.ศ. 2453 ทางการได้ย้ายอำเภออุทัยยะโสธรไปตั้งที่ตำบลลุมพุก และภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอคำ เขื่อนแก้ว ส่วนอำเภอปจิมยะโสธรซึ่งตั้งอำเภออยู่ในเมืองต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น อำเภอยะโสธร ในพ.ศ. 2456 พ.ศ. 2515 ได้มีการจัดตั้งจังหวัดยโสธรโดยประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 70 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ โดย แยกอำเภอยโสธร อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะชัย อำเภอป่าติ้ว อำเภอเลิงนกทา และอำเภอกุดชุมออก จากจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อรวมกันเป็นจังหวัดยโสธรตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2515 และเป็น กำเนิด อำเภอเมืองยโสธร ในปัจจุบัน การแบ่งเขตการปกครอง การปกครองส่วนภูมิภาค อำเภอเมืองยโสธรแบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น 18 ตำบล 190 หมู่บ้าน ได้แก่ 1. ในเมือง (Nai Mueang) 10. สิงห์ (Sing) 2. น้ำคำใหญ่ (Nam Kham Yai) 11. นาสะไมย์ (Na Samai) 3.ตาดทอง (Tat Thong) 12. เขื่องคำ (Khueang Kham) 4. สำราญ (Samran) 13. หนองหิน (Nong Hin) 5.ค้อเหนือ (Kho Nuea) 14. หนองคู (Nong Khu) 6.ดู่ทุ่ง (Du Thung) 15. ขุมเงิน (Khum Ngoen) 7. เดิด (Doet) 16. ทุ่งนางโอก (Thung Nang Ok) 8. ขั้นไดใหญ่ (Khandai Yai) 17. หนองเรือ (Nong Ruea)


18 9. ทุ่งแต้ (Thung Tae) 18. หนองเป็ด (Nong Pet) การปกครองส่วนท้องถิ่น ท้องที่อำเภอเมืองยโสธรประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 18 แห่ง ได้แก่ • เทศบาลเมืองยโสธร ครอบคลุมพื้นที่ตำบลในเมืองทั้งตำบล • เทศบาลตำบลตาดทอง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลตาดทองทั้งตำบล • เทศบาลตำบลเดิด ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเดิดทั้งตำบล • เทศบาลตำบลทุ่งแต้ครอบคลุมพื้นที่ตำบลทุ่งแต้ทั้งตำบล • เทศบาลตำบลน้ำคำใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ตำบลน้ำคำใหญ่ทั้งตำบล • เทศบาลตำบลสำราญ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลสำราญทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลค้อเหนือ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลค้อเหนือทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลดู่ทุ่ง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลดู่ทุ่งทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลขั้นไดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ตำบลขั้นไดใหญ่ทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลสิงห์ครอบคลุมพื้นที่ตำบลสิงห์ทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลนาสะไมย์ครอบคลุมพื้นที่ตำบลนาสะไมย์ทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลเขื่องคำ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเขื่องคำทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลหนองหิน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหนองหินทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลหนองคูครอบคลุมพื้นที่ตำบลหนองคูทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลขุมเงิน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลขุมเงินทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งนางโอก ครอบคลุมพื้นที่ตำบลทุ่งนางโอกทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลหนองเรือ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหนองเรือทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลหนองเป็ด ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหนองเป็ดทั้งตำบล


19


20 อำเภอมหาชนะชัย เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดยโสธร ที่ตั้งและอาณาเขต อำเภอมหาชนะชัยตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจังหวัด อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 41 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้ • ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอพนมไพร (จังหวัดร้อยเอ็ด) และอำเภอคำเขื่อนแก้ว • ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอเขื่องใน (จังหวัดอุบลราชธานี) • ทิศใต้ติดต่อกับอำเภอค้อวัง และอำเภอราษีไศล (จังหวัดศรีสะเกษ) • ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอศิลาลาด (จังหวัดศรีสะเกษ) และอำเภอพนมไพร (จังหวัด ร้อยเอ็ด) ประวัติ ช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์เมืองอุบลราชธานีมีพระ พรหมราชวงศา (ท้าวกุทอง) เป็นพระประเทศราชผู้ครองเมือง ท่านมีบุตรหลายคนที่มีความสามารถเป็นเจ้า เมืองอุปฮาด (อุปราช) ประกอบกับในระยะนั้น บริเวณที่ตั้งอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน มี โจรผู้ร้ายชุกชุม ยากแก่การปกครองและปราบปราม ท่านจึงให้ท้าวปุตะคำพูน (คำพูน สุวรรณกูฎ) ซึ่งเป็นบุตร ออกไปสำรวจพื้นที่เพื่อจัดตั้งเมืองใหม่ ท้าวคำพูนได้ออกสำรวจพื้นที่และได้พิจารณาเห็นว่า "บ้านเวินชัย" (ปัจจุบันเป็นบ้านเวินชัย หมู่ที่ 5 ตำบลผือฮี) มีทำเลเหมาะสม และมีลำชี (แม่น้ำชี) ไหลผ่านสะดวกแก่การ คมนาคมทางเรือ จึงได้ทำรายงานให้พระพรหมวงศาขอจัดตั้งเมืองขึ้นที่บ้านเวินชัย โดยให้เป็นแขวงเมืองขึ้นต่อ เมืองอุบลราชธานี ต่อมาวันแรม 11 ค่ำ เดือน 12 ปีกุน เบญจศก จ.ศ. 1225 (ตรงกับ พ.ศ. 2406) พระบาทสมเด็จพระ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง เมืองมหาชนะชัย ขึ้นที่บ้านเวินชัย และได้ทรงแต่งตั้งท้าวปุตะคำพูน เป็นเจ้าเมืองมหาชนะชัย และพระราชทานนามท้าวคำพูนว่า "พระเรืองไชยชำนะ" และแต่งตั้งท้าวโพธิราช (ผา) เป็นอุปฮาด ท้าววรกิตติกา (ไชย) เป็นราชวงศ์ และท้าวอุเทน (หอย) เป็นราชบุตร พระเรืองไชยชำนะได้ปกครองเมืองที่บ้านเวินชัยประมาณเดือนเศษก็พบว่า บริเวณดังกล่าวมีสภาพภูมิ ประเทศคับแคบ ขยายตัวเมืองได้ยาก ประกอบกับเป็นคุ้งน้ำเซาะดินพังอยู่เสมอ ดังนั้นจึงได้ย้ายเมืองใหม่มาตั้ง ที่บ้านฟ้าหยาดในปัจจุบัน


21 พระเรืองไชยชำนะปกครองเมืองมหาชนะชัยจนถึงแก่กรรม พระสิทธิจางวางได้เป็นเจ้าเมืองสืบต่อมาอีก 15 ปี ก็ถึงแก่กรรมอีก ทางราชการจึงได้ยุบเมืองมหาชนะชัยเป็น อำเภอมหาชนะชัย ขึ้นตรงต่อเมือง อุบลราชธานี พร้อมกับแต่งตั้งท้าวสุริยนต์ บุตรพระสิทธิจางวาง เป็นนายอำเภอมหาชนะชัยคนแรก (สันนิษฐานว่าเป็นคนเดียวกับหลวงวัฒนวงศ์โทนุบล) เนื่องจากอำเภอมหาชนะชัยตั้งอยู่บ้านฟ้าหยาด ตำบลฟ้าหยาด กระทรวงมหาดไทยจึงได้เปลี่ยนชื่อ อำเภอมหาชนะชัยเป็น อำเภอฟ้าหยาด ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2460 จนกระทั่งถึงวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2482 กระทรวงมหาดไทยจึงได้เปลี่ยนชื่อจากอำเภอฟ้าหยาดเป็น "อำเภอมหาชนะชัย" อีกครั้งหนึ่ง ต่อมาเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2482 กระทรวงมหาดไทยได้โอนตำบลธาตุน้อย อำเภอมหาชนะชัย (ยกเว้นหมู่ที่ 2,3,11และ 12 ในขณะนั้น) ไปขึ้นกับอำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ส่วน หมู่ที่ 2,3,11และ 12 ในขณะนั้น ของตำบลธาตุน้อย ให้โอนไปขึ้นกับตำบลฟ้าห่วน อำเภอมหาชนะชัย จังหวัด อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2515 อำเภอมหาชนะชัยจึงได้ย้ายไปขึ้นกับจังหวัดยโสธรจนถึงปัจจุบัน ต่อมา เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2518 กระทรวงมหาดไทยเห็นว่าท้องที่อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร มีพื้นที่ กว้างขวางประกอบกับพลเมืองมีจำนวนมาก จึงได้แบ่งท้องที่ตำบลฟ้าห่วน ตำบลกุดน้ำใส และตำบลน้ำอ้อม ออกไปจัดตั้งกิ่งอำเภอค้อวัง การแบ่งเขตการปกครอง การปกครองส่วนภูมิภาค อำเภอมหาชนะชัยแบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น 10 ตำบล 103 หมู่บ้าน ได้แก่ 1. ฟ้าหยาด (Fa Yat) 6. ม่วง (Muang) 2. หัวเมือง (Hua Mueang) 7. โนนทราย (Non Sai) 3.คูเมือง (Khu Mueang) 8. บึงแก (Bueng Kae) 4. ผือฮี (Phue Hi) 9. พระเสาร์ (Phra Sao) 5. บากเรือ (Bak Ruea) 10. สงยาง (Song Yang) การปกครองส่วนท้องถิ่น ท้องที่อำเภอมหาชนะชัยประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 11 แห่ง ได้แก่


22 • เทศบาลตำบลฟ้าหยาด ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลฟ้าหยาด • องค์การบริหารส่วนตำบลฟ้าหยาด ครอบคลุมพื้นที่ตำบลฟ้าหยาด (เฉพาะนอกเขตเทศบาล ตำบลฟ้าหยาด) • องค์การบริหารส่วนตำบลหัวเมือง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหัวเมืองทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลคูเมือง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลคูเมืองทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลผือฮีครอบคลุมพื้นที่ตำบลผือฮีทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลบากเรือ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบากเรือทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลม่วง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลม่วงทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลโนนทราย ครอบคลุมพื้นที่ตำบลโนนทรายทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลบึงแก ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบึงแกทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลพระเสาร์ครอบคลุมพื้นที่ตำบลพระเสาร์ทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลสงยาง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลสงยางทั้งตำบล ทำเนียบนายอำเภอ ผู้ดำรงตำแหน่งนายอำเภอมหาชนะชัย นับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน มีทั้งสิ้น 36 ท่าน ดังนี้ 1. หลวงวัฒนวงศ์โทนุบล (โทน สุวรรณกูฎ) 2. ขุนกันทรารักษ์ (บุญเย็น พิลานุช) 3. หลวงวิจารย์ภักดี (เลื่อน โอวาทสาร) 4. หลวงศักดิ์รัตนเขตต์ (เฉ่ง นิยมวัน) 5. ขุนศรีศักดิ์บริบาล (นาม อุ่นทำนัก) 6. หลวงพิศิษฐ์สุรินทร์รัฐ (พานเมือง อัมรนิมิ) 7. ขุนอาจเอาธุระ (เลื่อม วงศ์กาไสย) 8. นายนารถ มนตะเสวี 9. นายเลื่อน ปทุมรัตน์ 10. นายรง ทัศนาญชาบี 11. นายสุวรรณ สุกะโตษะ 12. นายเกื้อ ชูทิม 13. นายไสว เจริญยุทธ 14. ม.ล. ภักศุก กำภู 15. นายประสิทธิ์ โกมลมาลย์


23 16. นายพิสุทธิ์ ฟังเสนาะ 17. นายเจริญ ลีละทีป 18. นายบัญชา ช่างกล 19. นายวิศิษฐ์ บุญศิลป์ 20. นายบำรุง วัฒนรัตน์ 21. นายไพโรจน์ ทองใบ 22. ร.ต. สำราญ นิรัติศัย 23. นายเจริญ เกิดศิริ 24. ร.ต. อนิวรรตน์ พะโยมเยี่ยม 25. นายธีระ กลิ่นลำดวน 26. นายเทียม ศิวะสุข 27. นายธนู สุขฉายา 28. นายถาวร ภู่เจริญ 29. นายวิโรจน์ สุนทราวงศ์ 30. นายเฉลิมศักดิ์ วงศ์ศิริวัฒน์ 31. นายเฉลิมวงศ์ สรรพศิริ 32. นายสมบัติ กนกอนันทกุล 33. ว่าที่ ร.ต. ประเสริฐชัย สามกษัตริย์ 34. นายนฤมิต หลิ่มวิรัติ 35. นายสมยศ ศิลปิโยดม 36. นายสุวัฒน์ เข็มเพชร 37. นายอภิรัตน์ ป้องกัน 38. นางสาวมาริสา สีลาพัฒน์ (นายอำเภอคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นนายอำเภอหญิงคนแรก) สถาบันทางการเงิน • ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขามหาชนะชัย • ธนาคารออมสิน สาขามหาชนะชัย • ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขามหาชนะชัย


24 สถานที่ราชการสำคัญ • ที่ว่าการอำเภอมหาชนะชัย • โรงพยาบาลมหาชนะชัย • สำนักงานที่ดินจังหวัดยโสธร สาขามหาชนะชัย • สำนักงานขนส่งจังหวัดยโสธร สาขามหาชนะชัย • สำนักงานสรรพากรพื้นที่ สาขามหาชนะชัย • สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ยโสธร สาขามหาชนะชัย • สำนักงานสาธารณสุขอำเภอมหาชนะชัย • สำนักงานปศุสัตว์อำเภอมหาชนะชัย • สำนักงานเกษตรอำเภอมหาชนะชัย • สถานีตำรวจภูธรมหาชนะชัย • สถานีตำรวจภูธรบึงแก • ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดยโสธร • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรยโสธร • การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขามหาชนะชัย • การประปาส่วนภูมิภาค สาขามหาชนะชัย • ที่ทำการไปรษณีย์มหาชนะชัย รหัสไปรษณีย์ 35130 สถานที่ท่องเที่ยว • วัดพระพุทธบาทยโสธร • พระธาตุบุญตา • วัดศรีวีรวงศาราม • พระเจดีย์บูรพาจารย์ วัดหอก่อง • วัดป่าหนองบัวแดง สาขาที่ 140 วัดหนองป่าพง • สวนรุกขชาติน้อมเกล้า • ทุ่งบัวแดง วัดสำคัญภายในตัวอำเภอ 1. วัดหอก่อง (ธ)


25 2. วัดฟ้าหยาด (ม) 3. วัดกลางโพธิ์ชัย (ธ) 4. วัดมหาชนะชัย การคมนาคม รถยนต์ • เส้นทางที่ 1 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ผ่านจังหวัดปทุมธานีจังหวัด สระบุรีเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 ผ่านอำเภอปากช่อง อำเภอสีคิ้ว อำเภอสูง เนิน อำเภอเมืองนครราชสีมา อำเภอโนนสูง อำเภอโนนแดง อำเภอประทาย จังหวัด นครราชสีมา และเลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 202(ถนนอรุณประเสริฐ) ผ่าน อำเภอบ้านใหม่ไชยพจน์อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัด มหาสารคาม อำเภอเกษตรวิสัย อำเภอสุวรรณภูมิอำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด และเข้าสู่ อำเภอมหาชนะชัย รวมระยะทาง 539 กิโลเมตร อำเภอมหาชนะชัย มีทางหลวงแผ่นดิน 3 เส้นทาง ดังนี้ 1. ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2043 (ถนนรณชัยชาญยุทธ) สายร้อยเอ็ด-มหาชนะชัย 2. ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2083 (ถนนคำเขื่อนแก้ว-บ้านส้มป่อยน้อย) 3. ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2351 (ถนนพลไว-ค้อวัง–ยางชุมน้อย) สายการเดินทางสายหลัก • มหาชนะชัย - อุบลราชธานี (รถตู้ออกทุก 30 นาที โดยประมาณ) • มหาชนะชัย - ยโสธร • มหาชนะชัย - พนมไพร - อาจสามารถ สถานศึกษา โรงเรียนประถมศึกษาในตัวอำเภอ 1. โรงเรียนอนุบาลฟ้าหยาดราษฎร์นิยม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายโสธร เขต 1 2. โรงเรียนมหาชนะชัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายโสธร เขต 1 โรงเรียนมัธยมศึกษาในตัวอำเภอ


26 1. โรงเรียนมหาชนะชัยวิทยาคม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร โรงเรียนมัธยมศึกษานอกตัวอำเภอ 1. โรงเรียนตระกูลประเทืองวิทยาคม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาศรีสะเกษ ยโสธร วิทยาลัย 1. วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยียโสธร 2. วิทยาลัยเทคโนโลยีมหาชนะชัย บุคคลสำคัญ • พระราชมุนี (โฮม โสภโณ) อดีตรองเจ้าอาวาสวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ • พระพรหมวชิรเวที (อมร ญาโณทโย) กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ • พระวินัยสุนทรเมธี (บัลลังก์ ฉินฺอนฺโธ) เจ้าคณะจังหวัดยโสธร (ธ) และเจ้าอาวาสวัดพระพุทธ บาทยโสธร (ธ) • เดชชาติ วงศ์โกมลเชษฐ์อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย • รณ ฤทธิชัย นักแสดงชาวไทยที่เคยได้รับรางวัลตุ๊กตาทอง ประจำปี พ.ศ. 2528 และรางวัล สุพรรณหงส์ทองคำ ประจำปี พ.ศ. 2529 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดยโสธร 5 สมัย เทศกาลและงานประเพณี ประเพณีแห่มาลัยข้าวตอก เนื้อความในพระไตรปิฎกส่วนที่ว่าด้วยพระสุตตันตปิฎก บทปรินิพพานสูตร กล่าวคือ ดอกมณฑารพ ซึ่ง เป็นดอกไม้บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีความสวยงามและมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ เมื่อถึงกาลเวลาที่ดอกมณฑารพจะ บาน และร่วงหล่นก็ด้วยเหตุการณ์สำคัญๆ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน จารุรงค สันนิบาต และทรงแสดงธรรมจักรกัปวัตนสูตร ดอกมณฑารพจึงได้ร่วงหล่นลงมายังโลกมนุษย์ ครั้งเมื่อพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันปรินิพพาน ดอกมณฑารพนี้ก็ได้ร่วงหล่นลงมาทั้งก้านและกิ่ง เปรียบเสมือน ความเสียอกเสียใจพิไรรำพันต่อการเสด็จดับขันปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหล่าพระภิกษุผู้ได้ชื่อว่า อรหันตขีนาสพและหมู่เหล่าข้าราชการบริพารประชาชนทั้งหลายได้พากันมาถวายสักการะพระบรมศพของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระปัญญาธิคุณ พระกรุณาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณ ของ


27 องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้พากันนำเอาข้าวตอกมาสักการบูชา เพราะถือว่าข้าว เป็นสิ่งที่มีคุณค่า และเป็นของสูงที่มนุษย์จะขาดไม่ได้และต่อมามีการนำมา ประดิษฐ์ตกแต่งเป็นมาลัยที่สวยงาม เป็นที่มาของ “มาลัยข้าวตอก” ประเพณีหนึ่งเดียวในโลก ที่อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร[1] ประเพณีลอยกระทง จัดขึ้นในเขตเทศบาลตำบลฟ้าหยาด อำเภอค้อวัง เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดยโสธร โดยเป็นอำเภอที่ตั้งอยู่ทิศ ใต้สุดของจังหวัด ที่ตั้งและอาณาเขต อำเภอค้อวังตั้งอยู่ทางทิศใต้สุดของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้ • ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอมหาชนะชัย • ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอเขื่องใน (จังหวัดอุบลราชธานี) • ทิศใต้ติดต่อกับอำเภอยางชุมน้อยและอำเภอราษีไศล (จังหวัดศรีสะเกษ) • ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอราษีไศล (จังหวัดศรีสะเกษ) และอำเภอมหาชนะชัย ประวัติ เดิมพื้นที่ตั้งของตัวอำเภอค้อวัง คือ "บ้านโนนค้อ" อยู่ในเขตตำบลฟ้าห่วน อำเภอมหาชนะชัย ต่อมามี พระภิกษุรูปหนึ่งชื่อ "วัง" เดินทางมาจากอำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ได้มาบำเพ็ญพรตอยู่ที่บ้านโนน ค้อ พระภิกษุรูปนี้เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของประชาชนในหมู่บ้านและหมู่บ้านใกล้เคียงเป็นอย่างยิ่ง ราษฏรจึง อพยพมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านโนนค้อ เป็นกลุ่มเป็นก้อนและใช้ชื่อหมู่บ้านใหม่ว่า "บ้านค้อวัง" จนกระทั่ง ปัจจุบัน ต่อมาท้องที่อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร มีอาณาเขตกว้างขวาง แบ่งการปกครองออกเป็น 11 ตำบล 108 หมู่บ้าน การปกครองไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะท้องที่ตำบลฟ้าห่วน ตำบลกุดน้ำใส และตำบลน้ำอ้อม อีก ทั้ง 3 ตำบลนี้ระยะทางห่างไกลจากที่ตั้งอำเภอ การคมนาคมติดต่อกับอำเภอไม่สะดวกและลำบาก มีโจรผู้ร้าย ชุกชุม เพื่อแบ่งภาระการปกครองและเป็นการพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญยิ่งขึ้น เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพและ อำนวยความสะดวกแก่ประชาชน จึงได้ขอแยกจากอำเภอมหาชนะชัยตั้งเป็นกิ่งอำเภอค้อวัง เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พุทธศักราช 2518 แบ่งการปกครองออกเป็น 3 ตำบล คือ ตำบลฟ้าห่วน ตำบลกุดน้ำใส ตำบลน้ำ


28 อ้อม รวมทั้งสิ้น 30 หมู่บ้าน ต่อมาได้ยกฐานะเป็นอำเภอเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พุทธศักราช 2522 และได้แบ่ง เขตการปกครองในขณะนั้นออกเป็น 4 ตำบล คือ ตำบลฟ้าห่วน ตำบลกุดน้ำใส ตำบลน้ำอ้อม และตำบลค้อวัง การแบ่งเขตการปกครอง การปกครองส่วนภูมิภาค อำเภอค้อวังแบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น 4 ตำบล 45 หมู่บ้าน 1. ฟ้าห่วน (Fa Huan) 2. กุดน้ำใส (Kut Nam Sai) 3. น้ำอ้อม (Nam Om) 4. ค้อวัง (Kho Wang) การปกครองส่วนท้องถิ่น[แก้] ท้องที่อำเภอค้อวังประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5 แห่ง ได้แก่ • เทศบาลตำบลค้อวัง ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลค้อวัง • องค์การบริหารส่วนตำบลฟ้าหวน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลฟ้าห่วนทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลกุดน้ำใส ครอบคลุมพื้นที่ตำบลกุดน้ำใสทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลน้ำอ้อม ครอบคลุมพื้นที่ตำบลน้ำอ้อมทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลค้อวัง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลค้อวัง (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบล ค้อวัง)


29 อำเภอเริงนกทา เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดยโสธร ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของจังหวัด ห่างจาก ตัวจังหวัด 72 กิโลเมตร มีขนาดพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 มีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับที่ 2 รองจากอำเภอ เมืองยโสธร และเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 รองจากอำเภอเมืองยโสธร เป็นย่านเศรษฐกิจสำคัญเปรียบเสมือนชุม ทางคมนาคมขนส่ง คือ เริงนกทา-มุกดาหาร , เริงนกทา-ดอนตาล , เริงนกทา-หนองพอก , เริงนกทา-ยโสธร และเลิงนกทา-อำนาจเจริญ อีกทั้งมีสนามบินเริงนกทา ซึ่งเป็นสนามบินเก่าในช่วงสมัยสงครามเวียดนาม ก่อสร้างโดยทหาร สหรัฐอเมริการ่วมกับพันธมิตรอังกฤษ , ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งตั้งในพื้นที่ตำบลโคกสำราญ และ โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายบ้านไผ่-นครพนม ซึ่งจะผ่านพื้นที่อำเภอเริงนกทา โดยกำหนดมีสถานีรถไฟเริง นกทา และป้ายหยุดรถไฟบ้านห้องแซง ประวัติ เดิมเป็นหมู่บ้านตั้งอยู่ในกลางผืนป่าดงบังอี่ ชื่อว่า บ้านเลิงนกทา ขึ้นกับตำบลหนองสิม อำเภอ บุ่ง จังหวัดอุบลราชธานี วันที่ 13 มกราคม 2466 มีขุนประกอบศุขราษฎร์ (เมืองแสน ประกอบสุข) เป็นกำนัน ตำบลหนองสิม ต่อมาวันที่ 8 พฤศจิกายน 2479 ยุบตำบลหนองสิม รวมเข้ากับท้องที่ตำบลกุดเชียงหมี[1] บ้าน เริงนกทาจึงขึ้นกับตำบลกุดเชียงหมี อำเภอบุ่ง จังหวัดอุบลราชธานี วันที่ 23 สิงหาคม พุทธศักราช 2480 กระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาเห็นว่าท้องที่ตำบลกุดเชียงหมี และตำบลบุ่งค้า ท้องที่อำเภอบุ่ง จังหวัดอุบลราชธานี กับตำบลส้มผ่อ อำเภอยโสธร จังหวัดอุบลราชธานี ตั้งอยู่ ห่างไกลกับที่ว่าการอำเภอมาก และมีท้องที่กว้างขวาง เพื่อสะดวกแก่การปกครอง กระทรวงมหาดไทยจึงได้ตั้ง ที่ว่าการกิ่งอำเภอที่บ้านเริงนกทา ตำบลส้มผ่อ (ปัจจุบันเป็นบ้านเริงนกทา หมู่ที่ 2 ตำบลสวาท อำเภอเริงนก ทา) จึงเรียกว่า กิ่งอำเภอเริงนกทา ให้อยู่ในเขตการปกครองของอำเภอบุ่ง จังหวัดอุบลราชธานี มีผลบังคับใช้ วันที่ 1 กันยายน พุทธศักราช 2480[2] วันที่ 18 เมษายน 2481 โอนพื้นที่ตำบลห้องแซง อำเภอยโสธร มาขึ้นกับกิ่งอำเภอเริงนกทา อำเภอบุ่ง [3] วันที่ 12 กันยายน 2481 โอนพื้นที่ตำบลสวาท อำเภอบุ่ง ไปขึ้นกับกิ่งอำเภอเริงนกทา อำเภอบุ่ง[4] วันที่ 21 ตุลาคม 2490 กระทรวงมหาดไทยได้ยกฐานะกิ่งอำเภอเริงนกทา อำเภออำนาจเจริญ ขึ้น เป็น อำเภอเริงนกทา[5] จังหวัดอุบลราชธานี มีผลบังคับใช้วันที่ 1 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2490


30 พ.ศ. 2506 รัฐบาลอังกฤษได้เสนอที่จะสร้างสนามบินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เพื่อ ช่วยเหลือปรับปรุงสิ่งอานวยความสะดวกในการส่งกาลังบารุงในพื้นที่ที่มีความสำคัญทาง ยุทธศาสตร์แห่งนี้ สนามบินแห่งนี้จะอานวยความสะดวกแก่เครื่องบินลำเลียงที่มีรัศมีการบินปานกลาง ทั้งของทหารและพลเรือน รัฐบาลไทยได้ตกลงรับข้อเสนอในการให้ความช่วยเหลือดังกล่าวนี้ หลังจากนั้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2506 ชุดวางแผนชุดแรก ซึ่งมี พ.ท.อาร์.อี. ยัง. เป็นหัวหน้า ได้เดินทางจากประเทศอังกฤษมายังอำเภอมุกดาหาร เพื่อสำรวจหาพื้นที่ที่เหมาะสมที่จะสร้างสนามบินในที่สุดได้เลือกบริเวณใกล้กับบ้านโคกตลาด (บ้านโคกสา ราญ) อำเภอเริงนกทา จังหวัดอุบลราชธานี เป็นบริเวณที่จะทำการก่อสร้าง ทั้งนี้โดยได้พิจารณาเห็นว่าเป็น บริเวณที่จะให้ความปลอดภัยสำหรับการปฏิบัติการบินของเครื่องบิน มีความเหมาะสมและสะดวกแก่หน่วย ช่างที่จะดำเนินการก่อสร้าง และอยู่ใกล้ถนนสายอุบลราชธานี-นครพนม รัฐบาลไทยได้ให้ความเห็นชอบและ ตกลงให้ใช้บริเวณที่เลือกนี้เป็นที่ก่อสร้างสนามบิน และได้จัดซื้อที่ดินแปลงนั้นในทันที วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2507 จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปเยี่ยม และทำพิธีเปิด การก่อสร้างสนามบิน และตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ ซึ่งประกอบด้วยหน่วยทหารไทย อังกฤษ และ ประเทศในเครือจักรภพ ได้ขับรถบูลโดเซอร์เพื่อโค่นต้นไม้เป็นปฐมฤกษ์ อันเป็นการแสดงถึงการเริ่มต้น แห่ง การปฏิบัติงานก่อสร้าง ต่อมาอำเภอเลิงนกทาได้รับอนุมัติให้ย้ายสถานที่ราชการออกมาตั้งอยู่ถนนชยางกูร บริเวณหลัก กิโลเมตรที่ 116 บ้านสามแยก หมู่ที่ 18 ตำบลสวาท อำเภอเลิงนกทา (ปัจจุบันเป็นหมู่ที่ 11 ตำบลสามแยก อำเภอเริงนกทา) เนื่องจากบริเวณบ้านสามแยกมีการคมนาคมที่สะดวก และเป็นศูนย์กลางการคมนาคม ระหว่างตำบลต่างๆ เหมาะสมกว่าบ้านเลิงนกทาเก่า วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2508 จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธี เปิดสนามบินเลิงนกทา ช่วงปี พ.ศ. 2508 พื้นที่อำเภอเลิงนกทา อำเภอชานุมาน และกิ่งอำเภอเสนางคนิคม จังหวัด อุบลราชธานี ซึ่งมีผืนป่าดงบังอี่และแนวเขาสลับซับซ้อนรอยต่อกับกิ่งอำเภอดอนตาล จังหวัดนครพนม เกิด การซ่องสุมกำลังพลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลในสมัยนั้น โดยตั้งฐานที่มั่นอยู่ บริเวณภูสระดอกบัว หรือ เขตงานคณะกรรมการจังหวัด 444 (อุบลเหนือ) และปี พ.ศ. 2509 รัฐบาลได้ส่ง กำลังเข้าทำการล้อมปราบพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย บริเวณภูแผงม้า บ้านด่าน อำเภอเลิงนกทา จังหวัดอุบลราชธานี วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 จอมพลถนอม กิตติขจร ในฐานะหัวหน้าคณะปฏิวัติได้ออกประกาศของ คณะปฏิวัติฉบับที่ 70 ให้แยกอำเภอยโสธร อำเภอกุดชุม อำเภอเลิงนกทา อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะ ชัย และอำเภอป่าติ้ว ออกจากจังหวัดอุบลราชธานี รวมจัดตั้งเป็นจังหวัดยโสธร จังหวัดที่ 71 ของประเทศไทย


31 มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2515 เป็นต้นไป จึงเป็นผลให้อำเภอเลิงนกทาถูกโอนย้ายมาขึ้นกับจังหวัด ยโสธรนับแต่บัดนั้น วันที่ 1 เมษายน พุทธศักราช 2535 กระทรวงมหาดไทยได้แบ่งท้องที่ตำบลไทยเจริญ ตำบลน้ำคำ ตำบลคำไผ่ ตำบลคำเตย และตำบลส้มผ่อ ของอำเภอเลิงนกทา ตั้งขึ้นเป็น กิ่งอำเภอไทยเจริญ ตั้งที่ว่าการกิ่ง อำเภออยู่ที่ตำบลไทยเจริญ ให้อยู่ในเขตการปกครองของอำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปี หลวง เสด็จฯ พระราชดำเนินโดยเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งจากพระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร เพื่อทรงเยี่ยมราษฎรหมู่บ้านต่างๆ ณ บ้านน้อมเกล้า ตำบลบุ่งค้า อำเภอเลิงนกทา และทรงมีพระราชดำริให้ พิจารณาดำเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยทมโดยการปิดกั้นลำน้ำห้วยทม เพื่อเป็นแหล่งน้ำใช้ในการ เพาะปลูกและการอุปโภคบริโภค วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2540 กระทรวงมหาดไทยมีพระราชกฤษฎีกายกฐานะกิ่งอำเภอไทยเจริญขึ้น เป็น อำเภอไทยเจริญ[6] โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน ปีเดียวกัน กลายเป็นอำเภอลำดับที่ 9 ของ จังหวัดยโสธร และเป็นลำดับที่ 774 ของประเทศไทย ที่มาของชื่อ คำว่า "เลิงนกทา" มาจากคำว่า เลิง + นกทา ซึ่งคำว่า เลิง หมายถึง ที่ลุ่มมีแอ่งน้ำ ส่วนคำว่า นก ทา หมายถึง นกชนิดหนึ่งคล้ายไก่ต๊อก เหตุที่เรียกที่นี่ว่า เลิงนกทา เพราะสมัยก่อนมีนกทาเป็นจำนวนมาก อาศัยอยู่ตามที่ลุ่ม และหนองน้ำซึ่งมีกระจัดกระจายตามพื้นที่ของที่ตั้งอำเภอในปัจจุบัน แหล่งโบราณคดีสำคัญ 1. แหล่งโบราณคดีโนนหนองจาน ตั้งอยู่ที่บ้านมันปลา หมู่ที่ 13 ตำบลกุดแห่ อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ได้รับการขุดค้นทางโบราณคดีตั้งแต่ พ.ศ. 2559 – 2561 พบหลักฐาน การฝัง ศพแบบปฐมภูมิ (Primary Burial) ในท่านอนหงายเหยียดยาว และการฝังศพบแบบทุติยภูมิ (Secondary Burial) หรือการฝังศพในภาชนะดินเผา (Jar Burial) รวมกันจำนวนไม่น้อยกว่า 18 โครง การฝังศพแบบปฐมภูมิ (Primary Burial) คือการฝังศพแบบดั้งเดิม การฝังจะนำศพ วางนอนในหลุม อาจจะวางศพนอนตะแคงงอเข่า หรือ นอนหงายเหยียดยาว การฝังศพ ลักษณะนี้จะพบกระดูกเรียงกันอย่างถูกต้องตามหลักกายวิภาค และพบเกือบทุกส่วนของ ร่างกาย การฝังศพที่แหล่งโบราณคดีโนนหนองจานมีทิศทางการหันศีรษะทางทิศตะวันออก เฉียงใต้และทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีการห่อศพและจัดท่าทางของศพ คือ การนำเอามือทั้งสอง ข้างวางไว้เหนือลำตัว แล้วมัดและห่อศพเนื่องลักษณะของกระดูกท่อนแขนที่วางแนบไปกับ


32 ลำตัวและกระดูกส่วนต่าง ๆ วางตัวอย่างเป็นระเบียบและค่อนข้างชิดกัน วัสดุที่ใช้ในการห่อ ศพนั้นคงเป็นเครื่องจักสานเนื่องจากพบร่องรอยประทับบนกำไลสำริด อุทิศเครื่องมือ เครื่องใช้ และเครื่องประดับให้กับผู้ตาย ที่พบทั้งลักษณะการอุทิศให้และการสวมใส่ในชีวิตประจำวัน และพบการโรยเมล็ดข้าวไว้ด้วย เป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายที่ ปรากฏร่องรอยของวัฒนธรรมดองซอน การพบหลักฐานทางโบราณคดีที่เป็นเครื่องประดับ สำริด และสิ่งของอื่น แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแหล่งโบราณคดีโนนหนองหอ และแหล่งโบราณคดีที่อยู่ห่างใกลออกไป คือ แหล่งโบราณคดีบ้านก้านเหลือง ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี และแหล่งโบราณคดีบ้านดอนแสนพัน ตำบล เจียด อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี[7] สภาพภูมิศาสตร์ อำเภอเลิงนกทา มีเนื้อที่ทั้งหมด ประมาณ 943.800 ตรม.กม. หรือประมาณ 589,250 ไร่ ด้านทิศ ตะวันออก และทิศตะวันตกมีภูเขาสูงจากเทือกเขาภูพาน และพื้นที่ป่าแถบนั้นถูกกำหนดเป็นอุทยานแห่งชาติภู สระดอกบัว , ป่าสงวนแห่งชาติดงปอ , ป่าสงวนแห่งชาติดงบังอี่และป่าสงวนแห่งชาติดงหัวกอง อีกทั้งยังเป็น ต้นกำเนิดลำน้ำสำคัญของลุ่มน้ำมูลคือ ลำเซบาย ลำน้ำโพง และมีลำห้วยสาขาคือ ห้วยสะแบก ห้วยลิงโจน ห้วยทม ห้วยลำกลาง ห้วยก้านเหลือง ห้วยโปง เป็นต้น ที่ตั้งและอาณาเขต อำเภอเลิงนกทา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือสุดของจังหวัดยโสธร ห่างจากจังหวัดยโสธร ประมาณ 69 กิโลเมตร ห่างจากกรุงเทพมหานคร ประมาณ 594 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการ ปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้ • ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอหนองสูง และอำเภอนิคมคำสร้อย (จังหวัดมุกดาหาร) • ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอดอนตาล (จังหวัดมุกดาหาร) และอำเภอชานุมาน (จังหวัด อำนาจเจริญ) • ทิศใต้ติดต่อกับอำเภอเสนางคนิคม (จังหวัดอำนาจเจริญ) อำเภอไทยเจริญ และอำเภอกุดชุม • ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอหนองพอก (จังหวัดร้อยเอ็ด) แผนที่อำเภอเลิงนกทา


33 สภาพภูมิอากาศ โดยทั่วไป มีลักษณะภูมิอากาศโดยทั่วไป มีลักษณะภูมิอากาศแบบมรสุม 3 ฤดู หนาวค่อนข้างจัด ฤดู ร้อนจัด มีฝนซุกพอสมควร มีปริมาณฝนเฉลี่ย 203.43 มิลลิเมตร/ปี อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย 32.08 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย 20.18 องศาเซลเซียส การแบ่งเขตการปกครอง การปกครองส่วนภูมิภาค อำเภอเริงงนกทาแบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น 10 ตำบล 145 หมู่บ้าน 1. บุ่งค้า (Bung Kha) 19 หมู่บ้าน 6. สามแยก (Sam Yaek) 15 หมู่บ้าน 2. สวาท (Sawat) 16 หมู่บ้าน 7. กุดแห่ (Kut Hae) 13 หมู่บ้าน 3. ห้องแซง (Hong Saeng) 19 หมู่บ้าน 8. โคกสำราญ (Khok Samran) 15 หมู่บ้าน 4. สามัคคี (Samakkhi) 15 หมู่บ้าน 9. สร้างมิ่ง (Sang Ming) 11 หมู่บ้าน 5. กุดเชียงหมี(Kut Chiang Mi) 12 หมู่บ้าน 10. ศรีแก้ว (Si Kaeo) 10 หมู่บ้าน การปกครองส่วนท้องถิ่น[แก้] ท้องที่อำเภอเลิงนกทาประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 12 แห่ง ได้แก่ • เทศบาลตำบลเลิงนกทา ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลสวาท • เทศบาลตำบลสามแยก ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลสามแยก • เทศบาลตำบลห้องแซง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลห้องแซงทั้งตำบล • เทศบาลตำบลบุ่งค้า ครอบคลุมพื้นที่ตำบลบุ่งค้าทั้งตำบล • เทศบาลตำบลสามัคคีครอบคลุมพื้นที่ตำบลสามัคคีทั้งตำบล • เทศบาลตำบลศรีแก้ว ครอบคลุมพื้นที่ตำบลศรีแก้วทั้งตำบล • เทศบาลตำบลกุดเชียงหมีครอบคลุมพื้นที่ตำบลกุดเชียงหมีทั้งตำบล • เทศบาลตำบลสวาท ครอบคลุมพื้นที่ตำบลสวาท (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบลเลิงนกทา) • เทศบาลตำบลกุดแห่ครอบคลุมพื้นที่ตำบลกุดแห่ทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลสามแยก ครอบคลุมพื้นที่ตำบลสามแยก (เฉพาะนอกเขตเทศบาล ตำบลสามแยก)


34 • องค์การบริหารส่วนตำบลโคกสำราญ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลโคกสำราญทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลสร้างมิ่ง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลสร้างมิ่งทั้งตำบล สถานที่ราชการ • ที่ว่าการอำเภอเลิงนกทา • สถานีตำรวจภูธรเลิงนกทา • โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเลิงนกทา • โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านศรีสวัสดิ์ • สำนักงานที่ดินจังหวัดยโสธร สาขาเลิงนกทา • สำนักงานขนส่งจังหวัดยโสธร สาขาเลิงนกทา • สำนักงานสรรพากรพื้นที่ สาขาเลิงนกทา • สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเลิงนกทา • สำนักงานเกษตรอำเภอเลิงนกทา • หมวดทางหลวงเลิงนกทา แขวงทางหลวงมุกดาหาร • หมวดบำรุงทางหลวงชนบทเลิงนกทา แขวงทางหลวงชนบทยโสธร • โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโพงตอนบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ • โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยทมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ • โครงการพัฒนาพื้นที่ดินมูลนิธิชัยพัฒนา ตำบลกุดแห่ • โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายบ้านไผ่-นครพนม สถานีรถไฟเลิงนกทา และป้ายหยุดรถไฟบ้าน ห้องแซง • สถานีไฟฟ้าเลิงนกทา • สถานีขนส่งผู้โดยสารอำเภอเลิงนกทา (บขส.เลิงนกทา) • สถานีควบคุมไฟป่ายโสธร (ภูสระดอกบัว-ถ้ำผาน้ำทิพย์) • หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติฯ ที่ ภบ. 2 (ดานหินแตก) • ที่ทำการไปรษณีย์เลิงนกทา รหัสไปรษณีย์ 35120 • การประปาส่วนภูมิภาค สาขาเลิงนกทา • การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาเลิงนกทา • ศูนย์บริการ TOT เลิงนกทา


35 การศาสนา วัดในเขตเทศบาลตำบลเลิงนกทา และเทศบาลตำบลสามแยก • วัดพรหมวิหาร • วัดพิทักษ์วนาราม • วัดศรีบุญเรือง • วัดเขมไชยาราม • วัดป่าเลิงจิตวิเวก การศึกษา[ ระดับอุดมศึกษา สถาบันของรัฐ • วิทยาลัยเทคนิคเลิงนกทา สถาบันของเอกชน • วิทยาลัยอาชีวศึกษาเลิงนกทา ระดับมัธยมศึกษา • โรงเรียนเลิงนกทา • โรงเรียนห้องแซงวิทยาคม • โรงเรียนบุ่งค้าวิทยาคม • โรงเรียนนาโป่งประชาสรรค์ • โรงเรียนศรีแก้วประชาสรรค์ • โรงเรียนสมนึกพิทยาโรงเรียนเอกชน ระดับประถมศึกษา • โรงเรียนเทศบาลเลิงนกทา • โรงเรียนอนุบาลเลิงนกทา การคมนาคม อำเภอเลิงนกทา มีทางหลวงแผ่นดิน 4 สาย คือ


36 • ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 212 (ถนนชยางกูร) • ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2047 (ถนนกุดโจด-กุดแห่) • ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2116 (ถนนยางตลาด-ดอนตาล) • 2169 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2169 (ถนนวารีราชเดช) โดยถูกกำหนดให้เป็นทางหลวง เอเชียสาย 121 มีทางหลวงชนบท 7 สาย คือ • ทางหลวงชนบทหมายเลข ยส.3003 • ทางหลวงชนบทหมายเลข ยส.3016 • ทางหลวงชนบทหมายเลข ยส.3029 • ทางหลวงชนบทหมายเลข ยส.4004 • ทางหลวงชนบทหมายเลข ยส.4011 • ทางหลวงชนบทหมายเลข ยส.4013 • ทางหลวงชนบทหมายเลข ยส.4036 ธนาคาร มี ธนาคารทั้งหมด 5 แห่ง • ธนาคารกรุงไทย สาขาเลิงนกทา • ธนาคารกสิกรไทย สาขาเลิงนกทา • ธนาคารออมสิน สาขาเลิงนกทา • ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาเลิงนกทา • ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาเมืองเลิง ตลาด ตลาดมีอยู่ 3 แห่ง • ตลาดสดเทศบาลเลิงนกทา • ตลาดสดเทศบาลสามแยก • ตลาดแม่ลำใย (ตลาดเช้า) สถานพยาบาล มีจำนวนโรงพยาบาล 1 แห่ง


37 • โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเลิงนกทา (120 เตียง) มีจำนวนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 18 แห่ง ดังนี้ ตำบลบุ่งค้า มี รพ.สต. 4 แห่ง • รพ.สต.บ้านช่องเม็ก • รพ.สต.บ้านหนองแคนน้อย • รพ.สต.บ้านนากอก • รพ.สต.บ้านน้อมเกล้า ตำบลห้องแซง มี รพ.สต. 2 แห่ง • รพ.สต. บ้านห้องแซง • รพ.สต. บ้านป่าชาด ตำบลศรีแก้ว มี รพ.สต. 2 แห่ง • รพ.สต.บ้านโคกใหญ่ • รพ.สต.บ้านศรีแก้ว ตำบลกุดเชียงหมี มี รพ.สต. 2 แห่ง • รพ.สต.บ้านกุดเชียงหมี • รพ.สต.บ้านกุดแข้ด่อน ตำบลสามัคคี มี รพ.สต. 2 แห่ง • รพ.สต.บ้านหวาย • รพ.สต.บ้านโคกวิไล ตำบลกุดแห่ มี รพ.สต. 1 แห่ง • รพ.สต.บ้านกุดแห่ ตำบลสามแยก มี รพ.สต. 1 แห่ง • รพ.สต.บ้านสามแยก ตำบลโคกสำราญ มี รพ.สต. 3 แห่ง


38 • รพ.สต.บ้านโคกสำราญ • รพ.สต.บ้านหนองยาง • รพ.สต.บ้านสมสะอาด ตำบลสร้างมิ่ง มี รพ.สต. 1แห่ง • รพ.สต.บ้านสร้างมิ่ง สถานที่ท่องเที่ยว พุทธอุทยานภูสูง • อุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว บ้านช่องเม็ก ตำบลบุ่งค้า • สวนสาธารณะหนองสองห้อง ตำบลสามแยก • ภูถ้ำพระ บ้านกุดแห่ ตำบลกุดแห่ • ภูตากแดด บ้านโนนแดง ตำบลห้องแซง • หมู่บ้านวัฒนธรรมผู้ไทห้องแซง ตำบลห้องแซง • วัดพรหมวิหาร บ้านเลิงนกทาเก่า ตำบลสวาท • วัดป่าวังน้ำทิพย์เทพสถิตวนาราม บ้านม่วงกาซัง ตำบลสวาท • วัดป่าสุนทราราม บ้านกุดแห่ ตำบลกุดแห่ • วัดมิสกวัน บ้านม่วงกาชัง ตำบลสวาท • พุทธอุทยานภูสูง บ้านหนองแคนน้อย ตำบลบุ่งค้า • บึงสำราญชัย บ้านม่วงกาชัง ตำบลสวาท • ภูจันทร์ บ้านหนองแคนน้อย ตำบลบุ่งค้า • อ่างเก็บน้ำห้วยสะแบก บ้านป่าขี้ยาง ตำบลบุ่งค้า • อ่างเก็บน้ำห้วยลิงโจน บ้านหนองบึง ตำบลห้องแซง • อ่างเก็บน้ำห้วยโพงตอนบน บ้านศรีสว่าง ตำบลศรีแก้ว • ขัวเพอเลอ บ้านห้วยสะแบก ตำบลโคกสำราญ • โครงการพัฒนาพื้นที่มูลนิธิชัยพัฒนา ตำบลกุดแห่ • ห้วยหินลาด บ้านโนนหาด ตำบลสร้างมิ่ง • น้ำตกหินโข บ้านช่องเม็ก ตำบลบุ่งค้า • น้ำตกถ้ำผาทอง บ้านโคกใหญ่ ตำบลศรีแก้ว • สำนักสงฆ์กุดกาชัง บ้านหนองโสน ตำบลสวาท


39 บุคคลที่มีชื่อเสียง • พระอาจารย์ดี ฉนฺโน • มนต์แคน แก่นคูน • ยาว ลูกหยี • แพรวพราว แสงทอง อำเภอทรายมูล เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดยโสธร มีสถานที่สำคัญทางศาสนา คือ "พระธาตุฝุ่น" เป็นพระธาตุที่มีลักษณะเป็นเนินดินทรายที่มนุษย์สร้างขึ้น ตั้งอยู่ภายในตัวอำเภอ ห่างจากที่ว่าการอำเภอทราย มูลเพียงไม่กี่ร้อยเมตร ที่ตั้งและอาณาเขต อำเภอทรายมูลตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียง ดังต่อไปนี้ • ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอกุดชุม • ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอกุดชุม • ทิศใต้ติดต่อกับอำเภอเมืองยโสธร • ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอเสลภูมิ(จังหวัดร้อยเอ็ด)


40 ประวัติ ในอดีตทรายมูลเป็นเพียงหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตอำเภอยโสธร (สมัยยังเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัด อุบลราชธานี) ในสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดโรคระบาด ชาวบ้านได้อพยพย้ายถิ่นฐานไปจากที่ตั้งเดิมไปตั้งหมู่บ้านที่ ใหม่ ห่างจากที่ตั้งเดิมไปประมาณ 2 กิโลเมตร ตั้งชื่อหมู่บ้านแห่งใหม่นี้ว่า บ้านทรายมูล บ้านทรายมูลได้รับการยกฐานะเป็น ตำบลทรายมูล และต่อมาพื้นที่บางส่วนของตำบลได้รับการ ประกาศเป็นสุขาภิบาลทรายมูล เมื่อปีพ.ศ. 2511 ต่อมา กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศตั้งเป็น กิ่งอำเภอ ทรายมูล โดยแยกตำบลทรายมูล ดู่ลาด ดงมะไฟ นาเวียง รวม 4 ตำบล ออกจากอำเภอเมืองยโสธร เมื่อ วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 ให้ขึ้นการปกครองกับอำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร ต่อมาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2521 กระทรวงมหาดไทยได้โอนตำบลไผ่ อำเภอกุดชุม มาขึ้นกับกิ่งอำเภอทรายมูล เนื่องจากท้องที่ ตำบลไผ่ อยู่ใกล้กับกิ่งอำเภอทรายมูลมากกว่าอำเภอกุดชุม และต่อมาเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2527 กระทรวงมหาดไทยก็ประกาศยกฐานะขึ้นเป็น อำเภอทรายมูล การแบ่งเขตการปกครอง การปกครองส่วนภูมิภาค อำเภอทรายมูลแบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น 5 ตำบล 54 หมู่บ้าน ได้แก่ 1. ทรายมูล (Sai Mun) 16 หมู่บ้าน 2.ดู่ลาด (Du Lat) 12 หมู่บ้าน 3.ดงมะไฟ (Dong Mafai) 10 หมู่บ้าน 4. นาเวียง (Na Wiang) 7 หมู่บ้าน 5. ไผ่ (Phai) 9 หมู่บ้าน การปกครองส่วนท้องถิ่น ท้องที่อำเภอทรายมูลประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 6 แห่ง ได้แก่ • เทศบาลตำบลทรายมูล ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลทรายมูล • เทศบาลตำบลนาเวียง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลนาเวียงทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลทรายมูล ครอบคลุมพื้นที่ตำบลทรายมูล (เฉพาะนอกเขตเทศบาล ตำบลทรายมูล) • องค์การบริหารส่วนตำบลดู่ลาด ครอบคลุมพื้นที่ตำบลดู่ลาดทั้งตำบล


41 • องค์การบริหารส่วนตำบลดงมะไฟ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลดงมะไฟทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลไผ่ครอบคลุมพื้นที่ตำบลไผ่ทั้งตำบล


42 อำเภอกุดชุม เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดยโสธร ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัด ห่างจากตัวจังหวัด 37 กิโลเมตร เป็นเมืองใหญ่อันดับ 4 -ของจังหวัดยโสธร รองจากอำเภอเมืองยโสธร อำเภอเลิงนกทา และ อำเภอคำเขื่อนแก้ว อีกทั้งยังมีทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2169 (ถนนวารีราชเดช) ตัดผ่านตัวอำเภอ ซึ่งถูก กำหนดให้เป็นทางหลวงสายเอเชีย และเป็นเส้นทางเชื่อมไปยังประเทศลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้อีกด้วย ประวัติ ปี พ.ศ. 2501 ร.ต.ท.พวง ศรีบุญลือ นายอำเภอยโสธรในสมัยนั้นดำริเห็นว่าท้องที่ตำบลโนนเปือย ตำบลโพนงาม ตำบลกำแมด และตำบลไผ่ อยู่ห่างไกลจากอำเภอยโสธร หนทางทุรกันดาร ลำบากแก่ราษฎรใน การไปมาติดต่อราชการ ณ ที่ว่าการอำเภอยโสธร ประกอบกับเจตนารมณ์อันแรงกล้าของราษฎรทั้ง 4 ตำบล ดังกล่าวที่มีความต้องการให้ทางราชการยกฐานะ 4 ตำบลเป็นกิ่งอำเภอ โดยราษฎรยินดีจะสร้างอาคารสถานที่ ราชการให้ โดยไม่ต้องรบกวนงบประมาณของทางราชการแต่อย่างใด เพื่อสนองเจตนาอันแน่วแน่ของ ประชาชนและเพื่อความเจริญของบ้านเมืองในอนาคต ร.ต.ท.พวง ศรีบุญลือ จึงประชุมกำนันทั้ง 4 ตำบล ซึ่ง ได้แก่ นายสงค์ วงษ์ไกร กำนันตำบลโนนเปือย นายสาย จันทพาล กำนันตำบลโพนงาม นายวรรณทอง ยาวะ โนภาส กำนันตำบลกำแมด และนายหา ยาวะโนภาส กำนันตำบลไผ่ มีมติเป็นเอกฉันท์คัดเลือกชัยภูมิซึ่งได้แก่ พื้นที่บางส่วนของ "ดงเย็น" เป็นที่ดอนและตั้งอยู่ใกล้ชิดกับหมู่บ้าน กุดชุม ตำบลโนนเปือย เป็นที่ตั้งกิ่งอำเภอ กุดชุม ปี พ.ศ. 2503 ก็ได้ลงมือสร้างกันอย่างจริงจัง โดยกำนันทั้ง 4 ตำบลดังกล่าว เป็นผู้นำที่เข้มแข็งรับอาสา ชักชวนราษฎรสละตอไม้และแรงงานในการปราบพื้นที่ตั้งกิ่งอำเภอฯ ในอาณาบริเวณประมาณ 70 ไร่ และได้ ตั้งปลัดอำเภอและหัวหน้าส่วนราชการประจำอำเภอยโสธรผลัดเปลี่ยนกันออกมาดำเนินการกำกับดูแลการ ก่อสร้างและข้าราชการผู้เป็นกำลังอันสำคัญยิ่งที่มีส่วนผลักดันให้งานนี้เป็นผลสำเร็จก็คือ นายพิสุทธิ์ ฟังเสนาะ ปลัดอำเภอโท อำเภอยโสธร ซึ่งนอกจากจะมากำกับดูแลการก่อสร้างเป็นประจำแล้วยังได้รับภารกิจพิเศษให้ เป็นหัวหน้าคณะร่วมกับนายอ่วม นามสละ ที่ดินอำเภอยโสธร นายบุญชู ดีหนองยาง ครูใหญ่ ออกดำเนินการ เรี่ยไรข้าวเปลือกจากราษฎรทั้ง 4 ตำบล เพื่อรวบรวมขายเอาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับค่าช่างฝีมือ และวัสดุ สำคัญในการก่อสร้าง ผลปรากฏว่าได้เงินจากการขายข้าวเปลือกเพียงพอแก่การดำเนินการตามวัตถุประสงค์ ดังกล่าว ในที่สุดผลแห่งการร่วมมือร่วมใจของประชาชนและข้าราชการก็เสร็จสิ้นลงในราวเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2504 มีสถานที่ราชการและบ้านพักซึ่งสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของราษฎรสำเร็จเรียบร้อย อนึ่ง ผู้มีส่วนสำคัญยิ่งอีกท่านหนึ่งในการสนับสนุนเป็นกำลังใจให้การก่อสร้างกิ่งอำเภอกุดชุม เป็น ผลสำเร็จคือ พระครูปลัดปาเรสโก (ผั่น ปาเรสโก) ลูกศิษย์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เจ้าอาวาสวัดบ้าน หนองหิน ตำบลหนองหิน อำเภอยโสธร และท่านเป็นผู้ริเริ่มก่อสร้างวัดประชาชุมพลขึ้นมาพร้อมๆ กับการ สร้างกิ่งอำเภอฯ และในระยะเวลาต่อมาหลังจากสร้างกิ่งอำเภอกุดชุมแล้วเสร็จไม่นาน ท่านก็เป็นผู้ดำเนินการ ตั้งหลักเมืองให้เป็นศักดิ์ศรีแก่กิ่งอำเภอด้วย


43 เมื่อสร้างกิ่งอำเภอกุดชุม เสร็จแล้ว ร.ต.ท.พวง ศรีบุญลือ นายอำเภอยโสธร ก็รายงานผลไปยัง กระทรวงมหาดไทย ขอแยกตำบลโนนเปือย ตำบลโพนงาม ตำบลกำแมด และตำบลไผ่ จากอำเภอยโสธร ตั้งขึ้นเป็นกิ่งอำเภอกุดชุมตามนามหมู่บ้านกุดชุม ซึ่งสถานที่ที่ตั้งกิ่งอำเภอฯ อยู่ใกล้ที่สุด ในที่สุดได้มีประกาศ กระทรวงมหาดไทยยกฐานะขึ้นเป็นกิ่งอำเภอกุดชุม เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2504 โดยทางราชการได้แต่งตั้งนาย พิสุทธิ์ ฟังเสนาะ ปลัดอำเภอโทอำเภอยโสธรมาดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอโท ผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอกุด ชุมคนแรก และเริ่มเปิดสถานที่ราชการติดต่อกับประชาชน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2504 โดยผู้ว่าราชการ จังหวัดอุบลราชธานี (นายกำจัด ผาติสุวัณ) เป็นประธานกระทำพิธีเปิดกิ่งอำเภอกุดชุม ต่อมาเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2506 ได้มีพระราชกฤษฎีกายกฐานะจากกิ่งอำเภอกุดชุมขึ้นเป็นอำเภอกุดชุม และต่อคณะ ปฏิวัติได้ประกาศยกฐานะอำเภอยโสธรขึ้นเป็นจังหวัดยโสธร อำเภอกุดชุมจึงเป็นอำเภอหนึ่งขึ้นอยู่กับจังหวัด ยโสธรตั้งแต่นั้นมา ต่อมาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2521 กระทรวงมหาดไทยได้โอนตำบลไผ่ อำเภอกุดชุม ไปขึ้นกับกิ่ง อำเภอทรายมูล (ปัจจุบันเป็นตำบลไผ่ อำเภอทรายมูล) อำเภอเมืองยโสธร ในขณะนั้น เนื่องจากท้องที่ตำบลไผ่ อยู่ใกล้กับอำเภอทรายมูลมากกว่าอำเภอกุดชุม ที่ตั้งและอาณาเขต อำเภอกุดชุมตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้ • ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอหนองพอก (จังหวัดร้อยเอ็ด) และอำเภอเลิงนกทา • ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอไทยเจริญ • ทิศใต้ติดต่อกับอำเภอป่าติ้ว อำเภอทรายมูล และ อำเภอเมืองยโสธร • ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอทรายมูล และอำเภอเสลภูมิ(จังหวัดร้อยเอ็ด) แผนที่อำเภอกุดชุม การแบ่งเขตการปกครอง การปกครองส่วนภูมิภาค อำเภอกุดชุมแบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น 9 ตำบล 128 หมู่บ้าน ได้แก่ 1. กุดชุม (Kut Chum) 6. หนองหมี (Nong Mi) 2. โนนเปือย (Non Pueai) 7. โพนงาม (Phon Ngam) 3. กำแมด (Kammaet) 8. คำน้ำสร้าง (Kham Nam Sang)


44 4. นาโส่ (Na So) 9. หนองแหน (Nong Nae) 5. ห้วยแก้ง (Huai Kaeng) การปกครองส่วนท้องถิ่น ท้องที่อำเภอกุดชุมประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 10 แห่ง ได้แก่ • เทศบาลตำบลกุดชุมพัฒนา ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลกุดชุมและบางส่วนของตำบล โนนเปือย • องค์การบริหารส่วนตำบลกุดชุม ครอบคลุมพื้นที่ตำบลกุดชุม (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบล กุดชุมพัฒนา) • องค์การบริหารส่วนตำบลโนนเปือย ครอบคลุมพื้นที่ตำบลโนนเปือย (เฉพาะนอกเขตเทศบาล ตำบลกุดชุมพัฒนา) • องค์การบริหารส่วนตำบลกำแมด ครอบคลุมพื้นที่ตำบลกำแมดทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลนาโส่ครอบคลุมพื้นที่ตำบลนาโส่ทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลห้วยแก้ง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลห้วยแก้งทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลหนองหมีครอบคลุมพื้นที่ตำบลหนองหมีทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลโพนงาม ครอบคลุมพื้นที่ตำบลโพนงามทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลคำน้ำสร้าง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลคำน้ำสร้างทั้งตำบล • องค์การบริหารส่วนตำบลหนองแหน ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหนองแหนทั้งตำบล การศาสนา วัดในเขตเทศบาบตำบลกุดชุมพัฒนา • วัดกุดชุมใน • วัดวินิจธรรมาราม • วัดประชาชุมพล • วัดสามัคคีวนาราม สถานที่ราชการสำคัญ • ที่ว่าการอำเภอกุดชุม • สถานีตำรวจภูธรกุดชุม


45 • โรงพยาบาลกุดชุม • สำนักงานที่ดินจังหวัดยโสธร สาขากุดชุม • สำนักงานสรรพากรพื้นที่ สาขากุดชุม • สำนักงานสาธารณสุขอำเภอกุดชุม • สำนักงานเกษตรอำเภอกุดชุม • ที่ทำการการไปรษณีย์กุดชุม รหัสไปรษณีย์ 35140 • การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขากุดชุม บุคคลสำคัญของอำเภอ[แก้] พระสงฆ์/ศิลปิน[แก้] • พระครูประโชติวรกิจ (หลวงปู่หม่าน) เจ้าคณะอำเภอกุดชุม • พระครูโรจนธรรมจารี (หลวงปู่รส) เจ้าอาวาสวัดประชาชุมพล • พระมหาเดวิทย์ ยสสี เจ้าอาวาสวัดวินิจธรรมาราม และพระนักเทศน์ชื่อดังของจังหวัดยโสธร • ไผ่ พงศธร นักร้องชื่อดัง • อรสา แสงเพชร นักร้องหมอลำ สถานที่ท่องเที่ยว[แก้] • ภูทางเกวียน • ภูหินปูน • ภูถ้ำพระ • ภูหมากพริก • ภูแผงม้า • น้ำตกนางนอน • น้ำตกตาดหลาด • หลวงพ่อทันใจ วัดวินิจธรรมาราม • พระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ ปางประทานพร วัดวินิจธรรมาราม • พระพิฆเนศ ปางมหามงคลจักรวาล ปางที่ 33 วัดวินิจธรรมาราม


46 บรรณานุกรม 1. ศูนย์สารสนเทศเพื่อการบริหารและงานปกครอง. กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ข้อมูลการปกครอง." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้ จาก: http://www.dopa.go.th/padmic/jungwad76/jungwad76.htm เก็บถาวร 2016- 03-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน [ม.ป.ป.]. สืบค้น 18 เมษายน 2553. 2. ↑ กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ประกาศสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร แยกเป็นกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ตาม หลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้ จาก: https://stat.bora.dopa.go.th/stat/statnew/statyear/#/TableTemplate3/Area/ statpop?yymm=64&ccDesc=%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A B%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%A A%E0%B8%98%E0%B8%A3&topic=statpop&ccNo=35 2564. สืบค้น 31 มกราคม 2565. 3. ↑ คำสั่งกองบัญชาการคณะปฏิวัติ ที่ 79/2515 เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการพลเรือน ราชกิจจา นุเบกษา เล่ม 89 ตอน 34 ง พิเศษ หน้า 4 4 มีนาคม พ.ศ. 2515 4. ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-05-17. สืบค้นเมื่อ 2018- 02-10.


Click to View FlipBook Version