บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน วิศวกรรมา พระวิศวกรรม
เป็นเทวดานายช่างใหญ่ของพระอินทร์
ตามตำนาน เป็นเทวดาผู้รับเทวโองการต่าง ๆ
จากพระอินทร์ เพื่ อสร้างอุปกรณ์ สิ่งของ อาคารต่าง ๆ
และเป็นผู้นำวิชาช่างมาสอนแก่มนุษย์
ช่างไทยแขนงต่าง ๆ ให้ความเคารพบูชาพระวิศวกรรม
ในฐานะครูช่างหรือเทพแห่งวิศวกรรมของไทย
บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน วิศวกรรมา
เรื่องย่อ
หากประเทศชาติไม่มีความสงบสุข ประชาชนย่อมไม่สนใจสร้างสรรค์งาน
ศิลป์ ซึ่งศิลปะแสดงถึงอารยธรรมของชาติ โดยจะเห็นได้ว่า ประเทศไทยเป็น
ชาติที่มีความเจริญรุ่งเรือง เพราะมีช่างที่มีความชำนาญในการสร้างสรรค์งาน
ศิลปะทุกแขนง เช่น ช่างปั้ น ช่างเขียน ช่างก่อสร้าง ช่างทอง ช่างเงิน ช่างถม
ช่างทำอัญมณี และควรส่งเสริมให้ศิลปะ
ของชาติคงอยู่สืบไป
ตัวอย่าง บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน วิศวกรรมา
บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน สามัคคีเสวก
หน้าที่ของข้าราชบริพารที่ดี คือ
ต้องจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์
มีความสามัคคี มีวินัย เปรียบเสมือน
ลูกเรือที่จะต้องเชื่อฟังกัปตัน มิฉะนั้น
เรือที่บังคับก็จะล่มลงในที่สุด
ตัวอย่าง บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน สามัคคีเสวก
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน สามัคคีเสวก
มีการใช้ภาพพจน์แบบอุปมา โดยเปรียบเทียบประเทศชาติกับเรือเปรียบ
พระมหากษัตริย์เป็นกับตันเรือ เปรียบข้าราชการทั้งหลายเป็นกะลาสีเรือ
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน วิศวกรรมา
มีการแตกศัพท์ คำว่า ศิลป์ ให้เป็นคำศัพท์หลาก
หลายคำ เช่น ศิลปี ศิลปะ ศิลปา ศิลป์ ศิลปะกรรม์
ซึ่งมีความหมายว่า “ศิลปะ” เหมือนกันทุกคำ
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน วิศวกรรมา
มีการหลากคำที่มีความหมายว่า
“พระมหากษัตริย์” เช่น ทรงธรรม์
พระทรงศรี พระภูธร พระจักรี
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน วิศวกรรมา
มีการหลากคำที่มีความหมายว่า
“ข้าราชบริพาร” เช่น ข้าพระบาท เสวี
ข้าฝ่าพระบาท เสวก ราชเสวี
คุณค่าด้านสังคม
บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน วิศวกรรมา
สะท้อนความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง คือ ผลงานที่ศิลปินและช่างทั้งหลายได้ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นเป็นเครื่องมือ
ที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมือง และแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาและเกียรติภูมิของชาติ
คุณค่าด้านสังคม
บทเสภาสามัคคีเสวก ตอน สามัคคีเสวก
สะท้อนคุณธรรมหน้าที่และความสามัคคี คือ แสดงให้เห็นว่า ชาติจะดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง ข้าราชการต้องพร้อมใจกัน
ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งของตนอย่างเต็มความสามารถ เคร่งครัดในระเบียบวินัยและมีความสามัคคีปรองดองกัน
สรุปบทเรียน
หน่วยการเรียนรู้ที่ ๓
ศิลาจารึกหลักที่ ๑
01 สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน
ตัวชี้วัด 02 วิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน พร้อมยกเหตุผลประกอบ
03 อธิบายคุณค่าของวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน
04 สรุปความรู้และข้อคิดจากการอ่านเพื่อประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง
ความสำคัญของวรรณคดี
ความเป็นมาของศิลาจารึกหลักที่ ๑
พระราชประวัติผู้ทรงพระราชนิพนธ์
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
ลักษณะคำประพันธ์
ลักษณะการเขียนในศิลาจารึก
เรื่องย่อ
คำศัพท์
คำศัพท์
คำศัพท์
คุณค่าด้านเนื้อหา
ศิลาจารึกหลักที่ ๑
เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ที่แสดงให้ทราบว่า อาณาจักรสุโขทัยมีปฐมกษัตริย์ คือ
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และมีพ่อขุนบานเมือง และพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นกษัตริย์ในลำดับถัดมา
ให้ความรู้ด้านการปกครองตามหลักนิติศาสตร์ โดยสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชมีการปกครองแบบพ่อ
ปกครองลูก พระองค์ทรงดูแลทุกข์สุขของราษฎรอย่างใกล้ชิด มีการสั่นกระดิ่งประตูเพื่อร้องเรียน โดยมี
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงไต่สวนด้วยพระองค์เอง อันเป็นกระบวนการยุติธรรมที่ทุกคนต่างยอมรับ
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
เป็นร้อยแก้วที่ใช้ภาษาได้อย่างมีจังหวะและมีสัมผัสคล้องจองทำให้สามารถ
จดจำได้ง่ายและทำให้ผู้อ่านรู้สึกเพลินเพลินและเกิดจินตภาพชัดเจน
คุณค่าด้านสังคม
สะท้อนวิถีชีวิตของประชาชนในสมัยสุโขทัย
ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ทำการเกษตร การประมงเพื่อดำรงชีวิต และมีการค้าขายเสรี
สะท้อนความเชื่อเรื่องการนับถือผีบรรพบุรุษ โดยเชื่อว่า ผี
สามารถให้คุณหรือให้โทษได้ ขึ้นอยู่กับการบูชาของลูกหลาน
สรุปบทเรียน
ขอบคุณ!
ที่อ ยู่
โรงเรียนสตรีวัดระฆัง
ก ลุ่ ม ส า ร ะ ก า ร เ รีย น รู้ภ า ษ า ไ ท ย
ครูพิสิทธิ์ สุวรรณธาดา
ตำ แ ห น่ ง ค รู
วิทยฐานะ ชำนาญการ
ถอดความตามเนื้อเรื่อง รามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบนนทก
แนวตอบ หน้า 59 ถอดความได้ว่า นนทกได้รับ
หน้าที่ล้างเท้าเทวาอยู่เชิงเขาไกรลาส แล้วถูกเหล่า
เทวดากลั่นแกลังด้วยการถอนผม ตบหัว ลูบหน้า
จนผมหมดหัว จึงเกี่ดความคับแค้นใจ ไปเฝ้า
พระอิศวร เพื่อขอความเมตตาโดยอ้างว่าตนทำ
หน้าที่นี้มาหลายปี อยากจะขออะไรบางอย่าง
พร้อมกับร้องไห้ พระอิศวรเห็นใจจึงสอบถามว่า
นนทกอยากได้อะไร
แนวตอบ จากหน้า 60 นนทกทูลขอนิ้วเพชรจากพระอิศวร
พระอิศวรคิดไตร่ตรองถึงคุณงามความดีของนนทก
จึงประทานให้ นนทกได้สมใจหมาย จึงกลับไปปฏิบัติหน้าที่ดังเดิม
แนวตอบ จากหน้า 61 ถอดคำประพันธ์ได้ว่า
เมื่อมีเหล่าเทวิดามาถอนผม ตบหัว ลูบหน้าดังเดิม
นนทกจึงโกรธและลุกขึ้นตะโกนด่าทอ แล้วใช้นิ้ว
เพชรขี้เหล่าเทวดาล้มตายจนเกลื่อน พระอินทร์เห็น
นนทกแสดงฤทธิ์ทำร้ายเทวดา จึงไปทูลพระอิศวร
แล้วเล่าความให้ฟัง พระอิศวรจึงสั่งให้พระนารายณ์ไปปราบนนทก)
(แนวตอบ จากหน้า 62 ถอดคำประพันธ์ได้ว่า
พระนารายณ์ใช้กลอุบายแปลงกายเป็นนางอัปสรแล้ว
ไปชวนนนทุกร่ายรำ ฝ่ายนนกทกเมื่อเห็นนางอัปสร
ผู้งดงามกีเกิดความหลงใหล จึงเข้าไปเกี้ยวพาราสี
และร่ายรำตามคำเชิญชวน ประกอบกับเฝ้ามอง
ชื่นชมความงามของนางอัปสร)
(แนวตอบ จากหน้า 63 ถอดคำประพันธ์ได้
ว่า เมื่อพระนารายณ์แปลงกายก็แนะนำตัวว่าชื่อ
สุวรรณอัปสร และเจรจากับนนทก นนทกพูดจา
เล้าโลมนางอัปสร นางอัปสรจึงเชิญชวนให้ร่ายรำ
ตาม โดยนนทกไม่รู้เลยว่าเป็นพระนารายณ์แปลงกายมา)
(แนวตอบ จากหน้า 64 ถอดคำประพันธ์ได้ว่า (แนวตอบ จากหน้า 65 ถอดความได้ว่า เมื่อ
นางอัปสรเชิญชวนนนทกร่ายรำท่าแม่บทจนถึงท่า นนทกรู้ว่าพระนารายณ์แปลงกายมาหลอกฆ่าตน
นาคาม้วนทางที่ต้องมีท่าการใช้นิ้วขี้เข้าหาตัวเอง
นิ้วเพชรที่ขอพรมาจากพระอิศวรจึงสำแดงฤทธิ์แก่ จึงต่อว่าพระนารายณ์ที่มีอาวุธและอิทธิฤทธิ์
นนทุกทำให้นนทกล้มลงที่พื้น จากนั้นพระนารายณ์ เหนือกว่าตน แต่มารังแกตนที่มีเพียงสองมือ
พระนารายณ์จึงโต้ว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นภูขอท้าให้มึงไป
จึงแปลงกายดังเดิม แล้วต่อว่าสั่งสอนนนทุกที่ เกิดชาติใหม่มีหลายมือ แล้วพระนารายณ์จะอวดาร
บังอาจใช้อำนาจในทางมิชอบ) ไปเป็นมนุษย์มีสองมือ เพื่อได้ต่อสู้กันอีกครั้ง
จากนั้นนนทกก็ตายแล้วไปเกิดในชาติใหม่เป็น
ทศกัณฐ์ ส่วนพระนารายณ์ก็อวตารไปเป็นพระราม)
จากการอ่านเนื้อเรื่องบทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอน นารายณ์ปราบ
นนทกในหน้ า 64 เป็นตอนที่พระนารายณ์แปลงกายเป็นนางรำ
ทรงลวงให้นนทกรำท่าต่างๆ ตาม
เรื่องทำรำแม่บท ซึ่งได้แก่
ท่าเทพนม ท่าปฐม ท่าพรหมสี่หน้ า
ท่าสอดสร้อยมาลา ท่ากวางเดินดง
ท่าหงส์บิน ท่ากินรินเลียบถ้ำ ท่าช้านางนอน
ท่าภมรเคล้า ท่าแขกเต้าเข้ารัง
ท่าผาลาเพียงไหล่ ท่าเมขลาล่อแก้ว ท่ามยุเรศฟ้ อน
ท่าลมพัดยอดตอง ท่าพรหมนิมิต
ท่าพิสมัยเรียงหมอน ท่ามัจฉาชมสาคร ท่าพระสี่กรขว้างจักร
และโดยเฉพาะท่านาคาม้วนหางซึ่งเป็ นท่าที่ทำให้นนทกเสียทีใช้นิ้วเพชรชี้ขาตัวเอง