The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เทศน์มหาชาติโรงเรียนสตรีวัดระฆัง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by teacherpisit, 2022-08-26 03:50:23

เทศน์มหาชาติโรงเรียนสตรีวัดระฆัง

เทศน์มหาชาติโรงเรียนสตรีวัดระฆัง

บทอาเศียรวาท

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกติ ิ์ พระบรมราชินนี าถ พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง

...โคลงสส่ี ภุ าพ...

ศภุ กฤษเ์ กรกิ ฟา้ ชนนี

มหาราชกษัตรี ปน่ิ แก้ว

เฉลิมราชพระพันปี เจริญยิง่ (แม่นา)

สงิ หมาสเพริศแพร้ว มิ่งฟ้าสถาพร

ศริ ิสวสั ดิล์ ้า ใดปาน (องค์เอย)

เกษมสขุ ไพศาล ปกหล้า

พรพพิ ฒั น์ดลสราญ รมณร์ ่นื

พระยศเกริกกอ้ งฟา้ มากล้นธราดล

เกียรตพิ ระนาม “สริ กิ ิต”์ิ ก้อง ภพสกล
เมตตาพระกรณุ าลน้ เกศเกล้า
นา้ พระทัยชโลมชน ฉลองช่ืน (ทัว่ แฮ)
ถวายพระพรพันวษาเจา้ เทิดไทส้ รรเสริญ

ดว้ ยเกลา้ ดว้ ยกระหมอ่ ม ขอเดชะ
ขา้ พระพทุ ธเจ้า

คณะกรรมการสถานศกึ ษาข้ันพน้ื ฐานโรงเรยี นสตรีวัดระฆัง
สมาคมศษิ ยเ์ กา่ สตรวี ดั ระฆัง มูลนธิ ิโรงเรียนสตรีวดั ระฆงั
สมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนสตรีวัดระฆัง คณะกรรมการเครือขา่ ยผูป้ กครอง

และโรงเรียนสตรวี ดั ระฆัง

นายทรงพล แซ่ซือ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ผู้ประพนั ธ์



ประวตั โิ รงเรยี น

โรงเรียนสตรีวัดระฆังนี้เดิมกระทรวงทหารเรือได้รับอนุญาตจากวัดระฆังโฆสิตาราม
วรมหาวิหารให้สร้างอาคารไม้ใต้ถุนสูงจานวน ๓ หลัง เป็นโรงพยาบาลทหารเรือช่ัวคราวสาหรับ
รกั ษาพยาบาลทหารเรือทเ่ี จบ็ ป่วย ตอ่ มากระทรวงทหารเรอื ไดส้ รา้ งโรงพยาบาลข้ึนใหมท่ ่ปี ากคลอง
มอญ จึงยกอาคารท่ีใช้เป็นโรงพยาบาลเดิมนี้ให้กับวัด และแจ้งเร่ืองไปยังกระทรวงธรรมการ
ประจวบกับความดาริของกรมศึกษาธิการ ซึ่งกาลังคิดจะจัดการศึกษาสาหรับกุลสตรีให้แพร่หลาย
อยู่แล้ว จึงได้ไปหารือ เจ้าคุณพระพิมลธรรม เจ้าอาวาส (ภายหลังได้รับสมณศักด์ิเป็นสมเด็จ
พระพุทธโฆษาจารย์) ท่านเห็นชอบด้วยให้ใช้สถานท่ีและอาคารเป็นโรงเรียนสตรี กระทรวงธรรม
การ จึงอนญุ าตให้ซ่อมแซมและปรบั ปรุงเรือนท้ังสองหลังให้เหมาะสมที่จะเป็นโรงเรียนสตรีตอ่ ไป

โรงเรียนสตรีวดั ระฆังเปิดรบั นักเรียนต้ังแตว่ ันท่ี ๑ สิงหาคม ๒๔๕๗ ก่อน แลว้ จึงประกอบ
พิธีทางศาสนาเปิดโรงเรียนเมื่อวันท่ี ๑ พฤศจิกายน ๒๔๕๗ และเริ่มทาการสอนเมื่อวันท่ี ๒
พฤศจิกายน ๒๔๕๗ ประธานในพิธีเปิดคือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาชัยนาท
นเรนทร เมื่อครง้ั ดารงพระยศเป็นพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศกั ด์ิ ผู้แทนเจ้ากรมศกึ ษาธกิ าร
พ.ศ. ๒๔๕๗ เปิดสอนนักเรียนตั้งแต่ช้ันประถมปีท่ี ๑ จนถึงชั้นประถมปีที่ ๓ ครูใหญ่คนแรกคือ
นางธนากรภกั ดี (สว่าง อมรสิงห์)

พ.ศ. ๒๔๖๓ เปิดสอนถึงช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี ๖
พ.ศ. ๒๔๘๙ เปดิ เรียนชน้ั เตรยี มปที ่ี ๑ แผนกอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์
พ.ศ. ๒๕๐๓ เปิดสอนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๑ ถงึ ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ ๕
ตามนโยบายการศึกษาแหง่ ชาติ
พ.ศ. ๒๕๑๘ เรมิ่ ใช้หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายพุทธศกั ราช ๒๕๑๘
ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๔ และชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี ๕ เปลยี่ นเป็นระบบหน่วยกิต
พ.ศ. ๒๕๒๑ เปดิ รบั นักเรียนช้ัน ม.๑ ตามหลกั สตู รมัธยมศึกษาตอนตน้
พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๑
พ.ศ. ๒๕๒๔ เปิดรับนกั เรยี นชน้ั ม.๔ ตามหลักสูตรมัธยมศกึ ษาตอนปลาย
พุทธศกั ราช ๒๕๒๔
พ.ศ. ๒๕๓๖ เปิดสอนชั้น ม.๑–ม.๓ ใช้หลักสูตรชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช๒๕๒๑
(ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช ๒๕๓๓) และชั้น ม.๔ – ม.๖ ใช้หลักสูตรชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
พุทธศักราช ๒๕๒๔ (ฉบับปรับปรุงพทุ ธศกั ราช ๒๕๓๓)
พ.ศ. ๒๕๔๕ เปิดสอนชั้น ม.๑ – ม.๖ เป็นโรงเรยี นนารอ่ งในการใชห้ ลักสตู รการศึกษา
ขั้นพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๔๔
พ.ศ. ๒๕๕๓ เปิดสอนชั้น ม.๑ – ม.๖ ใช้หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ และแนวปฎิบตั โิ รงเรยี นมาตรฐานสากล

อักษรยอ่ : ส.ร.
๑ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๕๗
วันสถาปนาโรงเรียน : พระพุทธศรสี ุทธิโฆษิต ธรรมิกะนรทิ ธานุรกั ษ์มนุ นิ ทร์
วชิ ชฺ า วร ธน โหติ แปลว่า วชิ าเป็นทรพั ยอ์ ันประเสริฐ
พระพุทธรูปประจาโรงเรียน : เรียนเด่น เลน่ ดี มีวนิ ัย ใจกุศล
ม่งุ มนั่ พัฒนาคณุ ภาพตามมาตรฐานการศกึ ษา
คตพิ จน์ : สอื่ สารสอภาษา
ใช้เทคโนโลยใี นการเรียนรู้สูส่ ากล
ปรชั ญาโรงเรียน : บนพื้นฐานคณุ ธรรมสู่ความเป็นไทย
ตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
วสิ ัยทัศนข์ องโรงเรยี น :

เครอื่ งหมายประจาโรงเรียน : ตราระฆงั ประดับรศั มี

สปี ระจาโรงเรยี น : น้าเงนิ – เหลือง

น้าเงิน หมายถึง ความสุขมุ ความมน่ั คง ความเขม้ แขง็

เหลือง หมายถงึ ความรงุ่ เรอื ง ความรงุ่ โรจนด์ ว้ ยแสงแห่งธรรมดอกไม้ประจาโรงเรียน

: ดอกบวั หลวง “เป็นดอกไมท้ ี่เกิดจากโคลนตมแต่มีคา่ สงู ใช้บชู าพระ”

เพลงประจาโรงเรยี น : ระฆังทอง

คณะสี : สัตตบงกช (สแี ดง)

ชโลบล (สีชมพู)

นลิ ปัทม์ (สเี ขยี ว)

บษุ กร (สีฟา้ )

ระดบั ชนั้ ทเี่ ปดิ สอน : ม.๑ – ม.๖

พื้นท่ีบรกิ าร

มีเขตพน้ื ท่บี ริการ ๓ เขต คอื เขตบางกอกนอ้ ย มี ๕ แขวง ไดแ้ ก่ แขวงศริ ิราช แขวงบ้านชา่ งหล่อ

แขวงอรณุ อมรินทร์ แขวงบางขุนศรี แขวงบางขุนนนท์

เขตบางกอกใหญ่ มี ๑ แขวง ได้แก่ แขวงวัดอรุณ

เขตพระบรมมหาราชวงั มี ๑ แขวง ได้แก่ แขวงพระบรมมหาราชวัง

ที่ตง้ั

โรงเรียนสตรีวัดระฆังต้ังอยู่ท่ี ๒๔๘/๙ ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย
กรุงเทพมหานคร รหัสไปรษณีย์ ๑๐๗๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๔๑๒-๙๑๐๓– ๔ โทรสาร ๐-๒๔๑๘-
๑๐๐๒ email : [email protected] website: www.sr.ac.th สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา
มธั ยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต ๑ มีเนือ้ ท่ี ๒ ไร่ ๓ งาน ๒๐ ตารางวา

แผนทโี่ รงเรยี น

อาณาเขต ทิศเหนือ คณะ ๑ และ คณะ ๒ วดั ระฆังโฆสิตารามวรมหาวหิ าร ซอยวงั หลงั
ทิศตะวันออก แมน่ ้าเจ้าพระยา
ทศิ ใต้ กรมอู่ทหารเรอื
ทศิ ตะวันตก วดั ระฆังโฆสติ ารามวรมหาวหิ าร

“เทศนม์ หาชาติ”

มหาเวสสันดรชาดก เป็นชีวประวัติเร่ืองหน่ึงในทศชาติชาดก กล่าวถึงพระชาติสุดท้ายของพระ
โพธิสตั ว์ในการบาเพ็ญทานบารมี กอ่ นจะทรงอบุ ัติเปน็ สมเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า
“มหาชาตชิ าดก” ในการเทศนา เรียกว่า “เทศนม์ หาชาต”ิ

ท่ีมาและความสาคญั

การเทศน์มหาชาติ เป็นประเพณีท่ีมีมาตั้งแต่คร้ังกรุงสุโขทัยจนถึงปัจจุบันโดยถือเป็นธรรมเนียม
ปฏิบัติประจาปีที่นิยมจัดระหว่างในพรรษาจนถึงออกพรรษาหรือในโอกาสที่เหมาะสมเป็นการสืบทอด
พระพุทธศาสนาและจรรโลงวัฒนธรรมท่ีสูงส่งของไทย ด้วยการน้อมนาเรื่องราวเมื่อคร้ังพุทธกาลท่ีองค์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสวยพระชาติสุดท้ายเป้นพระเวสสันดรโดยทรงบาเพ็ญทานบารมีด้วย
การบริจาคศฤงคาร พระมเหสี พระราชโอรสและพระราชธิดา ซึ่งจัดเป็นมหาทานอันยิ่งใหญ่ยากท่ี
ปุถุชนคนธรรมดาโดยท่ัวไปจะสามารถกระทาได้ การได้มีโอกาสได้รับฟังการเทศน์มหาชาตินับได้ว่าได้
อานิสงส์โดยแท้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงมีคติความเชื่อว่าถ้าผู้ใดได้ฟังการเทศน์มหาชาติท้ัง ๑๓ กัณฑ์
๑,๐๐๐ พระคาถาภายในวันเดยี วจะได้ไปเกิดในยุคพระศรีอริยเมตไตรย ผลานิสงส์จะส่งให้ผู้นั้นสมความ
มุ่งมาดปรารถนาในสิ่งที่พึงประสงค์ และยังจะส่งผลให้บรรลุผลนิพพานเป้นพระอริยบุคคลใน
พระพุทธศาสนา และในภาคอีสานก็มีประเพณีเก่ียวกับการเทศมหาชาติอยู่ด้วยคือประเพณีบุญผะเหวด
คาว่า “ผเหวด” ตามการออกเสียงภาษาอีสานหมายถึงพระเวส หรือพระเวสสันดร ซ่ึงเป็นประเพณี ๑
ในประเพณี ๑๒ เดือน หรือฮีตสิบสองครองสิบสี่ของชาวอีสาน ซึ่งการจัดงานบุญผะเหวดน้ันอยู่ที่การ
เทศนเ์ รอ่ื งพระเวสสันดรชาดกหรือเทศน์มหาชาติ มีจานวนทั้งหมด ๑๓ กัณฑ์ โดยชาวอีสานมีความเช่ือ
ว่าถ้าหากว่าฟังเทศน์ครบทั้งหมดวันเดียว และจัดเตรียมเคร่ืองคาย (บูชา) ได้ถูกต้อง ก็จะได้เกิดใน
ศาสนาพระอรยิ เมตไตรยเช่นเดียวกบั การประเพณกี ารเทศมหาชาติซึ่งจุดสาคัญอยู่ท่ีการฟังเทศน์มหาชาติ
เชน่ เดยี วกันปัจจุบนั ประเพณีการเทศนม์ หาชาตยิ งั คงเป็นธรรมเนยี มปฎิบตั ิสบื ต่อกันมา ทั้งประเพณีหลวง
และประเพณีราษฎร์ ประเพณีการเทศน์มหาชาติจึงเป็นประเพณีที่มีทั้งธรรมะ ธรรมเนียมปฎิบัติ และ
การบันเทงิ อยู่ในทว่ งทานองการเทศน์ การฟังเทศน์มหาชาติจึงได้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลินในเวลา
เดยี วกัน โดยเฉพาะเปน็ การปลกฝงั คุณธรรมความดีงามตามเนื้อหาของมหาเวสสันดรชาดก อันมีกระแส
แห่งความเมตตา ความเสียสละ ความเอื้อเฟ้ือเผ่ือแผ่และความไม่เห็นแก่ตัว ทั้งยังสอนให้ได้รู้จักความ
โอบออ้ มอารีซ่ึงกอ่ ให้เกิดความโน้มเอียงตามจรรยาปฎิบัตขิ องพระเวสสันดร เป็นการปลูกฝังคุณธรรมอัน
บริสุทธิ์โดยแท้ ซึ่งในปัจจุบันมีผู้คนท่ีเข้าฟังเทศน์มหาชาติส่วนใหญ่มีแต่ผู้สูงอายุท่ีมีความสนใจเข้าฟัง
เทศน์มหาชาติซึ่งคนบางกลุ่มก็ไม่ได้มีโอกาสท่ีจะเข้าฟังเทศน์หาชาติกลุ่มของข้าพเจ้าจึงมีความสนที่จะ
ศึกษากัณฑ์ในแต่ละกัณฑ์ที่ใช้เทศน์มหาชาติและจัดทาเผยแพร่แก่ผู้ที่ไม่ได้มีโอกาสในการเข้ารับฟังเทศน์
มหาชาติในโอกาสทม่ี งี านเทศน์มหาชาติให้ได้มีโอกาสฟังเทศน์หาชาติในทุกที่ทุกเวลาและเข้าใจเนื้อหาได้
งา่ ยข้ึนและมีความนา่ สนใจ

ความเชือ่ ในการบูชาเทศนม์ หาชาติ

การฟังเทศน์ฟังธรรมมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว มีเรื่องในชาดกเล่าไว้ว่า คร้ังหนึ่งขณะ
ที่พระพุทธเจ้ากาลังทรงแสดงธรรมอยู่นั้น ปรากฏว่าคนฟังมีพฤติกรรมแปลก ๆ เช่น นั่งหลับบ้าง มอง
ทอ้ งฟ้าหรือแหงนดดู าวบา้ ง แหยเ่ พ่ือน ๆ ขดี เขยี นดินเลน่ บ้าง ฟังธรรมด้วยความเคารพบา้ งหลงั จากจบ
พระธรรมเทศนา มีอุบาสกคนหน่ึงเข้าไปทูลถามพระพุทธเจา้ เกี่ยวกับพฤติกรรมคนเหล่านี้ พระพุทธองค์
ตรัสว่า คนที่นั่งหลับเวลาฟังธรรม ชาติก่อนเคยเกิดเป็นงูเหลือม เพราะงูเหลือมหลังจากกินอาหารเต็ม
อ่ิมแล้วก็จะหลับ คนท่ีมองท้องฟ้าหรือแหงนดูดาว ชาติก่อนเคยเกิดเป็นหมอดู หรือนักพยากรณ์ดวง
ชะตาราศี คนที่ชอบแหย่เพ่ือนเล่นชาติ ก่อนเคยเกิดเป็นลิงจึงอยู่ไม่เป็นสุข แหย่คนโน้นทีคนน้ีทีตาม
สญั ชาตญาณเดิมที่ติดตัวมาคนที่ขีดเขียนดินเล่น ชาติกอ่ นเคยเกดิ เปน็ ไส้เดือนจึงมอี าการแสดงออกคล้าย
จะหาที่อยู่เดิม ของตน ส่วนคนท่ีฟังธรรมด้วยความเคารพ ชาติก่อนเคยเกิดเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต
จึงสนใจ และเอาใจจดจ่ออยู่กับการฟังตลอดเวลา มีความกระตือรือร้นในทางก้าวหน้าอยู่เสมอ จึงฟัง
ดว้ ยความสุขใจ เอิบอิ่มใจอย่างยิ่ง

การฟงั ธรรมมีอานสิ งส์ ๕ อย่าง คือ
๑. อัสสตุ ัง สณุ าติ ได้ฟังสง่ิ ทย่ี ังไมเ่ คยฟงั และได้เรียนรู้สิ่งที่ยังไม่เคยเรยี นรู้
๒. สตุ ัง ปะริโยทะเปติ สิ่งท่ีเคยได้ฟังแล้วกจ็ ะทาใหเ้ ข้าใจชัดเจนแจ่มแจง้ ยิ่งขน้ึ
๓. กงั ขัง วหิ ะนะติ สามารถแกข้ อ้ ข้องใจ บรรเทาความสงสยั ในเร่อื งน้นั ๆ ได้
๔. ทิฏฐงิ อุชุง กะโรติ ทาความเหน็ ใหถ้ ูกต้องตามทานองคลองธรรม
๕. จิตตะมัสสะ ปะสที ะติ จติ ใจย่อมผ่องใส คอื สะอาด สงบ และสว่าง
การฟังธรรมเป็นการทาบุญอย่างหน่ึง เรียกว่า ธัมมัสสวนมัย คือบุญสาเร็จได้ด้วยการฟังธรรม
ขอให้ลองสารวจดูตัวเองว่า เวลาฟังเทศน์ฟังธรรม เรามีพฤติกรรมอย่างไรในบรรดาพฤติกรรมเหลา่ นัน้
ทั้งน้ีก็เพ่ือจะได้ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น อันจะเป็นเหตุให้ได้รับอานิสงส์ แห่งการฟังธรรมอย่าง
สมบูรณ์
อานิสงส์การฟังเทศน์มหาชาติ การตั้งใจฟังเทศน์มหาชาติให้จบเพียงวันเดียวครบบริบูรณ์
ทั้ง ๑๓ กัณฑ์จะเป็นเหตใุ ห้สาเร็จความปรารถนาทุกประการดงั น้ี
๑. เมอ่ื ตายจากโลกน้ีแล้ว จะมโี อกาสได้พบพระพุทธเจ้า พระนามว่า ศรอี ริยเมตไตย ในอนาคต
๒. เมื่อดับขนั ธไ์ ปเกดิ ในสคุ ติโลกสวรรค์ จะเสวยทิพยสมบตั มิ โหฬาร
๓. เมอื่ ตายไปแล้วจะไม่ตกนรก
๔. เมอ่ื ถึงยุคพระพุทธเจ้าพระนามว่า ศรอี ริยเมตไตย จะได้จุติไปเกิดเปน็ มนุษย์
๕. ได้ฟังธรรมตอ่ หน้าพระพักตรข์ องพระพุทธองค์ จะไดด้ วงตาเห็นธรรมเป็นพระอรยิ บตุ

อานิสงส์การฟงั ธรรมตามกาล

๑. เป็นการเพ่ิมพูนความรู้ใหม่ เพราะผู้แสดงธรรมย่อมจะศึกษา ค้นคว้า ขบคิด นาข้อธรรมะ
ตา่ งๆ มาแสดง ทาใหเ้ ราไดย้ ินได้ฟงั ธรรมะทไ่ี ม่เคยไดย้ ินไดฟ้ ังมากอ่ น

๒. เป็นการทบทวนความรู้เดิม คือ ถ้าหัวข้อธรรมท่ีผู้แสดงนามาแสดงน้ัน ตรงกับสิ่งที่เราเคย
ศึกษามาแล้ว ก็จะทาให้เราได้ทบทวนความรู้เดิม ให้เกิดความเข้าใจแตกฉาน สามารถจดจาได้แม่นยา
ย่ิงขน้ึ

๓. เป็นการปลดเปล้ืองความสงสัยเสียได้ คือ ถ้าผู้ฟังยังมีความลังเลสงสัยในการละความชั่ว
บางอย่าง หรือการทาความดีบางอย่าง เม่ือได้ฟังธรรมะเพิ่มเติมแล้ว จะทาให้ความลังเลสงสัยน้ันหมด
ไป ตัดสนิ ใจละความชั่วทาความดงี า่ ยขนึ้

๔. เป็นการปรบั ความเหน็ ใหต้ รง คอื ในระหวา่ งการดาเนินชีวิตสู่จุดหมายของคนเรานน้ั เราจะ
ถูกมาร คือ กิเลสและสิ่งแวดล้อมไม่ดีต่างๆ ทาให้มีความคิดเห็นผิดๆ เกิดขึ้นได้ แล้วทาให้การดาเนิน
ชีวิตวกวน เฉไฉผิดเป้าหมายไป การฟังธรรมจะช่วยให้เราเกิดความสานึกตัวว่า ความคิดเห็นของเราได้
บิดเบอื นไปอยา่ งไร แลว้ จะได้เลกิ ความเหน็ ท่ีผดิ เสยี ประคองความเหน็ ทีถ่ ูกไว้

๕. เป็นการฝึกอบรมจิตใจให้สูงขึ้น คือ การฟังธรรมจะเป็นเครื่องเตือนสติเรา ทาให้ใจของเรา
เลิกละจากความคิดฟุ้งซ่านในเรื่องกาม ความคิดพยาบาทอาฆาต ความคิดเบยี ดเบียนผอู้ ื่น และสอดส่อง
ชี้ให้เราเห็นถึงจุดอ่อนข้อบกพร่องในตัว ซึ่งจะต้องปรับปรุแก้ไข ยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้นๆ
จนกระทง่ั สามารถขจดั ข้อบกพร่องไดเ้ ด็ดขาด บรรลุมรรคผลนพิ พานได้ในทีส่ ุด

“ดูก่อน ท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย สมัยใด พระอริยสาวกฟังธรรม ฟังให้จดระดูก ฝัง
ไว้ในใจ รวบรวมกาลังใจทั้งหมดมา เง่ียหูลงมาฟังจริงๆ ในสมัยนั้น นิวรณ์ ๕ ของเธอย่อมไม่มี และ
โพชฌงค์ ๗ กจ็ ะถึงซึง่ ความสมบรู ณ์เต็มเปยี่ ม เพราะอานาจแห่งภาวนา ”

บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ คือ สิ่งอันเป็นท่ีตั้งแห่งการทาบุญ หรือกล่าวอย่างง่ายๆว่า การ
กระทาทีเ่ กิดเป็นบญุ เป็นกุศล แก่ผูก้ ระทาดังต่อไปน้ี

๑. บุญสาเร็จได้ด้วยการบริจาคทาน (ทานมัย) คือการเสียสละนับแต่ทรัพย์ ส่ิงของ เงินทอง
ตลอดจนกาลังกาย สติปัญญา ความรู้ความสามารถ เพ่ือให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อ่ืนโดยส่วนรวม รวมถึง
การละกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ออกจากจิตใจ จนถึงการสละชีวิตอันเป็นส่ิงมีค่าท่ีสุดเพ่ือการปฏิบัติ
ธรรม

๒. บุญสาเร็จได้ด้วยการรักษาศีล (สีลมัย) คือการตั้งใจรักษาศีล และการปฏิบัติตนไม่ให้ละเมิด
ศีล ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ หรือศีล ๘ ของอุบาสกอุบาสิกา ศีล ๑๐ ของสามเณร หรือ ๒๒๗ ข้อของ
พระภิกษุ เพ่ือรักษากาย วาจา และใจ ให้บริสุทธส์ิ ะอาด พ้นจากกายทุจรติ ๔ ประการ คอื ละเว้นจาก
การฆ่าสัตว์ ละเว้นจากการลักทรัพย์ ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม และเสพสิ่งเสพติดมึนเมา อัน
เป็นทีต่ ง้ั แห่งความประมาท วจที จุ ริต ๔ ประการ คือไม่พูดสอ่ เสยี ด ไมพ่ ดู ปด ไมพ่ ดู เพอ้ เจ้อ และไม่พูด
คาหยาบ มโนทจุ ริต ๓ ประการ คอื ไมห่ ลงงมงาย ไมพ่ ยาบาท ไมห่ ลงผิดจากทานองคลองธรรม

๓. บุญสาเรจ็ ได้ด้วยการภาวนา (ภาวนามยั ) คือการอบรมจติ ใจในการละกิเลส ตง้ั แต่ขัน้ หยาบ
ไป จนถึงกิเลสอย่างละเอียด ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นโดยใช้สมาธิปัญญา รู้ทางเจริญและทางเสื่อม จน
เข้าใจอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค เป็นทางไปสู่ความพ้นทุกข์ บรรลุมรรค ผล
นิพพานไดใ้ นทสี่ ุด

๔. บุญสำเร็จได้ด้วยกำรประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ (อปจำยนมัย) คือกำรให้ควำม
เคำรพ ผู้ใหญ่และผู้มีพระคุณ ๓ ประเภท คือ ผู้มี วัยวุฒิ ได้แก่พ่อแม่ ญำติพ่ีน้องและผู้สูงอำยุ ผู้มี
คุณวุฒิ หรือคุณสมบัติ ได้แก่ ครูบำอำจำรย์ พระภิกษุสงฆ์ และผู้มี ชำติวุฒิ ได้แก่พระมหำกษัตริย์
และเชื้อพระวงศ์

๕. บุญสำเร็จได้ด้วยกำรขวนขวำยในกิจกำรท่ีชอบ (เวยยำวัจจมัย) คือ กำรกระทำสิ่งที่เป็นคุณ
งำมควำมดี ที่เกิดประโยชน์ต่อคนส่วนรวม โดยเฉพำะทำงพระพุทธศำสนำ เช่น กำรชักนำบุคคลให้มำ
ประพฤตปิ ฏิบตั ิธรรม มีทำน ศลี ภำวนำ เปน็ ตน้ ในฝ่ำยสัมมำทฎิ ฐิ

๖. บุญสำเร็จได้ด้วยกำรให้ส่วนบุญ (ปัตติทำนมัย) คือ กำรอุทิศส่วนบุญกุศลที่ได้กระทำไว้
ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง กำรบอกให้ผู้อื่นได้ร่วมอนุโมทนำด้วย ทั้งมนุษย์และอมนุษย์ ได้ทรำบข่ำวกำร
บุญกำรกุศลที่เรำได้กระทำไป

๗. บญุ สำเร็จได้ด้วยกำรอนุโมทนำ (ปัตตำนุโมทนำมัย) คอื กำรไดร้ ่วมอนโุ มทนำ เชน่ กลำ่ ววำ่
“สำธุ” เพ่ือเป็นกำรยินดี ยอมรับควำมดี และขอมีส่วนร่วมในควำมดีของบุคคลอื่น ถึงแม้ว่ำเรำไม่มี
โอกำสได้กระทำ ก็ขอให้ได้มีโอกำสได้แสดงกำรรับรู้ด้วยใจปีติยินดีในบุญกุศลน้ัน ผลบุญก็จะเกิดแก่
บคุ คลทไี่ ด้อนุโมทนำบญุ นัน้ เองดว้ ย

๘. บุญสำเร็จได้ด้วยกำรฟังธรรม (ธัมมัสสวนมัย) คือ กำรตั้งใจฟังธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมำก่อน
หรือที่เคยฟังแล้วก็รับฟังเพ่ือได้รับควำมกระจ่ำงมำกข้ึน บรรเทำควำมสงสัยและทำควำมเห็นให้ถูกต้อง
ยิ่งข้ึน จนเกิดปัญญำหรือควำมรู้ก็พยำยำมนำเอำควำมรู้และธรรมะนั้นนำไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ สู่
หนทำงเจรญิ ตอ่ ไป

๙. บุญสำเร็จด้วยกำรแสดงธรรม (ธัมมเทสนำมัย) คือ กำรแสดงธรรมไม่ว่ำจะเป็นรูปของกำร
กระทำ หรือกำรประพฤติปฏิบัติด้วยกำย วำจำ ใจ ในทำงที่ชอบ ตำมรอยบำทองค์พระศำสดำ ให้เป็น
ตัวอย่ำงที่ดีแก่บุคคลอ่ืน หรือกำรนำธรรมไปขัดเกลำกิเลสอุปนิสัยเพื่อเป็นแบบอย่ำงท่ีดีแก่ผู้อ่ืน ให้เกิด
ควำมเลอื่ มใสศรทั ธำ มำประพฤตปิ ฏบิ ตั ิธรรมต่อไป

๑๐. บุญสำเร็จได้ด้วยกำรทำควำมเห็นให้ตรง (ทิฏฐชุกัมม์) คือ ควำมเข้ำใจในเร่ือง บำป บญุ
คณุ โทษ ส่งิ ทเ่ี ปน็ แก่นสำรสำระหรอื ท่ไี ม่ใช่แก่นสำรสำระ ทำงเจรญิ ทำงเสอ่ื ม สิ่งอนั ควรประพฤตสิ งิ่ อัน
ควรละเว้น ตลอดจนกำรกระทำควำมคดิ ควำมเหน็ ให้เปน็ สัมมำทิฏฐอิ ยู่เสมอ

บุญ กิริยำวัตถุทั้ง ๑๐ ประกำรนี้ ผู้ใดได้ปฏิบัติอย่ำงใดอย่ำงหน่ึงหรือย่ิงมำกจนครบ ๑๐
ประกำรแล้ว ผลบุญย่อมเกิดแก่ผู้ได้กระทำมำกตำมบุญท่ีได้กระทำ ย่ิงได้มีกำรเตรียมกำย วำจำ ใจ ให้
สะอำดบริสุทธ์ิ ต้ังใจจรดเข้ำสู่ศูนย์กลำงกำย หยุดในหยุด เข้ำไปแล้วก็ยิ่งได้รับบุญมหำศำลตำมควำม
ละเอียดประณตี ที่เขำ้ ถึงยง่ิ ๆ ขน้ึ ไป

ผู้นิพนธเ์ รื่องมหาเวสสันดรชาดกมดี ังน้ี

๑. กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชโิ นรส กัณฑ์ทศพร ๑๙ พระคาถา คาถาพันทสวรคาถา
๒. กรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส กณั ฑห์ มิ พาน ๑๓๔ พระคาถา คาถาพนั หมิ วนต
๓. ความสานักวัดถนน กัณฑท์ านกณั ฑ์ ๒๐๙ พระคาถา คาถาพนั ทานกณฑ
๔. กรมสมเดจ็ พระปรมานุชติ ชิโนรส/กัณฑ์วนปเวสน์ ๕๗ พระคาถา คาถาพนั วนปเวสน
พระบาทสมเดจ็ พระมปรเมนทรมหามงกุฎ
พระจอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั
๕. ความพระเทพมุนี (ดว้ ง)วดั สงั ข์กระจาย กัณฑ์ชชู ก ๗๙ พระคาถา คาถาพนั ชูชกปพพ
๖. สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส กัณฑจ์ ุลพน ๓๘ พระคาถา
คาถาพนั จฬู วนวณณนา
๗. ความพระเทพโมฬี (โมลี)(กล่นิ ) กณั ฑ์มหาพน ๘๐ พระคาถา คาถาพันมหาวนวณณนา
๘. ความเจ้าพระยาพระคลัง (หน) กัณฑก์ ุมาร ๑๐๑ พระคาถา คาถาพนั ทารกปพพ
๙. ความเจ้าพระยาพระคลัง (หน) กัณฑ์มัทรี ๙๐ พระคาถา คาถาพันมัททีปพพ
๑๐. สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กัณฑส์ กั กบรรพ ๔๓ พระคาถา คาถาพันสกกปพพ
กรมสมเดจ็ พระปรมานุชิตชิโนรส/
พระบาทสมเดจ็ พระมปรเมนทรมหามงกฎุ
พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว
๑๑. สมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ิตชิโนรส กัณฑม์ หาราช ๖๙ พระคาถา
คาถาพนั มหาราชปพพ
๑๒.สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส กัณฑฉ์ กษตั ริย์ ๓๖ พระคาถา
คาถาพนั ฉกขตติยปพพ
๑๓.สมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชโิ นรส กณั ฑ์นครกณั ฑ์ ๔๘ พระคาถา
คาถาพันนครกณฑ

(ลาวัณย์ ไกรเดช, ๒๕๕๕)

ประเพณีการเทศน์มหาชาติ

พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน (๒๕๔๒: ๘๓๘) ใหค้ วามหมาย “เทศน์”วา่ การแสดงธรรมสั่ง
สอนในทางศาสนาและ “มหาชาติ” น. เรียกเวสสันดรชาดกว่า มหาชาติมี ๑๓ กัณฑ์ , การทเทศน์
เรอ่ื งมหาเวสสนั ดรชาดกเรียกวา่ เทศน์มหาชาติ

กล่าวกันว่าคนไทยนิยมฟังเทศน์มหาชาติเพราะอิทธิพลของมาลัยสูตร มีผู้เล่าประวัติการเทศน์
มหาชาติโดยกล่าวถึงพระมาลัยเถระผู้นาข่าวสารจากพระศรีอาริยเมตไตรยมาแจ้งแก่ชาวโลกว่า
พระมาลัยข้ึนไปบนสวรรค์ช้ันดุสิตน่ังสนทนาธรรมกับพระอินทร์และพระศรีอาริยเมตไตรเทพบุตร ซึ่งจะ
ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต พระโพธิสัตว์องค์นั้นได้มีเทวโองการส่ังพระมาลัยมหาเถระให้
มาบอกแก่มนุษยท์ ้งั หลายในโลกวา่ ถ้านรชนชายหญงิ ท้งั ปวงปรารถนาจะพบกบั พระศรีอริยเมตไตรยผู้จะ
บรรลุพระสัพพัญญตญาณในอนาคตกาลแล้วไซร้ ผู้น้ันจะต้องทาบุญมหาชาติ โดยนาเคร่ืองสัการะบูชา
ได้แก่ ประทีบ ธูป เทียน ธง ฉัตร สารพันดอกไม้ ดอกบัว ดอกอุบล จงกลนี ราชพฤกษ์ ให้ครบ
จานวนละพัน มาบูชพระธรรมเทศนามหาชาติ คือการฟังเทศน์เวสสันดรชาดกอันประดับด้วยพระคาถา
หนึ่งพัน พระคาถา แล้วนั่งสดับฟังให้จบในวันเวลาวันเดียว ผลานิสงส์จะทาให้ได้พบศาสนาของพระศรี
อาริยเมตไตรย (ฎีกามาลัยเทวสูตร)บ้างก็ว่า “ญาติโยมทั้งหลายหากใคร่พบพระศรีอารย์ให้บูชาธรรม
พระเวสสันดรชาดกด้วยธูปเทียนข้าวตอกดอกไม้สิ่งละพัน” การที่มีผู้ท่ีนิยมนับถือ เร่ืองพระเวสสันดรกัน
มาน้ี เพราะมีเร่ืองจากหนังสือฎีกาถวายมาลัยกล่าวไว้ว่า หากผู้ใดได้ฟังมหาชาติท้ัง ๑๓ กัณฑ์ ในวัน
เดียว และบูชาธูปเทียนดอกไม้ ๑,๐๐๐ เท่าจานวนคาถานั้นแล้ว จะได้พบศาสนาพระศรีอาริย์ และ
ศาสนาพระศรีอาริย์น้ันพรรณนาไว้อย่างวิเศษ เป็นต้นว่าผู้หญิงงดงามเสมอกันหมดจนกระท้ังลงจาก
เรือนแล้วจากันไม่ได้ แม่น้าลาคลองจะมีน้าไหลข้ึนมาข้างหน่ึง และไหลลงข้างหนึ่ง จึงทาให้เปี่ยมฝั่งอยู่
เสมอ แผ่นดินก็ไม่เป็นหลุมเป็นบ่อเรียบเป็นหน้ากองและอะไรอีกมากมาย เลยทาให้คนอยากพบศาสนา
พระสรีอารยิ ก์ นั มาก

เทศน์มหาชาติ คือ เทศนาเวสสันดรชาดก ถือเป็นงานบุญพิธีท่ีสาคัญ เป็นประเพณีที่มีคุณค่าที่
ตอ้ งสบื ทอดทนี่ ิยมจดั ใหม้ กี ันมาแต่โบราณ สว่ นมากจัดใหม้ ใี นวดั เป้นหน้าทข่ี องชาวบ้านและวัดน้ันๆ จะ
ตกลงร่วมกันจัด ปกติจัดหลังวันออกพรรษาและพ้นหน้าทอดกฐินไปแล้วจนตลอดดูหนาว ส่วนใหญ่ทาง
ภาคกลางนิยมทากันในวันขึ้น ๘ ค่าหรือวันแรม ๘ ค่า กลางเดือนสิบสอง ซ่ึงในช่วงนี้น้าเร่ิมลดและ
ข้าวปลาอาหารกาลงั อดุ มสมบรู ณ์ จึงพรอ้ มใจกนั ทาบุญทาทานและเลน่ สนกุ สนานรา่ เรงิ

ทางภาคเหนือนิยมจัดเทศน์ในเดือนยี่ นอกจากจะเป็นประเพณีลอยกระทงแล้ว ยังมีประเพณี
“ต้ังธัมม์หลวง”หมายถึงการฟังพระธรรมเทศน์เร่ืองใหญ่หรือเรื่องสาคัญ เพราะธรรมหลวงที่ใช้เทศน์
มักจะเป้นเวสสันดรชาก อันเป็นพระชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ก่อนจะได้มาประสูติแล้วตรัสรู้เป็น
พระพทุ ธเจ้าในชาตติ อ่ มา มีทง้ั หมด ๑๓ กัณฑ์ คาว่า “ตง้ั ” แปลวา่ เร่มิ ตน้ การตั้งธรรมหลวง ก็อาจจะ
แปลว่าการสดับพระธรรมเทศนาจากคัมภีร์ท่ีจารข้ึนใหม่เป็นคร้ังแรกด้วยประเพณีนี้ตรงกับงานประเพณี
ฟังเทศน์มหาชาติของภาคกลาง การตั้งธรรมหลวงนี้ จะจัดขึ้นในเดือนเพ็ญท่ีเรียกว่าเดือนย่ีเพง คือวัน
เพ็ญเดอื นสบิ สอง

จะมีการเตรียมงานมากมาย นับต้ังแต่การเตรียมคัมภีร์ท่ีใช้เทศน์ เตรียมองค์ธรรมกถึกหรือ
พระนกั เทศน์ การเตรียมผูร้ บั ผดิ ชอบกณั ฑ์เทศนห์ รือเจ้าของกณั ฑ์ การจัดเตรียมสถานที่ที่ใชใ้ นการเทศน์
และการเตรียมตัวของผู้ทจี่ ะมาเทศน์ ถอื เป็นพธิ ใี หญ่คู่กบั งานทางสลากภัตต์ ดงั นั้นจงึ มคี ตนิ ิยมว่า ในวดั
หนึ่งนั้นปีใดที่จัดงานทานสลากภัตต์ก็จะไม่จัดงานตั้งธรรมหลวง และปีใดที่จัดงานต้ังธรรมหลวงก็จะไม่
จัดงานทานสลากภัตต์นอกจากเทศน์มหาชาติหรือเวสสันดรชาดกแล้ว ธรรมหรือคัมภีร์ที่นามาเทศน์ใน
งานตั้งธรรมหลวงนี้ อาจเป็นคัมภีร์ขนาดยาวเรื่องใดเร่ืองหน่ึงซ่ึงทางวัดและคณะศรัทธาจะช่วยกัน
พิจารณา โดยอาจเป็นเร่ืองในหมวด ทศชาติชาดก ปัญญาสชาดก หรือชาดกนอกนิบาตเรื่องอ่ืน
แต่ท่ีนิยมกันมากคือมหาชาติหรือเวสสันดรชาดก ซึ่งมีความเชื่อว่าหากได้ฟังเทศน์มหาชาติครบ
๑๓ กัณฑ์ จะไดไ้ ปเกิดในแผ่นดินยุคพระศรีอาริยเมตไตรยในอนาคตเช่นกนั ซึง่ หากเปน็ ธรรมท่ีมิใช่เร่ือง
มหาชาติแล้วก็มักจะฟังไม่เกิน ๓ วัน แต่หากเป็นเวสสันดรชาดกหรือมหาชาติแล้วอาจมีการฟังเทศน์
ต่อเน่ืองกันไปถึง ๗ วัน โดยแบ่งการเทศน์เป็นวันแรกเทศน์ธรรมวัตร วันท่ีสองเทศน์คาถาพัน ก่อนที่
จะเทศน์มหาชาตกิ ็เทศน์เร่อื งอน่ื ไปเรอ่ื ยๆ พอถึงวันสุดท้ายกจ็ ะเทศนด์ ้วยคัมภรี ช์ อ่ื มาลัยตน้ มาลยั ปลาย
และอานิสงส์มหาชาติ รุ่งขึ้นเวลาเช้ามือก็จะเริ่มเทศน์มหาชาติตั้งแต่กัณฑ์ทศพรเรื่อยไปจนครบท้ัง
๑๓ กัณฑ์ เจ้าของกัณฑ์จะนิมนต์พระท่ีเทศเฉพาะกัณฑ์นั้นๆมาเทศน์เรียก เทศน์กินกัณฑ์ ทานองที่ใช้
เทศน์แบบพื้นเมือเรียกตามแบบล้านนาว่า ระบา การเรียกช่ือกัณฑ์ทางภาคเหนือจะเรียนว่า ผูก ด้วย
เหตนุ ี้เทศนม์ หาชาติเป็นท่ีนิยม จึงมีนกั ปราชญ์ฉบับล้านนาแต่งธรรมเปน็ จานวนถงึ ประมาณ ๑๕๐ ฉบบั
หรือสานวน เช่นฉบับวิงวอนน้อย วิงวอนหลวง วิงวอนดอนกลาง ห่ิงแก้วมโนวอน ท่าแป้น ริมคง
สรอ้ ยสงั กร เปน็ ตน้ ส่วนฉบบั ท่ีภาษาบาลีลว้ นเรียกคาถาพนั

ในภาคอีสานนั้นนิยมทากันในเดือน ๔ ซึ่งเป็นช่วงท่ีเสร็จจากการทาบุญลานเอาข้าวยุ้ง เรียกว่า
“ประเพณีงานบุญผะเหวด (บุญเผวส) ฟังเทศน์มหาชาติ” อันเป้นประเพณีอันเก่าแก่ท่ีมีเรื่องราวเล่าขาน
และปฎบิ ตั ิสบื ทอดกนั มาแต่โบราณยังธารงไวซ้ ่ึงขนบธรรมเนียมและประเพณีอนั ดีงามของชาวอีสานอย่าง
เช่น จังหวัดร้อยเอ็ดหรือสกลนครอันย่ิงใหญ่ในอดีตได้จัดงานบุญผะเหวดให้เป็นงานประเพณีประจา
จังหวัดทุกๆปี ในการแจกกัณฑ์เทศน์ เม่ือผู้ใดรับเป็นเจ้าภาพต้องแบ่งแจกจ่ายกันไปอีก ๓-๕ คน ให้
ร่วมกันเป็นเจ้าของกัณฑ์และกัณฑ์หนึ่งๆจะมีพระเทศน์ต้ังแต่กัณฑ์ทศพรถงึ นครกัณฑไ์ ม่น้อยกว่า ๕๐ รูป
ในการจัดงานนั้นจะปลูกท่ีพักข้ึนชั่วคราวเรียกว่า “ตูบ” โดยชาวบ้านรวมกันไปทาของก่อนถึงวันงาน
เรยี กวา่ “ม้อื โอม” กอ่ นการเทศน์บุญเผวสจะตอ้ งอาราธนาพระอุปคุตมาประดษิ ฐ์ทีห่ อเพือ่ มาปกปอ้ งหรือ
คุ้มครองงาน ช่วงเย็นเป็นพิธีเชิญพระเวสสันดรเข้าเมือง ในพิธีน้ีมักนาผ้าพระเวส (ผ้าท่ีวาดรูปเรื่อง
มหาชาติต้ังแต่ต้นจนจบ) ร่วมขบวนแห่ด้วย แล้วเทศน์มาลัยหมื่น มาลัยแสน วันท่ีสองประมาณตีห้า
ชาวบ้านจะนาข้าวเหนียวนึ่งปั้นเป็นก้อนเล็กๆ แห่รอบหมู่บ้าน เรียกว่าแห่ข้าวพันกองเพ่ือบูชาคาถาพัน
จากนัน้ เปน็ การเทศน์สังกาด (คือการบอกวนั ดอื น ปี) แลว้ เรมิ่ เทศน์มหาชาติ ระหว่างเทศนม์ หาชาติจะ
มีการจดุ ธูป เทียน บูชากัณฑ์ ตลอดเวลา เมือ่ พระเทศนจ์ บกณั ฑ์หนึง่ ๆ กม็ ีการหว่านขา้ วตอกดอกไม้และ
ข้าวสาร ช่วงบ่ายจะมีการแห่กัณฑ์หลอนมาถวายพระรูปใดรูปหน่ึงซ่ึงกาลังเทศน์อยู่ในขณะนั้น จบ
การเทศนม์ หาชาตแิ ล้วมกี ารฉลองเป็นการกล่วงถงึ ผลานิสงส์ทีไ่ ด้รับ

ประเพณีเทศน์มหาชาติในภาคใต้เรียกว่า “ฟังธรรมมหาชาติ” โดยทางวัดจะบอกบุญกับ
ประชาชนผู้ซึ่งเคยทาบุญท่ีวัดนั้นๆ และใช้วิธีจับสลากว่าใครจะได้กัณฑ์ไหน หรือแจกฎีกาไปตามหมู่บ้าน
ต่างๆ นิยมทาหลังจากเสร็จการทานาแล้วคือในเดือน ๖ ขึ้น ๑๕ ค่า วันแรกมีการเทศน์อานิสงส์ต่างๆ
รวมท้ังเรื่องพระมาลัย วันทีส่ องเทศน์สหัสคาถาพันเป็นทานองปักใต้ นยิ มใหเ้ จ้าอาวาสเปน็ ผู้เทศน์ การ
เทศน์นิยมใช้ภาษาถิ่น เครื่องสักการะใช้ดอกบัว ๑,๐๐๐ ดอก และเทียน ๑,๐๐๐ เล่ม จุดบูชาในตอน
เทศนค์ าถาพนั

ในภาคกลาง แตเ่ ดมิ นยิ มทาหลงั จากออกพรรษาแล้ว คือระหว่างเดือน ๑๒ ถึงเดือน ๔ แตบ่ าง
ท้องถ่ินอาจจะนิยมทากันในเดือน ๕ ต่อเดือน ๖ ก็มีปัจจุบันน้ีการจัดงานเทศน์มหาชาติข้ึนอยู่กับความ
สะดวกลีได้ตลอดปี จะทาในกาลพิเศษ จะทาในเดือนไหนก็ได้ไม่จากัดฤดูกาลเช่นแต่ก่อน โดยมากเพ่ือ
เปน็ การหาเงินเขา้ วดั บางแหง่ นยิ มทาในเดอื น ๑๐ และบางแหง่ จดั วันออกพรรษา ขน้ึ ๑๕ ค่าเดือน ๑๑

การเทศน์มหาชาติแต่เดมิ จัด ๓ วนั คอื สวดคาถาภาษาบาลีล้วนๆ ๑ วัน เทศนม์ หาชาติ ๑ วัน
และมเี ทศนอ์ ริยสจั อีก ๑วนั รวมเป็น ๓ วัน ปจั จบุ นั มีการตัดทองระยะเวลาในการเทศนเ์ ชน่ ทาในวันเดียว
โดยมีพระเทศน์ ๒ หรือ ๓ ธรรมาสน์ ใช้เวลาประมาณ ๓ ช่ัวโมง เรียกว่า “การเทศน์แบบประยุกต์”
ใช้วิธีเทศน์เล็กน้อย เน้นที่การแหล่ การเล่าเรื่อง นอกจากนี้ก็มี “การเทศน์ทรงเคร่ือง”คือมีการแสดง
ประกอบดว้ ย

(ลาวณั ย์ ไกรเดช,๒๕๕๑)



กณั ฑท์ ี่ ๑ ทศพร

กณั ฑท์ ่ี ๑ ทศพร

เน้อื เร่ือง
เมื่อคร้ังอดีตกาลที่ล่วงมา นครสีพีรัฐบุรีน้ันมีพระราชาพระนามสีพีราช ทรงครองเมืองโดย

ทศพิธราชธรรม พระราชาทรงยกบัลลังก์ให้พระโอรสข้นึ เสวยราชย์แทน เมื่อเจริญวัยสมควรแล้ว พระ
ราชโอรสมีพระนามว่า “สัญชัย” และได้อภิเษกกับพระนางผุสดี พระธิดาแห่งราชากรุงมัททราช พร
จากภพสวรรค์ แต่ปางก่อนนัน้ ผุสดีเทวีเสวยชาตเิ ป็นอัครมเหสีของพระอินทร์ เมื่อจะสิ้นพระชนมายุจงึ ขอ
ทศพรจากพระอินทร์ได้ ๑๐ ข้อ ทั้งยังเคยโปรยผงจนั ทร์แดงถวายพระวปิ ัสสีพทุ ธเจ้า และอธิษฐานใหไ้ ด้
เกดิ เปน็ มารดาพระพทุ ธเจ้าดว้ ย พร ๑๐ ขอ้ น้ันมดี ังน้ี

๑. ขอให้เกิดในกรุงมัททราช แคว้นสพี ี
๒. ขอให้มีดวงเนตรคมงามและดาขลับด่งั ลกู เนอ้ื ทราย
๓. ขอใหค้ ิ้วคมขาดั่งสร้อยคอนกยงู
๔. ขอใหไ้ ด้นาม “ผุสด”ี ดงั ภพเดมิ
๕. ขอให้มพี ระโอรสเกริกเกยี รติทสี่ ุดในชมพูทวปี
๖. ขอใหพ้ ระครรภ์งาม ไม่ปอ่ งนนู ดง่ั สตรสี ามญั
๗. ขอให้พระถนั เปลง่ ปล่ังงดงามไมย่ านคลอ้ ยลง
๘. ขอให้เส้นพระเกศาดาขลบั ตลอดชาติ
๙. ขอใหผ้ วิ พรรณละเอียดบริสุทธ์ิดจุ ทองคาธรรมชาติ
๑๐. ขอใหไ้ ด้ปลดปลอ่ ยนกั โทษท่ีต้องอาญาประหารได้

อานสิ งส์

ผ้ใู ด บชู ากณั ฑท์ ศพร ผนู้ น้ั จะไดร้ บั ทรัพย์สมบตั ิดังปรารถนา ถา้ เปน็ สตรีจะได้สามเี ป็นที่ชอบเน้ือ
เจริญใจ บุรุษจะได้ภรรยาเป็นทต่ี ้องประสงคอ์ กี เช่นเดียวกัน จะไดบ้ ุตรหญิงชายเป็นคนว่านอนสอนง่ายมี
รูปกายงดงาม มคี วามประพฤติดกี ิรยิ าเรยี บร้อยทกุ ประการฯ

ขอ้ คดิ ประจากัณฑ์

การทาบุญจักให้สาเร็จสมประสงค์ต้องอธิษฐานจิต ตั้งเป้าหมายชีวิตที่ตนปรารถนาไว้ ความ
ปรารถนาท่จี ะสาเรจ็ สมดงั ต้ังใจ ผู้น้นั ตอ้ งมศี ลี บรบิ ูรณ์ กล่าวคือ

๑. ตอ้ งกระทาความดี
๒. ตอ้ งรกั ษาความดนี ้นั ไว้
๓. หมนั่ เพิ่มพูนความดใี ห้มากย่ิงขึ้น

กณั ฑท์ ่ี ๒ หมิ พานต์

กกัณณั ฑฑ์ทท์ ่ี่ี ๒๒ กหัณิมพฑา์หนมิ ตพ์ านต์

เนอ้ื เรคือ่ วงามยอ่

เกมล่ือ่าเวกถิดึงเปป็นฏิสอนัครธชิพารยะานาขงองไพปรจะนรถาึงชพารแาคหว้นมสณีพ์เมีรฐัือสงมกลดิง่ังคคราัพฐร๘ะอินคทนร์นม้ันาทพูลขรอะนพาญงายชัง้ามงีพปรัจะจสัยริ นิโฉามค
งจดากงาพมรตะเาวมสคสาันพดรรอพีกรดะ้วเวยสสคันร้ังดเรมพื่อรทะรรงาพชรทะาคนรใรหภ้ ์คทราบให้ช๑า๐วเเมดือืองนแคพ้นรเคะอือินงใทจรพ์กา็ทกูลันอเดารินาขธบนวานพปรระะโทพ้วธงิสทัตูลว์
มพารจะรุตาิใชนบคิดรารใภห์พเ้ นรระเนทาศงพรปะรเวะสสสูตันิพดรระไกปุมอายรเู่ ขาววันงหกนตึ่งหพรรือะปนราะงหผาุสรดด้วีทยรทงอ่ทนูลจขนั อทพนร์ะราชาประพาสพระนคร
เมื่อขึ้นสเีวนกิ ือ้ าเเรส่อื ลงย่ี งทองเสด็จสัญจร ไปถึงตรอกทางของเหล่าพ่อค้าก็เกิดปวดพระครรภ์ และทรงประสูติ
พระราชไาดโ้มอารเสกกิดลเปาง็นตอรัคอรกชนาย้ันาขพอรงะพรราะชรกาุมชาารแจคึงวไ้นดส้พีพรีระัฐนสามมดวั่ง่าคา“เพวรสะสอันินดทรร”์นใ้ันนพวรันะทนี่พางรยะรังมาชีพกรุมะสาริรทิโฉรมง
ปงดรงะาสมูตติ าพมญคาาชพ้ารงอฉีกัทดท้วัยนตค์ไดร้ัง้นเามล่ือูกทชร้างงพเรผะือคกรเขรภ้าม์คารใบนโ๑ร๐งชเ้าดงือตน้น พชร้าะงอเผินือทกรค์กู่เ็ทผูลืออกาครู่บาธานรมาพีนร้ันะมโีพนธาิสมัตว่วา์
“มปาัจจจุตัยใิ นนคารเครภน์พทรระ์”นาพงรปะรระาสชตู กิพุมราะรกเุมวาสรสวันนั ดหรน่ึงทพรรงะบนราิงจผาุสคดทีทารนงตท้ังูลแขตอ่ พระ๔รา-๕ชาประชพันาษสาพรทะนรคงปรเลมด่ือปข่ิน้ึน
ทสีวอิกงาคเาสแลลี่ยะงเทคอรงื่อเงสปดร็จะสดัญับจเงรินไทปอถงึงแตกร้วอเพกชทราใงหข้แอกง่นเหาลง่าสพนอ่ มคก้าากน็เกัลิดทป่ัวทวดุกพครนะถคึงรรภ๙์แลคะทร้ังรงปเรพะื่อสมตู ุ่งพิ หรวะังรพาชราะ
โโอพรธสิญกาลณางภตารยอภกานค้ันหนพ้าระเรมาื่อชทกรุมงาเรจจรึงิญไดช้พันรษะานไาดม้ ว่า๙ "เวปสีสันกด็ทรร" งใตน้ังวจันิตทอี่พธริษะฐราานชกว่าุมจาะรบทรริจงาปครเะลสือูตดิพเญนื้อา
แชล้างะฉดัทวงทหันทตัย์ไดเพ้นื่อามลุ่งูกพช้ารงะเโผพือธกิญเขา้าณมใานในกาโรลงขช้า้างงหตน้น้าชอ้ายง่าเผงือแกนค่วู่เแผนือ่ กคครู่บั้นาถรึงมวีนัย้ันม๑ีน๖ามพวร่ารษ"ปาัจจกัย็แนตากเฉคานนทใรน์"
ศพิลระปรวาิทชยกามุ า๑ร๘เวสแสขันนดงรทรทงรบงรไจิ ดา้ขค้ึนทคารนอตง้ังรแาตช่ ย๔์แ-ล๕ะอชภันิเษษากกทับรพงรปะลนดาปงิน่ มทัทอรงี คแาลแะลมะีเพครระอ่ื โงอปรรสะกดับบั พเงรินะทธิดอาง
พแกร้วะเนพาชมรวใ่าห้แก“่นชาางลสีกนุมมากรา”นแัลลทะ่ัวท“ุกกัณคนหถาึงกุม๙ารคี”รอั้งเันพห่ือมมาุ่งยหถวึงังหพ่วรงะทโพอธงิญบราิสณุทภธา์ิ ยเภวาลคาตห่อนม้าาเเมมือื่องทกรลงิงเจครริญัฐ
เชกันิดษกาลไียดุค้ ๙ ฝปนีกแ็ทล้งรผงิดตั้ฤงจดิตูกอาลธขิษ้าฐวายนาวก่าหจมะาบกรแิจพางคเเปล็นือทดี่ยเนาก้ือเแขล็ญะทดุกวขง์รห้อทนัยไเปพท่ือั่วมุ่งชพารวะนโคพรธมิญาาชณุมนในุมกร้อาลง
ทข้าุกงขห์หนน้า้าอวยัง่ากงันแแนน่ว่นแนขน่คัดรั้นพถึงรวะัยเจ้า๑ก๖ลิงพครรราษชจาึงกท็แตรงกถฉือานศีใลนศ๗ิลปวันวิทยเพา่ือข๑อ๘บุญแขกนุศงลชท่วรยงไดท้ขว้ึน่าคฝรนอฟง้ารกาช็ยยัง์
แแลลง้ะอหภนเิักษกอกาบั มพารตะยน์จาึงงทมูลัทใหร้ทแี ลระงมขพีอชร้าะงโอเผรือสกกแับกพ้วรปะัจธจดิ ัยานพารเะคนนาทมรว์ข่าอง“พชราะลเีกวุมสาสรนั ”ดรและดว้“กยัณวา่ หพารกะุมเวาสรสี”นั อดันร
กหษมัตายรถิยงึ์สหีพว่ีรงัฐทนอ้ันงขบ่ีชร้าิสงทุ คธู่บ์เิ วาลรมาตีไป่อหมานเใมดอื งกก็มลีฝิงนคโรปัฐรเกยิดปกรลาียยคุ ชฝุ่มนชแ้ืนลไง้ปผทดิ ั่วฤแดคูกวา้นลข้าพวรยะาเกจห้ากมลาิงกคแรพางชเปจ็นึงสท่ง่ียา๘ก
พเขร็ญาทหกุมขณ์ร์ไ้อปนทไูลปขทอั่วชช้าางวแนกค้วรจมาากชพมุ รนะุมเวรสอ้ สงัทนุกดขร์หเนม้า่ือวไังดก้ชัน้าแงนแ่นก้ขวจนาัดกพพรระะเเวจส้าสกันลิงดครรแาลช้วจึงทพรรงาถหอื มศณีล์ก๗็ขี่ชว้าันง
อเพอ่ือกขจอาบกุญกรกุงุศลบชร่วรยดาทชวา่าวนฝนคฟรเ้าหก็น็ยชัง้าแงลพ้งรหะนรักาชอาากม็การตูกยัน์จเึงขท้าูลลใ้อหม้ทรแงลขะอตชะ้าโกงเนผดือ่ากทแอกจ้วะปทัจาจรัย้านยาพเรคานหทมรณ์ข์ทอ้ังง
๘พรคะเนวสแสตัน่พดรราดห้วมยณว่า์ตพวราะดเตวอสบสวัน่าดรพกรษะัตเวรสิยส์สันีพดีรรัฐพนรั้นะรขา่ีชช้าทงคานู่บชา้ารงมใีไหปพ้ หวนกใตดนกแ็มลีฝว้ นโปรเมย่ือปพรราายหชมุ่มณชื้น์นไาปชท้าง่ัว
แแกค้ววไ้นปพถรงึ ะเมเจือ้างกลฝิงนคฟร้าากช็โจปึงรสย่งปร๘ายพลรงมาหาเมปณ็น์ทไปี่ยทินูลดขีทอั้งชแ้าคงวแ้นก้วจาแกตพ่ในรกะเรวุงสสสีพันีนด้ันรกเมล่ืับอไอดล้ชห้ามง่าแนก้วจมาหกาพชรนะ
ตเวา่ สงสมันาดชรมุ แนลุม้วทพ่ีหรนาห้าพมรณะ์กล็ขา่ีชน้ารง้อองอทกกุ จขา์พกรกะรเจงุ า้ กบรรุงรสดัญาชชาัยววน่าครพเหรน็ ะเชว้าสงสพนั รดะรรยาชกาพกร็กะรยูกาคันชเขส้าาลร้อคมูบ่ แ้าลนะเมตะือโงกในห้
คดน่าทออน่ื จะผทิดารรา้าชยปพรระาเพหณมณี เ์ทก้ัรงงว๘่าอคีกนตแ่อตไ่พปรภาาหยหมนณ้า์ตอวาาจดยตกอเมบือวง่าใพหร้คะนเวอส่ืนสกัน็ไดดร้ พขรอะใรหา้เนชทรเาทนศชพ้ารงะใเหว้พสสวกนั ตดนร
อแลอ้วกจเามก่ือนพครราเหถมิดณน์ าช้างแก้วไปถงึ เมืองฝนฟา้ กโ็ ปรยปรายลงมาเป็นท่ยี นิ ดีท้ังแควน้ แตใ่ นกรุงสพี นี ้ันกลับ
อลหม่านมหาชนต่างมาชมุ นุมทีห่ น้าพระลานร้องทุกข์พระเจ้ากรงุ สัญชยั ว่าพระเวสสันดรยกพระยาคชสาร
คู่บ้านเมืองให้คนอ่ืน ผิดราชประเพณีเกรงว่าอีกต่อไปภายหน้าอาจยกเมืองให้คนอ่ืนก็ได้ขอให้เนรเทศ
พระเวสสันดรออกจากนครเถดิ

กัณฑ์ท่ี ๒ หมิ พานต์

อานิสงส์

ผู้ใดบูชากัณฑ์หิมพานต์ย่อมได้สิ่งปรารถนาทุกประการ ครั้นตายแล้วได้ไปบังเกิดในสุคติโลก
สวรรค์ เสวยสมบัติอันมโหฬาร มีบริวารแวดล้อมบารุงบาเรออยู่เป็นนิตย์ จุติจากสวรรค์แล้วจะลงมา
เกิดในตระกูลขัตติยะมหาศาล หรือตระกูลพราหมณ์มหาศาล อันบริบูรณ์ด้วยทรัพย์ศฤงคาร บริวาร
มากมายนานาประการ เช่น โค กระบือ ช้าง ม้า รถ ยานพาหนะจะนับจะประมาณมิได้ ประกอบด้วย
สขุ กายสบายใจทกุ อริ ิยาบถฯ

ข้อคดิ ประจากณั ฑ์

๑. คนดีเกิดมานาพาโลกใหร้ ่มเยน็
๒. โลกต้องการผู้เสียสละ มฉิ ะน้ันหายนะจะบงั เกดิ
๓. การทาดียอ่ มมีอุปสรรค “มารไม่มบี ารมไี ม่มา มารยงิ่ มาบารมียิ่งแกก่ ลา้ ”
๔. จุดหมายแห่งการเสียสละ อย่ทู ่ีพระโพธิญาณมหิ วั่นไหวแม้จะได้รบั ทกุ ข์

กณั ฑท์ ่ี ๓ ทานกณั ฑ์

กัณฑ์ท่ี ๓ ทานกณั ฑ์

เนอื้ เรือ่ ง

พระเจา้ กรุงสัญชยั จาต้องเนรเทศพระราชโอรสด้วยเสียพระทยั นกั พระนางผสุ ดีทลู ขออภยั โทษก็
มิเป็นผลสาเร็จ พระเวสสันดรทูลลาพระมารดาพระบิดา และขอบริจาคทานให้พิธีสัตตสตกมหาทาน
คอื ช้าง ม้า โคนม รถม้า ทาสและทาสี อย่างละ ๗๐๐ บริจาคให้คนท่ัวไป สัตตสตกมหาทาน
น้ัน คอื ชา้ ง ๗๐๐ เชือก ม้า ๗๐๐ ตัว โคนม ๗๐๐ ตัว รถม้า ๗๐๐ คัน นารี ๗๐๐ นาง ทาส
๗๐๐ คน ทาสี ๗๐๐ คน ผ้าอาภรณ์ ๗๐๐ ชิ้น เสด็จออกจากนคร พระนางมัทรีพาพระโอรสและ
พระธิดาตามเสด็จออกป่าดว้ ย มทิ รงยอมอยู่ในวงั แม้พระเวสสนั ดรจะยับย้งั ห้ามปราม มใิ หม้ าตกระกา
ลาบากด้วยกันในป่า ระหว่างทางท่ีเสด็จขึ้นราชรถทองไปนั้น มีพราหมณ์วิ่งมาทูลขอม้าบ้าง ขอราชรถ
บา้ ง พระเวสสันดรก็ยกใหท้ ั้งสนิ้ ในทีส่ ดุ จงึ ตอ้ งทรงอ้มุ พระโอรสและพระธิดาเสด็จเขา้ ปา่ ไป

อานิสงส์

ผู้ใดบูชากัณฑ์ทานกัณฑ์ จะบริบูรณ์ด้วยแก้วแหวนเงินทอง ทาส ทาสี และสัตว์สองเท้าสี่เท้า
ครั้นตายแล้วจะได้ไปเกิดในฉกามาพจรสวรรค์ มีนางเทพอัปสรแวดล้อมมากมาย เสวยสขุ อยู่ในปราสาท
สร้างดว้ ยแกว้ ๗ ประการ

ขอ้ คดิ ประจากัณฑ์

๑. ความรักของแม่ ความห่วงของเมีย
๒. โทษทัณฑ์ของการเป็นหม้าย คือ ถูกประณามหยามหมิ่นอาจถึงจบชีวิตด้วยการก่อกองไฟให้
รุง่ โรจนแ์ ล้วโดดฆา่ ตัวตาย
๓. เพ่ือประโยชนส์ ขุ ของส่วนรวม พงึ ยอมเสยี สละประโยชนส์ ุขส่วนตัว
๔. ยามบญุ มีเขาก็ยก ยามตกตา่ เขาก็หยาม ชวี ติ มีท้งั ช่นื บานและข่นื ขม

กณั ฑ์ท่ี ๔ วนประเวศน์

กัณฑท์ ี่ ๔ วนประเวศน์

เนื้อเรอื่ ง

เมื่อเสด็จด้วยพระบาทถึงเมืองเจตรัฐ พระราชาเสด็จมาต้อนรับและทูลเชิญให้ครองเมืองเจตรัฐ
นั้น แต่พระเวสสันดรขอไปบาเพ็ญเพียรในป่า กษัตริย์เจตรัฐจึงรับสั่งให้เจตบุตรคอยอารักขาในป่า และ
ถวายน้าผึ้งและเน้ือให้พระเวสสันดรด้วย เม่ือพระเวสสันดรเดินทางมาถึงเขาวงกต พระนางมทั รีและชาลี
กุมาร กัณหากุมารีต่างก็เหน็ดเหน่ือยสะอื้นไห้ด้วยความลาบากยากเข็ญ พระเวสสันดรจึงทรงเปลี่ยน
เคร่ืองทรงเป็นนุ่งห่มของนักบวช พระนางมัทรีก็ทรงบวชเป็นดาบสินี บาเพ็ญศีลกันในป่าอยู่ท่ีอาศรม
พระนางมัทรีต้องปัดกวาดอาศรมทุกวันแล้วก็หาผลไม้ในป่า ตักน้ามาเตรียมไว้ ในป่านั้นอุดมด้วยผลไม้
นานาชาติ มีสระโบกขรณีน้าสะอาดใสไหลเย็น มีพฤกษาร่มรื่นและมีดอกไม้หอมหวนทั่วท้ังป่าราวกับ
วิมานทพิ ย์

อานิสงส์

ผู้ใดบูชากัณฑ์เทศน์วนประเวศน์จะได้รับความสุขท้ังโลกน้ีและโลกหน้า จะได้เป็นบรมกษัตริย์ใน
ชมพทู วปี เปน็ ผทู้ รงปรีชา เฉลียวฉลาด สามารถปราบอริราชศตั รใู ห้ย่อยยบั ไปฯ

ขอ้ คิดประจากัณฑ์

๑. ยามเห็นใจ ยามจน ยามเจ็บ ยามจากเป็นยามท่ีควรจะได้รบั ความเหลียวแล
๒. ผลดีของมิตรแท้ คือ ไม่ทอดทิ้งในยามเพื่อนทุกข์ ช่วยอุ้มชูยามเพ่ือนอ่อนล้า ช่วยฉุดดึงยาม
เพ่อื นตกตา่
๓. น้าใจของคนดี หากรู้ชัดว่าปกติสุขของคนส่วนมากจะต้ังอยู่ได้ เพราะการเสียสละของตน
กส็ มคั รสลดั โอกาสและโชคลาภอนั จะพงึ ได้ ดว้ ยความช่นื ชม

กณั ฑท์ ี่ ๕ ชชู ก

กัณฑท์ ่ี ๕ ชชู ก

เนอ้ื เร่ือง

ชูชก ขอทานเฒ่า อีกด้านหน่ึงน้ัน พราหมณ์นาม “ชูชก” ได้เท่ียวขอทานเก็บเงินได้ถึง ๑๐๐
กษาปณ์ จึงนาเงินไปฝากเพ่ือนไว้พลางคุยอวดเศรษฐี อย่างปีตินัก จากน้ันก็ออกเดินทางตระเวนขอ
เงินสืบไป ส่วนพราหมณ์ผวั เมียเก็บเงินไว้นานแล้ว เห็นว่าชชู กไม่มาเอาสักที คิดว่าชูชกคงจะตายไปแล้ว
จึงชวนกันนาเงินน้ันออกมาใช้จ่ายเสียจนหมดทั้งส้ิน คร้ันชูชกหวนกลับมาทวงเอาเงิน สองผัวเมียก็
ตกใจงนั งกมริ จู้ ะทาประการใด ด้วยความที่กลวั ชชู กจะเอาความ จึงตกลงจะยกนางอมติ ตดาลูกสาวให้แก่
ชูชกแทนเงินท่ีใช้หมดไป นางอมิตตดามีรูปงามและวัยสาว ส่วนชูชกนั้นเฒ่าชราและมีรูปลักษณ์อุบาทว์
อปั ลักษณ์ย่ิงนัก เม่ือชูชกพานางอมิตตดาไปอยู่กินด้วยกันทห่ี มู่บ้านทุนวิฐ พวกเมียพราหมณ์บ้านอื่นต่าง
พากันริษยาอิจฉานางอมิตตดา พราหมณ์ท้ังหมู่บ้านก็ชื่นชมนางอมิตตดาจนมาทุบตีเมียตนกันทกุ วนั ด้วย
เพราะนางอมติ ดานั้นเปน็ บุตรกตญั ญู เมอ่ื มาอยู่กบั ชูชกกป็ รนนิบตั ริ ับใช้ทุกประการ

อานิสงส์

ผู้ใดบูชากัณฑ์ชูชก จะเป็นผทู้ ่ีมีทรัพย์สินมาก และเป็นผ้ทู ี่เปน็ ท่ีรักของคนในชุมชน มอี าชีพหนา้ ที่
การงานสมบูรณ์ และสจุ รติ

ขอ้ คิดประจากัณฑ์

๑. รกั ษาทรพั ยท์ มี่ ีคนมาฝากไว้ ไมค่ วรท่ีจะนามาใช้จา่ ย เพราะทรพั ยม์ เี จ้าของ
๒. ทุกคนตอ้ งมคี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ สิ่งทต่ี นทา ไม่โยนทุกข์ หรอื ความผดิ ใสค่ นอ่นื
๓. หน้าทีข่ องภรรยาต้องรบั ผดิ ชอบต่อหน้าทข่ี องตนตอ่ สามี
๔. การอยรู่ ว่ มกันในสงั คมต้องอยรู่ ว่ มกันดว้ ยความรกั และสามัคคี
๕. สามหี รือผูเ้ ป็นหัวหน้าครอบครวั ตอ้ งรู้จัก เอาใจซ่งึ กันและกนั ในครอบครวั

กณั ฑท์ ี่ ๖ จลุ พน

กณั ฑ์ท่ี ๖ จลุ พน

เน้ือเรอ่ื ง

พรานเจตบตุ รผู้มรี ูปร่างกายาไว้หนวดแดงหน้าตาถมึงทึง ก็ถือหนา้ ไม้อาบยาพิษมาหาชูชกหมาย
จะฆ่าให้ตาย ตามคาสั่งกษัตริย์เจตรัฐ เฒ่าชูชกเจ้าเล่ห์คิดอุบายเอาตัวรอดจึงตัวสั่นงันงกรีบร้องว่า
ตนเองเป็นราชทูตของพระราชา มาทูลเชญิ เสด็จพระเวสสันดรกลับวัง เพราะพระราชาทรงอภัยโทษแล้ว
พรานเจตบตุ รได้ยินก็ดีใจจงึ เชอ่ื คาเท็จน้นั จงึ จดั เสบยี งเพม่ิ ใหช้ ชู กและช้ีทางใหอ้ ีกด้วย

อานสิ งส์

ผ้ใู ดบูชากณั ฑ์จุลพน แม้จะบังเกิดในปรภพใด ๆ จะเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสมบตั ิบริวาร จะมีอุทยาน
อันดารดาษด้วยดอกไม้หอมตลบไป แล้วจะมีสระโบกขรณีอันเต็มไปด้วยปทุมชาติ ครั้นตายไปแล้วก็ได้
เสวยทิพยสมบัติในโลกหน้าสืบไป

ข้อคดิ ประจากัณฑ์

๑. มีอานาจหากขาดปญั ญาย่อมถกู หลอกได้ง่าย
๒. คนโงย่ อ่ มเป็นเหย่ือของคนฉลาด
๓. ไว้ใจทาง วางใจคน จะจนใจตวั

กณั ฑท์ ี่ ๗ มหาพน

กัณฑ์ท่ี ๗ มหาพน

เนื้อเรอื่ ง

เฒ่าชูชกเดินทางไปกลางป่า พบฤาษีอัตจุตก็เล่าความเท็จอีก ฤาษีจึงยอมชี้ทางไปอาศรมของ
พระเวสสนั ดร เมอ่ื ไปถึงเป็นเวลาพลบค่า เฒ่าชูชกก็ซ่อนตัวบนชะง่อนเขาด้วยคิดวา่ ต้องรอรงุ่ เชา้ ให้พระ
นางมัทรีออกไปหาผลไม้ เพราะนางคงไมย่ อมยกลกู ให้ใครแน่

อานิสงส์

ผู้ใดบูชากัณฑ์มหาพน จะได้เสวยสมบัติในดาวดึงส์เทวโลกนั้น แล้วจะได้ลงมาเกิดเป็นกษัตริย์
มหาศาล มีทรัพย์ศฤงคารบริวารมาก มีอุทยานและสนระโบกขรณีเป็นที่ประพาส เป็นผู้บริบูรณ์ด้วย
ศกั ดานุภาพเฟือ่ งฟ้งุ ไปทั่วชมพทู วีป อีกทง้ั จักได้เสวยอาหารทพิ ย์เปน็ นิจนริ นั ดร

ข้อคดิ ประจากณั ฑ์

๑. ฉลาดแตข่ าดเฉลียว มปี ญั ญาแต่ขาดสติก็เสียทีพลาดทา่ ได้
๒. สงสารฉิบหาย เชือ่ ง่ายเปน็ ทุกข์
๓. คบคนใหด้ หู น้า ซ้อื ผ้าใหด้ ูเน้อื ซ้อื เสอื่ ใหด้ ลู าย

กณั ฑท์ ี่ ๘ กมุ าร

กัณฑ์ท่ี ๘ กุมาร

เน้ือเรือ่ ง

เคราะห์ร้ายมาถึง และในคืนน้ันเอง พระนางมัทรที รงสุบินร้ายว่า มีบุรุษผิวดาร่างสูงใหญ่นุ่งผ้า
ยอ้ มฝาด สองหูทัดดอกไมแ้ ดง มือถือดาบใหญ่ ตรงเขา้ จิกพระเกศาแล้วแทงดาบใส่ดวงพระเนตร ควัก
ดวงตาออกไปทงั้ สองข้าง จากน้ันกรีดพระอุระควักเอาพระทัยไปท้งั ดวง พระนางร้องลนั่ สะดุง้ ตื่นบรรทม
พระวรกายสั่นสะท้าย รีบไปหาพระเวสสันดรเพ่ือจะใหท้ านายฝัน แต่เม่ือเข้าไปในอาศรมพระเวสสันดรก็
ตรงตรัสว่า “น้องหญิงจงเล่าความอยู่ที่ข้างนอกเถิด” พระนางมัทรีทรงทูลเล่าพระสุบินน้ันพระทัยส่ัน
พระเวสสันดรทรงทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นในรุ่งเช้า แต่ทรงตรัสแก่พระนางว่าเป็นความตรากตราลาบาก
จึงทาให้เกิดธาตุวิปริตดังนี้ เม่ือรุ่งเช้าพระนางมัทรีมีลางสังหรณ์ไม่อยากเสด็จเข้าป่า จึงตรัสสั่ง
พระโอรสและธิดาให้อยู่ใกล้ ๆ เสด็จพ่อ ครั้นพระนางมัทรีไปแล้ว เฒ่าชูชกจงึ รีบเข้าไปยังบริเวณอาศรม
ทันที เม่ือพระกุมารชาลีเข้าไปถามต้อนรับ ชูชกสังเกตรู้ว่าพระกุมารเป็นเด็กฉลาด จึงทรงร้องตวาด
ไล่ไปด้วยหวงั จะข่มให้กลวั แล้วหนีไป แล้วเฒ่าชชู กกเ็ ขา้ เฝา้ พระเวสสนั ดรพยายามอ้างถงึ ความลาบากยาก
เข็ญนานาประการ ในการเดินทางฝ่าอันตรายมาถึงป่านี้ ก็เพ่ือขอปิยบุตรไปช่วยงานที่บ้าน เน่ืองจาก
ตนจนยากไมม่ ีเงินซ้ือทาสได้ พระเวสสันดรทรงตรัสอนุญาต ชาลีกุมารแอบได้ยินจึงพาน้องสาวไปซอ่ นท่ี
ใต้ใบบัวข้างสระน้า เฒ่าชูชกเห็นเด็กท้ังสองหายไป ก็แกล้งติเตียนตัดพ้อพระเวสสันดรด้วยคาบริภาษว่า
“ไหนล่ะท่ีพระองค์บริจาคทาน ปากยกให้แต่ไหนละเด็กร้ายทั้งสองคงจะคิดหนีไปแล้ว พระองค์มิได้มีจิต
บริจาคทานตามท่ีล่ันสัจจะไว้เลย” เมื่อสดับดังนนั้ พระเวสสันดรจึงทรงเสด็จออกตามหาทั่วบริเวณ ชาลี
ราชกมุ ารมิอยากให้พระราชบิดาออกรอ้ งเรียกนานไป จึงจงู นอ้ งออกมา พระเวสสันดรขอให้กัณหา ชาลี
ติดตามเฒ่าชูชกไปเถิด แต่ให้รอล่าลาพระนางมทั รีกอ่ น เฒ่าชูชกไม่ยอมฟงั รีบหาเชอื กเถาวัลย์มาผูกมัด
พระโอรสพระธิดา แล้วเอาหวายเฆี่ยนตีต่อหน้าพระเวสสันดร พลางฉุดกระชากลากไปอย่างโหดเห้ียม
กัณหา ชาลี ถกู ตรี ุนแรงก็ร่าไห้หาพระบิดาพระมารดา พระเวสสนั ดรทรงกันแสง แต่ก็ต้ังมั่นในสจั จะท่ี
พระองค์ตั้งจิตไว้ ก่อนไปนั้นชูชกว่า ถ้าจะไถ่ตัวกันหาชาลีได้ต้องให้ ทาส ทาสี ช้าง ม้า โคนม
ทองคา สิ่งละ ๑๐๐ แก่ชูชก ครั้นเม่ือเฒ่าร้ายนาตัวพระกุมารและกุมารีไปแล้ว ก็ให้เกิดอัศจรรย์ดินฟ้า
วปิ โยคครนื ครน่ั ฟ้าผ่าน่าสะพรึงกลัวไปทว่ั ป่าหมิ พานต์

กณั ฑท์ ี่ ๘ กมุ าร

อานิสงส์

ผู้ใดบูชากัณฑ์กุมาร ย่อมประสบความสาเร็จในสิ่งท่ีปรารถนา ครั้นตายไปได้เกิดใน
ฉกามาพจรสวรรค์ในสมัยพระศรีอาริยเมตไตรยมาอุบัติ ก็จะได้พบศาสนาของพระองค์จะได้ถือปฏิสนธิ
ในตระกูลกษัตริย์ ตลอดจนได้สดับฟังพระสัทธรรมเทศนาของพระองค์ แล้วบรรลุพระอรหันต์ผล
พร้อมปฏิสัมภทิ าท้งั ๔ ด้วยบญุ ราศที ไ่ี ด้อบรมไว้ฯ

ข้อคิดประจากณั ฑ์

๑. ความเป็นผู้รู้จักกาลเทศะ ไม่ผลีผลามเข้าไปขอรอจนพระมัทรีเข้าป่าจึงเข้าเฝ้า เพ่ือของสอง
กุมาร เป็นเหตุให้ชูชกประสบผลสาเร็จใจสิ่งท่ีตนปรารถนาดังภาษิตโบราณว่า “ช้า ๆ จะได้พร้าเลม่ งาม
ด่วนได้สาม ผลามมักพลิกแพลง” ช้าเป็นการนานเป็นคุณ ผู้รู้จักโอกาส มีมารยาท กล้าหาญ ใจเย็น
เป็นสาเร็จ

๒. พ่อแม่ทุกคนรักลูกเหมือนกัน แต่เป็นห่วงไม่เท่ากัน ห่วงหญิงมากกว่าห่วงชาย เพราะท่าน
เปรยี บไวว้ ่า “ลกู หญงิ เหมอื นข้าวสาร ลกู ชายเหมือนข้าวเปลือก”

๓. สติ เตสงั นิวารณัง สตเิ ป็นเคร่ืองป้องกันอันตรายท้ังปวงได้ ขันติ สาหสวารณา ขันติ
ป้องกันความหุนหันพลันแล่นได้ เป็นเหตุให้พระเวสสันดรไม่ประหารชูชกด้วยพระขรรค์ เม่ือถูกชูชก
ประนาม

๔. วิสัยหญิงน้ัน แม้จะมากอยู่ด้วยเมตตากรุณา ชอบปลดเปลื้องทุกข์แก่ผู้อื่นก็จริงอยู่ แต่เว้น
อย่างเดยี ว ทผี่ หู้ ญงิ นน้ั ไมม่ ีวันจะสละส่ิงนนั้ คอื “ลูก”

กณั ฑท์ ี่ ๙ มทั รี

กัณฑ์ที่ ๙ มัทรี

เนือ้ เร่ือง

รุ่งเช้าพระนางมัทรี เข้าป่าหาผลไม้ “เกิดเหตุแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ผลไม้เผือกมันช่างหา
ยากท่ีสุด ไม่วา่ จะเป็นมะม่วง มัน ลกู จันทน์ ล้ินจี่ น้อยหน่า สาล่ี ละมุด พุทรา ไม่มีให้เก็บเหมอื นดัง
กบั วันกอ่ น นางรบี ยอ้ นกลบั เคหา ก็เกดิ พายใุ หญ่ จนมืดคร้มึ ไปทั่วท้ังป่า ทอ้ งฟ้าสแี ดงปานเลอื ดละเลง
ท้ังแปดทิศปรากฏมืดมนไปหมดอย่างไม่เคยมี พระนางทรงห่วงหน้าพะวงหลัง เกรงจะมีภัยแต่พระ
เวสสันดร กัณหาและชาลี พระนางมัทรีรีบยกหาบใส่บ่ารีบเดินทาง พอถึงช่องแคบระหว่างเขาคีรี
เป็นตรอกน้อยรอยวิถีทางท่ีเฉพาะจะต้องเสด็จผ่าน ก็พบกับสองเสือสามสัตว์มานอนสกัดหน้า
เทวดาสามองค์แปลงร่างเป็นราชสีห์ เสือเหลือง เสือโคร่งสกัดทางนางไว้เพ่ือมิให้พระน างมัทรี
ติดตามกัณหา ชาลีได้ทัน แต่ถึงกระนั้น เมื่อยามทุกข์เข้าบีบค้ัน ความรักลูก ความห่วงพระภัสดา
พระนางจึงก้มกราบวิงวอน ขอหนทางต่อพญาสัตว์ท้ังสาม เมื่อได้หนทางแล้ว พระนางก็รีบเสด็จกลับ
อาศรม เมอ่ื มาถึงอาศรม ไม่พบกณั หา ชาลี พระนางก็ร้องเรียกหาว่า “ชาลี กัณหา แม่มาถึงแลว้ เหตุ
ไฉนไยพระลูกแก้ว จึงไม่มารับเล่าหลากแก่ใจ แต่ก่อนร่อนชะไรสิพร้อมเพรียง เจ้าเคยว่ิงระร่ีเรียงเคียง
แข่งกันมารับพระมารดา เคยแย้มสรวลสารวจร่า ระร่ืนเริงรีบรับเอาขอคาน แล้วก็พากันกราบกราน
พระชนนี พ่อชาลี ก็จะรับเอาผลไม้ แม่กัณหาก็จะอ้อนวอนไหว้จะเสวยนม ผทมเหนือ พระเพลา
พลาง เจ้าเคยฉอเลาะแม่ตา่ ง ๆ ตามประสาทารกเจริญใจฯ” บัดนี้ลูกรักท้ังคู่ไปไหนเสียจงึ มิมารับแม่เล่า
ครน้ั เขา้ ไปถามพระเวสสันดรก็ถกู ตัดพ้อตอ่ ว่าต่าง ๆ จนพระนางมทั รีถึงวสิ ัญญีภาพสลบลงพระเวสสันดร
ทรงปฐมพยาบาลจนพระนางมัทรีฟื้น แล้วจึงแจ้งความจริงว่า พระองค์ได้ทรงยกลูกรักชายหญิงทั้งสอง
มอบใหแ้ ก่ชชู กไปแลว้ ตัง้ แต่เม่อื วาน พระนางก็อนุโมทนาซึ่งทานน้นั ด้วย

อานสิ งส์

ผู้ใดบูชากัณฑ์มัทรีเกิดในโลกหน้าจะเป็นผู้มั่งค่ัง สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ เป็นผู้มีอายุยืนยาว
ทงั้ ประกอบดว้ ยรปู โฉมงดงามกวา่ คนทั้งหลาย จะไปในท่ีแห่งใด กจ็ ะมแี ต่ความสุขความเจรญิ ทกุ หนแห่ง

ข้อคดิ ประจากณั ฑ์

ลกู คอื แกว้ ตาดวงใจของผ้เู ป็นพ่อแม่ “ลูกดเี ปน็ ทช่ี ืน่ ใจของพอ่ แม่ ลกู แยพ่ อ่ แม่ช้าใจ” รักใครเล่า
จะเท่าพ่อแม่รัก หว่ งใดเล่าจะเท่าพ่อแม่ห่วง หวงใดเล่าจะเท่าพ่อแม่หวง ใหใ้ ครเลา่ จะเทา่ พ่อแม่ให้
เพราะฉะนน้ั พงึ เป็นลกู แก้ว ลูกขวญั ลกู กตญั ญู ที่ชาวโลกช่ืนชม พรหมกส็ รรเสริญฯ

กณั ฑ์ท่ี ๑๐ สกั บรรพ์

กณั ฑ์ท่ี ๑๐ สักบรรพ์

เนอ้ื เร่ือง

ขณะน้ันท้าวสหัสนัยบนสวรรค์ เกรงว่าจะมีชายโฉดมาทูลขอพระนางมัทรี จึงจาแลงกายเป็น
นักบวชชรามาทูลขอพระนาง พระเวสสันดรทรงยินดีบริจาคทานให้ แต่นักบวชชราเม่ือได้รับแล้วก็ไม่
เอาไป กลับถวายคนื แก่พระเวสสนั ดร โดยหา้ มพระองคป์ ระทานนางแก่ผูใ้ ดอีก องคอ์ นิ ทรป์ ระสาท
พร กอ่ นกลบั ไดป้ ระสาทพรใหพ้ ระเวสสันดร ๘ ประการ คือ

๑. ให้ทรงไดร้ ับอภยั โทษ
๒. ให้ทรงชว่ ยคนถกู ฆา่ ได้
๓. ให้ไพรฟ่ ้าไดพ้ ง่ึ พา
๔. ใหม้ น่ั คงในมเหสี ไม่ลุ่มหลงสตรีอ่นื
๕. ให้ไดส้ บื สนั ตวิ งศ์
๖. ใหม้ สี ง่ิ ของบรจิ าคทานมสิ ้ิน
๗. ให้มอี าหารทพิ ย์พอเพยี งทุกรงุ่ เชา้
๘. ใหไ้ ดส้ าเรจ็ พระโพธิญาณ แล้วทา้ วสหัสนยั ก็เนรมิตรร่างเป็นพระอนิ ทรเ์ หาะข้ึนฟ้าไปทันที

อานิสงส์

ผ้ใู ดบูชากัณฑส์ ักกบรรพ จะไดเ้ ป็นผเู้ จริญด้วยลาภยศ ตลอดจนจตรุ พิธพรทงั้ ๔ คอื อายุ
วรรณะ สุขะ พละ ตลอดกาลฯ

ขอ้ คิดประจากัณฑ์

การทาดีแม้ไม่มีคนเหน็ กเ็ ป็นความดอี ยู่วนั ยังคา่ ดุจทองคาแมจ้ ะอยูใ่ นตโู้ ชว์ หรือในกาปนั่ กเ็ ป็น
ทองคาอยู่น่ันเอง เข้าลักษณะว่า ความ(ของ) ดีดีเด็ดเหมือนเพชรเหมือนทอง ถึงไร้เจ้าของก็เหมือนตัว
ยัง ถึงใส่ตู้อุด ถึงขุดหลุมฝัง ก็มีวันปลั่งอะหล่ังฉั่งชู การทาความดีแม้ไม่มีคนเห็น แต่เทพยดาอารักษ์
เบื้องบนทา่ นยอ่ มรู้

กณั ฑท์ ่ี ๑๑ มหาราช

กัณฑท์ ี่ ๑๑ มหาราช

เนื้อเรอื่ ง

ดา้ นชชู กเฒ่านัน้ ฉุดลากสองกุมารน้อยไปพลางทุบตีไปพลาง ดว้ ยหวงั จะกลับไปหาภรรยาโดยเร็ว
เมื่อถึงทางแยกเข้าเมืองกลิงคราฐ เทพยดาก็ดลบันดาลให้ชชู กเดินเข้ามาในเมอื งสพี ีรัฐพระเจ้ากรุงสัญชัย
ก็ได้ทรงสุบินประหลาดว่า มีชายอัปลักษณ์นาดอกบัวตูมและดอกบัวบานมาถวายให้ พระองค์รับมาทัด
ทพ่ี ระกรรณแล้วก็ทรงตนื่ บรรทม เหลา่ โหรก็ถวายคาทานายว่า พระราชวงศท์ ่ีจากพลดั ไปจะเสด็จคนื วัง
วันรุ่งข้ึนนั้นเฒ่าชูชกจูงกุมารน้อยผ่านหน้าพระลาน พระราชาทรงเฉลียวพระทัย จึงให้เรียกตัวเฒ่า
อัปลักษณ์และกุมารน้อย มอมแมมแต่ผิวพรรณเปล่งปลั่งน้ันเข้ามาเฝ้า เมื่อพระราชาสอบถาม ชูชกก็
กราบทูลว่าได้รับบริจาคมามิได้ไปฉุดคร่ามาท่ีใด พระราชาจึงทรงรู้ว่า ๒ กุมารน้อยน้ันเป็นหลานของ
พระองค์ จึงทรงไถ่ตัวหลาน และพระราชทานรางวัลให้แก่ชูชกมากมาย ทั้งยังจัดอาหารคาวหวานชั้น
เลิศมาให้แก่ชูชกอีกด้วย ขอทานเฒ่าไม่เคยเห็นอาหารชั้นดี มีความโลภจะกินให้หมด จึงกินเข้าไปไม่
หยุดจนกระทั่งท้องแตกตายไป พระราชาเจ้ากรุงสัญชัยทรงจัดพิธีเวียนเทียนบายศรี สมโภชรับขวัญ
หลานเป็นท่ียิ่งใหญ่สมเกียรติ ครั้นแล้วก็ทรงถามถึงพระนางมัทรีและพระเวสสันดร ที่จากไปนานเป็น
เวลา ๑ ปี ๑๕ วันแล้ว “พระมารดาทรงลาบากเหลือแสนพระเจ้าข้า” ชาลีราชกุมารทูลพระราชาด้วยสุ
ระเสียงกาสรดย่ิงนัก เสด็จคืนเวยี งวงั พระราชาจึงทรงให้จดั ขบวนแต่งกองเกียรติยศ ยกออกนครไปรับ
พระเวสสนั ดร กลบั สู่เวยี งวังดว้ ยทรงคิดถึงราชบุตรและสานกึ ผดิ แล้ว

อานสิ งส์

ผูใ้ ดบชู ากณั ฑ์มหาราชจะได้มนษุ ยส์ มบัติ สวรรคส์ มบัติและนิพพานสมบัติ เม่อื เกิดเปน็ มนษุ ย์จะ
ได้เปน็ พระราชา เมอ่ื จากโลกมนุษยไ์ ปก็จะไดไ้ ปเสวยทพิ ยสมบัติในฉกามาพจรสวรรค์ มีนางเทพอัปสร
เปน็ บรวิ าร คร้นั บารมแี ก่กลา้ กจ็ ะได้นพิ พานสมบตั ิ อนั ตัดเสียซ่งึ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ พ้นจากโอฆะ
ทง้ั สามมกี าโมฆะเป็นต้นฯ

ขอ้ คิดประจากณั ฑ์

คนดีตกนา้ ไมไ่ หล ตกไฟไมไ่ หม้ ยอ่ มไดร้ บั ความปกปอ้ งคมุ้ ครองภัยในทกุ ท่ี

กณั ฑ์ท่ี ๑๒ ฉกษัตรยิ ์

กัณฑ์ท่ี ๑๒ ฉกษัตริย์

เนอื้ เรื่อง

การเสด็จพระราชดาเนินของพระเจ้ากรุงสัญชัย และจตุรงคเสนาเป็นขบวนเสด็จ จากกรุงเชตุดร
นคร หลวง ถึงเขาวงกตเป็นระยะทาง ๖๐ โยชน์ เท่ากับ ๙๖๐ กิโลเมตร กษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์
ได้มาพบกันด้วยในกลางป่า โดยมิได้คาดฝัน จึงได้ร่วมเดินทางไปยังเขาวงกตพร้อมกัน กองขบวน
เกียรติยศ พร้อมมโหรีและไพร่พล ก็เคลื่อนสู่ป่าด้วยเสียงอันกึกก้องล่ันป่า พระเวสสันดรเข้าพระทัยว่า
กองในพระราชวังคงจะมาประหารพระองค์ จึงทรงพาพระนางมัทรีไปหลบซ่อนในพุ่มไม้ คร้ันพระเจ้า
กรุงสัญชัยบอกความให้ทราบ พระนางมัทรีก็ออกมาถวายบังคม ต่างก็ร่าไห้ด้วยสลดใจกันถ้วนท่ัวใน
เคราะหก์ รรมนี้ แม้บรรดาเสนาอามาตยแ์ ละนางกานัลต่างก็รอ้ งไหก้ ันทัว่ พระราชาตรัสใหพ้ ระเวสสนั ดร
ลาผนวชกลับคืนสู่เวียงวัง พระนางผุสดีก็ขอให้พระนางมัทรีคืนสู่พระราชวังเถิด พระนางมัทรีได้แต่
กันแสงสวมกอดกัณหาพระธิดา และพระโอรสชาลีไว้แนบอกดว้ ยทรงคิดถงึ ยงิ่ บริเวณป่าเต็มไปด้วยเสียง
คร่าครวญระงมจนหมดสติไปทั้งส้ิน พระอินทร์บนสรวงสวรรค์เล็งทิพยเนตรเห็นดังนั้น จึงทรงบันดาล
สายฝนให้โปรยปรายเป็นอัศจรรย์ ในป่าชุ่มช้ืนด้วยในโบกขรพรรษที่มิสาดให้ผู้ใดเปียกปอน บรรดา
พระราชวงศ์ก็ทรงฟื้นขึ้นมาด้วยความแช่มช่ืนปราโมทย์ หลังจากน้ันได้ขอลุแก่โทษและทูลอาราธนาให้
พระเวสสนั ดรทรงลาผนวช

อานิสงส์

ผูใ้ ดบชู ากัณฑ์ฉกษัตริย์จะได้เปน็ ผ้เู จริญดว้ ยพร ๔ ประการ คือ อายุ วรรณะ สขุ ะ พละ

ข้อคิดประจากณั ฑ์

๑. พรากมีวนั พบ จากมีวนั เจอ จากกันยามเป็นได้เห็นน้าใจจากกันยามตายไดเ้ หน็ น้าตา
๒. การให้อภยั เปน็ เพราะได้สานึกเป็นเหตุใหล้ บรอยรา้ วฉานบันดาลสนั ติสุขแกส่ ่วนรวม
๓. ส่ีเท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้ผิด บรรพชิตยังรู้เผลอ ความผิดพลาดเป็นเรื่องของมนุษย์
แตก่ ารให้อภยั เปน็ วสิ ัยของเทวดา

กณั ฑ์ท่ี ๑๓ นครกณั ฑ์

กณั ฑ์ที่ ๑๓ นครกัณฑ์

เนื้อเร่ือง

เมื่อทรงลาผนวชแล้ว ทรงสั่งลาพระอาศรมรับเคร่ืองทรงกษตั ริย์ แล้วเสด็จกลับไปครองเมืองสีพี
พระเวสสันดรเสด็จข้ึนครองราชย์ครองแผ่นดิน ทาให้ไพร่ฟ้าเสนาอามาตย์มีสุขสงบกันทั่วทั้งแคว้น
ชาวเมืองต่างก็หมั่นถือศีลบาเพ็ญกุศลตามสัตย์อธิษฐานของพระเวสสันดร กษัตริย์เมืองกลิงคราฐก็นา
ช้างปัจจัยนาเคนทร์มาถวายคืน เพราะบ้านเมืองมีฝนตกต้องตามฤดูกาลแล้ว พระเวสสันดรก็ทรงอยู่ใน
ทศพิธราชธรรม และยังคงทรงบริจาคทาน จนพระชนมายุได้ ๑๒๐ พรรษา จึงสวรรคตแล้วไปปรากฎ
อุบัติเป็นท้าวสันดุสิตเทพบุตร บนสวรรค์ชั้นดุสิต รวมระยะเวลาท่ีพระเวสสันดร มัทรี ชาลี กัณหา
ต้องนิราศจากพระนครไปอยูป่ ่า เป็นเวลา ๑ ปี ๑๕ วัน

อานิสงส์

ผูใ้ ดบูชากณั ฑ์นครกัณฑ์ จะได้เปน็ ผบู้ ริบูรณ์ดว้ ยวงศาคณาญาติ ข้าทาสชายหญิง ธิดาสามี หรือ
บิดามารดาเปน็ ต้น อยูพ่ ร้อมหนา้ กันโดยความผาสุก ปราศจากโรคาพาธทง้ั ปวง จะทาการใด ๆ ก็
พรอ้ มเพรยี งกนั ยงั การงานนน้ั ๆ ใหส้ าเร็จลุล่วงไปดว้ ยดี

ข้อคิดประจากัณฑ์

การทาความดี ย่อมได้รับผลดีตอบแทน การใช้ธรรมะในการปกครองย่อมทาให้เกิดความสงบ
รม่ เยน็










Click to View FlipBook Version