The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การสื่อสารระหว่างบุคคล

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Piyanat Sudee, 2024-01-06 08:11:29

การสื่อสารระหว่างบุคคล

การสื่อสารระหว่างบุคคล

การสื่อสารระหวางบุคคล Piyanat Sudee, PhD


พฤติกรรมการสื่อสาร พฤติกรรมการ สื่อสาร พฤติกรรมภายใน พฤติกรรมภายนอก ความรูสึกนึกคิด การจดจํา การตัดสินใจ พฤติกรรมเหลานี้ เกิดขึ้นภายในตัวของผูรับสาร โดย ที่คนอื่น ๆ ไมสามารถมองเห็นได ถาผูรับสารไมพูดหรือแสดง ปฏิกิริยาตาง ๆ ออกมาใหเห็น พฤติกรรมการสื่อสารที่แสดงออก ไดอยางชัดเจน ในขณะที่มี ปฏิสัมพันธกับคนทั่วไป เชน การใช คําพูด นํ้าเสียง การแตงกาย การแสดงสีหนา และทาทาง พฤติกรรม การสื่อสาร


โครงสรางของพฤติกรรมการสื่อสาร เปนความสัมพันธระหวางองคประกอบตาง ๆ ไดแกผูสงสาร ผูรับสาร และสื่อ หรือชองทางการสงสาร การสื่อสารจะไมมี ความหมายเลย หากขาดอยางใดอยางหนึ่ง พฤติกรรมการ สื่อสารแบบทางเดียว พฤติกรรมการ สื่อสารแบบสองทาง พฤติกรรมการสื่อสารแบบ สัมพันธตอบสนอง


อุปสรรคของการสื่อสาร การขจัดปญหาและอุปสรรคในการสื่อสาร จะตองคนหา จุดบกพรองวาเกิดขี้นที่องคประกอบองคใดเสียกอน 1. ผูสงสารจะตองทําใหตนเองและเนื้อหารของสาร มีลักษณะ นาเชื่อถือ 2. ผูสงสารตองรูจักเลือกใชสํานวนภาษาที่กระทัดรัด ชัดเจน เขาใงาย และเหมาะสมกับผูรับสาร 3. ผูสงสารตองเลือกสื่อและชองทางการสื่อสารที่เหมาะสมกับ ความสามารถ และสภาพแวดลม 4. จัดสภาพใหเอื้ออํานวยตอการสื่อสาร 5. สารบางอยางจะตองไดรับอยางตอเนื่องจึงจะเกิดผล


การสื่อสารระหวางบุคคล : การถายทอดสารจากผูหนึ่งไปยังอีกผูหนึ่ง


กระบวนการสื่อสารระหวางบุคคล (Interpersonal communication) กระบวนการสื่อสารซึ่งบุคคลที่มีความใกลชิดสนิท สนมกันตั้งแต 2 คน (two-person) ขึ้นไป มีปฏิสัมพันธซึ่งกันและกันอยางตอเนื่อง สามารถ แสดงและรับรูปฏิกิริยาตอบกลับระหวางกันได รูอยางชัดเจน โดยมีวัตถุประสงคเพื่อสราง อิทธิพลใหเกิดขึ้นระหวางกัน ทั้ง 2 ฝาย และเพื่อควบคุมความสัมพันธที่เกิดขึ้นระหวางกัน


!. เป็ นการสื-อสารที-เกิดขึ5นระหว่างบุคคล ? คน ซึ-งมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด การสื-อสารระหว่าง บุคคลไม่จัดว่าการสื-อสารระหว่างบุคคลทุกกรณีไป ต้องพิจารณาลักษณะของปฏิสัมพันธ์ และ ความสัมพันธ์ระหว่างกัน ?. เป็นการส-ือสารซ-งึเน้นปฏสิัมพนัธ์แบบเหน็หน้าเหน็ตากัน ระหว่างคู่ส-ือสาร Two-person Dynamic communication (พลวัตของการสื่อสาร) Face-to-face communication เปลี่ยนแปลงตามเทคโนโลยี


R. เป็นกระบวนการการส-ือสาร ซ-งึคู่ส-ือสารทาํหน้าท-เีป็นทงั5ผู้ส่งสารและผู้รับสารในเวลาเดยีวกันและ ต่อเนื-องกันไปตลอดกระบวนการ U. เป็ นการสื-อสารซึ-งมีความเป็ นส่วนตัว (personal) และมีลักษณะไม่เป็ นทางการ (informal) สู งกว่า การสื-อสารแบบอื-น เช่น การสื-อสารมวลชน การสื-อสารองค์กร V. เป็ นการสื-อสารที-เกิดขึ5นทันทีทันใด ตามสถานการณ์ และบริบทของการสื-อสาร X. เป็นการส-ือสารซ-งึเอือ5ให้เกดิปฏกิริิยาตอบกลับระหว่างกันในปริมาณสู งและรวดเร็ว (high and immediate feedback) Y. เป็นการส-ือสารท-ไีม่ได้ยดึถอืรูปแบบ/ ไวยากรณ์ท-เีคร่งครัดชัดเจนเหมือนการส-ือสารประเภทอ-ืน


การสื&อสารระหว่างบุคคลสองคน (Dyadic Communication) การสื&อสารสาธารณะ (Public Communication) การสื&อสารแบบกลุ่ม (Group Communication) การสื&อสารองค์กร (Organizational Communication) 1 2 3 4 การสื&อสารครอบครัว (Family Communication) 5


บทบาทหน้าที-ในการส่งสาร บทบาทหน้าที-ในการรับสาร


การเรียนรู (ขาวสาร) การเก็บ (ขาวสาร) การประเมิน (ขาวสาร) การปรับตัว การสราง จินตนาการ การครุนคิด ไตรตรอง การแปล ความหมาย


เป็ นเครื&องมือสําคัญในการสนองความต้องการของตนและคนอื&น เกิดความเข้าใจ และได้รับการตอบสนอง เป็ นเคร&ืองมือสาํคัญในการรวบรวมข้อมูลข่าวสารของบุคคลท&มีนุษย์มีปฏสิัมพนัธ์ด้วย และข้อมูลต่าง ๆ ในสังคมแวดล้อม ช่วยให้มนุษย์พฒันาแนวความคดิเก&ียวกับตนเอง และการรับรู้ตนเอง เป็ นเครื&องมือในการสร้างอิทธิพลเหนือบุคคลอื&น 1 3 2 4 5 ส่วนสําคัญในการสร้างธํารงรักษาความสัมพันธ์ที&ดีระหว่างกัน 6 มีส่วนสาํคัญในการบ่งบอกและการสร้างรูปแบบความสัมพนัธ์ระหว่างคู่ส&ือสาร


บริเวณเปดเผย Know To Self บริเวณจุดบอด Blind area บริเวณซอนเรน Hidden area บริเวณที่ไมรู Unknow area ชื#อ, อาหาร, ที#ทํางาน, ข้อมูลส่วนตวับางประเภท นอนกรน, แสดงสีหน้า แสดงออกโดยไม่รู้ตวั รู้แต่ไม่เปิดเผย ความหวัง ความฝัน เปิ ดเผยเมื#อไว้วางใจมาก ภาวะจิตใต้สํานึกที#แอบแฝง เราและผู้อ#ืนไม่รู้การส#ือสารกับ บุคคลอื#นทําให้ปรับตัวดีขึLน ผู้อ&ืนไม่รู้ not know to others - นิสัย (habits) - ทัศนคติ (attitude) - ความสามารถพิเศษ (talent) 1 2 3 4 ตนเองรู้ Know to self ตนเองไม่รู้ Not know to self ผู้อ&ืนรู้ know to others โจเซฟ ลุฟท์และ ฮารี อิงแฮม เจ้าของทฤษฎีหน้าต่างโจฮารี ใช้อธิบาย ถึงระดับของการพัฒนาความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ระดบัการรับรู้ตนเอง และการรับรู้ของบุคคลอ#ืนท#มีีต่อตน


บริเวณเปดเผย Know To Self บริเวณจุดบอด Blind area บริเวณซอนเรน Hidden area บริเวณที่ไมรู Unknow area ชื#อ, อาหาร, ที#ทํางาน, ข้อมูลส่วนตวับางประเภท นอนกรน, แสดงสีหน้า แสดงออกโดยไม่รู้ตวั รู้แต่ไม่เปิดเผย ความหวัง ความฝัน เปิ ดเผยเมื#อไว้วางใจมาก ภาวะจิตใต้สํานึกที#แอบแฝง เราและผู้อ#ืนไม่รู้การส#ือสารกับ บุคคลอื#นทําให้ปรับตัวดีขึLน ผู้อ&ืนไม่รู้ not know to others - นิสัย (habits) - ทัศนคติ (attitude) - ความสามารถพิเศษ (talent) 1 2 3 4 ตนเองรู้ Know to self ตนเองไม่รู้ Not know to self ผู้อ&ืนรู้ know to others


ปจจัยที่สงผลกระทบตอระดับการเปดเผยตนเอง 1 บุคลิกภาพ (Personality) เปิ ดหรือเก็บตัว การประเมินความเสี&ยงในการเปิ ดเผยตนเอง (Risk Evaluation) การประเมินความ 2 เสียหายจากการเปิดเผยข้อมูลความรู้สึก ให้คู่สนทนารับรู้ 3 ความไว้วางใจ (Trust) ไว้ใจสู งเปิดเผยมาก 4 ความสมดุลของระดบัการเปิดเผยตนเองของคู่ส&ือสาร (Balance)


ปญหาของการติดตอสื่อสารระหวางบุคคล ภาษา ขาดความชัดเจน อารมณของ ผูรับขาวสาร ความแตกตาง ระหวางบุคคล •มีการรับรู้ที+แตกต่างกัน •ความสามารถในการฟัง •ความสามารถในการ ตีความหมาย การดัดแปลง สิ่งรบกวน ขอมูล


วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการติดตอสื่อสาร 1 เปิดโอกาสให้ผู้ รับข่าวสารให้ข้อมูลย้อนกลับ (Use feedback) 2 ใช้ภาษาง่ายๆ ในการสื&อสาร (Simplify Language) 3 ตัTงใจรับฟัง (Listen Actively) 4 ใช้การติดต่อสื&อสารหลายวิธี (Multiple Channels) 5 ให้ควบคุมอารมณ์และความรู้สึก (Constrain Emotions)


โครงสรางบุคลิกภาพของบุคคล ตามแนวคิดของอิริค เบิรน • ลักษณะเด็กตามธรรมชาติ • ลักษณะเด็กทีHได้รับการขัดเกลา • ลักษณะเด็กทีHมีความคิด สภาวะ เด็ก • ลักษณะพ่อแม่ทีHชอบวิจารณ์ • ลักษณะพ่อแม่เอื Vออาทร สภาวะ พอแม สภาวะ ผูใหญ


ความแตกตางระหวางบุคคล เป็ นปรากฎการณ์ธรรมชาตขิองมนุษย์เราเคยพบเหน ็ คนท&มีีรูปร่าง หน้าตา นิสัยใจคอ ความสามารถ ความเชื&อ หรือค่านิยมที&คล้าย ๆ กัน แต่เมื&อพิจารณา อย่างละเอียดก็จะพบลักษณะที&แตกต่างกันได้เสมอ


ประเภทของความแตกตางระหวางบุคคล 1 ความแตกต่างทางด้านร่างกาย 2 ความแตกต่างทางด้านอารมณ์ 3 ความแตกต่างทางด้านสังคม 4 ความแตกต่างทางด้านเพศ 5 ความแตกต่างทางด้านอายุ 6 ความแตกต่างทางด้านสติปัญญา


สาเหตุของความแตกตางระหวางบุคคล เชื5อชาติ (Race) เพศ (Sex) ลักษณะรูปทรงของร่างกาย สติปัญญา ชนิดของกลุ่มเลือด ความสามารถที-มีมาแต่กําเนิดหรือความถนัด ความบกพร่องทางร่างกาย และโรคภัยไข้เจ็บบางอย่าง


ทฤษฎีที่เกี่ยวของกับ ความสัมพันธของมนุษย วิลเล ี ยม ช ู ทซ์Schutz, 1966 ความต้องการความรัก (Affection) ความต้องการเป็ นส่วนหนึ-งของบุคคลอื-น/ความ ต้องการเป็ นส่วนหนึ-งของสังคม (Inclusion) ความต้องการควบคุม (Control) ความต้องการมี อิทธิพลเหนือเหตุการณ์และบุคคลอื-นรอบตัว 1 2 3


ทฤษฎีการแลกเปลี่ยน (Exchange Theory) รางวัล (rewards) ผลตอบแทน และค่าใช้จ่าย (cost) การลงทุน (investment) การแลกเปลี)ยน จอห์น ดับบลิว ธีโบท และแฮโรลด์ เอช เคลลี


ความหมายของความขัดแย้ง ความไม่เห็นพ้อง ต้ องกันในเรื- องความคิดเห็น ความสนใจ และ จุดมุ่ งหมายระหว่ างบุคคล ? ฝ่ ายซึ- งมีความ เก-ียวข้องสัมพันธ์กันและรับรู้ว่าความแตกต่างนัน5 เป็ นสิ-งที-ทําให้เกิดความแตกต่างและ ไม่สอดคล้อง กันในประเด็นเหล่านั5น OUR COMPANY ความขัดแยงและ การบริหารความขัดแยง (Conflict)


สาเหตุของความขัดแยง องค์ประกอบด้านบุคคล/ ความแตกต่างของบุคคล แบบฉบับพฤติกรรม / รูปแบบพฤตกิรรมท#ี แตกต่างกันของแต่ละคน ประสิทธิผลของการ สื#อสารระหว่างบุคคล สถานการณ์หรือ สภาพแวดล้อมซึ#งเอืLอให้ เกิดความขัดแย้ง ความแตกต่างด้านบุคลิกภาพ ความแตกต่างด้านจิตวิทยา รูปแบบการรับรู้ที<แตกต่างกัน ของแต่ละคน ความรู้สึกนึกคิด /ทัศนคติที<มี ต่อสิ<งต่าง ๆ รอบตัว ความต้องการในสิ<งเดียวกัน / ต้องการ ในสิ<งที<มีจํากัด ไม่เพียงพอ ความคลุมเครือ / ความไม่ชัดเจนใน บทบาทหน้าที<ของแต่ละคน ความจําเป็นต้องพึ<งพาอาศัยบุคคลอื<น ความจําเป็นในการตัดสินใจเลือก ทางเลือก/ วิธีแก้ไขปัญหา ความขัดแย้งที<เกิดจากกฎระเบียบหรือ ข้อบังคับที<เคร่งครัด ความต้องการมติเอกฉันท์


ปัจเจกบุคคล องค์กร ผลประโยชน์ส่วนตัว บทบาทพร้อมกัน การตัดสินใจ ผลลัพธ์ ผิดจรรยาบรรณ ผิดกฎหมาย ขัดผลประโยชน์


การบริหารความขัดแยง การถอนตัวหรือถอยหนี (Withdrawal) การยอมตาม (Accommodation) วิธีการนี?ก่อให้เกิดสถานการณ์แบบ แพ้-แพ้ (lose-lose situation) เป็ นการถอนตัวทางจิตวิทยาด้วยการละเลยไม่ใส่ใจ กับความขัดแย้งที&เกิดขึ?น ผลเสียของวิธีนี? คือ ทําให้ ความสัมพันธ์เสื&อมคลายลง หรือเหินห่างมากขึ?น การแก้ปัญหาความขัดแย้งซึ&งเน้นการลดความเห็นที&แตกต่างลง และเน้นสิ&งที&มีความเห็นสอดคล้องกันเพื&อสร้างความพึงพอใจ ให้อีกฝ่ ายหนึ&ง โดยละเลยความต้องการของตน วิธีการนี? ก่อให้เกิดสถานการณ์ แบบ ชนะ-แพ้ (win–lose situation) การบังคับหรือการเอาชนะ (Force/Dominating) การรวมมือในการบริหารความขัดแยง (Collaboration) การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที&เน้นการสร้างความพึงพอใจ ให้แก่ตนเองด้วยการคุกคามทางร่างกายและจิตใจด้วยการ บงัคับข่มขู่โดยไม่ใส่ใจอีกฝ่ายหน&ึงว่าจะเป็นอย่างไร วธิีการนี? ก่อให้เกิดสถานการณ์แบบ ชนะ – แพ้ (win-lose situation) การบริหารความขัดแย้งด้วยการแก้ปัญหา อย่างเป็ นระบบ โดย อาศัยความร่วมมือของทุกฝ่ าย วิธีการนี?ก่อให้ เกิด สถานการณ์ แบบ ชนะ-ชนะ (win-win situation)


ประโยชนของความขัดแยง 3 ความขัดแย้งคือสัญญาณแสดงว่าคู่ส-ือสารมีความเก-ียวข้องสัมพนัธ์กัน ความขัดแย้งทําให้มนุษย์ต้องร่วมมือร่วมใจกันในการเลือก / หาวิธีแก้ปัญหา การเกดิความขัดแย้ง ต่างฝ่ายท-ขีัดแย้งกันจะพยายามเรียนรู้จุดเด่นและจุดด้อยของกันและกัน ความขัดแย้งเป็ นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ความขัดแย้งช่วยพฒันาความรู้สกึถงึความเป็นพวกเดยีวกันด้วยการสร้างความใกล้ชดิและ 4 ความไว้วางใจซึ-งกันและกัน 5 1 2 ความขัดแย้งที-เกิดขึ5น คือโอกาสในการประเมินระดับความมั-นคงและความเหินห่างใน 6 ความสัมพันธ์ระหว่างกัน


ปจจัยสงเสริมการสื่อสารระหวางบุคคล 1 ความดงึดดูใจของคู่ส&ือสาร (Attractiveness) 2 ความใกล้ชดิของคู่ส&ือสาร (Proximity) ความเชื&อมโยง 3 การให้แรงเสริมแก่คู่ส&ือสาร (reinforcement) 4 ความคล้ายคลึงกันของคู่ส&ือสาร (similarity) 5 การเสริมความแตกต่างกันของคู่ส&ือสาร (complementarity)


คุณลักษณะที่เอื้อใหเกิดประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลในการสื่อสารระหวางบุคคล 1 การเปิดเผยตนเองหรือการเปิดใจของคู่ส&ือสาร 2 ความสามารถในการเอาใจเขามาใส่ใจเรา (empathy) 3 การมีทัศนคติทางบวก (positiveness) 4 การสร้างบรรยากาศที&เน้นความช่วยเหลือและการ สนับสนุนซึ&งกันและกัน (supportiveness) 5 การหลีกเล&ียงความคดิว่าตนดกีว่าหรือด้อยกว่าคู่ส&ือสาร (equality) 6 มีความซื&อตรงต่อกัน (honesty)


การขยายโลกทัศน์และ ประสบการณ์ให้กว้างขวางขึLน ด้วยการเพ#มิพนูความรู้ให้ ตนเองอย่างสมํ#าเสมอ พยายามเสริมสร้างและพัฒนา ทักษะในการสื#อสารโดย ใช้วัจนภาษา การพดูอ่าน เขียน และอวัจนภาษา พยายามสร้างและธํารงรักษา ความสัมพันธ์ที#ดีกับบุคคลอื#น เพราะเป็ นพืLนฐานสําคัญของ การอยู่ร่วมกันในสังคม การพัฒนาทักษะในการสื่อสารระหวางบุคคล


Click to View FlipBook Version