กัณฑ์ที่ ๑ กัณฑ์ทศพร
เมื่อครั้งอดีตกาลที่ล่วงมานครสีพีรัฐบุรีนั้น มีพระราชาพระนามสีพีราช ทรงครองเมืองโดย
ทศพิธราชธรรม พระราชาทรงยกบัลลังก์ให้พระโอรสขึ้นเสวยราชย์แทนเมื่อเจริญวัยสมควรแล้ว
พระโอรสมีพระนามว่า “สญชัย” และได้อภิเษกกับ พระนางผุสดี พระธิดาแห่งราชากรุงมัทราช
พรจากภพสวรรค์แต่ปางก่อนนั้น ผุสดีเทวี เสวยชาติเป็นอัครมเหสีของพระอินทร์ เมื่อจะสิ้น
พระชนมายุจึงขอกัณฑ์ทศพรจากพระอินทร์ได้ ๑๐ ข้อ ทั้งยังเคยโปรยผงจันทร์แดงถวายพระวิปัสสี
พุทธเจ้า และอธิษฐานให้ได้เกิดมาเป็นพระมารดาพระพุทธเจ้าด้วย
ทศพรจากพระอินทร์ ๑๐ ข้อ มีดังนี้
๑. ขอให้เกิดในกรุงมัทราช แคว้นสีพี ๖. ขอให้พระครรภ์งามไม่ป่องนูนดั่งสตรีสามัญ
๒. ขอให้มีดวงเนตรคมงาม และดำขลับดั่งลูกเนื้อทราย ๗. ขอให้พระถันเปล่งปลั่งงดงามไม่ยานคล้อยลง
๓. ขอให้คิ้วคมขำดั่งสร้อยคอนกยูง ๘. ขอให้เส้นพระเกศาดำขลับตลอดชาติ
๔. ขอให้ได้นามว่า “ผุสดี” ดังภพเดิม ๙. ขอให้ผิวพรรณละเอียดบริสุทธิ์ดุจทองคำธรรมชาติ
๕. ขอให้มีพระโอรสเกริกเกียรติที่สุดในชมพูทวีป ๑๐. ขอให้ได้ปลดปล่อยนักโทษที่ต้องอาญาประหารได้
อานิสงส์ ผู้ที่บูชา กัณฑ์ทศพร ข้อคิดประจำกัณฑ์
ผู้นั้นจะได้รับทรัพย์สมบัติดังปรารถนาถ้าเป็น การทำบุญจักให้สำเร็จสมประสงค์ต้องอธิษฐานจิตตั้ง
สตรีจะได้สามีเป็นที่ชอบเนื้อเจริญใจบุรุษจะได้ เป้าหมายชีวิตที่ตนปรารถนาไว้ ความปรารถนาที่จะ
ภรรยาเป็นที่ต้องประสงค์อีกเช่นเดียวกันจะได้บุญ สำเร็จสมดังตั้งใจผู้นั้นต้องมีศีลบริบูรณ์ กล่าวคือ
หญิงชายเป็นคนว่านอนสอนง่ายมีรูปกายงดงามมี ๑. ต้องกระทำความดี
ความประพฤติดีกิริยาเรียบร้อยทุกประการฯ ๒. ต้องรักษาความดีนั้นไว้
๓. หมั่นเพิ่มพูนความดีให้มากยิ่งขึ้น
กัณฑ์ที่ ๒ กัณฑ์หิมพานต์
เมื่อได้มาเกิดเป็นอัครชายาของพระราชาแคว้นสีพีรัฐสมดังคำพระอินทร์นั้น พระนางยังมีพระสิริโฉมงดงาม ตามคำ
พรอีกด้วย ครั้งเมื่อทรงพระครรภ์ครบ ๑๐ เดือน พระอินทร์ก็ทูลอาราธนาพระโพธิสัตว์มาจุติในครรภ์พระนาง ให้ประสูติ
พระกุมาร วันหนึ่งพระนางผุสดีทรงทูลขอพระราชาประพาสพระนคร เมื่อขึ้นสีวิกาเสลี่ยงทอง เสด็จสัญจรไปถึงตรอกทาง
ของเหล่าพ่อค้า ก็เกิดปวดพระครรภ์ และทรงประสูติพระราชโอรสว่า “เวสสันดร” และในวันที่พระราชกุมารทรงประสูติ
พญาช้างฉัททันต์ได้นำลูกช้างเผือกเข้ามาในโรงช้างต้น ช้างเผือกคู่บารมีนั้นมีนามว่า “ปัจจัยนาเคนทร์”
พระราชกุมารเวสสันดรทรงบริจาคทานตั้งแต่ ๕ - ๕ ชันษา ทรงปลดปิ่นทองคำและเครื่องประดับเงินทอง แก้ว
เพชรให้แก่นางสนมกำนัลทั่วทุกคนถึง ๙ ครั้ง เพื่อมุ่งหวังพระโพธิญาณภายภาคหน้า เมื่อทรงเจริญชันษาได้ ๙ ปี
ก็ทรงตั้งจิตอธิษฐานว่า จะบริจาคเลือดเนื้อและดวงหทัยเพื่อมุ่งพระญาณในกาลข้างหน้าอย่างแน่วแน่ ครั้นถึงวัย ๑๖ พรรษา
ก็แตกฉานในศิลปวิทยา ๑๘ แขนง ทรงได้ขึ้นครองราชย์และอภิเษกกับพระนางมัทรี และมีพระโอรสกับพระธิดา พระนามว่า
“ชาลีกุมาร” และ “กัณหากุมารี” อันหมายถึง ห่วงทองบริสุทธิ์
เวลาต่อมา เมืองกลิงครัฐเกิดกลียุค ฝนแล้งผิดฤดูกาล ข้าวยากหมากแพงเป็นที่ยากเข็ญทุกข์ร้อนไปทั่ว ชาวนคร
มาชุมนุมร้องทุกข์หน้าวังกันแน่นขนัด พระเจ้ากลิงคราชจึงทรงถือศีล ๗ วัน เพื่อขอบุญกุศลช่วย ทว่าฝนฟ้าก็ยังแล้งหนัก
อำมาตย์จึงทูลให้ทรงขอช้างแก้วปัจจัยนาเคนทร์ของพระเวสสันดร ด้วยว่า พระเวสสันดรกษัตริย์สีพีรัฐนั้นขี่ชางคู่บารมีไป
หนใดก็มีฝนโปรยปรายชุ่มชื้นไปทั่วแคว้น พระเจ้ากลิงคราชจึงส่ง ๘ พราหมณ์ไปทูลขอช้างแก้วจากพระเวสสันดร
เมื่อได้ช้างแก้วจากพระเวสสันดรแล้ว พราหมณ์ก็ขี่ช้างออกจากกรุงบรรดาชาวนครเห็นช้างพระราชาก็กรูกันเข้า
ล้อมและตะโกนด่าทอจะทำร้ายพราหมณ์ทั้ง ๘ คน แต่พราหมณ์ตวาดตอบว่า พระเวสสันดรได้พระราชทานช้างให้พวกตน
แล้ว เมื่อพราหมณ์นำช้างแก้วไปถึงเมืองฝนฟ้าก็โปรยปรายลงมาเป็นที่ยินดีทั้งแคว้น แต่ในกรุงสีพีนั้นกลับอลหม่าน มหาชน
ต่างมาชุมนุมที่หน้าพระลานร้องทุกข์พระเจ้ากรุงสญชัยว่า พระเวสสันดรยกพระยาคชสารคู่บ้านเมืองให้คนอื่น ผิดราช
ประเพณีเกรงว่าอีกต่อไปภายหน้าอาจยกเมืองให้คนอื่นก็ได้ ให้เนรเทศพระเวสสันดรออกจากนครเถิด
อานิสงส์ ผู้ที่บูชา กันฑ์หิมพานต์ ข้อคิดประจำกัณฑ์
ย่อมได้สิ่งปรารถนาทุกประการ ครั้น
ตายแล้วได้ไปบังเกิดในสุคติโลก
๑. คนดีเกิดมานำพาโลกให้ร่มเย็น
สวรรค์ เสวยสมบัติอันมโหฬารมีบริวารแวดล้อมบำรุงบำเรออยู่เป็นนิตย์ ๒. โลกต้องการผู้เสียสละมิฉะนั้นหายะจะบังเกิด
จุติจากสวรรค์แล้วจะลงมาเกิดในตระกูลขัตติยะมหาศาลหรือตระกูล ๓. การทำดีย่อมมีอุปสรรค “มารไม่มีบารมีไม่มา มารยิ่งมา
พราหมณ์มหาศาลอันบริบูรณ์ด้วยทรัพย์ศฤงคาร บริวารมากมายนานา
ประการ เช่น โค กระบือ ช้า ม้า รถยานพาหนะจะนับจะประมาณมิได้ บารมียิ่งแก่กล้า”
ประกอบด้วยสุขกายสบายใจทุกอิริยาบถฯ ๔. จุดหมายแห่งการเสียสละอยู่ที่พระโพธิญาณ มิหวั่นไหวแม้
จะได้รับทุกข์
กัณฑ์ที่ ๓ กัณฑ์ทานกัณฑ์
พระเจ้ากรุงสญชัย จำเป็นต้องเนรเทศพระราชโอรสด้วยเสียพระทัยหนัก พระนางผุสดีทูลขออภัยโทษก็มิเป็น
ผลสำเร็จ พระเวสสันดรทูลลาพระมารดา พระบิดา และขอบริจาคทานให้ พิธีสัตตสตกมหาทาน นั่นคือ
ช้าง ๗๐๐ เชือก ม้า ๗๐๐ ตัว โคนม ๗๐๐ ตัว รถม้า ๗๐๐ คัน
นารี ๗๐๐ นาง ทาส ๗๐๐ คน ทาสี ๗๐๐ คน ผ้าอาภรณ์ ๗๐๐ ชิ้น
เมื่อเสด็จออกจากพระนคร พระนางมัทรีพาพระโอรสและพระธิดาตามเสด็จออกป่าด้วย มิทรงยอมอยู่ในวัง
แม้พระเวสสันดรจะยับยั้งห้ามปรามมิให้มาตกระกำลำบากด้วยกันในป่า ระหว่างทางที่เสด็จขึ้นราชรถทองไป
นั้น มีพราหมณ์วิ่งมาทูลขอม้าบ้าง ขอราชรถบ้าง พระเวสสันดรก็ยกให้ทั้งสิ้น ในที่สุด จึงต้องทรงอุ้มพระโอรส
และพระธิดา เสด็จเข้าป่าไป
อานิสงส์ ผู้ที่บูชา กันฑ์ทานกัณฑ์ ข้อคิดประจำกัณฑ์
จะบริบูรณ์ด้วยแก้วแหวนเง
ินทอง ทาส ทาสี และสัตว์สอง
๑. ความรักของแม่ ความห่วงของเมีย
เท้าสี่เท้าครั้นตายแล้วจะได้เกิดในฉกามาพจรสวรรค์ มีนาง ๒. โทษทัณฑ์ของการเป็นหม้าย คือถูกประณามหยาม
เนพอัปสรแวดล้อมมากมาย เสวยสุขอยู่ในปราสาทสร้าง
ด้วยแก้ว ๗ ประการ หมิ่นอาจถึงจบชีวิตด้วยการก่อกองไฟให้รุ่งโรจน์
แล้วโดดฆ่าตัวตาย
๓. เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม พึงยอมเสียสละ
ประโยชน์สุขส่วนตัว
๔. ยามบุญมีเขาก็ยก ยามตกต่ำเขาก็หยาม ชีวิตมีทั้ง
ชื่นบานและขื่นขม
กัณฑ์ที่ ๔ กัณฑ์วนประเวศ
เมื่อเสด็จด้วยพระบาทถึงเมืองเจตรัฐพระราชาเสด็จมาต้อนรับและทูลเชิญให้ครอง
เมืองเจตรัฐนั้น แต่พระเวสสันดรขอไปบำเพ็ญเพียรในป่า กษัตริย์เจตรัฐจึงรับสั่งให้เจตบุตร
คอยอารักขาในป่า คอยถวายน้ำผึ้งและเนื้อให้พรเวสสันดรด้วย เมื่อพระเวสสันดรเดินทางมา
ถึงเขาวงกต พระนางมัทรี ชาลีกุมาร และกัณหากุมารีต่างก็เหน็ดเหนื่อยสะอื้นไห้ด้วยความ
ลำบากยากเข็ญ พระเวสสันดรจึงทรงเปลี่ยนเครื่องทรงเป็นนุ่งห่มของนักบวช พระนางมัทรีก็
ทรงบวชเป็นดาบสีนีบำเพ็ญศีลกันในป่าอยู่ที่อาศรม พระนางมัทรีต้องปัดกวาดอาศรมทุกวัน
และหาผลไม้ในป่า ตักน้ำมาเตรียมไว้ ในป่านนั้นอุดมด้วยผลไม้นานาชนิด มีสระโยกขรณีน้ำ
สะอาดใสไหลเย็น มีพฤกษาร่มรื่นและมีดอกไม้หอมหวนทั่วทั้งป่าราวกับวิมาณทิพย์
อานิสงส์ ผู้ที่บูชากันฑ์ วนประเวศ
จะได้รับความส
ุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า
จะได้เป็นบรมกษัตริย์ในชมทวีป เป็นผู้ทรง
ปรีชา เฉลียวฉลาด สามารถปราบอริราชศัตรู
ให้ย่อยยับไปฯ
ข้อคิดประจำกัณฑ์
๑. ยามเห็นใจ ยามจน ยามเจ็บ ยามจากเป็น ยามที่ควรจะได้รับความเหลียวแล
๒. ผลดีของมิตรแท้ คือ ไม่ทอดทิ้งในยามเพื่อนทุกข์ ช่วยอุ้มชูยามเพื่อนอ่อนล้า ช่วยฉุดดึงยามเพื่อนตกต่ำ
๓. น้ำใจของคนดี หากรู้ชัดว่าปกติสุขของคนส่วนมากจะตั้งอยู่ได้ เพราะการเสียสละของตน ก็สมัครสลัดโอกาส
และโชคลาภอันพึงจะได้ ด้วยความชื่นชม
กัณฑ์ที่ ๕ กัณฑ์ชูชก
ชูชก ขอทานเฒ่า อีกด้านหนึ่งนั้นคือพราหมณ์นาม “ชูชก” ได้เที่ยวขอทานเก็บเงินได้ถึง ๑๐๐ กษาปณ์ จึงนำ
เงินไปฝากเพื่อนไว้พลางคุยอวดเศรษฐีอย่างปิตินัก จากนั้นก็ออกเดินทางตระเวนขอเงินสืบไป ส่วนพราหมณ์ผัวเมียเก็บ
เงินไว้นานแล้ว เห็นว่าชูชกไม่มาเอาสักที คิดว่าชูชกคงจะตายไปแล้ว จึงชวนกันนำเงินนั้นออกมาใช้จ่ายเสียจนหมดทั้งสิ้น
ครั้นชูชกหวนกลับมาทวงเอาเงิน สองผัวเมียก็ตกใจงันงกมิรู้จะทำประการใด ด้วยความที่กลัว ชูชกจะเอาความ จึงตกลง
จะยกนางอมิตดาลูกสาวให้แก่ชูชกแทนเงินที่ใช้หมดไป
นางอมิตดามีรูปงาม และวัยสาว ส่วนชูชกนั้นเฒ่าชราและมีรูปลักษณ์อุบาทว์อัปลักษณ์ยิ่งนัก เมื่อชูชกพา
นางอมิตดาไปอยู่กินด้วยกันที่หมู่บ้านทุนวิฐ พวกเมียพราหมณ์บ้านอื่นต่างพากันริษยา อิจฉานางอมิตดา พราหมณ์ทั้ง
หมู่บ้านก็ชื่นชมนางอมิตดาจนมาทุบตีเมียตนกันทุกวัน ด้วยเพราะนางอมิตดานั้นเป็นบุตรกตัญญู เมื่อมาอยู่กับชูชกก็
ปรนนิบัติรับใช้ทุกประการมิให้ขาดตกบกพร่อง วาจาก็ไพเราะ มิเคยขึ้นเสียง เหล่าเมียของพราหมณ์จึงมาดักนางอมิตดา
ที่ท่าน้ำ รุมด่าว่านางอมิตดาที่มาเป็นเมียชูชกน่าเกลียดตัวเหม็นน่าขยะแขยง ยอมรับใช้ตาเฒ่าทุกอย่าง น่าสมเพช
นางอมิตดาถูกรุมด่าก็หิ้วหม้อน้ำร้องไห้กลับบ้าน บอกแก่ชูชกว่าจะไม่ไปตักน้ำและไม่ทำงานบ้านอีกแล้วขอให้ชูชกไป
ทูลขอกัณหาชาลีจากพระเวสสันดรมาช่วยงานบ้านก็แล้วกัน ด้วยความรักภรรยา เฒ่าชูชกจึงเตรียมข้าวตูและถั่วงาใส่
ย่ามออกเดินทางไปยังเขาวงกตทันที
ในระหว่างเดินทาง ตาเฒ่าชูชกแวะเวียนถามชาวบ้านว่า
พระเวสสันดรเสด็จประทับอยู่ ณ ที่แห่งใด พวกบ้านต่างก็ขว้างอิฐ
หินเข้าใส่ขอทานเฒ่า แล้วขับไล่ด้วยถ้อยคำหยาบคายต่างๆ ว่าเป็น
ไอ้พวกจัญไร มักขอเอาทุกอย่างจนพระเวสสันดรตกระกำลำบาก
เฒ่าชูชกเดินดุ่มเข้าป่าไปเจอสุนัขของเจตบุตรที่อารักขาป่า สุนัขต่าง
วิ่งกรูเข้าไล่กัดขอทานเฒ่า จนต้องวิ่งขึ้นต้นไม้ด้วยตกใจเสียขวัญ
อานิสงส์ ผู้ที่บูชา กันฑ์ชูชก
ได้บังเกิดในตระกูลกษัตริย์ ประกอ
บด้วยสมบัติอันงดงามกว่าชนทั้ง
หลาย จะเจรจาปราศรัยก็ไพเราะเสนาะโสต แม้จะได้สามีภรรยาและ
บุตรธิดา ก็ล้วนแต่มีรูปทรงงดงามสอนง่าย
ข้อคิดประจำกัณฑ์
๑. ของที่รักและหวงแหน ที่โบราณห้ามฝากผู้อื่นไว้คือ เงิน ม้า เมีย ยิ่งน้องเมียห้ามฝาก เด็ดขาดอันตรายมาก
๒. ภรรยาที่ดีย่อมไม่ย่อหย่อนต่อหน้าที่ ข้าวดำ น้ำตัก ฟืนตอหักหา น้ำร้อน น้ำชาเตรียมไว้เสร็จ
๓. ของไม่คู่ควรย่อมมีปัญหา ตำราหิโตปเทศกล่าวว่า “ความรู้เป็นพิษเพราะเหตุ ที่ไม่ใช้อาหารเป็นพิษ
เหตุเพราะไฟธาตุไม่ย่อย เมียสาวเป็นพิษเพราะผัวแก่”
กัณฑ์ที่ ๖ กัณฑ์จุลพล
พรานเจตบุตรผู้มีรูปร่างกำยำ ไว้หนวดแดง หน้าตาถมึงทึง ถือหน้าไม้อาบยาพิษมาหา
ชูชก หมายจะฆ่าให้ตาย ตามคำสั่งกษัตริย์เจตรัฐ เฒ่าชูชกเจ้าเลห์คิดอุบายเอาตัวรอด จึงตัว
สั่นงันงกรีบร้อนว่า ตนเองเป็นราชทูตของพระราชา มาทูลเชิญเสด็จพระเวสสันดรกลับ
พระราชวัง เพราะพระราชาทรงอภัยโทษแล้ว พรานเจตบุตรได้ยินก็ดีใจจึงเชื่อคำเท็จนั้น
จึงจัดเสบียงเพิ่มให้ชูชกและชี้ทางให้อีกด้วย
อานิสงส์ ผู้ที่บูชา กันฑ์จุลพน
แม้จะบังเกิดในปร
ภพใดๆ จะเป็นผู้สมบูรณ์
ด้วยสมบัติบริวาร จะมีอุทยานอันดารดาษด้วย
ดอกไม้หอมตลบ แล้วจะมีสระโบกขรณีอันเต็มไป
ด้วยปทุมชาติ ครั้นตายไปแล้วก็จะได้เสวยทิพย
สมบัติในโลกหน้าสืบไปฯ
ข้อคิดประจำกัณฑ์
๑. มีอำนาจหากขาดปัญญาย่อมถูกหลอกได้ง่าย
๒. คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด
๓. ไว้ใจทาง วางใจคน จะจนใจตัว
กัณฑ์ที่ ๗ กัณฑ์มหาพน
ครั้นชูชกเดินทางไปตามคำแนะนำของเจตบุตร ก็พบว่าท่านอจุตฤาษีที่อาศรมไต่ถามทุกข์
สุขตามธรรมเนียมของผู้แรกพบ และเมื่อได้รับการปฏิสันถารเป็นอย่างดีของอจุตฤาษีเป็นที่
พอใจแล้ว ก็เริ่มถามที่อยู่ของพระเวสสันดรโดยขอให้ช่วยบอกที่อยู่พร้อมทางที่จะไปด้วย
อจุตฤาษีไม่พอใจตัดพ้อตามอารมณ์ว่า ชูชกชะรอยจะมาขอ ชาลีกัณหาพระโอรสไปเป็น
ทาส หรือ ไม่ก็ขอพระนางมัทรี ไม่ใช่มาดีเป็นคนมาร้ายไม่น่าคบค้าทีเดียว
ชูชกแก้ตัวว่า ท่านอาจารย์เข้าใจผิด แต่ผมไม่โกรธดอก คนอย่างผมหรือจะมาเที่ยวขอ
ให้เสื่อมเสียพงษ์พราหมณ์ ผมมาเพื่อเยี่ยมท่านจริงๆได้เห็นท่านเป็นกุศล ได้สมาคมกับท่าน
เป็นความสุข ตั้งแต่ท่านจากเมืองมายังไม่เคยพบปะเลยกรุณาแนะนำให้ได้พบท่านสักหน่อย
เถอะ ชูชกเอาความดีเข้าต่อเช่นนี้ อจุตฤาษีก็ใจอ่อนหลงเชื่อว่าเป็นจริง จึงให้ชูชกค้างอยู่ที่
อาศรมคืนหนึ่ง ครั้นรุ่งเช้าจัดให้ชูชกบริโภคผลไม้ เผือกมัน แล้วก็พาไปต้นทางบอกทางไป
อาศรมพระเวสสันดรอย่างละเอียดถี่ถ้วน พรรณนาถึงภูเขา ป่าไม้ ฝูงสัตว์ต่างๆ ด้วยเป็นป่า
ใหญ่ สมกับที่เรียกว่า ป่ามหาชน ชูชกกำหนดจดจำคำปนะนำของอจุตฤาษีจนเป็นที่พอใจแล้ว
ก็นมัสการลาไป
อานิสงส์ ผู้ที่บูชา กันฑ์มหาพน
จะได้เสวยสมบัติในดาวดึงส์เทวโลกนั้น แล้วจะไ
ด้ลงมาเกิดเป็นกษัตริย์มหาศาล มีทรัพย์คฤงคารบ
ริวารมาก มีอุทยานและสระโบกขรณีเป็นที่ประพาส เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยศักดานุภาพเฟื่องฟุ้งไปทั่ว
ชมพูทวีป อีกทั้งจักได้เสวยอาหารทิพย์เป็นนิจนิรันดรฯ
ข้อคิดประจำกัณฑ์
๑. ฉลาดแต่ขาดเฉลียว มีปัญญาแต่ขาดสติก็เสียที
พลาดท่าได้
๒. สงสารฉิบหาย เชื่อง่ายเป็นทุกข์
๓. คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ ซื้อเสื่อให้ดูลาย
กัณฑ์ที่ ๘ กัณฑ์กุมาร
เมื่อชูชกเดินทางตามที่อจุตฤาษีแนะนำ เวลาเย็นก็ถึงเขาวงกตใกล้อาศรมพระเวสสันดร
แกก็ดีใจมาก ตรึกตรองหาโอกาส จะเข้าพบพระเวสสันดร เห็นว่าเวลานี้พระนางมัทรีกลับจากป่า หากไปขอ
จักไม่สำเร็จ ควรไปเวลาเช้าเมื่อพระนางมัทรีเข้าป่าแล้ว ครั้นขอสองกุมารได้แล้วก็จะรีบกลับก่อนพระนางมัท
รีกลับจากป่า ดำริแล้วก็หลบเข้าไปนอนในซอกเขาเพื่อลี้ภัยจากสัตว์ร้าย
คืนนั้นพระนางมัทรีฝันร้าย เป็นลางบอกให้รู้ล่วงหน้าว่า จะพลัดพรากจากพระโอรส พระนางได้เฝ้า
ทูลถามพระเวชสันดร ขอให้ทรงแก้ฝัน พระเวชสันดรก็ไม่ทรงแก้ ตรัสบ่ายเบี่ยง ว่ามาตกระกำลำบากหลับ
นอนไม่ผาสุกเหมือนอยู่วัง ก็ฝันไปตามสภาพยากไร้ พระนางหาแน่พระทัยเชื่อไม่ ดังนั้นครั้นรุ่งเช้า เวลาจะ
เข้าป่าเป็นห่วงพระโอรสจึงได้พาพระลูกเจ้าทั้งสององค์มาฝากพระเวสสันดร ให้ทรงช่วยดูแล ทั้งกำชับพระ
โอรสไว้แข็งแรง ไม่ให้ออกนอกบริเวณพระอาศรม จึงได้เข้าป่าแสวงหาผลไม้อันเป็นกิจวัตร ที่ทรงทำอยู่เป็น
ประจำวัน
ฝ่ายชูชกครั้นเห็นว่า เวลานี้พระนางมัทรีเข้าป่าแล้ว
จึงได้เดินทางไปเฝ้าพระเวสสันดรที่อาศรม ทูลขอสองกุมาร
พระเวสสันดรก็ประทานให้ แต่ตรัสว่าขอให้รอพระนางมัทรีก่อน
ให้ชูชกค้างสัก ๑ ราตรี ชูชกไม่เห็นด้วย ทูลว่าถ้ารอพระนางมัทรี
ก่อนจะให้ชูชกเป็นเหตุขัดข้อง พระเวสสันดรรับสั่งว่า เมื่อเอาสอง
กุมารไปจงเอาไปถวายพระเจ้าสญชัยราช ณ พระนครสีพี จะได้รับ
พระราชทานรางวัลมาก ชูชกค้านว่า ถ้าไปพบพระเจ้าสญชัยราช
อาจถูกจับได้ว่า ไปลักพระเจ้าหลานมา กับจะเป็นโทษองการจะ
เอาไปใช้เป็นทาสเอง ขณะที่ชูชกทูลขอสองกุมารอยู่นั้นชาลีกัญหา
ได้ยินกลัวจะถูกชูชกเอาตัวไป จึงพากันหนีไปซ่อนตัวอยู่ในสระน้ำ
เอาใบบัวบังศรีษะเสีย
กัณฑ์ที่ ๘ กัณฑ์กุมาร
เมื่อชูชกไม่เห็นสองกุมาร ก็ทูลตรัสพ้อพระเวสสันดร จนท้าวเธอต้องเสด็จไปติดตาม ครั้น
ทราบว่าไปซ่อนอยู่ในสระ ก็ตรัสเรียกขึ้นมา แล้วตรัสปลอบโยนให้หายกลัว และเศร้าโศก พร้อมกับ
คาดราคาโดยสั่งชาลีกุมารไว้ว่า ถ้าจะไถ่ให้พ้นจากทาส สำหรับชาลีกุมาร ต้องไถ่ด้วยทองหนัก แท่ง
หนึ่งหมื่นห้าพันตำลึง ส่วนนางกัญหานั้นต้องไถ่ด้วยทาสชายหญิง ช้าง ม้า โค รถ อย่างร้อยละร้อย
กับทองแท่ง หนักห้าพันตำลึง แล้วทรงพามามอบให้ชูชก
ครั้นชูชกได้สองกุมารแล้ว ก็เอาเถาวัลย์ผูกข้อมือสองกุมารไป เมื่ออิดเอื้อน ร้องไห้ ไม่ด่วน
ไปตามประสงค์ของแก แกก็ตีด่าตามประสาคนสันดานทราม ถึงกับดาลใจพระเวสสันดร ให้พลุ่ง
ด้วยโทสะเกิดโทมนัส น้อยพระทัย คิดจะประหารชูชก เอาพระโอรสคืนมาเสียแต่ก็กลับหักพระทัย
ด้วยขันติ ไว้ได้ ปล่อยให้ชูชก พาสองกุมารไปตามปรารถนา
อานิสงส์ ผู้ที่บูชา กันฑ์กุมาร
ย่อมประสบความสำเร็จใน
สิ่งที่ปรารถนา ครั้นตาย
ไปแล้วได้เกิดในฉกามาพจรสวรรค์ในสมัยพระศรีอา
ริยเมตไตรยมาอุบัติ ก็จะได้พบศาสนาของพระองค์
จะได้ถือปฏิสนธิในตระกูลกษัตริย์ ตลอดจนได้สดับ
ฟังพระสัทธรรมเทศนาของพระองค์ แล้วบรรลุพระ
อรหันตผล พร้อมปฏิสัมภิทาทั้ง ๔ ด้วยบุญราศีที่ได้
อบรมไว้ฯ
ข้อคิดประจำกัณฑ์
๑. ความเป็นผู้รู้จักกาลเทศะ ไม่ผลีผลามเข้าไปขอ รอจนพระนา ๓. สติ เตสัง นิวารณัง สติเป็นเครื่องป้องกันอันตรายทั้งปวงได้
งมัทรีเข้าป่าจึงเข้าเฝ้าเพื่อขอสองกุมาร เป็นเหตุให้ชูชกประสบผล ขันติ สาหสวารณา ขันติป้องกันความหุนหันพลันแล่นได้ เป็นเหตุ
สำเร็จในสิ่งที่ตนปรารถนา ดังภาษิตโบราณว่า “ช้าๆได้พร้าเล่มงาม ให้พระเวสสันดรไม่ประหารชูชกด้วยพระขรรค์ เมื่อถูกชูชก
ด่วนได้สามผลามมักพลิกแพลง” ช้าเป็นการนามเป็นคุณ ผู้รู้จัก ประนาม
โอกาส มีมารยาท กล้าหาญ ใจเย็น เป็นสำเร็จ
๔. วิสัยหญิงนั้น แม้จะมากอยู่ด้วยเมตตากรุณา ชอบปลดเปลื้อง
๒. พ่อแม่ทุกคนรักลูกเหมือนกัน แต่เป็นห่วงไม่เท่ากัน ห่วงหญิง ทุกข์แก่ผู้อื่นก็จริงอยู่ แต่เว้นอย่างเดียวที่ผู้หญิงนั้นไม่มีวันจะสละ
มากกว่าห่วงชาย เพราะท่านเปรียบไว้ว่า สิ่งนั้นคือ “ลูก”
“ลูกหญิงเหมือนข้าวสาร ลูกชายเหมือนข้างเปลือก”
กัณฑ์ที่ ๙ กัณฑ์มัทรี
รุ่งเช้าพระนางมัทรีเข้าป่าหาผลไม้ “เกิดเหตุแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ผลไม้เผือมันช่างหายากที่สุด ไม่ว่า
จะเป็นมะม่วงมัน ลูกจันทน์ ลิ้นจี่ น้อยหน่า สาลี่ ละมุด พุทรา ไม่มีให้เก็บเหมือนดังกับวันก่อน นางรีบย้อนกลับเคหา
ก็เกิดพายุใหญ่จนมืดครึ้มไปทั่วทั้งป่า ท้องฟ้าสีแดงปานเลือดละเลง ทั้งแปดทิศปรากฎมืดมนไปหมดอย่างไม่เคยมี
พระนางทรงห่วงหน้าพะวงหลัง เกรงจะมีภัยแต่พระเวสสันดร กัณหาและชาลี พระนางมัทรีรีบยกหาบใส่บ่ารีบเดิน
ทาง พอถึงช่องแคบระหว่างเขาคีรีเป็นตรอกน้อยรอยวิถีทางที่เฉพาะจะต้องเสด็จผ่าน ก็พบกับสองเสือสามสัตว์มา
นอนสกัดหน้า เทวดาสามองค์แปลงร่างเป็นราชสีห์ เสือเหลือง เสือโคร่งสกัดทางนางไว้เพื่อมิให้พระนางมัทรีติดตา
มกัณหา ชาลีได้ทัน แต่ถึงกระนั้น เมื่อยามทุกข์เข้าบีบคั้น ความรักลูก ความห่วงพระภัสดา พระนางจึงก้มกราบ
วิงวอน ขอหนทางต่อพญาสัตว์ทั้งสาม เมื่อได้หนทางแล้วพระนางก็รีบเสด็จกลับอาศรม
เมื่อมาถึงอาศรมก็ไม่พบกัณหาและชาลี พระนางก็ร้องเรียกหาว่า “ชาลี กัณหา แม่มาถึงแล้ว เหตุไฉนไย
พระลูกแก้วจึงไม่มารับเล่าหลากแก่ใจ แต่ก่อนร่อนชะริพร้อมเพรียง เจ้าเคยวิ่งระรี่เรียงเคียงแข่งกันมารับ
พระมารดา เคยแย้มสรวลสำรวจร่า ระรื่นเริงรีบรับเอาขอคาน แล้วก็พากันกราบกรานพระชนนี พ่อชาลีก็จะรับ
เอาผลไม้ แม่กัณหาก็จะอ้อนวอนไหว้จะเสวยนม ผทมเหนือพระเพลาพลาง เจ้าเคยฉอเลาะแม่ต่างๆตามประสา
ทารกเจริญใจฯ” บัดนี้ลูกรักทั้งคู่ไปไหนเสียจึงมิมารับแม่เล่า ครั้นเข้าไปถามพระเวสสันดรก็ถูกตัดพ้อต่อว่าต่างๆ
จนพระนางมัทรีถึงวิสัญญีภาพสลบลง พระเวสสันดรทรงปฐมพยาบาลจนพระนางมัทรีฟื้น แล้วจึงแจ้งความจริงว่า
พระองค์ได้ยกลูกรักชายหญิงทั้งสองมอบให้แก่ชู่ชกไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน พระนางก็อนุโมทนาซึ่งทานนั้นด้วย
อานิสงส์ ผู้ที่บูชา กันฑ์มัทรี
เกิดในโลกหน้าจะเป็น
ผู้มั่งคั่ง สมบูรณ์ด้วย
ทรัพยสมบัติแห่งผู้มีอายุยืนยาว ทั้งประกอบด้วยรูปโฉม
งดงามกว่าคนทั้งหลาย จะไปในที่แห่งใดก็จะมีแต่ความ
สุขความเจริญทุกหนแห่ง
ข้อคิดประจำกัณฑ์
ลูกคือแก้วตาดวงใจของผู้เป็นพ่อแม่ “ลูกดีเป็นที่ชื่นใจของพ่อ
แม่ ลูกแย่พ่อแม่ช้ำใจ” รักใครเล่าจะเท่าพ่อแม่รัก ห่วงใดเล่าจะเท่า
พ่อแม่ห่วง เพราะฉะนั้นพึงเป็นลูกแก้ว ลูกขวัญ ลูกกตัญญู ที่ชาวโลก
ชื่นชม พรหมก็สรรเสริญฯ
กัณฑ์ที่ ๑๐ กัณฑ์สั กกบรรต
ท้าวสักกะอมรินทร์ ราชาแห่งเทวโลกชั้นดาวดึงส์ ทรงดำริว่า เมื่อวานนี้พระเวสสันดรพระราชทาน
โอรสสองพระองค์แก่ชูชกไป ถ้ามีใครมาขอพระนางมัทรีอีก พระองค์ก็จะพระราชทานให้ และพระองค์ก็จะต้อง
อยู่พระองค์เดียว ไม่มีใครปฏิบัติบำรุง จะลำบากมาก เราควรจะแปลงเพศเป็นพราหมณ์ไปทูนขอพระนางมัทรี
เสียก่อน เมื่อได้รับพระราชทานแล้วก็ฝากไว้ ป้องกันมิให้พระองค์พระราชทานแก่ใครอีก หากจะมีผู้มาขอภาย
หลัง ทั้งยังเป็นทางช่วยส่งเสริมเพิ่มภริยาทานบารมี ซึ่งพระองค์ยังไม่ได้ทรงบำเพ็ญให้ได้บำเพ็ญเสียให้บริบูรณ์
ด้วย เพื่อบรรลุพระสัมโพธิญาณ
ครั้นท้าวสักกะทรงดำริแล้ว ก็เสด็จลงมาโดยเพศพราหมณ์เดินทางเข้าไปเฝ้าพระเวสสันดร ทูลขอ
พระนางมัทรี พระเวสสันดรก็พระราชทานให้ พร้อมกับรับสั่งว่าพระนางมัทรีนั้น พระองค์รักใคร่ดังดวงเนตร
แต่รักพระสัพพัญญุตญาณยิ่งกว่ามาก จึงยินดีให้เสมือนแลกเอาสัพพัญญุตญาณไว้ แม้พระนางมัทรีก็ยินดี
อนุโมทนาในการพระราชทานพระเวสสันดร เพื่อร่วมทานบารมีให้สำเร็จแก่พระสัมโพธิญาณเป็นเหตุให้แผ่นดิน
ไหวเป็นอัศจรรย์
ต่อนั้น ท้าวสักกะที่แปลงกายเป็นพราหมณ์ ก็ฝากพระนางมัทรีไว้ยังไม่รับไปขอใหอยู่ปฏิบัติพระ
เวสสันดรและตรัสบอกว่า ตนมิได้เป็นพราหมณ์เข็ญใจ หากเป็นท้าวท้าวสักรินทร์ขอถวายพร ๘ ประการแก่
พระองค์แล้ว สำแดงกายปรากฏเหาะขึ้นสู้ท้องฟ้า
พระเวสสันดรก็ดีพระทัยทูลรับพร ๘ ประการโดยดังนี้
๑. ขอให้พระบิดามีเมตตา
๒. ขอให้ปล่อยนักโทษ
๓. ขอให้อนุเคราะห์คนยากจน
๔. ขออย่าให้รู้อำนาจสตรี
๕. ให้พระโอรสมีอายุยืน
๖. ขอให้ฝนแก้ว ๗ ประการตกลงในเมืองสีพี
๗. ขอให้สมบัติในท้องพระคลังอย่ารู้หมดสิ้น
๘. เมื่อทิวงคตแล้ว ขอให้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
กัณฑ์ที่ ๑๐ กัณฑ์สั กกบรรต
ท้าวสักกะเทวราช ก็ตัดประสิทธิ์ประสาทให้สมมโนรถและตรัสว่า ในไม่ช้าพระชนกก็
จะเสด็จออกมารับพระองค์คืนเข้าไปครองราชย์สมบัติอย่าทรงวิตกอาดูรพระทัย อุตส่าห์
บำเพ็ญเนกขัมมบารมีตามทางพุทธทางกูงสืบไปเถิดแล้วเสด็จกลับเทวโลก
อานิสงส์ ผู้ที่บูชา กันฑ์สั กกบรรต
จะได้เป็นผู้เจริญด้วยลาภยศ
ตลอดจนจตุรพิธพรทั้ง ๔ คือ
อายุ วรรณะ สุขะ พละ ตลอดกาลฯ
ข้อคิดประจำกัณฑ์
การทำดีแม้ไม่มีคนเห็น ก็เป็นความดีอยู่วันยังค่ำ
ดุจทองคำแม้จะอยู่ในตู้โชว์ หรือในกำปั่นก็เป็นทองคำ
อยู่นั่นเอง เข้าลักษณะว่า ความ (ของ) ดีดีเด็ดเหมือน
เพชรเหมือนทอง ถึงไร้เจ้าของก็เหมือนตัวยัง ถึงใส่ตู้อุด
ถึงขุดหลุมฝัง ก็มีวันปลั่งอะหลั่งฉั่งชู การทำความดีแม้
ไม่มีคนเห็น แต่เทพยดาอารักษ์เบื้องบนท่านย่อมรู้
กัณฑ์ที่ ๑๑ กัณฑ์มหาราช
เมื่อชูชกได้รับพระราชทานสองกุมาร คือ พระชาลี และพระนางกัณหาจากพระเวสสันดรแล้ว ก็พาเดิน
มาตามทางในป่าใหญ่ ค่ำลงที่ไหนก็ผูกสองกุมารไว้ที่โคนต้นไม้ ตัวแกปีนขึ้นต้นไม้ผูกเปลนอน เพื่อให้พ้นภัยจาก
สัตว์ร้าย หากจะพึงมีขึ้นในค่ำคืนนั้นๆ
ในเวลากลางคืน มีเทพบุตร เทพธิดา ๒ องค์ มีความสงสารสองกุมารมากจึงแปลงร่างกายคล้าย
พระเวสสันดร และพระนางมัทรี เดินมาพบกุมารทั้งสองแล้วก็จัดแจงแก้เถาวัลย์ที่ผูกมือออก จัดให้อาบน้ำชำระ
ร่างกาย ให้บริโภคอาหารอันเป็นทิพย์ และให้นอนเหนือตัก กล่อมให้หลับสนิท ครั้นจวนสว่าง ก็จัดแจงผูกสอง
กุมารไว้เช่นเดิม แล้วก็อันตรธานไป พากันบำรุงสองกุมารโดยวิธีนี้ตลอดทางที่พักแรมในป่าทุกราตรี
ครั้นเวลาเช้า ชูชกลงจากต้นไม้ พาสองกุมารเดินทางต่อไป ค่ำลงที่ไหนก็พักแรมโดยวิธีการดังกล่าวข้าง
ต้น ครั้นถึงทางแยกสองแพร่ง ทางหนึ่งจะไปนครกลิงครัฐทางหนึ่งจะไปนครสีพี เทพเจ้าดลใจให้ชูชกหลงทางเดิน
ไปทางนครสีพีตลอดเวลา ๑๕ ราตรี ชูชกก็พาสองกุมารถึงพระนครสีพี
ในคืนวันสุดท้าย ที่ชูชกพาสองกุมารมาถึงนครสีพีนั้น พระเจ้ากรุงสญชัยทรงสุบินในเวลาใกล้รุ่งว่า
มีบุรุษหนึ่งนำดอกบัวงามสองดอกมาถวาย พระองค์ทรงรับไว้ด้วยพระหัตถ์แล้วยกขึ้นทัดพระกรรณ กลิ่นดอกบัว
ตลบชื่นพระนาสา แล้วทรงตื่นบรรทม โปรดให้โหรทำนายความฝัน โหรทำนายว่า จะทรงพบญาติที่สนิทในเร็ววันนี้
พระองค์ทรงปราโมทย์ยินดี ครั้นได้เวลาก็เสด็จออกมาประทับยังหน้าพระรานหลวง ไม่ช้า ชูชกก็พาสองกุมารมาถึง
หน้าพระที่นั่งเทพเจ้ากำบังมิให้ใครรู้จักทักท้วงห้ามปรามแต่อย่างใด จนพระเจ้ากรุงสัญชัยทอดพระเนตรเห็นสอง
กุมาร ก็โปรดให้อำมาตย์นักการไปนำชูชกและสองกุมารไปเข้าเฝ้า โปรดให้ชูชกเล่าถึงการนำสองกุมารมาแต่เขา
วงกตจนถึงนครสีพี ต่อจากนั้น ก็โปรดให้เบิกพระราชทรัพย์มาไถ่พระชาลีและพระกัณหา ตามพิกัดค่าที่
พระเวสสันดรกำหนดไว้ ซึ่งพระชาลีกราบทูลถวายให้ทรงทราบทุกประการ
พระเจ้ากรุงสัญชัย ยังพระราชทานปราสาทให้ชูชก
พักเป็นรางวัลทั้งสาวสนมกำนัน จัดโภชนาหารอันประณีตมา
บำรุงบำเรอให้บริบูรณ์ ทุกเวลาแล้ว โปรดให้เจ้าพนักงาน
เชิญพระชาลีและพระนางกัญหาเข้าห้องสรงชำระพระองค์
ให้หมดจดต้องสุคันธรสวารี ตกแต่งพระอินทรีย์ด้วยเครื่อง
กษัตริย์ คืออาภรณ์โขมพัสตร์ และสร้อยสุพรรณรัตนสังวาล
แล้วอันเชิญเข้าสู่พระราชพิธีสมโภชรับขวัญในการจาก
ป่าหิมวันต์เข้าสู่พระนครด้วยสวัสดี
กัณฑ์ที่ ๑๑ กัณฑ์มหาราช
ต่อนั้นพระเจ้ากรุงสญชัย จึงทรงปราศรัยถามพระชาลีถึงทุกข์สุขของพระเวสสันดร พระชาลีก็รำพัน
ความทุกข์ร้อนของพระบิดาและพระมารดา ตั้งต้นแต่การแสวงหาผลไม้และรากไม้ในป่าอันเป็นความทุกข์ทรมาน
สุดประมาณ ก่อให้เกิดความสงสารแก่พระอัยกาเป็นอย่างหนักเพิ่มพูนความรักในพระโอรสด้วยระลึกถึงความหลัง
จึงตรัสว่า ใช่อัยกาจะชิงชังแล้วขับพระพ่อเจ้าก็หาไม่ หากเพราะชาวเมืองมันใส่ไคล้ให้ปู่เชื่อด้วยมารยา ปู่จึงขับ
พระบิดาและมารดาให้นิราศไปหิมพานต์ พระชาลีจึงทูลสารวิงวอนพระเจ้ากรุงสญชัย ให้ยกแสนยากรครรไลไปรับ
พระบิดาและพระมารดากลับคืนยังพระพาราสีพี พระอัยกาก็ทรงยินดีดังคำพระนัดดา จึงตรัสสั่งพระขันธ์ไปเขา
วงกต ไปเชิญพระโอรสทั้งสองกลับคืนมาครองธานี ก็พอดีชูชกนักภิกขาจารกินอาหารเกินขนาด เตโชธาตุไม่ย่อย
พยุงชีวิตในที่สุดก็ดับจิต ชีวิตตักษัยพระเจ้ากรุงสญชัยจึงให้ประกาศทายาทของชูชก มารับมรดกที่ได้รับ
พระราชทานไว้ เมื่อไม่มีผู้ใดมารับก็โปรดให้นำกลับเข้าเป็นของหลวงตามประเพณี
ครั้นใกล้เวลา ให้เคลื่อนยีทวยทหาร ก็พอดีพระเจ้ากรุงกลิงครัฐโปรดให้พราหมณ์นำคชสารปัจจัยนาค
ที่พระเวสสันดรทรงบริจาคถวายไป กลับคืนถวายมายังนครสีพี พระเจ้ากรุงสญชัยก็ทรงเปรมปรีดิ์ปราโมทย์ ให้นำ
ช้างปัจจัยนาคเข้ากระบวนทัพ เพื่อให้รับพระเวสสันดรยังสิงขรเขาวงกต ตามกำหนดรุ่งอรุณราตรี โปรดให้พระชาลี
ทรงช้างปัจจัยนาค นำกระบวนทัพ เสียงช้างม้าร้องฆ้องแตรกระแสศัพท์ดังสนั่นมี่ ครั้นได้ฤกษ์ กษัตริย์ทั้งสี่คือ
พระเจ้ากรุงสญชัย พระนางเจ้าผุสดี พระชาลี และ พระนางกัณหา พร้องด้วยกระบวนทัพ ก็ยาตราจากพระนคร
มุ่งหน้าตรงยังสิงขรเขาวงกต ซึ่งเป็นที่ตั้งอาศรมบทแห่งพระราชฤาษี ได้ห้าสิบสามราตรีจึงถึงอาศรมสถานแห่ง
พระเวสสันดร และมิ่งเยาวมาลย์มัทรี ซี่งทรงเพศพระฤาษีสังวร สำรวมใจสมควรแก่วิสัยผู้ประพฤติพรหมจรรย์
นั้นแล
อานิสงส์ ผู้ที่บูชา กันฑ์มหาราช
สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์จะได้เป็นพระราชา เมื่อจากโลกมนุษย์ไป
ก็จะได้ไปเสวยทิพยสมบัติในฉกามาพจรสวรรค์ มีนางเทพอัปสรเป็นบริวาร ครั้นบารมีแก่กล้าก็จะได้
นิพพานสมบัติ อันตัดเสียซึ่งชาติ ชรา พยาธิ มรณะ พ้นจากโอฆะทั้งสามมีกาโมฆะ เป็นต้นฯ
ข้อคิดประจำกัณฑ์
คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ย่อมได้รับความปกป้องคุ้มครองภัยในที่ทุกสถาน
กัณฑ์ที่ ๑๒ กัณฑ์ฉกษัตริย์
เมื่อพระเจ้ากรุงสญชัย ทรงดำเนินทัพไปตามระยะทางไม่เร่งร้อนทรงอาศัยพระชาลีกุมารนำทาง
มาโดยลำดับเป็นเวลา ๑ เดือน ๒๓ วัน ก็ถึงเขาวงกตใกล้อาศรมพระเวสสันดร แล้วโปรดให้หยุดพักอยู่ในที่
ใกล้สระโบกขรณีมุจลินทร์ ให้บ่ายหน้ารถกลับพระนครสีพี ด้วยสุดที่หมายปลายทางแล้ว เสียงทหารทั้ง ๔
เหล่าโห่ร้องกึกก้องกัมปนาท สะเทือนสะท้อนลั่นป่าพระหิมพานต์ พระเวสสันดรทรงสดับเสียงทวยทหาร
บันลือลั่นเช่นนั้นก็ทรงตกพระทัย คิดไปว่าชะรอยจะเป็นอริราชข้าศึก ยกมาตีพระนครสีพีได้แล้วก็รีบเดิน
ทัพมุ่งมาจับพระองค์ไปประหารพระชนม์ชีพ ตรัสชวนพระนางมัทรีขึ้นไปแอบดูทหารบนภูเขา แม้อย่างนั้น
แล้ว ก็ทรงแน่นพระทัยว่าเป็นข้าศึกใหญ่อยู่ ถึงกับทรงพระกันแสงกับพระนางมัทรีว่า ถึงวาระของพระองค์
จะต้องสิ้นพระชนม์ครั้งนี้แล้ว
ไม่มีวิธีหลีกเลี่ยงให้พ้นได้เพราะเวรกรรมแต่ปางก่อน ส่วนพระนางมัทรีไม่มีเห็นร่วมด้วย เห็นไป
ว่าเป็นกองทัพของพระราชบิดายกมารับกลับพระนครจึงมีหน้าตาเบิกบานยิ้มแย้มแจ่มใส ทูลพระเวสสันดร
ว่ากองทัพที่ยกมาหาใช่เป็นอริราชศัตรูติดตามมาจับไม่ชะรอยจะเป็นทัพของสมเด็จพระราชบิดา ยกมารับ
กลับพระนครเป็นแน่ สมดังกระแสพระดำริที่ทรงคิดไว้แล้ว และสมกับพรที่ท้าวสักกอมรินทร์ทรงประทาน
ไว้ด้วย เพราะทวยทหารที่ยกมาแต่งเครื่องเป็นมงคล ไม่ใช่ลักษณะออกศึก ขอพระองค์อย่าได้กินแหนง
แคลงพระทัยเลย พระเวสสันดรกลับได้สติเพ่งพิจารณาทหารตามคำทูลของพระนางมัทรี ก็ทรงเห็น
สอดคล้องด้วยมีความปิติโสมนัส ชวนพระนางมัทรีเสด็จลงจากภูเขามาประทับนั่งที่หน้าพระอาศรม
ทำพระทัยให้มั่นคง มิใช้ความยินดีดานใจให้ฟูจนลิงโลดออกมาทางกาย วาจา ให้เสียภูมิปราชญ์คอย
ต้อนรับพระราชบิดาด้วยพระอาการปกติก่อนเสด็จเข้าไปพบพระเวสสันดร พระเจ้ากรุงสญชัยทรงสั่งกับ
พระนางเจ้าผุสดีว่าเราทั้งหมด ไม่ควรจะด่วนเข้าไปพบพระเวสสันดรพร้อมกันคราวเดียว ควรจะเข้าไปเป็น
๓ คราว คือ คราวแรกพี่เข้าไป คราวที่สองให้ผุสดีไป คราวหลังใช้ชาลีกันกัณหาเข้าไป เมื่อเข้าไปเป็นระยะ
เช่นนี้ จะช่วยผ่อนความเศร้าโศกให้เบาบางได้ ครั้นตรัสแล้วก็เสด็จดำเนินไปที่พระอาศรมพร้อมด้วยราช
บริพารด้วยอาการสงบ เมื่อพระเวสสันดรและพระนางมัทรี ได้ทอดพระเนตรเห็นก็พากันลุกออกมาต้อนรับ
ทูลเชิญให้เสด็จเข้าประทับที่พระศรมถวายบังคมแทบพระบาทเบื้องต้นได้ทูลถามถึงทุกข์ส่วนพระองค์ ต่อ
นั้นก็ถามถึงพระโอรสทั้งสองก่อนใครหมดแล้วจึงได้ถามถึงพระนางผุสดีพระราชมารดาถัดไปจึงถามถึงชาว
พระนครสีพี
กัณฑ์ที่ ๑๒ กัณฑ์ฉกษัตริย์
พระเจ้ากรุงสัญชัยตรัสบอกแล้ว ได้ตรัสถามถึงทุกข์สุขพระเวสสันดร และพระนางมัทรี
ครั้งทรงทราบถึงความยากลำบากยากแค้นที่พระโอรสทั้งสองเล่าถวาย ก็ทรงพระกันแสงด้วยความ
สงสารต่อนั้นพระนางเจ้า
ผุสดีก็เสด็จเข้าไป และต่อไปสองกุมารก็เสด็จเข้าไปยังอาศรม เมื่อได้ปะกันแล้วกษัตริย์ทั้งหก
พระองค์ได้รับความดีใจและความเสียใจอย่างรุนแรงได้ทรงกันแสงสุดจะประมาณ ตลอดทั้งทวยทหาร
และเสวกามาตย์ ที่มาประชุมในที่นั้น สามารถทำพนาวันให้บันลือสนั่นทั่วหิมวันตประเทศ ท้าวสักกะ
เทเวศร์จึงทรงบันดาล ให้ฝนตกลงมาประพรม ให้ชื่นบานพระทัย ยังกษัตริย์ทั้งหกและมหาชนทั้งหลาย
ให้สร่างโศก เพราะอัญญมัญญวิปโยกดังพรรณนามา
ต่อมา มหาอำมาตย์ราชปุโรหิต จึงได้พร้อมกันทูลอัญเชิญให้ พระเวสสันดรทรงลาผนวชเสด็จไป
ครองราชย์สมบัติในพระนครสีพี ซึ่งทวยราษฎร์ทั้งมวลมีความยินดีพร้อมกัน ถวายให้พระองค์เป็น
กษัตริย์ปกครองราชอาณาจักรสืบไป
อานิสงส์ ผู้ที่บูชา กันฑ์ฉกษัตริย์
จะได้เป็นผู้เจริญด้วยพร ๔ ประการ คือ
อายุ วรรณะ สุขะ พละ ทุก ๆ ชาติแลฯ
ข้อคิดประจำกัณฑ์
๑. พรากมีวันพบ จากมีวันเจอ จากกันยามเป็นได้เห็น
น้ำใจจากกันยามตายได้เห็นน้ำตา
๒. การให้อภัยเป็นเพราะได้สำนึกเป็นเหตุให้ลบรอยร้าว
ฉานบันดาลสันติสุขแก่ส่วนรวม
๓. สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้ผิด บรรพชิตยังรู้เผลอ
ความผิดพลาดเป็นเรื่องของมนุษย์ แต่การให้อภัยเป็น
วิสัยของเทวดา
กัณฑ์ที่ ๑๓ กัณฑ์นครกัณฑ์
เมื่อพระเวสสันดรราชฤาษีได้สดับคำพระราชดำรัสเชื้อเชิญให้ลาผนวชออกไปครอง
ราชย์สมบัติ ก็รับสั่งทูลพ้อพระราชบิดา ประวิงการรับอาราธนาไว้พลางก่อนว่าเมื่อกระหม่อมฉัน
ปฎิบัติราชกรณียกิจโดยทศพิธราชธรรม ไฉนพระราชบิดาจึงลงโทษเนรเทศจากพระนคร มารับ
ความทุกข์ยากแค้นแสนสาหัสในพงไพรไม่สมควรเลยพระเจ้าข้า?
พระเจ้ากรุงสญชัยตรัสสารภาพรับผิด เป็นด้วยพ่อเขลาหลงเชื่อคนยุยงลงโทษลูกซึ่ง
หาความผิดมิได้ ตรัสขอขมาโทษ แลตรัสวอนพระราชโอรส ให้ลาผนวชออกไปรับราชสมบัติ
ต่อนั้นพระเวสสันดรจึงทรงรับเชิญ ทรงลาผนวชพร้อมทั้งพระนางมัทรี เสด็จเข้ามงคล
พระราชพิธีราชาภิเษก ในมงคลสถานซึ่งเจ้าพนักงานจัดสร้างขึ้นในบริเวณอาศรมนั้น ครั้นได้ฤกษ์
กำหนดกาลกลับคืนเข้าพระนคร ก็ทรงเครื่องราชูปโภคแบบพระมหากษัตริย์เสด็จนิวัติกลับ
พระนคร พร้อมด้วยพระเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ด้วยจาตุรงคเสนา พร้อมด้วยสรรพาวุธเสด็จขึ้น
คชสารปัจจัยนาค ช้างพระที่นั่งท่ามกลางเสนามาตย์ราชบริพาร เดินทางรอนแรมมาอย่างสบาย
มิได้เร่งร้อน เป็นเวลาสองเดือนก็ถึงพระนครสีพี ซึ่งได้รับการตกแต่งให้งดงามเป็นอย่างด้วยธงชัย
และต้นกล้วย ต้นอ้อย สองข้างมรรค ประชาชนพากันมาต้อนรับเนืองแน่นโห่ร้องถวายพระพรชัย
ให้ทรงพระเจริญในพระราชสมบัติอย่ารู้โรยรา ทั้งพระนางมัทรีราชชายา และพระชาลีพระกัณหา
ตลอดพระบรมวงศานุวงศ์ทั่วกัน
กัณฑ์ที่ ๑๓ กัณฑ์นครกัณฑ์
เมื่อพระเวสสันดรเสด็จขึ้นปราสาทแล้วรับสั่ง
ประกาศให้ชาวเมืองปล่อยสัตว์ที่กักขังไว้ให้หมด ครั้นเวลา
ราตรีก็ทรงรำพึงว่า พรุ่งนี้ประชาชีต่างก็จะแตกตื่นกันมา
คอยรับพระราชทานแล้วจะได้สิ่งใดแจกจ่ายให้แก่ประชาชน
ทั้งหลายเหล่านั้น ทันใดนั้นท้าวโกสีย์ทรงทราบความปริวิตก
ของพระเวสสันดรแล้ว ก็ทรงบันดาลฝนแก้ว ๗ ประการให้
ตกลงในพระนครสีพี สูงถึงหน้าแข้ง เฉพาะในพระราชวัง
ท่วมถึงเอวพระเวสสันดรทรงประกาศให้ประชาชนมาขนเอา
ไปตามปรารถนาเหลือนั้นก็ให้ขนเข้าท้องพระคลังหลวง
พระเวสสันดรเสด็จเถลิงราชสมบัติปกครอง
พระนครสีพีโดยทศพิธราชธรรม ให้บ้านเมืองเป็นสุขตลอด
พระชนมายุ เมื่อสิ้นพระชนแล้วก็ขึ้นไปบังเกิดในสวรรค์ชั้น
ดุสิตเทวโลก
อานิสงส์ ผู้ที่บูชา กันฑ์นครกัณฑ์ ข้อคิดประจำกัณฑ์
จะได้เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยวงศาคณาญาติ ข้าทาส การทำความดี ย่อมได้รับผลดีตอบแทน
ชายหญิง ธิดาสามี หรือบิดามารดาเป็นต้น อยู่พร้อม การใช้ธรรมะในการปกครองย่อมทำให้เกิด
หน้ากันโดยความผาสุก ปราศจากโรคาพาธทั้งปวง ความสงบร่มเย็น
จะทำการใด ๆ ก็พร้อมเพรียงกัน ยังการงานนั้น ๆ
ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ข้อคิดประจำชาดก
ชาดกเรื่องนี้มีคติธรรม สั่งสอนให้คนเราเพียรประกอบคุณงามความดีโดยมิท้อถอย หากรู้จักสละทรัพย์บริจาค
ทานเนืองนิจก็จะเป็นที่สรรเสริญทั่วไป คนโลภ คนจิตบาป หยาบร้าย ก็ต้องได้ภัยเพราะตัวเอง ดั่งชูชกนั้นเอง