เอกสารประกอบการสอน
รายวชิ าการผลิตพืชผกั รหสั 20501-2201
จดั ทำโดย
นายสรุ ิยา บุญอาจ
ตำแหน่ง ครผู ชู้ ว่ ย
วิทยาลยั เกษตรและเทคโนโลยีอทุ ัยธานี
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 1
ความสำคญั และการตลาดพืชผกั
สาระสำคัญ
พชื ผกั เป็นแหล่งอาหารทีส่ ำคัญของมนษุ ย์มากและใหส้ ่ิงต่างๆ ทจี่ ำเปน็ ตอ่ ร่างกาย มีคุณสมบัตชิ ่วยให้
ระบบการย่อยอาหารของรา่ งกายเป็นแหลง่ ของเยื่อใย เปน็ แหล่งของวติ ามนิ เกลือแร่และโปรตีนเปน็ แหล่งของ
วิตามนิ และมีคุณคา่ ทางอาหารสูงและมรี าคาถกู กวา่ เนอ้ื สตั ว์ผกั เปน็ พชื อาหารท่ีมีความสำคญั ทางเศรษฐกิจของ
โลก เนือ่ งจกความตอ้ งการของตลาดมแี นวโน้มสูงข้นึ ทุกปี เนอ่ื งจากการเพิม่ จำนวนของประชากรทเ่ี พิ่มข้นึ ใน
อตั ราทส่ี งู
สมรรถนะประจำหน่วย
1. แสดงความรู้ ความหมาย ความสำคัญของพชื ผกั
2. แสดงความรเู้ กีย่ วสถานการณ์ตลาดพชื ผักในปจั จบุ นั ได้
จุดประสงค์การเรยี นรปู้ ระจำหน่วย
1. เขา้ ใจความหมายความสำคญั ของพืชผกั
2. บอกความสำคญั ของพืชผกั ดา้ นคณุ ค่าทางอาหารได้
3. บอกความสำคญั ของพชื ผักด้านเศรษฐกิจได้
เนือ้ หาสาระ
1. ความหมายของพชื ผกั
2. ความสำคญั ของพชื ผัก
3. การตลาดพืชผกั
1. ความหมายของพืชผัก
พชื ผัก หมายถงึ พชื ท่ีมนุษย์ใชบ้ ริโภคเปน็ อาหารประจำวนั ทคี่ ุณค่าทางอาหารไตค้ รบถว้ น ให้
แปง้ (คารโ์ บไฮเตรท) และไขมัน ซง่ึ ให้พลังงานและความอบอนุ่ แกร่ า่ งกาย ให้โปรตีนทช่ี ่วยเสรมิ สรา้ ง
การเจริญเติบโตของร่างกาย ใหว้ ิตามินและเกลือแรท่ ่ชี ว่ ยทำใหร้ ่างกายแขง็ แรง มีภมู ติ า้ นทานต่อโรคภัย
ไข้เจ็บ สามารถดำรงชวี ิตไดต้ ามปกติ
2. ความสำคัญของพืชผกั
ผักเปน็ พชื เศรษฐกจิ ที่สำคัญอยา่ งหนงึ่ ท่ี เราใช้บริโภคเปน็ อาหารประจำวัน ถ้าจะรวมมูลค่า ของผักท่ี
ใชภ้ ายในครอบครัว รวมท้ัง ผักจากสวนครวั ผักท่เี ก็บตามริมรั้ว ริมคูคลอง ฯลฯ ผกั ท่ีซ้ือ ขายในท้องตลาด ผกั
ท่สี ง่ ออกไปขายตา่ งประเทศ และสง่ เข้ามา ในรูปแบบต่างๆ ทง้ั รปู แบบของผักสด ผกั กระปอ๋ ง ผกั ตากแห้ง
เมล็ดพนั ธุผ์ กั และอ่ืนๆ แล้ว ปีหนึง่ ๆ ประเทศเราใช้ผกั คดิ เป็นเงินนับพันฯล้านบาท แตไ่ มส่ ามารถจะแยกตวั
เลขออกมาให้ เหน็ ไดช้ ดั ยกตัวอย่างง่ายๆ ถา้ เราบรโิ ภคผกั คดิ เฉลยี่ วันละ ๑ บาท ตอ่ คน ประชากรท่บี รโิ ภค
ผกั ๔๐ ล้านคน ปีหนึง่ ๆ เราจะใช้เปน็ เงินประมาณ ๑๔,๖๐๐ ลา้ นบาท อาหารทีเ่ ปน็ ประโยชนต์ ่อมนษุ ย์ถูกจดั
ออก เปน็ ๓ ประเภท คือ
๑. อาหารประเภททีใ่ ห้การเจรญิ เตบิ โต และ ช่วยซ่อมแซมสว่ นทส่ี กึ หรอของร่างกาย ได้แก่ อาหาร
จำพวกโปรตีน (protein) ซึ่งมมี ากในจำพวกไข่ นม เนื้อสตั ว์ต่างๆ เชน่ หมู เปด็ ไก่ ปลา กุ้ง โดยท่ัวไปผกั เปน็
แหลง่ ท่ีใหโ้ ปรตนี น้อยมาก ยกเวน้ ถว่ั เหลือง และถวั่ อืน่ ๆ
๒. อาหารประเภทท่ใี ห้พลงั งานและความ อบอ่นุ ต่อรา่ งกาย คอื อาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต
(carbohydrate) ได้แก่ อาหารแปง้ และน้ำตาล อาหารแปง้ มมี ากในขา้ วเจ้า ข้าวเหนยี ว ขา้ วโพด ขา้ วสาลี มนั
เทศ มนั ฝรงั่ ตลอดจนอาหารจำพวก ไขมนั และน้ำมัน เช่น เนย นำ้ มนั หมู น้ำมันพชื ต่างๆ เชน่ มะพร้าว
ปาลม์ ถว่ั
๓. อาหารประเภทเสริมสรา้ งใหร้ ่างกายเตบิ โตแข็งแรง ป้องกันโรคภัยไข้เจบ็ มารบกวน คือ อาหาร
จำพวกวิตามิน (vitamin) และเกลือแร่ (mineral) อาหารประเภทน้ีส่วนมากไดจ้ ากพชื
มนุษยเ์ ราจะมสี ุขภาพดี จะต้องรับประทาน อาหารทงั้ สามประเภทดงั กล่าวในปริมาณท่เี พียงพอ และ
ได้สว่ นสดั กัน ประเทศท่ีพฒั นาแลว้ คนของเขามีอาหารดีๆ บรโิ ภค คนของเขาโดยสว่ นรวม จงึ มีพัฒนาการใน
ดา้ นสมองและรา่ งกาย ดีกว่าคนของเรา ซ่งึ เป็นประเทศที่ยากจน และยังมีคนท่เี ปน็ โรค ขาดแคลนอาหาร
(malnutrition) อยูอ่ กี มาก ผักเป็นพชื ท่ีมีคณุ คา่ ทางอาหารสูง โดยเฉพาะในแงข่ องวิตามิน และเกลอื แร่ ท่ี
จำเปน็ ตอ่ โภชนาการ (nutrition) ของมนุษย์ การเลอื กบริโภคผัก ท่ีมคี ุณค่าทางอาหารสูงเป็นประจำ ร่างกาย
จะได้รับวิตามนิ และเกลอื แร่พอเพยี ง ตัวอยา่ งของผกั ที่ควรเลือกใชเ้ ป็นอาหาร คือ ผกั ท่ีมีเนื้อสเี หลือง เชน่
ฟักทอง แครอท มันเทศ มันฝรง่ั เพราะมแี คโรตีน (carotene) สูง เมื่อเราบรโิ ภคผักเหล่าน้ี สารแคโรตีนจะถูก
เปลยี่ นในรา่ งกายของเราใหก้ ลายเปน็ วิตามนิ เอ ซึง่ ช่วยในการเจริญเตบิ โตของร่างกาย ให้ความแข็งแรงต่อเยือ่
บุตา่ งๆ ชว่ ยใหใ้ ช้สายตาในที่มืดไดด้ ีข้ึน ผูท้ ี่ขาดวติ ามนิ เอ จะมีรา่ งกายแคระแกรน็ ฟันผุ เปน็ หวดั งา่ ย ตา
อักเสบง่าย
ถ่ัวชนิดต่างๆ มวี ติ ามนิ บี ๑ (thiamine) สูง วิตามินนี้มีบทบาทในการย่อยอาหารแปง้ และน้ำตาล ให้
เป็นประโยชนต์ ่อรา่ งกาย ผู้ที่ขาดวิตามิน บี ๑ มักจะเป็นโรคเบอ่ื อาหาร นอนไม่หลบั หงุดหงิด ออ่ นเพลยี และ
อาจเปน็ โรคเกี่ยวกับระบบประสาท ได้
ผกั ใบสเี ขียวตา่ งๆ มวี ิตามินบี 2 (riboflavin) ท่ีมีบทบาทในการเผาผลาญการย่อย หรือการใชอ้ าหาร
จำพวกคารโ์ บไฮเดรต ผทู้ ่ีขาดวิตามิน บี 2 มักจะเปน็ โรคปากนกกระจอก ลน้ิ อักเสบ เหงือกอักเสบ โรคผวิ หนัง
แหง้ ผวิ ลอก ขนร่วง
ถั่วลิสง มีวิตามนิ พพี ี (vitamin PP หรอื niacin) สูง ปอ้ งกันการเปน็ โรคผวิ หนังกระ ระบบประสาท
พิการ
มะเขือเทศ มะเขือเปรีย้ ว มะนาว ผักใบเขยี ว มวี ิตามนิ ซี (ascorbic acid) สูง ผทู้ ่ขี าดวิตามินน้จี ะเป็น
โรคโลหิตจาง ซีดเซยี ว แคระแกร็น กระดูกไม่แข็งแรง เป็นโรคลักปิดลักเปิด หรือเลือดออกตามไรฟัน และเป็น
หวัดงา่ ย
ผักกาด และผักกินใบต่างๆ มีแรธ่ าตสุ งู โดยเฉพาะอย่างย่ิงแคลเซียม ธาตุนีช้ ่วยในการสร้างกระดูก ทำ
ให้โครงกระดูกและฟนั แข็งแรง ผทู้ มี่ สี ุขภาพดีมกั จะมีฟันแข็งแรง นอกจากนี้ผักเหล่านี้ยังมธี าตเุ หลก็ สูง ธาตนุ ้ี
จำเป็นตอ่ การสร้างเมด็ โลหติ แดง ผู้ท่ีขาดธาตนุ จ้ี ะเปน็ โรคโลหติ จาง
ถัว่ เหลอื ง มโี ปรตนี หรือกรดอะมโิ นท่ีจำเปน็ ต่อการเจริญเติบโตของรา่ งกายสงู การใช้ถั่วเหลืองในรูป
ตา่ งๆ เช่น ถ่วั งอก เต้าเจย้ี ว เต้าหู้ นำ้ นม ถ่ัวเหลอื ง ถวั่ แผ่น เนอ้ื เกษตร (เนอื้ เทียมที่ทำจากถวั่ ) สามารถชว่ ย
เพิ่มอาหารโปรตนี ในท้องที่ท่ีขาดอาหารโปรตนี จากเนอื้ สัตว์ ปลา นม และไข่ได้ ถว่ั อีกหลายชนิดยงั อดุ มไป
ด้วยอาหารประเภทไขมัน ละนำ้ มัน (fat & oil) ด้วย การใชน้ ำ้ มนั ถว่ั หรอื น้ำมนั พืช ยงั ช่วยลดการเปน็ โรค
เกี่ยวกับเสน้ โลหติ อดุ ตันเกดิ จากสารคอเลสเทอรอล (Cholesterol)
ผักหลายชนิด เช่น มันเทศ มันฝรง่ั ข้าวโพดหวาน ขา้ วโพดฝักอ่อน (vegetable corn or baby
corn) ยังสมบูรณด์ ้วยอาหารประเภทแปง้ และนำ้ ตาลอีกด้วย
การที่จะใหผ้ ักยังคงคุณค่าทางอาหารสงู น้นั ขึ้นอยู่กบั วธิ เี ลือกใชส้ ่วนตา่ งๆ ของผกั ตลอดจนวิธี การ
รกั ษาและปรงุ อาหาร เชน่ ใบกะหลำ่ ปลี ใบนอกที่มสี เี ขียวมีคุณค่าทางอาหารสงู กว่าใบในทม่ี ี สีขาว ผกั กาดที่
ถูกปล่อยให้เหยี่ วแห้งมีคุณคา่ ทางอาหาร ต่ำกว่าผกั กาดทีเ่ ก็บรกั ษาใหส้ ดเสมอ ผักที่ได้ รับการตม้ จนสกุ เป่ือย
คณุ คา่ ทางอาหารอาจจะถูก ทำลายหมดดว้ ยความร้อน ดังน้ัน ผักสดจึงเป็นผัก ท่มี คี ุณค่าทางอาหารสงู กว่าผกั
รปู อน่ื ๆ เช่น ผกั กระ ป๋อง ผกั ตากแหง้
นอกจากผกั จะสามารถจัดสรรอาหาร ๓ ประ เภท คือ อาหารประเภทโปรตนี ทใี่ ห้ความเจริญเติบโต
และซอ่ มแซมสว่ นท่สี ึกหรอ ของร่างกาย อาหารประเภทแป้งและนำ้ ตาล และไขมัน นำ้ มันที่ให้ พลงั งาน และ
ความอบอ่นุ ต่อรา่ งกาย อาหารประเภทวติ ามนิ และเกลอื แร่ ทเ่ี สรมิ สรา้ งใหร้ า่ งกายแข็งแรง ปราศจากโรคภยั
ไขเ้ จบ็ แล้ว ผกั ยงั มปี ริมาณ น้ำสูง มีเซลลโู ลส (cellulose) หรือกากอาหาร (fiber) ซงึ่ สารนีช้ ่วยเสริมกิจกรรม
การย่อยอาหารและขับ ถา่ ยของรา่ งกายให้เปน็ ปกติ ย่ิงไปกว่าน้นั ผกั บาง ชนิด เช่น พรกิ ความเผด็ ของพริกยงั
ใชเ้ ป็นเคร่ือง ชูรส และเคร่ืองกระตนุ้ ใหเ้ รารบั ประทานอาหาร ได้เอร็ดอรอ่ ยข้ึน ผกั หลายชนดิ ใชส้ กัดทำสยี อ้ ม
อาหาร ให้นา่ รบั ประทานข้นึ และไม่เป็นพิษเปน็ ภยั ต่อร่างกาย เชน่ ดอกอัญชันใชส้ กดั สีม่วง ใบเตย ใช้สกดั สี
เขียวใบไม้ เป็นต้น
โดยที่ประเทศเรายากจน ผักจึงเปน็ พืชประ เภทหน่ึง ท่สี ามารถจะเสรมิ โภชนาการให้แกค่ นยาก จนใน
ท้องถิ่นทุรกนั ดารได้ โดยเฉพาะในเรื่องของโภชนาการเด็ก ซึ่งควรแก่ความสนใจของรฐั เป็น อยา่ งยิ่ง เพราะถา้
เราไมเ่ รม่ิ สร้างสมองและความแข็งแรง ใหแ้ ก่คนของประเทศเราต้งั แต่เด็กแล้ว การทจี่ ะมาสรา้ งเม่ือเปน็ ผู้ใหญ่
ก็จะไมก่ ่อใหเ้ กดิ พัฒนาการในดา้ นสมอง รา่ งกาย และจติ ใจเท่าใด
ตามท่กี ลา่ วมาแลว้ ผกั มิใช่แต่จะใชเ้ ปน็ อาหารของมนษุ ยเ์ ทา่ น้นั แตผ่ ักยงั ใช้เป็นอาหารสตั ว์ ได้ด้วย
ดังนัน้ เราอาจเปลี่ยนผักให้เป็นเน้ือสัตว์ หรอื โปรตนี ได้ ย่ิงไปกว่านัน้ ในระยะทน่ี ำ้ มนั ขาดแคลน แทนที่เราจะทิ้ง
เศษผักกองใหญ่ๆ ให้เน่าเหม็นโดยไรป้ ระโยชน์ เราอาจจะใช้เศษผักที่กำลังเน่าเป่ือยไป ทำเป็นแก๊สชวี ภาพ
(biogas) ใช้เป็นพลังงานทดแทนนำ้ มนั ไดร้ ปู หน่ึง เศษผักทเ่ี หลือจากการสลายตวั แล้ว ยงั สามารถนำไปใช้เปน็
ปุย๋ อินทรีย์ หรอื ปุ๋ยธรรมชาติ บำรุงดินให้อุดมสมบูรณ์ไดด้ ว้ ย
3. การตลาดพชื ผกั
การปลูกผักในปจั จุบันมใิ ช่เป็นการปลกู ผกั เพือ่ ยังชพี แตเ่ ป็นการเกษตรเพื่อการค้าและอุตสาหกรรม
ปัญหาการปลกู ผักในประเทศไทยไมใ่ ช่เป็นการขาดแคลนเทคโนโลยี แต่กลบั เป็นปัญหาเรื่องของการเพิ่ม
ผลผลติ ทีม่ ีการลงทนุ ท่ตี ่ำเกษตรกรผปู้ ลกู ผักจะต้องมคี วามรดู้ ้านการปลูกผกั การขาย ความตอ้ งการของตลาด
และควรมกี ารวางแผนการผลิตผกั โดยมีขอ้ มูลด้านการตลาดอยา่ งเพียงพอ ควรใชร้ ะบบ "การตลาดนำการ
ผลติ "
หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 2
การจำแนกประเภทพืชผกั
สาระสำคัญ
พชื ผักสามารถแบง่ การจำแนกตามลกั ษณะต่างๆได้หลายประเภท เชน่ การจำแนกตามหลัก
พฤกษศาสตร์, จำแนกตามสภาพอากาศที่เหมาะสมสำหรบั การเจริญเติบโต, การจำแนกตามสว่ นต่างๆทใ่ี ช้
บรโิ ภค, การจำแนกตามวิธปี ลูก และจำแนกตามฤดูกาล
สมรรถนะประจำหนว่ ย
แสดงความร้เู กยี่ วกบั การจำแนกประเภทพืชผกั ตามหลักเกณฑต์ า่ งๆ
จดุ ประสงค์การเรียนรปู้ ระจำหนว่ ย
1. เข้าใจเกณฑก์ ารจำแนกประเภทของพืชผัก
2 เข้าใจชนิดของพืชผกั ท่อี ยู่ในตระกลู เดยี วกัน
3. เขา้ ใจขอ้ แตกต่างของผักแต่ละชนิดท่ีจำแนกตามวธิ ปี ลกู
4 บอกชนดิ ผักที่ทนต่อภูมิอากาศต่างๆ
5. บอกชนดิ ของผกั ท่ีจำแนกตามฤดูกาล
6. อธิบายข้อแตกต่างของผักทนหนาวกับผักไมท่ นหนาว
เนอ้ื หาสาระ
1. จำแนกตามความแตกตา่ งด้านพฤกษศาสตร์
2. จำแนกตามสภาพอากาศท่ีเหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโต
3. จำแนกตามส่วนตา่ งๆทน่ี ำมาใชบ้ รโิ ภค
4. จำแนกตามวิธีปลกู
5. จำแนกตามฤดูกาล
พืชผัก ตรงกบั คำว่า Vegetable ในภาษาอังกฤษ และ Olericulture ในภาษาลาติน มคี วามหมาย
กว้างมาก ไมส่ ามารถใชเ้ กณฑ์อะไรมาตดั สินได้แนน่ อน ว่าพืชชนดิ ใดบา้ งทจ่ี ดั เปน็ พชื ผักแมแ้ ตพ่ ชื ชนดิ เดยี วกัน
แต่ละประเทศยงั จัดกลุม่ ของพชื ตา่ งกนั ออกไป เชน่ มะเขือเทศ ในประเทศไทย ฟลิ ิปปินส์ มาเลเซยี และ
สหรัฐอเมริกาจดั เป็นพชื ผัก แตก่ ลมุ่ ประเทศทางยโุ รปจดั เป็นผลไมโ่ ดยปลูกเพ่ือใชร้ ับ ประทานเป็นผลไม้ชนิด
หน่ึง ส่วนสตรอเบอรใี่ นประเทศญ่ีป่นุ จดั อยู่ในกลุ่มพชื ผกั โดยนำมารับประทานเป็นสลดั เน่อื งจากมรี สเปรี้ยว
แตป่ ระเทศไทยเรานยิ มปลูกเพื่อ รับประทานเปน็ ผลไม้
สำหรับประเทศไทยคำวา่ "พชื ผกั " ท่นี ำมารบั ประทานนัน้ มีหลายชนิดทงั้ ที่ มีชอ่ื เรยี กวา่ "ผกั " นำหน้า
เช่น ผกั กาดขาว ผักกาดหอม ผักบ้งุ ผกั ชี ผักกาดเขียวปลี เปน็ ตน้ และท่ีไมม่ ีคำว่า"ผกั " นำหน้า เชน่ มนั ฝรัง่
มะเขือเทศ แตงกวา ฟกั ทอง ถ่วั ลันเตา ถว่ั ฝักยาว เป็นตน้ รวมทง้ั พชื อนื่ ๆทไ่ี มไ่ ดจ้ ัดเปน็ ผัก สามารถนำมาใช้
บรโิ ภคเปน็ พชื ผัก เช่น
- พืชไร่ ไดแ้ ก่ ใบปอกระเจาสามารถนำมาผดั เปน็ อาหาร เป็นตน้
- ไมผ้ ล ได้แก่ มะละกอดิบ มะม่วงดิบ สามารถนำมาประกอบอาหารได้
- วชั พชื ได้แก่ ใบตำลึง ผกั บงุ้ ไทย ผกั กระเฉด สามารถนำมาประกอบอาหารได้เช่นกนั
การจำแนกพชื ผกั (Vegetable Classification): สามารถจำแนกออกตามความแตกตา่ งลกั ษณะ ดงั น้ี
1. การจำแนกตามความแตกต่างด้านพฤกษศาสตร์ (Botanical classification) เป็นการจำแนกพชื ผัก
ออกตามลักษณะ ทางพฤกษศาสตร์ เชน่ ใช้ลักษณะของราก ใบ ดอก ผล และเมล็ดในการแบง่ พืชผักว่า อยู่ใน
ตระกูล (Family) เดยี วกนั หรือไม่
การแบง่ พืชผักทางพฤกษศาสตร์จะแบ่งออกเป็นลำดบั ดังน้ี
Plant kingdom อาณาจกั รพืช
Sub kingdom อาณาจกั รย่อย
Division จำพวก
Class ช้ัน
Family วงศ์ หรือ ตระกลู
Genus สกุล
Species ชนดิ
Variety พนั ธุ์
ระบบการจำแนกพชื ผักทางพฤกษศาสตรน์ ้ี สามารถใช้แสดงความสมั พันธ์(Relationship) และมี
ประโยชน์ในด้านการวางแผนปรบั ปรงุ พันธ์ ซงึ่ Bailey (1925) ได้จำแนกออกเปน็ 4 กลุ่ม (Subcommunity)
คือ
1. Thallophyta ได้แก่ พวก Thallophytes ซง่ึ เปน็ พชื ช้นั ตำ่ ไม่มรี าก ลำต้น และใบ เช่น พวก
แบคทีเรีย สาหรา่ ย(algea) รา(fungi) และไลเคน(Lichen)
2. Bryophyta เช่น พวก liverworts และ mosses
3. Pteridophyta เชน่ พวก fern and their allies
4. Spermatophya เชน่ พวกพชื ชั้นสงู หรือพืชที่มีเมล็ดซึ่งพชื ผกั กจ็ ัดอยใู่ นกลุ่มนดี้ ้วย โดยที่
Spermatophyta นี้ สามารถแบง่ ออกเป็น 2 Divisions คอื
4.1.) Gymnospermae พวกนีจ้ ะมไี ข่ (Ovule) อย่นู อกรงั ไข่ (Ovary)
4.2.) Angispermae พวกนี้จะไข่ (Ovule) อยู่ในรงั ไข่ (Ovary) ซึ่งพืชผกั ก็อยูใ่ น Division น้ี และ
สามารถแบ่งออกเป็น 2 classes ไดแ้ ก่
1. Class Monocotyledoneae เป็นพืชใบเล้ียงเดย่ี ว เชน่ หอม กระเทยี ม ขา้ วโพด หนอ่ ไม้ฝร่ัง ขิง
2. Class Dicotyledoneae เปน็ พชื ใบเล้ียงคู่ เชน่ ผักกาด กะหลำ่ าต่างๆ แตงต่างๆ นอกจากนย้ี ัง
แบง่ ออกเป็น 2 series ได้แก่
(1.)Choripetalae เปน็ พืชผักทม่ี กี ลีบเลยี้ งหรือกลบี ดอกจะแยกออกจากกันเปน็ หลายกลีบอย่างเหน็
ได้ชดั
(2.) Gramopetalae เป็นพชื ผกั ทม่ี ีกลบี เลี้ยงหรือกลบี ดอกรวมกนั เป็นกลบี เดียว
2. จำแนกตามสภาพอากาศท่ีเหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโต ( Classification basedon hardiness)
เปน็ การจำแนกกลุม่ พืชโดยพิจารณาความสามารถในการทนทานต่อสภาพอากาศทเ่ี หมาะแก่การเจรญิ เตบิ โต
แบ่งไดเ้ ปน็ 3 กลุ่ม ดงั นี้
2.1.) พืชท่สี ามารถทนตอ่ อากาศหนาวเย็น (hardly vegetable) เป็นพืชผักท่ี ปลูกไดด้ ใี นอากาศเยน็
แม้วา่ จะเย็นจนถึง จดุ เยือกแขง็ ก็ไมส่ ียหาย แตถ่ ้านำมาปลูกในเขต อากาศรอ้ นจะไม่ไดผ้ ลดเี ทา่ ท่ีควร เรยี กวา่
พวก Hardy เชน่ มนั ฝรง่ั ถัว่ ปากอ้า ถ่วั ลนั เตา และกะหลำ่ ปลี เป็นตน้
2.2.) พืชท่ีทนต่ออากาศต่ออากาศหนาวเย็นได้บ้าง (semi-hardly vegetable) เป็นพืชผักทไ่ี ม่ สมา
รถทนอากาศหนาวเยน็ จดั ได้ คือ ทนต่อ ความร้อนและความเยน็ ได้ พอประมาณเจริญได้ดใี นอณุ หภมู ิ 15-18
องศา เซลเซยี ส เรียกวา่ พวก Half-hardy เช่น ผักกาดหอม คืนช่ายบที แครอท เปน็ ตน้
2.3. พชื ผักท่ีไม่ทนต่อความหนาวเย็น (tender vergetable) เป็นพชื ผกั ที่ไม่ สามารถทนต่ออากาศ
หนาวเย็นไดเ้ ลย สามารถเจริญได้ดี ในอุณหภมู ิ 25-30 องศา เซลเซยี ส เรียกวา่ พวกTender เชน่ ถั่วฝักยาว
ถ่วั แขก พรกิ มะเขือตา่ งๆ แตงต่างๆ ผักบุ้ง กระเจยี๊ บ และผักชี เป็นต้น
3. จำแนกตามสว่ นตา่ งๆของลำดับทีน่ ำมาใชเ้ ป็นอาหาร (Classification based on parts used) เป็น
การจำแนกพืชผักออกตามสว่ นต่างๆของพืชผักท่นี ำมาเปน็ อาหาร
3.1.) สว่ นท่อี ยใู่ ตด้ ินที่สามารถนำมาเป็นอาหาร ได้แก่
ก. รากใต้ดนิ (Root) เช่น ผักกาดหัว บีท แครอท เทอรน์ ิพ มนั เทศ และมนั แกว เปน็ ต้น
ข. ลำตน้ ใตด้ ิน (Tuber) เช่น มนั ฝรัง่ เป็นตน้
ค. หัวใต้ดนิ (Corm) เช่น เผอื ก เปน็ ตน้
ง. หวั ใต้ดิน (Bulb) เชน่ หอมหัวใหญ่ หอมแดง และกระเทียมหวั เป็นต้น
จ. ลำต้นใตด้ ิน (Rhizome) เชน่ ขิง และขมนิ้ เปน็ ตน้
3.2.) ส่วนของลำต้นและใบท่ีนำมาเป็นอาหาร เชน่ คะน้า กะหล่ำาปลี กะหลำ่ ปม ผักกาดต่างๆ
หนอ่ ไมฝ้ ร่งั และผกั สลัดตา่ งๆ เป็นต้น
3.3.) สว่ นของดอกไมแ้ ละช่อดอกท่นี ำมาเป็นอาหาร เช่น กยุ ช่าย กะหล่ำดอก กะหล่ำดอกอติ าเลีย่ น
เป็นต้น
3.4.) ส่วนของผลทีน่ ำมาเป็นอาหาร เช่น กระเจี๊ยบ ถ่ัวต่างๆ มะเขือ พริก มะระ นำ้ เต้า แตงโม และ
แตงกวา เป็นต้น
3.5. สว่ นของเมล็ดทน่ี ำมาเป็นอาหาร เชน่ ถัว่ ลันเตา เป็นตน้
3.6.) เห็ดตา่ ง1 ซง่ึ ถือเป็นพชื ชั้นต่ำทีล่ ำต้นไม่มขี ้อและปล่อง และมใี บท่ีสังเคราะหแ์ สงไม่ได้
4. จำแนกตามความแตกต่างดา้ นการเพาะปลูกและบำรุงรักษา (Classification based on essential
method of culture) เปน็ การจำแนกพชื ผกั ออกตามความแตกต่างด้านการเพาะปลกู และบำรุงรกั ษาซงึ่
แบ่งไดเ้ ป็น 13 กลมุ่ ดงั นี้
1. พชื ผกั ยนื ต้น (Pernial crops) ได้แก่ หนอ่ ไม้ฝรงั่
2. พชื ผักกนิ ใบ ได้แก่ คะนา้ ปว่ ยเลง็ ผักบ้งุ
3. พืชผกั สลัด ไดแ้ ก่ ผกั สลดั ต่างๆ (ผกั กาดหอม) คนื ฉ่าย
4. พืชผักกะหลำ่ -ผกั กาด ได้แก่ กะหลำ่ าต่างๆ ผักกาดต่างๆ
5. พืชผักกินรากหรือหัว ไดแ้ ก่ ผกั กาดหัว แครอท บที
6. พืชผกั ตระกลู หอม-กระเทยี ม ไดแ้ ก่ หอม กระเทียม หอมหัวใหญ่
7. พืชผักตระกูลมันฝรั่ง ได้แก่ มันฝรง่ั
8. ลำต้นใต้ดนิ ไดแ้ ก่ มันเทศ
9. พชื ผกั ตระกลู ถ่ัว ได้แก่ ถ่ัวลันเตา ถ่วั ฝกั ยาว ถัว่ แขก
10. พืชผกั ตระกลู มะเขือเทศ-พริก ได้แก่ มะเขือต่างๆ มะเขือเทศ และพริก
11. พืชผักตระกูลแตง ไดแ้ ก่ แตงตา่ งๆ ฟัก แฟง บวบ มะระ และน้ำเต้า
12. ข้าวโพด ไดแ้ ก่ ขา้ วโพดหวาน และขา้ วโพดฝักออ่ น
13. พชื ผักเครือ่ งเทศ,เบด็ เตล็ด ได้แก่ ขงิ ข่า กระชาย ขมน้ิ ตะไคร้ โหระพา แมงลัก สะระแหน่ มนั
แกว และเผือก
5. จำแนกตามฤดูกาล (Classification based on season) เปน็ การจำแนกพ่ชี ผกั ตามช่วง
อุณหภูมิท่เี หมาะสมในการเจริญเตบิ โตของพชื ผัก แตล่ ะชนิด ซ่งึ สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลมุ่ ใหญ่ๆ คือ
ก. พชื ผักฤดรู อ้ น (Warm season vegetable) ซง่ึ สามารถแบ่งได้เป็น 5 กลุม่ ดงั นี้
1.) กลุ่มพืชผกั ทช่ี อบอุณหภมู ิเฉลย่ี ประจำเดือนในชว่ ง 15.2 - 21 องศาเซลเซียส หรืออุณหภมู เิ ฉลี่ย
ต่ำสุดประจำเดือนไมต่ ำ่ กวา่ 10 องศาเซลเซยี ส และอณุ หภูมเิ ฉล่ยี สูงสดุ ประจำเดือน ไม่เกิน 26.5 องศา
เซลเซยี ส ไดแ้ ก่ ถว่ั แขก ถัว่ ไลมา่ เป็นตน้
2.) กลุ่มพชื ผกั ทช่ี อบอุณหภมู ิเฉลยี่ ประจำเดือนในช่วง 15.5 - 24 องศาเซลเซียส หรืออุณหภมู เิ ฉลีย่
ต่ำสุดประจำเดือนไม่ตำ่ กว่า 10 องศาเซลเซยี สและ อณุ หภูมิเฉลีย่ สูงสดุ ประจำเดือนไมเ่ กิน 35 องศาเซลเซยี ส
ไดแ้ ก่ ข้าวโพดหวาน ถว่ั ฝกั ยาว มะเขอื เปราะ เปน็ ต้น
3.) กลุ่มพืชผกั ทช่ี อบอุณหภมู ิเฉลี่ยประจำเดือนในช่วง 18.3 - 24 องศาเซลเซียส หรืออุณหภมู ิเฉล่ยี
ตำ่ สดุ ประจำเดือนไมต่ ำ่ กวา่ 18.3 องศาเซลเซยี สและอณุ หภูมิเฉล่ียสงู สดุ ประจำเดือนไม่เกิน 32 องศา
เซลเซยี ส ไดแ้ ก่ แตงกวา แคนตาลูป เปน็ ต้น
4.) กลุ่มพืชผักทช่ี อบอุณหภมู ิเฉลยี่ ประจำเดือนในชว่ ง 21 - 24 องศาเซลเซยี สหรอื อุณหภมู เิ ฉล่ีย
ต่ำสุดประจำเดือนไมต่ ำ่ กว่า 18.3 องศาเซลเซยี ส และอณุ หภูมเิ ฉล่ีย สงู สุดประจำเดือนไม่เกิน 26.5 องศา
เซลเซียส ได้แก่ พริกหวาน พรกิ ยักษ์ มะเขือเทศ เปน็ ต้น
5.) กลุ่มพชื ผกั ทช่ี อบอุณหภมู ิเฉลี่ยประจำเดือนในช่วง 21 - 31 องศาเซลเซยี สหรอื อุณหภูมิเฉลี่ย
ต่ำสุดประจำเดือนไมต่ ำ่ กวา่ 18.3 องศาเซลเซยี ส และอณุ หภมู ิเฉลยี่ สงู สุดประจำเดอื นไม่เกิน 35 องศา
เซลเซยี ส ได้แก่ พรกิ มะเขือ กระเจย๊ี บ มันเทศ แตงไทย เป็นตน้
ข. พืชผักฤดหู นาว (Cool season vegetable) ซง่ึ สามารถแบ่งได้เปน็ 5 กลมุ่ ดังนี้
1.) กล่มุ พืชผักที่ชอบอุณหภูมิเฉลี่ยประจำเดือนในช่วง 13 - 24 องศาเซลเซียสหรอื อุณหภมู เิ ฉลี่ย
ตำ่ สุดประจำเดือนไมต่ ่ำกว่า 7 องศาเซลเซยี ส และอุณหภูมเิ ฉลีย่ สูงสุดประจำ เดอื นไม่เกนิ 30 องศาเซลเซียส
ได้แก่ กระเทยี ม กระเทียม หอมแดง หอมหวั ใหญ่ ชโิ คร่ี เป็นตน้
2.) กลุ่มพชื ผักท่ชี อบอุณหภูมิเฉล่ียประจำเดือนในชว่ ง 15.5 - 18.3 องศาเซลเซียส หรอื อุณหภมู ิเฉลี่ย
ต่ำสุดประจำเดือนไม่ต่ำกวา่ 4.4 องศาเซลเซียส และอุณหภมู เิ ฉลย่ี สงู สุด ประจำเดือนไม่เกนิ 24 องศา
เซลเซยี ส ไดแ้ ก่ บีท กะหลำ่ ปลี กะหล่ำดาว กะหลำ่ ปม คะนา้ แรดชิ ปวยเลง็ เทอรน์ พิ เปน็ ต้น
3.) กล่มุ พืชผักที่ชอบอุณหภูมิเฉล่ียประจำเดือนในช่วง 15.51 - 18.3 องศาเซลเซียส หรืออณุ หภมู ิ
เฉลย่ี ตำ่ สุดประจำเดือนไม่ตำ่ กว่า 7 องศาเซลเซียส และอุณหภมู เิ ฉลย่ี สูงสุด ประจำเดือนไมเ่ กิน 21-24 องศา
เซลเซยี ส ไดแ้ ก่ อาร์ติโชค๊ แครอท กะหลำ่ ดอก คนื ชา่ ย ผกั กาดขาวปลี ผกั กาดหอม ถวั่ ลนั เตา มนั ฝร่ัง เปน็ ตน้
โดยทวั่ ไปพชื ผักฤดูหนาวจะแตกต่างจากพืชผกั ฤดรู อ้ น ดังต่อไปน้ี
1. สามารถทนต่ออากาศหนาวเยน็ ตำ่ กว่า 0 องศาเซลเซียส และนำ้ ค้างได้
2. เมล็ดสามารถงอกในดินที่มีอณุ หภมู ิต่ำๆได้
3. ระบบของรากหยั่งตืน้ กวา่ พชื ฤดรู อ้ น
4. ตอบสนองธาตุไนโตรเจนได้ดกี วา่ เช่น เมื่อให้ไนโตรเจนพชื ผกั ฤดหู นาวจะให้ ผลผลติ สงู ข้ึน
5. ต้องการนำ้ มากกว่าพชื ผกั ฤดรู อ้ น
6. ผลิตผลท่ีเกบ็ เกยี่ วมาแลว้ จะต้องเกบ็ ไวร้ อจำหนา่ ยในที่ท่ีมอี ุณหภมู ใิ กลๆ้ 0 องศาเซลเซยี ส ยกเวน้
มันฝรั่งซึง่ ต้องเก็บไวใ้ นอุณหภมู ิ 3.3 - 10 องศาเซลเซยี ส แตพ่ ืชผักฤดรู ้อนชนดิ เดียวที่ต้องเก็บผลผลิตไว้ท่ี 0
องศาเซลเซียส คอื ขา้ วโพด
7. ผลผลติ ทีน่ ำมาเกบ็ ไวห้ อ้ งที่มีอุณหภูมิ 0-10 องศาเซลเซยี ส จะไม่ทำใหเ้ กิด การเน่าเสีย ช้ำหรือ
เสยี หายเนอื่ งจากถูกอากาศเย็นจดั เกินไป (Chilling injury)
8. พชื ผัก 2 ฤดูบางชนิด มกั จะออกดอกในช่วงทอ่ี ุณหภูมิต่ำ เชน่ กะหล่ำปลี ถ้าได้รบั อากาศเย็นจัด
ตดิ ตอ่ กนั นานในระหวา่ งกำลงั เจริญเติบโตจะออกดอกก่อนถงึ อายทุ ่จี ะออกดอกจริงๆ
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3
ปจั จัยที่มผี ลต่อการเจริญเตบิ โตของพืชผัก
สาระสำคัญ
การเจริญเติบโตของพืชผักไมว่ า่ ชนิดใดก็ตามขน้ึ อยู่กับปัจจัยสำคญั พนื้ ฐาน ได้แก่ อณุ หภูมิน้ำ ดิน
แสงแดด ราตุอาหาร ซึ่งปัจจยั สำคัญทท่ี ำให้พชื ผักเจรญิ เติบโต และใหผ้ ลผลติ ดีทส่ี ุดน้ันจะต้องอยู่ในระดับ
ทเี่ หมาะสมไมม่ ากหรือน้อยเกินไปปัจจัยที่มีอทิ ธิพลต่อการเจริญเตบิ โตของพืชผักมี ดิน (Soil) นำ้ (Water)
อุณหภมู ิ (Temperature) แสงสว่าง (Light) อากาศ (Air) ธาตอุ าหาร (Mineral or Nutrient)
สมรรถนะประจำหนว่ ย
1. แสดงความรู้เกยี่ วกับปัจจยั ทม่ี ีผลตอ่ การเจริญเติบโตของพืชผกั
2. ทำการทดลองและสรปุ เก่ยี วกบั ปจั จยั ท่มี ผี ลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของพชื ผกั
จุดประสงค์การเรยี นรปู้ ระจำหน่วย
1 อธบิ ายปัจจัยทีม่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ การเจริญเตบิ โตของพืชผกั ได้
2. ทดลองการปลกู พชื ผกั ในดินประเภทต่างๆได้
3. บอกธาตอุ าหารหลักทพี่ ืชผกั ต้องการในการเจริญเติบโตได้
เน้ือหาสาระ
ปัจจัยทจ่ี ำเป็นตอ่ การเจริญเติบโตของพชื ปัจจัยควบคุมการเจริญเตบิ โตของพชื แบ่งออกเป็น 2
ประเภทคือ
1. ปจั จยั ท่มี าจากภายในพชื ไดแ้ ก่ พันธกุ รรม (genetic) ของพืช
2. ปจั จยั ทีม่ าจากภายนอกพชื ไดแ้ ก่ สภาพแวดล้อม (environment)
ปจั จยั ทง้ั สองประเภทน้ีมีสว่ นร่วมกันและสนับสนุนซ่งึ กันและกันในการกำหนดการเจริญเตบิ โตของ
พชื กล่าวคอื พันธกุ รรมเปน็ ส่ิงท่คี วบคมุ ให้พืชแต่ละชนดิ แต่ละพนั ธมุ์ ีลกั ษณะแตกต่างกันโดยพนั ธกุ รรม
เป็นตวั กำหนดขอบเขตสูงสดุ หรอื ศักย์ (potential) ทีจ่ ะเป็นไปได้ สว่ นสภาพแวดล้อมต่าง ๆ จะเป็นตวั
ควบคุมความสามารถในการแสดงออกของพนั ธกุ รรมในรูปของการเจริญเตบิ โตและการใหผ้ ลผลติ เชน่ ใน
กรณีที่พชื มพี ันธุกรรมท่ีให้ผลผลิตสงู หากนำมาปลูกในบริเวณทม่ี สี ภาพแวดล้อมไมเ่ หมาะสม พืชจะไม่
สามารถให้ผลผลิตสงู สดุ เต็มขีดความสามารถในการให้ผลผลติ ของพชื ได้ เพราะสภาพแวดล้อมควบคุม
ไมใ่ ห้พันธกุ รรมในพชื แสดงออกไดเ้ ต็มท่ี แต่ถา้ ปลูกในสภาพแวดลอ้ มที่เหมาะสมพืชจะให้ผลผลิตสูงสุดเต็ม
ขดี ความสามารถของพชื อยา่ งไรกต็ ามพืชจะไม่สามารถให้ผลผลติ สงู เกนิ กวา่ ขดี ความสามารถสงู สดุ ของ
พืชได้ เนื่องจากพนั ธกุ รรมได้แสดงออกเต็มขดี ความสามารถหรอื เต็มศกั ย์แลว้ อทิ ธพิ ลของแตล่ ะปัจจัยทมี่ ี
ตอ่ การเจริญเติบโตของพืชกล่าวโดยย่อคอื
1. ปัจจัยที่มาจากภายในพืช พชื พันธ์ุตา่ ง ๆ ประกอบด้วยจีน (gene) ซ่งึ เปน็ หนว่ ยทางพันธุกรรมขนาด
เลก็ อย่บู นโครโมโซม (chromosome) ในเซลล์ของสิง่ มีชีวติ เป็นหนว่ ยท่สี ืบทอดจากพ่อแมไ่ ปสูล่ ูก ทำ
หน้าทีค่ วบคมุ ลักษณะต่าง ๆ ของสงิ่ มชี วี ิตท้งั ลักษณะท่สี ามารถมองเห็นได้ เชน่ รูปรา่ ง ทรงต้น ความสูง
ลักษณะใบ ลกั ษณะดอก รูปทรงผลเป็นตน้ และลกั ษณะทไ่ี ม่สามารถมองเหน็ ได้ เช่น คุณภาพของผลผลติ
( น้ำตาล แป้ง ไขมัน โปรตีน ) การใช้น้ำ การใชอ้ าหารแร่ธาตุ เปน็ ต้น นกั ปรบั ปรงุ พันธ์ุพืชจงึ ไดน้ ำ
หลักการน้มี าใช้ในการผสมพันธ์ุพืชให้มีลักษณะดตี ามความต้องการ การเลือกใช้พันธุท์ ี่ดีประกอบกบั การ
จัดการใหส้ ภาพแวดล้อมอน่ื ๆ เหมาะสมต่อการเจรญิ เตบิ โตของพชื ยอ่ มทำใหผ้ ลผลิตสูงขน้ึ การเลือกใช้
พนั ธ์ทุ ีด่ นี บั เปน็ ทางลดั ในการเพาะปลูกเพราะทำให้มโี อกาสทจี่ ะไดผ้ ลผลติ สงู ขึน้ อย่างทไ่ี ม่เคยเปน็ มากอ่ น
ปัจจัยทจ่ี ำเป็นต่อการเจรญิ เติบโตของพชื
2. ปจั จัยทมี่ าจากภายนอกพืช คือสภาพแวดล้อมซึ่งประกอบดว้ ย
1. แสง (radiant energy) แสงเป็นแหลง่ พลงั งานสำหรบั พชื ในขบวนการสังเคราะห์แสง
แสงที่พชื ไดร้ ับสว่ นใหญเ่ ปน็ แสงซึง่ มาจากดวงอาทติ ย์ซึง่ เปน็ แสงสีขาว ประกอบด้วยแสงสีต่าง ๆ
ได้แก่ มว่ ง น้ำเงนิ เขียว เหลือง ส้ม แดง ซึ่งเราเรยี กวา่ สเปกตรัม (spectrum) ชนิดของแสงสตี า่ ง ๆ อาจ
มีผลตอ่ ประสิทธิภาพในการสังเคราะห์แสงของพชื แตกต่างกนั เชน่ แสงสีแดง นำ้ เงนิ เขียวและเหลืองเปน็
แสงท่ีมีประสิทธภิ าพสูงหรอื เหมาะสมสำหรับกระบวนการสงั เคราะหแ์ สง แสงสีม่วงจะมีประสทิ ธิภาพใน
กระบวนการสังเคราะห์แสงต่ำมาก อย่างไรก็ตามเม่ือพิจารณาในสภาวะที่พืชเจริญเตบิ โตตามธรรมชาติ
ชนิดของแสงสีจะไม่ค่อยมผี ลต่อการเจริญเตบิ โตของพืชมากนักเนื่องจาก แสงอาทิตย์ไม่มโี อกาสมากนักท่ี
จะแตกแยกเปน็ แถบสีตา่ ง ๆ ก่อนทจี่ ะตกกระทบใบพืช ยกเวน้ กรณขี องสาหรา่ ยซ่งึ แสงต้องผา่ นนำ้ ก่อนทำ
ให้แสงสีขาวแตกแยกออกเปน็ แสงสไี ด้หรอื ในกรณีที่เกิดร้งุ กินนำ้ แตก่ เ็ กิดเป็นปริมาณนอ้ ยและมชี ว่ งเวลา
ส้ันมาก
พชื แตล่ ะชนดิ มคี วามต้องการความเข้มของแสงแตกตา่ งกนั ไป พชื ท่ชี อบร่มเงา (shade plant) ถา้
ไดร้ ับความเขม้ ของแสงมากอาจเปน็ โทษ ทำให้ใบเหลือง แคระแกรน พืชท่ชี อบแสง (sun plant) เชน่ พืช
ไร่ พชื สวนท่วั ไปจะต้องการความเขม้ ของแสงมาก อย่างไรกต็ ามแสงไมน่ า่ จะเปน็ ปจั จัยท่ีควบคุมผลผลติ
ของพชื ในประเทศไทยเน่ืองจากประเทศไทยอยู่ในเขตมรสุมและใกลเ้ สน้ ศนู ยส์ ตู ร มมุ แสงตกกระทบพ้นื ท่ี
เกือบตั้งตรง ทำให้มคี วามเขม้ แสงสูง แมใ้ นวนั ทฝี่ นตกหรือมีเมฆหมอกปกคลุมกม็ ีความเขม้ แสงเพยี งพอ
สำหรับพชื ส่วนในวันทฟี่ ้าโปร่งจะมคี วามเข้มแสงมากเกินพอ
2. น้ำ (water) มีความสำคญั ตอ่ พืชเนื่องจากเปน็ วตั ถดุ บิ ในกระบวนการสงั เคราะห์แสงและ
เกี่ยวข้องกับปฏกิ ิรยิ าต่าง ๆ ในพืชทำให้ปฏิกริ ิยาต่าง ๆ ดำเนินไปได้ นำ้ ยงั เปน็ องคป์ ระกอบของ
สารประกอบในพืช ในพืชสดจะมีน้ำอยู่ประมาณร้อยละ 75-92 เพราะน้ำจำเปน็ สำหรับกระบวนการต่าง
ๆ ในพืช เชน่ กระบวนการแบ่งเซลล์และการขยายตวั ของเซลล์ (cell division and cell elongation)
นอกจากนนี้ ้ำยงั ทำให้เซลลพ์ ืชเตง่ ตวั ชว่ ยในการเคลื่อนย้ายสารต่าง ๆ ภายในพชื และยังเป็นตวั การสำคัญ
ในการรกั ษาอุณหภูมใิ หค้ งที่ภายในพชื
ปจั จยั ทีม่ าจากภายนอกพชื
3. อากาศ (soil air and atmosphere)
3.1) อากาศในบรรยากาศ สว่ นใหญ่ประกอบด้วยก๊าซไนโตรเจน ( รอ้ ยละ 78) กา๊ ซออกซิเจน (
รอ้ ยละ 20.96) ก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ ( ร้อยละ 0.03) ไอนำ้ และกา๊ ซเฉื่อย ก๊าซไนโตรเจนในอากาศพชื
ชน้ั สงู ไม่สามารถนำไปใช้ไดโ้ ดยตรงยกเวน้ พชื ตระกูลถ่วั ซ่ึงมีจลุ นิ ทรยี ท์ ่ปี มของรากเปน็ ตัวใช้ไนโตรเจน กา๊ ซ
ออกซเิ จนในอากาศจำเปน็ ต่อการหายใจของพืช สว่ นก๊าซคาร์บอนไดออกไซดใ์ นอากาศ พชื ใช้เป็นวตั ถุดิบ
รว่ มกับน้ำในกระบวนการสังเคราะห์แสง อากาศในบรรยากาศจะมปี ริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ค่อนข้างคง
ตัวและมากเพยี งพอตอ่ ความตอ้ งการของพชื ดังน้ันปริมาณของกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ในอากาศจงึ ไม่ใช่
ปจั จัยทค่ี วบคมุ ผลผลติ ของพืชไม่วา่ จะปลกู บริเวณใดในโลก
3.2) อากาศในดิน ดนิ ที่เหมาะตอ่ การเจริญเตบิ โตของพืชควรเป็นดินทปี่ ระกอบดว้ ยส่วนท่เี ปน็
ของแข็งร้อยละ 50 โดยปรมิ าตร และส่วนทีไ่ ม่ใชข่ องแข็งร้อยละ 50 โดยปรมิ าตร ซงึ่ ประกอบด้วยน้ำร้อย
ละ 25 และอากาศร้อยละ 25 โดยปรมิ าตรอากาศในดินส่วนใหญป่ ระกอบดว้ ยก๊าซชนดิ ตา่ ง ๆ
เช่นเดยี วกบั อากาศในบรรยากาศคือ กา๊ ซไนโตรเจน ( ร้อยละ 78 โดยปรมิ าตร ) ออกซิเจน ( รอ้ ยละ 1-20
โดยปรมิ าตร ) และคาร์บอนไดออกไซด์ ( รอ้ ยละ 1-15 โดยปริมาตร ) แตเ่ มื่อเปรียบเทียบปริมาณของ
กา๊ ซแต่ละชนิดระหวา่ งอากาศในดนิ กับอากาศในบรรยากาศแลว้ พบวา่ อากาศในดินจะมีก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์และไอนำ้ มากกวา่ แตจ่ ะมีก๊าซออกซิเจนตำ่ กว่า ส่วนก๊าซไนโตรเจนมีปริมาณเท่ากนั
องค์ประกอบของอากาศในดินจะเปล่ยี นแปลงไดม้ ากน้อยเพียงใดขึน้ อยู่กับปริมาตรของช่องว่างของอากาศ
ในดิน กระบวนการทางชีวภาพในดนิ และอตั ราการเคล่ือนที่เข้าออกหรือการถา่ ยเทระหวา่ งอากาศในดิน
และอากาศเหนือดิน
สัดส่วนดที ่มี คี ณุ ภาพดี
การถ่ายเทอากาศในดิน หมายถึงการถ่ายเทกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์จากอากาศในดินออกไปสบู่ รรยากาศ
และทดแทนก๊าซออกซิเจนของอากาศในดนิ ดว้ ยออกซิเจนจากอากาศในบรรยากาศ อากาศในดนิ มผี ลต่อ
การเจริญเตบิ โตของพืช กา๊ ซไนโตรเจนในดนิ เปน็ แหล่งไนโตรเจนของพชื ช้นั ต่ำบางชนิดและพืชตระกูลถว่ั
กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ในดนิ ไมเ่ ป็นประโยชน์ตอ่ การสงั เคราะห์แสง แตม่ ผี ลต่อการเจริญเตบิ โตของพืช
เช่น ช่วยละลายธาตอุ าหารพืชในดินออกมาเป็นประโยชน์ต่อพืช
กา๊ ซออกซเิ จนในดนิ เปน็ สง่ิ จำเป็นสำหรับส่งิ มชี ีวติ ในดินรวมท้งั รากพืชซึง่ ตอ้ งหายใจเอาออกซิเจนจาก
อากาศในดิน ยกเวน้ ขา้ วนาลุม่ และนาน้ำลึกซึ่งมีกลไก (mechanism) ทส่ี ามารถดงึ เอาออกซิเจนจาก
บรรยากาศลงไปให้รากพชื หายใจได้ กา๊ ซออกซเิ จนในดินมีผลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของพืช คือช่วยในการ
เจรญิ เติบโตและการแพร่กระจายของรากทำให้พืชมีพน้ื ที่ผิวในการดูดนำ้ และอาหารมากขึ้น นอกจากนีพ้ ชื
ยังใช้ออกซิเจนในกระบวนการหายใจเพอ่ื จะไดพ้ ลังงานมาใชใ้ นการดดู กินธาตุอาหารจากดินหากดินมี
ออกซเิ จนน้อยพืชจะมีพลงั งานในการดดู นำ้ และธาตุอาหารนอ้ ยนอกจากนี้ก๊าซออกซเิ จนยงั ชว่ ยป้องกัน
ไมใ่ ห้เกดิ สารพิษบางอย่างข้นึ กบั พชื เชน่ ก๊าซมีเทนซ่งึ เกิดจากการเนา่ เป่ือยผุพงั ของอินทรยี วัตถใุ นดินใน
สภาพทีม่ อี อกซเิ จนไมเ่ พียงพอ ส่วน Fe+2และ Mn+2 ที่เกดิ ขึ้นในสภาพทข่ี าดออกซิเจนและสามารถ
ละลายไดง้ า่ ยอาจเป็นพิษต่อพืชไดห้ ากพชื ดูดเข้าไปเป็นปริมาณมาก
4. อณุ หภูมิ (temperature) จะอธิบายแยกรายละเอยี ดเป็น 2 กรณคี ือ อุณหภมู ิของอากาศมผี ลต่อการ
หายใจของพืช พืชจะหายใจช้าเม่อื อุณหภูมิต่ำและหายใจเร็วเม่อื อุณหภูมสิ งู ในกรณที ีอ่ ุณหภูมิสงู เกนิ ไป
พชื จะหายใจเรว็ ซึ่งจะเป็นผลใหพ้ ชื มีการใช้อาหารมากกวา่ การสรา้ งอาหารจากกระบวนการสังเคราะหแ์ สง
ทำใหพ้ ืชเจริญเตบิ โตช้าหรอื อาจตายได้ โดยปกติอุณหภูมิทเ่ี หมาะสมท่ีทำให้สิ่งมชี วี ติ เจรญิ เตบิ โตได้ดที ีส่ ุด
คอื 15-40 °C สว่ นอณุ หภมู ิของดินมีความสำคญั ต่อการเจริญเติบโตของพชื ดงั นี้
ก. เก่ียวขอ้ งกับการสะสมคาร์โบไฮเดรต การสะสมคารโ์ บไฮเดรตในต้น ใบและรากพชื จะลดลง
เมอ่ื อณุ หภมู ิสงู ขนึ้ เน่ืองจากพืชจะหายใจเร็วทำให้มกี ารใช้คาร์โบไฮเดรตมากจึงมีคาร์โบไฮเดรตเหลืออยู่
น้อย
ข. เกีย่ วข้องกบั การเคลอ่ื นย้ายอาหารภายในตน้ พชื การเคล่อื นยา้ ยน้ำตาลจากใบไปยังรากจะเกดิ
ไดเ้ ร็วท่อี ุณหภูมิ 20-30 °C พืชตา่ งชนดิ กันจะมีระดับอุณหภมู ทิ เี่ หมาะสมในการเคลื่อนย้ายอาหารแตกต่าง
กนั
ค. มอี ทิ ธพิ ลต่อการดูดนำ้ และการดดู กินธาตุอาหารพชื เน่อื งจากอุณหภูมมิ ผี ลตอ่ การหายใจซง่ึ จะ
ได้พลังงานมาใช้ในการดดู นำ้ และธาตุอาหาร อณุ หภูมจิ ะมีอิทธิพลต่อการดูดน้ำและธาตุอาหารพชื มากใน
ดินท่มี คี วามอุดมสมบูรณ์ต่ำ แตจ่ ะมีอิทธิพลต่อการดูดน้ำและธาตุอาหารพชื น้อยในดินท่ีมีความอดุ ม
สมบูรณส์ งู
ในประเทศร้อนอุณหภูมิของดินจะมีปัญหาในแง่ทด่ี ินจะร้อนเกินไป และในแง่ท่อี ุณหภมู ิของดินมี
การเปลีย่ นแปลงมากเกนิ ไประหว่างช่วงเวลากลางวนั และกลางคืน ความแตกต่างของอุณหภมู ดิ นิ ระหวา่ ง
ช่วงเวลากลางวันและกลางคืนจะทำให้รากพชื เจรญิ ไมเ่ ต็มที่ ซึง่ มผี ลให้การเจริญของพชื ลดลง วธิ กี าร
ควบคุมไม่ให้อุณหภมู ิของดนิ มีการเปลยี่ นแปลงมากเกนิ ไปในชว่ งเวลากลางวันและกลางคืนทำได้ 2 วธิ ีคอื
ก. ปลกู พืชคลมุ ดิน (cover crop) พชื คลมุ ดินจะชว่ ยบงั แสงแดดไม่ใหส้ อ่ งกระทบพื้นดินโดยตรง
ในเวลากลางวนั ส่วนในเวลากลางคืนชว่ ยให้การถา่ ยเทความรอ้ นระหว่างดินและอากาศชา้ ลง ทำให้
อุณหภูมิของดนิ เปลีย่ นแปลงน้อย
ข. ใชว้ สั ดคุ ลุมดิน (mulching) การใช้วัสดคุ ลุมดนิ จะชว่ ยให้อณุ หภูมิของผิวดินและดนิ ล่าง
เปลี่ยนแปลงนอ้ ยเม่ือเปรียบเทียบกบั การไม่ใชว้ สั ดุคลมุ ดิน
5. สง่ิ มชี ีวติ อ่นื ๆ ทอ่ี ยรู่ ว่ มกับพชื (biotic factor) หมายถงึ สง่ิ มชี วี ิตทง้ั หลายที่อยูใ่ นบรเิ วณเดียวกับพืช
เชน่ เช้อื โรคท่ที ำลายพชื แมลงที่กินใบ ต้น ดูดน้ำเลย้ี งและเป็นพาหะของโรค วชั พืชที่แยง่ นำ้ อาหาร
อากาศจากพืชปลูก และเปน็ แหลง่ สะสมโรคแมลง
6. แรธ่ าตุอาหาร หมายถงึ ธาตอุ าหารท่ีจำเปน็ สำหรับการเติบโตของพชื ซ่ึงสามารถถกู จัดได้จากเกณฑค์ ือ
1 ถ้าเกิดพืชขาดสารอาหารน้ีแลว้ ทำให้พชื ไม่สามารถเติบโตตามวงจรชวี ติ ได้ตามปกติ
2 สารนนั้ เปน็ ส่วนประกอบท่ีสำคัญของพืชหรือส่วนประกอบของสารตวั กลางในกระบวนการ
สร้างและสลายของสารนน้ั ๆ
ธาตอุ าหารท่ีจำเป็นต่อการเจรญิ เตบิ โตของพชื มี 17 ชนิด โดย 3 ชนดิ พชื ได้รบั มาจากน้ำ และอากาศ
ประกอบด้วยคาร์บอน (C) พืชได้จากคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ ไฮโดรเจน (H) และ ออกซเิ จน (O) พืช
ได้จากนำ้ สว่ นทเี่ หลืออกี 14 ชนิด เป็นแร่ธาตทุ ่ีอย่ใู นดนิ แบ่งตามความตอ้ งการของพชื ได้ดังนี้
1) ธาตุอาหารหลัก เป็นธาตุที่พชื ตอ้ งการในปริมาณมาก และดนิ มักจะขาด หรือมีไม่เพียงพอต่อ
ความตอ้ งการของพืช ประกอบด้วย ไนโตรเจน (N, เอน็ ) ฟอสฟอรัส (P, พี) โพแทสเซียม (K, เค) ในการ
ปลกู พชื ถา้ ดินขาด เราต้องเติมธาตุอาหารในรูปของปยุ๋ ซงึ่ ประกอบด้วยธาตุอาหาร 3 ตัวนเี้ ปน็ หลกั
2) ธาตุอาหารรอง เปน็ ธาตุท่ีพืชใชใ้ นปริมาณน้อยกวา่ ธาตุอาหารหลัก ประกอบดว้ ย แคลเซย๊ ม
(Ca) แมกนีเซยี ม (Mg) กำมะถัน (S) ดนิ สว่ นใหญย่ งั ไม่ขาด
3) จลุ ธาตุ เปน็ ธาตอุ าหารท่ีพืชตอ้ งการในปริมาณน้อยมาก เมอื่ เปรียบเทยี บกบั ธาตุอาหารหลัก
และธาตอุ าหารรอง แต่พชื จะขาดไมไ่ ด้เชน่ กัน ประกอบด้วย เหล็ก (Fe) แมงกานสี (Mn) สังกะสี (Zn)
ทองแดง (Cu) คลอรนี (Cl) โบรอน โมลิบดินัม (Mo) และนิเกลิ (Ni)
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 4
มาตรฐานการผลติ พืชผักตามการปฏิบัติทางการเกษตรที่ด(ี GAP)
สาระสำคัญ
มาตรฐานการผลิตพชื ตามการปฏบิ ัติทางการเกษตรทดี่ ี(GAP) : Good Agricultural Practice
หมายถงึ ระบบการผลิตท่ีถูกต้องในฟารม์ โดยพิจารณาตั้งแต่พ้ืนที่การเพาะปลูก ตลอดถึงข้นั ตอนการดูแล
รกั ษา จนกระท่ังถงึ ขั้นตอนการเกบ็ เก่ียว และการจดั การหลังเกบ็ เกย่ี ว
สมรรถนะประจำหน่วย
แสดงความรเู้ บ้ืองตน้ เกย่ี วกบั พชื ผักตามหลักการและกระบวนการการปฏบิ ัตทิ างการเกษตรท่ดี ี (GAP)
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรูป้ ระจำหนว่ ย
เน้อื หาสาระ
การปฏิบตั ทิ างการเกษตรทด่ี ี(Good Agricultural Practices: GAP) หมายถงึ แนวทางในการท า
การเกษตร เพ่ือให้ได้ผลผลติ ที่มีคุณภาพดีและปลอดภัยตามมาตรฐานทก่ี าหนด โดยขบวนการผลติ จะต้อง
ปลอดภยั ตอ่ เกษตรกรและผ้บู รโิ ภค ปราศจากการปนเปื้อนของสารเคมไี ม่ท าใหเ้ กดิ มลพิษต่อสิ่งแวดล้อมมีการ
ใชท้ รพั ยากรใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสดุ ได้ผลผลติ สูงคุม้ คา่ การลงทุน การผลิตตามมาตรฐาน GAP ก่อใหเ้ กิดความ
ยั่งยืนทางการเกษตร ส่ิงแวดลอ้ ม เศรษฐกิจ และสังคม
มาตรฐาน GAP เปน็ มาตรฐานทค่ี รอบคลุมการผลิตสนิ คา้ เกษตรอยา่ งครบวงจร ต้งั แต่ ปัจจยั การผลิต
การผลิต การเก็บเก่ยี ว การจัดการหลงั การเกบ็ เกีย่ ว การบรรจุหีบหอ่ และการขนส่งการผลิต
การปฏบิ ัตทิ างการเกษตรท่ดี ีสำหรับพืช (GAP พชื )
การปฏบิ ัตทิ างการเกษตรที่ดีสำหรับพชื เป็นมาตรฐานการปฏบิ ัติทีร่ ะบุรายละเอยี ดขอ้ ก าหนดด้าน
การจัดการกระบวนการผลติ ท่ีจำเปน็ สำหรบั การปฏิบตั ทิ ่ีดีทางการผลิตพชื ทุกชนิด โดยคำนึงถงึ ส่ิงแวดล้อม
สุขภาพความปลอดภัยและสวัสดภิ าพของผปู้ ฏบิ ัติงาน เพ่ือให้ไดผ้ ลผลิตทมี่ คี ณุ ภาพ ปลอดภยั ปลอดจาก
ศัตรพู ืชเหมาะสมกับการบรโิ ภค และมีคุณภาพเป็นที่พึงพอใจของผู้บริโภค
1. แหลง่ น้ำ
- แหลง่ น้ำต้องสะอาด ไมม่ ีการปนเปอ้ื นของวตั ถุหรือสิ่งท่ีเป็นอนั ตราย
2. พืน้ ท่ปี ลกู
- ต้องไม่มีวตั ถุหรอื ส่ิงท่ีเปน็ อันตรายที่จะท าใหเ้ กดิ การตกค้างหรือปนเปื้อน
3. การใชว้ ัตถอุ ันตรายทางการเกษตร
- ใช้ตามคำแนะนำ หรืออา้ งอิงของกรมวิชาการเกษตร หรือตามฉลากทข่ี ึ้นทะเบยี นอยา่ งถูกต้องกบั
กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- ใชส้ ารเคมที ี่ประเทศคู่คา้ อนุญาตให้ใช้
- หา้ มใช้วัตถุอันตรายท่รี ะบุในทะเบียนวตั ถุอันตรายที่ทางราชการห้ามใช้
4. การจัดการกระบวนการผลิตเพอ่ื ให้ได้ผลิตผลคณุ ภาพ
- ปฏิบัติและจดั การการผลติ ตามแผนควบคุมการผลติ
5. การผลิตให้ปลอดจากศัตรูพืช
- สำรวจ ปอู งกัน และกำจัดศัตรูพชื อยา่ งถกู ต้อง
- ผลติ ผลท่ีเกบ็ เกีย่ วแล้วต้องไมม่ ีศัตรูพืชตดิ อยู่ ถ้าพบต้องคัดแยกไวต้ า่ งหาก
6. การเกบ็ เกยี่ วและการปฏบิ ัตหิ ลังการเก็บเก่ยี ว
- เก็บเกยี่ วผลผลิตในระยะเวลาทเี่ หมาะสมตามแผนควบคมุ การผลิต
- อปุ กรณภ์ าชนะบรรจุท่ีใชร้ วมถงึ วิธกี ารเก็บเกยี่ ว ต้องสะอาด ไมก่ ่อให้เกดิ อนั ตรายตอ่ คุณภาพของ
ผลติ ผล และไมป่ นเปื้อนสงิ่ อันตรายทมี่ ีผลตอ่ การบรโิ ภค
- คัดแยกผลิตผลที่ไม่มีคุณภาพไว้ตา่ งหาก
7. การเกบ็ รกั ษาและการขนย้ายผลติ ผลภายในแปลงเพาะปลูก
- สถานท่ีเก็บรกั ษาต้องสะอาด อากาศถ่ายเทได้ดีสามารถปูองกันการปนเป้ือนของวัตถุ แปลกปลอม
วัตถุอันตราย และสตั ว์พาหะน าโรค
- อปุ กรณ์และพาหนะในการขนย้ายต้องสะอาด ปราศจากการปนเปื้อนส่งิ อันตรายทีม่ ีผล ต่อ ความ
ปลอดภัยในการบรโิ ภค
- ตอ้ งขนย้ายผลิตผลอย่างระมัดระวงั
8. สุขลักษณะส่วนบคุ คล
- ผู้ปฏิบตั ิงานตอ้ งมคี วามรู้ทเี่ หมาะสม หรอื ผา่ นกระบวนการอบรมการปฏบิ ัตทิ ถี่ ูกตอ้ ง และถูก
สขุ ลกั ษณะ
- มกี ารดแู ลสุขลักษณะส่วนบคุ คล เพ่ือปอู งกันไมใ่ ห้ผลิตผลเกิดการปนเป้ือนจากผู้ท่ีสัมผัสกบั ผลิตผล
โดยตรง โดยเฉพาะในขน้ั การเกบ็ เกยี่ วและหลังการเก็บเกยี่ วสำหรบั พืชท่ใี ช้บรโิ ภคสด
9. การบนั ทกึ ข้อมลู
- บันทกึ ขอ้ มูลเกีย่ วกับปจั จัยการผลติ การใชว้ ตั ถุอนั ตรายทางการเกษตร ข้อมูลการขยายผลผลติ
รวมถึงการปฏบิ ัตใิ นทุกขนั้ ตอน
- ต้องมีการบนั ทกึ ข้อมลู การสำรวจและการปูองกนั การก าจดั ศัตรพู ืช
- ต้องมกี ารบนั ทกึ ข้อมลู ผู้รบั ซือ้ ผลติ ผล หรอื แหลง่ ท่ีนำผลิตผลในแตล่ ะรุ่นไปจำหน่าย
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 5
การวางแผนการผลติ การปลกู และการดูแลรักษาพชื ผัก
สาระสำคญั
การทำสวนผักไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีสวนผักอยู่แล้วหรือกำลังจะเริ่มทำจำเป็นต้องมีการวางแผนที่ดี
มฉิ ะน้ันจะประสบความล้มเหลวในการทำสวนผักได้ เพราะพชื ผกั ส่วนใหญ่มีอายเุ ก็บเก่ียวส้ันต้องทำการปฏิบัติ
บำรุงรักษา และการเกบ็ เกย่ี วอย่างประณีต อีกท้งั ผลิตผลทไี่ ดย้ งั มีความปรวนแปรของราคาอยู่เสมอ ดว้ ยเหตุน้ี
จึงต้องศึกษาปัจจัยต่างๆ ในการทำสวนผัก เพื่อนำมาเป็นแนวทางการวางแผนเพื่อให้สวนผักที่ทำการปลูกอยู่
นั้นประสบผลสำเร็จในทุกด้านสิ่งสำคัญที่จะสามารถทำให้แผนการที่วางไว้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่ นที่สุดก็คือ
เงินทุน เพราะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การดำเนินการทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่ถ้าหากขาดผู้บริหารที่ดีก็จะไม่
สามารถบรรลวุ ตั ถุประสงค์ไดเ้ ช่นกนั
สมรรถนะประจำหนว่ ย
จดุ ประสงค์การเรียนร้ปู ระจำหนว่ ย
เนอื้ หาสาระ
ในการผลิตพชื ผักเพ่อื ให้ได้ผลผลติ ต่อไร่และมคี ุณภาพนน้ั จำเป็นท่ีจะต้องให้ความสำคญั ตง้ั แตก่ าร
เลอื กเมล็ดพันธ์กุ ารปลกู การใส่ปยุ การให้นำ้ ซงึ่ ส่ิงเหล่าน้ี เป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มประสทิ ธภิ าพ
การผลิต
1 เมลด็ พนั ธ์ุพืชผกั
เมล็ดพนั ธ์ุ คอื เมล็ดพชื ท่ีมีชีวติ ซึง่ เมื่อนำไปปลูก หรือนำไปขยายพนั ธ์แุ ลว้ จะไดต้ น้ ที่เจริญงอกงามตรง
ตามพันธกุ รรมของพชื น้ัน เมล็ดพนั ธุเ์ สื่อมคุณภาพไดเ้ มือ่ เก็บรกั ษาเมลด็ พนั ธ์เุ ป็นเวลานานเกินไป หรอื ไม่ถกู วธิ ี
ดังน้ัน ในการใช้เมลด็ พันธพ์ุ ืชผกั เพื่อนำมาปลูกตอ้ งคำนึงถงึ
1.1 ตรงตามพนั ธทุ์ ี่ต้องการ คือให้ผลผลิตท่ีมลี ักษณะตรงตามความต้องการของผูป้ ลูกโดยคำนึงถงึ
ความตอ้ งการของตลาด
1.2 เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อมของพนื้ ท่ปี ลกู เชน่ การปลูกในฤดูร้อนต้องใชพ้ ันธท์ุ ่ีทนร้อน เปน็ ตน้
1.3 เมล็ดพันธท์ุ ี่นำมาใชค้ วรมีอตั ราความงอกสูงและไมห่ มดอายโุ ดยสังเกต วนั เดอื น ปีท่ีเกบ็ และวนั
หมดอายุ อยู่ในภาชนะทป่ี ดิ สนิท
1.4 ควรเลือกซ้ือเมลด็ พันธจุ์ ากแหลง่ ทเ่ี ชือ่ ถอื ได้
2 อัตราการใชเ้ มล็ดพนั ธ์ุ
อตั ราการใชเ้ มลด็ พันธุ์มีความแตกตา่ งตามชนิดพืชผกั ขนาดของเมลด็ ซึ่งแบ่งกลุม่ ตามชนดิ พืชที่
เกษตรกรนยิ มผลิตได้ 4 กลุ่ม ตามตารางท่ี 1
ตารางที่ 1 แสดงอัตราการใช้เมลด็ พนั ธุพ์ ชื ผกั ตระกลู ต่างๆ
2.3.1 วัสดเุ พาะและอปุ กรณ์
การเพาะเมล็ดพันธพุ์ ชื ผกั ท่ีนิยมมี 2 วิธี ซ่งึ ใช้วธิ ที ่แี ตกต่างกนั ดงั นี้
การเพาะในแปลงเพา
เปน็ ท่นี ิยมของเกษตรกร โดยเลือกบรเิ วณใกล้ท่ีอยูอ่ าศัย สะดวกตอ่ การดแู ล ดนิ มีความอุดมสมบูรณ์ดี
น้ำไมท่ ว่ ม และไม่ควรมีต้นไม้ใหญ่หรือบ้านเรือนบังแสงแ่ ดด เพื่อใหต้ น้ กล้าไดร้ ับแสงแดดเพียงพอ การเตรยี ม
แปลงเพาะกล้าควรมขี นาดกวา้ ง1 เมตร ความยาวตามตอ้ งการ และสะดวกตอ่ ผูด้ ูแลแปลง ขุดดนิ ตากแดด
ประมาณ 10-15 วัน ย่อยดินใหล้ ะเอยี ด ใสป่ ุ๋ยคอกหรือปยุ๋ หมัก ยกแปลงสงู ประมาณ 10 เซนติเมตร เกล่ียหนา้
แปลงใหเ้ รียบ หว่านเมลด็ กระจายให้ทั่วแปลงหรือโรยเป็นแถว ใหแ้ ต่ละแถวหา่ งกันประมาณ 15-20
เซนติเมตรเกล่ยี ดนิ กลบบางๆ แล้วรดนำ้ ควรคลุมดนิ ด้วยแกลบหรือฟางแหง้ เพือ่ รักษาความชนื้
การเพาะกลา้ ในภาชนะ
การเพาะในถาดเพาะ เปน็ วิธีทนี่ ิยมในปัจจุบนั เหมาะสำหรับเมลด็ พนั ธท์ุ ี่มีราคาแพง และขนาดเลก็
เพราะสะดวกในการดูแลกล้า ใชพ้ น้ื ที่ไมม่ ากนกั ทั้งการให้น้ำและจัดการศตั รูพืช เคล่ือนย้ายง่าย ทราบจำนวน
ต้นกล้าแน่นอน โดยถาดเพาะมหี ลายขนาด เช่น 50, 60, 72, 104 และ200 หลุม เปน็ ต้น เกษตรกรควรเลือก
ถาดเพาะใหเ้ หมาะสม โดยพจิ ารณาจากระยะเวลาทต่ี นั กลา้ อยู่ในถาดเพา:น้นั เช่น การเพาะกล้าผกั สลดั ท่ีใช้
เวลาตงั้ แตง่ อกถงึ ยา้ ยปลูกประมาณ 15-20 วัน ใช้ถาดเพาะทม่ี ีจำนวนหลุมมาก เช่นถาดเพาะขนาด 104 หลุม
เพราะถาดเพาะมีขนาดทพ่ี อเหมาะต่อการเจริญเตบิ โตของตน้ กล้า
การเพาะ หรือ เลอื กดินในบริเวณทีไ่ มเ่ ปน็ แหลง่ สะสมของโรคแมลง กระบะเพาะควรมีขนาดประมาณ 45x60
ซม. หรอื ขนาดใกล้เคียง ลกึ ไมเ่ กนิ 10 ชม.มีรูระบายน้ำได้ ใส่วสั ดเุ พาะแลว้ ใช้ไม้กดเป็นร่องหา่ งประมาณ 3-4
ชม.ลกึ 1 ชม. โรยเมลด็ ในร่องแล้วกลบดินเบาๆ ใช้กระดาษหนงั สอื พิมพค์ ลุมปดิ ไวจ้ ึงรดน้ำเพื่อเพม่ิ ความชน้ื
และความเสยี หายจากการรดนำ้ จนกระทัง่ เมล็ดเร่มิ งอก จึงเปดิ กระดาษออก
ㆍการเพาะในถงุ พลาสตกิ เพาะ นยิ มใช้เพราะมีขนาดเพียงพอต่อการเจรญิ เตบิ โต รากได้รับการ
กระทบกระเทอื นน้อย ต้นกล้าฟ้นื ตวั ไดเ้ รว็ แต่ค่าใชจ้ า่ ยค่อนข้างสูง เพราะไมส่ ามารถนำกลบั มาใช้อีกครั้ง
สำหรบั วัสดุสำหรบั เพาะกล้าควรใช้ ดนิ ละเอียด ปยุ๋ คอกหรือปุย๋ หมกั ทรายละเอยี ด ขยุ มะพรา้ ว ในอตั ราสว่ น
เทา่ ๆ กัน และเกษตรกรควรคำนวณระยะเวลาในการเตรยี มแปลง เพอ่ื ย้ายปลูกให้สอดคล้องกนั กับการ
เจรญิ เตบิ โตของต้นกลา้
2.3.2 เทคนคิ และวธิ กี ารดูแลกลา้ ผกั
การรดน้ำ ควรใช้บัวฝอยรดวนั ละ 2 ครงั้ เชา้ -เยน็ ระวงั ไม่ใหแ้ ฉะเกินไปการทำรม่ หากบริเวณที่เพาะ
กลา้ ได้รบั แสงแดดตลอดวันควรทำรม่ ใหใ้ นระยะแรก ให้ได้รับแสงแดดในช่วงเช้าก่อน 8.00 น. และช่วงบ่าย
หลงั 16.00 น. แล้วค่อยเพ่ิมการรบั แสงแดดจนกลา้ มอี ายุ 2 สัปดาห์และแข็งแรงมากพอ จงึ ให้รับแสงแดดได้
ตามปกติการถอนแยก และถอนตน้ กล้าท่ีเปน็ โรคทิง้ โดยเฉพาะการเพาะในแปลงเพาะที่ตน้ กลา้ อาจจะชดิ กัน
เกนิ ไป ทำให้เปน็ โรค ควรถอนต้นท่ีอ่อนแอและเปน็ โรคออก เพื่อใหเ้ กิดระยะห่างสามารถรับแสงแดดอย่าง
สม่ำเสมอจะทำใหต้ ้นกล้าแข็งแรงทนทานต่อโรคควรรดนำ้ ปูนใสผสมน้ำ อัตราสว่ น 1:5 เพื่อป้องกันโรค (การ
ทำน้ำปูนใส ใหใ้ ชป้ ูนขาว 5 กก.ผสมน้ำ 20 ลติ ร กวนใหเ้ ข้ากนั ท้งิ ไว้ 1 คืนให้ตกตะกอน นำน้ำส่วนท่ใี สผสม
น้ำรดผัก)
2.4 การเตรยี มแปลงปลกู
ปัจจุบนั พ้ืนท่ีการเกษตรในประเทศไทยมกี ารปลูกพชื ซ้ำในพน้ื ทเี่ ดมิ และมีการใช้ปุยเคมีอยู่เปน็ ประจำ
ทำใหบ้ างพื้นที่ ดนิ มสี ภาพเป็นกรดหรอื ด่างเกินกว่าพืชผกั จะเจรญิ เตบิ โตได้ ดังนน้ั ก่อนเตรียมแปลงปลกู ควร
นำดินสง่ ให้กรมพฒั นาทด่ี ินตรวจวเิ คราะหค์ ุณภาพดิน เพื่อเลือกใช้วิธีปรบั ปรงุ ดินใหเ้ หมาะสมตอ่ การ
เจริญเตบิ โตของพืชผกั อยา่ งเหมาะสม โดยทั่วไปสามารถปรับปรุงดินกอ่ นปลูก ดังนี้
• ไถพรวนดนิ ตากแดดประมาณ 7-10 วัน เพอ่ื ฆา่ เชอ้ื โรค ไขแ่ มลงและเมลด็ วชั พชื บางชนดิ ใน
ดนิ
• ปรบั ปรงุ สภาพดินดว้ ยปยุ้ คอกหรือปุ๋ยหมัก อัตราส่วน 24 ตัน/ไร่พร้อมปูนขาวอัตรา 200-
400 กก/ไร่
• พรวนดนิ อกี ครั้งให้ดนิ ละเอียด ยกแปลงกวา้ งประมาณ 120 ชม.ความยาวของแปลงตาม
ความตอ้ งการของผู้ปลูก ยกแปลงใหส้ งู ตามความลึกตามระบบรากพืชท่ปี ลูกตอ้ งการ
• ปรบั ผวิ หน้าแปลงใหเ้ สมอกนั ปอ้ งกนั การขงั ของน้ำ เม่ือรดน้ำ
• ขุดหลมุ ปลูกตามระยะปลกู ทเ่ี หมาะสมของแตล่ ะชนิดพชื และรองกนั หลุมดว้ ยปุ๋ยคอก หรอื
ปยุ๋ หมกั
2.5 การปลูก
2.5.1 การปลูกลงแปลงโดยตรง
การหวา่ น หรือโรยเป็นแถว นยิ มใช้กบั ผกั กินใบ เช่น ผกั ชี คะน้ากวางตงุ้ ผักบุ้ง เป็นตน้ ซงึ่ มีวธิ กี าร ดงั น้ี
• ย่อยหนา้ ดนิ ใหล้ ะเอียดก่อนเสมอ
• หวา่ นใหก้ ระจายทัว่ แปลงมากทีส่ ุด หากเมล็ดพันธมุ์ ขี นาดเล็กมากควรผสมกับทรายละเอยี ด
กอ่ นหวา่ น เพ่ือเพิ่มการกระจายตัวของเมลด็ พันธุ์
• โรยเป็นแถวห่างกันประมาณ 10 ชม.
• เมอ่ื หวา่ นหรอื โรยเมล็ดพนั ธแ์ุ ลว้ กลบเมล็ดด้วยปยุ้ คอกหรอื ปุ๋ยหมักทสี่ ลายตัวดีแล้ว หนา
ประมาณ 1 ซม. คลุมดว้ ยฟางหรอื หญา้ แห้งท่สี ะอาดรดน้ำใหช้ มุ่ ดว้ ยบวั ฝอย เมื่อต้นกล้า
เจริญเตบิ โตอาจเบยี ดกันแน่นเกินไปให้ถอนตน้ ทีเ่ ป็นโรคและอ่อนแอไมส่ มบูรณท์ ิ้ง
การหยอดเมลด็ นยิ มหยอดเมลด็ พันธปุ์ ระเภทผักเลอ้ื ยกนิ ผลลงในแปลงปลูกโดยตรง เชน่ มะระ บวบ แฟง
เป็นตน้ ซงึ่ มวี ิธกี ารดงั นี้
• ขุดหลมุ ตามระยะและความลกึ ท่เี หมะสมสำหรับพืชผกั ชนดิ น้นั ๆ
• หยอดเมลด็ พันธ์หุ ลุมละ 2-3 เมล็ด กลบด้วยดินผสมปุ๋ยคอกหรือปุ้ยหมัก อตั ราสว่ น 1:1
• เมื่อตน้ กล้างอกมีใบจริงประมาณ 23 ใบ จึงคัดต้นท่ีไม่สมบูรณแ์ ละเป็นโรคออก เหลือเพียงหลมุ ละ 1
ตน้
2.5.2 การย้ายกล้า
• เลอื กต้นกลา้ ท่แี ข็งแรง ไมม่ ีโรคและแมลง ลำต้นตรง ไมค่ ดงอใบสมบรู ณ์ มีใบจริง 3-5 ใบ
• ขดุ หลุมตามระยะปลูกและลึกตามชนดิ ของพชื ผักน้ันๆ
• กอ่ นย้ายตันกล้าควรงดน้ำ 1 วัน และกอ่ นปลูก 1 ชั่วโมงใหร้ ดนำ้ ใหช้ ่มุ
• ตน้ กลา้ ท่ีเพาะในถงุ พลาสติก ใชม้ ีดกรดี ถุงพลาสติกใหข้ าดเพ่ือไมใ่ ห้กระทบกระเทือนรากของ
ตน้ กล้า หากเป็นถาดเพาะกล้าให้บีบด้านลา่ งสดุ ของกน้ ถาด ตน้ กลา้ จะถูกดนั ข้ึนมาเหนือถาด
เพาะพร้อมดนิ เพาะ ทำให้ต้นกลา้ ไม่ไดร้ ับความกระทบกระเทอื นมากนกั
• ต้นกล้าท่ีเพาะในกระบะหรือแปลงเพาะ ให้ใชเ้ สียมหรอื ไม้แบนๆแซะด้านข้างของแถวตน้ กล้า
ระมัดระวงั ไม่ใหร้ ากต้นกลา้ ขาด และใหด้ นิ ติดมากับรากมากทสี่ ุด เพราะตน้ กล้าจะตั้งตัวได้
เรว็ และเม่อื ถอนตน้ กลา้ มาแลว้ ควรปลกู ทันที
• ควรย้ายกล้าปลกู ในช่วงเช้าหรือเยน็ ท่ีมีแดดอ่อนและรดน้ำตามทันที
2.5.3 การทำคา้ ง
การทำค้างสำหรับพืชผกั เล้ือย เชน่ แตงกวา มะเขือเทศ และพืชผกั ตระกลู ถ่วั ต่างๆ ใชไ้ ม้ไผ่กลมหรือ
ไมอ้ น่ื ๆ ทห่ี าได้ง่ายและราคาถกู ยาวประมาณ 1.5 เมตร ปักขา้ งตน้ กล้าในดินลกึ 30 ชม. โดยทำเปน็ แถวคู่
เอนปลายหากนั ผูกเปน็ กระโจม แล้วใช้ไม้พาดขวาง 3-4 อัน ทีด่ า้ นบนและดา้ นข้าง ผกู เชือกให้แนน่ เปน็ การ
ช่วยพยุงลำต้นและงา่ ยต่อการจดั การแปลง
การทำรา้ นสำหรบั พืชผักเลื้อย จำพวกบวบ มะระ และแฟงทำเสาหลักด้วยการนำไม้ไผ่ขนาดกลางปกั
ข้างตน้ ผกั ทุกหลมุ ให้สงู จากพ้ืนประมาณ 1.5-2 เมตร ตามความสะดวกในการเข้าทำงานภายในแปลงได้ แล้ว
ใชไ้ มไ้ ผ่พาดด้านบนไม้ไผ่แต่ละด้านใชล้ วดมัดให้แนน่ เพ่ือทำเป็นคาน แล้วจงึ ใช้เชอื กไนลอนขงึ ขับ ห่างกนั
ประมาณ 70 ชม. หรือใชแ้ บบสำเร็จรปู แล้วกไ็ ด้ มดั กบั ไม้ไผ่ทท่ี ำเปน็ เสาและคานให้แนน่ เม่อื พืชเลื้อยและออก
ผลดา้ นบน่ จะสะดวกในการดูแลรกั ษาและเก็บเกย่ี ว มากกวา่ ปลูกให้เลอื้ ยบนพ้นื ดิน
2.6 การใหป้ ุ๋ย
2.6.1 ป๋ยุ รองพ้ืน จะใชใ้ นชว่ งเตรียมดนิ หรอื รองก้นหลมุ ก่อนปลกู ควรใสป่ ุ๋ยคอกหรอื ปุยหมัก เพ่ือทำ
ให้ดนิ โปรง่ ร่วนซุย อ้มุ นำ้ รักษาความชนื้ และช่วยดดู ซับปุยเคมที ีใ่ สภ่ ายหลัง ไม่ให้สลายเร็วเกินไป และทำให้
ต้นกลา้ ตั้งตัวได้เรว็
2.6.2 ปยุ๋ บำรุง อาจเป็นปุ๋ยเคมี หรือปุ๋ยชีวภาพ ตามระบบมาตรฐานการผลิตพืชที่ใช้ แต่ควรแบ่งใส่
โดยครัง้ แรกควรใส่เมื่อยา้ ยกล้าจนตน้ กล้าตัง้ ตัวได้แลว้ และใส่อกี คร้งั หลงั จากใส่คร้ังแรกประมาณ 2-3 สัปดาห์
โดยโรยปยุ๋ ระหว่างแถวพรวนดนิ กลบ ไม่ควรใสช่ ดิ ตน้ เพราะจะทำใหต้ ้นผกั ตายได้ เมื่อใส่ปุย๋ แลว้ รดนำ้ ตาม
2.6.3 การเลือกใชป้ ยุ ควรเลือกปุยท่ีมีธาตุอาหารตรงตามความตอ้ งการของผักชนิดนน้ั ในชว่ ง
ระยะเวลาการเจริญเติบโต เช่น ผกั กินผล ท่มี อี ายุการเก็บเกย่ี วนาน โดยมากนยิ มใส่ปยุ สูตรเสมอ แตห่ ากเปน็
ผกั บุ้งจนี หรอื ผักกินใบท่ีอายุการเกบ็ เกี่ยวส้นั ให้ปุยสูตร์ทีม่ ีไนโตรเจนสูง เป็นต้น
2.7 การให้น้ำ
พืชผกั สว่ นใหญ่เป็นพชื อวบน้ำจึงตอ้ งการนำ้ อยา่ งสม่ำเสมอเพยี งพอและไม่ชอบน้ำขงั ดังน้นั
ควรรดนำ้ เชา้ -เย็น ไมค่ วรรดตอนแดดจดั รดใหช้ ่มุ แต่ไมค่ วรรดจนแฉะและมนี ้ำขงั เพราะอาจ
กอ่ ให้เกิดการระบาดของโรคพชื ได้
หากปลกู พืชผักตระกลู แตงในชว่ งหนา้ หนาว และกลางคนื มีหมอกลงจัด ในตอนเชา้ ควรโชยน้ำลา้ งใบ
เพอ่ื ป้องกนั โรครานำ้ คา้ งได้
ง. เกษตรมตี ้นทุนมาก ผลิตได้ตามความต้องการ
9. ผลที่ไดจ้ ากการปฏิบัติทางการเกษตรทด่ี ี (GAP)*
ก. ผลิตผลมคี ณุ ภาพและปลอดภยั ตอ่ ผบู้ รโิ ภค
ข. ได้การรบั รองมาตรฐาน GAP
ค. ได้มาตรฐาน Codex มาตรฐาน ASEAN
ง. (มกษ.9001-2556)
10. ข้อใดไมใ่ ช่องคป์ ระกอบของฟารม์ *
ก. ทำเลทีต่ ง้ั
ข. ลักษณะของโรงเรอื น
ค. ลกั ษณะของฟาร์ม
ง. ลักษณะของแหล่งนำ้
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 5
การวางแผนการผลติ การปลกู และการดแู ลรักษาพืชผัก
สาระสำคญั
การทำสวนผักไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีสวนผักอยู่แล้วหรือกำลังจะเริ่มทำจำเป็นต้องมีการวางแผนที่ดี
มิฉะน้ันจะประสบความล้มเหลวในการทำสวนผักได้ เพราะพชื ผกั สว่ นใหญ่มีอายุเกบ็ เกี่ยวส้ันต้องทำการปฏิบัติ
บำรุงรกั ษา และการเก็บเกย่ี วอย่างประณีต อีกท้งั ผลิตผลที่ไดย้ งั มีความปรวนแปรของราคาอยู่เสมอ ดว้ ยเหตุน้ี
จึงต้องศึกษาปัจจัยต่างๆ ในการทำสวนผัก เพื่อนำมาเป็นแนวทางการวางแผนเพื่อให้สวนผักที่ทำการปลูกอยู่
นั้นประสบผลสำเร็จในทุกด้านสิ่งสำคัญที่จะสามารถทำให้แผนการที่วางไว้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่ นที่สุดก็คือ
เงินทุน เพราะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การดำเนินการทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่ถ้าหากขาดผู้บริหารที่ดีก็จะไม่
สามารถบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ได้เชน่ กัน
สมรรถนะประจำหน่วย
แสดงความรเู้ กย่ี วกบั การวางแผนการผลติ การปลูกและการดูแลรักษาพชื ผัก
จุดประสงคก์ ารเรียนรูป้ ระจำหนว่ ย
1. วางแผนการผลิตพชื ผักตามความต้องการและสภาพพื้นที่
2. แสดงความรูเ้ กี่ยวกบั ข้อพิจารณาในการวางแผนปลูกพืชผัก
3. แสดงความรเู้ ก่ยี วกับเคร่อื งมือ อุปกรณ์ทเี่ กยี่ วข้องในงานผลติ พชื ผัก
4. ใช้งานเครื่องมือ อปุ กรณ์ในการผลติ ผกั
5. ปลูก ดแู ลรกั ษาพืชผักตามหลกั การและกระบวนการปฏบิ ตั ิทางการเกษตรทดี่ ี(GAP)
เนือ้ หาสาระ
1. การวางแผนจดั การในการผลติ พชื
1.1 การศกึ ษาข้อมูลผลิตพชื เป็นการเรมิ่ ดำเนินงานแสวงหาความรู้เก่ยี วกับพชื ท่จี ะปลกู ทั้งน้ีเพ่ือจะได้
เรียนรใู้ ห้ประชากรปลูกพชื ได้ตามความต้องการและสนใจ ซง่ึ มแี นวทางการศึกษาหลายดา้ นดงั นหี้ นังสอื ตำรา
เอกสาร วารสาร และส่ิงพมิ พ์ตา่ งๆ
1. ข่าวจากอินเตอรเ์ นต็ โดยศึกษาจากเว็บไซต์ต่างๆ ทั้งของราชการและเอกชน
2. แหลง่ วชิ าการเกษตรในท้องถ่ิน
1.2 การวางแผนการผลิตพชื เปน็ การกำหนดการปฏิบตั งิ านปลูกพืชพร้อมระยะเวลา และผู้รับผิดชอบไว้
ลว่ งหนา้ เพ่ือการปฏบิ ัติงานดำเนนิ ไปดว้ ยความรวดเร็ว และเรียบร้อย
การวางแผนการปฏิบตั ิงานประกอบด้วย
1. ช่อื พชื ท่ีจะปลูก
2. จดุ ประสงค์
3. แผนการปฏบิ ัตงิ านระยะเวลา และผ้รู บั ผิดชอบ
2. การเตรยี มดินปลูกพืช
การปลูกพชื ผกั จำเปน็ ต้องมกี ารเตรียมดินให้อุดมสมบูรณอ์ ยู่เสมอ เพราะผักเปน็ พชื ที่เติบโตเรว็
ต้องการการบำรงุ มาก การปรับปรงุ ความอุดมสมบูรณ์ของดินโดยทวั่ ไป พบวา่ ยังไม่ถูกต้อง เพราะมีการใช้
ปยุ๋ เคมีเปน็ สว่ นใหญ่ และบางแหง่ กใ็ ช้แตป่ ๋ยุ เคมเี พียงอย่างเดียว เพราะสะดวกและงา่ ยต่อการปฎบิ ัติ
การใสแ่ ต่ปุ๋ยเคมีอย่างเดยี วนาน ๆ ทำใหด้ ินเส่อื มแหง้ แขง็ ไมร่ ่วนซยุ ไม่ซึมซับนำ้ และขอ้ สำคัญ
ที่สุดจะเกิดการตรงึ ธาตุอาหารข้นึ ในดนิ อาหารของพชื บางชนิดไม่ละลายออกมาใหเ้ ปน็ ประโยชน์ตอ่ พชื ทำ
ให้พืชเกิดการขาดธาตุอาหาร หรอื เกิดการละลายธาตุอาหารบางอยา่ งมากเกนิ ไปจนเป็นพษิ ทำใหผ้ กั
อ่อนแอและ เกิดโรคได้ง่าย
ฉะน้ันในการเตรยี มดินทจ่ี ะปลูกพชื ผักให้งามจะต้องมีการปรบั ปรุงดนิ ให้อุดมสมบูรณด์ ้วย
อนิ ทรียวัตถุเป็นสว่ นใหญ่ ในการปลกู ผักแตล่ ะครั้งจะต้องใส่ป๋ยุ หมกั ปุ๋ยคอก หรือปยุ๋ อนิ ทรีย์อนื่ ๆ ร่วมกับ
การใสป่ ุ๋ยวิทยาศาสตร์ ปุย๋ อนิ ทรียค์ วรใสท่ ้งั หยาบและละเอียดไมค่ วรใสล่ ะเอียดมากนักเพราะจะทำใหด้ ิน
แน่นเหนยี วและระบาย นาํ้ ได้ไม่ดี ปยุ๋ อินทรียท์ ำใหพ้ ชื ได้อาหารครบทกุ ชนดิ ทำให้ผักงามแขง็ แรง ป๋ยุ
อนิ ทรยี ์จะเพ่มิ เช้ือจุลนิ ทรีย์ดินบางชนดิ ท่คี อยทำลายและปราบเช้ือโรคในดนิ ของผกั มากขน้ึ เช่น เชอ้ื รา
โรครากเนา่ และไสเ้ ดือนฝอยความจริงเร่ืองการใช้ปยุ๋ อินทรีย์จำพวกปุ๋ยคอก-ปยุ๋ หมกั กระท่ังอจุ จาระ และ
ปัสสาวะท่ผี า่ นการหมักแล้ว ทำให้ผักงามเกษตรกรมีความเขา้ ใจดีมาต้ังแต่สมยั ดั้งเดมิ แล้ว แตพ่ อมปี ุ๋ย
วทิ ยาศาสตร์เขา้ มาซงึ่ มีคุณสมบัติใชง้ ่าย ใหผ้ ลผลติ สูงและโตเร็ว จึงมกี ารหันมาใชป้ ุ๋ยวิทยาศาสตร์กนั มาก
ขึน้ จากปญั หาการปรับปรงุ ดังกล่าว มาขา้ งตน้ แล้วน้ัน เกษตรกรจงึ ควรใช้ปยุ๋ วทิ ยาศาสตรร์ ว่ มกบั ปยุ๋ อิน
การปลกู พชื ผักจำเป็นตอ้ งมกี ารเตรียมดินให้อุดมสมบูรณ์อยเู่ สมอ เพราะผักเป็นพืชทเ่ี ติบโตเรว็
ตอ้ งการการบำรงุ มาก การปรับปรงุ ความอุดมสมบรู ณ์ของดินโดยท่ัวไป พบว่ายังไม่ถูกต้อง เพราะมีการใช้
ป๋ยุ เคมีเปน็ สว่ นใหญ่ และบางแหง่ กใ็ ช้แต่ปุ๋ยเคมีเพียงอยา่ งเดยี ว เพราะสะดวกและงา่ ยต่อการปฎิบตั ิ
การใส่แต่ป๋ยุ เคมีอย่างเดยี วนาน ๆ ทำให้ดนิ เสื่อมแห้งแข็ง ไมร่ ่วนซุย ไมซ่ ึมซับนำ้ และข้อสำคัญท่ีสดุ จะเกิด
การตรึงธาตอุ าหารข้นึ ในดิน อาหารของพชื บางชนิดไมล่ ะลายออกมาให้เป็นประโยชน์ตอ่ พืช ทำให้พชื เกดิ
การขาดธาตุอาหาร หรือเกดิ การละลายธาตอุ าหารบางอยา่ งมากเกนิ ไปจนเป็นพษิ ทำให้ผกั อ่อนแอและ
เกดิ โรคไดง้ ่าย
ฉะนัน้ ในการเตรียมดินที่จะปลูกพืชผกั ให้งามจะต้องมกี ารปรบั ปรุงดินใหอ้ ดุ มสมบรู ณ์ด้วยอินทรยี วตั ถุเป็น
ส่วนใหญ่ ในการปลูกผักแต่ละคร้ังจะต้องใสป่ ุ๋ยหมัก ปยุ๋ คอก หรอื ปยุ๋ อนิ ทรีย์อื่น ๆ รว่ มกับการใส่ปยุ๋
วทิ ยาศาสตร์ ปยุ๋ อินทรยี ์ควรใสท่ ง้ั หยาบและละเอยี ดไม่ควรใส่ละเอียดมากนักเพราะจะทำใหด้ นิ แน่นเหนียว
และระบาย นาํ้ ได้ไม่ดี ปุย๋ อนิ ทรียท์ ำให้พืชได้อาหารครบทุกชนิดทำใหผ้ ักงามแข็งแรง ปุ๋ยอนิ ทรยี ์จะเพม่ิ
เชือ้ จุลนิ ทรีย์ดนิ บางชนิดท่ีคอยทำลายและปราบเชื้อโรคในดินของผักมากขึน้ เช่น เช้ือรา โรครากเน่า และ
ไสเ้ ดอื นฝอยความจรงิ เร่ืองการใชป้ ยุ๋ อินทรียจ์ ำพวกปยุ๋ คอก-ปยุ๋ หมัก กระทั่งอุจจาระ และปสั สาวะทผ่ี ่าน
การหมกั แลว้ ทำใหผ้ ักงามเกษตรกรมีความเข้าใจดมี าต้ังแต่สมัยดงั้ เดมิ แลว้ แต่พอมีปยุ๋ วทิ ยาศาสตรเ์ ข้ามา
ซึ่งมคี ุณสมบัติใชง้ า่ ย ให้ผลผลติ สูงและโตเรว็ จงึ มีการหันมาใช้ปุย๋ วทิ ยาศาสตรก์ ันมากขึน้ จากปญั หาการ
ปรบั ปรงุ ดังกลา่ ว มาข้างต้นแลว้ น้นั เกษตรกรจึงควรใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ร่วมกับปุย๋ อินทรีย์จะทำให้ไดผ้ ล
ผลิตที่ดขี น้ึ โดยใสป่ ยุ๋ อนิ ทรยี ์ในปริมาณมากกว่าปุย๋ วทิ ยาศาสตร์
สำหรบั การเตรยี มแปลงปลูกผักนน้ั โดยท่ัวไปมีการทำกันอยู่ 2 แบบ คอื
1.การยกร่องแบบธรรมดา คอื การยกรอ่ งแปลงขึ้นมาให้สงู ขนึ้ มีทางระบายน้ำและทางเดินรอบแปลง
ผักได้
2.การยกรอ่ งแบบจนี มีคูนํา้ ลอ้ มรอบ ใชก้ ันมากในบรเิ วณภาคกลาง หรือเขตทลี่ มุ่ ขนาดของแปลง
กวา้ งประมาณ 6 เมตร ร่องน้ำกว้าง 1.5-2.0 เมตร ลกึ ประมาณ 1.0-1.5 เมตร
การเตรยี มดนิ ในแปลงผัก แบง่ เปน็ 2 ข้นั ตอนคอื
1.การเตรียมดินชั้นแรก เป็นข้นั ตอนทสี่ ำคญั ทสี่ ดุ ของการเตรยี มดินปลกู พชื การเตรียมดินขัน้ แรกจะ
เป็นตวั กำหนดความลึกของดินตามตอ้ งการและมีผลไปถึงการรักษาคุณสมบัติของดินและความชื้นในดนิ
ทำใหด้ นิ ร่วนระบายน้าํ และอากาศได้ดเี ป็นต้น เคร่ืองมือที่ใชใ้ นการขุดพลกิ ดนิ ขน้ั แรก อาจจะเป็นไถหวั หมู
ในพืน้ ท่ีทปี่ รับระดบั เรยี บร้อย ไม่มีหนิ รากไม้ ตอไม้ ถ้าเป็นดินเหนียวหรือมีชน้ั ดานใตผ้ วิ ดนิ มรี ากไม้ ตอไม้
ก็ใชไ้ ถจาน ในพ้นื ท่ีที่มดี ินแหง้ และแข็งมากใช้เครอ่ื งไถหวั สิ่ว สำหรบั ชาวสวนท่ีทำแปลงแบบยกรอ่ ง มีคนู ้ำ
ลอ้ มรอบและให้แรงงานคนในการขุดพลิกดิน เครื่องมือท่ีใช้คือจอบสองง่าม การขดุ พลิกดินในชนั้ น้จี ะขุดลึก
ประมาณ 30-40 เซนตเิ มตรหลังจากขุดพลิกแลว้ ต้องตากดินให้แห้งประมาณ 7 วนั เพ่ือฆ่าเชอ้ื โรคในดนิ
และแมลงศตั รทู ี่อย่ใู นดิน
2.การเตรียมดนิ ชนั้ ท่สี อง เปน็ การเตรยี มดินต่อเนื่องจากการขุดพลกิ ดนิ และตากในช้ันตอนแรก
จดุ ประสงค์ก็เพ่ือพรวนหรือย่อยดินให้แตกเปน็ ก้อนเล็กลง มสี ภาพเหมาะสมกบั เมลด็ หรือกล้าทจี่ ะปลกู
โดยใชล้ ูกกลิ้งขนาดเบาหรือจอบ เมื่อพรวนดนิ เป็นก้อนเล็กแลว้ ควรจะใส่ปยุ๋ อนิ ทรยี ์แล้วคลกุ เคล้าใหเ้ ข้า
กบั ดนิ หรือหากจำเป็นต้องใส่ปนู ขาวเพื่อปรบั ดนิ ให้เปน็ กลาง (พีเอชระหวา่ ง 5.5-6.8) ท่ีใส่ในขน้ั ตอนนี้
แลว้ คลุกเคล้าใหเ้ ขา้ กบั ดิน รดนำ้ ให้ชุ่มและเตรยี มหว่านเมลด็ หรอื ปลกู กล้าต่อไป แปลงปลกู ผกั ควรจะทำ
ความสะอาดอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก เพอ่ื ไม่ให้เปน็ ทีส่ ะสมของเชื้อโรค และเปน็ ทีห่ ลบซ่อนตัวของ
หนอนและแมลงศตั รูพชื เป็นการลดหรือป้องกันอันตรายต่อผกั ทจ่ี ะปลูกใหม่ สวนของผักทีพ่ บวา่ เป็นโรค
ควรถอนไปเผาทำลายเสีย มีการกำจัดวัชพชื อยเู่ สมอ ๆ โดยใช้วธิ ีถากหรือถอนออกให้หมดดกี ว่าการใช้
สารเคมีการทำสวนผกั ใหไ้ ดผ้ ลดีน้นั ไม่ควรทำเปน็ แปลงใหญ่โตเหมือนการปลกู พชื ไร่อ่ืน ๆ ตอ้ งทำในเนอื้ ที่
ทจ่ี ำกัดเท่าทกี่ ำลังแรงงานและความสามารถในการปรบั ปรุงดนิ และการดแู ลเอาใจใสพ่ ืชผักอย่างใกลช้ ดิ ใน
การทำสวนผกั เพ่ือการคา้ นั้นนบั วา่ จะหาปยุ๋ อินทรีย์ได้ยากขึน้ ทุกที วิธแี ก้ไขในเรอ่ื งน้นี ่าจะทำไดโ้ ดย
เกษตรกรช่วยกนั เล้ียงสัตว์ เชน่ หมู เปด็ ไก่ วัว ฯลฯ เพือ่ สรา้ งป๋ยุ อินทรีย์ขึ้นมาใช้เอง และทางทีด่ ี ควร
หมักด้วย เพราะจะทำให้ไดป้ ุ๋ยอินทรยี เ์ พิ่มข้ึนถงึ 10 เท่าตวั นอกจากนน้ั เศษใบพชื ท่เี หลือก็นำกลับมาหมัก
เปน็ ปยุ๋ ใชใ้ นแปลงได้อีก เกษตรกรควรรีบเร่งทำปุ๋ยอินทรยี ์ข้ึนใชเ้ อง เพราะจะได้ลดตน้ ทุนการผลิตโดยไม่
ต้องซื้อปุ๋ยคอก และลดการใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตรท์ ี่ฟ่มุ เฟอื ยเกินความจำเป็น และที่สำคัญคือทำให้ผักงาม
สมบูรณม์ ภี ูมติ ้านทานโรค ต่าง ๆ ไดด้ ี ลดการใช้สารเคมีลงไปได้อีกด้วย ซึ่งวธิ กี ารน้ีในต่างประเทศกำลงั
ต่ืนตวั กันมาก เชน่ ประเทศญ่ปี ุ่นท่เี กษตรกรพยายามใช้ปยุ๋ คอก-ปุ๋ยหมักแทนการใชป้ ุ๋ยเคมี และสารเคมี
อย่างไดผ้ ล
การฆ่าเชือ้ ในดิน ผกั บางประเภทท่ีเมลด็ พันธุม์ ีราคาแพงผูป้ ลกู จะใช้วิธีเพาะเมล็ดใหง้ อกกอ่ นแล้วค่อย
ย้ายไปปลกู ในแปลงอีกครัง้ หนึง่ การเพาะเมล็ดเหล่าน้ีอาจจะเพาะใน กระบะเพาะ ในเเปลงเพาะ หรือใน
ภาชนะอืน่ เชน่ ถงุ กระดาษ หรือถุงพลาสติก เป็นตน้ ในการเพาะเมล็ดนัน้ วตั ถุทใี่ ชเ้ พาะโดยเฉพาะดินหรือ
สว่ นผสมของดนิ มกั จะมีโรคแมลง ไส้เดอื นฝอย หรอื เมลด็ วัชพืชปะปนอยู่เสมอ ซึง่ นบั เป็นอปุ สรรคอย่าง
หนึ่งทท่ี ำให้การเพาะเมลด็ ไม่ไดผ้ ลดเี ท่าทคี่ วร จึงจำเปน็ ต้องกำจัดโรคแมลง และอปุ สรรคอนื่ ๆ ใหห้ มดเสยี
ก่อนท่จี ะทำการเพาะเมล็ด
วธิ กี ารทนี่ ยิ มปฎบิ ัติกนั มาก ไดแ้ ก่
1. นำอุปกรณ์ที่ใช้เพาะ เช่น กระบะ เคร่ืองหยอดเมล็ด จอบ เสียม มาจุ่มลงในนํา้ เดือดหรอื จุ่มในนา้ํ ยา
carbolic acid 1 % หรือ formaldehy de 2 %
2. วัสดุทใี่ ช้เพาะ เชน่ ดนิ ผสม,ขุยมะพร้าว,ทราย หรอื วสั ดุอืน่ ๆ ซึง่ จะรวมเรียกวา่ ดนิ สามารถทำการ
ฆา่ เช้อื ไดห้ ลายวิธดี ว้ ยกนั เช่น การค่วั ,ราดดว้ ยน้ำรอ้ น,การอบดว้ ยไอน้ํารอ้ น (steam) การอบดว้ ยไอร้อน
(heated in the oven), และการใชส้ ารเคมี
3. การฆ่าเชอื้ ในดินโดยวิธอี บดว้ ยไอนํ้าร้อนและการอบดว้ ยไอร้อน ต้อง ทำให้ดินมีความชนื้ เสยี ก่อน
แล้วจึงผา่ นไอน้ำร้อน หรอื อบด้วยไอร้อนท่อี ุณหภูมิ180° F เปน็ เวลาครึ่งช่ัวโมง
4. การคว่ั นำดนิ น้ันมาคั่วในกะทะธรรมดาหรือจะใชภ้ าชนะอืน่ เช่น ถัง 200 ลติ ร ดัดแปลงตดิ มือหมุน
กไ็ ด้
5. การราดดว้ ยน้ำร้อน วธิ นี ตี้ อ้ งตากดินใหแ้ หง้ กอ่ นประมาณ 7 วนั แล้ว ใชน้ ้ำทีก่ ำลังร้อนราดลงไปบน
ดนิ นน้ั
6. การใชส้ ารเคมี วิธีนีส้ ามารถฆา่ เชื้อต่าง ๆ ในดนิ ไดด้ ี แตด่ ินนนั้ ควรมีความชนื้ และมีอณุ หภูมิ 6 5 – 7
5 °F สารเคมีที่จะนำมาใช้ได้แก่ Formaldehyde เป็นสารเคมที ่ีสามารถฆ่าเช้ือราได้ดี และฆ่าเมล็ด วชั พืช
บางชนิดได้ดว้ ย ใช้ Formalin 40 % ผสมกบั น้ำ อัตรา 1:50 โดยปรมิ าตร ราดสารนล้ี งไปในดนิ แล้วใชผ้ ้า
พลาสตกิ คลมุ ไว้ 1 วนั แล้วจงึ เปดิ ผ้าพลาสตกิ ออก เพ่ือให้แกส๊ ระเหยจนหมด ซง่ึ จะใชเ้ วลาอยา่ งน้อย 2
อาทิตย์ จงึ จะใช้ได้
7. Methyl bromideสารเคมชี นดิ นีไ้ ม่มกี ลน่ิ เวลาใชต้ ้องสวมหน้ากาก ปอ้ งกันพษิ ใชฉ้ ดี (inject) ลง
ไปโนดินอัตรา 4 ปอนด์/100 ตารางฟุต โดยวิธีบรรจสุ ารในภาชนะอดั ลมซึ่งมที ่อเล็กตดิ อยู่ เวลาใช้เปดิ
ปลายทอ่ ลงดนิ เสรจ็ แล้วคลุมด้วยผา้ พลาสตกิ ไว้ 2 วัน
3. การปลกู พืชทีไ่ ด้จากการขยายพนั ธโ์ุ ดยใชส้ ่วนต่างๆ ของพืช
การเพาะเมลด็
วธิ กี ารท่ใี ชใ้ นการขยายพันธุ์พืชแบบอาศัยเพศท่ใี ช้กนั อยทู่ ่ัวไป คอื การเพาะเมลด็ มีขอ้ จำกัดหลาย
อยา่ ง กลา่ วคือ เป็นวธิ ีที่ทำให้ไดพ้ ืชต้นใหมท่ ่ีมีลักษณะแตกต่างไปจากต้นแม่ ไม่ตรงกับความต้องการ ใช้
เวลานานเพ่อื รอเกบ็ ผลผลติ และต้องใช้พ้ืนท่ีการปลูกกวา้ งมากถ้าตน้ พืชมีขนาดใหญ่ ทำให้มีการคิดค้น
เทคโนโลยใี หม่ ๆ มาใชแ้ ทนการเพาะเมล็ด อยา่ งไรกต็ ามการเพาะเมลด็ กย็ ังมีความจำเป็น ดงั น้ี
1. เพอ่ื ให้ได้ต้นพืชตน้ ใหม่ท่ีจะนำมาใช้เป็นตน้ ตอในการขยายพันธดุ์ ้วยวิธอี นื่ ต่อไป
2. เม่อื พันธุ์พืชที่ต้องการจะขยายพนั ธุน์ ้นั ไม่สามารถใช้วิธกี ารขยายพันธดุ์ ้วยวธิ อี ่นื
3. เมือ่ ตอ้ งการปรับปรุงพนั ธ์ุพืชสายพนั ธใุ์ หม่ ๆ
****การทเี่ มลด็ จะสามารถงอกเป็นตน้ กลา้ และเจริญเติบโตเป็นตน้ พืชท่ีแขง็ แรงสมบรู ณ์ไดน้ ้ันจะเก่ยี วข้อง
กับปจั จัย 2 ประการ คือ
1. สภาพความสมบูรข์ องเมลด็ ต้องเป็นเมล็ดที่ยงั มชี ีวิตและไม่ได้รับความเสียหายในขณะทที่ ำการเกบ็
เก่ยี ว กล่าวคือ มีเมลด็ ใหญแ่ ละไม่แตกหัก
2. สภาพแวดล้อม จะต้องมนี ำ้ อุณหภูมิ แสง และแกส๊ ออกซิเจนอยู่อยา่ งเพียงพอ****
การปกั ชำ
การปกั ชำ เปน็ การนำส่วนต่าง ๆ ของพืชพันธุ์ดีทเ่ี ราต้องการมาตัดแลว้ ปักชำลงในวัสดุเพา เพ่ือให้ได้
ต้นพืชต้นใหม่จากสว่ นทนี่ ำมาปกั ชำน้นั ส่วนของพชื ทน่ี ยิ มนำมาปกั ชำ ได้แก่ ใบ กง่ิ และราก แต่จะใชส้ ่วน
ใดนัน้ กข็ นึ้ อยู่กบั ชนดิ ของพชื
การตอนกิ่ง
การตอนกง่ิ เปน็ วกิ ารขยายพันธพ์ุ ืชทท่ี ำให้กง่ิ พืชเกิดรากขณะที่ยังอย่บู นตน้ เมื่อนำก่ิงตอนนี้ไปปลกู จะ
ไดพ้ ชื ตน้ ใหมท่ ่ีมลี ักษณะเหมือนต้นเดมิ ทุกประการ
การติดตา
การติดตา เปน็ วิธกี ารขยายพันธุพ์ ชื ทใี่ ชต้ าของกงิ่ พันธดุ์ ไี ปติดบนต้นตอที่แขง็ แรง มีวิธที ำหลายแบบ
เช่น แบบตัวที (T) แบบเปิดเปลอื กไม้ 2 ดา้ น (คลา้ ยหน้าต่าง) หรือแบบจะงอยปากนก
การต่อกง่ิ
การตอ่ ก่งิ เป็นวธิ ีการขยายพนั ธุ์และเปลยี่ นพันธ์พุ ชื ดว้ ย ทำไดโ้ ดยใช้กิ่งพนั ธด์ เี พยี งพันธุเ์ ดียวหรอื ใช้ก่งิ
พนั ธดุ์ หี ลาย ๆ พันธุ์ ไปต่อกับตน้ ตอต้นเดยี วกนั เพอื่ ให้ไดผ้ ลผลิตจากพชื หลายพันธุใ์ นต้นเดียว หรือใช้วธิ ี
ตอ่ กง่ิ เพื่อคำ้ ยนั หรือเสรมิ รากเพ่ือยดึ ลำตน้ ไมใ่ หต้ น้ พืชโค่นล้มก็ได้
การแยกส่วนและการแบ่งส่วน
เป็นวธิ กี ารขยายพันธุพ์ ืชท่ใี ชก้ ับพืชที่มีลักษณะ เชน่ มเี หงา้ หนอ่ หรอื ไหล ซึง่ ตน้ ทไ่ี ด้จะเปน็ พชื ตน้ ใหม่
ทม่ี ลี กั ษณะตรงตามสายพนั ธ์เุ ดิมทกุ ประการ เชน่ หอม กระเทยี ม ใชก้ ารแยกส่วนจากหวั ทีแ่ ยกเป็นกลีบ
สตรอวเ์ บอร์ร่ใี ช้ไหล กลว้ ย ไผ่ ใช้หนอ่ สับปะรดใชต้ ะเกียง (จกุ ) เป็นตน้
การปลกู พชื โดยใชเ้ มล็ด
การขยายพันธุ์พชื โดยใช้เมลด็ โดยปกตมิ กั จะทำไปพร้อมๆ กับการปลกู พชื ไปในตวั หรอื พูดวา่ การปลูกพืช
โดยใชเ้ มลด็ ก็คอื การขยายพันธ์ุพชื โดยใชเ้ มลด็ นั่นเอง เช่นการปลกู ขา้ ว ซงึ่ เมลด็ ขา้ ว ๑ เมลด็ เจรญิ เป็น
ตน้ ข้าวได้ ๑ ตน้ และต้นขา้ วท่ไี ด้เม่ือโตขึน้ ก็จะแตกกอเป็นหลายตน้ แตล่ ะตน้ กจ็ ะออกรวงเกดิ เป็นเมล็ด
ข้าวได้หลายเมลด็ ซง่ึ เมือ่ นำเมล็ดขา้ วเหล่าน้ไี ปปลกู กจ็ ะเจริญเปน็ ต้นขา้ วไดห้ ลายตน้ ในทำนองเดยี วกัน
การปลูกขา้ วโพดการปลกู ขา้ ว ข้าวโพด ถ่วั ต่างๆ ฝา้ ย ละหุ่ง ฯลฯ ก็เป็นไปแบบเดียวกนั กับการปลูก
ขา้ ว จงึ เห็นไดว้ ่าการปลูกพืชจากเมล็ดก็คือการขยายพันธุพ์ ืชโดยใชเ้ มล็ดนนั่ เอง
ในการขยายพันธ์ุพืชโดยใช้เมลด็ นี้ ไดน้ ำไปใชใ้ นงานด้านการเกษตรหลายด้านดว้ ยกนั ซึ่งเราพอจะ
แบ่งออกได้เป็นประเภทต่างๆ ดงั น้ี
1. ใชใ้ นดา้ นการปลูกพชื และธัญพชื เช่น การปลูกข้าว ขา้ วโพด ถว่ั ตา่ งๆ ละห่งุ ฝ้าย
งา ป่าน ปอ เป็นต้น เนือ่ งจากการปลูกพชื ไร่และธญั พชื ต้องทำในเน้ือท่ีมากๆ และต้องใช้ต้น พชื
มาก ฉะน้นั การขยายพันธ์ทุ ส่ี ะดวกก็คอื ขยายจากเมล็ด การกลายพันธท์ุ ีเ่ กิดขน้ึ เล็กๆ น้อยๆ ไม่ถอื เปน็
เรอ่ื งสำคัญ ซง่ึ การปลูกพชื ประเภทน้ี สว่ นใหญ่แลว้ เปน็ พืชอายุสั้น ๓-๔ เดอื นเป็นส่วนใหญ่
2. ใช้ในดา้ นการปลูกสวนป่า การปลกู สรา้ งสวนป่า ต้องปลกู เปน็ จำนวนมาก และต้องการตน้ พืชที่มี
รากแก้ว เพราะมีความแข็งแรงกว่าขยายไดม้ ากและรวดเรว็ อีกทั้งสะดวกที่จะถอนยา้ ยไปปลูกในที่อนื่
ดงั เชน่ การปลูกสรา้ งสวนสักที่สถานีวนกรรมของกรมปา่ ไม้ทำอยู่ในขณะนี้ โดยท่เี มลด็ ของพชื สวนปา่ มกั จะ
เกบ็ มาจากต้นทีเ่ จริญอยู่ในกลุ่มตามธรรมชาติ ในท้องที่ที่ได้คดั เลือกไว้แล้วฉะนั้นโอกาสการกลายพนั ธ์ทุ ่ี
เกดิ ข้นึ ถือไดว้ ่ามีนอ้ ยมาก และมกั จะไมถ่ ือเป็นเร่ืองสำคญั เพราะในการปลกู สร้างสวนปา่ นั้น จะปลกู ตน้
พชื ใหช้ ดิ กัน เพ่ือใหท้ รงต้นตรงและชะลดู ตน้ พืชจะแขง่ กันเจริญไปในตัว ต้นใดที่มคี วามแข็งแรงน้อยกว่าก็
จะถูกเบียดบังจากตน้ ที่โตกวา่ จนไมเ่ จรญิ หรอื ตายไปในทส่ี ุดสว่ นต้นทแี่ ข็งแรงก็จะเจริญเตบิ โตตอ่ ไป ฉะน้ัน
จึงเปน็ การคัดเลือกต้นพชื ไปในตัวด้วย
3. ใช้ในด้านการขยายพนั ธุ์พชื โดยวิธีติดตาต่อกง่ิ โดยเฉพาะการขยายพันธ์ุไมย้ ืนต้น ซ่ึงต้องการตน้ ตอ
ทมี่ ีระบบรากที่หยั่งลึก ซงึ่ สามารถจะทนลมพายุและทนแล้งได้ดีกวา่ การขยายพันธ์ุโดยวิธอี ืน่ เช่น การตอน
กิ่ง หรือการตัดชำก่งิ เป็นตน้ ฉะนัน้ ตน้ ท่ีไดจ้ ากการขยายพนั ธุจ์ ากเมล็ดจึงเหมาะสมท่จี ะใช้เป็นตน้ ตอ
สำหรบั นำไปติดตาและต่อกง่ิ แตเ่ น่อื งจากการขยายพันธ์โุ ดยใชเ้ มล็ด ตน้ พชื ที่ได้อาจกลายพนั ธุ์ได้ จึงตอ้ ง
คดั ต้นที่มลี ักษณะไม่ตรงตามพนั ธท์ุ ี่ต้องการออก เพื่อให้ได้ต้นตอที่มลี กั ษณะตรงตามพนั ธ์มุ ากท่ีสุดไว้ เพ่อื
ขยายพนั ธุ์ต่อไป
4. ใช้ในดา้ นการปลกู ผกั และไมด้ อกล้มลุก โดยปกตพิ ชื อายสุ นั้ จำเป็นต้องใช้ส่วนขยายพนั ธ์ุที่เจรญิ ได้
เร็ว และก็มรี าคาถูกด้วย ในกรณเี ช่นนก้ี ารใชเ้ มล็ดปลูกหรือขยายพันธ์ุจึงเป็นการลงทุนท่ีต่ำ ที่สุด และ
ทำได้สะดวกรวดเรว็ ดังนั้นการใช้เมล็ดขยายพันธ์ุ หรอื ปลกู พืชเหล่าน้จี งึ เปน็ วธิ เี ดยี วท่จี ะทำได้ เช่น การ
ปลกู ผกั บุ้ง คะน้า มะเขอื เทศแอสเทอร์ และบานชน่ื เป็นต้น
5. ในงานด้านการผสมพนั ธพุ์ ืช เนอื่ งจากความต้องการในเรอ่ื งอาหารและของใช้ที่เป็นปจั จยั ในการ
ครองชพี ของมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ฉะนั้นพันธุ์พืชทีจ่ ะนำมากินมาใชก้ ต็ ้องมีการปรบั ปรุงตาม
ไปดว้ ย การปรับปรงุ พนั ธุ์พชื ทีน่ ำมากนิ มาใชใ้ ห้เหมาะกบั ความต้องการนีก้ ็ต้องอาศัยการกลายพันธ์ทุ ่ี
เกดิ ข้ึนจากการเพาะเมลด็ โดยการผสมพนั ธุต์ น้ พชื ท่ีมลี กั ษณะตามความต้องการแล้วเอาเมลด็ มา
เพาะ จากน้นั จงึ คดั เลือกต้นพืชท่มี ลี ักษณะดีเด่นตามความต้องการไวใ้ ช้ในการปลูกหรือขยายพนั ธ์ุตอ่ ๆ
ไป
วธิ กี ารขยายพันธพ์ุ ืชโดยใชเ้ มลด็ ในการขยายพนั ธ์ุพชื หรือปลูกพืชโดยใชเ้ มล็ดโดยท่ัวไปมกั จัดทำกันอยู่
3 แบบ คือ
1. เพาะเมลด็ ในแปลงเพาะ หรือในภาชนะเพาะ
2. เพาะหรือปลูกเมล็ดในแปลงปลกู โดยตรง
3. เพาะหรือปลกู เมล็ดในภาชนะเดย่ี ว
ข้อดแี ละข้อเสยี ของการขยายพนั ธ์พุ ชื โดยใชเ้ มลด็
ข้อดี
1. ทำได้ง่ายและไดป้ ริมาณมาก เพราะสะดวกในการปฏิบตั ิ
2. เสียค่าใช้จา่ ยนอ้ ยเพราะไม่ต้องใช้เครอ่ื งมือหรืออปุ กรณ์ตลอดจนฝมี ือในการปฏิบตั ิมากนกั
3. สะดวกในการขนส่งระยะทางไกลๆ เพราะทนทานและตายยาก ประกอบกับมีขนาดเล็กจึง
สะดวกทจ่ี ะบรรจุหีบหอ่ หรอื หยบิ ยก
4. เก็บรักษาไดน้ าน เพราะไมต่ ้องการสง่ิ แวดล้อมในการดำรงชีวติ มาก เพียงแต่เก็บให้ถูกต้อง
เท่านั้น
5. ได้ตน้ พืชท่ีมีระบบรากดี เพราะมรี ากแก้ว ดงั น้ันจึงมรี ากหย่งั ลกึ และการท่ตี ้นพชื มรี ากลึกน้ี
ย่อมมีผลทำให้
ก. ทนแล้งไดด้ ี เพราะสามารถดดู น้ำจากดนิ ในระดบั ลกึ ๆ ได้
ข. หากนิ เก่ง เพราะอาจหาธาตุอาหารต่างๆ จากดินทง้ั ตามผวิ หนา้ ดนิ และสว่ นลกึ ได้อย่าง
ครบถ้วน โอกาสที่จะขาดธาตุอาหารจงึ มีน้อย
ค. ตน้ พชื เจริญเตบิ โตดี เพราะมอี าหารพืชสมบูรณ์
ง. อายยุ ืน ซ่ึงเป็นผลมาจากมีอาหารสมบูรณ์ ฉะน้นั จึงทนทานต่อแมลงไดด้ ี ต้นไม่ทรดุ
โทรมเร็ว และมอี ายุการใหผ้ ลยนื นาน
6. ตน้ พืชที่ได้ไมต่ ิดโรคไวรสั (virus) จากต้นแม่ โดยท่เี ช้ือไวรัสไมอ่ าจจะถ่ายทอดจากต้นแมม่ ายัง
ลกู โดยอาศยั เมลด็ เป็นพาหะได้ ดงั นน้ั ตน้ ลูกทไี่ ด้จากการเพาะเมล็ดจากตน้ ท่ีเป็นโรคไวรัสจงึ ไม่ตดิ โรค
น้ี แต่กอ็ าจตดิ โรคน้ีไดภ้ ายหลังท่ีงอกเปน็ ต้นพชื แลว้
ข้อเสีย
1. กลายพนั ธไ์ุ ด้งา่ ย เพราะต้นทไ่ี ดเ้ กิดจากการผสมพันธุ์ เว้นแตเ่ มลด็ พืชบางชนดิ ท่งี อกไดห้ ลาย
ต้นใน ๑ เมลด็ ซง่ึ อาจจะมตี ้นท่ีไม่กลายพนั ธ์ุได้
2. ลำตน้ สูงใหญ่ ไม่สะดวกในการเก็บเกย่ี วและดูแลรกั ษา
3. ต้นมีโอกาสรับแรงปะทะลมได้มาก ทำให้ดอกและผลรว่ งหลน่ เสียหายมาก
4. มกั ใหผ้ ลช้า ต้องใช้เวลาในการเลยี้ งดนู าน กว่าจะใหผ้ ลตอบแทน
5. ปลูกไดน้ ้อยต้นในเนอ้ื ท่ีเท่ากนั ฉะน้นั จงึ อาจใหผ้ ลนอ้ ยกวา่ การขยายพนั ธุ์โดยวิธอี น่ื ทีใ่ หต้ น้ พืช
พุม่ เล็กกว่า
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 6
การเก็บเก่ยี วและการจัดการหลงั การเก็บเกีย่ ว
สาระสำคญั
การเกบ็ เก่ียวและการจัดการหลังการเกบ็ เกี่ยวเป็นขน้ั ตอนหนึง่ ที่สำคญั มากสำหรบั การดูแลรักษาพืช
ปลกู เพราะว่าถา้ มีการเก็บเก่ียวและการจัดการหลงั การเก็บเก่ยี วท่ไี ม่เหมาะสม กจ็ ะทำให้เกดิ การสญู เสยี ของ
ผลิตผลทั้งในดา้ นปริมาณและคณุ ภาพ พชื ปลกู ที่เราดูแลเอาใจใสเ่ ป็นอย่างดตี ้ังแตป่ ลูกจนกระทั่งถึงเวลาเก็บ
เกี่ยวโดยหวงั ทจ่ี ะเก็บเกีย่ วให้ไดผ้ ลผลติ ให้มากท่ีสดุ เพ่ือท่จี ะนำผลิตผลไปบรโิ ภคหรอื จำหน่ายเพอื่ นำเงินมาใช้
จา่ ย ก็ต้องมาสูญเสยี ในขั้นตอนสุดท้ายน่ีเอง ซึ่งปัญหาเก่ียวกับการสญู เสยี ของผลติ ผลระหว่างการเกบ็ เก่ียว
และหลังการเกบ็ เกี่ยวนน้ี ับวา่ เปน็ ปญั หาทส่ี ำคัญปัญหาหนึง่ ดังน้ันเราจึงควรท่ีจะศกึ ษาถึงวิธีการเก็บเก่ยี วและ
การจัดการหลังการเก็บเกย่ี วที่เหมาะสม เพื่อทจ่ี ะลดการสูญเสียท่เี กิดขน้ึ ระหวา่ งการเก็บเกยี่ วและหลงั การเก็บ
เกย่ี ว
สมรรถนะประจำหนว่ ย
แสดงความรู้เกี่ยวกบั การเก็บเกี่ยวและการจัดการหลงั การเกบ็ เกย่ี ว
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ประจำหน่วย
1. แสดงความรู้พืน้ ฐานเก่ยี วกับการเกบ็ เกีย่ วพืชผกั แตล่ ะชนิด
2. สามารถปฏิบตั ิงานหลังการเกบ็ เกีย่ วพืชผกั ตามวิธกี ารปฏิบัติทางการเกษตรทีด่ ี (GAP)ได้
เน้อื หาสาระ
1. การทำความสะอาดผลผลิต
1. การเกบ็ เก่ยี วผลผลติ
การเกบ็ เก่ียว หมายถงึ วธิ กี ารใดๆ กต็ ามท่ีใช้ในการแยกส่วนของพชื ทม่ี นุษย์และสตั วใ์ ชเ้ ป็น
อาหารหรือใช้ประโยชน์ ออกจากตน้ เดมิ หรือจากส่ิงทีพ่ ชื เจรญิ เติบโตอาศยั อยู่ ส่วนของพืชทเ่ี ก็บเกี่ยวมาได้
น้ีอาจได้สว่ นของพชื ทีไ่ ม่ไดใ้ ช้เปน็ อาหารหรอื ใชป้ ระโยชนต์ ดิ มาดว้ ย
พชื ผักสวนครวั แตล่ ะชนิดจะมรี ะยะเวลาในการเกบ็ เกยี่ วที่แตกตา่ งกนั ขึน้ อยกู่ ับการนำผลผลิตของ
พืชผกั สวนครวั มาใชป้ ระโยชน์
พืชผักสวนครัวท่ีนยิ มนำผลผลิตมาใชใ้ นขณะท่ยี ังมีอายุนอ้ ยหรอื อ่อนอยู่ สว่ นใหญจ่ ะเป็นพืชผักสวนครวั ท่ี
ใช้ประโยชนจ์ ากลำตน้ และใบ เช่น คะนา้ ผักบุง้ มะระ มะเขอื แตงกวา ข้าวโพดฝักอ่อน หน่อไม้ฝรั่ง
พชื ผักสวนครวั ท่ีนยิ มนำผลผลิตมาใช้เม่ือมีอายุทเี่ จริญเติบโตเตม็ ท่แี ต่ยังไมส่ ุก หรอื เรมิ่ เปลี่ยนสีเล็กน้อย
เช่น ฟักทอง มะเขือเทศ กะหลำ่ ดอก หอมหัวใหญ่ พริก
การเกบ็ เกย่ี วผลผลติ พืชผกั สวนครัวควรจะเก็บเกี่ยวในช่วงเช้าหรือชว่ งเยน็ เท่านั้น เพราะถ้าเก็บเก่ยี ว
ในช่วงทอี่ ากาศรอ้ นอบอ้าวจะทำให้พชื ผักสวนครวั เหย่ี วเฉา เนอ่ื งจากการสูญเสียน้ำซ่งึ จะส่งผลใหพ้ ืชผัก
สวนครวั มีน้ำหนกั ลดลง และคณุ ภาพไม่ดี
2. การตดั แต่งผลผลติ
พืชผกั สวนครวั หลงั จากเก็บเกย่ี วมกั จะมสี ว่ นทไ่ี ม่ตอ้ งการติดมาด้วย ผปู้ ลกู ควรตัดแตง่ ส่วนที่ไม่
ต้องการทง้ิ เชน่ ใบแก่ ใบทีเ่ น่าเป่ือย เพ่ือใหผ้ ลผลติ ดูสวยงามนา่ รับประทาน
3. การทำความสะอาดดว้ ยนำ้
เน่อื งจากพชื ผกั สวนครัวทปี่ ลูกไวบ้ รเิ วณบา้ นเพ่ือรับประทาน ผู้ปลกู มักจะใช้สารเคมใี นการ
จำกัดศตั รูพชื จงึ ไม่มีสารพิษตกคา้ ง การทำความสะอาดพชื ผกั สวนครวั เหล่านี้สามารถทำได้โดย
การแชไ่ ว้ในนำ้ นานประมาณ 5 - 10 นาที แล้วล้างดว้ ยนำ้ สะอาดอีกครัง้ หนึ่ง หรือล้าง
ดว้ ย น้ำประปาทก่ี ำลงั ไหลนาน 2 นาที
4. การคดั เลือกและคดั ขนาดผลผลติ
ในกรณีทีพ่ ืชผกั สวนครัวท่ีปลูกมีจำนวนมากเกนิ ความต้องการบรโิ ภคภายในครอบครวั ผู้ปลกู
สามารถท่จี ะนำผลผลติ เหลา่ นนั้ ไปจำหน่ายได้ ซ่ึงในการจำหน่ายจะต้อง มกี ารคัดเลือกและคัด
ขนาดของผลผลติ ซงึ่ สามารถใชว้ ธิ ีการ สงั เกตหรือใช้อปุ กรณช์ ั่งน้ำหนัก เพื่อให้ขนาดและ
ลักษณะ ของผลผลิตในแตล่ ะกลมุ่ ใกลเ้ คยี งกนั มากทสี่ ุด การคดั ขนาดจะสง่ ผลใหผ้ ปู้ ลกู ได้ราคาดี
และดูน่าซื้อยงิ่ ขึ้น
5. การบรรจุหบี หอ่
เปน็ การนำผลผลิตทีไ่ ด้จากพืชผกั สวนครัวมาลงในภาชนะท่ีเตรียมไว้ เพ่ือป้องกนั การ
กระทบกระเทือน สะดวกในการขนย้าย ใหผ้ ลผลติ เสียหายนอ้ ยทสี่ ุด การบรรจหุ บี ห่อ จะทำให้ผลผลติ ดดู ี
มีคา่ และมรี าคาสงู
2. ความแตกต่างระหว่างผลติ ผลพืชไรแ่ ละพืชสวน
พชื ปลูกส่วนมากแลว้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ พืชไร่ และพืชสวน ซึ่งผลิตผลท่ีได้จาก
พืชไร่ ได้แก่ พวกธัญพืช ถั่วต่าง ๆ พืชน้ำมัน อ้อย ยางพารา เป็นต้น ส่วนผลติ ผลท่ีจากพืชสวน ได้แก่ พวกผัก
ผลไม้ และดอกไม้ เป็นต้น ซ่ึงความแตกต่างระหว่างผลติ ผลพืชไรแ่ ละผลิตผลพชื สวนแสดงไวใ้ นตารางท่ี 12.1
จากตารางจะเหน็ ไดว้ ่า ผลิตผลพืชสวนมเี นือ้ เย่ือที่อ่อนกว่า มีน้ำเป็นองค์ประกอบมากกว่าทำให้ผลิตผลพืช
สวนมีความบอบบางกว่าผลิตผลพืชไร่ นอกจากนี้ผลิตผลพืชสวนยังมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาและทาง
ชีวเคมีที่รวดเร็วกว่าผลิตผลพืชไร่ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่การสูญเสียของ
ผลิตผล ทำให้ผลติ ผลพืชสวนมีการสูญเสียง่ายกว่าผลิตผลพืชไร่ ดังนั้นในการเก็บเกี่ยวและการจดั การหลังการ
เกบ็ เกี่ยวผลิตผลพืชสวนจึงควรจะตอ้ งปฏบิ ัติอย่างพถิ ีพิถนั และนมุ่ นวลกว่าผลิตผลพืชไร่
พชื ไร่ พืชสวน
1. นำ้ เปน็ องค์ประกอบประมาณ 10-20% 1. นำ้ เป็นองค์ประกอบประมาณ 70-95%
2. ส่วนมากมีขนาดเล็ก นำ้ หนกั น้อยกวา่ 1 กรมั 2. สว่ นมากมขี นาดใหญ่ นำ้ หนกั 5 กรัม-5 กโิ ลกรัม
3. อัตราการหายใจต่ำและปล่อยความร้อน 3. อัตราการหายใจสูงและปล่อยความรอ้ นออก
ออกมาน้อย มามาก
4. เนอื้ เยื่อแข็ง 4. เนื้อเยอ่ื อ่อน เกิดบาดแผลไดง้ ่าย
5. สญู เสียไดย้ าก อายเุ กอื บ 1 ปี จนกระท่ัง 5. สูญเสียได้ง่าย อายุส้ัน 2-3 วนั จนกระทั่ง
หลายปี หลายเดอื น
6. การสญู เสียเกิดขน้ึ โดยเช้ือรา แมลง นก 6. การสูญเสียเกิดข้ึนเนื่องจากการเนา่ โดย
และหนู เชือ้ โรค การแตกหน่อ การเกดิ บาดแผลและ
สรีระของผลิตผลเอง
ความแตกต่างระหว่างผลติ ผลพชื ไรแ่ ละพชื สวน (สายชล, 2528)
3. ดชั นีการเก็บเกีย่ ว
การเก็บเกี่ยวผลิตผลไม่ว่าจะเปน็ ผลิตผลพืชไร่หรือพืชสวน จะต้องคำนึงถึงอายุทีเ่ หมาะสมของผลิตผลท่จี ะ
ทำการเก็บเกี่ยว เพราะถ้าเก็บเกี่ยวในช่วงอายุที่ไม่เหมาะสม เช่นเก็บในระยะที่อ่อนหรือแก่เกินไป จะทำให้
ผลิตผลที่เก็บเกี่ยวได้ไม่มีคุณภาพ การที่เราจะทราบว่าผลิตผลชนิดนั้นเจริญเติบโตมาจนถึงระยะเวลาที่
เหมาะสมที่จะเก็บเกีย่ วหรือยังนั้น เราสามารถทราบได้จากตัวบง่ ชี้ทีเ่ รียกว่า “ดัชนีการเก็บเกี่ยว” ซึ่งดัชนกี าร
เกบ็ เกย่ี วน้ันมีอยู่ดว้ ยกันหลายแบบ เชน่ การนับระยะเวลา การสังเกตจากสีของผลิตผล การสังเกตจากรูปร่าง
การวัดองค์ประกอบทางเคมีของผลิตผล เช่น ปริมาณน้ำตาล เป็นต้น ผลิตผลบางชนิดสามารถใช้ดัชนีการเก็บ
เกี่ยวไดห้ ลายแบบ ซึ่งดัชนกี ารเก็บเกีย่ วของผลิตผลท่ีสำคญั บางชนิดได้แสดงไว้ในตารางท่ี 12.2 นอกจากดัชนี
การเกบ็ เกย่ี วท่ีกล่าวในข้างต้นแล้ว ในตา่ งประเทศนิยมใช้การสะสมความร้อน (heat unit หรือ degree day)
เปน็ ตัวกำหนดเวลาการเก็บเกี่ยว ทัง้ นี้เพราะการเจริญเติบโตของพชื ขนึ้ อยู่กบั อณุ หภูมิ ภายใต้สภาพแวดล้อมท่ี
มีอุณหภูมิสูงผลิตผลจะแก่เร็ว แต่ถ้ามีอุณหภูมติ ่ำผลิตผลจะแกช่ ้า ดังนั้นพืชจะเจรญิ เติบโตไปถึงความบรบิ รู ณ์
หรือความสุกแก่ (maturity) ได้ต้องผ่านช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งการสะสมความร้อน
สามารถคำนวณได้จากผลรวมของค่าความแตกต่างระหว่างอุณหภูมิเฉลี่ยในแต่ละวันและอุณหภุมิต่ำสุดที่พืช
หรือสว่ นของพชื น้นั จะเจรญิ ได้ ( base line temperature) ดังสตู รต่อไปนี้
การสะสมความรอ้ น = å (อุณหภูมิเฉลี่ยในแต่ละวนั - อูณหภูมติ ่ำสดุ ทพี่ ืชเจรญิ ได)้
ตัวอย่างผลิตผลที่ใช้การสะสมความร้อนเป็นดัชนีการเก็บเกี่ยว ได้แก่ ข้าวโพดหวานพันธุ์ " Victory
Golden" มีbase line temperature เท่ากบั 10 องศาเซลเซยี ส มปี รมิ าณของ การสะสมความรอ้ นนับจากวัน
ปลูกจนกระทั่งเก็บเกี่ยวเท่ากับ 2,021 CDD (celcius degree day) แอปเปิ้ลพันธุ์ "Golden Delicious" มี
อุณหภูมิต่ำสุดที่พืชหรือส่วนของพืชนั้นจะเจริญได้เท่ากับ 4.4 องศาเซลเซียส มีปริมาณของการสะสมความ
รอ้ นนบั จากวนั ออกดอกจนกระทั่งผลสกุ เท่ากบั 4,400 CDD เป็นต้น
ชนดิ ของพชื ดชั นีการเกบ็ เกีย่ ว
ผลติ ผลพืชไร่
ข้าว - ประมาณ 30 วันหลังออกรวง
- ระยะทเี่ มลด็ ขา้ วท่โี คนรวงมีสเี หลอื งไม่สนทิ นัก (ระยะพลบั พลงึ )
ข้าวโพด - ประมาณ 105 - 110 วนั หลงั หยอดเมลด็
- กาบหุ้มฝักแหง้ เปน็ สฟี าง
ถัว่ เขยี ว - ประมาณ 60-70 วนั หลังจากงอก
- ฝกั เปล่ยี นสีเปน็ สีดำ หรอื ขาวนวล
ถ่วั เหลอื ง - ประมาณ 75 - 110 วนั หลังจากงอก
- ใบของถ่ัวเหลอื งจะเรม่ิ เหลืองและเริม่ ร่วง ฝกั จะเปล่ียนเปน็ สีเขยี วอม
มันสำปะหลัง เหลอื งและเปล่ียนเปน็ สีน้ำตาลอ่อน
ปาล์มน้ำมนั - ประมาณ 12 เดือน ตงั้ แตเ่ ริม่ ปลกู
อ้อย - สผี ลเปลีย่ นเปน็ สแี ดงส้ม
ยางพารา - วัดค่าบริกซ์บริเวณ โคน กลาง และยอด เฉล่ียแล้วมากกวา่ 18 บริกซ์
- เปดิ กรีดเม่อื อายปุ ระมาณ 6 ปี
- เส้นรอบวงของลำต้นมากกว่า 50 ซม.
ชนดิ ของพืช ดชั นกี ารเกบ็ เกีย่ ว
ผลติ ผลพชื สวน
ขา้ วโพดหวาน - ประมาณ 70 - 75 วัน หลงั หยอดเมลด็
ถัว่ เหลืองฝกั สด - ประมาณ 18 วัน หลงั ออกไหม
ผกั กาดเขยี วกวางตุ้ง - ประมาณ 62 - 72 วัน หลังหยอดเมลด็
ผักบงุ้ - ฝกั มสี เี ขียวและเมลด็ เต่งเต็มท่ี
เงาะ - ประมาณ 35 - 45 วัน หลังปลกู
มงั คดุ - ประมาณ 25 - 30 วัน หลงั ปลกู
- เงาะสีชมพู 22 - 28 วัน หลงั เริ่มเปล่ยี นสี
ทุเรยี น - เงาะโรงเรียน 19 - 30 วัน หลงั เรม่ิ เปลี่ยนสี
- ประมาณ 77 - 78 วัน หลงั ตดิ ผล
มะมว่ ง - สีม่วงแดง เพอ่ื จำหนา่ ยในประเทศ
- เร่มิ เปล่ียนสี (ระยะสายเลอื ด) เพือ่ จำหน่ายต่างประประเทศ
- พนั ธช์ุ ะนี ประมาณ 100 - 110 วัน หลงั ดอกบาน หรือ ร่องหนามสนี ้ำ
ตาลไหม้
- พนั ธ์ุหมอนทอง ประมาณ 115 - 130 วนั หลังดอกบาน หรอื เคาะดมู ี
เสียงโพรก
- ประมาณ 95 - 105 วนั หลังตดิ ผล
- เรม่ิ เปลี่ยนสี มีนวลมาก
ดอกกุหลาบ - ดอกสแี ดง และสีชมพู ตดั เม่ือกลบี ดอกเร่มิ คลี่ กลบี เลี้ยงชล้ี งข้างล่าง
ดอกกล้วยไม้สกุลหวาย - ดอกย่อยบานเกือบทง้ั หมด
ดชั นกี ารเกบ็ เก่ียวของพืชปลูกที่สำคัญบางชนิด
4. วิธีการเกบ็ เกย่ี ว
วธิ กี ารเก็บเกีย่ วผลิตผลแบ่งออกเปน็ 3 วิธีคือ การเก็บเกี่ยวโดยใชแ้ รงคน การเก็บเก่ียวโดยใช้เครื่องจักรกล
และการเก็บเกีย่ วโดยใชส้ ัตวช์ ว่ ยเก็บเกี่ยว
1) การเก็บเกี่ยวโดยใช้แรงงานคน เป็นการเก็บเกี่ยวโดยการใช้มือคนเก็บเกี่ยวผลิตผล ซึ่งมีทั้งการใช้มือ
เพียงอย่างเดียว และ การใช้อุปกรณ์ช่วยในการเก็บเกี่ยว การใช้มือในการเก็บเกี่ยวเพียงอย่างเดียวนั้น ได้แก่
การใช้มือปลิดผลไม้ นิยมใช้กับผลิตผลที่ต้นไม่สูงนัก และมีการสร้างเนื้อเยื่อแอบซิสชัน (abscission layer)
ขึน้ แลว้ ผลจะหลดุ ออกจากต้นโดยงา่ ย สว่ นการใช้อุปกรณ์ช่วยในการเก็บเกี่ยวน้นั เป็นการเพ่ิมประสิทธิภาพใน
การเกบ็ เกยี่ ว ทำใหส้ ามารถเก็บเกยี่ วผลิตผลได้สะดวกและรวดเรว็ ย่ิงขึ้น อุปกรณ์ที่ใช้ชว่ ยในการเก็บเก่ียวมีอยู่
มากมายหลายชนิด เช่น การใช้เคียวหรือแกระเก็บเกี่ยวข้าว การใช้มีดหรือกรรไกรเก็บเกี่ยวผลิตผลพืชสวน
เช่น กล้วย ลองกอง หรอื อุปกรณท์ ่ีชว่ ยในการตดั อ่ืนๆ ซึ่งต้องมีความคม เพอื่ ทำให้เกิดบาดแผลหรือความบอบ
ชำ้ นอ้ ยทสี่ ุด ถ้าหากผลติ ผลอยู่สูงหรืออยู่ปลายก่ิง หรือต้นมีหนาม เกบ็ เกยี่ วดว้ ยมอื ไมส่ ะดวก การใช้ตะกร้อจะ
เป็นประโยชน์อย่างมากและทำงานได้เร็วกว่าการใช้มือ มีด หรือกรรไกร ต้นไม้ที่มีพุ่มหนาทึบ กิ่งเล็กฉีกขาด
งา่ ยคนปีนไม่ได้ การใชบ้ ันไดหรอื พะองจะชว่ ยใหผ้ ู้เก็บเกี่ยวใชม้ อื มดี หรือกรรไกรเกบ็ เกยี่ วผลผลิตไดส้ ะดวกข้นึ
2) การเก็บเกี่ยวโดยใช้เครื่องจักรกล ปัจจุบันการใช้เครื่องจักรกลเริ่มเข้ามามีบทบาทในการเก็บเกี่ยว
ผลิตผล เนื่องจากปัญหาแรงงานหายากและราคาสูง โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายๆ ประเทศ ส่วน
ใหญ่แล้วเครื่องจักรกลนิยมใช้กับผลิตผลที่มีความทนทานต่อการตกกระทบและเก็บเกี่ยวได้พร้อมกันทั้งต้น
และเหมาะกับผลิตผลที่เก็บเกี่ยวเพื่อแปรรูปในโรงงาน สำหรับผลิตผลรับประทานสดสว่ นใหญ่ยังคง เก็บเกี่ยว
ด้วยแรงงานคนอยู่ เนื่องจากเครื่องจักรไม่สามารถแยกแยะความอ่อนแก่ของผลผลิตได้ และการเก็บเกี่ยวไม่
ประณีตเพียงพอ ดังนั้นการเก็บเกี่ยวโดยการใช้เครื่องจักรกลอย่างเดียว จึงนิยมใช้ในผลิตผลพืชไร่ เช่น อ้อย
ข้าว และผลิตผลพชื สวนที่เก็บเกี่ยวเพ่อื แปรรูปในโรงงานเปน็ สว่ นใหญ่ เชน่ สบั ปะรด มะเขือเทศ เปน็ ต้น
3) การเก็บเกี่ยวโดยใช้สัตว์ช่วยเก็บเกี่ยว จากปัญหาในเรื่องแรงงาน และความยากลำบากในการเก็บเกี่ยว
ผลผลิตบางชนิด เช่น มะพร้าว ทำให้เกิดธุรกิจการฝึกหัดลิงทางใต้ใหร้ ู้จักปีนต้นมะพร้าว โดยลิงสามารถเลือก
ผลที่มี ความบริบูรณ์โดยใช้มือและเท้าบิดก้านผล จนก้านผลขาดและตกลงมายังพื้นดนิ เมื่อทำเสร็จต้นหนึ่งก็
สามารถกระโดดข้ามไปเก็บผลิตผลต้นใหม่ได้ เพราะถูกฝึกให้ทำงานและรับประทานอาหารให้เป็นเวลา
เช่นเดียวกับคน
5. การจัดการผลติ ผลหลงั การเก็บเกีย่ ว
เนื่องจากว่าผลิตผลพืชไร่และผลิตผลพืชสวนมีความแตกต่างกันดังที่ได้กล่าวมาแล้วในหัวข้อ 3 ทำให้การ
จดั การหลงั การเก็บเกย่ี วผลติ ผลทง้ั สองชนดิ มีความแตกต่างกนั มาก ดงั น้นั จึงขอแยกการจัดผลิตผลหลังการเก็บ
เก่ียวออกเป็น การจดั การหลังการเกบ็ เกีย่ วผลิตผลพืชไรแ่ ละการจัดการหลงั การเกบ็ เก่ยี วผลิตผลพืชสวน
การปฏบิ ตั ิตอ่ ผลิตผลก่อนการจำหน่ายหรอื ก่อนการเกบ็ รักษา
1) ผลิตผลพชื ไร่ ผลติ ผลพชื ไรป่ ระเภท ธัญพืช และเมลด็ ถัว่ ตา่ ง ๆ หลังจากทีเ่ ก็บเก่ียวผลผลิตเสร็จแล้ว จะ
ทำการตากผลผลติ ในแปลงปลูก หรือนำกลบั มาตากแดดบนพ้ืนซีเมนต์ลานบ้านประมาณ 2 - 3 แดด เพ่อื ทำให้
ผลผลิตแห้ง มีความชื้นภายในเมล็ดต่ำ หลังจากนั้นก็นำผลิตผลมานวดหรือกระเทาะเอาเปลือกออก แล้วทำ
ความสะอาดสิ่งที่เจือปนมากับเมล็ดโดยใช้ลมเป่า ถ้าความชื้นของเมล็ดสูงกว่าที่ต้องการก็ให้นำเมล็ดไปตาก
แดดหรือเข้าเครื่องอบเมล็ดอีกครั้ง โดยทั่วไปมักลดความชื้นเมล็ดลงมาเหลือประมาณ 12-14 เปอร์เซ็นต์ ซ่ึง
ขึ้นอยู่กับชนิดผลิตผล เมื่อผลิตผลแห้งดีแล้วก็จะทำการเก็บรักษาไว้ในฉางเพื่อรอการจำหน่าย หรือบรรจุใส่
กระสอบแล้วขายให้พ่อคา้ เพ่ือนำไปแปรรูปต่อไป สำหรับผลติ ผลพืชไรบ่ างชนิดที่จำหน่ายในรูปเมล็ดไม่แปรรูป
นอกจากต้องเก็บรักษาในสภาพความชื้นสัมพัทธต์ ่ำแล้ว อาจต้องเก็บรักษาในสภาพอุณหภูมิต่ำด้วย เพื่อชะลอ
การเสื่อมสภาพเน่ืองจากกระบวนการทางชีวเคมีของเมล็ด ทำให้ยืดอายุการเก็บรักษาได้นานขึ้น ขั้นตอนการ
ปฏิบตั หิ ลังการเกบ็ เกยี่ วของผลติ ผลพืชไร่ประเภทธญั พืช และ เมล็ดถว่ั ต่างๆ
สำหรบั ยางพารา ตน้ ยางพาราโดยทว่ั ไปเปิดกรีดได้เมื่ออายปุ ระมาณ 6 ปี หรือมเี สน้ รอบวงมากกวา่ 50 ซม.
หลังจากได้น้ำยางพาราแล้ว น้ำยางพาราจะถูกนำมาผลิตเป็นน้ำยางดิบ ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง 2
ประเภทหลักคอื นำ้ ยางข้น (concentrated latex) และยางแหง้ (dry rubber) เชน่ ยางแผ่นรมควนั (ribbed
smoked sheet) และยางเครพสีขาว (white crepe) เป็นต้น ดงั รูปท่ี 12.2 แสดงขนั้ ตอนการผลติ ยางข้น ยาง
แผ่นรมควัน และยาง เครพสีขาว หลังจากได้น้ำยางสดมาแล้ว น้ำยางสดจะผ่านการกรองแยกสิ่งสกปรกออก
หากต้องการทำน้ำยางข้นต้องเติมแอมโมเนีย เตตราเมทิลไทแรมไดซัลไฟด์ และซิงค์ออกไซด์ รักษาสภาพน้ำ
ยาง จากนั้นจึงเติมไดแอมโมเนียมไฮโดรเจนฟอสเฟต ทำให้แมกนีเซียมตกลงก้นถัง นำเข้าเครื่องปั่น แยกน้ำ
ยางข้น 60 เปอร์เซ็นต์ออกมา รักษาสภาพด้วยแอมโมเนียความเข้มข้น 0.7 เปอร์เซ็นต์ หรือ 0.2 เปอร์เซ็นต์
ร่วมกบั สารช่วยเตตราเมทลิ ไทแรมไดซัลไฟด์ และซิงคอ์ อกไซด์
การทำยางแผ่นรมควัน ต้องทำให้น้ำยางสดจับตัวเป็นก้อนด้วยกรดฟอร์มิค หรือกรดอะซิติก จากนั้นจึงใช้
จักรรดี ยาง รีดยางใหไ้ ดแ้ ผน่ หนาประมาณ 2-3 มม. นำมาผึ่งในท่ีร่ม จะได้ยางแผน่ ดบิ นำมาทำแผน่ ยางรมควัน
โดยเขา้ โรงรมควันอณุ หภมู ิ 50-60 องศาเซลเซียส เปน็ เวลา 4-10 วัน จากนัน้ นำมาตรวจจดั ชนั้ ด้วยสายตาและ
บรรจุหีบหอ่ เพื่อรอจำหน่ายต่อไป สำหรับการทำยางเครพสขี าว ต้องทำให้น้ำยางสดจับต้วเช่นเดียวกับการทำ
ยางแผ่นรมควัน แต่ใช้สารจับตัวต่างกัน คือใช้โซเดียมซัลไฟต์ โซเดียมเมตาไบซัลไฟต์ และกรดฟอร์มิคแทน
จากนัน้ นำมาผ่านเคร่ืองรีดเครพ จะไดแ้ ผ่นเครพเปียก ผึ่งสะเด็ดน้ำ เขา้ โรงอบแหง้ จะไดแ้ ผน่ เครพสีขาวพร้อม
บรรจุหีบหอ่ รอจำหนา่ ยตอ่ ไป
ปาล์มน้ำมัน จัดเป็นพืชไร่อุตสาหกรรมที่น่าสนใจอีกชนิดหนึ่ง หลังจากเก็บผลปาล์มที่สุกพอดีมา และ
รวบรวมเข้าสู่โรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ผลปาล์มจะผ่านการหีบเอาน้ำมนั ออกจากเปลือกและส่วนเมล็ดใน โดย
นำทะลายปาล์มมาอบด้วยไอน้ำที่ความดัน 2.4-3.4 กก./ซม.2 นาน 40-80 นาที เพื่อทำลายและยับยั้งการ
ทำงานของเอนไซม์ไลเปส ชว่ ยใหผ้ ลปาลม์ หลดุ ออกจากทะลายไดง้ ่ายเม่ือนำเข้านวด สกดั น้ำออกจากผลปาล์ม
ได้ง่าย ลดปริมาณน้ำจากผลปาล์มสุก และเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นเพื่อทำให้แยกกะลาและเนื้อในออกจากกันได้
ง่ายขึ้น ทะลายปาล์มที่ผ่านการอบไอน้ำแล้วจะผ่านการนวดด้วยเครื่องนวด เพื่อนวดผลปาล์มให้ออกจาก
ทะลาย ทะลายเปล่าจะถูกสง่ ไปยังเตาเผา เพอื่ ทำปุ๋ยประเภทโปแตสเซยี ม หรอื นำไปทิ้ง ผลปาล์มจะถูกสง่ ไปยัง
เครื่องย่อยบดเพื่อย่อยเปลือกออกจากเมล็ด ในขั้นตอนนี้จะได้เมล็ดใน เปลือก และน้ำมันดิบ เมล็ดในจะถูก
ส่งไปยังเครื่องตะแกรงเมล็ด เพื่อแยกส่วนของกะลา และเยื่อในออกจากกัน เนื้อในปาล์มจะถูกส่งไปยังเครื่อง
อบแหง้ แลว้ บรรจกุ ระสอบจำหน่ายไปยงั โรงกล่นั นำ้ มนั ในปาล์มตอ่ ไป
2) ผลิตผลพืชสวน ผลิตผลพืชสวนประเภทผักและผลไม้นั้น มีการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวบางประการท่ี
แตกตา่ งจากผลิตผลทเ่ี ปน็ ดอกไม้ สำหรับผลติ ผลผกั และผลไม้นน้ั หลังจากเก็บเกีย่ วแล้วผลติ ผลจะถูกรวบรวม
และขนส่งมายงั โรงคัดบรรจุ ซงึ่ ภายในโรงคัดบรรจุนจ้ี ะมกี ารปฏบิ ตั ติ อ่ ผลติ ผลเพอ่ื ท่ีจะทำใหผ้ ลิตผลมคี ุณภาพดี
พรอ้ มท่จี ะสง่ ไปจำหนา่ ยหรือเกบ็ รกั ษาต่อไป โดยมกี ารปฏบิ ตั ิทีส่ ำคญั ดงั นี้
2.1) การถ่ายเทผลิตผล เมื่อผลิตผลมาถึงโรงคัดบรรจุจะต้องมีการถ่ายเทผลิตผลออกจากภาชนะบรรจุที่ใส่
ผลิตผลมาจากแปลงปลูก การถ่ายเทผลิตผลออกจากภาชนะบรรจุนี้ต้องทำด้วยความประณีต โดยอาจจะเท
กองลงบนพนื้ ซ่งึ ควรเป็นผลิตผลทคี่ ่อนขา้ งทนทานต่อแรงตกกระทบ และเปน็ ผลิตผลทตี่ อ้ งทำการตัดแต่งส่วน
ที่ไม่ต้องการออกก่อนที่จะทำความสะอาด ในการปฏิบัติการเทกองผลิตผลนั้นควรปฏิบัติด้วยวิธีการที่ทำให้
ผลิตผลมีการเคลื่อนที่น้อยที่สุด แต่ถ้าเป็นผลิตผลที่บอบบางและจำเป็นต้องล้างน้ำอยู่แล้ว ก็ควรใช้วิธีการ
ถ่ายเทลงน้ำเพื่อช่วยลดการชอกช้ำของผลิตผล ส่วนผลิตผลที่บอบบางมากและไม่สามารถเทลงน้ำได้ก็ควรใช้
มอื หยิบออกจากภาชนะบรรจุ
2.2) การตัดแต่ง ผลิตผลผกั และผลไม้บางชนดิ เม่อื ทำการเกบ็ เก่ยี วจะมีส่วนท่ีไมต่ ้องการติดมาด้วย เชน่ ผัก
ทานใบ ข้าวโพดฝักอ่อน มะม่วง กล้วย เงาะ ลิ้นจี่ ลำใย เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องมีการตัดแต่งส่วนที่ไม่ต้องการ
ออกไป
2.3) การทำความสะอาด เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากขั้นตอนหนึ่ง เพราะเป็นการกำจัดสิ่งต่าง ๆ เช่น ดิน ฝุ่น
และเชื้อโรคที่ติดมากับผลิตผล การทำความสะอาดส่วนใหญ่แล้วใช้น้ำเป็นตัวกลาง โดยน้ำที่ใช้ต้องเป็นน้ำ
สะอาด ควรมีการเติมน้ำยาซักฟอกลงไปเล็กน้อย และควรเติมคลอรีนลงไปในน้ำและรักษาให้มีความเข้มข้น
50 - 200 ppm หลังจากล้างน้ำแล้วควรผึ่งผลิตผลให้แห้งไม่มีหยดน้ำเกาะ นอกจากการทำความสะอาดด้วย
นำ้ แลว้ การใชล้ มเปา่ ทำความสะอาดก็เปน็ อีกวธิ ีการหน่ึง ส่วนมากใชก้ ับผลิตผลที่ไมส่ ามารถล้างด้วยน้ำได้เช่น
หอมแดงและกระเทียม หรือใช้ในการไล่แมลงที่อยู่ตามซอกกลีบเล้ียงมงั คุด หรือแมลงที่อยู่ตามร่องหนามของ
ทเุ รยี น
2.4) การคัดเลือก ผลิตผลผักและผลไม้ ที่เก็บเก่ียวมาแล้วมีมากมายหลายลักษณะปะปนกันมา เช่นมีทั้ง
อ่อนและแก่ มีทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ มีทั้งที่มีตำหนิและไม่มีตำหนิ จึงต้องมีการคัดเลือกผลิตผลที่มี
ลักษณะที่ไม่ดีออกไป และคัดเลือกผลที่มีลักษณะใกล้เคียงกันให้อยู่พวกเดียวกัน ผลิตผลที่ได้รับการคัดเลือก
แลว้ จะขายได้ราคากว่าผลิตผลที่ขายคละกนั ไป ซง่ึ การคดั เลอื กผลิตผลนสี้ ามารถแบง่ ออกเปน็ การคัดขนาดและ
การคัดคุณภาพ การคัดขนาดนั้นเป็นการคัดเลือกโดยใช้การวัดขนาดและการชั่งน้ำหนักของผลิตผล ส่วนการ
คัดคุณภาพเป็นการคัดเลือกในหลายลักษณะประกอบกัน เช่น การคัดคุณภาพโดยพิจารณาจากสี ความอ่อน
แก่ และตำหนทิ ปี่ รากฏ
2.5) การบรรจุหีบห่อ การบรรจุหีบห่อผลิตผลผักและผลไม้ ในภาชนะบรรจุชนิดใดขึ้นอยู่กับชนิดของผลติ
และการตลาด ผลิตผลที่เปน็ พืชหัว เช่น หอม กระเทียม มันฝรั่ง นิยมบรรจุในถุงตาข่าย ส่วนผลิตผลที่ชอกช้ำ
ได้ง่าย นิยมบรรจุในลังไม้ ตระกร้าพลาสติก ถาดพลาสติก หรือกล่องกระดาษลูกฟูก การบรรจุหีบห่อผลิตผล
เพื่อการขายส่ง มักจะบรรจุในภาชนะขนาดใหญ่ เช่น ลังไม้ ตระกร้าพลาสติก กล่องกระดาษลูกฟูก เข่ง
ถุงพลาสติกขนาดใหญ่ ส่วนการบรรจุผลิตผลเพื่อการขายปลีกจะบรรจุในภาชนะบรรจุขนาดเล็ก เช่น ถาด
กระดาษ ถาดพลาสติก หรือถาดโฟมที่ห่อด้วยฟิล์มพลาสติกใส ถุงตาข่าย ถุงพลาสติกเจาะรู การบรรจุหีบห่อ
ผลิตผลนั้นควรบรรจุไห้เต็มพอดี ไม่แน่นเกินไปหรือน้อยเกนิ ไป ภาชนะบรรจุต้องมรี เู ล็กๆ เพื่อให้มีการระบาย
อากาศปอ้ งกันไม่ให้มีการสะสมของแกส๊ คาร์บอนไดออกไซดแ์ ละความรอ้ น ท่เี กดิ จากการหายใจของผลิตผล
2.6) การลดความร้อน หลงั จากท่เี กบ็ เกย่ี วผลิตผลออกจากแปลงปลกู ผลติ ผลจะมีอุณหภูมิสงู ใกล้
เคียงกับอุณภูมิในแปลงปลูกขณะที่เก็บเกี่ยวผลิตผล ซึ่งการที่ผลิตผลมีอุณหภูมิที่สูงนี้ จะทำให้ผลิตผลมีการ
เสื่อมคุณภาพอย่างรวดเร็ว ดังนั้นหลังการเก็บเกี่ยวควรมีการลดอุณหภูมิหรือลดความร้อนของผลิตผลให้เร็ว
ทสี่ ุดเทา่ ท่ีจะทำได้ ในการปฏิบตั ินัน้ อาจทำการลดความร้อนขณะขนส่งมายังโรงคดั บรรจุ โดยใชร้ ถปรับอากาศ
หรอื รถห้องเย็นในการขนส่ง หรือการลดความรอ้ นในโรงคดั บรรจุ เชน่ การลา้ งในน้ำเยน็ หรอื การนำผลติ ผลไป
เก็บในหอ้ งเยน็ หรือใชล้ มเยน็ เป่า ในขณะทรี่ อการขนส่งผลิตผลไปจำหนา่ ย
นอกจากขั้นตอนที่สำคัญเหล่านี้แล้ว ผักและผลไม้บางชนิดยังมีการเคลือบไข (wax) เพื่อทดแทนไข
ธรรมชาติที่สูญเสียไปขณะทำการล้างทำความสะอาด ทำให้ผลิตผลมีสูญเสียน้ำน้อย ผิวไม่เหี่ยว นอกจากนี้
ผลิตผลยงั มคี วามเงางาม เปน็ ทีด่ ึงดูดใจของผ้บู รโิ ภค ผลิตผลที่มีการเคลอื บไข ได้แก่ ส้ม แอปเปลิ และ มะม่วง
เป็นตน้ ขัน้ ตอนการปฏบิ ตั หิ ลงั การเก็บเกยี่ วของผลติ ผลผกั และผลไม้
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 7
การจัดจำหน่ายและทำบัญชีรายรบั -รายจา่ ย
สาระสำคัญ
การจัดทำบญั ชีรายรับรายจา่ ย คือ การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกบั รายการคา้ ของกิจการ ฟารม์ บนั ทึกใน
รูปตวั เงิน จำแนกหมวดหมู่ สรุปผล และจัดทารายงานทางการเงนิ เพ่ือใช้ประโยชนใ์ น การตดั สินใจดำเนนิ การ
แกป้ ัญหาของฟาร์มและชว่ ยปรบั ปรงุ การดำเนนิ กจิ การฟาร์มให้ไดผ้ ลติ
สมรรถนะประจำหน่วย
แสดงความร้เู กยี่ วกับการจดั จำหน่ายและทำบัญชีรายรบั -รายจา่ ย
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรปู้ ระจำหนว่ ย
จดั จำหนา่ ยและทำบัญชรี ายรับ-รายจา่ ย
เน้อื หาสาระ
การบนั ทึกรายรบั -รายจ่าย
ตอนที่ 1. การบันทึกการปฏบิ ัติงาน
1. การบันทึกการปฏิบัติงาน หมายถึง การบันทึกรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการปฏิบตั ิงาน
ปัญหาท่ีพบและวิธีแก้ปัญหา อาจบันทึกเป็นรายวัน หรือรายสัปดาห์ก็ได้ เพื่อนำเป็นหลักฐานไป
ประเมินผลงานและปรับปรุงแก้ไขการทำงานในคร้ังต่อไป นอกจากนั้นอาจบันทึกข้อมูลรายรับ -
รายจ่ายของการปฏิบัติงานไวเ้ พื่อเป็นข้อมูลในการประเมินผล การปฏิบัติงานเมื่อสิ้นสุดโครงการนั้น ๆ
ประโยชน์ของการบันทึกการปฏิบัติงาน
การบันทึกการปฏิบัติงาน เป็นส่ิงจำเป็นมากในการดำเนินกิจการปลูกพืชสมุนไพร เพราะ
ก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการพอสรุปได้ดังนี้
1. ชว่ ยบนั ทึกความทรงจำวา่ มีเหตุการณ์อะไรเกิดข้ึนบ้างระหวา่ งการปฏิบัติงาน
2. เพ่อื ใช้เปน็ ข้อมลู พื้นฐานในการวางแผนการปฏบิ ตั ิงาน
3. เพื่อใชเ้ ป็นข้อมูลฐานะทางการเงนิ ของกิจการ
4. เพ่อื ใชเ้ ปน็ ขอ้ มูลในการประเมินผลการดำเนินงาน
5. ชว่ ยพฒั นานสิ ัยในการทำงานอย่างเปน็ ระบบและมีระเบยี บแบบแผน
1) การบันทึกทรัพย์สิน หน้ีสิน
เป็นการบันทึกรายการทรัพย์สินต่าง ๆ เช่น ท่ีดิน, เครื่องมอื , เคร่ืองจักรกลต่าง ๆ , อุปกรณ์
การเกษตรต่าง ๆ , ปุ๋ย, ปัจจัยการผลิตอื่น ๆ , จำนวนผลผลิต, ผลผลิตท่ีคงเหลือ ตลอดจนหน้ีสินต่าง ๆ
ที่เกิดข้ึนในการดำเนินการผลิต ในการบันทึกทรัพย์สิน - หนี้สินต่าง ๆ เพ่ือจะนำไปใช้ในการสรุปฐานะ
ทางการเงินและเป็นข้อมูลท่ีจะใช้ในการคำนวณหารายได้สทุ ธิต่อไป
2) การจดบันทึกการปฏิบัติงาน
เป็นการบันทึกข้อมูลในด้านการผลิต ท่สี ำคัญได้แก่
2.1 พันธ์ุ
บันทึก ชื่อพันธุ์ การคัดพันธ์ุ การเตรียมพันธ์ุ รวมถึงรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อ
เปรียบเทียบ เพื่อหาลักษณะ วิธีการท่ีเหมาะสมและให้ผลดีท่ีสุดในท้องถ่ินของตน วิธีการเก็บเก่ียว โรค-
แมลง ศัตรูพืชอื่น ๆ เพ่ือพิจารณาการปลูกคร้ังต่อไป
2.2 ความอุดมสมบูรณ์ของดิน
เช่น ผลการทดสอบดิน รวมทัง้ ชนิดและปริมาณปุ๋ยท่ีใช้ ความเป็นกรดเป็นด่างของดินเพ่ือ
ป้องกันและหาวิธีการปรับปรงุ รักษาดินให้สมบูรณ์และรักษาความสมดุลของธาตุอาหารตลอดไป
2.3 ผลผลิต
เป็นรายงานปริมาณของผลผลิตที่ส่งจำหน่ายท้ังตลาดบริโภค และส่งจำหน่ายตลาด
อุตสาหกรรม เพื่อเป็นแนวในการวางแผน กำหนดจำนวน และขนาดของพื้นที่ในการผลิตคร้ังต่อไปได้
อย่างถูกต้อง
2.4 สภาพแวดล้อม
เป็นข้อมูลท่ัวๆ ไปของสภาพแวดล้อมในการปลูกในขณะน้ันได้แก่ ปริมาณน้ำฝน การกระจาย
ตัวของฝน สภาพแสง อุณหภูมิสูงสุด-ต่ำสุด ทิศทางลม กระแสลม รวมถึงโรค-ศัตรูอ่ืน ๆ มาตรการการ
ป้องกันกำจัด ปริมาณผลผลิตที่ได้คุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ และเพื่อหาวิธีการปรับปรุงในการปลูกครั้ง
ต่อไป
2.5 การตลาด
ถือเป็นหัวใจที่มีความสำคัญและจำเป็นมาก ท่ีผู้ผลิตควรรบั ทราบข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ
การตลาด เช่น แหล่งรับซื้อ พ่อค้าคนกลาง ความเคลื่อนไหวที่เก่ียวกับปริมาณและราคาของผลผลิตใน
แต่ละช่วงของปี การบันทึกข้อมูลดังกล่าวนี้จะเป็นข้อมูลพ้ืนฐานอย่างหนึ่ง ท่ีจะชว่ ยในการตัดสินใจ
เกี่ยวกับการจัดระบบการปลูกพืช การปรับปรุงดินบำรุงดนิ ต่าง ๆ ตลอดจนช่วงเวลาที่เหมาะสมในการ
ที่จะปลูกพืชในปีต่อไป
3. แนวทางการจดบันทึกการปฏิบัติงานในการปลูกพืชสมุนไพร
ในการดำเนินการปลูกพืชสิ่งท่ีต้องทำการจดบันทึกขณะปฏิบัติงานคือ
1. ข้อมูลเกย่ี วกับพชื สมุนไพรท่ปี ลกู ช่อื พนั ธุ์ สภาพส่งิ แวดลอ้ มทีเ่ หมาะสมกบั การปลกู การปลูก
การปฏิบัตดิ แู ลรกั ษา การเก็บเกย่ี ว การเก็บรักษาและการจำหน่าย เพือ่ ใหผ้ ู้ปลูกรับทราบและเป็น
แนวทางในการปฏบิ ตั ติ อ่ ไป
2. การจดบนั ทึกการปฏบิ ตั ิงานทุก ๆ ขนั้ ตอนท่ีได้ปฏิบัติในการปลกู พืช จนถงึ การเกบ็ เก่ียวและการ
จำหนา่ ยผลผลติ
3. จดบนั ทึกคา่ ใช้จา่ ยแต่ละครง้ั ในการปลูกใน 1 ฤดูกาล เชน่
1) คา่ พันธ์ุพชื
2) ราคาป๋ยุ
3) ยาป้องกนั กำจัดศัตรูพืช
4) เครือ่ งมือและอุปกรณท์ ี่ใชใ้ นการปลกู พืช
5) คา่ แรงงาน
แล้วจดบันทกึ คา่ ใชจ้ ่ายรวมยอดไว้
4. จดบันทึกผลผลิตท่ีได้ในการปลกู ใน 1 ฤดูกาล เชน่
1) ผลผลิตจำนวนกก่ี โิ ลกรัมต่อเน้ือท่ี 1 แปลง
2) ในการนำไปจำหน่ายไดก้ ิโลกรมั ละเทา่ ไร
3) ขายให้กบั โรงงานอุตสาหกรรมและขายใหก้ บั ตลาดบรโิ ภคสดในอตั ราร้อยละเท่าไร
5. นำเงินทนุ และรายได้นำไปคำนวณหาผลกำไร
ตอนท่ี 2. การทำบัญชี
การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย หมายถึง การจดบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ เก่ียวกับการเงินหรือ
อย่างน้อยท่ีสุดบางส่วนเก่ียวข้องกับการเงิน โดยผ่านการวิเคราะห์ จัดประเภทและบันทึกไว้ใน
แบบฟอร์ม ท่ีกำหนดเพื่อแสดงฐานะการเงิน และผลการดำเนินงานของกิจการในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ประโยชน์ของการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย
1. เปน็ หลักฐานประกอบการดำเนินกิจการ เพ่ือให้ทราบวา่ มที รัพย์สิน หนสี้ นิ และเงินทนุ เป็นจำนวน
เทา่ ใด
2. เปน็ หลกั ฐานในการตรวจสอบ ตัวเงินสดกบั ยอดบญั ชีว่าถูกต้อง หรือมีข้อผดิ พลาดอยา่ งไร
3. เป็นสถติ ชิ ว่ ยในการบรหิ าร การควบคุม การทำงบประมาณ เพือ่ ให้ผลงานมีประสทิ ธิ ภาพดยี ่ิงขึ้น
4. ช่วยเปน็ หลักฐานในการบรหิ ารงาน เพอ่ื ป้องกนั ความผดิ พลาดท่ีเกดิ ข้ึนอีก
5. ชว่ ยในการคำนวณผลการดำเนินงานว่ามีกำไรหรอื ขาดทนุ อยา่ งไร
6. ชว่ ยให้ทราบฐานะทางการเงนิ ของกจิ การว่า ทรัพ์สิน หนีส้ ิน และเงินทนุ ในขณะใดขณะ หนงึ่ เป็น
จำนวนเท่าใด
สรุป
การจดบันทึกการปฏิบัติงานและการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เป็นการชว่ ยความทรงจำ และถ้า
มีการจดบันทึกกิจการต่าง ๆ อย่างมีระบบ การลงบัญชีที่ดี มีความเข้าใจในการจดบันทกึ และการสรุป
ข้อมูลให้เหมาะสมแล้ว สามารถนำข้อมูลที่ได้รับมาใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจทำการปลูกพืชให้
สอดคล้องกับความต้องการของตลาด แนวโน้มของราคา ตลอดจนเหตุการณ์ต่าง ๆ ทม่ี ีผลกระทบต่อ
การดำเนินกิจกรรมได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ผลิตทราบได้ว่ากิจการของตนเป็นอย่างไร และ