ภาษาไทย (วรรณคดแี ละวรรณกรรม)
ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ ๔
กลมุ่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย
๑หน่วยการเรียนรู้ท่ี
๑หน่วยการเรยี นรู้ที่
อิเหนา ตอน ศกึ กะหมงั กหุ นงิ
ตวั ชีว้ ดั
• วิเคราะห์และวิจารณว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมตามหลกั การวจิ ารณเ์ บื้องตน้
• วิเคราะหล์ กั ษณะเดน่ ของวรรณคดีเชื่อมโยงกบั การเรียนรู้ทางประวตั ิศาสตรแ์ ละวิถชี วี ติ ของสังคมในอดตี
• วเิ คราะห์และประเมินคุณคา่ ดา้ นวรรณศลิ ปข์ องวรรณคดีและวรรณกรรมในฐานะทเ่ี ป็นมรดกทางวฒั นธรรมของชาติ
• สังเคราะหข์ ้อคดิ จากวรรณคดีและวรรณกรรมเพอื่ นาไปประยุกต์ใชใ้ นชีวติ จรงิ
• ทอ่ งจาและบอกคุณค่าบทอาขยานตามทก่ี าหนดและบทร้อยกรองที่มีคุณคา่ ตามความสนใจและนาไปใช้อา้ งอิง
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ ๒ อเิ หนา ตอนศกึ กะหมงั กหุ นิง
ความสาคญั บทวิเคราะห์
ความเปน็ มา คุณค่าด้านเน้ือหา
ผู้แตง่ คุณค่าดา้ นวรรณศลิ ป์
ผลงาน คณุ ค่าดา้ นวัฒนธรรมการแตง่ กาย
ตัวละครและเร่ืองราว
ตัวละคร
เร่อื งราว
อิเหนา
ตอน ศกึ กะหมงั กหุ นิง
เธอคดิ ว่าการคลุมถุงชน ผใู้ หญ่ก็ตอ้ งเลอื กสงิ่ ที่ดที ส่ี ดุ
มันดีกับเราแลว้ เหรอ ใหเ้ ราอยู่แล้วสิ
แลว้ ถา้ เราไม่สนล่ะ
ลองคยุ ดกู อ่ นไหม
คดิ อย่างไรกับสถานการณ์น้ี
ความสาคญั ของวรรณคดี
ความเป็นมาของอเิ หนา นางกานัลชาวปัตตานเี ลา่ ให้ เจา้ ฟ้าทงั้ สองพระองค์ตา่ งก็ทรงนพิ นธ์
พระราชธดิ าสองพระองค์ เปน็ บทละคร กลายเป็น 2 สานวนท่มี ัก
เดิมเป็นนทิ านท่ีได้รบั ความนยิ ม ในสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศฟงั เรยี กกันวา่ อเิ หนาเล็ก กับอิเหนาใหญ่
จากชาวชวา มชี อ่ื เรียกขานว่า
นทิ านปันหยี แตง่ เพื่อยกยอ่ ง
กษัตรยิ ์ไอรลังคะ
พระบาทสมเด็จ พระบาทสมเด็จ สมัยกรงุ ธนบุรี เจา้ พระยาพระคลงั (หน) สมเด็จพระเจา้ อยู่หัว
พระพุทธเลิศหล้านภาลยั พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช นาอิเหนาเลก็ มาแต่งเปน็ อิเหนาคาฉันท์ บรมโกศโปรดเกล้าฯ
พระราชนิพนธบ์ ทละคร เพราะตน้ ฉบับบางส่วนหายไปชว่ งเสียกรงุ ฯ ให้นามาเลน่ เปน็ ละครใน
เรอ่ื งอิเหนาขน้ึ ใหม่ทง้ั หมด พระราชนพิ นธซ์ อ่ มแซม
เฉพาะตอนทข่ี าดหาย
ประวัติผ้แู ตง่ พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หลา้ นภาลัย
พระมหากษัตรยิ ร์ ชั กาลท่ี ๒ แหง่ ราชวงศจ์ กั รี
(พ.ศ. ๒๓๑๐ - พ.ศ. ๒๓๖๗)
พระราชโอรสในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช
กับสมเดจ็ พระอมรินทรามาตยบ์ รมราชินี
ทรงพระปรีชาสามารถหลายด้าน ท้ังการรบ การปกครอง การบริหาร ศิลปิน กวี และชา่ ง
ทรงสร้างสัมพนั ธไมตรกี บั ประเทศเพ่อื นบา้ นดว้ ยการแตง่ ราชฑตู ไปเจริญสมั พนั ธไมตรี
กบั จีนและผูกมติ รกับตะวันตกทงั้ องั กฤษและโปรตเุ กส
ทรงทานบุ ารงุ พระศาสนาโดยรวบรวมนักปราชญ์ราชบัณฑติ แตง่ มหาชาติคาหลวง
ทส่ี ูญหายไปจนครบ ๑๓ กัณฑ์
ทรงทานุบารงุ ศิลปะทุกประเภท ท้งั วรรณคดี นาฏศลิ ป์ และศิลปกรรม
ทรงพระราชนพิ นธบ์ ทเพลง คอื เพลงพระสุบนิ หรือเพลงบุหลันลอยเลอ่ื น
ฝพี ระหัตถ์ในงานช่างแกะสลักบานประตูวิหารวัดสุทศั นเทพวราราม พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั
บทพระราชนิพนธ์ • ไชยเชษฐ์
• คาวี
บทพระราชนพิ นธ์ • มณีพชิ ยั
ที่เป็นบทละครเรือ่ งอนื่ ๆ เช่น • ไกรทอง
• สงั ข์ทอง
• สังขศ์ ิลป์ชัย
สาเหตทุ ี่พระราชนพิ นธ์เรอ่ื งอเิ หนาใหม่
ฉบับกรงุ เกา่ กับฉบบั รชั กาลท่ี ๑
เนอื้ หาเขา้ กนั ไมส่ นทิ
คงเนอ้ื หาเดิม ปรับให้กระชับ
สอดคลอ้ งกบั ท่ารา
ฉนั ทลกั ษณก์ ลอนบทละคร
ขึ้นตน้ ว่าเมื่อนน้ั ◊◊◊◊◊◊◊◊
◊◊◊◊◊◊◊◊ ◊◊◊◊◊◊◊◊
◊◊◊◊◊◊◊◊ ◊◊◊◊◊◊◊◊
◊◊◊◊◊◊◊◊ ◊◊◊◊◊◊◊◊
ฉนั ทลักษณก์ ลอนบทละคร
บทแรก ⦾ เมื่อนน้ั ระเด่นมนตรีชาญสนาม
พระกรกรายฉายกริชตดิ ตาม ไม่เข็ดขามคร้ามถอยคอยรับ สมั ผสั
ระหว่างบท
หลบหลีกไววอ่ งปอ้ งกนั ผดั ผนั หันออกกลอกกลับ
ปะทะแทงแสร้งทาสาทับ ยา่ งกระหยับรุกไลม่ ิได้ยงั้
บทตอ่ ๆ ไป
ฯ ๔ คา ฯ เชดิ
ตวั ละคร
เผ่าพงศ์วงศ์อสญั แดหวา ตัวละครอน่ื ๆ ในตอน ศึกกะหมงั กหุ นงิ
บิดา โอรส
ทา้ วกเุ รปัน ท้าวดาหา ท้าวกาหลงั ท้าวสงิ หัดสา่ หรี
ประไหมสหุ รี ท้าวกะหมังกุหนิง วิหยาสะกา สังคามาระตา
บิดา ธิดา
ประไหมสหุ รี ลิกู ประไหมสหุ รี ประไหมสหุ รี ลกิ ู
อิเหนา วยิ ะดา กะหรดั ตะปาตี บุษบา สยี ะตรา สะการะหนง่ึ หรดั บุษบารากา สหุ รานากง ระตูหมนั หยา จินตะหราวาตี ระตจู รกา
อเิ หนา บุษบา
โอรสของท้าวกเุ รปันและประไหม ธิดาของท้าวดาหา และประไหม
สหุ รีนหิ ลาอระตา แห่งกรงุ กเุ รปัน สุหรดี าหราวตี แห่งกรุงดาหา
รปู งามมีเสนห่ ์ เจรจาออ่ นหวาน งามเลศิ กวา่ นางใดในชวา
นสิ ยั เจ้าชู้ เช่ยี วชาญการใช้กริช มกี ิรยิ ามารยาทเรยี บรอ้ ย
และกระบ่ี คารมคมคาย เฉลยี วฉลาดทันคน
ใจกว้าง และมเี หตุผล
เป็นคตู่ นุ าหงันกบั บษุ บา
แตป่ ฏเิ สธการอภิเษก เพราะหลง เป็นค่ตู ุนาหงนั กบั อิเหนา เพราะ
นางจนิ ตะหราวาตี พระบดิ าหมนั้ หมายไวต้ งั้ แต่เด็ก
ออกรบในศกึ กะหมงั กุหนิง เปน็ ลกู ที่ดีอยใู่ นโอวาท
เพือ่ ปกปอ้ งบษุ บาจากการลักพาตวั ของพระบดิ า พระมารดา
ท้าวกะหมังกหุ นิง วหิ ยาสะกา
ผคู้ รองเมืองกะหมงั กุหนงิ โอรสของท้าวกะหมังกหุ นิง ซึง่ เกิด
มีโอรสช่อื วหิ ยาสะกา จากประไหมสหุ รี
รักลูกมาก เม่ือทราบว่าวิหยาสะกา เปน็ หนุ่มรูปงาม ผวิ พรรณผุดผ่อง
หลงบุษบา ก็แต่งทตู ไปส่ขู อให้ มฝี ีมอื ในการใชท้ วน
มุ่งมน่ั เดด็ เด่ยี ว เมอื่ ถูกทา้ วดาหา มีจิตใจออ่ นไหว เพียงแคเ่ ห็นรปู วาด
ปฏิเสธ ไม่ยกบษุ บาให้ กย็ กทัพไป ของบุษบา ก็ทาใหว้ หิ ยาสะกาคลงั่ ไคล้
ตีกรงุ ดาหาเพือ่ แยง่ มา ใครทดั ทาน ใหลหลงจนกินไมไ่ ดน้ อนไมห่ ลับ
ก็ไม่ยอม
สังคามาระตา จนิ ตะหราวาตี ระตหู มนั หยา
นอ้ งชายของมาหยารศั มี ธิดาของระตูหมนั หยา โอรสทา้ วมังกัน
รูปโฉมงดงาม ภายหลังได้ครอง
เปน็ หนมุ่ รูปงาม เปน็ ภรรยาของอเิ หนา เมืองหมันหยา
มคี วามเฉลยี วฉลาด รอบคอบ แม้จะมคี วามเจา้ แง่แสนงอน เปน็ บดิ าของจนิ ตะหรา
แกป้ ญั หาเฉพาะหนา้ เก่ง แตก่ เ็ ป็นคนมีเหตุผล มจี ติ ใจออ่ นแอ
กล้าหาญ และซื่อสัตย์ ไม่มคี วามเปน็ นกั สู้
ชานาญในการใช้ทวนเป็นอาวุธ
เป็นคู่คิดคปู่ รึกษาของอิเหนา
รวมถึงศึกกะหมงั กหุ นิง
ทา้ วดาหา ทา้ วกุเรปนั ระตูจรกา
กษัตรยิ ์ผู้ครองกรุงดาหา เปน็ กษัตริยค์ รอง เป็นเจ้าเมืองจรกา
มปี ระไหมสุหรีชือ่ ดาหราวตี เมอื งกุเรปนั
มีโอรสและธดิ าคอื บุษบา มีโอรสและธิดากับ รูปรา่ งหนา้ ตาขรี้ ิ้วข้เี หร่
กบั สียะตรา ประไหมสหุ รี คอื อเิ หนา ผมหยกิ ผวิ คล้าขรขุ ระ
และวิยะดา
รกั ษาสัจจะ และรอบคอบ อยากมีชายาสวย
ปฏเิ สธทา้ วกะหมังกหุ นิงที่มา เป็นผ้สู ่งสาร จึงให้ชา่ งเขยี นแอบไป
สขู่ อบุษบาให้วิหยาสะกา ใหอ้ เิ หนายกทพั วาดภาพสาวงาม
เพราะยกบษุ บาให้ ไปชว่ ยในศึก ตามท่ตี ่างๆ และ
จรกาแลว้ จนเกิดเปน็ ศกึ กะหมังกหุ นงิ เป็นผ้สู ูข่ อบษุ บามา
กะหมังกุหนิง แต่ก็สง่ สาร เปน็ พระชายา
ขอความชว่ ยเหลือจากพีช่ าย
ศึกกะหมงั กหุ นงิ
จอมทพั จอมทพั
เมอื งกะหมังกหุ นงิ ทา้ วกะหมังกหุ นิง อเิ หนา เมอื งดาหา
ทพั หนา้ ทัพหน้า เมืองหมันหยา
เมืองปาหยัง วหิ ยาสะกา สังคามาระตา เมอื งกุเรปนั
เมืองปะหมนั ทัพหลัง ทัพหลัง
และหวั เมืองอ่ืนๆ ระตปู าหยงั กะหรัดตะปาตี เมืองกาหลัง
ระตปู ระหมนั สหุ รานากง เมอื งสงิ หห์ ัดสา่ หรี
ระเดน่ ดาหยน
อเิ หนา ตอน ศึกกะหมังกุหนงิ
คุณค่าดา้ นเนื้อหา
...จงสร่างส้ินกนิ แหนงแคลงใจ ทใี่ นบษุ บามารศรี
พส่ี ลดั ตดั ใจไม่ไยดี มิได้มปี รารถนาอาลยั
จรกาจึงได้มาว่าขาน กาหนดนดั ทางานการใหญ่
พอกะหมงั กหุ นงิ รไู้ ป กซ็ ้าใหม้ ากล่าวกัลยา
ครน้ั ขอนางมิได้ดังใจจง จึงเกดิ การรณรงคใ์ นดาหา
เพราะแหนหวงช่วงชิงวนิดา ใชว่ า่ นางเปล่าอยู่เมอ่ื ไร...
อเิ หนา ตอนศกึ กะหมังกุหนงิ : พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั
ลองทายวา่ เหตกุ ารณใ์ นตอนนีเ้ ป็นอย่างไร
ถา่ ยทอดปมขดั แยง้ ของเรอ่ื งได้อย่างลงตัว พจ...รสี่จกลงาสดั จรตงึ า่ ดัไงดใสจ้ม้ินไามกว่ไนิ ่ายแขดหาี นน๑งแ๒คลงใจ ท่ใี นบษุ บามารศรี
มไิ ดม้ ีปรารถนาอาลยั
ใช้การเล่าเรือ่ งใน ๔ ประเดน็ หลักของ พอกะหมังกหุ นิงร้ไู ป ๓ กาหนดนดั ทางานการใหญ่
เร่อื งผา่ นตวั ละคร มีจงั หวะเวลาท่ี คร้ันขอนางมไิ ด้ดังใจจง ก็ซา้ ใหม้ ากลา่ วกัลยา
เหมาะสม ทาใหม้ คี วามลงตัว เพราะแหนหวงชว่ งชงิ วนดิ า ๔ จึงเกิดการรณรงคใ์ นดาหา
ใช่ว่านางเปลา่ อย่เู มอื่ ไร...
๑. เพราะอเิ หนาปฏเิ สธการอภเิ ษกกับบุษบา
๒. ทา้ วดาหายกบษุ บาให้จรกา
๓. เม่อื ท้าวกะหมงั กหุ นงิ ไปขอ จงึ ถูกปฏเิ สธ
๔. เมื่อถูกปฏเิ สธกจ็ ะบกุ ไปชงิ ตวั มา
อเิ หนา ตอนศกึ กะหมงั กุหนงิ : พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหล้านภาลยั
คุณคา่ ด้านวรรณศลิ ป์
จงึ ชักม่านทองทง้ั สท่ี ิศ ดังจะปดิ บังแสงสุริย์ศรี
ลมหวนอวลกลิน่ สมุ าลี เหมอื นกลิ่นผา้ ยาหยซี ึ่งเปลีย่ นมา
แว่วเสียงสาเนยี งบหุ รงร้อง วา่ เสยี งสามนมิ่ น้องเสน่หา
พระแย้มเยย่ี มมา่ นทองทัศนา เห็นแตป่ า่ พมุ่ ไม้ใบบัง
เอนองค์ลงองิ พงิ เขนย กรเกยกา่ ยพักตร์ถวิลหวงั
รสรกั ร้อนรนพ้นกาลัง ชลนัยนไ์ หลหลั่งลงพรง่ั พราย
อเิ หนา ตอนศึกกะหมงั กหุ นงิ : พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั
อ่านแลว้ รสู้ ึกอยา่ งไร
ใชพ้ รรณนาโวหาร จงึ ชกั มา่ นทองทั้งสี่ทิศ ดังจะปิดบังแสงสุริย์ศรี
ลมหวนอวลกลนิ่ สุมาลี เหมือนกลิ่นผา้ ยาหยีซง่ึ เปลีย่ นมา
ใชค้ าเปรียบเทียบอุปมาอุปไมย เพอ่ื ให้ แว่วเสยี งสาเนียงบหุ รงร้อง ว่าเสยี งสามนม่ิ น้องเสน่หา
รู้สกึ ซาบซง้ึ ตามอารมณ์ของตวั ละคร พระแย้มเยี่ยมมา่ นทองทัศนา เห็นแต่ปา่ พุ่มไม้ใบบัง
โดยใชค้ าเชือ่ มเช่น ...เหมือน... ...วา่ ... เอนองคล์ งอิงพงิ เขนย กรเกยก่ายพกั ตร์ถวิลหวงั
รสรกั ร้อนรนพน้ กาลัง ชลนัยน์ไหลหล่ังลงพรงั่ พราย
เปรยี บกลน่ิ หอมของดอกไม้กบั กลนิ่ ผ้า
ทช่ี ายาน่งุ หม่ ใหมๆ่
เปรยี บเสียงนกร้องกบั เสยี งพดู คุย
ของชายาท้ังสาม
อเิ หนา ตอนศึกกะหมังกหุ นงิ : พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหล้านภาลยั
คณุ ค่าด้านวฒั นธรรม
โทน กิดาหยันถวายพานเคร่อื งตน้
๏ หา้ องคช์ าระสระสนาน
บรรจงทรงทาพระสคุ นธ์ ปรงุ ปนเกสรสุมาลี
สอดใสส่ นับเพลาภษู าทรง ฉลององคโ์ หมดตาดตา่ งสี
เจียระบาดคาดรดั รูจี ป้ันเหนง่ เพชรพลอยมณีหนนุ ซบั
ทรงมหาสังวาลพชิ ัยยุทธ์ ชมพูนทุ เฟือ่ งห้อยพลอยประดับ
ทองกรแกว้ พกุ ามวามวบั ธามรงค์รงุ้ ระยับจับตา
ทรงมงกุฎกุณฑลทัดตรสั เตรจ็ อบุ ะเพชรแพร้วพรายพระเวหา
เหน็บกริชฤทธิไกรแลว้ ไคลคลา เสดจ็ มายงั เกยแกว้ มณี
ฯ ๖ คา ฯ เสมอ
อิเหนา ตอนศึกกะหมังกหุ นงิ : พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั
อา่ นแลว้ คิดว่ามีการแตง่ กายในลกั ษณะอยา่ งไร
โทน กิดาหยนั ถวายพานเคร่ืองต้น
๏ หา้ องคช์ าระสระสนาน
วฒั นธรรมการแตง่ กาย บรรจงทรงทาพระสคุ นธ์ ปรงุ ปนเกสรสุมาลี
พรรณนาถงึ การแต่งกายไปรบของอเิ หนาและ สอดใส่สนบั เพลาภูษาทรง ฉลององค์โหมดตาดตา่ งสี
อนุชา ซง่ึ ผสมผสานระหว่างชุดราตวั พระ
กบั วัฒนธรรมชวา เจยี ระบาดคาดรัดรูจี ป้นั เหน่งเพชรพลอยมณีหนนุ ซับ
เคร่ืองตน้ เคร่ืองแต่งกายสาหรบั กษตั ริย์ ทรงมหาสงั วาลพชิ ยั ยทุ ธ์ ชมพนู ุทเฟือ่ งหอ้ ยพลอยประดบั
สนับเพลา กางเกงแบบยาวถงึ ระดับแข้ง
ปัน้ เหน่ง เขม็ ขัดท่มี หี ัวประดับดว้ ยอญั มณี ทองกรแก้วพุกามวามวบั ธามรงค์รงุ้ ระยบั จับตา
ทองกร กาไลข้อมือทม่ี ีลกั ษณะเปน็ แผง
อุบะ พวงดอกไมท้ ี่ห้อยทดั ใบหขู วา ทรงมงกุฎกุณฑลทัดตรัสเตรจ็ อบุ ะเพชรแพรว้ พรายพระเวหา
กรชิ เปน็ เครื่องประดบั และอาวุธแบบชวา
เหนบ็ กรชิ ฤทธิไกรแล้วไคลคลา เสดจ็ มายงั เกยแก้วมณี
ฯ ๖ คา ฯ เสมอ
อิเหนา ตอนศกึ กะหมงั กหุ นงิ : พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หล้านภาลยั
ตวั ละคร สรุปบทเรียน ส่ิงที่ได้
อเิ หนา บุษบา เรือ่ ง กลอนบทละคร รักทีแ่ ท้
จนิ ตะหรา จรกา ต้องไม่หวังครอบครอง
อเิ หนา สังคามาระตา ท้าวกเุ รปัน อิเหนาปฏิเสธบุษบา ขนึ้ ตน้ ด้วย
ทา้ วดาหายกบุษบาใหจ้ รกา เม่ือนั้น บดั นั้น เวลาตดั สนิ ใจ
ตอน ศกึ กะหมงั กหุ นิง ตอ้ งคิดใหร้ อบคอบ
ท้าวกะหมังกหุ นงิ ขอบุษบา กลอน ๘ ชาวชวาคอื ชาวอนิ โดนีเซยี
ให้วิหยาสะกาแตถ่ กู ปฏเิ สธ ส่วนใหญใ่ นปัจจบุ ัน
ท้าวหมนั หยา ทา้ วดาหา ท้าวกะหมงั กุหนิงยกทัพ พระราชนิพนธ์โดย
ไปตเี มอื งชิงตัว รชั กาลท่ี ๒
วิหยาสะกา ทา้ วกะหมงั สังคามาระตาสังหาร
กุหนิง วหิ ยาสะกา อเิ หนาสังหาร
ทา้ วกะหมงั กุหนิง