การเขียนเรียงความ
ขัน้ ตอนการเขียนเรียงความ
๑. เลือกเร่ืองที่จะเขยี น
๒. ตงั้ จดุ ม่งุ หมายและกาหนดขอบเขตของเร่ือง
๓. หาข้อมลู มาประกอบการเขียน
๔. วางโครงเร่ือง
๕. เขยี นขยายความ
คำนำ เป็นการเปิ ดเร่ือง ตอ้ งประทบั ใจ โดนใจ โดดเด่น
๑. กวนี ิพนธ์ บทกลอน
๒. สานวน สุภาษิต พทุ ธศาสนาสุภาษิต
๓. คาประพนั ธส์ ร้างสรรค์
๔. คานิยามจากดั ความ
๕. ยกพระราชดารัสหรือพระบรมราโชวาท
๖. ยกเหตุการณ์
เนื้อเรอื่ ง เป็ นส่วนสาคญั และยาวทสี่ ุดของ
เรยี งความ
ผู้เขปยี รนะคก้นอคบวด้าว้ ย แลคะวามรู้ ความคดิ และขอ้ มลู ที่
เรยี งอยา่ งเป็ นระบบ ระเบยี บ
การเขยี นเนือ้ เรอื่ งเป็ นการขยายความในประเด็น
ตา่ งๆ ตาม
มกี ารยโกคตรงวั เอรยอื่ า่งงทวี่ างไวล้ ว่ งหน้าแลว้ ในการเขยี นอาจ
การอธบิ าย การพรรณนา หรอื ยกโวหาร
ตา่ งๆ มาประกอบดว้ ย
โดยอาจจะมยี อ่ หน้าหลายยอ่ หน้าก็ได้
๑. ความถูกต้อง แจ่มแจ้งสมบรู ณ์ ผู้อ่านสามารถเข้าใจเจตนารมณ์
ของผู้เขยี นได้เป็นอย่างดี
๒. ใจความสาคญั แต่ละย่อหน้า จะต้องมีเพียงใจความเดียว ไม่ออก
นอกเร่ือง สบั สน วกวน
๓. เน้อื หาในแต่ละย่อหน้าจะต้องมคี วามสมั พันธเ์ ก่ยี วเน่อื งกนั โดย
ตลอด
สรุป เป็ นส่วนสุดทา้ ยหรอื ยอ่ หน้า
สุดท้ายในเรยี งความ ผู้เขยี นจะทง้ิ ท้าย
ให้ผู้อา่ นเกดิ ความประทบั ใจ สอดคลอ้ ง
กบั เรอื่ งทเี่ ขยี น กระชบั รดั กุม
สรุป เป็ นการปิดเรอื่ งอยา่ งคมคาย ให้คติ
สอนใจให้ความคดิ แปลกใหม่ น่าตดิ ตาม
๑. สรุปความ
๒. คตเิ ตอื นใจ
๓. คาประพนั ธส์ รา้ งสรรค์
๔. กวนี ิพนธ์
๕. พุทธศาสนสภุ าษิต