The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ความรู้เกี่ยวกับพืช

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นุชอนงค์ คงเทศ, 2019-06-04 00:29:30

e-book บทที่ 3

ความรู้เกี่ยวกับพืช

บทที 3 เนือหาในบทที 3 ความรเู้ บืองตน้ เกยี วกบั พืช
ความรเู้ บืองตน้ เกียวกบั พืช
1) ความสาํ คญั ของการปลกู พชื
2) ววิ ฒั นาการการปลกู พืช
3) การจําแนกพืชทางพฤกษศาสตร์
4) การจาํ แนกพืชตามสาขาพชื กรรม
5) การขยายพนั ธพ์ุ ืช
6) ปัจจยั และสิงแวดลอ้ มทีสําคญั เกยี วกบั การปลกู พืช

ความสาํ คญั ของการปลกู พืช ความต้องการปลกู พืชเพิมขึน เนืองจาก
ประชากรโลกเพิมขึน ต้องผลิตใหม้ ากขึน จึง
สิงมีชีวิตในโลกแบ่งเป็ น 2 พวก
จําเป็ นตอ้ งเรยี นรกู้ ารขยายพนั ธพ์ุ ืช
1) พืช นาํ มาเป็ นเครอื งนงุ่ ห่ม, บรโิ ภค, ยารกั ษาโรค,
พกั ผอ่ นหยอ่ นใจ

2) สตั ว์ นาํ มาบริโภค, เลียงไวใ้ ชง้ าน, สตั วเ์ ลยี ง

1

วิวฒั นาการการปลกู พืช
สมยั โบราณ เขา้ ป่ า ลองผิดลองถกู นาํ มา

บริโภค,นาํ มาสะสม เรียนรกู้ ารขยายพนั ธ์ุ

2

3

4

ศตวรรษที 16 ชาว Babylon ทําสวนลอยฟ้ า ค.ศ.1275 Marco Polo เดินทางมาจีน พบการปลกู
(Hanging Gardens) ชาว Aztecs (Mexico) ทําการปลกู พืชของชาวจีน และมีการทําสวนลอยนํา ในราชสาํ นกั
พืชบนผวิ นํา และสวนลอยนํา (Floating Gardens)

ค.ศ.1699 John Woodward ทดลองปลกู ตน้ Mint ค.ศ.1804 De Sanssure Vances ศึกษาชนิด
ในนําผสมดิน พบวา่ มีการเจริญเติบโตทีดีกวา่ อาหารทีพืชไดร้ บั จาก ดิน นํา และอากาศ

สรปุ ว่า นํามีความจําเป็ นต่อการเติบโตของพืช
(ไฮโดรเจนไดม้ าจากนํา, Co2, O2 ไดม้ าจากอากาศ,
แรธ่ าตตุ ่าง ๆ ไดม้ าจากดินโดยส่วนของรากพืชดดู
ซมึ เขา้ มา)

5

ค.ศ. 1960-1961 Sachs และ Knop ชาวเยอรมนั ค.ศ. 1960 เกดิ การปฏวิ ตั ิเขียว (Green
ค้นพบการปลกู พืชโดยใช้สารละลาย, ทดสอบธาต ุ Revolution) ปรบั ปรงุ เทคนิควิธีการปลกู พืช
อาหารของพืช เพือเพิมผลผลติ ทางการเกษตร

ต่อมาค้นพบธาตอุ าหารพืช 7 ธาต ุ (เหล็ก มีการใชก้ ารเกษตรแผนใหม่ สารเคมี
คลอรีน โบรอน แมงกานีส สังกะสี ทองแดง และ ป๋ ยุ ยาฆ่าแมลง และเครืองจกั รกลทางการ
โมลบิ ดนิ มั ) เกษตร มาใช้

ค.ศ.1995-1997 มกี ารรณรงคใ์ นการ ค.ศ. 2003 มีการตืนตวั ผลิตพืชผล
ลด ละ เลิก การใชส้ ารเคมี ยาฆ่าแมลง ทางการเกษตร โดยใชส้ ารอินทรีย์ และเนน้
พืชอาหารทีมีความปลอดภัยจากสารพิษ
และการต่อตา้ นพืชพรรณทีมาจากการทํา
GMO’s

6

ประโยชนก์ ารปลกู พืช

1) เป็ นแหลง่ อาหาร เครอื งน่งุ ห่ม ทีอยู่
อาศยั และยารกั ษาโรค (ปัจจยั 4)

2) ชว่ ยรกั ษาตน้ นําลาํ ธาร ป้ องกนั การ
พงั ทลายของดิน

3) ช่วยใหเ้ กิดความรนื รมย์

Cherry Blossom Tunnel, Germany

Rua Gonçalo de Carvalho, Brasil Autumn Tree Tunnel, USA

7

Yew Tree Tunnel, UK The Dark Hedges, Northern Ireland

Tunnel of Love, Ukraine Jacarandas Walk, South Africa

8

Bamboo Path, Japan Wisteria Tunnel, Japan

การจําแนกพืชทางพฤกษศาสตร์ Genus Species
(Botanical Classification)
ชือวิทยาศาสตรข์ า้ ว oryza sativa L.
Linnaeus C. (1707-1778)
ชาวสวีเดน คิดคน้ ระบบการตงั ชือยอ่ ผตู้ งั ชือพืช
ชือ สงิ มีชีวติ “Binomial Nomenclature”
Scientific Name
กาํ หนดชือพืช

9

การแบ่งตามหลกั พฤกษศาสตร์

อาณาจกั รพืช (Plant Kingdom) อาณาจักรพืช (Plant Kingdom)

มีระบบท่อนํา ท่ออาหาร ไมม่ รี ะบบทอ่ นาํ ทอ่ อาหาร (มอส) มรี ะบบทอ่ นาํ ทอ่ อาหาร
(Tracheophyte Division)
(Bryophyte Division) (Tracheophyte Division)

ขยายพันธ์ุด้วยสปอร์ (เฟิ ร์น) เมลด็ ไม่มสี งิ ห่อหุ้ม (สน, ปรง) เมลด็ อยู่ในสงิ ห่อหุ้ม*

(Filicineae Class) (Gymnospermae Class) (Angiospermae Class*)

ไมม่ ีระบบทอ่ นํา ใบเลยี งเดียว 6 ตระกูล ใบเลยี งคู่ 8 ตระกูล
ทอ่ อาหาร (มอส)
(Monocotyledon Subclass) (Dicotyledon Subclass)
(Bryophyte Division)
ตระกูล (Family) ตระกูล (Family)

1. Gramineae 1. Cruciferae
2. Palmaceae 2. Malvaceae
3. Liliaceae 3. Solanaceae
4. Orchidaceae 4. Convolvu laceae
5. Iridacea 5. Leguminosa
6. Cyperacea e 6. Compositae
7. Euphorbiaceae
8. Rosacea e

10

พืชทีมีความสําคญั ในทางการเกษตรเป็ นพืชทีอยู่
ใน Class Angiospermae ลกั ษณะทีสําคญั ของพืชในชนั นีคือ
มีดอกและผล ซึงเกิดจากการเจริญเติบโตของรงั ไข่และ
ท่อหมุ้ เมล็ดเอาไวภ้ ายใน Class Angiospermae แบ่งออกได้
2 Sub-class คอื

1) Subclass Monocotyledoneae มใี บเลียงเดียว

2) Subclass Dicotyledoneae มใี บเลียงค่ ู

การจําแนกพืชตามชีพจกั ร 1. พืชลม้ ลกุ (Annuals) เป็ นพืชอายสุ ัน จะออกดอกให้
(Classification on Basis of Growth Habit) เมล็ดและตายภายในเวลา 1 ปี ธัญพืชส่วนใหญ่เป็ นพืช
ลม้ ลกุ เชน่ ขา้ ว ขา้ วโพด ขา้ วฟ่ าง

11

2. พืชคาบปี (Biennials) เป็ นพืชทีมีอายคุ าบปี ในปี แรกจะ 3. Perennial Crops (พืชยืนตน้ ) are crops developed to
มีการเจริญเฉพาะทางดา้ นลําตน้ กิง และใบ และปี ที 2 จึง reduce inputs necessary to produce food. By greatly
reducing the need to replant crops from year-to-year
ออกดอกใหเ้ มลด็ และตาย เช่น บีท นาํ ตาล หอม กระเทียม

การจําแนกตามสาขาพืชกรรม การจาํ แนกตามสาขาพืชกรรม

ป่ าไม้ พืชไร่ พืชสวน ป่ าไม้ พืชไร่ พชื สวน
1. ประเภทผลัดใบ 1. ธญั พชื 1. ไม้ผล
2. พืชตระกลู ถวั 2. พืชผัก
-ป่ าเบญจพรรณ 3. พืชอาหารสตั ว์ 3. ไม้ดอกไม้ประดบั
-ป่ าแดง 4. พืชเสน้ ใย 4. การตกแต่งสถานที
2. ประเภททไี มผ่ ลดั ใบ 5. พชื ทีใชร้ ากเป็นประโยชน์ -5ส.ถสาานขเาพยา่อะยชาํ
-ป่ าดงดิบชืน 6. พชื ทีใชห้ วั เป็นประโยชน์ -การถนอมอาหาร
-ป่ าดงดบิ เขา 7. พืชทีใหน้ าํ ตาล -พืชสมนุ ไพร
-ป่ าสนเขา 8. พืชทีใหน้ าํ มนั -การผลิตเมลด็ พันธุ์
-ป่ าโกงกาง 9. พชื ทีใหน้ าํ ยาง -การเลยี งเนือเยอื
3. ประเภทอนื ๆ 10. พืชประเภทกระตนุ้ ประสาท
-ป่ าชายหาด
-ป่ าพรุ
-ป่ าหญ้า

12

ป่ าไม้ (Forest) 2) ประเภทไม่ผลดั ใบ
ป่ าดงดิบ เป็ นป่ ารกทึบ มองเขียวชอ่มุ ตลอดปี ไดแ้ ก่ ยาง ตะเคียน
ป่ าไมใ้ นประเทศไทยแบ่งออกเป็ น 3 ประเภทใหญ่ คือ
1) ประเภทผลดั ใบ ไดแ้ ก่ กะบาก เคียม จําปาป่ า ฯลฯ
ป่ าเบญจพรรณ ไดแ้ ก่ สกั ประด่ ู แดง มะคา่ โมง ตะแบก ฯลฯ ป่ าดงดิบเขา ส่วนใหญ่อยภู่ าคเหนือตามภเู ขาสงู เหนือระดบั นําทะเล
ป่ าแดง ตน้ ไมแ้ ทบทงั หมดผลดั ใบ ไดแ้ ก่ เต็ง รงั เหียง พลวง
ตงั แต่ 1,000 เมตร ไดแ้ ก่ กอ่ ต่าง ๆ มณฑาป่ า จําปาป่ า
พะยอม มะคา่ แต้ ฯลฯ หวา้ สนสามพนั ปี กาํ ยาน ฯลฯ
ป่ าสนเขา ไดแ้ ก่ สนสองใบ สนสามใบ
3) ป่ าอืน ๆ ป่ าโกงกาง พนั ธไ์ุ มม้ ีรากคําและรากหายใจ มกั ขึนตามทีดินเลนรมิ ทะเล
ป่ าชายหาด ไดแ้ ก่ สนทะเล หกู วาง โพธิทะเล กระทิง หรอื บริเวณปากแม่นําใหญ่ ๆ ซึงมีนําเค็มท่วมถึง ไดแ้ ก่
ป่ าพรุ ไดแ้ ก่ อินทนิลนํา จิก โสกนํา โกงกาง แสบทะเล ลาํ พู ราํ แพน ฯลฯ
ป่ าหญา้ ไดแ้ ก่ หญา้ คา หญา้ ขน หญา้ โขมง หญา้ เพ็ก
พืชไร่ (Agronomy)

1. ธญั พืช (Cereal or Grain Crops) ใชเ้ มลด็ เป็ นอาหารเพียงอย่างเดียว
ไดแ้ ก่ ขา้ ว ขา้ วโพด ขา้ วสาลี ขา้ วบารเ์ ลย์ ขา้ วฟ่ าง

13

2. พืชตระกลู ถวั (Leguminosae) เป็ นพืชทีอยใู่ นตระกลู ถวั ไดแ้ ก่ 3. พืชอาหารสตั ว์ (Forage Crops) เป็ นพืชพวกหญา้ ผกั หรือถวั
ถวั เหลอื ง ถวั เขียว ถวั ลสิ ง ตน้ แคดอก จามจรุ ี

4. พืชเสน้ ใย (Fiber Crops) เป็ นพืชทีปลกู ขึนเพือใชเ้ สน้ ใย 5. พืชทีใชร้ ากเป็ นประโยชน์ (Root Crops) ไดแ้ ก่ มนั สําปะหลงั
ในทางอตุ สาหกรรม เช่น ทําเชือก กระสอบ เสือผ้า มนั เทศ ผกั กาดหวั หวั บีท
ไดแ้ ก่ ฝ้ าย ป่ าน ปอ ศรนารายณ์ ฯลฯ

14

6. พืชใชห้ วั เป็ นประโยชน์ (Tuber Crops) ไดแ้ ก่ มนั ฝรงั 7. พืชทีใหน้ ําตาล (Sugar Crops) ไดแ้ ก่ ออ้ ย หวั ผกั กาดหวาน

8. พืชทีใหน้ ํามนั (Oil Crops) ไดแ้ ก่ ละห่งุ ถวั เหลือง ถวั ลิสง ขา้ วโพด 9. พืชทีใหน้ ํายาง (Rubber Crops) ไดแ้ ก่ ยางพารา ยางสน
มะพรา้ ว ปาลม์ นํามนั งา ฝ้ าย ขา้ ว ขา้ วโพด
ยางธรรมชาติจากพืชทน
แลง้ Guayule (วายเู ล)่ และ
วชั พืชในเขตเหนือDandelion

(เดนดิไลออน)

15

10. พืชประเภทกระตนุ้ ประสาท ไดแ้ ก่ ยาสบู ฝิ น ชา กาแฟ พืชสวน (Horticulture)

2. ผกั (Olericulture) จําแนกออกเป็ น 5 ประเภท 1. ไมผ้ ล (Pomology) จําแนกออกเป็ น 3 ประเภท
1. ใชร้ าก 1.1 ไมผ้ ลเขตรอ้ น ไดแ้ ก่
2. ใชล้ าํ ตน้ สบั ปะรด มะขาม พทุ รา นอ้ ยหนา่ (ทนแลง้ ไดด้ )ี
3. ใชใ้ บ กลว้ ย มะมว่ ง มะละกอ ขนนุ มะพรา้ ว ละมดุ (ทนแลง้ ไดป้ านกลาง)
4. ใชด้ อก เงาะ ทเุ รยี น มงั คดุ ลางสาด มะไฟ (ตอ้ งการความชืนสงู )
5. ใชผ้ ลและเมล็ด 1.2 ไมผ้ ลเขตกึงรอ้ น ไดแ้ ก่ สม้ ต่าง ๆ องนุ่ ลินจี ลาํ ไย อาโวกาโด
1.3 ไมผ้ ลเขตหนาว ไดแ้ ก่ แอปเปิ ล สาลี ทอ้ พลบั และเชอรี

ใชเ้ ป็ นอาหารโดยตรง ผกั กาดหวั มนั ฝรงั คะนา้
ผกั กาดขาว กะหลาํ ดอก ดอกกยุ ชา่ ย ถวั ฝั กยาว
มะเขือ

16

ใชเ้ ป็ นเครอื งชรู ส ผกั ชี, ขิง, ขา่ , ตะไคร,้ สะระแหน่, 3. ไมด้ อก-ไมป้ ระดบั (Ornamental and Flowering Plants)
กะเพรา, ดอกโป้ ยกกั , พรกิ มะนาว พรกิ ไทย แบ่งเป็ น 2 ประเภท
ไมด้ อก (Flowering Plants) แบ่งออกเป็ น 2 ประเภท
ปัจจยั ทีเกยี วขอ้ งกบั การเจรญิ เติบโตของพืช - ไมต้ ดั ดอก ไดแ้ ก่ กหุ ลาบ หนา้ ววั เบญจมาศ เยอบีรา่ กลว้ ยไม้ ฯลฯ
- ไมด้ อก ไดแ้ ก่ เข็ม ยีโถ บานชนื ว่านสีทิศ ชวนชม
1. พนั ธกุ รรม (Genetic) ไมป้ ระดบั (Ornamental Plants) แบ่งออกเป็ น 3 ประเภท
- ไมใ้ บ เช่น โกสน บอน ปรกิ เฟิ รน์ สน ปาลม์ ประดบั อนิ ทผาลมั
1.1 ลกั ษณะทีมองเห็นภายนอก (Phenotype) - ไมก้ ระถาง ไดแ้ ก่ กหุ ลาบ หนา้ ววั มะขามเทศ ดา่ ง สนตา่ ง ๆ ฯลฯ
1.2 ลกั ษณะทีถ่ายทอดไปยงั ลกู หลาน (Genotype) - ไมด้ ดั และไมแ้ คระ ไดแ้ ก่ ชาดัด ขอ่ ย ตะโก ผลโบก มะสงั หมากเล็ก
1.3 เป็ นตวั กาํ หนดสขี องดอก ความสงู ผลผลิต มะนาวเทศ

(การเลือกพืชทีจะปลกู ตอ้ งเลอื กพนั ธด์ ุ ีไมก่ ลายพนั ธ)์ ุ 2. สิงแวดลอ้ ม (Environment) ไดแ้ ก่ ดิน, นํา,
แสงสว่าง, อณุ หภมู ิ, ธาตอุ าหาร

2.1 ดิน (Soil) คอื สารหรือเทหะวตั ถ ุ(Natural Body) เกดิ จากการ
เน่าเปื อยของ หิน (Rock) แรธ่ าต ุ(Minerals) 
อินทรียวตั ถ ุ (Organic Matter)

17

การแบ่งชนั ของดินอยา่ งง่าย ทางการเกษตร แบ่งดินออกเป็ น

ดินบน (Surface Soil) มีอินทรียวตั ถแุ ละธาตอุ าหารมาก ดินบนมี 1. ดินเหนียว (Clay) คอื ดินทีมดี ินเหนียว 50% เมด็ ดินจบั ตวั แน่นอมุ้ นํา

ความลึกประมาณ 10” มีสีคลาํ ดํา นําตาล เหมาะแกก่ ารเพาะปลกู ไดด้ ี

ดินล่าง (Sub Soil) มีสีจาง เม็ดดินจบั เกาะกนั แน่น อย่ลู ึกจาก 10” 2. ดินทรายรว่ น (Loamy Clay) คือ ดินทีมีดินเหนียว 10-20% ปนทราย

ลงไป มีอินทรียว์ ตั ถนุ อ้ ย มีประโยชนต์ ่อการทรงตวั ของพืช 3. ดินรว่ นทราย (Sandy Loam) คือ ดินทีมดี ินเหนียว 20-30% ปนทราย

A Horizon มกี ารสะสมอินทรยี วตั ถ ุ 4. ดินรว่ น (Loamy Soil) คือ ดินทีมดี ินเหนียวปน 30-50% ปนทรายหรอื

B Horizon มีการสะสมอนภุ าคดินเหนียว ดินตะกอนเหมาะแกก่ ารปลกู พืชหลายชนิด
ออ๊ กไซด์ เหล็ก อลมู ินมั ฮวั มสั
C Horizon ดินแม่ 5. ดินทราย (Sand Soil) คือ ดินทีมที รายปนอยู่ 70% เหมาะกบั การปลกู
D Bed Horizon หินฐานธรณี
ตน้ กระบองเพชร

18

6. ดินปนู คือ ดินทีมีแคลเซียม 20% หรอื มากกว่า

7. อินทรียวตั ถ ุ คือ ดินทีมซี ากพืชซากสตั วป์ น 5% หรอื มากกวา่

8. ดินกรด คือ ดินเปรยี ว มี pH ตํากว่า 7

9. ดินด่าง คือ ดินทีมธี าตโุ ซเดียมสงู pH มากกว่า 7

10. ดินเกลือหรอื ดินเค็ม (Saline Soils)
คอื ดินทีมสี ภาพเป็ นดา่ ง pH ไมเ่ กิน 8.5

19

20

ตวั อยา่ งของพืชทีสามารถจะปลกู ในระดบั ความเป็ นกรด

ระดบั pH ชนิดของพืชทีควรปลกู

4.8-5.4 มนั ฝรัง แตงโม

5.5-6.8 ถัวฝักยาว กะหลาํ ปลี แตงกวา พริก ผกั กาดหวั มนั เทศ

มะเขอื เทศ ฝ้ าย แตงโม ถัวเหลอื ง มะเขอื ฟักทอง ยาสบู

ขา้ ว ขา้ วโพด ขา้ วฟ่ าง หญา้ ตา่ งๆ กะหลาํ ดอก

6.0-6.8 ผกั กาดหอม หัวหอมใหญ่ แครอท หนอ่ ไมฝ้ รัง แตง

แคนทาลพู ถัว หอม ขา้ วโพดหวาน และผกั กาดหัว

21

นํา (Water) การแบ่งพืชตามความตอ้ งการนํา

ประโยชนข์ องนาํ ต่อพืชมี ดงั นี 1. Xerophyte หมายถึง พืชทีตอ้ งการปรมิ าณนาํ นอ้ ย ทนแลง้ ไดด้ ี เช่น
1) ชว่ ยละลายแรธ่ าตตุ า่ งๆ ซึงเป็ นอาหารพืชทอี ยใู่ นดนิ พวกตะบองเพชร ศรนารายณ์
2) นาํ ชว่ ยในการปรบั ปรงุ อาหาร โดยร่วมกบั คารบ์ อนไดออกไซด์
เกดิ เป็ นนาํ ตาลอยา่ งงา่ ย 2. Mesophyte หมายถึง พืชทีตอ้ งการนาํ ปานกลาง เพือใชใ้ นการ
เจริญเตบิ โต เชน่ ขา้ วโพด ถวั ต่าง ๆ
6 CO2 + 6 H2 O แสงสว่าง C6 H12 O6 +6O2
คลอโรพิล 3. Hydrophyte หมายถึง พืชทีตอ้ งการนาํ มาก เพือใชใ้ นการ
เจริญเติบโต เชน่ ขา้ ว บัว
3) ชว่ ยใหเ้ ซลพืชอิมตวั และพองตวั เสมอ
4) ลดอณุ หภมู ใิ นตวั พชื โดยการดดู และคายนาํ ของพชื 4. Aerophyte หมายถึง พืชทีมรี ะบบรากพิเศษ คือมสี ว่ นทีสามารถดดู
5) นาํ เอาอาหารไปหลอ่ เลยี งส่วนตา่ ง ๆ ของพืช และเก็บความชืนในอากาศ เรยี กว่า Velamen เป็ นเยือสีขาว เชน่
กลว้ ยไม้ แวนดา้
แสงสว่าง (Radiant Energy)
ความสาํ คญั ของแสงต่อการขยายพนั ธพ์ ุ ืช
มีหน้าทีสําคัญคือ ช่วยทําให้เกิดพลังงานในการ
รวมตัวของคาร์บอนไดออกไซด์กับนํา ในขบวนการ 1. การงอกของเมลด็
สังเคราะห์แสง อันมีคลอโรฟิ ลเป็ นตัวเร่งปฏิกิริยาทําให้ 2. ชว่ ยในการปรงุ อาหาร ออกดอกของพืช
เกิดนําตาลอยา่ งง่าย และคารโ์ บไฮเดรตขึน ดงั นนั ถา้ ขาด 3. เกดิ การคายนาํ และการระเหยของนํา
แสงสว่างกจ็ ะไมม่ ีการปรงุ อาหาร พืชก็จะไม่เจรญิ เติบโต 4. ชว่ ยใหอ้ ินทรยี ว์ ตั ถยุ อ่ ยสลายเรว็ ขนึ

พืชสามารถนําไปใช้

22

อณุ หภมู ิ (Temperature) มีความสาํ คญั ตอ่ การเจริญเติบโต และ ธาตอุ าหาร (Mineral or Nutrient)

การพฒั นาการของพืช แบ่งเป็ น 3 ระดบั ธาตอุ าหารทีจําเป็ นตอ่ การเจรญิ เติบโตของพืชมี 16 ธาต ุซึงบางธาตพุ ืช
ตอ้ งการใชใ้ นปริมาณทีมาก แต่บางธาตพุ ืชตอ้ งการใชใ้ นปริมาณทีนอ้ ย โดยทกุ
1. อณุ หภมู ิตําสดุ (Minimum Temperature) ระหว่าง 40-43 °F ธาตมุ ีความสาํ คญั ต่อพืชเทา่ เทียมกนั ธาตอุ าหารทงั 16 ธาต ุมีดงั นี
พืชสามารถทนอยไู่ ด้
ลาํ ดบั ที ชือธาตภุ าษาไทย ชือธาตภุ าษาองั กฤษ สญั ลกั ษณ์
2. อณุ หภมู ิเหมาะสม (Optimum Temperature) ระหว่าง 44-84 °F คอื
อณุ หภมู ิทีเหมาะสมทีสดุ ต่อการเจรญิ เติบโตของพืช พืชจะมี 1. คารบ์ อน Carbon C

การสงั เคราะหแ์ สงสงู สดุ มีการหายใจระดบั ปกติและไดร้ บั ผลผลติ 2. ไฮโดรเจน Hydrogen H
สงู สดุ
3. ออกซิเจน Oxygen O
3.อณุ หภมู ิสงู สดุ (Maximum Temperature) ระหว่าง 85-114 °F
พืชสามารถทนอยไู่ ด้ 4. ไนโตรเจน Nitrogen N

5. ฟอสฟอรสั Phosphorus P

6. โปแตสเซียม Potassium K

ลาํ ดบั ที ชือธาตภุ าษาไทย ชือธาตภุ าษาองั กฤษ สญั ลกั ษณ์ โดยธรรมชาติแลว้ ธาตอุ าหารทีจําเป็ นตอ่ การเจรญิ เติบโตของพืชทงั
Calcium Ca 16 ธาตนุ นั พืชจะไดร้ บั มาจากแหลง่ ตา่ งๆ 3 แหลง่ คือ
7. แคลเซียม Magnesium Mg
Sulfur S 1) จากนํา เนืองจากนําเป็ นสารประกอบทีประกอบดว้ ยธาตไุ ฮโดรเจน (H) และ
8. แมกนีเซียม Iron Fe ธาตอุ อกซิเจน (O) เมอื พืชดดู นําไปใชก้ จ็ ะไดร้ บั สองธาตนุ ีดว้ ย
Manganese Mn
9. กาํ มะถนั Copper Cu
Zinc Zn
10. เหลก็ Boron B
Molybdenum Mo
11. แมงกานีส Chlorine Cl

12. ทองแดง

13. สงั กะสี

14. โบรอน

15. โมลบี ดีนมั

16. คลอรนี

23

2) จากอากาศ เนืองจากอากาศประกอบดว้ ยก๊าซต่าง ๆ ซึงรวมทังก๊าซ 3) จากดิน นอกจากธาต ุ C, H, O ซึงพืชจะไดร้ บั จากนําและอากาศอย่าง
เพียงพอแลว้ ธาตอุ ืน ๆ ทีจําเป็ นสําหรบั การเจริญเติบโตของพืชอีก 13 ธาต ุ
ออกซิเจน (O2) ก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) และกา๊ ซไนโตรเจน (N2) ดว้ ย นนั พืชจะไดร้ บั จากดินโดยธาตเุ หล่านีจะอย่ใู นส่วนประกอบของแรธ่ าต ุ และ
ดงั นนั พืชจึงไดร้ บั ธาตอุ อกซิเจน และธาตคุ ารบ์ อนจากอากาศโดยตรง ส่วน อินทรยี วตั ถใุ นดิน ซึงเมอื เกิดการสลายตวั เน่าเปื อยผพุ งั ธาตเุ หลา่ นีถกู ปลอ่ ย
ออกมาอยใู่ นรปู ทีเป็ นประโยชน์ ซึงพืชดดู นําไปใชไ้ ด้
ธาตไุ นโตรเจนนนั มีเฉพาะพืชตระกลู ถวั เท่านนั ทีสามารถใชแ้ บคทีเรยี ทีอย่ใู น
ปมของรากถวั ตรงึ ไนโตรเจนจากอากาศมาใชไ้ ด้

การจําแนกธาตอุ าหารตามความตอ้ งการของพืช การขยายพนั ธพ์ุ ืช (Plant Propagation)
1) ธาตอุ าหารหลกั (Macronutrient elements) คือ ธาตอุ าหาร
1) ใชเ้ พศ (Sexual Propagation) หรอื ใชเ้ มลด็
ทีพืชตอ้ งการในปรมิ าณทีมาก มี 6 ธาต ุไดแ้ ก่ N P K Ca Mg
และ S ขอ้ ดี ขอ้ เสยี

2) ธาตอุ าหารรอง (Micronutrient elements) คือ ธาตอุ าหารที 1. ขยายพนั ธไ์ุ ดร้ วดเรว็ 1. ใหผ้ ลผลิตชา้
พืชตอ้ งการในปรมิ าณทีนอ้ ย มี 7 ธาต ุไดแ้ ก่ Fe Mn Zn B Mo 2. ระบบรากแข็งแรง
Cu และ Cl ธาตทุ งั 7 นี โดยทวั ไปแลว้ จะมีอยอู่ ยา่ งพอเพียงกบั (มีรากแกว้ มาก) 2. อาจมีการกลายพนั ธ์ุ
ความตอ้ งการของพืช เพราะพืชใชใ้ นปรมิ าณทีนอ้ ย 3. การกลายพนั ธเ์ุ กิดพนั ธใ์ุ หม่ 3. % การงอกตํา
4. ลงทนุ ตํา
5. ใหผ้ ลผลิตมากกว่า

24

2) ไมใ่ ชเ้ พศ (Asexual Propagation) หรอื ใช้ 1. การตดั ชาํ หรอื ปักชํา (Cutting)
สว่ นต่างๆ ของพืช มีขนั ตอนดงั นี

หวั ราก เหง้า 1. ใชม้ ีดหรอื กรรไกร ตดั กิงออกเป็ นท่อน ยาว 4-8 นิว ใหเ้ ฉียงมี
ตา 3-4 ตาตดั ใบออกใหห้ มด
ใช้หน่อ พืช ตา
2. นําไปชําในกระบะ เอียง 60-70 องศา ลึก 1 ใน 3 ของกิง อาจ
กงิ ใบ ใชฮ้ อรโ์ มนช่วยโดยแช่ในอินโดลอาซีติกเอซิด (IAA), แนพทาลีน
อาซีติกเอซิด (NAA)
ก้าน ลาํ ต้น
4. วางกระบะในทีรม่ รดนําใหช้ ่มุ ตลอดเวลาจนกว่าจะออกราก
กงิ ชําในกระบะยาว 4-6 นิว และใบใหม่

5. ยา้ ยไปปลกู ในภาชนะปลกู หรือหลมุ ทีเตรียมไว้

2. การตอนกิงและการทบั กิง (Marco ting and Layering)

ตวั อยา่ งพืช ตดั ชาํ ราก แคแสด, สาเก, เนยี ง, สน
ตดั ชาํ ตน้ และกงิ เฟื องฟ้ า, กหุ ลาบ, โกสน, ชบา,
พรู่ ะหง, ใบเงินใบทอง, สม้ , ควนั กงิ พอกดิน หมุ้ ดว้ ยกาบ หมุ้ ดว้ ย เมอื รากออก แกะ
ตดั ชาํ ใบ มะนาว, ว่าน, เบญจมาศ, มะพรา้ วรดั พลาสติกรดั พลาสติก ตดั จาก
มะลิ, ออ้ ย เชือกใหแ้ นน่ ตน้ แม่ นําไปเพาะ
ลนิ มงั กร, ดาดตะกวั , เชือก
ควาํ ตายหงายเป็ น, อฟั ริกนั ไวโอเล็ต, ตอ่ ไป
โคมญปี ่ ุน

25

3. การทาบกงิ (Inarching)

โนม้ กิงฝั งลงดินหรือกระบะเพาะ โดยใชม้ ีดกรีด ตน้ พนั ธด์ุ ี ตน้ ตอ เมอื เนือเยือติดกนั ตดั แยก
หรือควนั กิงก่อน เมือออกรากแลว้ จึงตดั ออกจากตน้ แม่ ออกมา นําไปขยายพนั ธ์ุ
นาํ ไปขยายพนั ธต์ุ ่อไป ตดั ยอดตน้ ตอปลายเฉียง
แ ล ะ บ า ก ต้ น พั น ธ์ ุดี ใ ห้
เท่ากับปลายเฉียงตน้ ตอ
เสียบเข้าให้พอดีแล้วมดั
ดว้ ยพลาสติกใหแ้ นน่

26

4. การเสียบกงิ (Grafting) 5. การติดตา (Budding)

ตดั ตน้ ตอ เตรยี มกิงพนั ธด์ ุ ี ปาดเป็ น พนั ดว้ ยพลาสติกให้ ผา่ ตน้ ตอเป็ นรปู ตวั T มีดอา้ เปลอื กออก พนั ดว้ ยพลาสตกิ
เฉอื นแผน่ ตาที เมอื เนือเยือติดกนั
ผา่ เป็ นรอ่ งลกึ 1-2 นิว ลมิ เสียบเขา้ กบั ตน้ ตอ แน่น เมอื เนือเยือติด แกะพลาสตกิ ออก
เตรยี มไวส้ อดเขา้ ไป
ชิดดา้ นใดดา้ นหนึง แกะพลาสติกออก

การเพาะเลยี งเนือเยอื (Tissue Culture) The End

1. แยกตดั แยกชินส่วนของพืชในสภาพปลอดเชอื
2. นําไปเพาะเลียงในสตู รสารเคมที ีเหมาะสมประมาณ 4-8 สปั ดาห์
3 นําไปเพาะเลียงในขวด หรือหลอดเลียงเนอื เยอื (อาหารวนุ้ )
4 เมือเนือเยือเจริญมากขึน แยกไปเลยี งในขวดใหม่ หรอื หลอดใหม่

ตอ่ ไป
5 ยา้ ยจากหลอดลงไปปลกู ในกระบะเพาะเพือปรับสภาพ 2-4 สปั ดาห์
6 ยา้ ยลงปลกู ในภาชนะใกลเ้ คียงธรรมชาติ 4-8 สปั ดาห์
7 ยา้ ยลงปลกู ในแปลง

27


Click to View FlipBook Version