The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่ง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2021-10-11 09:29:27

กลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่ง

กลุ่มชาติพันธุ์ลาวครั่ง

Keywords: สื่อการเรียนรู้

๑๓๑

คนไทยเชอ้ื สายลาวครั่งในนครสวรรค์

ลาวครง่ั มชี อ่ื เรยี กตา่ ง ๆ กนั วา่ ลาวขค้ี ง่ั ลาวคง่ั หรอื ลาวครง่ั ทม่ี าของค�ำ วา่
“ค่งั หรือครัง่ ” มีข้อสันนษิ ฐาน ๓ ประการ คือ ประการแรก สนั นษิ ฐานว่ามาจาก
ค�ำ ว่า “ภฆู งั หรอื ภูครัง” ซงึ่ เปน็ ช่อื ภูเขาท่มี ลี กั ษณะคลา้ ยระฆังอยทู่ างภาคตะวนั
ออกเฉียงเหนือของหลวงพระบางในประเทศลาว เป็นถ่ินฐานเดิมของลาวคร่ัง
ประการท่ีสอง “ค่ังหรือข้ีค่ัง” คือ ครั่งที่ใช้ผนึกตราและมาออกเสียงว่า “คั่ง”
ในภาษาลาวครั่ง เพราะในภาษานี้ไม่มีเสียงพยัญชนะควบกล้ํา ข้อสันนิษฐาน
ประการทสี่ าม คอื ลาวคร่งั นิยมเลย้ี งครง่ั และใช้คร่งั ในการย้อมผา้ คร่งั จงึ เปน็ ของ
ส่งส่วยท่ีให้กับรัฐไทย เป็นเหตุให้ช่ือว่าลาวข้ีคร่ัง นอกจากช่ือที่กล่าวไปแล้วนั้น
ลาวครัง่ ยังมีชอื่ อื่นทแี่ ตกตา่ งกนั ออกไปตามทอ้ งถนิ่ เชน่ “ลาวเตา่ เหลือง” เป็นชื่อ
เรยี กลาวครง่ั ทอ่ี าศยั อยใู่ นจงั หวดั นครสวรรค์ ชอ่ื นม้ี ที ม่ี าวา่ ชาวลาวครง่ั ในจงั หวดั น้ี
อาศัยอยู่ตามป่าเขาเหมือนเต่าท่ีมีกระดองสีเหลือง ส่วน “ลาวด่าน” เป็นช่ือเรียก
ลาวครั่งที่อาศัยอยู่ในอำ�เภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และอำ�เภอด่านช้าง จังหวัด
สุพรรณบุรี และ “ลาวโนนปอแดง” เป็นชื่อเรียลาวครั่ง ที่อาศัยอยู่ในอำ�เภอ
บรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ นอกจากนี้ยังมีการรียกช่ือลาวคร่ังตามเสียง
ค�ำ ลงท้ายของภาษาลาวครั่ง คือ “ลาวก๊ะล่ะ หรอื ลาวลอ่ กอ๊ ” (สมทรง บรุ ษุ พฒั น์
และคณะ, ๒๕๕๔, หน้า ๑๐๒)

ประวตั ศิ าสตร์และความเป็นมาการอพยพเข้าสู่ประเทศไทย

ชาตพิ นั ธ์ุ “ลาวครง่ั ” เปน็ กลมุ่ ชาตพิ นั ธห์ุ นง่ึ ทใ่ี ชเ้ รยี กชาตพิ นั ธท์ุ ม่ี ถี น่ิ ฐานเดมิ
จากประเทศลาวแลว้ อพยพยา้ ยถน่ิ ฐานมาอาศยั อยใู่ นประเทศไทย (อญั ชลี สงิ หน์ อ้ ย
วงศวัฒนา, ๒๕๕๐ น.๑๐๙ - ๑๑๒) โดยเฉพาะในเขตพ้ืนท่ีภาคเหนือตอนล่าง
๖ จงั หวดั ได้แก่ จังหวัดก�ำ แพงเพชร อุทยั ธานี นครสวรรค์ พิจติ รพษิ ณุโลก และ
สุโขทัย การศกึ ษาชุมชนในพื้นทด่ี ังกลา่ วนั้น พบว่า ไม่ใช่ทุกชมุ ชน/หมบู่ ้านท่ีเรยี ก
ตัวเองว่า “ลาวคร่ัง”

๑๓๒

แม้ว่าจะมีประวตั ิความเป็นมาของการอพยพจากถ่นิ ฐานเดมิ เหมอื นกนั
จากทั้งเมืองหลวงพระบางและเวียงจันทน์ และมีการทอผ้าย้อมสีด้วยคร่ัง
แตบ่ างชมุ ชน/หมบู่ า้ น เรยี กตวั เองวา่ “ลาวขค้ี ง่ั ” หรอื บางชมุ ชน/หมบู่ า้ นมปี ระวตั ิ
การอพยพมาจากเวียงจันทน์คราวเดียวกันแต่เรียกตนเองว่า “ลาวเวียง” หรือ
“ไทขาว”
ชาติพันธไ์ุ ทครง่ั หรอื ทเ่ี รยี กกนั ว่า “ลาวครงั่ ” มปี ระวตั ิการถูกกวาดตอ้ นมา
พร้อมกลุ่มลาวอ่ืน ๆ จาก หลวงพระบางและเวียงจันทน์ สืบเช้ือสายบรรพบุรุษ
ซง่ึ อาศยั อยทู่ างตอนบนของล�ำ นา้ํ โขง คอื เปน็ “ลาว” แหง่ อาณาจกั รศรสี ตั นาคนหตุ
บรเิ วณเทอื กเขาภคู รงั ชาวไทครง่ั ถกู กวาดตอ้ นเขา้ ประเทศดว้ ยเหตผุ ลทางสงคราม
ตั้งแตป่ ลายสมยั กรุงธนบรุ ีจนถึงสมยั รัชกาลท่ี ๓ มาอยู่บรเิ วณเมืองหลวงภาคกลาง
ท่ีมาของไทคร่ังสอดคล้องกับประวัติศาสตร์ลาวที่กล่าวว่า การรบของ
กองทพั ไทย (ทัพสยาม) สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรแี ละทัพลาว ณ อาณาจักรลา้ นช้าง
ซ่ึงแบ่งเป็นอาณาจักรย่อย ๆ เช่น อาณาจักรล้านช้างร่มขาวหลวงพระบางต้ังอยู่
ทางเหนือ อาณาจักรลา้ นชา้ งร่มขาวเวียงจันทน์ต้ังอยู่ทางเบ้ืองน้ําโขงดา้ นตะวนั ตก
อาณาจักรล้างช้างร่มขาวจำ�ปาศักด์ิ ฯลฯ ในการรบดังกล่าว ทัพไทยชนะทัพลาว
และได้กวาดต้อนชาวลาวรวมถึงเชื้อพระวงศ์พร้อมทรัพย์สินจำ�นวนหน่ึง ยกไปท่ี
เมอื งบางกอก
ไทครั่ง เป็นชาติพันธุ์ที่ต่อมาภายหลังอพยพจากบริเวณในภาคกลาง เช่น
นครปฐม กาญจนบุรี สุพรรณบุรี และราชบรุ ี กระจายตัวข้ึนมาท�ำ มาหากินบริเวณ
ทางภาคเหนอื ไดแ้ ก่ จงั หวดั ชยั นาท นครสวรรค์ พจิ ติ ร และก�ำ แพงเพชร ชาวไทครง่ั
ในภูมิภาคน้ีมีสำ�เนียงเหมือนลาวหล่มสัก ลาวหล่มเก่า ลาวอุดรดิตถ์ และลาว
เมืองเลย

๑๓๓

งานวิจัยของอญั ชลี สิงหน์ อ้ ย วงศ์วฒั นา (๒๕๕๐) พบวา่ กลมุ่ ชาวไทครง่ั
มีประวัติการอพยพย้ายถ่ินเข้ามาในภูมิภาคเหนือตอนล่างโดยแบ่งเป็น ๒ สาย
หรือเส้นทาง คือ (๑) สายชุมชนบ้านทัพคล้าย ตำ�บลทัพหลวง อำ�เภอบ้านไร่
จงั หวดั อุทัยธานี ซ่ึงมีประวตั มิ าจากเวียงจนั ทน์ และ (๒) สายชุมชนบา้ นโคกหมอ้
ตำ�บลโคกหม้อ อ�ำ เภอทพั ทนั จงั หวดั อุทยั ธานี ซงึ่ มาจากหลวงพระบาง หรอื อาจ
เรยี กสายแรกวา่ ไทครง่ั - เวยี งจนั ทน์ และเรยี กสายสองวา่ ไทครัง่ - หลวงพระบาง
ไทครั่งท้ังสองสายน้ี นอกจากจะมีเส้นทางการอพยพเข้ามาสู่บริเวณภาคเหนือ
ตอนล่างแตกต่างกนั แล้ว ยังมีระบบเสียงวรรณยุกต์ทแี่ ตกตา่ งกนั ด้วย
เส้นทางสาย “ไทคร่ัง - เวียงจันทน์” โดยอ้างอิงกับหลักฐานเอกสารเก่า
พระนิพนธ์ โดยพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ได้เขียนเรื่องราวทาง
ประวัติศาสตร์ในสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นไว้ในหนังสือ
“เจ้าชีวิต” ที่พอจะนำ�มาเป็นหลักฐานอ้างอิงการเดินทางมาจากเวียงจันทน์ของ
ชาวบ้านทัพคล้ายได้ว่า บรรพบุรุษของชาวทัพคล้ายอพยพเข้าประเทศไทยเม่ือ
ครั้งท่ีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเป็นทหารเอกของพระเจ้าตากสิน
ยกกองทัพไปปราบเมืองหลวงพระบางและเวียงจันทน์เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๘ และ
มาพักอยใู่ นเมอื งหลวงกรุงธนบรุ เี ปน็ เวลา ๑๐ ปี
เม่ือปี พ.ศ. ๒๓๒๙ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกคุมกองทัพ
ขึ้นมาต้านพม่าด้านทิศตะวันตกและได้เกณฑ์ชาวลาวมาด้วย เพื่อเป็นทหาร
แนวหน้าและเป็นลูกหาบเสบียงอาหาร โดยเดินทัพมาจากทัพหลวง (สุพรรณบุรี)
มายังทัพละคร ทัพไฟไหม้ ทัพผึ้ง ทัพหมัน ทัพคล้าย (ในสมัยน้ัน คือ “ทัพค่าย”)
เร่ือยมาจนถึงทัพหลวงตามลำ�ดับ เป็นท่ีมาของช่ือหมู่บ้านท่ีข้ึนต้นด้วย “ทัพ”
เม่ือเสร็จศึกจึงยกทัพกลับไปกรุงธนบุรีแต่ได้ให้ชาวลาวอยู่คอยเป็นแนวหน้า
กองสอดแนม เพื่อส่งข่าวข้าศึกให้กับกองทัพฝ่ายไทย เวลาผ่านไปชาวลาวจึงได้
รวมกันเป็นชุมชนที่บ้านทัพคล้ายในปัจจุบัน และไม่กลับไปยังเมืองหลวงอีก
จึงนับว่าชุมชนทัพคล้ายเป็นชุมชนแรกท่ีได้เข้ามาตั้งรกรากในภาคเหนือตอนล่าง
เปน็ เวลากวา่ ๒๔๐ ปี นบั จากเมอื่ ครัง้ ท่อี พยพมาจากประเทศลาว

๑๓๔

ตอ่ มา ในสมยั รชั กาลท่ี ๖ พ.ศ. ๒๔๔๐ ฐานะของชมุ ชนทพั คลา้ ยไดก้ ลายเปน็
ต�ำ บลอยูใ่ นการปกครองของอำ�เภอบ้านเชี่ยน จงั หวดั ไชยนาท (ชยั นาทในปัจจุบัน)
สังกัดมณฑลนครสวรรค์ โดยตั้งช่ือตำ�บลว่า ทัพหลวง ชาวเวียงจันทน์ท่ีมี
วัฒนธรรมภาษาพูดแตกต่างจากชาวเวียงจันทน์กลุ่มท่ีเรียกตนเองว่า “ไทขาว”
ได้พากันออกจาก “ทัพค่าย” ไปตั้งถ่ินฐานเป็นหมู่บ้านในที่ต่าง ๆ โดยรอบ
คงเหลือไว้แต่กลุ่ม “ไทขาว” อยู่ในค่ายเพียงกลุ่มเดียว และในปี พ.ศ. ๒๔๖๘
ได้มีการตัดพื้นที่ที่เป็นุชมชน “ทัพค่าย” มาสังกัดอำ�เภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี
ซึ่งเป็นชุมชนทัพคล้ายในปัจจุบัน กลุ่มไทขาวก็ถูกเรียกรวมเป็น “ไทครั่ง” ด้วย
เชน่ กัน
เส้นทาง “ไทครั่ง - หลวงพระบาง” มีประวัติการอพยพเข้าประเทศไทย
ด้วยเหตุผลทางสงครามเช่นเดียวกันกับสาย “ไทคร่ัง - เวียงจันทน์” หากแต่
มาจากเมืองภูครัง อาณาเขตหลวงพระบาง ในสมัยรัชกาลที่ ๒ โดยเข้าประเทศ
ทางอำ�เภอด้านซ้าย จังหวัดเลย ผ่านลงมาทางอำ�เภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์
(ด้วยเหตุนี้ สำ�เนียง “ลาวหล่ม” ท่ีพูดในอำ�เภอหล่มเก่า และหล่มสักของ
จังหวัดเพชรบูรณ์จึงได้รับการกล่าวว่า คล้าย “ไทครั่ง”) เดินทางผ่านพิษณุโลก
พิจิตร กำ�แพงเพชร อุทัยธานี ลงมาอยู่ในบริเวณภาคกลางที่จังหวัดสุพรรณบุรี
เมื่อมาอาศัยอยู่ท่ีกรุงธนบุรีได้ระยะหน่ึงก็อพยพกระจายออกไปยังจังหวัดใกล้เคียง
เช่น นครปฐม สุพรรณบุรี ฯลฯ นอกจากน้ี ชาวลาวครั่งยังได้อพยพเคลื่อนย้าย
ไปยังพ้ืนที่ใกล้เคียง เช่น ชาวลาวครั่งท่ีอาศัยในเขตอำ�เภออู่ทอง อำ�เภอเดิมบาง
นางบวช และอำ�เภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นกลุ่มลาวคร่ังท่ีอพยพมา
จากบ้านลำ�เหย ตำ�บลลำ�เหย อำ�เภอดอนตูม จังหวัดนครปฐม นอกจากจังหวัด
สุพรรณบุรียังมีการการอพยพของชาวลาวคร่ังไปอยู่ท่ีอำ�เภอเลาขวัญ อำ�เภอ
พนมทวน และอำ�เภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจบุรี อำ�เภอบรรพตพิสัย จังหวัด
นครสวรรค์ อำ�เภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท และอำ�เภอบ้านไร่ อำ�เภอทัพทัน

๑๓๕

จังหวัดอุทัยธานี (สมทรง บุรุษพัฒน์และคณะ, ๒๕๕๔, หน้า ๑๐๒) ต่อมาเม่ือ
ประมาณ ๒๐๐ ปีมาน้ี ชาวไทครัง่ - หลวงพระบาง” ไดอ้ พยพจากจังหวัดนครปฐม
ขึ้นมาทางภาคเหนือ โดยสันนิษฐานว่า สาเหตุการอพยพขึ้นมาทางภาคเหนือ
อาจจะเป็นเหตุผลเดียวกับชาวไทดำ�เพ่ือท่ีจะกลับไปยังถ่ินฐานบ้านเกิดเมืองนอน
ที่ประเทศลาว โดยพักเป็นระยะ ๆ มาที่บ้านกุดจอก ตำ�บลกุดจอก อำ�เภอหนอง
มะโมง จังหวัดชัยนาท ต่อมามีบางส่วนอพยพต่อไปที่ชุมชนบ้านโคกหม้อ ตำ�บล
โคกหม้อ อำ�เภอทัพทนั จังหวดั อุทัยธานี จากจงั หวดั อทุ ยั ธานกี แ็ พร่กระจายเข้ามา
อาศยั ในจังหวัดนครสวรรค์ทางอ�ำ เภอลาดยาว แม่วงก์ ทา่ ตะโก อ�ำ เภอเมอื ง และ
อำ�เภอบรรพตพิสัย ทั้งน้ีมีส่วนหนึ่งอพยพจากบ้านเขาหน่อ ตำ�บลบ้านแดน
อำ�เภอบรรพตพสิ ัย เข้าไปจงั หวดั กำ�แพงเพชร สโุ ขทยั พจิ ิตร และพษิ ณุโลก

วถิ ีชีวติ

อาชีพหลักของชาวลาวคร่ังในถ่ินฐานเดิมนั้น เน้นการหาของป่า ล่าสัตว์
และทำ�ไร่หลังจากอพยพมาจึงเร่ิมมีการลงหลักปักฐานถาวรมากขึ้นมีการทำ�
เกษตรกรรมหาพื้นที่เพาะปลูก และทำ�นาเป็นอาชีพหลักมาจนถึงปัจจุบัน ไม่นิยม
ประกอบอาชีพค้าขาย ภายหลังมีโอกาสได้เล่าเรียนศึกษาทำ�ให้มีโอกาสได้ทำ�งาน
รับราชการ นอกจากน้ียังมีการสืบสานงานหัตถกรรมพื้นบ้านดั้งเดิม ยามว่างจาก
ทำ�นาก็ท�ำ งานจักสานและทอผ้า

๑๓๖

ผา้ ซิ่นตีนจก

การทอผ้าเป็นอัตลักษณ์ที่แสดงตัวตนของลาวครั่ง ผ้าทอลาวคร่ังมีชื่อเสียง
อย่างมากด้านความงดงามของลวดลายอันละเอียดประณีต และสีแดงโดดเด่น
ที่เกิดจากการย้อมด้วยคร่ัง หญิงชาวลาวครั่งมีความชำ�นาญในการทอผ้ามาต้ังแต่
คร้งั บรรพบุรุษ มลี กั ษณะการทอและการจกเกดิ ลวดลายเฉพาะตัวทเ่ี ป็นเอกลักษณ์
และยังสืบสานเทคนิคการย้อมด้วยสีธรรมชาติ ซ่ึงนิยมย้อมเส้นไหมด้วยครั่ง
ทำ�ให้ได้เสน้ ไหมสแี ดงสด นอกจากครง่ั แล้วยังมกี ารย้อมด้วยสีธรรมชาตอิ ่นื ๆ เช่น
สีเหลืองจากขมิ้นและแก่นขนุน สีครามจากต้นครามและมะเกลือ สีดำ�จากถ่าน
กะลามะพร้าว การทอจะเดินเส้น “ทางยืน” ด้วยไหมสีแดงคร่ัว และใช้เส้นไหม
“ทางพุ่ง” ทผี่ ่านการย้อมมดั หมี่ส�ำ หรับทำ�เปน็ ลวดลายตา่ ง ๆ
นอกจากประวัติความเป็นมาแล้ว ชาติพันธุ์ “ไทคร่ัง” หรือลาวครั่ง
ท้ังสองสายนั้นยังเป็นที่รู้จักกันดีในเร่ืองการทอผ้าที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ซ่ึงไม่
ปรากฏในวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ไทอื่น ๆ ในภาคเหนือตอนล่าง ผ้าทอ “ไทคร่ัง”
มคี วามนา่ สนใจในเรอ่ื งของความสวยงามประณตี และยงั คงอนรุ กั ษล์ วดลายโบราณ
เอาไว้ มีความโดดเด่นอยู่ท่ีผ้าซ่ินตีนจกสีแดงย้อมด้วยนํ้าคร่ัง และได้รวบรวม
กรรมวธิ ีท่ีหลากหลายอยใู่ นขน้ั ตอนการผลติ ผา้ ผืนหน่งึ
การทอผ้าเปน็ ความร้ทู ค่ี ดิ คน้ มากบั บรรพบรุ ุษต้งั แตอ่ พยพมาจากเวียงจันทน์
และหลวงพระบาง ประเทศลาว หลังจากท่ีชุมชนลาวครง่ั ได้ตั้งหลักแหล่งที่บริเวณ
ต่าง ๆ จึงเลี้ยงครั่งตามท่ีถนัด และได้ทำ�อุปกรณ์การทอผ้าและกี่ขึ้นอย่างง่าย ๆ
เพื่อทอผา้ ไว้ใช้ในชีวิตประจำ�วันตามพูดทีว่ ่า “ผหู้ ญิงทอผา้ ผชู้ ายตเี หล็ก”

๑๓๗

ปัจจุบันแม้ว่าจะไม่ได้ใช้กรรมวิธีย้อมสีจากคร่ัง และใช้ไหมจริงอีกต่อไปแล้ว
แต่จะใช้สีสังเคราะห์และไหมประดิษฐ์หรือฝ้ายสังเคราะห์แทน มีชุมชนลาวครั่ง
หลายแห่งได้รับการสนับสนุนและพัฒนาจากภาครัฐและนักวิชาการ มีการ
ประชาสัมพันธ์ทางเว็บไซต์ในฐานะสินค้าโอทอปประจำ�ตำ�บล หรืออำ�เภอ
หรือในระดับสากล จัดต้ังกลุ่มทอผ้า เช่น จังหวัดนครสวรรค์ที่บ้านคลองคต
(ต�ำ บลหนองกรด อ�ำ เภอบรรพตพิสัย)

ภาพท่ี ๑ กลุม่ สตรผี า้ ทอพ้ืนเมือง ชุมชนลาวครั่งบ้านโปร่งขะเนง ต�ำ บลด่านชา้ ง อ�ำ เภอ
บรรพตพิสัย จังหวดั นครสวรรค์

งานศึกษาภาคสนาม พบว่า นักภาษาศาสตร์ได้จัดภาษาลาวครั่งอยู่ใน
ตระกูล ภาษาไท - กะได การแต่งกายของคนไทยเชื้อสายลาวคร่ัง จะมีแบบฉบับ
เป็นของตนเองซึ่งนำ�วัสดุจากธรรมชาติในท้องถิ่น คือ ฝ้ายและไหมที่เป็นวัสดุ
ในการทอ เทคนิคที่ใช้มีท้ังการจกและมัดหม่ี ผ้าท่ีเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ
ชาวลาวคร่ัง คือ ผ้าซ่ินมัดหมี่ต่อตีนจก ซึ่งมีลายผ้าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถ่ิน
และผ้าขาวม้าห้าสีมีลวดลายหลากหลายและสีที่ใช้เป็นสีที่ได้จากธรรมชาติ เช่น
สีเหลืองนำ�มาจากหัวขมิ้น สีดำ�นำ�มาจากมะเกลือ + เทา (ตะไคร่นํ้า) สีครามได้มา
จากตน้ ครามผสมกับปนู กนิ หมาก สีแดงได้มาจากคร่ัง

๑๓๘

นอกจากจะทอไว้เพื่อใช้ในครัวเรือนแล้วยังทอเพื่อการจำ�หน่ายเป็นรายได้
เสรมิ จากอาชพี หลกั และอาชพี หลกั กค็ อื เกษตรกรรม เนอ่ื งจากสภาพดนิ เหมาะแก่
การเพาะปลูกเป็นอย่างมากความสามัคคีของลาวคร่ัง ชาวลาวคร่ังจะมีความ
สามัคคีกันอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือกันไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของเครือญาติ
หรือเพอื่ นบ้าน เชน่ ลงแขกเก่ียวขา้ ว ท�ำ ไร่ หรือแมแ้ ต่งานบญุ งานศพ งานรนื่ เรงิ
ต่าง ๆ ชาวบ้านก็จะมาช่วยงานกันเป็นจำ�นวนมากตั้งแต่เร่ิมงาน จนงานเสร็จ
เรยี บรอ้ ย

การแต่งกาย

วัฒนธรรมที่โดดเด่นของชาวลาวครั่งที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ท่ีเมืองภูครัง ริมฝ่ัง
แม่นํ้าโขง เมืองหลวงพระบาง คือ การเลี้ยงคร่ังไว้ย้อมผ้า นำ�สีแดงที่ได้จากคร่ัง
มาใชย้ อ้ มผา้ ซง่ึ เปน็ สที เ่ี ปน็ เอกลกั ษณข์ องชาวลาวครง่ั ดงั นน้ั วฒั นธรรมสง่ิ ทอพน้ื ถน่ิ
ลาวครั่งจึงสืบทอดมาจากหลวงพระบางจึงมีการเล้ียงไหมไว้ทอผ้าชาวลาวคร่ัง
นิยมทอผ้าซ่ินและผ้าห่ม โดยใช้ฝ้ายและไหมเป็นวัสดุสำ�คัญ เทคนิคที่ใช้มีท้ัง
การจกและมัดหม่ี ผ้าท่ีเป็นเอกลักษณ์ของชาวลาวครง่ั คอื ผ้าซิน่ มดั หม่ีต่อตีนจก
ตัวตีนซ่ินจกทอด้วยเส้นไหม ซึ่งผ่านการมัดให้เป็นลวดลายแล้วทอสลับกับการขิด
ซึ่งเป็นลายเส้นตั้ง จากนั้นต่อด้วยตีนจกซ่ึงทอด้วยฝ้าย นิยมทำ�พ้ืนเป็นสีแดง และ
ทำ�ลวดลายทรงเรขาคณิตซ่ึงไม่มีรูปแบบตายตัว ผ้าซ่ินตีนจกน้ีอาจทอตัวซิ่น
เปน็ ผา้ ไหมมดั หมล่ี ว้ นไมส่ ลบั กบั ขดิ กไ็ ด้ นอกจากผา้ ซน่ิ มดั หมต่ี อ่ ตนี จก ชาวลาวครง่ั
ยังมีซิ่นดอกดาวซึ่งนิยมทอสีพื้นด้วยสีเข้มแล้วจกลายสี่เหล่ียมเล็ก ๆ ด้วยโทนสี
ทีอ่ อ่ นเข้มสองสามสี

๑๓๙

ปัจจุบนั ชาวลาวคร่งั แตง่ กายตามสมัยนิยมในโอกาสพิเศษ เชน่ วันเทศกาล
หรืองานประเพณีต่าง ๆ ผู้สูงอายุนุ่งซ่ินทอผ้าลาวครั่ง ใส่เสื้อคอกระเช้าหรือเส้ือ
ตามสมัยนิยมและห่มผ่าสไบเฉียง (สมทรง บุรุษพัฒน์และคณะ, ๒๕๕๔, หน้า
๑๐๓-๑๐๔)

ความเช่ือทางศาสนวิทยาของชาวลาวคร่งั

ชาวลาวคร่ังนับถือพุทธศาสนาซ่ึงมีประเพณีปฏิบัติท่ีคล้ายคลึงกับชาวพุทธ
ไทยในเกือบทุกด้านจนยากท่ีจะแยกจากกันได้ ความเช่ือที่ฝังรากอย่างเหนียวแน่น
คอื ความเชอื่ เร่ืองผี ชาวลาวครั่งมีความเชื่อเร่อื งผอี ยู่สองชนดิ ใหญ่ คอื ผีเจ้านาย
และผีเทวดา นอกจากเร่ืองผีซ่ึงเป็นความเช่ือเหนือธรรมชาติแล้วนั้นชาวลาวครั่ง
ยังมีความเช่ือในเร่ืองของ “ขวัญ” ในตัวของมนุษย์เป็นการแสดงออกถึงความ
สามคั คแี ละรว่ มมอื รว่ มใจของประชาชนในทอ้ งถ่ิน

ประเพณวี ัฒนธรรมของชาวลาวคร่งั

ประเพณีแห่ธงสงกรานต์เป็นส่วนหน่ึงของเทศกาลสงกรานต์ซ่ึงปฏิบัติ
สืบทอดกันมานานในหมู่คนไทยเชื้อสายลาวครั่ง โดยถือว่าวันสงกรานต์เป็นวัน
เรมิ่ ต้นปีใหม่ คือ วันท่ี ๑๓ เมษายน ของทกุ ปี ซงึ่ ค�ำ วา่ สงกรานต์ แปลวา่ ล่วงหรือ

๑๔๐

เลยไป เคลื่อนไป การต้อนรับปีใหม่ถือว่าสำ�คัญเพราะปีหน่ึงมีครั้งเดียว การได้
รดน้ําดำ�หัวผู้สูงอายุพร้อมทั้งขอพรจากผู้ใหญ่ ถือเป็นประเพณีและวัฒนธรรม
อันดงี ามยิง่ ของคนไทยทกุ คน ทกุ ชนชน้ั ทไี่ ดป้ ฏิบัติสบื ต่อกันมา
ประเพณีการก่อเจดีย์ทรายทราบว่ามีความเก่ียวข้องกับพุทธศาสนา
นอกจากน้ีตามความเช่ือของพุทธศาสนิกชนยังเชื่อว่า การก่อเจดีย์ทรายถวายวัด
ก็เพื่อนำ�เศษดินทรายที่ติดเท้าจากวัดทั้งที่ตั้งใจและไม่ต้ังใจกลับไปคืนวัด ชาวลาว
คร่ังในจังหวัดนครสวรรค์ยึดอาชีพการทำ�นาเป็นอาชีพหลัก ซ่ึงเป็นอาชีพด้ังเดิม
นับตั้งแต่บรรพบุรุษชาวลาวคร่ังมีประเพณีวัฒนธรรมในการทำ�ขวัญข้าวเช่นเดียว
กับคนไทย ด้วยการมีความเช่ือความศรัทธาทั้งในทางพระพุทธศาสนาและในเร่ือง
ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ หรือที่เรียกกันว่า “ผี” ซ่ึงมี ๒ แบบด้วยกัน คือ
ผีเทวดาและผีเจ้านาย ผีเทวดา คือ รุกขเทวดาท่ีเคยคุ้มครองบ้านเมืองต้ังแต่สมัย
อยหู่ ลวงพระบาง สว่ นผเี จา้ นายตามความเชอ่ื ของชาวบา้ นโคกนน้ั คอื ผบี รรพบรุ ษุ
ผู้ลว่ งลับทีม่ าคอยชว่ ยปกปักษ์รกั ษาหมู่บ้านและชาวบ้าน
นอกจากนี้น้ัน ชุมชนบ้านหนองกระดูกเนื้อ ตำ�บลหนองนมวัว อำ�เภอ
ลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ ยังมีประเพณีที่เก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนา และ
ความเชื่อของประชาชน ได้แก่ ฟ้อนแห่ดอกไม้บูชาพระรัตนตรัย หรือชื่อเรียก
ในทอ้ งถิน่ วา่ ฟอ้ นแหเ่ อกา

๑๔๑

ประวตั คิ วามเปน็ มา

ชาวบ้านวังย้ิมแย้ม ตำ�บลหนองยาว อำ�เภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์
ได้ทำ�ตามบรรพบุรุษรุ่นปู่ย่า ตายาย เมื่อคราวถึงเทศกาลวันสงกรานต์จะมีการ
สรงนํ้าพระ รดน้ําดำ�หัวผู้เฒ่าผู้แก่ ต่อด้วยการแห่ธงและก่อพระเจดีย์ทราย
คร้ันยามบ่ายคล้อยแดดร่มจะได้ยินเสียงฆ้อง เสียงกลอง พอชาวบ้านได้ยินเสียง
สัญญาณน้ีก็ออกมารวมกันที่ลานวัด บ้างก็รอตักน้ําขนทรายเข้าวัด ชาวบ้าน
ได้นิมนต์พระมาเป็นม่ิงขวัญกำ�ลังใจ บ้างก็เอ้ินหมอแคน คนตีกลองพากันไป
แหเ่ กบ็ ดอกไมต้ ามทงุ่ ตามโคกตามดอน ชาวบา้ นตา่ งหมายตาหาตน้ ไมท้ ม่ี ดี อกงาม ๆ
เชน่ ดอกคูณ ดอกจำ�ปา ดอกประดู่ หรือดอกไมต้ ามบา้ น ไดแ้ ก่ ดาวเรือง มะลิ เข็ม
และดอกไม้อื่น ๆ ตามท่ีมี แต่ก่อนท่ีชาวบ้านจะเด็ดดอกไม้จะใช้คำ�กล่าว “เอกา
เอกา ขอดวงมาลาเจ้าแด ตน้ เจา้ ให้ บุญไดท๋ อ่ กนั ” เมื่อเก็บดอกไมไ้ ดต้ ามทีต่ อ้ งการ
เพื่อจะใช้ในงานวัดแล้ว ในวันน้ันชาวบ้านก็จะนำ�ดอกไม้ท่ีเก็บมาไปถวายพระด้วย
เมื่อถึงเวลาชาวบ้านก็แห่ดอกไม้โดยมีหมอแคนเป่าแคนในลายขี่วัวข้ึนเขาล่อง
ของชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ทั้งชายและหญิงต่างกันพากันมาฟ้อนรำ�
กลับวัดโดยมีพระสงฆ์ท่ีนิมนต์มาด้วยเดินนำ�หน้าฝ่ายชาวบ้านเดินตามหลังและ
ฟ้อนรำ�กันอย่างสนุกสนาน เมื่อผ่านบ้านใครท่ีตักน้ําใส่กระแป๋งไว้นั่งรอพอหม่อม
พระมากจ็ ะสวดมนตแ์ ละพรมนํา้ มนต์ให้กบั ชาวบ้าน
เม่ือหม่อมพระผ่านไปแล้วชาวบ้านจะถือขันนํ้าหรือกระแป๋งน้ําเดินเป็นแถว
ตามหม่อมพระไปจนถึงลานวัด ต่างก็แยกยา้ ยไปเตรยี มงานสถานท่ที ่ีจะสรงนาํ้ พระ
เตรียมท่ีจะรดนํ้าดำ�หัวและเตรียมประดับธง ก่อพระเจดีย์ทราย ด้วยการนำ�ดอกไม้
ที่ได้มาไปบูชาพระพุทธ พระสงฆ์ และอีกส่วนก็นำ�ดอกไม้ไปประดับเจดีย์ทราย
สว่ นชาวบา้ นทช่ี อบฟอ้ นทม่ี คี วามถนดั กไ็ ปรา่ ยร�ำ พากนั ฟอ้ นเพอ่ื เปน็ การเฉลมิ ฉลอง
“ฟ้อนแห่ดอกไม้เพื่อบูชาพระรัตนตรัย” ประเพณีสงกรานต์จึงเป็นการแสดง
พนื้ บ้านของอ�ำ เภอลาดยาว จงั หวดั นครสวรรค์

๑๔๒
อตั ลักษณ์

การฟ้อนแห่ดอกไม้บูชาพระรัตนตรัยเป็นการแสดงที่สืบทอดมาจาก
บรรพบุรุษรุ่นตายายที่จัดข้ึนในวันสงกรานต์ การฟ้อนแห่ดอกไม้นั้นมีอัตลักษณ์
คือ มีการรำ�ที่อ่อนช้อยและท่าทางการรำ�ของลาวคร่ัง โดยเฉพาะมีการแต่งตัว
ที่สวยงามและโดดเดน่ อยา่ งเห็นชดั
องค์ประกอบของการแห่ฟ้อนดอกไม้บูชาพระรัตนตรัย โดยมีวงแคนอันเป็น
ลักษณะเฉพาะท้องถ่ิน ซึ่งมสี ว่ นประกอบการแสดง ดังนี้
๑) ช่างฟ้อน มีการรำ�ท่ีออ่ นช้อย
๒) ทา่ ร�ำ มีทา่ รำ�ท่เี ป็นเฉพาะตวั ของลาวคร่ัง
๓) การแต่งกาย มกี ารแต่งกายแบบวัฒนธรรมลาวคร่งั มลี ักษณะการแตง่ ตัว
ที่โดดเดน่ และสวยงาม
๔) แคนกบั พิณ เป็นเครอื่ งดนตรีหลักท่ใี ช้ในการฟ้อนเพราะเปน็ เครอื่ งดนตรี
ท่ไี พเราะเยา้ ยวนอารมณ์ให้มคี วามรู้สกึ อยากรำ�และสนุกสนาน
๕) บทบชู าการเก็บดอกไม้

บทบูชาการแห่ดอกไม้บูชาพระรตั นตรัย
“เอกา เอกา ขอดวงมาลาเจ้าแด ตน้ เจ้าให้ บุญไดท๋ อ่ กนั ”
การฟอ้ นแหด่ อกไมบ้ ชู าพระรตั นตรยั ปกตทิ ม่ี กี ารร�ำ ในชว่ งงานสงกรานตน์ น้ั
เป็นการตอ้ นรับแขกผมู้ ีเกยี รติทมี่ าในชมุ ชน และฟ้อนแบบเผยแพร่ให้เป็นประจกั ษ์
แก่สายตาผู้ท่ีมาเย่ียมชมชุนชนว่ามีอะไรดีบ้าง และยังได้ไปเผยแพร่ในงานของดี
เมอื งลาดยาวอีกด้วย

๑๔๓

โดยเปน็ การสบื ทอดรนุ่ ตอ่ รนุ่ ชมุ ชนมบี ทบาทเขา้ มารว่ มมอื เมอ่ื จะมกี ารแสดง
เชน่ สง่ ลกู หลานมาฝกึ ร�ำ การแตง่ กาย แต่งหน้า ทงั้ หญงิ และชายใหค้ วามรว่ มมอื
เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นจึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของชาวบ้าน
ในชุมชนที่ช่วยกันรักษาวัฒนธรรมการแสดงที่เก่าแก่ และสวยงามของหมู่บ้านไว้

งานสืบสานวัฒนธรรมงานบุญคูนลาน สู่ขวัญข้าว ท่ีจัดข้ึนในวัน ๓ ค่ํา
เดือน ๓ ณ วัดหนองกระดูกเนื้อ หมู่ท่ี ๕ ตำ�บลหนองนมวัว อำ�เภอลาดยาว
จังหวัดนครสวรรค์ ซ่ึงเป็นหมู่บ้านท่องเท่ียว OTOP นวัตวิถี โดยนายอรรถพร
สิงหวิชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ เป็นประธานในพิธี ภายในงานจะมีการ
จัดกิจกรรมบายศรีสู่ขวัญข้าว การรวมกลุ่มของชาติพันธุ์ลาวครั่งจากอำ�เภอต่าง ๆ
ในจังหวัดนครสวรรค์ มีการแสดงนิทรรศการวิถีชีวิตชาวนา พร้อมกันมีตลาดนัด
ชุมชนที่ได้จำ�หน่ายสินค้าชุมชน สินค้า OTOP และกิจกรรมหมู่บ้านท่องเท่ียว
OTOP นวัตวิถี เพ่ือเป็นการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมท้องถ่ิน ส่งเสริมการ
ท่องเที่ยว และเปน็ การสรา้ งรายไดใ้ หก้ บั ชมุ ชน


Click to View FlipBook Version