The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานวิจัยในชั้นเรียน (เล่มย่อ) รายวิชาฟิสิกส์เพิ่มเติม3 รหัสวิชา ว30203 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by KruJayPhysics, 2020-06-08 13:42:49

62-1-07 วิจัยในชั้นเรียน 1-62

รายงานวิจัยในชั้นเรียน (เล่มย่อ) รายวิชาฟิสิกส์เพิ่มเติม3 รหัสวิชา ว30203 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562



ชอื่ เรือ่ ง การพฒั นาการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาบรู ณาการกบั เทคโนโลยี
เร่อื ง เสยี งกบั การได้ยิน เพื่อสง่ เสริมความสามารถในการแก้ปัญหาของนกั เรยี น
ช่ือผูศ้ กึ ษา ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 5
สถานศึกษา
ปที ่ศี กึ ษา นางสาวกุลธดิ า สุวัชระกุลธร
โรงเรยี นมาบตาพดุ พนั พทิ ยาคาร จงั หวัดระยอง สพม. 18

2562

บทคดั ย่อ

งานวจิ ัยน้ีเป็นงานวิจยั ปฏบิ ตั ิการในชั้นเรียน (Classroom Action Research) มีวัตถปุ ระสงค์
เพื่อศกึ ษาความสามารถในการแก้ปัญหาของนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 เมอื่ เรียนรูจ้ ากกิจกรรมการ
เรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาบูรณาการกับเทคโนโลยี เรื่อง เสียงกับการได้ยิน การศึกษาวิจัยน้ี
ดำเนนิ การตามกระบวนการ PLC ของกลมุ่ “การจัดกิจกรรมการเรียนรู้บูรณาการกบั เทคโนโลยี” ภาค
เรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 ท่ีต้องการแก้ไขปัญหานักเรียนขาดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
และขาดความกระตือรือร้นในการเรียน กลุ่มที่ศึกษาสำหรับการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ 5 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ – คณิตศาสตร์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562
โรงเรียนมาบตาพุดพันพิทยาคาร อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษา เขต 18 ที่เรียนรายวิชาฟสิ ิกสเ์ พิ่มเติม3 รหัสวิชา ว30203 จำนวน 1 ห้องเรียน นักเรียน
40 คน ซึ่งเป็นห้องที่ผู้วิจัยได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าทีใ่ นการจัดการเรียนรู้ เครื่องมือที่ใช้ในการ
เก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วย 1) บันทึกหลังการสอนของครู 2) ใบกิจกรรม และ 3) แบบประเมิน
ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนตามสภาพจริง ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตาม
แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาบูรณาการกับเทคโนโลยี เรื่อง เสียงกับการได้ยิน
จำนวน 2 แผนการจัดการเรียนรู้ ระยะเวลา 8 คาบเรียน ผลการศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหา
ความสามารถในการแกป้ ญั หาของนักเรียนเปน็ รายกลุ่มหลงั เรยี นร้ดู ว้ ยกจิ กรรมการเรยี นรู้ตามแนวทาง
สะเต็มศึกษาบูรณาการกับเทคโนโลยี เรื่อง เสียงกับการได้ยิน จากการศึกษานักเรียนที่เป็นกลุ่ม
ตัวอยา่ งจำนวน 7 กลุ่ม พบว่านกั เรียนจำนวน 6 กลุ่ม มคี วามสามารถในการแกป้ ัญหาระดับปานกลาง
และนักเรียนจำนวน 1 กลุ่ม มีความสามารถในการแก้ปัญหาในระดับต่ำ แต่ในภาพรวมของห้อง
นักเรยี นมีความสามารถในการแก้ปญั หาอยใู่ นระดับปานกลาง และนกั เรยี นมคี ะแนนความสามารถใน
การแก้ปัญหาเฉลี่ยรวมมากที่สุดในด้านนำเสนอ ส่วนด้านท่ีนักเรียนมีคะแนนความสามารถในการ
แกป้ ญั หาเฉลีย่ รวมนอ้ ยท่สี ดุ คอื ด้านระบปุ ัญหา

คำสำคัญ: สะเต็มศึกษา, ความสามารถในการการแก้ปญั หา, การใชเ้ ทคโนโลยีในการจดั การเรยี นรู้



ประกาศคณุ ปู การ

การจัดทำรายงานฉบับนี้ สำเร็จลงได้เพราะความร่วมมือและช่วยเหลือจากบุคคลหลายฝ่าย
ผจู้ ดั ทำจึงขอขอบพระคณุ เป็นอยา่ งสูงไว้ ณ โอกาสนี้

ขอขอบพระคุณท่านผู้อำนวยการโรงเรียนมาบตาพุดพันพิทยาคาร และรองผู้อำนวยการ
โรงเรียนมาบตาพุดพันพิทยาคาร ที่ได้ให้การสนับสนุนส่งเสริมจนทำให้รายงานนี้สำเร็จลุล่วงไปได้
ด้วยดี

ขอขอบพระคณุ ดร.เอกภมู ิ จนั ทรขนั ตี อาจารย์ ประจำภาควชิ าการศึกษา สาขาวิทยาศาสตร์
ศึกษา (ฟิสิกส์) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นางสาวรัตนวดี โมรากุล ครูชำนาญการ
กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ โรงเรยี นสตรวี ทิ ยา กรุงเทพมหานคร และนายสราวุธ แทน่ จนิ ดารัตน์
ครูชำนาญการ กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ โรงเรียนมาบตาพุดพันพิทยาคาร อำเภอเมืองระยอง
จังหวัดระยอง ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์เป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจความถูกต้องของเครื่องมือที่ใช้ใน
การศึกษาครั้ง ตลอดจนให้คำปรึกษาที่เป็นประโยชน์ในการปรับปรงุ แก้ไขพัฒนางานจนสำเร็จลุลว่ งได้
ดว้ ยดี

ขอขอบคุณ นางสาวสุพัตรา ใจตัง้ นางเกศราภรณ์ เทพแก้ว นางสาวจารวุ รรณ ชา่ งเหล็ก และ
นางสาวประภาพรรณ มาลยั วงศ์ ครูโรงเรยี นมาบตาพดุ พันพิทยาคาร อำเภอเมอื งระยอง จังหวดั ระยอง
ทรี่ ่วมแลกเปลีย่ นเรยี นรู้ ใหข้ ้อเสนอแนะในการปรับปรุงกจิ กรรมการเรียนรู้ ตลอดจนการสะท้อนผลการ
จดั การเรยี นรู้ ผา่ นการดำเนินการตามกระบวนการ PLC ของกลุม่ “การจัดกจิ กรรมการเรยี นร้บู รู ณาการ
กบั เทคโนโลยี” ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2562

ในการจัดทำรายงานครั้งนี้ ขอขอบพระคุณเพื่อนครู และผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ได้ให้ความ
อนเุ คราะห์ ช่วยเหลอื ในการจดั ทำรายงาน และขอขอบใจนักเรียนทุกคนที่มีส่วนรว่ มในการศึกษาวิจัย
ในครัง้ น้ี

กุลธิดา สุวัชระกลุ ธร

สารบัญ หนา้

บทคัดย่อ ก
กิตติกรรมประกาศ ข
ท่มี าและความสำคญั 1
คำถามการวจิ ัย 2
วตั ถุประสงค์ของการวิจยั 2
ขอบเขตของการศึกษา 2
นิยาศพั ทเ์ ฉพาะ 3
รูปแบบการวิจัย 4
นวตั กรรมการวิจัย 5
เคร่อื งมอื ที่ใชใ้ นการวิจัย 5
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 7
การวเิ คราะห์ข้อมลู 8
ผลการวิจยั 9
สรุปผลการวจิ ยั 12
อภปิ รายผลการวิจยั 13
ข้อเสนอแนะ 14
บรรณานกุ รม 15
ภาคผนวก
17
- รายชื่อผ้เู ชย่ี วชาญ 18
- แบบประเมนิ ความสามารถในการแก้ปญั หาของนกั เรียนตามสภาพจรงิ
21
เร่อื ง เสียงกบั การไดย้ ิน
- ตัวอย่างแผนการจัดการเรยี นรู้ตามแนวทางสะเต็มศกึ ษาบูรณาการกบั

เทคโนโลยี เร่อื ง รวมวงบรรเลงเป็นเพลงช้าง (ระดบั เสยี ง)

1

การพัฒนาการจัดกจิ กรรมการเรยี นรตู้ ามแนวทางสะเตม็ ศกึ ษาบรู ณาการกบั เทคโนโลยี
เร่ือง เสียงกับการไดย้ นิ เพอ่ื สง่ เสริมความสามารถในการแกป้ ัญหาของนกั เรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5

ทมี่ าและความสำคัญของปญั หา

จากการวิเคราะห์สภาพปัญหาที่พบในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้วิจัย ผ่านการดำเนินการ
ตามกระบวนการ PLC ของกลุ่ม “การจัดกิจกรรมการเรียนรู้บูรณาการกับเทคโนโลยี” ภาคเรียนที่ 1 ปี
การศึกษา 2562 พบว่าในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในห้องเรียนเน้นให้ผู้เรียนสืบเสาะความรู้ และทำ
ความเข้าใจหลกั การ ทฤษฎี เพือ่ ให้นักเรียนสามารถนำหลกั การ ทฤษฎีฟสิ ิกส์ ไปใช้ในการแก้โจทย์ปัญหา
จึงทำให้ไม่มีเวลาในการฝกึ แก้โจทย์ปัญหาในหอ้ งเรียน ส่งผลให้การแก้ปัญหาทางฟสิ ิกส์มีความผดิ พลาด
และไม่สามารถหาคำตอบตามที่โจทยต์ ้องการได้ ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไม่เปน็ ไปตามต้องการ
นอกจากนี้ ในการจัดการเรียนรู้ที่ครูมีการเชื่อมโยงสถานการณ์ที่นกั เรยี นพบเห็นในชีวิตประจำวนั มาให้
นักเรียนอธิบายหลักการทางฟิสิกส์ หรือออกแบบวิธีการแก้ปัญหาโดยใช้หลักการทางฟิสิกส์ พบว่า
นักเรียนส่วนใหญ่ไม่สามารถนำความรู้ฟิสิกส์ที่ได้เรียนจากในชั้นเรียนไปอธิบายและออก แบบวิธีการ
แก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน และเมื่อพิจารณาหลักฐานของการสอบวัดระดับต่าง ๆ เช่น สถิติการสอบวัด
PISA (PISA: Programme for International Student Assessment) แ น ว โ น ้ ม TIMSS (Trends in
International Mathematics and Science Study) (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี, 2558) และจากบทความในวารสารวิชาการต่าง ๆ พบว่าความรู้และความสามารถด้าน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเยาวชนไทยยังด้อยกว่านานาชาติ ผู้วิจัยจึงสรุปปัญหาเบื้องต้นไว้ว่า
นักเรียนส่วนใหญ่ขาดทักษะการแก้ปัญหา (Problem-Solving Skill) ทักษะดังกล่าวถือเป็นทักษะท่ี
จำเปน็ สำหรบั ผู้เรียนเพ่อื การดำรงชวี ิตและประกอบอาชีพในศตวรรษที่ 21 และเป็นสมรรถนะสำคัญของ
ผเู้ รียนตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551

ปัจจบุ นั รปู แบบการเรียนรู้มีการเปลย่ี นแปลงไปจากเดมิ ดังน้นั การจัดการเรยี นร้รู ูปแบบเดิม ๆ ท่ี
เนน้ การบรรยาย จึงไม่มีประสิทธิภาพเท่าทีส่ ังคมปจั จุบนั ตอ้ งการ ครจู ึงตอ้ งใชเ้ ทคนคิ ใหม่ ๆ พฒั นาตนเอง
เพอ่ื ถ่ายทอดกระบวนการและทักษะตา่ ง ๆ ให้กบั นกั เรียน (สพุ รรณี ชาญประเสริฐ, 2557) ผวู้ ิจัยได้ศึกษา
ถึงแนวทางการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ และพบว่าสะเต็มศึกษาเป็นทางเลือกหนึ่งในการจัดการ
เรียนรู้ที่น่าสนใจ สะเต็มศึกษาเป็นการบูรณาการวิชาต่าง ๆ เข้าด้วยกันซ่ึงประกอบด้วยวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ โดยนำความรู้ที่ได้นั้นมาสร้างเป็นชิ้นงานหรือนวัตกรรม

เกิดขึ้น สามารถแบ่งการบูรณาการออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ 1) บูรณาการภายในวิชา 2) บูรณาการพหุ
วิทยาการ 3) บูรณาการสหวิชาการ 4) บูรณาการข้ามสาขาวิชา เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์
สูงขึ้น (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.), 2557) รวมถึงการกระตุ้นให้เกิด
ความสนใจในการสืบเสาะหาความรู้ การตรวจสอบ การคิดอย่างมีเหตุผลเชิงตรรกะ ทั้งนี้ยังมุ่งเน้นให้
สามารถนำความรู้ ทักษะ และประสบการณ์จากการเรียนรู้ไปใช้แก้ปัญหาในชีวติ จริง เป็นประโยชน์ต่อ
การดำรงชวี ิตและการประกอบอาชพี ในอนาคตได้ (สุพรรณี ชาญประเสริฐ, 2557)

ผู้วิจัยจึงสนในนำการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษา บูรณาการกับเทคโนโลยี เข้ามา
แก้ปัญหาและพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาของผู้เรียน โดยเริ่มจากการศกึ ษางานวิจัยทีเ่ ก่ยี วข้อง

2

กบั การจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเตม็ ศกึ ษาบูรณาการกับเทคโนโลยี จากการศึกษางานวิจัยพบว่า เมื่อ
นักเรียนได้เรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาส่งผลให้นักเรียนมีการคิดแก้ปัญหา (Chung, 2014) การ
เรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาเป็นการบูรณาการศาสตร์การเรียนรู้ที่สำคัญ 4 ศาสตร์ ได้แก่
วิทยาศาสตร์ (Science: S) เทคโนโลยี (Technology: T) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering: E) และ
คณิตศาสตร์ (Mathematics: M) ที่ใช้การแก้ปัญหาผ่านสถานการณ์ ซึ่งเน้นให้ผูเ้ รยี นทำงานรว่ มกนั เป็น
กลมุ่ และสื่อสารเพ่ือเกดิ ความเข้าใจ ทำใหผ้ ู้เรียนได้รับการกระตนุ้ ใหเ้ กดิ การสืบเสาะหาความร้จู นสามารถ
แก้ปัญหาได้ ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดทักษะการคิดแก้ปัญหา (Carnevale et al., 2011) และกิจกรรม
การเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาเป็นการบูรณาการวิทยาศาสตร์ ( Science: S) เทคโนโลยี
(Technology: T) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering: E) และคณิตศาสตร์ (Mathematics: M) เข้าด้วยกนั
เพ่ือใช้ในการแก้ปัญหาหรือสถานการณ์ที่สอดคล้องกับชีวิตประจำวันผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ที่ได้ลงมอื
ปฏบิ ตั ิ ทำใหน้ กั เรยี นเกิดการเช่อื มโยงความร้เู พ่ือใช้แก้ปัญหาท่ีสมั พันธ์กับชวี ิตประจำวนั ส่งผลให้เกิดการ
เรียนรู้อย่างมคี วามหมายขนึ้

จากปัญหาและความสำคัญข้างต้น ผู้วิจัยจึงพัฒนาการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา
บรู ณาการกบั เทคโนโลยี เรื่อง เสยี งกับการไดย้ ิน เพื่อส่งเสรมิ ความสามารถในการแกป้ ัญหาของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนานักเรียนด้านสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึง
ประสงค์ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่กำหนดไว้ และเตรียมความ
พรอ้ มของผ้เู รียนเพอ่ื ก้าวสศู่ ตวรรษที่ 21

คำถามการวิจยั
ความสามารถในการแก้ปัญหาของนกั เรียน เร่ือง เสยี งกบั การได้ยิน เมอ่ื เรยี นรจู้ ากกิจกรรมการ

เรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาบรู ณาการกบั เทคโนโลยี เปน็ อยา่ งไร

วัตถปุ ระสงคข์ องการศึกษา
เพื่อศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เมื่อเรียนรู้จาก

กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเตม็ ศึกษาบรู ณาการกบั เทคโนโลยี เรือ่ ง เสยี งกบั การได้ยนิ

ขอบเขตของการศึกษา
1. กลมุ่ ท่ีศึกษา
กลุ่มที่ศึกษาในครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ –

คณิตศาสตร์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนมาบตาพุดพันพิทยาคาร อำเภอเมืองระยอง
จังหวัดระยอง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 18 ที่เรียนรายวิชาฟิสิกส์เพิ่มเติม 3
รหสั วิชา ว30203 จำนวน 1 ห้องเรียน นกั เรียน 40 คน ประกอบด้วยนักเรียนชาย 13 คน นักเรียนหญิง
27 คน โดยคละความสามารถ ซง่ึ เป็นห้องท่ผี ้วู จิ ัยได้รบั มอบหมายใหป้ ฏิบตั หิ น้าที่ในการจดั การเรยี นรู้

2. ขอบเขตของเน้ือหา
เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษา เป็นเนื้อหาตามหลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนมาบตาพุดพัน

พิทยาคาร กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562
รายวิชาฟิสิกส์เพ่ิมเติม3 รหัสวชิ า ว30203 ในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง เสียง ประกอบดว้ ย 2 เรื่องย่อย คือ
ระดับความเข้มเสยี งและมลภาวะทางเสียง และระดับเสยี ง

3

3. ตัวแปรทีศ่ ึกษา

3.1 ตัวแปรอิสระ ได้แก่ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาบูรณาการกับ
เทคโนโลยีสะเตม็ ศึกษาบรู ณาการกับเทคโนโลยี เรอื่ ง เสยี งกบั การไดย้ ิน สำหรับนักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5

3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ความสามารถในการแกป้ ัญหา เรื่อง เสียงกับการได้ยนิ ของนักเรยี น
ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5

4. ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา
ระยะเวลาที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 ระหว่างเดือน
มิถุนายน – เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2562 เป็นเวลาทั้งหมด 8 คาบ โดยทำการสอนเป็นเวลา 3 คาบต่อ
สปั ดาห์ คาบละ 50 นาที

นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ
1. แนวคดิ สะเตม็ ศึกษา (STEM Education)
สะเต็มศึกษา คือ แนวทางการจัดการศึกษาที่บูรณาการความรู้ใน 4 วิชา ได้แก่ การ

วิทยาศาสตร์ (Science: S) เทคโนโลยี (Technology: T) กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมศาสตร์
(Engineering: E) และคณิตศาสตร์ (Mathematics: M) โดยเน้นการนำความรูไ้ ปใช้แกป้ ญั หาในชีวติ จริง
รวมทัง้ การพัฒนากระบวนการหรือผลผลติ ใหม่ ท่ีเป็นประโยชน์ต่อการดำเนนิ ชีวติ และการทำงาน

2. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาบูรณาการกับเทคโนโลยี หมายถึง
การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการกลุ่มเพื่อนำแนวคิดฟิสกิ ส์เรื่องเสียงมาสร้างเป็นชิ้นงานหรือ
นวตั กรรมเพอ่ื แกป้ ญั หาหรอื สถานการณ์ท่ีกำหนด โดยใช้ปัญหาเป็นตัวกระตนุ้ หรอื เป็นตวั นำทางให้ผู้เรียน
แสวงหาความรู้ความเข้าใจ และลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง โดยใช้การบูรณาการความรู้ด้าน
วทิ ยาศาสตร์ (S) เทคโนโลยี (T) กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรมศาสตร์ (E) และคณติ ศาสตร์ (M) ชว่ ย
ในการคน้ พบคำตอบของปัญหา ประกอบดว้ ยข้นั ตอนของกิจกรรมเรียนรู้ 6 ข้ันตอน ได้แก่

ขั้นที่ 1 ระบุปัญหา เป็นขั้นที่ครูจัดสถานการณ์ต่าง ๆ กระตุ้นให้ผู้เรยี นเกิดความสนใจ และ
มองเห็นปัญหา สามารถกำหนดสิ่งที่เป็นปัญหาที่ผู้เรียนอยากรู้ อยากเรียนเกิดความสนใจที่จะค้นหา
คำตอบ

ขน้ั ท่ี 2 ทำความเขา้ ใจกับปัญหา ผูเ้ รยี นแตล่ ะกลุ่มวางแผนการศกึ ษาค้นคว้าทำความเข้าใจ
อภิปรายปัญหาภายในกลุม่ ระดมความคิดวิเคราะห์เพ่ือหาวิธีการหาคำตอบ ในขั้นนี้ผู้เรยี นต้องสามารถ
อธิบายสิง่ ตา่ ง ๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ปญั หาได้

ขน้ั ที่ 3 ดำเนินการศึกษาคน้ คว้า ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าดว้ ยตนเองด้วยวิธีการหลากหลาย
ขั้นที่ 4 สังเคราะห์ความรู้ ผู้เรียนนำความรู้ทีไ่ ด้ค้นคว้ามาออกแบบวิธีการแก้ปัญหา และลง
มอื แกป้ ญั หาดว้ ยตนเอง
ขั้นที่ 5 สรปุ และประเมินค่าหาคำตอบ ผู้เรียนแตล่ ะกลุ่มทดสอบวธิ ีการหรอื ผลงานของตนเอง
สรุปผลงานของกลุ่มตนเอง และประเมินผลงานเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงผลงานของตนเองให้มี
ประสทิ ธิภาพสงู สุด

4

ขั้นที่ 6 นำเสนอและประเมินผลงาน ผู้เรียนนำเสนอผลงานและวิธีการปรับปรุงผลงานของ
ตนเอง

3. ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียน หมายถึง พฤติกรรมของนักเรียนที่แสดงออก
ดา้ นการคดิ และบันทกึ ข้อมูลลงในใบกิจกรรมขณะท่ีทำกิจกรรมเพอื่ คน้ หาคำตอบในสง่ิ ที่สงสัยหรืออยากรู้
จากสถานการณ์เมื่อเรียนรู้จากกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา จากนั้นจึงใช้แบบประเมิน
ความสามารถในการแก้ปญั หาตามสภาพจรงิ ของนักเรียนซง่ึ มีทัง้ หมด 6 ด้าน ไดแ้ ก่ 1) ดา้ นระบปุ ญั หา 2)
ดา้ นทำความเข้าใจปัญหา 3) ด้านดำเนนิ การศึกษาค้นคว้า 4) ดา้ นสังเคราะห์ความรู้ 5) ดา้ นสรปุ ผล และ
6) ดา้ นนำเสนอ ประเมนิ ผลการทำกจิ กรรมของนักเรียนในแต่ละดา้ นเพอื่ ให้ได้ข้อมลู ของ ความสามารถใน
การแกป้ ัญหาของนักเรยี น

รูปแบบการศึกษาค้นควา้
การศึกษา เรื่อง การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาบูรณาการกับ

เทคโนโลยี เรื่อง เสียงกบั การได้ยิน เพ่ือสง่ เสริมความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษา
ปีท่ี 5 ในครง้ั นี้ ผูว้ จิ ัยไดด้ ำเนินการผา่ นกระบวนการ PLC ของกล่มุ “การจดั กจิ กรรมการเรียนร้บู รู ณาการ
กับเทคโนโลยี” ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 โดยใช้รูปแบบการศึกษาตามหลักการและขั้นตอนของ
การวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน (Classroom Action Research) ซึ่งมีวิธีการวิจัยซ้ำกันเป็นวงจร
ประกอบด้วยข้ันตอนการดำเนินการ 4 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นเตรียมการ (Plan) 2) ขั้นดำเนินการ (Act) 3)
ขั้นสังเกต (Observe) และ 4) ขั้นสะท้อนผลการดำเนินการ (Reflect) โดยวิธีการปฏิบัติเริ่มจากการ
พฒั นาแผนการจัดการเรียนรู้ในแต่ละเรื่องยอ่ ย จากนน้ั นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างข้ึนไปใช้ในการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้และสังเกตผลจากการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ในแต่ละคร้ังโดยอาศัยข้อมูลจากการ
สะท้อนผลการสังเกตการณ์สอนตามกระบวนการ PLC ของกลุ่ม “การจัดกิจกรรมการเรียนรูบ้ ูรณาการ
กบั เทคโนโลยี” บนั ทกึ หลังการสอนของครู และคะแนนความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรยี นเป็นตัว
พิจารณาว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในคร้งั นัน้ ได้ผลเปน็ อย่างไร (PAOR) พรอ้ มทัง้ หาแนวทางหรือวิธีใน
การแก้ไขเมื่อพบวา่ นกั เรยี นได้คะแนนความสามารถในการแก้ปญั หาน้อย และนำแนวทางในการแก้ปัญหา
ไปปรับปรุงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในแผนถัดไป การดำเนินการวิจัยนี้ จะดำเนินการเป็นวงจร
ต่อเนื่องกัน โดยแบ่งการวิเคราะห์ข้อมูลออกเป็น 2 วงจร คือ วงจรที่ 1 เมื่อทำการสอนตามแผนการ
จดั การเรียนรู้ เรื่อง ฉนวนปอ้ งกนั เสียง (ระดบั ความเข้มเสยี งและมลภาวะทางเสยี ง) และวงจรที่ 2 เม่ือทำ
การสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ เรอ่ื ง The MPP Music Festival รวมวงบรรเลงเปน็ เพลงช้าง (ระดับ
เสียง)

นวัตกรรมในการวจิ ยั

นวัตกรรมในการวจิ ยั คร้งั นี้ คือ กิจกรรมการเรยี นรู้ตามแนวทางสะเตม็ ศึกษา เรื่อง เสียงกับการ
ได้ยิน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 5 จำนวน 8 คาบเรียน คาบเรียนละ 50 นาที โดยจัดการเรียน
การสอนสัปดาห์ละ 3 คาบเรยี น รวมเวลาที่ใชใ้ นการสอนท้งั ส้ิน 3 สปั ดาห์ ดงั แสดงในตารางที่ 1

ตารางที่ 1 กรอบแนวคิดการจดั การเรยี นรูเ้ รอ่ื งเสียงกับการไดย้ นิ

5

เร่ืองยอ่ ย เวลาเรียน (คาบเรยี น)
1. ระดบั ความเขม้ เสยี งและมลภาวะทางเสยี ง 4
2. ระดบั เสยี ง 4
8
รวม

ซึง่ มรี ายละเอียดในการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ ดงั น้ี

1. ศึกษากรอบแนวคิดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาบูรณาการกับ
เทคโนโลยี

2. ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้แกนกลาง
กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

3. วิเคราะห์หลักสูตรสถานศึกษา มาตรฐานการเรยี นรู้ คำอธิบายรายวิชา และหน่วยการเรียนรู้
เรอื่ งเสยี ง ของนักเรียนระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 5

4. ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ตามวิธีการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา โดย
แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบด้วย มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้
สาระสำคัญ กจิ กรรมการเรยี นรู้ สอ่ื และแหลง่ เรียนรู้ การวัดผลและการประเมินผล

5. นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบความ
ถูกต้อง และความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ โดยถือความเห็นที่สอดคล้องกันของผู้เชี่ยวชาญ
รอ้ ยละ 60 ข้นึ ไป เป็นเกณฑ์ในการผา่ น จากนนั้ นำแผนการจัดการเรียนรมู้ าปรับปรงุ แก้ไข

6. นำแผนการจัดการเรียนรู้เสนอผ่านกระบวนการ PLC ของกลุ่ม “การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
บูรณาการกับเทคโนโลยี” ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2562 เพอื่ แลกเปลีย่ นเรียนรู้ และรบั ฟงั ข้อเสนอแนะ
และคำแนะนำในการปรบั ปรุงกจิ กรรมการเรียนรูจ้ ากสมาชิกกลุ่ม PLC

6. นำแผนการจดั การเรยี นร้ทู ป่ี รบั ปรุงแกไ้ ขแลว้ ไปใช้กบั กล่มุ ท่ีศกึ ษา

เครือ่ งมือทใี่ ช้ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้มีทั้งหมด 3 เครื่องมือ ได้แก่ 1) บันทึกหลังการสอนของครู

2) ใบกิจกรรม และ 3) แบบประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนตามสภาพจริง
ซง่ึ แต่ละเครอ่ื งมอื ก็มรี ายละเอยี ดต่าง ๆ ดงั ต่อไปนี้

1. บันทึกหลังสอนของครู เป็นบันทึกของผู้วิจัยในการบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นขณะท่ี
จัดการเรียนรู้ โดยจดบันทึกสิ่งที่ได้จากการสังเกตอย่างละเอียดตามความเป็นจริง มีลักษณะเป็นแบบ
บันทึกกึ่งโครงสร้าง ซึ่งมีหัวข้อในการบันทึก คือ 1) พฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน 2) ปัญหาหรือ
อุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ 3) การสรุปเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
4) ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม 5) ข้อมูลอื่น ๆบันทึกหลังการสอนนี้ ทำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับสภาพการจัดการ
เรียนการสอน และปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งสามารถนำข้อมูลไปใช้ในการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้เพ่ือ
แก้ปัญหาที่เกิดขนึ้ ได้มีรายละเอียดในการสรา้ งเครอื่ งมือดงั นี้

6

1) ศึกษาเอกสารทเี่ กยี่ วข้องกับรูปแบบของบันทึกหลังสอนของครู
2) กำหนดประเด็นที่ต้องการทราบระหว่างและหลังการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเตม็
ศึกษา เร่อื ง เสยี งกบั การได้ยนิ
3) สรา้ งแบบบันทึกหลังสอนของครตู ามประเด็นทก่ี ำหนด
4) นำแบบบันทึกหลังสอนของครูไปให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ตรวจสอบความ
เหมาะสมของประเด็นทต่ี ้องการบันทึก จากนั้นปรบั ปรุงแก้ไขตามคำแนะนำ
5) นำแบบบนั ทกึ หลงั สอนของครูไปบนั ทึกหลงั การจัดการเรียนรู้

2. ใบกิจกรรมของนักเรียน มวี ัตถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ใช้เป็นข้อมูลในการประเมินความสามารถใน การ
แก้ปัญหาของนักเรียนซึ่งนักเรียนเป็นผู้บันทึกผลการทำกิจกรรมในระหว่างทำกิจกรรมการเรียนรู้ตาม
แนวทางสะเต็มศึกษาบูรณาการกับเทคโนโลยี เรื่อง เสียงกับการได้ยิน ในแต่ละเรื่องย่อย โดยนักเรียน
ต้องกำหนดปัญหาจากสิ่งที่สงสัยหรือสิ่งที่อยากรู้จากสถานการณ์ กำหนดตัวแปรที่ศึกษา ออกแบบการ
ทดลอง อภิปรายผลการทดลอง สรุปผลการทดลอง และนำเสนอผลการศึกษาในการหาคำตอบในสิ่งท่ี
สงสยั หรืออยากรู้ โดยใบกิจกรรมน้ีผวู้ จิ ัยเปน็ ผู้เตรียมใหน้ ักเรียนแตล่ ะกลุ่มในระหว่างการจัดกิจกรรมการ
เรียนร้ใู นแตล่ ะเรือ่ งย่อย

3. แบบประเมนิ ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนตามสภาพจรงิ เรื่อง เสียงกับการ
ไดย้ ิน ทใี่ ช้กจิ กรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาบรู ณาการกับเทคโนโลยี เรือ่ ง เสียงกบั การได้ยิน
มีวัตถุประสงค์เพ่ือใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมนิ ความสามารถในการแก้ปัญหาของนกั เรยี น เรื่อง เสียงกับ
การได้ยิน เมื่อใช้กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา เรื่อง เสียงกับการได้ยิน ซึ่งขอบเขตของ
การประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนทั้งหมด 6 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านกำหนดปัญหา 2)
ด้านทำความเข้าใจปัญหา 3) ด้านวางแผนศึกษา 4) ด้านสังเคราะห์ความรู้ 5) ด้านสรุปผล และ 6) ด้าน
นำเสนอ โดยแบบประเมนิ ความสามารถในการแกป้ ัญหาของนกั เรยี นตามสภาพจรงิ น้ี ผวู้ จิ ัยเป็นผสู้ รา้ งข้ึน
และนำไปให้ผู้เชีย่ วชาญลงความเห็นเกี่ยวกบั ความถูกต้องและความ เหมาะสมของแบบประเมิน โดยถือ
เกณฑร์ อ้ ยละ 60 เปน็ เกณฑ์ โดยแบบประเมนิ ความสามารถในการแกป้ ัญหาของนกั เรยี นตามสภาพจริงน้ี
แบง่ คะแนนออกเปน็ 5 ระดับ ได้แก่ 0, 1, 2, 3, และ 4 คะแนน ซึ่งมรี ายละเอียดในการสรา้ งดังตอ่ ไปน้ี

1) ศึกษาทฤษฎีและกรอบแนวคิดของการประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียน
ตามสภาพจรงิ ตามในเรอ่ื ง เสียงกบั การได้ยนิ ทีใ่ ชก้ ิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศกึ ษาบูรณาการ
กับเทคโนโลยี และงานวจิ ัยทีเ่ กย่ี วขอ้ ง

2) ศึกษาเทคนิคการประเมินความสามารถในการแกป้ ัญหาของนักเรยี นตามสภาพจริง เทคนิค
การสร้างแบบประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาตามสภาพจริงของนักเรียน เรื่อง เสียงกับการได้ยิน
ที่ใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะ รวมทั้งตัวอย่างการทำแบบประเมินและเทคนิคการประเมิน
ความสามารถในการแก้ปญั หาของนักเรียนตามสภาพจริงจากหนงั สือและงานวจิ ัยท่เี กย่ี วขอ้ ง

3) สร้างแบบประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาของนกั เรยี นตามสภาพจรงิ โดยแบ่งออกเป็น
6 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านระบุปัญหา 2) ด้านทำความเข้าใจปัญหา 3) ด้านวางแผนศึกษา 4) ด้านสังเคราะห์

7

ความรู้ 5) ด้านสรุปผล และ 6) ด้านนำเสนอ โดยในแต่ละด้านของความสามารถในการแก้ปัญหาของ
นกั เรยี นนน้ั ก็จะแบงค่ ะแนนออกเปน็ 5 ระดบั ได้แก่ 0, 1, 2, 3 และ 4 คะแนน ตามลำดบั

4) นำแบบประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนตามสภาพจริง เรื่อง เสียงกับ
การได้ยิน ทใี่ ช้กจิ กรรมการเรยี นรูแ้ บบสบื เสาะท่ีผ้วู ิจยั สรา้ งข้ึนไปให้ผเู้ ช่ยี วชาญชุดเดิม ตรวจสอบความถูก
ต้องของแบบประเมินและทำการปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ โดยถือความเห็นท่ี
สอดคลอ้ งกันของผู้เชย่ี วชาญ ร้อยละ 60 ข้นึ ไป

การเก็บรวบรวมข้อมลู
ในการวิจยั ครั้งนผ้ี วู้ จิ ัยได้ดำเนนิ การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ด้วยตนเอง โดยเก็บรวบรวมขอ้ มูลจาก

เครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลทัง้ 3 เครือ่ งมือ ดงั ทกี่ ลา่ วมาแล้ว โดยข้ันตอนการดำเนินงานมดี งั นี้

1. เลือกกลุ่มของนักเรียนที่ทำการศึกษาในครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียน
รายวิชาฟิสิกส์เพิ่มเติม3 รหัสวิชา ว30203 จำนวน 1 ห้องเรียน นักเรียน 40 คน ประกอบด้วยนักเรียน
ชาย 13 คน นักเรียนหญิง 27 คน โดยคละความสามารถ ซึ่งเป็นห้องที่ผู้วิจัยได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติ
หน้าที่ในการจัดการเรียนรู้

2. ดำเนนิ การจดั กจิ กรรมการเรียนร้กู ับนกั เรยี นทเ่ี ปน็ กลมุ่ ทศี่ ึกษา โดยใช้แผนการจดั การเรียนรู้
ตามแนวทางสะเต็มศกึ ษาบูรณาการกบั เทคโนโลยี เรือ่ ง เสยี งกับการได้ยิน สำหรับนกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษา
ปีที่ 5 ที่สรา้ งขึ้นโดยผ้วู จิ ยั เอง จำนวน 2 แผน เวลาทงั้ หมด 8 คาบเรยี น คาบเรยี นละ 50 นาที

3. เมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรมการเรียนรู้แต่ล่ะครั้ง ผู้วิจัยได้บันทึกหลังการสอนทุกครั้ง โดยทำการ
บนั ทึกทั้งหมด 4 ประเดน็ ด้วยกัน ได้แก่ 1) พฤติกรรมของนักเรียนต่อการจดั การเรียนรู้ 2) ผลของการจัด
กิจกรรมการเรยี นรู้ 3) ปญั หาและอุปสรรคท่ีเกิดข้ึน วธิ ีการแกป้ ญั หา และ 4) ขอ้ เสนอแนะสำหรับการจัด
กิจกรรมการเรยี นรู้ในคร้งั ถดั ไป

4) เม่อื เสร็จส้ินกจิ กรรมการเรยี นร้ขู องแต่ละเร่อื งย่อย ผ้วู จิ ัยเกบ็ รวบรวมข้อมลู จากใบกิจกรรมที่
นักเรียนทำระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพ่ือให้ได้ข้อมูลสำหรับตอบคำถามการวิจัย โดยข้อมูลที่ได้
จากใบงานของนักเรยี นแต่ละกลมุ่ ผูว้ ิจัยจะใช้แบบประเมินความสามารถในการแก้ปญั หาของนกั เรียนตาม
สภาพจรงิ ทผี่ ้วู ิจัยสร้างขึน้ ประเมนิ ความสามารถในการแกป้ ญั หาของนกั เรียนออกมาเป็นคะแนน 5 ระดับ
ไดแ้ ก่ 0, 1, 2, 3 และ 4 คะแนน

8

การวเิ คราะหข์ ้อมลู

ในการการวิจยั ครงั้ นี้ผูว้ ิจัยไดใ้ ช้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้มคี วามเหมาะสมกบั ข้อมลทู ี่ได้จากการ
เก็บรวบรวมจากเครอื่ งมือแตล่ ะชนิด โดยมีรายละเอียดดังตารางที่ 3

ตารางที่ 3 เครอื่ งมือท่ใี ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลและการวเิ คราะหข์ อ้ มูล

คำถามการวิจยั จดุ ประสงค์การวจิ ยั เครือ่ งมือเก็บรวบรวมข้อมูล การวเิ คราะห์ข้อมูล

ความสามารถในการ เพือ่ ศกึ ษาความสามารถ - ใบกิจกรรม ค่าเฉลี่ย
แก้ปัญหาของนักเรยี น ในการแกป้ ญั หาของ
เรื่อง เสียงกับการได้ นักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษา - แบบประเมนิ ความสามารถ
ยิน เมอื่ เรยี นร้จู าก ปีที่ 5 เมื่อเรยี นรู้จาก
กจิ กรรมการเรยี นรู้ กิจกรรมการเรยี นรู้ตาม ในการแก้ปัญหาของนกั เรยี น
ตามแนวทางสะเต็ม แนวทางสะเตม็ ศึกษา
ศึกษา เป็นอย่างไร บรู ณาการกบั เทคโนโลยี ตามสภาพจริง เรอ่ื ง เสยี งกับ
เรอ่ื ง เสียงกับการไดย้ นิ
การได้ยิน

สำหรับเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล วัตถุประสงค์ และการวิเคราะห์ข้อมูล คือ
ใบกิจกรรมของนกั เรียนแต่ละกลมุ่ ผู้วิจยั ใชแ้ บบประเมินความสามารถในการแก้ปญั หาของนักเรียนตาม
สภาพจริงที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น แปลความหมายด้านความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนออกมาเป็น
คะแนน 5 ระดบั ไดแ้ ก่ 0, 1, 2, 3 และ 4 คะแนน ผ้วู ิจัยใชก้ ารวเิ คราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ยในการ
แปรผลเพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียน ข้อมูลความสามารถในการ
แกป้ ัญหาของนักเรยี นผู้วจิ ยั แบง่ ออกเปน็ 3 ประเดน็ ดงั น้ี

1. ความสามารถในการแก้ปญั หาของนักเรียนเปน็ รายกลุม่ พิจารณาจากคะแนน
ความสามารถในการแกป้ ญั หาเฉลี่ยรวมของนกั เรยี นแตล่ ะกลุม่ โดยมเี กณฑ์ในการพิจารณา ดังนี้

คะแนนเฉลย่ี รวมตงั้ แตร่ ้อยละ 70 ข้นึ ไป มคี วามสามารถในการแกป้ ัญหาระดับสงู
คะแนนเฉล่ียรวมรอ้ ยละ 50 – 69 มีความสามารถในการแก้ปญั หาระดบั ปานกลาง
คะแนนเฉลีย่ รวมตำ่ กวา่ ร้อยละ 50 มคี วามสามารถในการแก้ปญั หาระดับต่ำ

2. ความสามารถในการแกป้ ญั หาของนักเรยี นในแต่ละเรอ่ื งยอ่ ย พิจารณาจากคะแนน
ความสามารถในการแก้ปัญหาเฉลยี่ รวมของนักเรยี นทง้ั ห้องเปน็ รายเรอื่ งยอ่ ย โดยมเี กณฑใ์ นการพจิ ารณา
ดังน้ี

คะแนนเฉลี่ยรวมตง้ั แต่ร้อยละ 70 ขนึ้ ไป มคี วามสามารถในการแก้ปัญหาระดับสูง
คะแนนเฉลย่ี รวมรอ้ ยละ 50 – 69 มคี วามสามารถในการแกป้ ญั หาระดับปานกลาง
คะแนนเฉลย่ี รวมตำ่ กวา่ ร้อยละ 50 มีความสามารถในการแกป้ ัญหาระดับต่ำ

9

3. ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนเป็นรายด้าน โดยพิจารณาจากคะแนน
ความสามารถในการแก้ปัญหาเฉลี่ยรวมของนักเรียนทั้งห้องเป็นรายด้าน ประกอบด้วย 6 ด้าน ได้แก่
1) ด้านระบุปัญหา 2) ด้านทำความเข้าใจปัญหา 3) ด้านวางแผนศึกษา 4) ด้านสังเคราะห์ความรู้
5) ดา้ นสรุปผล และ 6) ดา้ นนำเสนอ โดยมเี กณฑ์ในการพจิ ารณา ดงั นี้

คะแนนเฉลี่ยรวมตงั้ แต่รอ้ ยละ 70 ข้ึนไป มีความสามารถในการแก้ปญั หาระดับสูง
คะแนนเฉล่ยี รวมรอ้ ยละ 50 – 69 มีความสามารถในการแก้ปัญหาระดบั ปานกลาง
คะแนนเฉลย่ี รวมต่ำกว่าร้อยละ 50 มคี วามสามารถในการแก้ปัญหาระดบั ต่ำ

ผลการศกึ ษา

การศึกษาความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียน เรื่อง เสียงกับการได้ยิน เมื่อเรียนรู้จาก
กิจกรรมการเรยี นรู้ตามแนวทางสะเตม็ ศึกษา ในการศกึ ษาผ้วู จิ ยั แบ่งกจิ กรรมการเรียนรู้เร่อื ง เสียงกับการ
ไดย้ นิ ออกเป็น 2 เรอ่ื งยอ่ ย ไดแ้ ก่ 1) ระดบั ความเขม้ เสยี งและมลภาวะทางเสียง และ 2) ระดบั เสียง โดย
ในแต่ละเรื่องย่อยนั้นนักเรียนต้องทำกิจกรรมเพื่อออกแบบชิ้นงานหรือนวัตกรรมเพื่อแก้ปัญหาใน
สถานการณ์ทคี่ รูกำหนด โดยนำทฤษฎีหรือหลกั การฟสิ ิกส์ เรอ่ื งเสยี ง และหลกั การวิทยาศาสตร์ท่ีเก่ียวข้อง
ในเรื่องนั้นมาใช้ในการออกแบบวิธีการแก้ปัญหา โดยเริ่มต้นจากการวิเคราะห์สภาพปัญหาซึ่งเป็น
สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของนักเรียน เพื่อทำความเข้าใจปัญหารวมไปถึงการกำหนด
กรอบแนวคิดในการแกป้ ัญหา จากนั้นศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นสำหรับใช้ในการ
ออกแบบวธิ กี ารแก้ปญั หา ผ่านกิจกรรมการทดลองหรือกิจกรรมที่เนน้ ใหน้ กั เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรม
ด้วยตนเอง จากนั้นนำหลักการทางวทิ ยาศาสตรห์ รือข้อมูลทีเ่ ก็บรวบรวมได้มาออกแบบวิธีการแกป้ ัญหา
ทดสอบหรือลงมือแก้ปัญหาตามที่ได้ออกแบบไว้ นำผลจากการปฏิบัติมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุง และ
นำเสนอผลการแก้ปัญหา และวิธกี ารปรบั ปรงุ วธิ กี ารแก้ปัญหานน้ั โดยนกั เรยี นบันทึกผลการทำกิจกรรม
ต่าง ๆ ลงในใบกิจกรรมทีผ่ ู้วจิ ัยจัดเตรียมไว้ให้ ประกอบดว้ ย 6 หัวข้อ คือ 1) ด้านกำหนดปญั หา 2) ด้าน
ทำความเข้าใจปัญหา 3) ด้านดำเนินการศึกษาค้นคว้า 4) ด้านสังเคราะห์ความรู้ 5) ด้านสรุปผล และ 6)
ด้านนำเสนอ จากนั้นผู้วิจัยใช้เกณฑ์การประเมินผลการทำกิจกรรมของนักเรียนจากแบบประเมิน
ความสามารถในการแกป้ ัญหาของนักเรียนตามสภาพจริง

โดยผูว้ ิจัยนำเสนอคะแนนความสามารถในการแกป้ ัญหาของนกั เรียนออกเป็น 3 ประเดน็ ดังน้ี

10
1. ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนเป็นรายกลุ่ม พิจารณาจากคะแนน
ความสามารถในการแกป้ ญั หาเฉลยี่ รวมของนักเรียนแตล่ ะกลุ่ม

ภาพที่ 4.1 คะแนนความสามารถในการแกป้ ัญหาเฉลย่ี รวมของนกั เรยี นเปน็ รายกลุ่ม
จากผลคะแนนความสามารถในการแก้ปญั หาเฉล่ียรวมของนักเรยี นเป็นรายกล่มุ พบวา่ นกั เรียน
ส่วนใหญ่มคี ะแนนความสามารถในการแก้ปัญหาเฉลย่ี รวมในระดบั ปานกลาง โดยนกั เรยี นกลมุ่ ท่มี ีคะแนน
ความสามารถในการแก้ปัญหาเฉลี่ยรวมมากที่สุดอยู่ในระดับปานกลาง คือ 14.50 คะแนน จากคะแนน
เตม็ 24 คะแนน สว่ นนักเรยี นกลุ่มที่มคี ะแนนความสามารถในการแก้ปญั หาเฉลี่ยรวมน้อยที่สุด มีคะแนน
ความสามารถในการแก้ปัญหาในระดับต่ำ คือ 11.50 คะแนน จากคะแนนเต็ม 24 คะแนน จากผล
การศึกษา แสดงให้เห็นวา่ กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา เรื่อง เสียงกับการได้ยิน ช่วยให้
นกั เรยี นสว่ นใหญม่ คี วามสามารถในการแกป้ ญั หาในระดับปานกลาง

11

2. ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนในแต่ละเรื่องย่อย พิจารณาจากคะแนน
ความสามารถในการแก้ปัญหาเฉล่ยี รวมของนักเรยี นทัง้ หอ้ งเป็นรายเรอื่ งย่อย

ภาพท่ี 4.2 คะแนนความสามารถในการแกป้ ญั หาเฉลีย่ รวมของนักเรียนเปน็ รายเร่ืองย่อย
จากผลคะแนนความสามารถในการแก้ปัญหาเฉลี่ยรวมของนักเรียนในแต่ละเรื่องย่อย พบว่า
นักเรียนมีคะแนนความสามารถในการแก้ปัญหาเฉลยี่ เรือ่ งระดับเสียง ในระดับปานกลาง มีคะแนนเฉล่ีย
รวม 15.29 คะแนน จากคะแนนเต็ม 24 คะแนน สว่ นเรือ่ งความหนาแนน่ นักเรยี นมคี ะแนนความสามารถ
ในการแก้ปัญหาในระดับต่ำ มีคะแนนเฉลี่ยรวม 11.29 คะแนน จากคะแนนเต็ม 24 คะแนน จากผล
การศึกษาเมื่อพจิ ารณาคะแนนความสามารถในการแก้ปญั หาตามลำดับเรื่องย่อยที่ได้รับการจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาบูรณาการกับเทคโนโลยี จะเห็นได้ว่า นักเรียนมีคะแนน
ความสามารถในการแก้ปัญหาเพิ่มขึ้นตามลำดับ แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเตม็
ศึกษาบูรณาการกับเทคโนโลยี เรื่อง เสียงกับการได้ยิน ช่วยให้นักเรียนส่วนใหญ่สามารถพัฒนา
ความสามารถในการแก้ปัญหาได้
3. ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนเป็นรายด้าน โดยพิจารณาจากคะแนน
ความสามารถในการแก้ปัญหาเฉลี่ยรวมของนักเรียนทั้งห้องเป็นรายด้าน ประกอบด้วย 6 ด้าน ได้แก่
1) ด้านกำหนดปัญหา 2) ด้านทำความเข้าใจปัญหา 3) ด้านดำเนินการศึกษาค้นคว้า 4) ด้านสังเคราะห์
ความรู้ 5) ดา้ นสรุปผล และ 6) ด้านนำเสนอ

12

ภาพที่ 4.3 คะแนนความสามารถในการแกป้ ัญหาเฉลย่ี รวมของนกั เรียนเป็นรายด้าน
จากผลคะแนนความสามารถในการแกป้ ญั หาเฉลี่ยรวมของนกั เรยี นในแตล่ ะดา้ น ในเร่อื ง ระดับ
ความเข้มเสยี งและมลภาวะทางเสียง พบว่า นักเรียนมคี ะแนนความสามารถในการแก้ปัญหาเฉลีย่ รวมมาก
ท่ีสุดในด้านการสรุปผล มีคะแนนเฉล่ีย 3.00 คะแนน สว่ นดา้ นที่นกั เรียนมคี ะแนนความสามารถในการ
แก้ปัญหาเฉลีย่ รวมน้อยท่สี ุด คือ ดา้ นระบปุ ญั หา มคี ะแนนเฉลีย่ 1.29 คะแนน
สว่ นคะแนนความสามารถในการแกป้ ญั หาเฉลีย่ รวมของนักเรียนในแตล่ ะด้าน ในเร่อื ง ระดบั เสยี ง
พบวา่ นกั เรยี นมีคะแนนความสามารถในการแก้ปัญหาเฉลี่ยรวมมากทส่ี ุดในดา้ นนำเสนอ มีคะแนนเฉลีย่
รวม 3.29 คะแนน สว่ นดา้ นทีน่ ักเรียนมีคะแนนความสามารถในการแก้ปญั หาเฉล่ยี รวมนอ้ ยทส่ี ุด คือ ดา้ น
ระบุปัญหา มีคะแนนเฉล่ยี รวม 1.14 คะแนน
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาผลคะแนนความสามารถในการแก้ปัญหาเฉลี่ย พบว่า คะแนน
ความสามารถในการแก้ปัญหาเฉลี่ยของนักเรียนมีค่าเพิ่มขึ้นในกิจกรรมที่ 2 เนื่องจากนักเรียนได้ฝึกฝน
ทกั ษะจากกิจกรรมที่ 1 จนเกิดความชำนาญเพิ่มขน้ึ
สรุปผลการศึกษา
ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนหลังจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศกึ ษา
บูรณาการกบั เทคโนโลยี เรื่อง เสียงกบั การได้ยนิ เป็นดงั นี้
1. ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนเป็นรายกลุ่ม จากการศึกษานักเรียนที่เป็นกลุ่ม
ตวั อย่างจำนวน 7 กลุ่ม พบวา่ นกั เรียนจำนวน 6 กลุ่ม มคี วามสามารถในการแก้ปัญหาระดับปานกลาง และ
นักเรียนจำนวน 1 กลุ่ม มีความสามารถในการแก้ปัญหาในระดับต่ำ แต่ในภาพรวมของห้องนักเรียนมี
ความสามารถในการแก้ปญั หาอยู่ในระดบั ปานกลาง โดยได้คะแนนความสามารถในการแก้ปญั หาเฉล่ียรวม

13

13.29 คะแนน จากคะแนนเต็ม 24 คะแนน แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา
เรือ่ ง เสียงกบั การไดย้ ิน ช่วยใหน้ ักเรียนส่วนใหญ่มคี วามสามารถในการแกป้ ญั หาในระดบั ปานกลาง

2. ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนในแต่ละเรื่องย่อย จากการศึกษา 2 เรื่องย่อย
พบว่า นักเรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหาในแต่ละเรื่องย่อยในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาคะแนน
ความสามารถในการแก้ปัญหาตามลำดับเรื่องย่อยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็ม
ศึกษาบูรณาการกับเทคโนโลยี จะเห็นได้ว่า นักเรียนมีคะแนนความสามารถในการแก้ปัญหาเพิ่มขึ้น
ตามลำดับ แสดงใหเ้ ห็นวา่ กจิ กรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเตม็ ศกึ ษาบรู ณาการกบั เทคโนโลยี เรอ่ื ง เสียง
กบั การได้ยิน ชว่ ยให้นกั เรียนสว่ นใหญ่สามารถพฒั นาความสามารถในการแก้ปัญหาได้

3. ความสามารถในการแก้ปัญหาของนักเรียนเป็นรายด้าน พบว่า นักเรียนมีคะแนน
ความสามารถในการแก้ปัญหาเฉลี่ยรวมมากที่สุดในด้านนำเสนอ ส่วนด้านที่นักเรียนมีคะแนน
ความสามารถในการแก้ปัญหาเฉลี่ยรวมน้อยที่สุด คือ ด้านระบุปัญหา และคะแนนความสามารถในการ
แก้ปัญหาเฉลี่ยของนักเรียนในแต่ละด้านเมื่อพจิ ารณาแยกตามเรือ่ งย่อย พบว่า คะแนนความสามารถใน
การแก้ปัญหาเฉลี่ยของนักเรยี นในแต่ละด้านเมื่อพจิ ารณาแยกตามเรื่องย่อยมีคา่ เพ่ิมข้ึน แสดงให้เห็นว่า
กิจกรรมการเรยี นรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา เรื่อง เสียงกับการได้ยนิ ช่วยให้นักเรยี นส่วนใหญ่สามารถ
พัฒนาความสามารถในการแก้ปญั หาได้

อภิปรายผลการศกึ ษา
จากการศึกษาการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาบูรณาการกับ

เทคโนโลยี เร่ือง เสยี งกบั การได้ยิน เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแกป้ ญั หาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปที ี่ 5 พบว่า กิจกรรมการเรยี นรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาบูรณาการกับเทคโนโลยี เร่ือง เสียงกบั การได้ยิน
ช่วยให้นักเรียนส่วนใหญ่สามารถพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาได้ ทั้งนี้เนื่องจากการจัดการเรียนรู้
โดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐานเช่ือมโยงกับแนวคิดสะเตม็ ศึกษาบูรณาการกับเทคโนโลยี เรอื่ งเสียงกับการได้ยิน เป็น
การจัดการเรียนรู้ที่เริ่มจากสถานการณ์ปัญหาที่ท้าทายให้นักเรียนเกิดการคิดแก้ปัญหาเกี่ยวข้องกับ
ชีวติ ประจำวัน ซง่ึ ชว่ ยใหน้ กั เรยี นมีความสนใจในการเรยี นมากขึ้น โดยเร่มิ จากการรับรู้และระบุปญั หา แล้ว
นําไปสู่การออกแบบวิธีการหรือแนวทางแก้ไขปัญหา โดยใช้ความสามารถของผู้เรียน ประสบการณ์ พื้น
ฐานความรู้ โดยมีการเชื่อมโยงบูรณาการความรู้ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ มีการใช้เทคโนโลยี
ผ่านเคร่ืองมือและวธิ ีการต่าง ๆ รวมไปถึงมีการออกแบบวธิ ีการศึกษาตามแนวการคิดเชิงวิศวกรรมศาสตร์
ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นกระบวนการทำงานเป็นกลุ่ม ส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนสามารถสร้างความรูด้ ้วยตนเอง
มีการอภปิ รายร่วมกันเป็นกลุ่ม ร่วมกันแสดงความคิดเห็น ช่วยใหผ้ ้เู รียนรู้จักวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบ
ก่อนการตัดสินใจ มีการใช้คำถามสืบเสาะจากครูระหว่างทำกิจกรรม สอดคล้องกับ พลศักดิ์ แสงพรมศรี
(2558) ซึ่งพบว่านักเรียนที่ได้รับการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาบูรณาการกับเทคโนโลยีมีผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียน และเจตคติต่อการเรียนสูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ จากการศึกษายังสามารถ
สรปุ ได้ว่า นกั เรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเปน็ ฐานเชื่อมโยงกับแนวคิดของสะเต็ม
ศกึ ษาอยู่ในระดบั มาก กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบสะเต็มศึกษาบรู ณาการกับเทคโนโลยีชว่ ยให้บรรยากาศในชั้น
เรียนท่สี นุกสนาน และกระบวนการจัดการเรียนรทู้ ี่มีความน่าสนใจ

14

ขอ้ เสนอแนะ
ในการทำวจิ ัยครัง้ ถดั ไป อาจจะเพิ่มกิจกรรมการเรยี นรทู้ สี่ ามารถเช่ือมโยงได้หลากหลายวิชา หรอื

เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้เรียนสามารถสร้างชิ้นงานที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง เพื่อเพิ่ม
ความสนใจ และทักษะกระบวนการแก้ปญั หาของนกั เรยี น

15

บรรณานุกรม

พลศักด์ิ แสงพรมศร.ี (2558). การเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น ทกั ษะกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตรข์ ั้นบูรณาการ และเจตคตขิ องนักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ทีไ่ ดร้ ับการจัดการ
เรยี นรู้สะเตม็ศกึ ษากบั แบบปกติ. วทิ ยานพิ นธ์ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต: มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม.

ราตรี เกตบุ ุตตา. (2556). ผลของการเรียนแบบใชป้ ญั หาเปน็ หลักตอ่ ความสามารถในการแก้ปญั หา
และ ความคิดสร้างสรรคข์ องนักเรยี นช้นั มธั ยมศึกษา. วทิ ยานพิ นธค์ รุ ุศาสตรมหาบณั ฑิต สาขา
มธั ยมศกึ ษา, จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย.

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท.). (2557). สะเต็มศึกษา (STEM
Education). ม.ป.ท.:ม.ป.พ.

สพุ รรณี ชาญประเสรฐิ . (2557). Active Learning การจดกั ารเรียนรใู้ นศตวรรษที่ 21. นติ ยสาร
สถาบนั สง่ เสรมิ การ สอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี.,42(188), 3-6

สวุ มิ ล ว่องวาณิช. (2552). การวิจัยปฏิบตั กิ ารในชน้ั เรียน. กรุงเทพมหานคร: สำนกั พิมพ์แหง่ จฬุ าลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย. อ้างถึง Kemmis, S. 1988. “Action research”. In Keeves, J. P. (ed.).
Educational research, methodology, and measurement: An international
handbook. Oxford: Pergamon Press.

Carnevale, A. P., Smith, N., and Strohl, J. (2011). Help wanted: projections of jobs and
education requirements through 2018. Washington, DC: Georgetown University
Center on Educ-ation and the Workforce.

Christine Chin and Li-Gek Chia. (2005). “Problem-Based Learning: Using III-Structured
Problems in Biology Project Work”. Wiley InterScience: 46.

Chung, C. J., Cartwright, C. and Cole, M. (2014). Assessing the impact of an autonomous
robotics competition for STEM education. Journal of STEM Education, 15(2),
24–29.

ภาคผนวก

17

รายนามผเู้ ชีย่ วชาญ

1. ดร.เอกภูมิ จันทรขันตี อาจารย์ ประจำภาควิชาการศกึ ษา
สาขาวิทยาศาสตร์ศกึ ษา (ฟิสกิ ส)์

คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์

2. นางสาวรตั นวดี โมรากุล ครชู ำนาญการ กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
โรงเรยี นสตรวี ิทยา กรุงเทพมหานคร

3. นายสราวธุ แทน่ จนิ ดารัตน์ ครชู ำนาญการ กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์
โรงเรยี นมาบตาพดุ พันพทิ ยาคาร จังหวดั ระยอง

18
แบบประเมนิ ความสามารถในการแก้ปัญหาของนกั เรียนตามสภาพจริง เรื่อง เสยี งกบั การได้ยนิ

ด้านที่ 1 ดา้ นกำหนดปัญหา ลกั ษณะท่ีนักเรียนแสดงออกมา ในระหวา่ งทำกิจกรรม

ระดับคะแนนความสามารถในการแกป้ ัญหา นักเรยี นตัง้ คำถามได้สอดคล้องกับสถานการณแ์ ละสามารถ
4 ตรวจสอบได้ด้วยการทดลองหรอื ลงมือปฏิบัติ มากกว่า
3 ขอ้
3
2 นกั เรยี นตั้งคำถามไดส้ อดคลอ้ งกบั สถานการณ์และสามารถตรวจสอบ
1 ได้ด้วยการทดลองหรือลงมือปฏบิ ตั ิ 3 ข้อ
0
นักเรยี นตง้ั คำถามไดส้ อดคล้องกับสถานการณแ์ ละสามารถตรวจสอบได้
ด้วยการทดลองหรือลงมือปฏบิ ัติ 2 ข้อ

นักเรียนตั้งคำถามได้สอดคล้องกบั สถานการณ์และสามารถ
ตรวจสอบไดด้ ้วยการทดลองหรือลงมือปฏิบตั ิ 1 ข้อ

นกั เรียนไม่สามารถตัง้ คำถามไดส้ อดคลอ้ งกบั สถานการณ์ และ
ตรวจสอบไมไ่ ดด้ ว้ ยการทดลองหรือลงมือปฏบิ ตั ิ

ดา้ นท่ี 2 ทำความเข้าใจกบั ปญั หา

ระดบั คะแนนความสามารถในการทำความเขา้ ใจ ลกั ษณะทนี่ กั เรียนแสดงออกมา ในระหว่างทำกิจกรรม
กับปญั หา
4 นักเรยี นระบุจุดประสงค์การศกึ ษาไดส้ อดคล้องกบั สงิ่ ทีส่ งสยั จาก
สถานการณ์และระบุชนิดของตวั แปรหรอื ปจั จยั จากปญั หาที่
3 นกั เรียนกำหนดขน้ึ ไดถ้ กู ต้องครบทั้งหมด
นกั เรียนระบุจุดประสงคก์ ารศึกษาไดส้ อดคล้องกับสง่ิ ท่ีสงสัยจาก
2 สถานการณแ์ ละระบุชนดิ ของตัวแปรหรือปจั จัยจากปญั หาที่
นักเรียนกำหนดข้ึนไดถ้ ูกต้อง แต่ไมค่ รบทงั้ หมด
1 นักเรยี นระบจุ ุดประสงค์การศึกษาไดส้ อดคลอ้ งกบั สงิ่ ทีส่ งสยั จาก
สถานการณ์ แตร่ ะบชุ นดิ ของตวั แปรหรอื ปจั จัยจากปญั หาท่ี
0 นักเรียนกำหนดขน้ึ ไม่ถกู ต้องทง้ั หมด
นักเรียนระบจุ ุดประสงค์การศกึ ษาได้สอดคลอ้ งกับสง่ิ ท่สี งสัยจาก
สถานการณ์ แตไ่ มร่ ะบชุ นิดของตัวแปรหรอื ปจั จยั จากปญั หาที่
นักเรียนกำหนดขนึ้
นักเรยี นไมร่ ะบุจุดประสงค์การศกึ ษาจากสงิ่ ที่สงสัยจาก
สถานการณ์และไม่ระบุชนดิ ของตัวแปรหรือปัจจยั จากปญั หาท่ี
นักเรยี นกำหนดขึ้น

19

ด้านท่ี 3 ดำเนนิ การศึกษาคน้ คว้า ลักษณะท่ีนกั เรียนแสดงออกมา ในระหว่างทำกจิ กรรม

ระดับคะแนนความสามารถในการดำเนนิ การ นกั เรียนเขียนวิธกี ารศึกษาขอ้ มูลเพิ่มเติมชดั เจน ออกแบบตาราง
ศึกษาคน้ ควา้ บนั ทึกผลการศกึ ษาไดส้ อดคลอ้ งกับการศกึ ษา บอกอปุ กรณท์ ่ี
4 ต้องใช้ในการศกึ ษาครบทุกอยา่ ง พร้อมท้งั ระบุจำนวน
นกั เรยี นเขียนวิธกี ารศกึ ษาขอ้ มลู เพมิ่ เตมิ ชดั เจน ออกแบบตาราง
3 บนั ทึกผลการศึกษาได้สอดคล้องกับการศกึ ษา บอกอปุ กรณ์ที่
ตอ้ งใชใ้ นการศกึ ษา โดยไม่ระบจุ ำนวน
2 นกั เรียนเขียนวิธีการศึกษาข้อมลู เพ่มิ เตมิ ชดั เจน ออกแบบตาราง
บนั ทกึ ผลการศึกษาได้สอดคล้องกบั การศึกษา แตไ่ มบ่ อก
1 อุปกรณ์ท่ตี อ้ งใช้ในการศกึ ษา
นกั เรยี นเขียนวิธีการศกึ ษาข้อมูลเพ่มิ เติมไม่ชดั เจน ออกแบบ
0 ตารางบนั ทกึ ผลการศกึ ษาไมส่ อดคลอ้ งกบั การศกึ ษา ไมบ่ อก
อุปกรณ์ท่ีตอ้ งใชใ้ นการศึกษา
นกั เรยี นไม่เขยี นวธิ กี ารศึกษาขอ้ มูลเพมิ่ เตมิ ไมอ่ อกแบบตาราง
บันทึกผลการศกึ ษา ไมบ่ อกอุปกรณท์ ี่ตอ้ งใชใ้ นการศกึ ษา

ดา้ นที่ 4 สงั เคราะหค์ วามรู้ ลักษณะทีน่ กั เรยี นแสดงออกมา ในระหว่างทำกจิ กรรม

ระดบั คะแนนความสามารถในการสงั เคราะห์ นกั เรยี นเขียนอธบิ ายการศึกษา โดยบอกวธิ กี ารศึกษาชดั เจน มี
ความรู้ การเขียนแผนภาพหรือแผนผังแสดงวิธกี ารออกแบบการศกึ ษาท่ี
4 ชดั เจน และมีการเชื่อมโยงองคค์ วามรู้ที่ไดจ้ ากการเกบ็ รวบรวม
ขอ้ มลู
3 นกั เรียนเขียนอธิบายการศกึ ษา โดยบอกวิธีการศกึ ษาชัดเจน มี
การเขยี นแผนภาพหรือแผนผังแสดงวิธกี ารออกแบบการศึกษาท่ี
2 ชดั เจน และมกี ารเชื่อมโยงองคค์ วามรู้ท่ีไดจ้ ากการเก็บรวบรวม
ข้อมูลบา้ ง
1 นักเรยี นเขียนอธิบายการศกึ ษา โดยบอกวธิ กี ารศกึ ษาชดั เจน แต่
ไมม่ กี ารเขยี นแผนภาพหรอื แผนผังแสดงวธิ ีการออกแบบ
0 การศกึ ษาท่ชี ดั เจน และมีการเชื่อมโยงองคค์ วามรทู้ ี่ไดจ้ ากการ
เกบ็ รวบรวมข้อมูลบ้าง
นกั เรยี นเขียนอธบิ ายการศกึ ษา โดยบอกวิธกี ารศึกษาไมช่ ัดเจน
ไมม่ ีการเขียนแผนภาพหรอื แผนผงั แสดงวิธีการออกแบบ
การศึกษาทช่ี ัดเจน และไม่มีการเชอ่ื มโยงองคค์ วามร้ทู ไี่ ดจ้ ากการ
เกบ็ รวบรวมข้อมูล
นักเรียนไมเ่ ขยี นอภปิ รายผลการทดลอง

ด้านที่ 5 สรุปและประเมนิ ค่าหาคำตอบ 20

ระดับคะแนนความสามารถในการสรุปและ ลักษณะท่นี ักเรียนแสดงออกมา ในระหว่างทำกิจกรรม
ประเมินค่าหาคำตอบ
4 นกั เรียนเขียนสรปุ ผลการศึกษาไดส้ อดคล้องกับจดุ ประสงค์ทีต่ ง้ั
ไว้ โดยบอกผลทเ่ี กดิ ขึ้นจากการศกึ ษา บอกเหตผลุ ทีท่ ำใหไ้ ดผ้ ล
3 แบบน้นั ได้ถูกตอ้ ง และสามารถวิเคราะห์จุดเดน่ จดุ ด้อยของผล
การศกึ ษาได้
2 นักเรยี นเขียนสรุปผลการศกึ ษาไดส้ อดคลอ้ งกบั จดุ ประสงค์
การศึกษา โดยบอกผลที่เกิดข้นึ จากการศึกษา แต่บอกเหตผุ ลท่ี
1 ทำให้ไดผ้ ลเช่นน้ันไม่ถูกตอ้ ง และสามารถวิเคราะหจ์ ดุ เด่น จุด
ดอ้ ยของผลการศกึ ษาได้
0 นักเรียนเขียนสรุปผลการศึกษาไดส้ อดคลอ้ งกับจดุ ประสงค์
การศึกษา โดยบอกผลท่เี กดิ ขึ้นจากการศึกษา แตไ่ มบ่ อกเหตผุ ล
ทีท่ ำให้ไดผ้ ลแบบน้ัน และไมส่ ามารถวเิ คราะห์จดุ เด่น จุดดอ้ ย
ของผลการศกึ ษาได้
นักเรียนเขียนสรปุ ผลการศึกษาไดไ้ มส่ อดคล้องกบั จดุ ประสงค์
การศึกษา และไมส่ ามารถวเิ คราะห์จุดเด่น จุดดอ้ ยของผล
การศกึ ษาได้
นกั เรียนไมเ่ ขยี นสรุปผลการการศึกษา

ดา้ นท่ี 6 นำเสนอและประเมินผลงาน ลกั ษณะท่ีนกั เรยี นแสดงออกมา ในระหว่างทำกิจกรรม

ระดบั คะแนนความสามารถในการนำเสนอและ นกั เรียนนำเสนอผลงานได้ครบทกุ ประเด็น พูดตามความเข้าใจ
ประเมนิ ผลงาน อธิบายได้ชัดเจน มีความต่อเนื่องของการนำเสนอ และสามารถ
4 ประเมนิ ผลงานของตนเองได้สอดคล้องกับผลงานได้ครบทุกขอ้
นกั เรยี นนำเสนอผลงานได้ครบทุกประเด็น พดู ตามความเขา้ ใจ
3 อธบิ ายได้ชัดเจนบ้าง มคี วามตอ่ เนอ่ื งของการนำเสนอ และ
สามารถประเมินผลงานของตนเองได้สอดคล้องกับผลงานได้ครบ
2 ทุกขอ้
นักเรียนนำเสนอผลงานไดค้ รบทุกประเด็น พูดตามความเขา้ ใจ
1 อธิบายได้ชดั เจนบา้ ง มคี วามต่อเน่ืองของการนำเสนอ และ
สามารถประเมินผลงานของตนเองได้สอดคล้องกับผลงานไดไ้ ม่
0 ครบทุกข้อ
นกั เรียนนำเสนอผลงานไดค้ รบทุกประเด็น อา่ นตามสงิ่ ท่ีเขยี นมา
อธบิ ายได้ไม่ชดั เจน ไมม่ คี วามต่อเนือ่ ง และและสามารถ
ประเมินผลงานของตนเองไดส้ อดคล้องกบั ผลงานได้ไมค่ รบทุก
ข้อ
นกั เรียนนำเสนอผลงานและประเมนิ ผลงานของตนเองไม่ได้

21

แผนการจดั การเรียนรู้

ตามกระบวนการ PLC ของกลุ่มกจิ กรรมการเรยี นรูบ้ ูรณาการกบั เทคโนโลยี

รายวชิ า ฟิสกิ ส์เพม่ิ เติม3 รหสั วิชา ว30203

หนว่ ยการเรียนท่ี 2 เสียง ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5

เร่ือง ฉนวนกันเสียง (มลภาวะทางเสยี ง) เวลา 4 ชั่วโมง

ครูผู้สอน นางสาวกุลธดิ า สุวัชระกลุ ธร

..................................................................................................................................................................

สาระท่ี 6 ฟสิ ิกส์

มาตรฐาน ว 6.2 เขา้ ใจการเคลอ่ื นที่แบบฮารม์ อนกิ ส์อย่างง่าย ธรรมชาตขิ องคลน่ื เสยี งและการได้ยนิ
ปรากฏการณ์ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั เสยี ง แสงและการเหน็ ปรากฏการณท์ ี่เก่ียวข้องกับแสง รวมทั้งนำาความรไู้ ปใช้

ประโยชน์
ผลการเรยี นรู้

6. อธบิ ายความเขม้ เสียง ระดับเสียง องค์ประกอบของการได้ยนิ คุณภาพเสียง และมลพษิ ทาง

เสียง รวมทั้งคำนวณปริมาณตา่ ง ๆ ท่เี กี่ยวขอ้ ง
สาระสำคญั

ระดับเสียงเป็นปริมาณท่ีบอกความดังของเสียง โดยหาได้จากลอการิทึมของอัตราส่วนระหว่าง
ความเข้มเสียงกับความเข้มเสียงอ้างอิงท่ีมนุษย์เร่ิมได้ยิน เสียงที่มรี ะดับเสยี งสูงมากหรอื เสยี งบางประเภท
ทมี่ ีผลตอ่ สภาพจิตใจของผฟู้ งั จดั เป็นมลพษิ ทางเสียง

เป้าหมายการเรียนรู้
ตามกระบวนการ PLC ของกลุ่ม “กิจกรรมการเรียนรู้บูรณาการกับเทคโนโลยี” ต้องการแก้ไข

ปัญหานักเรียนขาดแรงจูงใจในการจัดการเรียนรู้ โดยการนำสื่อเทคโนโลยีมาบูรณาการกับกิจกรรมการ
เรียนรู้ และเพื่อฝึกทักษะการใช้เทคโนโลยี เพื่อให้สอดคล้องกับทักษะจำเป็นในศตวรรษที่ 21
จุดประสงค์การเรยี นรู้

ดา้ นความรู้ (K)
1. คำนวณหาปรมิ าณท่เี กย่ี วข้องกับระดบั เสยี ง

2. อธิบายคณุ สมบัติของเสยี งเมื่อเคลอ่ื นท่ีผ่านตวั กลางท่ีสง่ ผลตอ่ ระดบั ความเขม้ เสยี ง ไดแ้ ก่
การสะท้อน การดดู กลืน และการสง่ ผา่ นพลังงานของเสียง

3. ประยุกต์ใชค้ วามรู้เรื่องคุณสมบัติของเสยี งเมื่อเคลื่อนท่ีผ่านตัวกลาง และระดับความเขม้

เสียงที่ส่งผลต่อการได้ยินเสียงของหูมนุษย์ เพื่อออกแบบและประดิษฐ์ฉนวนป้องกันเสียง โดยใช้
กระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม

ดา้ นทักษะ/กระบวนการ (P)
1. ทำการทดลองเพอ่ื ตรวจสอบคุณสมบัติในการดดู ซับเสียงของวสั ดดุ ูดซบั เสียงได้

ดา้ นคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (A)
1. สามารถทำงานเปน็ กลุม่ ได้

2. ร่วมมอื ในการเรียน แสวงหาความรู้ ตอบคำถาม ยอมรบั ความคิดเหน็ และแสดงความ
คิดเหน็ อย่างมเี หตุผล

3. สามารถใชเ้ ทคโนโลยีเปน็ เครอื่ งมอื ในการเรียนรไู้ ด้

22

กิจกรรมการเรยี นรู้
การจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) ร่วมกับ

การใช้เครือขา่ ยสังคมออนไลน์ (Facebook)
ครูสร้างกลมุ่ ใน Facebook เพื่อใชเ้ ปน็ ช่องทางในการมอบหมายงาน และแลกเปลย่ี นเรียนรู้รว่ มกนั

ระหว่างนกั เรียนกบั ครู และนกั เรียนกบั นกั เรียน โดยครสู รา้ งกลุ่มเฉพาะสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี
5/1 ท่ีเรียนในรายวิชาฟสิ ิกส์เพม่ิ เติม3 รหัสวชิ า ว30203 ใชช้ ือ่ กลุม่ ใน Facebook คอื “Physics M5/1”
และให้นักเรยี นทุกคนเขา้ ร่วมกลุ่ม

1. ขนั้ สร้างความสนใจ
นักเรียนปฏิบัติท่ีโรงเรียน (จัดกิจกรรมการเรียนรู้ท้ายแผนการจัดการเรียนรู้ก่อนหน้า เร่อื ง

ความเข้มและระดับความเข้มเสียง ใช้เวลาประมาณ 5 นาที เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสงสัย
และค้นคว้าหาคำตอบนอกเวลาเรียน)

1.1 ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันอภิปรายเก่ียวกับการใส่ท่คี รอบหู หรอื การนำวัสดุมาอุดหู ท่ีช่วยลด
ระดบั ความดงั ของเสยี งได้ โดยใชค้ ำถามดังนี้

- เพราะเหตุใด นักเรียนอยู่ในห้องที่มีผนังล้อมรอบทุกด้าน แต่ยังคงได้ยินเสียงจาก
ภายนอก (แนวคำตอบ คอื พลงั งานของเสียงสามารถส่งผ่าน (transmit) ผนงั ห้องได้)

- นักเรียนจะทำอย่างไร หากนักเรียนต้องเข้าไปอยู่ในที่ที่มีเสียงดังหรือเสียงรบกวน
(แนวคำตอบ คอื ใส่ที่ครอบหู หรอื หาวสั ดุมาอดุ หูเพอ่ื ลดความดังของเสียง)

- เพราะเหตใุ ดการใส่ที่ครอบหู หรือการนำวสั ดุมาอุดหู จึงช่วยลดระดับความดังของเสียง
ได้ (แนวคำตอบ คือ ทคี่ รอบหู หรือวัสดุอุดหู จะชว่ ยดดู ซับพลงั งานของเสยี งบางสว่ นไว้ ทำให้พลังงานของ
เสยี งลดลง)

- นอกจากการใส่ที่ครอบหูหรือหาวัสดุมาอุดหู มีวิธีการอื่นอีกหรือไม่ที่จะช่วยลดความดัง
ของเสียง (แนวคำตอบ คือ หาวสั ดุมาสะท้อนเสยี ง เพอื่ ให้เสยี งสะทอ้ นไปยงั ตำแหนง่ อื่น)

1.2 ครูมอบหมายให้นักเรียนดูวิดีโอ เรื่อง คุยให้คิดกับนิตินัย EP.17 : มลพิษทางเสียงที่
ทอท.ไม่เคยมองข้าม เป็นการบ้าน ซึ่งครูจะโพสต์ไว้ใน Facebook ของกลุ่ม (แหล่งที่มา:
)https://www.youtube.com/watch?v=MillbpIEa1I

1.3 ครูมอบหมายให้นักเรียนทำบัตรกิจกรรม เรื่อง “มลภาวะทางเสียง” เป็นการบ้าน โดยให้
นักเรียนตอบคำถามในบัตรกจิ กรรมออนไลน์ ในกระทู้ท่คี รูตัง้ ข้ึนบน Facebook ของกลุ่ม

นกั เรียนทำท่บี ้าน
1.4 ครูโพสต์วิดโี อ เร่อื ง คุยใหค้ ิดกับนิตินัย EP.17 : มลพิษทางเสียงที่ ทอท.ไมเ่ คยมองข้าม
(แหล่งท่มี า: )https://www.youtube.com/watch?v=MillbpIEa1I
1.5 ครสู ร้างบัตรกิจกรรมออนไลน์ โดยใช้ Google Forms เพอื่ ให้นกั เรยี นสามารถตอบคำถาม
ออนไลน์ได้ และครตู งั้ กระทูบ้ น Facebook ของกลมุ่ และลงิ คไ์ ปยัง Google Forms ท่ีสรา้ งขึ้นตามคำถาม
ในบัตรกิจกรรมเรอ่ื ง “มลภาวะทางเสยี ง” เพอื่ ให้นกั เรยี นตอบคำถามในประเด็นทีต่ ้งั ไว้ โดยมคี ำถาม ดงั น้ี

- มาตรการควบคุมมลพษิ ทางเสียง กำหนดให้เสียงภายในบรเิ วณชมุ ชนทอี่ ยอู่ าศัย มี
ความดงั ไดไ้ ม่เกินก่ีเดซเิ บล

- หากนกั เรยี นอาศยั อย่ใู นชมุ ชนที่มีเสียงดงั นกั เรยี นจะมวี ธิ ีการป้องกนั อันตรายจากเสยี ง
ดงั กลา่ วอย่างไร

23

1.6 นักเรียนทำบัตรกิจกรรมเรื่อง “มลภาวะทางเสียง” โดยตอบคำถามลงในบัตรกิจกรรม
ออนไลน์ตามกระทู้ที่ครูตั้งขึ้นบน Facebook ของกลุ่ม ในกระทู้ที่มีชื่อว่า “กิจกรรมเรื่อง “มลภาวะทาง
เสียง” โดยใหน้ กั เรยี นปฏบิ ตั ิกิจกรรมตามบัตรกิจกรรมให้เสร็จเรียบรอ้ ยกอ่ นเข้าชน้ั เรียน

2. ขั้นสำรวจและค้นหา
นกั เรียนทำทีบ่ า้ น
2.1 นกั เรยี นศึกษาเนอื้ หาลว่ งหนา้ เร่อื ง มลภาวะทางเสยี ง ก่อนเขา้ ชัน้ เรียน จากหนังสือเรียน

และแหล่งเรียนรู้ที่ครูกำหนดให้ และแหล่งเรียนรู้อ่ืน ๆ ตามท่ีนักเรียนสืบค้นข้อมูลเพ่ิมเติม
นักเรียนปฏิบัติที่โรงเรียน
2.2 ครูยกตัวอย่างสถานการณ์ปัญหาบ้านที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการใช้

เครอื่ งจักรขนาดใหญ่ จากน้ันให้นกั เรยี นร่วมกันวเิ คราะห์ปัญหาทเ่ี กดิ ข้นึ กบั คนท่ีอาศยั อย่ใู นบริเวณดังกล่าว
เพอื่ ใหน้ กั เรยี นตระหนกั ถงึ ปญั หามลพิษทางเสยี งท่ีเกดิ ข้ึนในชุมชน

2.3 นักเรียนระบปุ ญั หามลพิษทางเสียงท่ตี อ้ งการแก้ไข ในขอบเขตของปญั หา คอื ปญั หาของ
เสยี งดงั รบกวน

2.4 ครถู ามนักเรียนว่า “หากนกั เรียนตอ้ งปลูกสร้างบา้ นในบรเิ วณดงั กลา่ ว นกั เรยี นจะใช้วัสดุท่ี
มีลกั ษณะอย่างไรในการปลูกสร้างบ้าน เพ่ือลดปญั หาเสียงดังรบกวนจากโรงงานอุตสาหกรรมดงั กล่าว โดย
สมมติให้นกั เรยี นแตล่ ะกล่มุ เป็นวิศวกรดา้ นวสั ดุของบรษิ ทั หนึ่ง ทไี่ ดร้ บั มอบหมายให้ออกแบบฉนวนปอ้ งกนั
เสียงจากวสั ดุที่หาไดง้ ่ายหรือเปน็ วัสดุเหลือใช้ในท้องถิ่น โดยจะตอ้ งมีตน้ ทนุ ในการผลติ ต่ำ โดยในโปรเจคนี้มี
งบประมาณในการดำเนินการใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ 500 PD (Physics Dollar) และจะตอ้ งซอื้ วัสดอุ ปุ กรณ์จาก
Krujay Store เท่านนั้

2.5 นกั เรยี นทำความเขา้ ใจขอบเขตของปญั หาท่ีต้องการแกไ้ ข คือ การหาวัสดุที่จะชว่ ยลดความ
ดังของเสยี ง

2.6 นักเรยี นรว่ มกนั อภปิ รายว่าจะตอ้ งนำแนวคิดหรอื ความร้เู รือ่ งใดบ้างมาใช้เพอื่ แกไ้ ขปญั หา
ดังกล่าว ตวั อยา่ งแนวคดิ เช่น ระดับความเขม้ ของเสียงท่ีเปน็ อันตรายตอ่ หูของมนษุ ย์ วิธีการลดระดับความ
เขม้ เสยี ง คุณสมบตั ขิ องวัสดุท่ีจะชว่ ยดดู ซับเสยี ง ปัจจยั ทม่ี ีผลต่อการได้ยินเสยี ง สมบัติการสะท้อนของเสียง
การดูดกลืนเสียง และการส่งผา่ นพลงั งานของเสียง เป็นตน้

2.7 ครูแนะนำวิธีการใช้แอพลิเคชันที่จะใช้ในการทำกิจกรรม ได้แก่ Google's Science
Journal app หรือชื่อแอพลิเคชันภาษาไทย “วารสารวิทยาศาสตร์” สามารถดาวน์โหลดได้จาก Google
Play Store (** การใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้) โดยครูแนะนำวิธีการใช้งานแอพลิเคชันวารสาร
วทิ ยาศาสตร์ในการวัดค่าความเข้มเสยี ง โดยให้นกั เรียนทำการบันทกึ คา่ ทวี่ ดั ไดข้ ณะทำการทดลอง โดยการ
สร้างการทดลองใหม่ จากแอพลิเคชัน จากนั้นครูอธบิ ายปุ่มสำหรับวดั ค่าต่าง ๆ เช่น การวัดความเขม้ เสยี ง
การวัดความถี่เสยี ง การวดั ความเข้มเสยี ง เป็นต้น

2.8 ครูอธบิ ายวธิ กี ารทดสอบประสิทธิภาพของฉนวนปอ้ งกันเสยี ง โดยจดั วางลำโพง 2 ตัว แทน
แหลง่ กำเนิดเสียงจากโรงงานอตุ สาหกรรม และระบตุ ำแหนง่ ทดสอบ ซึ่งแทนตำแหนง่ บา้ นของนกั เรยี น โดย
ในการทดสอบนักเรียนจะต้องออกแบบฉนวนป้องกันเสียงต้นแบบ ที่สามารถบรรจุโทรศัพท์มือถือได้ 1
เครื่อง ซึ่งจะใช้เปน็ อปุ กรณ์สำหรับบันทกึ ค่าระดับความเขม้ เสยี งโดยใช้ Google's Science Journal app
และวางฉนวนปอ้ งกันเสียงในบริเวณตำแหน่ง X

24

2.9 ครูให้นกั เรียนแต่ละกลมุ่ ส่งตวั แทนออกมา เพือ่ สำรวจสินคา้ ท่วี างขายใน Krujay Store
2.10 นักเรียนกำหนดตัวแปร และออกแบบวิธีทดลองเพื่อทดสอบคุณสมบัติของวัสดุที่จะช่วย
ดูดซับเสียง เพื่อใช้เปน็ ขอ้ มลู ในการเลอื กวัสดุสำหรบั ออกแบบฉนวนป้องกันเสียง
2.11 นกั เรียนแต่ละกลุม่ ทำการทดลองเพือ่ ทดสอบประสิทธิภาพในการปอ้ งกนั เสยี งของวัสดุแต่
ละชนิดที่วางขายใน Krujay Store
3. ข้นั อธบิ ายและลงข้อสรปุ
3.1 นักเรียนแตล่ ะกลุม่ นำข้อมลู ทีไ่ ด้จากการทดลองวัดประสิทธภิ าพในการปอ้ งกันเสียงของ
วสั ดุแตล่ ะชนิดมาวิเคราะหแ์ ละอภิปรายรว่ มกันในกล่มุ
3.2 นกั เรยี นสรุปผลการทดลองวดั ประสิทธิภาพในการป้องกันเสยี งของวสั ดุแต่ละชนิด

4. ข้นั ขยายความรู้
4.1 นกั เรยี นระดมความคิดเพ่อื กำหนดระดับความเข้มเสียงทีเ่ หมาะสมตามความต้องการของ

กลมุ่ พร้อมอธบิ ายเหตุผล เพื่อใชเ้ ปน็ จดุ เรม่ิ ต้นของการกำหนดคุณสมบัตขิ องวสั ดุปอ้ งกนั เสียงตามความ
ตอ้ งการของกลุ่ม

4.2 นกั เรยี นเขียนแผนผังความคดิ เข้าสู่คำตอบทางวิทยาศาสตร์ เพือ่ แสดงแนวคิดในการ
ออกแบบฉนวนปอ้ งกันเสยี งต้นแบบ โดยใชข้ อ้ มูลจากการทดสอบประสิทธภิ าพของวัสดุแตล่ ะชนดิ ในขั้น
กอ่ นหนา้

4.3 เลอื กวสั ดอุ ุปกรณ์สำหรับใช้ในการประดษิ ฐ์ฉนวนปอ้ งกนั เสยี งตน้ แบบ โดยระบวุ สั ดุทใี่ ช้
และปริมาณท่ีจะใชอ้ ยา่ งละเอยี ด

4.4 นกั เรยี นวาดภาพเพือ่ แสดงลกั ษณะของฉนวนป้องกนั เสียงและวสั ดทุ ใ่ี ชอ้ ย่างละเอยี ด
4.5 นกั เรียนแต่ละกลุม่ ลงมือประดิษฐฉ์ นวนป้องกนั เสยี งตน้ แบบตามที่ออกแบบไว้
4.6 นกั เรียนแตล่ ะกล่มุ นำฉนวนป้องกนั เสียงตน้ แบบทป่ี ระดิษฐข์ ้นึ ซึง่ บรรจโุ ทรศัพท์มอื ถือที่
ตดิ ต้งั แอพลเิ คชันบันทกึ คา่ ความเขม้ เสยี งไว้ มาวางทตี่ ำแหนง่ ทดสอบทกี่ ำหนด
4.7 บันทกึ ผลท่ีได้จากการทดสอบประสิทธิภาพของฉนวนป้องกนั เสยี งตน้ แบบ
4.8 นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ คำนวณหาประสิทธภิ าพในการลดระดับความเขม้ เสยี งของฉนวนป้องกนั
เสยี งทีป่ ระดษิ ฐ์ข้นึ
4.9 นักเรียนร่วมกนั วิเคราะหผ์ ลทไี่ ด้จากการทดสอบ เพอื่ ประเมนิ ผล และออกแบบวิธีการ
ปรบั ปรุงแกไ้ ขประสทิ ธิภาพของฉนวนป้องกนั เสยี งทปี่ ระดิษฐ์ขึน้
4.10 นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ นำเสนอผลการทดสอบฉนวนป้องกนั เสยี งตน้ แบบ วิเคราะห์จุดเด่น
จุดดอ้ ย และแนวทางการปรบั ปรุงประสทิ ธภิ าพของฉนวนปอ้ งกนั เสยี งของกล่มุ

25

4.11 นกั เรยี นรว่ มกนั สรุปความรูท้ ่เี กี่ยวขอ้ งกบั การทำกจิ กรรม
- สมบัตกิ ารสะทอ้ น (Reflection), การดูดกลืน (absorb) และการสง่ ผา่ น (transmit)
ของเสียง

- ระดับความเขม้ เสยี ง
- มลภาวะทางเสยี ง

4.12 ครูเชื่อมโยงกิจกรรมเพื่อนำเข้าสู่สาขาอาชีพที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ วิศวกรความปลอดภัย
(Safety Engineer) และวิศกรดา้ นวัสดุ (Materials Scientist and Engineer)

5. ขนั้ ประเมนิ
5.1 ครูตรวจบัตรกิจกรรมออนไลน์ เร่อื ง มลภาวะทางเสยี ง เพอื่ ประเมินผลการเรยี นร้ขู อง

นกั เรยี นตามจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรดู้ า้ นความรู้ ข้อท่ี 1
5.7 ครตู รวจใบกจิ กรรมท่ี เร่อื ง ฉนวนป้องกันเสียง เพือ่ ประเมนิ ผลการเรยี นรขู้ องนกั เรียนตาม

จุดประสงคก์ ารเรียนรดู้ า้ นความรู้ ข้อ 1 -3 และด้านทักษะกระบวนการ ขอ้ ท่ี 1

5.8 ครูประเมนิ คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ จากการสงั เกตพฤติกรรมในช้นั เรียน โดยใชแ้ บบ
ประเมนิ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์

สอ่ื และวสั ดอุ ุปกรณ์
1. PowerPoint: ฉนวนปอ้ งกนั เสียง

2. ใบกิจกรรมท่ี เรอื่ ง ฉนวนปอ้ งกนั เสยี ง
3. วสั ดุปอ้ งกนั เสียง 6 ชนดิ

4. กรรไกร
5. โทรศพั ท์มือถอื ทีม่ กี ารตดิ ต้งั แอพลิเคชนั สำหรบั วดั ระดับความเขม้ เสยี ง
6. ลำโพง

7. เทปใส หรอื กระดาษกาว

แหล่งเรยี นรู้
1. หนังสือเรียนรายวชิ าเพิม่ เติม ฟิสิกส์ เลม่ 3 ของ สสวท.
2. วิดีโอ เรื่อง คุยให้คิดกับนิตินัย EP.17 : มลพิษทางเสียงท่ี ทอท.ไม่เคยมองข้าม

(แหล่งท่ีมา: https://www.youtube.com/watch?v=MillbpIEa1I)
3. แหลง่ เรียนรูอ้ ินเตอร์เน็ต

การวดั และประเมินผล

▪ การวัดและประเมินผล

จดุ ประสงค์ เครอื่ งมือ เกณฑก์ ารวัด

1. อธิบายคุณสมบัติของเสียงเมื่อ สงั เกตการณ์ตอบ 2 = อธิบายคุณสมบัติของเสียงเม่ือเคลื่อนทผี่ ่าน
ตัวกลางทีส่ ่งผลต่อระดบั ความเขม้ เสยี ง ได้ครอบคลมุ
เคล่อื นท่ีผา่ นตวั กลางท่ีส่งผลตอ่ คำถามและการ พร้อมยกตัวอย่างวธิ ีการลดความดงั ของเสียงได้
1 = อธิบายคุณสมบัตขิ องเสยี งเมื่อเคลอื่ นทผ่ี ่าน
ระดับความเข้มเสียง ได้แก่ การ อธิบาย ตัวกลางท่สี ่งผลตอ่ ระดับความเขม้ เสียง ไดค้ รอบคลุม

สะทอ้ น การดูดกลนื และการสง่ ผ่าน

พลงั งานของเสยี ง

26

จุดประสงค์ เคร่อื งมอื เกณฑ์การวัด

2. คำนวณหาปรมิ าณที่เกี่ยวข้องกับ ตรวจคำตอบและ พรอ้ มยกตวั อย่างวิธกี ารลดความดังของเสยี งได้ แตไ่ ม่
ยกตวั อยา่ งวธิ กี ารลดความดงั ของเสยี ง
ระดบั เสยี ง (K) การอธบิ าย 0 = อธิบายคุณสมบัติของเสยี งเม่ือเคล่ือนท่ผี ่าน
ตัวกลางท่สี ่งผลต่อระดบั ความเข้มเสียงไม่ได้ หรอื ไม่
3. ทำการทดลองเพ่อื ตรวจสอบ - ใบกิจกรรม ครอบคลมุ
คุณสมบัตใิ นการดูดซับเสียงของวสั ดุ
ดูดซบั เสียงได้ 2 = คำนวณหาปริมาณทีเ่ กีย่ วขอ้ งกับระดับเสยี ง
อธบิ ายระดบั ความเข้มเสียงทส่ี ่งผลตอ่ การได้ยนิ ตาม
4. ประยกุ ตใ์ ช้ความรเู้ ร่อื ง - สงั เกตการตอบ สถานการณ์ไดถ้ ูกต้อง สมบรู ณ์
1 = คำนวณหาปริมาณท่ีเกย่ี วข้องกับระดับเสียง
คณุ สมบัติของเสียงเม่อื เคล่อื นท่ี คำถามและการ อธิบายระดบั ความเข้มเสียงที่สง่ ผลตอ่ การได้ยินตาม
สถานการณไ์ ด้ถกู ต้องบางสว่ น
ผ่านตัวกลาง และระดบั ความเข้ม อธิบาย 0 = คำนวณหาปริมาณที่เก่ยี วข้องกับระดับเสียง
อธิบายระดับความเข้มเสยี งที่สง่ ผลต่อการไดย้ นิ ตาม
เสยี งทส่ี ่งผลตอ่ การได้ยนิ เสยี งของ - ใบกิจกรรม สถานการณไ์ ม่ถูกต้อง

หมู นุษย์ เพื่อออกแบบและ 2 = ทำการทดลอง โดยกำหนดตวั แปร และออกแบบ
วิธีการศกึ ษาเพอ่ื ศกึ ษาคุณสมบัตใิ นการดูดซับเสยี งของ
ประดษิ ฐฉ์ นวนป้องกนั เสียง โดยใช้ วสั ดุดดู ซับเสยี งได้ถูกต้องและครอบคลมุ
1 = ทำการทดลอง โดยกำหนดตวั แปร และออกแบบ
กระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม วิธกี ารศึกษาเพื่อศึกษาคุณสมบัตใิ นการดูดซบั เสยี งของ
วัสดดุ ดู ซับเสยี งไม่ถกู ต้อง หรือไมค่ รอบคลุม
0 = ทำการทดลอง โดยกำหนดตวั แปร และออกแบบ
วิธีการศึกษาเพือ่ ศึกษาคุณสมบัตใิ นการดูดซบั เสยี งของ
วัสดุดดู ซบั เสยี งไม่ได้

2 = มกี ารวางแผนเขยี นเคา้ ร่าง การออกแบบ และ
การวางแผนสร้างฉนวนปอ้ งกนั เสียง โดยอาศยั ความรู้
ที่ได้จากการเก็บรวบรวมขอ้ มูลอยา่ งเปน็ ระบบและ
ชดั เจน
1 = มกี ารวางแผนเขียนเคา้ ร่าง การออกแบบ และ
การวางแผนสรา้ งฉนวนป้องกนั เสียง โดยอาศัยความรู้
ทีไ่ ด้จากการเก็บรวบรวมขอ้ มูลอยา่ งไมเ่ ปน็ ระบบและ
ไม่ชดั เจน
0 = ไมม่ ีการวางแผนเขยี นเค้ารา่ ง การออกแบบ และ
การวางแผนสรา้ งฉนวนป้องกนั เสียง

27

แบบประเมินกระบวนการทำงานกลมุ่

ช่ือกลุ่ม………………………………………………………………………………………….
ชั้น……………………….………………….

รายชอื่ สมาชกิ 1…………………………………………………………………………………...
2…………………………………………………………………………………...
3…………………………………………………………………………………...
4…………………………………………………………………………………...
5…………………………………………………………………………………...
6…………………………………………………………………………………...

ขอ้ ที่ รายการประเมนิ คะแนน หมายเหตุ
32 1
1 การรว่ มกนั วางแผนการทำงาน
2 การแบง่ หน้าทีร่ บั ผิดชอบ
3 การปฏบิ ตั ิตามหนา้ ที่ท่ีได้รบั มอบหมาย
4 การประเมินและปรบั ปรงุ งาน
รวม
รอ้ ยละ

ผลการประเมนิ

 ผ่าน (ตั้งแตร่ อ้ ยละ 80 ขั้นไป)  ไมผ่ า่ น (น้อยกว่ารอ้ ยละ 80)

ผู้ประเมิน……………………………….
วนั ท่ี……….เดือน…………………..พ.ศ. …………


Click to View FlipBook Version