คำนำ รายงานเรื่อง “การออกแบบ การพัฒนา การประเมินประสิทธิภาพ การปรับปรุงและการ ประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา” เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาทฤษฎีทาง เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่เนื้อหาความรู้เกี่ยวกับการออกแบบ การพัฒนา การประเมินประสิทธิภาพ การปรับปรุงและการประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อ การศึกษา ซึ่งเป็นเนื้อหาที่เกิดจากการรวบรวมข้อมูล ประเมินค่า วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล อันเป็น ขั้นตอนการสร้างความรู้จากแหล่งสารสนเทศให้มีประสิทธิผลตรงตามจุดประสงค์ ภายในนอกจากจะ บรรจุเนื้อหาที่สังเคราะห์ได้แล้ว ยังมีส่วนแสดงขั้นตอนให้เห็นเด่นชัดอีกด้วย คณะผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ได้ศึกษาไม่มากก็น้อยและ หากมีข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย คณะผู้จัดทำ
สารบัญ หน้า 1. การออกแบบและการประเมิน 2 2. การพัฒนานวัตกรรมการศึกษา 8 3. การหาประสิทธิภาพนวัตกรรมการศึกษา 13 4. การประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา 25 บรรณานุกรม 30
หัวข้อที่ ๘ การออกแบบ การพัฒนา การประเมินประสิทธิภาพ การปรับปรุงและการประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา ปัจจุบันเป็นยุคแห่งศตวรรษที่ 21 ที่มุ่งเน้นการนําเทคโนโลยีสารสนเทศ มาใช้ในวงการศึกษา ทำให้การบริหารและการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพและเพิ่มสัมฤทธิ์ผลทางการเรียน การสอนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของความรู้และแหล่งความรู้ในสังคมทําให้ทักษะเพื่อการ ดํารงชีวิตจําเป็นต้องมี ทักษะ 3 ด้าน คือ 1. ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม 2. ทักษะด้านสารสนเทศสื่อและเทคโนโลยี และ 3. ทักษะชีวิตและอาชีพเพื่อความสำเร็จทั้งด้านการทำงานและการดำเนินชีวิต (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 จึงพยายามเปลี่ยนบทบาทผู้สอนจากผู้บรรยายมาเป็น การ ออกแบบกิจกรรมให้ผู้เรียนใช้เป็นเครื่องมือสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ผู้สอนเป็นผู้อํานวย ความสะดวก และเสนอแนะเครื่องมือการเข้าถึงองค์ความรู้ ผ่านวิธีการต่างๆ โดยเฉพาะผ่านเทคโนโลยีให้เข้าถึงความรู้ ได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง นําความรู้ที่ได้มาแลกเปลี่ยนกับเพื่อนในห้องเรียน เรียกกระบวนการเรียนรู้ แบบนี้ว่า การเรียนรู้เชิงลึก (Active Learning) ที่ยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-centered) (ทิศนาแขมมณี, 2552) สำหรับการเรียนรู้ยุคใหม่ประสบความสำเร็จด้วยดี การเรียนรู้ยุคใหม่ใช้ ขุมความรู้ที่เรียกวา่ World knowledge ซึ่งมีแหล่งความรู้มากมายกระจายอยู่ทั่วโลก ผู้เรียนต้องเรียนรู้ ได้มากและรวดเร็ว อีกทั้งสามารถแยกแยะ ค้นหาข่าวสาร ตลอดจนการแสวงหาสิ่งที่ต้องการได้ตรง ความต้องการ (สมชาย นําประเสริฐชัย, 2556:47) จากความสำคัญดังกล่าว คณะผู้จัดทำจึงได้จำแนกหัวข้อที่ได้รับมอบหมายได้ ดังนี้ 1. การออกแบบ และการประเมินนวัตกรรม 2. การพัฒนานวัตกรรมการศึกษา 3. การหาประสิทธิภาพนวัตกรรม 4. การประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา 1
1. การออกแบบและการประเมินนวัตกรรม 1.1 ความหมาย การออกแบบนวัตกรรมการศึกษา การนำสิ่งใหม่ๆ ความคิด วิธีการ หรือการกระทำ หรือสิ่งประดิษฐ์ขึ้น มาพัฒนาดัดแปลงจาก สิ่งที่มีอยู่แต่เดิมให้ดีขึ้น นวัตกรรมการศึกษาสามารถจำแนกประเภทได้ 5 ประเภท ดังนี้ 1.1.2 ประเภทของนวัตกรรมการศึกษา 1. นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร เป็นการใช้วิธีการใหม่ๆในการพัฒนาหลักสูตรให้ สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น และตอบสนองความต้องการสอนบุคคลให้มากขึ้น เนื่องจาก หลักสูตรจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจและสังคมของประเทศและของโลก นวัตกรรมทางด้านหลักสูตรได้แก่ การพัฒนาหลักสูตร บูรณาการ หลักสูตรรายบุคคล หลักสูตรกิจกรรมและประสบการณ์ และหลักสูตรท้องถิ่น 2. นวัตกรรมการเรียนการสอน เป็นการใช้วิธีระบบในการปรับปรุงและคิดค้นพัฒนาวิธี สอนแบบใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองการเรียนรายบุคคล การสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การเรียน แบบมีส่วนร่วม การเรียนรู้แบบแก้ปัญหา การพัฒนาวิธีสอนจำเป็นต้องอาศัยวิธีการและเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาจัดการและสนับสนุนการเรียนการสอน 2
3.นวัตกรรมสื่อการสอน เนื่องจากมีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ เครือข่ายและเทคโนโลยีโทรคมนาคม ทำให้นักการศึกษาพยายามนำศักยภาพของเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ ในการผลิตสื่อการเรียนการสอนใหม่ๆ จำนวนมากมาย ทั้งการเรียนด้วยตนเอง การเรียนเป็นกลุ่ม และ การเรียนแบบมวลชน ตลอดจนสื่อที่ใช้เพื่อสนับสนุนการฝึกอบรมผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ 4. นวัตกรรมทางด้านการประเมินผล เป็นนวัตกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการวัดผลและ ประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการวิจัยทางการศึกษา การวิจัย สถาบัน ด้วยการประยุกต์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มาสนับสนุนการวัดผล ประเมินผลของสถานศึกษา ครู อาจารย์ 5. นวัตกรรมการบริหารจัดการ เป็นการใช้นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารสนเทศมาช่วย ในการบริหารจัดการ เพื่อการตัดสินใจของผู้บริหารการศึกษา ให้มีความรวดเร็วทันเหตุการณ์ ทันต่อ การเปลี่ยนแปลงของโลก นวัตกรรมการศึกษาที่นำมาใช้ทางด้านการบริหารจะเกี่ยวข้องกับระบบการ จัดการฐานข้อมูลในหน่วยงานสถานศึกษา 3
1.1.3 แนวคิด ทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อการออกแบบนวัตกรรม 1. พฤติกรรมนิยม (Behaviorism) 2. ปัญญานิยม (Cognitivism) 3. การสร้างสรรค์องค์ความรู้ด้วยปัญญา (Constructivism) 1.1.4 แนวคิด และกระบวนการออกแบบนวัตกรรมการศึกษา 1. กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้เพื่อตั้งเป้าหมายในการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ของผู้เรียน 2. กำหนดกรอบแนวคิดของกระบวนการเรียนรู้ พัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียน และนำมา ผสมผสานกับความคิดและประสบการณ์ของตนเอง 3. สร้างต้นแบบนวัตกรรม จัดทำต้นแบบบทเรียนสำเร็จรูปให้สมบูรณ์ตามข้อกำหนดของ วิธีการทำบทเรียนสำเร็จรูป 1.1.5 รายละเอียดนวัตกรรม ในการออกแบบนวัตกรรมการเรียนรู้ประเภทสื่อการสอน ผู้ออกแบบต้องคำนึงถึงดังนี้คือ 1. วัตถุประสงค์การเรียนรู้ 2. ลักษณะผู้เรียน ความเหมาะสมกับวัย ความสนใจ ระดับชั้น ความรู้ ทักษะ 3. พื้นฐาน และประสบการณ์ของผู้เรียน 4. รูปแบบการเรียนการสอน และการเรียนรู้ 5. ธรรมชาติเนื้อหาสาระการเรียนรู้ และวิธีการนำเสนอที่เหมาะสม 6. สภาพการเรียน 7. ทรัพยากรต่าง ๆ เช่น วัสดุอุปกรณ์ ครุภัณฑ์ งบประมาณ 8. ราคานวัตกรรมที่เหมาะสม 1.1.6 โครงสร้างของการออกแบบนวัตกรรม 1.ชื่อนวัตกรรม ผู้พัฒนาควรตั้งชื่อนวัตกรรมให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ 2.วัตถุประสงค์ของนวัตกรรม 3.ทฤษฎี หลักการในการออกแบบนวัตกรรม 4.ส่วนประกอบของนวัตกรรม 5.การนำนวัตกรรมไปใช้และประเมินผล 4
1.1.7 เครื่องมือศึกษาคุณภาพ และประสิทธิภาพนวัตกรรม ขั้นตอนในการจัดทำเครื่องมือประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพของนวัตกรรมมีดังนี้ 1. ศึกษาวัตถุประสงค์ของนวัตกรรมการเรียนการสอนที่สร้างขึ้น 2. กำหนดเครื่องมือที่ต้องใช้ประกอบการประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพ 3. ศึกษาแนวทางการสร้างเครื่องมือ 4. ออกแบบและสร้างเครื่องมือ 5. ตรวจสอบและผ่านการกลั่นกรองของผู้เชี่ยวชาญ 6. ศึกษาคุณภาพและประสิทธิภาพของเครื่องมือ 7. จัดทำเป็นเครื่องมือฉบับจริง 1.2 การนำนวัตกรรมไปใช้ การนำนวัตกรรมไปใช้เพื่อนำนวัตกรรมมาใช้แก้ปัญหาในเรื่องการเรียนการ สอน เช่น - ปัญหาเรื่องวิธีการสอน ปัญหาที่มักพบอยู่เสมอ - ปัญหาด้านเนื้อหาวิชาบางวิชาเนื้อหามาก - ปัญหาด้านการวัดและประเมินผล - ปัญหาเรื่องอุปกรณ์การสอน 1.2.1 การเขียนรายงานการพัฒนานวัตกรรม บทที่ 1 บทนำ นำเสนอรายละเอียดตามหัวข้อต่อไปนี้ – ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา – วัตถุประสงค์ของการทดลอง – สมมุติฐานของการทดลอง – ขอบเขตของการทดลอง – ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ – นิยามศัพท์ 5
บทที่ 2 การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นำเสนอแนวคิด หลักการ ทฤษฎี และผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องที่นำมาใช้ในการพัฒนานวัตกรรม ดังนี้ – หลักการ แนวคิด ทฤษฎี ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานวัตกรรม – ผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานวัตกรรม – หลักการ แนวคิด ทฤษฎี และผลการวิจัยที่นำมาใช้พัฒนานวัตกรรมในกลุ่มสาระ/วิชาที่ คิดค้นและสร้างนวัตกรรมการเรียนการสอน บทที่ 3 วิธีดำเนินการสร้างและทดลองใช้นวัตกรรมการเรียนการสอน – วัตถุประสงค์ของการทดลอง – สมมุติฐานของการทดลอง – ประชากรที่ใช้ในการทดลอง – กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลอง – นวัตกรรมและเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง – การสร้างนวัตกรรมและเครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง – การดำเนินการทดลอง – การวิเคราะห์ผลการทดลอง – สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ผลการทดลอง บทที่ 4 การวิเคราะห์ข้อมูลและผลการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล โดยนำเสนอในรูปของตาราง กราฟ หรือบรรยาย ตาม วัตถุประสงค์ของการทดลองที่กำหนดในบทที่ 1 บทที่ 5 การสรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ – สรุปผลการวิจัย นำเสนอวัตถุประสงค์ ขั้นตอนการดำเนินงาน และผลการวิจัยโดยสรุป ให้เห็นภาพของการดำเนินการสร้างและพัฒนานวัตกรรมตลอดแนว – อภิปรายผลการวิจัย นำผลที่เกิดขึ้นจากการวิจัยมานำเสนอให้เห็นภาพรวมที่เป็นผลน่า พอใจ สิ่งที่เป็นข้อสังเกต โดยอ้างอิงหลักการ ทฤษฎีและผลการวิจัยที่สอดคล้องประกอบการอภิปราย อย่างเหมาะสม – ข้อเสนอแนะ นำเสนอสิ่งที่ควรดำเนินการต่อเนื่อง หรือพัฒนาผลการวิจัยอย่างต่อเนื่อง ที่จะทำให้เกิดคุณภาพในการพัฒนาอย่างเด่นชัด 6
1.3 การวัดประเมินผลการใช้นวัตกรรม มีระดับคุณภาพ 3 ระดับ คือ - ระดับ 3 คุณภาพดีมาก - ระดับ 2 คุณภาพดี - ระดับ 1 คุณภาพพอใช้ สิ่งที่ต้องการประเมิน - ตรวจสอบเอกสารรายงานผลการพัฒนานวัตกรรม - สังเกต และตรวจสอบข้อมูลจากการนำเสนอผลงานของผู้คิดค้น การเผยแพร่นวัตกรรม หลังจากพิสูจน์ผลชัดเจนว่านวัตกรรมการเรียนการสอนที่คิดค้นและพัฒนานั้น สามารถ แก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนการสอนได้อย่างแท้จริงและได้นำเสนอผลการทดลองใช้ออกมาเป็น รายงานที่ถูกต้องแล้ว ควรเผยแพร่ผลการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนอย่างกว้างขวาง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาการจัดการศึกษา 2. การพัฒนานวัตกรรมการศึกษา หากกล่าวถึงการสร้างและการพัฒนานวัตกรรม นวัตกรรมที่พูดถึงคงจะมีหลายประเภททั้งใน ด้านการเกษตรกรรม ด้านความงาม หรือทางด้านอุตสาหกรรม ซึ่งนวัตกรรมแต่ละประเภทนั้นถูกสร้าง ขึ้นมามีจุดมุ่งหมายแตกต่างกันเพื่อต้องการเพิ่มผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นให้กับนวัตกรรมนั้น ๆ เช่นหากต้องการที่ จะสร้างผลผลิตทางการเกษตรอาจจะสร้างนวัตกรรมเช่นปุ๋ยชีวภาพ หรือแม้แต่นวัตกรรมทางด้านความ งามเช่นครีมเครื่องสำอางก็ถูกสร้างขึ้นมาโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ที่มุ่งเน้นผลผลิต แต่หากพูดถึงนวัตกรรมทางการศึกษานั้นจำเป็นที่จะต้องเกิดผลลัพธ์ทางการเรียนรู้กับมนุษย์ นวัตกรรม ทางการศึกษามีความจำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในยุคไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งเทคโนโลยีสารสนเทศ มีการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วข้อมูลต่างๆถูกเพิ่มเข้ามาในระบบออนไลน์สารสนเทศมีมากมาย ดังนั้น นวัตกรรมในยุคปัจจุบัน จึงมีความแตกต่างในเรื่องของเครื่องมือ เทคโนโลยีที่ใช้ ตลอดจนระบบ คอมพิวเตอร์ที่เข้ามามีบทบาทในการจัดการเรียนการสอนทุกรายวิชา แต่วิธีการในการจัดการเรียนการ สอนโดยการนำเอานวัตกรรมเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเข้าใจหลักการในการออกแบบ การสร้างการพัฒนา ตลอดจน การใช้และการประเมินนวัตกรรม เพื่อให้นวัตกรรมที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นเกิด ประสิทธิภาพและมีประโยชน์อย่างแท้จริงในการนำนวัตกรรมไปใช้ในการเรียนการสอน การนำนวัตกรรม การศึกษามาใช้ในการจัดการเรียนการสอนจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการออกแบบการพัฒนาการใช้การ 7
จัดการการประเมินเพื่อให้ได้นวัตกรรมที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพเมื่อนำนวัตกรรมเหล่านั้นไปใช้ย่อม เกิดผลดีในการจัดการเรียนการสอน 2.1 กระบวนการสร้างและพัฒนานวัตกรรม มาเรียม นิลพันธุ์ ศิริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย (2558 : 54-56) ได้เสนอกระบวนการสร้าง และพัฒนานวัตกรรม มีรายละเอียดดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาเอกสารแนวคิดหลักการ เป็นขั้นตอนของการสำรวจว่าในทางวิชาการมีพัฒนาเรื่องนี้ไว้ว่าอย่างไร มีใครที่เคยประสบ ปัญหาการพัฒนาการเรียนรู้หรือการบริหารสถานศึกษาเช่นเดียวกันนี้มาก่อน และคนที่หาปัญหา เช่นเดียวกันนี้มีแนวทางในการแก้ไขปัญหานี้ในห้องเรียนของตนเองอย่างไร เพื่อให้ได้แนวคิดและ แนวทางที่จะนำมาแก้ปัญหาของตนเองต่อไป 1. การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และการแสวงหาแนวคิดและหลักการ 2. การศึกษาเอกสารงานวิจัยและประสบการของผู้เกี่ยวข้อง ขั้นตอนที่ 2 การเลือกและการวางแผนสร้างนวัตกรรม โดยพิจารณาเลือกจากลักษณะ ของนวัตกรรมการเรียนรู้ที่ดี ดังนี้ 1. เป็นนวัตกรรมการเรียนรู้ที่ตรงกับความต้องการและความจำเป็น 2. มีความหน้าเชื่อถือและเป็นไปได้สูงที่จะสามารถแก้ปัญหา และพัฒนาการเรียนรู้ของ ผู้เรียน 3. เป็นนวัตกรรมที่มีแนวคิดหรือหลักการทางวิชาการรองรับจนน่าเชื่อถือ 4. สามารถนำไปใช้ในห้องเรียนได้จริง ใช้ได้ง่าย สะดวกต่อการใช้และการพัฒนา นวัตกรรม 5. มีผลการพิสูจน์เชิงประจักษ์ว่าได้ใช้ในสถานการณ์จริงแล้วสามารถแก้ปัญหาหรือ พัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนรู้ได้อย่างน่าเพิ่งพอใจ ขั้นตอนที่ 3 สร้างและพัฒนานวัตกรรม จากแผนการสร้างนวัตกรรม ครูต้องศึกษาถึงรายละเอียดของนวัตกรรมที่จะสร้างและ ดำเนินการตามขั้นตอน เช่น การสร้างนวัตกรรมที่เป็นชุดการเรียนรู้ ครูอาจดำเนินการสร้างตาม ขั้นตอนต่อไปนี้ เช่น 1. วิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้ 2. กำหนดและออกแบบชุดการเรียนรู้ด้วยตนเอง 3. ออกแบบสื่อเสริม 4. ลงมือทำ 8
5. ตรวจสอบคุณภาพครั้งแรกโดยผู้เชี่ยวชาญ 6. ทดลองใช้ระยะสั้นเพื่อปรับปรุงเนื้อหาสาระ 7. นำไปใช้เพื่อแก้ปัญหาหรือการพัฒนาการเรียนรู้ ขั้นตอนที่ 4 การหาประสิทธิภาพของนวัตกรรม ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่พิสูจน์ว่านวัตกรรมที่สร้างขั้นนั้นเมื่อนำไปใช้จะได้ผลตามที่ ต้องการหรือไม่ สามารถแก้ปัญหาในชั้นเรียนหรือพัฒนาผู้เรียนได้จริงหรือไม่การประสิทธิภาพ ของนวัตกรรมมีหลายวิธี เช่น 1. การตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ 2. การบรรยายคุณภาพ 3. การคำนวณค่าร้อยละของผู้เรียน 4. การหาประสิทธิภาพของนวัตกรรม 5. การประเมินสื่อมัลติมีเดีย 2.2 หลักการออกแบบของ ADDIE model กิดานันท์ มลิทอง (2540:245) ได้ศึกษาวิจัยโดยอาศัยแนวทางตามรูปแบบ ADDIE Model เป็นกระบวนการพัฒนารูปแบบการสอนที่นักออกแบบการเรียนการสอนและนักพัฒนาการฝึกอบรมนิยม ใช้กัน ซึ่ง ADDIE Model มีลำดับการพัฒนาเป็น 5 ขั้น ซึ่งประกอบด้วย การวิเคราะห์ (Analysis) การออกแบบ (Design) การพัฒนา (Development) การนำไปใช้ (Implemen tation) และการ ประเมินผล (Evaluation) ซึ่งแต่ละขั้นตอนเป็นแนวทางที่มีลักษณะที่ยืดหยุ่นเพื่อให้สามารถนำไปสร้าง เป็นเครื่องมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ 9
ADDIE Model เป็นระบบการออกแบบการสอน การออกแบบรูปแบบการสอนส่วนมากใน ปัจจุบันเป็นลักษณะที่เปลี่ยนแปลงมาจาก ADDIE Model รูปแบบอื่นไม่ว่าจะเป็น Dick & Carey, Kemp ISD Model สิ่งหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในการปรับปรุงรูปแบบคือการใช้หรือเริ่มจากรูปแบบดังเดิม ซึ่งนี้เป็นแนวคิดที่ยอมรับกันมาอย่างต่อเนื่องหรือเป็นข้อมูลสะท้อนที่ได้รับเพื่อการพัฒนารูปแบบใน ขณะที่วัสดุการสอนถูกสร้างขึ้น รูปแบบนี้พยายามทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายโดยการเข้าใจปัญหาที่ ต้องการแก้ไขทฤษฎีการเรียนการสอนเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญในการออกแบบวัสดุ หรือสื่อการเรียนการ สอน ตัวอย่างเช่นทฤษฎี Behaviorism, Constructivism, social learning และ Cognitivism ทฤษฎี เหล่านี้ช่วยในการสร้างรูปแบบและกำหนดสื่อการสอน ใน ADDIE model แต่ละขั้นตอนจะมีผลลัพท์ที่จะ นำไปสู่ขั้นตอนต่อไป ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ 1. ขั้นวิเคราะห์ (Analysis Phase) ในขั้นนี้เป็นการทำความเข้าใจปัญหาการเรียนการสอน เป้าหมายของรูปแบบการสอน และวัตถุประสงค์ที่จะสร้างขึ้นตลอดจนสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ และความรู้พื้นฐานและทักษะ ของผู้เรียนที่จำเป็นต้องมี โดยพิจารณาจากคำถามเพื่อการวิเคราะห์ดังนี้ 1.1 ใครคือกลุ่มเป้าหมายและเขาต้องมีคุณลักษณะอย่างไร 1.2 ระบุพฤติกรรมใหม่ที่คาดหวังว่าจะเกิดขึ้นกับผู้เรียน 1.3 มีข้อจำกัดในการเรียนรู้ที่มีอยู่อะไรบ้าง 1.4 อะไรที่เป็นทางเลือกสำหรับการเรียนรู้ที่มีอยู่บ้าง 1.5 หลักการสอนที่พิจารณาเป็นแบบไหน อย่างไร 1.6 มีช่วงเวลาการพัฒนาเป็นอย่างไร 2. การออกแบบ (Design Phase) ขั้นตอนการออกแบบประกอบด้วย การสร้างจุดประสงค์การเรียนรู้ กำหนดเครื่องมือ วัดประเมินผล แบบฝึกหัด เนื้อหา วางแผนการสอน และเลือกสื่อการสอน ขั้นตอนการออกแบบ ควรจะทำอย่างเป็นระบบและมีเฉพาะเจาะจง โดยความเป็นระบบนี้หมายถึงตรรกะ มีระเบียบ แบบแผนของการจำแนก การพัฒนา และการประเมินแผนยุทธวิธีที่วางไว้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย สำหรับความเฉพาะเจาะจงหมายถึงแต่ละองค์ประกอบของการออกแบบรูปแบบการสอนจะต้อง เอาใจใส่ทุกรายละเอียด ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้ 2.1 จำแนกเอกสารของการออกแบบการสอนให้เป็นหมวดหมู่ทั้งด้านเทคนิค ยุทธวิธีในการออกแบบการสอนและสื่อ 10
2.2 กำหนดยุทธศาสตร์การเรียนการสอนให้สอดคล้องกับพฤติกรรมที่คาดหวัง ในแต่ละกลุ่ม(cognitive, affective, psychomotor) 2.3 สร้างสตอรี่บอร์ด 2.4ออกแบบ User interface และ User Experiment 2.5 สร้างสื่อต้นแบบ 3. ขั้นการพัฒนา (Development Phase) ขั้นตอนการพัฒนาคือขั้นที่ผู้ออกแบบสร้างส่วนต่างๆ ที่ได้ออกแบบไว้ในขั้นของการ ออกแบบซึ่งครอบคลุมการ สร้างเครื่องมือวัดประเมินผล สร้างแบบฝึกหัด สร้างเนื้อหา และการ พัฒนาโปรแกรมสำหรับสื่อการสอน เมื่อเรียบร้อยทำการทดสอบเพื่อหาข้อผิดพลาดเพื่อนำผลไป ปรับปรุงแก้ไข 4. ขั้นการนำดำเนินการ (Implementation Phase) ในขั้นตอนการดำเนินการนี้ หมายถึงขั้นของการสอนโดยอาจจะเป็นรูปแบบชั้นเรียน การฝึกอบรม หรือห้องทดลอง หรือรูปแบบการเรียนการสอนที่ใช้คอมพิวเตอร์ โดยจุดมุ่งหมาย ของขั้นตอนนี้คือการสอนอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล จะต้องให้การส่งเสริมความเข้าใจ ของผู้เรียนสนับสนุนการเรียนรอบรู้ของผู้เรียนตามวัตถุประสงค์ต่างๆที่ตั้งไว้ 5. ขั้นการประเมินผล (Evaluation Phase) ขั้นการประเมินผลประกอบด้วยสองส่วนคือการประเมินผลรูปแบบ (Formative) และการประ เมินผลในภาพรวม (Summative) การประเมินผลรูปแบบคือการนำเสนอในแต่ละ ขั้นของ ADDIE Process ซึ่งเป็นการประเมินผลเพื่อพัฒนา และการประเมินผลในภาพรวมจะทำ เมื่อการสอนเสร็จสิ้นเพื่อประเมินผลประสิทธิผลการสอนทั้งหมดข้อมูลจากการประเมินผลรวม โดยปกติมักจะถูกใช้เพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับรูปแบบการสอน โดยสรุปการสร้างและพัฒนานวัตกรรมนั้นจำเป็นที่ต้องอาศัยหลักการแนวคิดและทฤษฎีในการ ออกแบบการสร้างการพัฒนาการนำไปใช้ และการประเมินผล โดยมีแนวคิดทางด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมทางการศึกษาเป็นพื้นฐานในการออกแบบการสร้างการพัฒนาการใช้และการ ประเมินผลดังที่กล่าวมาในข้างต้นและหลักการที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่นักเทคโนโลยีการศึกษา จำเป็นที่ต้องเข้าใจเพื่อที่จะปรับปรุงนวัตกรรมให้มีประสิทธิภาพคือหลักการ ADDIE MODEL ซึ่ง เป็นแนวคิดพื้นฐานในการสร้างและพัฒนานวัตกรรม 11
3. การหาประสิทธิภาพนวัตกรรมการศึกษา การผลิตสื่อหรือชุดการสอนนั้น ก่อนนำไปใช้จริงจะต้องนำสื่อหรือชุดการสอนที่ผลิตขึ้นไปทดสอบ ประสิทธิภาพเพื่อดูว่าสื่อหรือชุดการสอนทำให้ผู้เรียน มีความรู้เพิ่มขึ้นหรือไม่ มีประสิทธิภาพในการช่วย ให้กระบวนการเรียนการสอนดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพียงใด มีความสัมพันธ์กับผลลัพธ์หรือไม่ และผู้เรียน มีความพึงพอใจต่อการเรียนจากสื่อหรือชุดการสอน ในระดับใด ดังนั้นผู้ผลิตสื่อการสอน จำเป็นจะต้องนำ สื่อหรือชุดการสอนไปหาคุณภาพ เรียกว่าการทดสอบ ประสิทธิภาพ 3.1 ความหมายของการทดสอบประสิทธิภาพ ความหมายของประสิทธิภาพ ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง สภาวะหรือคุณภาพของ สมรรถนะในการดำเนินงาน เพื่อให้งานมีความสำเร็จโดยใช้เวลา ความพยายาม และค่าใช้จ่ายคุ้มค่า ที่สุดตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ โดยกำหนดเป็นอัตราส่วนหรือ ร้อยละระหว่างปัจจัย นำเข้ากระบวนการและผลลัพธ์ (Ratio between input, process and output) ประสิทธิภาพเน้น การดำเนินการ ที่ถูกต้องหรือกระทำสิ่งใดๆ อย่างถูกวิธี(Doing the thing right) คำว่าประสิทธิภาพ มักสับสนกับ คำว่า ประสิทธิผล (Effectiveness) ซึ่งเป็นคำที่คลุมเครือ ไม่เน้นปริมาณ และมุ่งให้บรรลุวัตถุประสงค์และเน้นการทำสิ่งที่ถูกที่ควร (Doing the right thing) ดังนั้นสองคำนี้จึงมักใช้คู่กัน คือ ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล 3.2 ความหมายของการทดสอบประสิทธิภาพ การทดสอบประสิทธิภาพของสื่อ หรือชุดการ สอน จึงหมายถึงการหาคุณภาพของสื่อ หรือชุดการสอน โดยพิจารณาตามขั้นตอนของ การพัฒนาสื่อ หรือชุดการสอนแต่ละขั้น ตรงกับ ภาษาอังกฤษว่า “Developmental Testing” Developmental Testing คือ การทดสอบคุณภาพตามพัฒนาการของการผลิตสื่อ หรือชุดการ สอนตามลำดับขั้นเพื่อตรวจสอบคุณภาพ ของแต่ละองค์ประกอบของต้นแบบชิ้นงาน ให้ดำเนินไปอย่างมี ประสิทธิภาพ สำหรับการผลิตสื่อและชุดการสอน การทดสอบประสิทธิภาพ หมายถึง การนำสื่อหรือ ชุดการ สอนไปทดสอบด้วยกระบวนการสองขั้นตอน คือ การทดสอบประสิทธิภาพใช้เบื้องต้น (Try Out) และ ทดสอบประสิทธิภาพสอนจริง (Trial Run) เพื่อหาคุณภาพของสื่อตามขั้นตอนที่กำหนดใน 3 ประเด็น คือ การทำให้ผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้น การช่วยให้ผู้เรียนผ่านกระบวนการเรียนและทำแบบ ประเมิน สุดท้ายได้ดี และการทำให้ผู้เรียนมีความ พึงพอใจ นำผลที่ได้มาปรับปรุงแก้ไขก่อนที่จะผลิต ออกมา เผยแพร่เป็นจำนวนมาก 12
1. การทดสอบประสิทธิภาพใช้เบื้องต้น เป็นการนำสื่อหรือชุดการสอนที่ผลิตขึ้น เป็นต้นแบบ (Prototype) แล้วไปทดลอบประสิทธิภาพ ใช้ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในแต่ละระบบ เพื่อปรับปรุง ประสิทธิภาพของสื่อหรือชุดการสอนให้เท่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้และปรับปรุงจนถึงเกณฑ์ 2. การทดสอบประสิทธิภาพสอนจริง หมายถึง การนำสื่อหรือชุดการสอนที่ได้ทดสอบ ประสิทธิภาพใช้และปรับปรุงจนได้คุณภาพ ถึงเกณฑ์แล้วของแต่ละหน่วย ทุกหน่วยในแต่ละวิชา ไปสอน จริงในชั้นเรียนหรือในสถานการณ์การเรียน ที่แท้จริงในช่วงเวลาหนึ่ง อาทิ1 ภาคการศึกษาเป็นอย่างน้อย เพื่อตรวจสอบคุณภาพเป็นครั้งสุดท้ายก่อนนำไปเผยแพร่และผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก การทดสอบประสิทธิภาพทั้งสองขั้นตอน จะต้องผ่านการวิจัยเชิงวิจัยและพัฒนา (Research and Development-R&D) โดยต้องดำเนินการวิจัย ในขั้นทดสอบประสิทธิภาพเบื้องต้น และอาจทดสอบ ประสิทธิภาพซ้ำในขั้นทดสอบประสิทธิภาพใช้จริง ด้วยก็ได้เพื่อประกันคุณภาพของสถาบันการศึกษา ทางไกลนานาชาติ 3.3 ความจำเป็นที่จะต้องหาประสิทธิภาพ การทดสอบประสิทธิภาพของสื่อหรือชุดการสอนมี ความจำเป็นด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ 1. สำหรับหน่วยงานผลิตสื่อหรือชุดการสอน การทดสอบประสิทธิภาพช่วยประกันคุณภาพ ของสื่อหรือชุดการสอนว่าอยู่ในขั้นสูง เหมาะสมที่จะ ลงทุนผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก หากไม่มีการ ทดสอบประสิทธิภาพเสียก่อนแล้ว เมื่อผลิตออกมาใช้ประโยชน์ไม่ได้ดีก็จะต้องผลิตหรือทำขึ้นใหม่เป็นการ สิ้นเปลือง ทั้งเวลา แรงงานและเงินทอง 2. สำหรับผู้ใช้สื่อหรือชุดการสอน สื่อหรือชุดการสอนที่ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพ จะ ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือช่วยสอนได้ดีในการสร้างสภาพการเรียนให้ผู้เรียนได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ตามที่ มุ่งหวัง บางครั้งชุดการสอนต้องช่วยครูสอน บางครั้งต้องสอนแทนครู(อาทิในโรงเรียนครูคนเดียว) ดังนั้น ก่อนนำสื่อหรือชุดการสอนไปใช้ ครูจึงควร มั่นใจว่า ชุดการสอนนั้นมีประสิทธิภาพในการช่วยให้นักเรียน เกิดการเรียนจริง การทดสอบประสิทธิภาพตามลำดับขั้นจะช่วยให้เราได้สื่อหรือชุดการสอนที่มีคุณค่า ทางการสอนจริงตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 3. สำหรับผู้ผลิตสื่อหรือชุดการสอน การทดสอบประสิทธิภาพจะทำให้ผู้ผลิตมั่นใจได้ว่า เนื้อหา สาระที่บรรจุลงในสื่อหรือชุดการสอนมีความ เหมาะสม ง่ายต่อการเข้าใจ อันจะช่วยให้ผู้ผลิต มีความ ชำนาญสูงขึ้น เป็นการประหยัดแรงสมอง แรงงาน เวลาและเงินทองในการเตรียมต้นแบบ 3.4 การกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ 1. ความหมายของเกณฑ์(Criterion) เกณฑ์เป็นขีดกำหนดที่จะยอมรับว่า สิ่งใดหรือ พฤติกรรมใดมีคุณภาพและหรือปริมาณที่จะรับได้การตั้งเกณฑ์ต้องตั้งไว้ครั้งแรกครั้งเดียว เพื่อจะปรับปรุง คุณภาพให้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำที่ตั้งไว้จะ ตั้งเกณฑ์การทดสอบประสิทธิภาพไว้ต่างกันไม่ได้เช่น เมื่อมีการ ทดสอบประสิทธิภาพแบบเดี่ยว ตั้งเกณฑ์ไว้60/60 แบบกลุ่มตั้งไว้70/70 ส่วนแบบสนามตั้งไว้80/80 ถือว่า เป็นการตั้งเกณฑ์ที่ไม่ถูกต้อง 13
อนึ่งเนื่องจากเกณฑ์ที่ตั้งไว้เป็นเกณฑ์ต่ำสุด ดังนั้นหากการทดสอบคุณภาพของสิ่งใดหรือ พฤติกรรมใดได้ผลสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้อย่างมีนัยสำคัญ ที่ระดับ .05 หรืออนุโลมให้มีความคลาดเคลื่อนต่ำ หรือสูงกว่าค่าประสิทธิภาพที่ตั้งไว้เกิน 2.5 ก็ให้ปรับเกณฑ์ขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น แต่หากได้ค่าต่ำกว่าค่า ประสิทธิภาพที่ตั้งไว้ ต้องปรับปรุงและนำไปทดสอบ ประสิทธิภาพใช้หลายครั้งในภาคสนามจนได้ค่าถึง เกณฑ์ที่กำหนด 2. ความหมายของเกณฑ์ประสิทธิภาพ หมายถึง ระดับประสิทธิภาพของสื่อหรือชุดการ สอน ที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เป็น ระดับที่ผลิตสื่อหรือชุดการสอนจะพึงพอใจว่า หากสื่อ หรือชุดการสอนมีประสิทธิภาพถึงระดับนั้นแล้ว สื่อ หรือชุดการสอนนั้นก็มีคุณค่าที่จะนำไปสอน นักเรียน และคุ้มแก่การลงทุนผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก การกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพกระทำได้โดยการประเมินผลพฤติกรรมของผู้เรียน 2 ประเภท คือ พฤติกรรมต่อเนื่อง (กระบวนการ) กำหนดค่าประสิทธิภาพเป็น E 1 = Efficiency of Process (ประสิทธิภาพของกระบวนการ) และพฤติกรรมสุดท้าย (ผลลัพธ์) กำหนดค่าประสิทธิภาพเป็น E 2 = Efficiency of Product (ประสิทธิภาพของผลลัพธ์) 1) ประเมินพฤติกรรมต่อเนื่อง (Transitional Behavior) คือประเมินผลต่อเนื่อง ซึ่ง ประกอบด้วยพฤติกรรมย่อยของผู้เรียน เรียกว่า “กระบวนการ” (Process) ที่เกิดจากการประกอบ กิจกรรมกลุ่ม ได้แก่ การทำโครงการ หรือทำรายงาน เป็นกลุ่ม และรายงานบุคคล ได้แก่งานที่มอบหมาย และกิจกรรมอื่นใดที่ผู้สอนกำหนดไว้ 2) ประเมินพฤติกรรมสุดท้าย (Terminal Behavior) คือประเมินผลลัพธ์ (Product) ของผู้เรียน โดยพิจารณาจากการสอบหลังเรียน และการสอบไล่ ประสิทธิภาพของสื่อหรือชุดการสอน จะกำหนดเป็นเกณฑ์ที่ผู้สอนคาดหมายว่าผู้เรียนจะ เปลี่ยนพฤติกรรมเป็นที่พึงพอใจ โดยกำหนดให้ผล เฉลี่ยของคะแนนการทำงานและการประกอบกิจกรรมของผู้เรียนทั้งหมดต่อร้อยละของผลการประเมิน หลังเรียนทั้งหมด นั่นคือ E1 /E2 = ประสิทธิภาพ ของกระบวนการ/ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ ตัวอย่าง 80/80 หมายความว่าเมื่อเรียน จากสื่อหรือชุดการสอนแล้ว ผู้เรียนจะสามารถ ทำแบบ ฝึกปฏิบัติหรืองานได้ผลเฉลี่ย 80% และประเมิน หลังเรียนและงานสุดท้ายได้ผลเฉลี่ย 80% การที่จะกำหนดเกณฑ์ E 1 /E 2 ให้มีค่าเท่าใดนั้น ให้ผู้สอนเป็นผู้พิจารณาตามความพอใจ โดยพิจารณา พิสัยการเรียนที่จำแนกเป็นวิทยพิสัย (Cognitive Domain) จิตพิสัย(Affective Domain) และทักษพิสัย (Skill Domain) ในขอบข่ายวิทยพิสัย (เดิมเรียกว่า พุทธิพิสัย) เนื้อหาที่เป็นความรู้ความจำมักจะตั้งไว้ สูงสุดแล้วลดต่ำลงมาคือ 90/90 85/85 80/80 ส่วนเนื้อหาสาระที่เป็นจิตพิสัยจะต้องใช้เวลาไปฝึกฝนและพัฒนา ไม่สามารถทำให้ถึง เกณฑ์ระดับสูงได้ในห้องเรียนหรือในขณะที่เรียน จึงอนุโลม ให้ตั้งไว้ต่ำลง นั่นคือ 80/80 75/75 แต่ไม่ ต่ำกว่า 75/75 เพราะเป็นระดับความพอใจต่ำสุด จึงไม่ควรตั้งเกณฑ์ไว้ต่ำกว่านี้ หากตั้งเกณฑ์ไว้เท่าใด 14
ก็มักได้ผลเท่านั้น ดังจะเห็นได้จากระบบการสอนของไทย ปัจจุบัน (2520) ได้กำหนดเกณฑ์ โดยไม่เขียน เป็น ลายลักษณ์อักษรไว้0/50 นั่นคือ ให้ประสิทธิภาพ กระบวนการมีค่า 0 เพราะครูมักไม่มีเกณฑ์เวลาใน การให้งานหรือแบบฝึกปฏิบัติแก่นักเรียน ส่วนคะแนน ผลลัพธ์ที่ให้ผ่านคือ 50% ผลจึงปรากฏว่า คะแนน วิชาต่างๆของนักเรียนต่ำในทุกวิชา เช่น คะแนนภาษา ไทยนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4โดยเฉลี่ยแต่ละปี เพียง 51% เท่านั้น 3.5 วิธีการคำนวณหาประสิทธิภาพ วิธีการคำนวณหาประสิทธิภาพ กระทำได้2 วิธีคือ โดยใช้สูตรและโดยการคำนวณธรรมดา 1. โดยใช้สูตร กระทำได้โดยใช้สูตรต่อไปนี้ สูตรที่1 = × หรือ ̅ × เมื่อ 1 คือ ประสิทธิภาพของกระบวนการ ∑ คือ คะแนนรวมของแบบฝึกปฏิบัติกิจกรรมหรืองานที่ทำระหว่างเรียนทั้งที่เป็น กิจกรรม ในห้องเรียน นอกห้องเรียนหรือออนไลน์ A คือ คะแนนเต็มของแบบฝึกปฏิบัติทุกชิ้นรวมกัน N คือ จำนวนผู้เรียน สูตรที่2 = × หรือ ̅ × เมื่อ คือ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ คือ คะแนนรวมของผลลัพธ์ของการประเมินหลังเรียน B คือ คะแนนเต็มของการประเมินสุดท้ายของแต่ละหน่วย ประกอบด้วยผลการสอบ หลังเรียน และคะแนนจากการประเมินงานสุดท้าย N คือ จำนวนผู้เรียน 2. โดยใช้วิธีการำนวณโดยไม่ใช้สูตร หากจำสูตรไม่ได้หรือไม่อยากใช้สูตร ผู้ผลิตสื่อหรือชุดการ สอนก็สามารถใช้วิธีการคำนวณ ธรรมดาหาค่า E 1 และ E 2 ได้ ด้วยวิธีการคำนวณธรรมด สำหรับ E1 คือค่าประสิทธิภาพของงาน และแบบฝึกปฏิบัติกระทำได้โดยการนำคะแนนงานทุกชิ้นของนักเรียนในแต่ ละกิจกรรม แต่ละคนมารวมกัน แล้วหาค่าเฉลี่ยและเทียบส่วนโดยเป็นร้อยละ 15
สำหรับค่า E2 คือประสิทธิภาพผลลัพธ์ของการประเมินหลังเรียนของแต่ละสื่อหรือชุดการสอน กระทำได้ โดยการเอาคะแนนจากการสอบ หลังเรียนและคะแนนจากงานสุดท้ายของนักเรียน ทั้งหมดรวมกันหา ค่าเฉลี่ยแล้วเทียบส่วนร้อย เพื่อหาค่าร้อยละ 5 การตีความหมายผลการคำนวณ หลังจากคำนวณหาค่า E1 และ E2 ได้แล้ว ผู้หาประสิทธิภาพต้องตีความหมายของผลลัพธ์โดย ยึดหลักการและแนวทาง ดังนี้ ความคลาดเคลื่อนของผลลัพธ์ให้มีความคลาดเคลื่อนหรือความแปรปรวนของผลลัพธ์ ได้ไม่เกิน .05 (ร้อยละ 5) จากช่วงต่ำไปสูง = ±2.5 นั่นให้ผลลัพธ์ของค่า E1 หรือ E2 ที่ถือว่า เป็นไปตามเกณฑ์ มีค่า ต่ำกว่าเกณฑ์ ไม่เกิน 2.5% และ สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ไม่เกิน 2.5% หากคะแนน E1 หรือ E2 ห่างกันเกิน 5% แสดงว่ากิจกรรมที่ให้นักเรียนทำกับการสอบหลังเรียน ไม่สมดุลกันเช่น ค่า E1 มากกว่า E2 แสดงว่า งานที่มอบหมายอาจจะง่ายกว่าการสอบ หรือ หากค่า E2 มากกว่าค่า E1 แสดงว่าการสอบง่ายกว่าหรือไม่ สมดุลกับงานที่มอบหมายให้ทำ จำเป็นที่จะต้องปรับแก้หากสื่อหรือชุดการสอนได้รับการออกแบบ และ พัฒนาอย่างดีมีคุณภาพ ค่า E1 หรือ E2 ที่คำนวณ ได้จากการทดสอบประสิทธิภาพ จะต้องใกล้เคียงกัน และห่างกันไม่เกิน 5% ซึ่งเป็นตัวชี้ที่จะยืนยันได้ว่า นักเรียนได้มีการเปลี่ยนพฤติกรรมต่อเนื่องตามลำดับ ขั้นหรือไม่ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนพฤติกรรมขั้นสุดท้าย หรืออีกนัยหนึ่งต้องประกันได้ว่านักเรียนมีความรู้ จริง ไม่ใช่ทำกิจกรรมหรือทำสอบได้เพราะการเดา การประเมินในอนาคตจะเสนอผลการ ประเมินเป็นเลข สองตัว คือ E1 คู่ E2 เพราะจะทำให้ผู้อ่านผลการประเมินทราบลักษณะนิสัยของผู้เรียน ระหว่างนิสัยใน การทำงานอย่างต่อเนื่องคงเส้นคงวา หรือไม่ (ดูจากค่า E1 คือ กระบวนการ) กับการทำงาน สุดท้ายว่ามี คุณภาพมากน้อยเพียงใด (ดูจากค่า E2 คือ กระบวนการ) เพื่อประโยชน์ของการกลั่นกรองบุคลากรเข้า ทำงาน ตัวอย่าง นักเรียนสองคนคือเกษมกับปรีชา เกษมได้ผลลัพธ์E1/E2 =78.50/82.50 ส่วนปรีชา ได้ผลลัพธ์82.50/78.50 แสดงว่านักเรียนคนแรกคือ เกษม ทำงานและแบบฝึกปฏิบัติทั้งปีได้78% และ สอบไล่ได้83% จะเห็นว่าจะมีลักษณะนิสัยที่เป็น กระบวนการสู้นักเรียนคนที่สองคือปรีชาที่ได้ผลลัพธ์E1 /E2 =82.50/78.50 ไม่ได้ 3.6 ขั้นตอนการทดสอบประสิทธิภาพ เมื่อผลิตสื่อหรือชุดการสอนขึ้นเป็นต้นแบบแล้ว ต้องนำสื่อหรือ ชุดการสอนไปหาประสิทธิภาพตามขั้นตอนต่อไปนี้ 1. การทดสอบประสิทธิภาพแบบเดี่ยว (1:1) เป็นการทดสอบประสิทธิภาพที่ผู้สอน 1 คน ทดสอบ ประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอนกับผู้เรียน 1-3 คน โดยใช้เด็กอ่อน ปานกลาง และเด็กเก่ง ระหว่าง ทดสอบประสิทธิภาพให้จับเวลาในการประกอบ กิจกรรม สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนว่า หงุดหงิด ทำ หน้าฉงน หรือทำท่าทางไม่เข้าใจหรือไม่ ประเมินการ เรียนจากกระบวนการ คือกิจกรรมหรือภารกิจและ งานที่มอบให้ทำและทดสอบหลังเรียน นำคะแนนมาคำนวณหาประสิทธิภาพหากไม่ถึงเกณฑ์ต้องปรับปรุง เนื้อหา การทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน 16
สาระกิจกรรมระหว่างเรียนและแบบทดสอบหลังเรียน ให้ดีขึ้น โดยปกติคะแนนที่ได้จากการทดสอบ ประสิทธิภาพ แบบเดี่ยวนี้จะได้คะแนนต่ำว่าเกณฑ์มาก แต่ไม่ต้อง วิตกเมื่อปรับปรุงแล้วจะสูงขึ้นมากก่อน นำไปทดสอบ ประสิทธิภาพแบบกลุ่ม ทั้งนี้E1 /E2 ที่ได้จะมีค่าประมาณ 60/60 2. การทดสอบประสิทธิภาพแบบกลุ่ม (1:10) เป็นการทดสอบประสิทธิภาพที่ผู้สอน 1 คน ทดสอบ ประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอนกับผู้เรียน 6–10 คน (คละผู้เรียนที่เก่ง ปานกลางกับอ่อน) ระหว่าง ทดสอบประสิทธิภาพให้จับเวลาในการประกอบกิจกรรม สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนว่าหงุดหงิด ทำหน้า ฉงน หรือทำท่าทางไม่เข้าใจหรือไม่ หลังจากทดสอบประสิทธิภาพให้ประเมินการเรียนจาก กระบวนการ คือกิจกรรมหรือภารกิจและงานที่มอบให้ทำ และประเมินผลลัพธ์คือการทดสอบหลังเรียน และงานสุดท้าย ที่มอบให้นักเรียนทำส่งก่อนสอบ ประจำหน่วยให้นำคะแนนมาคำนวณหาประสิทธิภาพ หากไม่ถึงเกณฑ์ ต้องปรับปรุงเนื้อหาสาระ กิจกรรมระหว่างเรียนและแบบทดสอบหลังเรียนให้ดีขึ้น คำนวณหา ประสิทธิภาพแล้วปรับปรุง ในคราวนี้คะแนนของผู้เรียนจะเพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าเกณฑ์โดยเฉลี่ย จะห่างจาก เกณฑ์ประมาณ 10% นั่นคือ E1 /E2 ที่ได้จะมีค่าประมาณ 70/70 3. การทดสอบประสิทธิภาพภาคสนาม (1:100) เป็นการทดสอบประสิทธิภาพที่ผู้สอน 1 คน ทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอนกับผู้เรียนทั้งชั้น ระหว่างทดสอบประสิทธิภาพให้จับเวลาในการ ประกอบกิจกรรม สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนว่า หงุดหงิด ทำหน้าฉงน หรือทำท่าทางไม่เข้าใจ หรือไม่ หลังจากทดสอบประสิทธิภาพภาคสนามแล้ว ให้ประเมินการเรียนจากกระบวนการ คือกิจกรรมหรือ ภารกิจและงานที่มอบให้ทำและทดสอบหลังเรียน นำคะแนนมาคำนวณหาประสิทธิภาพ หากไม่ถึงเกณฑ์ ต้องปรับปรุงเนื้อหาสาระ กิจกรรมระหว่างเรียนและ แบบทดสอบหลังเรียนให้ดีขึ้น แล้วนำไปทดสอบ ประสิทธิภาพภาคสนามซ้ำกับนักเรียนต่างกลุ่ม อาจทดสอบประสิทธิภาพ 2-3 ครั้ง จนได้ค่าประสิทธิภาพ ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ ปกติไม่น่าจะทดสอบประสิทธิภาพ เกินสามครั้ง ด้วยเหตุนี้ขั้นทดสอบประสิทธิภาพ ภาคสนามจึงแทนด้วย 1:100 ผลลัพธ์ที่ได้จากการทดสอบประสิทธิภาพภาคสนามควรใกล้เคียงกัน เกณฑ์ ที่ตั้งไว้หากต่ำจาก เกณฑ์ไม่เกิน 2.5% ก็ให้ยอมรับว่า สื่อหรือชุดการสอนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ หากค่าที่ได้ต่ำกว่าเกณฑ์มากกว่า -2.5 ให้ปรับปรุงและทดสอบประสิทธิภาพภาคสนามซ้ำ จนกว่าจะถึง เกณฑ์ จะหยุดปรับปรุงแล้วสรุปว่า ชุดการสอนไม่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้หรือจะลดเกณฑ์ลง เพราะ “ถอดใจ” หรือยอมแพ้ไม่ได้หากสูงกว่าเกณฑ์ไม่เกิน +2.5 ก็ยอมรับ ว่า สื่อหรือชุดการสอนมี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้หากค่าที่ได้สูงกว่าเกณฑ์เกิน +2.5 ให้ปรับเกณฑ์ขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น เช่น ตั้งไว้80/80 ก็ให้ปรับขึ้นเป็น 85/85 หรือ 90/90 ตามค่าประสิทธิภาพ ที่ทดสอบประสิทธิภาพได้ ตัวอย่าง เมื่อทดสอบหาประสิทธิภาพแล้ว ได้83.5/85.4 ก็แสดงว่าสื่อหรือชุดการสอนนั้นมี ประสิทธิภาพ 83.5/85.4 ใกล้เคียงกับเกณฑ์ 85/85 ที่ตั้งไว้แต่ถ้าตั้งเกณฑ์ไว้75/75เมื่อผลการทดสอบ ประสิทธิภาพเป็น 83.5/85.4 ก็อาจเลื่อนเกณฑ์ขึ้นมาเป็น 85/85 ได้ 17
3.7 การเลือกนักเรียนมาทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน นักเรียนที่ผู้สอนจะเลือกมาทดสอบ ประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน ควรเป็นตัวแทนของนักเรียนที่เราจะนำสื่อหรือชุดการสอนนั้นไปใช้ ดังนั้น จึงควรพิจารณาประเด็นต่อไปนี้ 1. สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพ แบบเดี่ยว (1:1) เป็นการทดสอบประสิทธิภาพ ครู1 คน ต่อ เด็ก 1-3 คน ให้ทดสอบประสิทธิภาพกับ เด็กอ่อนเสียก่อน ทำการปรับปรุงแล้วนำไปทดสอบ ประสิทธิภาพกับเด็กปานกลาง และนำไปทดสอบ ประสิทธิภาพกับเด็กเก่ง อย่างไรก็ตามหากเวลา ไม่ อำนวยและสภาพการณ์ไม่เหมาะสม ก็ให้ทดสอบ ประสิทธิภาพกับเด็กอ่อนหรือเด็กปานกลาง โดย ไม่ต้อง ทดสอบประสิทธิภาพกับเด็กเก่งก็ได้แต่การ ทดสอบประสิทธิภาพกับเด็กทั้งสามระดับจะเป็นการ สะท้อน ธรรมชาติการเรียนที่แท้จริง ที่เด็กเก่ง กลาง อ่อนจะได้ช่วยเหลือกัน เพราะเด็กอ่อนบางคนอาจจะ เก่งใน เรื่องที่เด็กเก่งทำไม่ได้ 2. สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพ แบบกลุ่ม (1:10) เป็นการทดสอบประสิทธิภาพ ที่ครู1 คน ทดสอบประสิทธิภาพกับเด็ก 6–12 คน โดยให้มีผู้เรียนคละกันทั้งเด็กเก่ง ปานกลาง เด็กอ่อน ห้ามทดสอบ ประสิทธิภาพกับเด็กอ่อนล้วน หรือเด็กเก่งล้วน ขณะทำการทดสอบประสิทธิภาพ ผู้สอนจะ ต้องจับเวลา ด้วยว่า กิจกรรมแต่ละกลุ่มใช้เวลาเท่าไร ทั้งนี้เพื่อให้ทุกกลุ่มกิจกรรมใช้เวลาใกล้เคียงกัน โดย เฉพาะการ สอนแบบศูนย์การเรียนที่กำหนดให้ใช้เวลา เท่ากัน คือ 10–15 นาทีสำหรับระดับประถมศึกษา และ 15 – 20 นาทีสำหรับระดับมัธยมศึกษา 3. สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพ ภาคสนาม (1:100) เป็นการทดสอบประสิทธิภาพ ที่ใช้ ครู1 คน กับนักเรียนทั้งชั้น กับนักเรียน 30–40 คน (หรือ 100 คน สำหรับสื่อหรือชุดการสอนรายบุคคล) ชั้นเรียนที่เลือกมาทดสอบประสิทธิภาพจะ ต้องมีนักเรียนคละกันทั้งเก่งและอ่อน ไม่ควรเลือก ห้องเรียนที่ มีเด็กเก่งหรือเด็กอ่อนล้วน สัดส่วนที่ถูกต้องในการกำหนดจำนวนผู้เรียนที่มีระดับความสามารถแตกต่าง กัน ควรยึดจำนวนจาก การแจกแจงปกติที่จำแนกนักเรียนเป็น 5 กลุ่ม คือ นักเรียนเก่งมาก(เหรียญเพชร) ร้อยละ1.37 (1 คน) นักเรียนเก่ง (เหรียญเงิน) ร้อยละ 14.63 (15 คน) นักเรียนปานกลาง (เหรียญเงิน) ร้อยละ68(68 คน) นักเรียนอ่อน (เหรียญทองแดง) ร้อยละ 14.63 (15 คน) และนักเรียนอ่อนมาก (เหรียญ ตะกั่ว) ร้อยละ 1.37 (1 คน) เมื่อยึดการแจกแจงปกติเป็นเกณฑ์กำหนด จำนวนนักเรียนที่จะนำมาทดสอบ ประสิทธิภาพสื่อและ ชุดการสอน ก็จะได้นักเรียนเก่งประมาณร้อยละ16 นักเรียนปานกลางร้อยละ68และ นักเรียนอ่อนร้อย ละ 16 เนื่องจากการทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน ต้องใช้สถานที่ในการจัด กิจกรรมและใช้เวลามากกว่า สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพแบบเดี่ยวและแบบกลุ่ม ควรใช้เวลานอก ชั้นเรียน หรือแยกนักเรียนมาเรียนต่างหากจากห้องเรียน อาจเป็นห้องประชุมของโรงเรียน โรงอาหารหรือ สนามใต้ร่มไม้ก็ได้ส่วนการทดสอบประสิทธิภาพแบบสนาม ควรใช้ห้องเรียนจริงแต่นักเรียนที่ใช้ทดสอบ ประสิทธิภาพ ต้องสุ่มนักเรียนแต่ละระดับมาจากหลายห้องเรียนในโรงเรียนเดียวกันหรือต่างโรงเรียน เพื่อให้ได้สัดส่วนจำนวนตามการแจกแจงปกติในกรณีที่ไม่สามารถหานักเรียนตามสัดส่วน การแจกแจง 18
ปกติได้ ผู้ทดสอบประสิทธิภาพอาจสุ่มแบบเจาะจง โดยใช้ห้องเรียนใดห้องเรียนหนึ่งทำการทดสอบ ประสิทธิภาพ แต่จะต้องระบุไว้ในข้อจำกัดของ การวิจัยในบทนำและนำไปอภิปรายผลในบทสุดท้ายเพราะ ค่าประสิทธิภาพที่ได้แม้จะถึงเกณฑ์ที่กำหนด ก็ถึงอย่างมีเงื่อนไข เพราะกลุ่มตัวอย่างมิได้สะท้อน สัดส่วนที่ แท้จริงตามการแจกแจงปกติ 3.8 ข้อควรคำนึงในการทดสอบประสิทธิภาพ สื่อหรือชุดการสอน เพื่อให้การทดสอบประสิทธิภาพของ สื่อ หรือชุดการสอนได้ผลคุ้ม มีสิ่งที่ผู้ทดสอบประสิทธิภาพ สื่อหรือชุดการสอนควรคำนึงถึง ดังนี้ 1. การเลือกผู้เรียนเข้าร่วมการทดสอบประสิทธิภาพ ควรเลือกนักเรียนที่เป็นตัวแทนของ นักเรียนที่ใช้สื่อหรือชุดการสอน ตามแนวทางการสุ่ม ตัวอย่างที่ถูกต้อง 2. การเลือกเวลาและสถานที่ทดสอบประสิทธิภาพ ควรหาสถานที่และเวลาที่ปราศจากเสียง รบกวน ไม่ร้อนอบอ้าวและควรทดสอบประสิทธิภาพ ในเวลาที่นักเรียนไม่หิวกระหาย ไม่รีบร้อนกลับบ้าน หรือไม่ต้องพะวักพะวนไปเข้าเรียนในชั้นอื่น 3. การชี้แจงวัตถุประสงค์และวิธีการ ต้องชี้แจงให้นักเรียนทราบถึงวัตถุประสงค์ของการ ทดสอบ ประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอนและการจัด ห้องเรียนแบบศูนย์การเรียน หากนักเรียนไม่คุ้นเคย กับ วิธีการใช้สื่อหรือชุดการสอน 4. การรักษาสถานการณ์ตามความเป็นจริง สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพภาคสนามในชั้น เรียนจริง ต้องรักษาสภาพการณ์ให้เหมือนที่เป็นอยู่ในห้องเรียนทั่วไป เช่น ต้องใช้ครูเพียงคนเดียว ห้ามคน อื่นเข้าไปช่วย ผู้สังเกตการณ์ต้องอยู่ห่างๆ ไม่เข้าไปช่วยเหลือเด็ก ต้องปล่อยให้ครูผู้ทดสอบประสิทธิภาพ สอนแก้ปัญหาด้วยเอง หากจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือก็ให้ครูผู้สอนเป็นผู้บอก ให้เข้าไปช่วย มิฉะนั้น การทดสอบประสิทธิภาพสอน ก็ไม่สะท้อนสถานการณ์จริงที่มีคนสอนเพียงคนเดียว 5. ดำเนินการสอนตามขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการทดลองแบบเดี่ยวแบบกลุ่ม และภาคสนาม หลังจากชี้แจงให้นักเรียนทราบเกี่ยวกับสื่อชุดการสอน และวิธีการสอนแล้ว ครูจะต้องดำเนินการสอนตาม ขั้นตอนที่กำหนดไว้ในแต่ละระบบการสอน 1. สำหรับการสอนแบบศูนย์การเรียน ดำเนินตามขั้นตอน 5 ขั้น คือ (1) สอบก่อนเรียน (2) นำเข้าสู่บทเรียน (3) ให้นักเรียนทำกิจกรรม กลุ่ม (4) สรุปบทเรียน (ครูสรุปเองหรือให้นักเรียน ช่วยกันสรุปก็ได้ทั้งนี้ต้องดูตามที่กำหนดไว้ ในแผน การสอน) และ (5) สอบหลังเรียน 19
2. สำหรับการสอนแบบอิงประสบการณ์ มี7 ขั้นตอน คือ (1) ประเมินก่อนเผชิญประสบการณ์ (2) ปฐมนิเทศ (3) เผชิญ ประสบการณ์หลัก ประสบการณ์รอง ตามภารกิจและ งานที่กำหนด (4) รายงานความก้าวหน้าของการเผชิญ ประสบการณ์หลักและรอง (5) รายงานผลสุดท้าย (6) สรุปการเผชิญประสบการณ์และ (7) ประเมิน หลังเผชิญประสบการณ์ 3. สำหรับการสอนทางอิเล็กทรอนิกส์อาจดำเนินตามขั้นตอน 7 ขั้น คือ (1) สอบ ก่อนเรียน (2) ศึกษาประมวลการสอน แผนกิจกรรม และเส้นทางการเรียน (Course Syllabus, Course Bulletin and Learning Route) (3) ศึกษาเนื้อหา สาระที่กำหนดให้แบบออนไลน์บน website หรือออฟ ไลน์ในซีดีหรือ ตำรา คือจากแหล่งความรู้ที่กำหนดให้ (4) ให้นักเรียนทำกิจกรรมเดี่ยว (Individual Assignment) และกิจกรรมกลุ่มร่วมมือ (Collaborative Group) (5) ส่งงานที่มอบหมาย (Submission of Assignment) (6) สรุปบทเรียน (ครูสรุปเอง หรือให้นักเรียนช่วยกันสรุปก็ได้ทั้งนี้ต้องดูตามที่กำหนดไว้ ในแผนการสอน) และ (7) สอบหลังเรียน 4. สำหรับการสอนแบบบรรยาย ดำเนินตามขั้นตอน 5 ขั้น คือ (1) สอบก่อนเรียน (2) นำเข้าสู่บทเรียน (3) ให้นักเรียนำกิจกรรมกลุ่ม (4) สรุปบทเรียน (ครูสรุปเองหรือให้นักเรียนช่วยกัน สรุปก็ได้ทั้งนี้ต้องดูตามที่กำหนดไว้ ในแผนการสอน) (5) สอบหลังเรียน 20
3.9 บทบาทของครูขณะกำลังทดสอบ ประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน 1. บทบาทของครูในขณะทดสอบแบบเดี่ยวและแบบกลุ่ม ในขณะที่กำลังทดสอบประสิทธิภาพสื่อ หรือชุดการสอน ครูควรปฏิบัติดังนี้ 1) ต้องคอยสังเกตและบันทึกพฤติกรรม ของนักเรียนอย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่านักเรียนทำหน้าฉงน เงียบหรือสงสัยประการใด 2) สังเกตและปฏิสัมพันธ์(Interaction Analysis) ของนักเรียน โดยใช้แบบสังเกตปฏิบัติ สัมพันธ์ที่มีผู้พัฒนาขึ้นแล้วเช่น Flanders Interaction Analysis (FIA), Brown Interaction Analysis (BIA), Chaiyong Interaction Analysis (CIA) 3) พยายามรักษาสุขภาพจิต ไม่คาดหวัง หรือเครียดกับความเหน็ดเหนื่อยที่ทุ่มเทในการผลิต ชุดการสอน หรือเครียดกับการเกรงว่า ผลการทดสอบ ประสิทธิภาพจะไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ เกรงว่า จะไม่ได้รับความร่วมมือจากนักเรียน 4) สร้างบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง ครูต้องเป็นกันเองกับนักเรียน เวลาสอบก่อนเรียน ยิ้ม แย้มแจ่มใส สร้างบรรยากาศที่นักเรียนจะแสดงออก เสรีไม่ทำหน้าเคร่งขรึมจนนักเรียนกลัว 5) ต้องชี้แจงว่าการสอบครั้งนี้ไม่มีผล ต่อการสอบไล่ปกติของนักเรียนแต่ประการใด 6) ปล่อยให้นักเรียนศึกษาและประกอบ กิจกรรมจากสื่อหรือชุดการสอนตามธรรมชาติโดยทำ ที ว่า ครูไม่ได้สนใจจับผิดนักเรียน ด้วยการทำทีทำงาน หรืออ่านหนังสือ 7) หากสังเกตว่านักเรียนคนใดมีปัญหา ระหว่างการทดสอบ อย่าให้ความสนใจเป็นพิเศษ แต่ให้ บันทึกพฤติกรรมไว้เพื่อจำมาซักถามและพูดคุยกับนักเรียนในภายหลัง 2. บทบาทของครูภาคสนามกับนักเรียนทั้งชั้น 1) ปฏิบัติตามข้อเสนอแนะที่นำเสนอ ทั้ง 7 ข้อ 2) ครูต้องพยายามอธิบายประเด็นต่างๆ ที่ต้องการจะบอกนักเรียนอย่างชัดเจน 3) เมื่อบอกให้นักเรียนลงมือประกอบกิจกรรมแล้ว ครูต้องหยุดพูดเสียงดัง หากประสงค์จะ ประกาศอะไรต้องรอจนเปลี่ยนกลุ่ม หรือไปพูดกับนักเรียนคนนั้นหรือกลุ่มนั้น ด้วยเสียงที่พอได้ยินเฉพาะ ครูกับนักเรียนครูต้องไม่พูดมากโดยไม่จำเป็น 4) ขณะที่นักเรียนประกอบกิจกรรม ครูจะต้องเดินไปตามกลุ่มต่างๆ เพื่อสังเกตพัฒนาการ ของ นักเรียนดูการทำงานของสมาชิกในกลุ่ม ความเป็น ผู้นำผู้ตามและอาจให้ความช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มใด หรือคนใดที่มีปัญหา แต่ไม่ควรไปนั่งเฝ้ากลุ่มใดกลุ่ม หนึ่งโดยเฉพาะ เพราะจะทำให้นักเรียนอึดอัด เครียด หรือบางคนอาจแสดงพฤติกรรมเขื่องเพื่ออวดครู 5) เมื่อจะให้นักเรียนเปลี่ยนกลุ่ม ครูควรชี้แจงให้นักเรียนเดินช้าๆ ไม่ต้องรีบเร่ง และให้หัวหน้า เก็บสื่อการสอนใส่ซองไว้ให้เรียบร้อยก่อน เปลี่ยนไปกลุ่มอื่นๆ ห้ามหยิบชิ้นส่วนใดติดมือไป ยกเว้น “แบบ ฝึกปฏิบัติ” หรือ “กระดาษคำตอบ” ประจำตัวของนักเรียนเอง 21
6) การเปลี่ยนกลุ่มกระทำได้3 วิธีคือ (1) เปลี่ยนพร้อมกันทุกกลุ่มหากทำกิจกรรมเสร็จ พร้อมกัน (2) กลุ่มใดเสร็จก่อนให้ไปทำงานในกลุ่ม สำรอง (3) หากมี2กลุ่มทำเสร็จพร้อมกันก็ให้เปลี่ยน กันทันที 7) หลังจากการทดสอบประสิทธิภาพสิ้นสุดลง ขอให้แสดงความชื่นชมที่นักเรียนให้ความร่วมมือ และประสบความสำเร็จในการเรียนจากสื่อหรือชุดการสอน 8) หากทำได้ให้แจ้งผลการทดสอบหลัง เรียนให้นักเรียนทราบเพื่อให้ประสบการณ์ที่เป็น ความ สำเร็จ 3.10 สิ่งที่ควรปฏิบัติหลังทดสอบประสิทธิภาพ เมื่อทำการทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน เสร็จแล้ว ครูผู้สอนและสมาชิกในกลุ่มฝึกปฏิบัติผลิตสื่อหรือชุดการสอน ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้ 1. นำผลงานและแบบฝึกปฏิบัติของ นักเรียนมาตรวจ โดยการให้คะแนนกิจกรรมทุกชนิด แล้วหา ค่าเฉลี่ยและทำเป็นร้อยละ 2. นำผลการสอบหลังเรียนมาหาค่าเฉลี่ย และทำเป็นค่าร้อยละ 3. นำผลการสอบก่อนเรียนและหลัง เรียนมาเขียนแผนภูมิเปรียบเทียบเพื่อเป็นส่วนหนึ่ง ของการ บรรยายผลการสอนและจัดนิทรรศการ (หากมี) 4. นำสื่อการสอน ซึ่งมีบัตรคำสั่ง บัตร สรุปเนื้อหา บัตรเนื้อหา บัตรกิจกรรม ภาพชุด ฯลฯ มาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น 3.11 การยอมรับหรือไม่ยอมรับประสิทธิภาพ เมื่อทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอนภาคสนาม แล้วเทียบค่า E1/E 2 ที่หาได้จาก สื่อหรือชุดการสอนกับ E1/E 2 ที่ตั้งเกณฑ์ไว้เพื่อดูว่า เราจะยอมรับ ประสิทธิภาพหรือไม่ยอมรับประสิทธิภาพให้ถือค่าความแปรปรวน 25–5% อาทินั่นคือประสิทธิภาพของ สื่อหรือชุดการสอนไม่ควร ต่ำกว่าเกณฑ์เกิน 5% แต่โดยปกติเราจะกำหนดไว้2.5%อาทิเราตั้งเกณฑ์ ประสิทธิภาพไว้90/90 เมื่อทดสอบประสิทธิภาพแบบ 1:100 แล้ว สื่อหรือชุดการสอนนั้นมีประสิทธิผล 87.5/87.5 เราก็สามารถ ยอมรับได้ว่าสื่อหรือชุดการสอนนั้นมีประสิทธิภาพ การยอมรับประสิทธิภาพของ สื่อหรือชุดการสอนมี3 ระดับ คือ (1) สูงกว่าเกณฑ์ (2) เท่าเกณฑ์ (3) ต่ำกว่าเกณฑ์แต่ยอมรับว่ามีประสิทธิภาพ 22
3.12 ปัญหาจากการทดสอบประสิทธิภาพ การประเมินประสิทธิภาพตามระบบการสอน “แผนจุฬา” ที่ ยึดแนวทางประเมินแบบสามมิติคือ (1) การหาพัฒนาการทางการเรียนคือผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (2) การหาประสิทธิภาพ ทวิผลคือ กระบวนการควบคู่ผลลัพธ์โดยกำหนดค่าประสิทธิภาพเป็น E1 /E2 (Efficiency of Process/ EfficiencyofProducts) เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างผลการเรียนที่ เป็นกระบวนการและผลการเรียนที่เป็นผลลัพธ์และ (3) การหาความพึงพอใจของครูและ ผู้เรียน โดยการประเมินคุณภาพของสื่อหรือชุดการสอนที่มี ผลต่อความพึงพอใจของผู้สอนและผู้เรียน หลังจากเวลาผ่านไปมากกว่า 30 ปีพบปัญหาที่พอ สรุปได้ดังนี้ 1) นักวิชาการรุ่นหลังนำแนวคิดทดสอบ ประสิทธิภาพที่พัฒนาโดย ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์เมื่อพ.ศ. 2516 และได้เผยแพร่อย่างต่อ มาตั้งแต่ พ.ศ. 2520 มาเป็นของตนเอง โดยเขียน เป็น บทความหรือตำราแล้วไม่มีการอ้างอิง มีจำนวน มากกว่าร้อยรายการ ทำให้นิสิตนักศึกษารุ่นหลัง ไม่ทราบ ที่มาของการทดสอบประสิทธิภาพ จึงทำ ให้มีเป็นจำนวนมากที่อ้างว่าเป็นตนเจ้าของทฤษฎีE 1 /E 2 บาง สำนักพิมพ์ได้นำความรู้เรื่องการสอน แบบศูนย์การเรียน ของศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์พรหมวงศ์ ไปพิมพ์ เผยแพร่ ตั้งแต่ พ.ศ. 2539 และมีรายได้มหาศาล โดยไม่อ้างว่า ศาสตราจารย์ดร.ชัยยงค์พรหมวงศ์เป็นผู้ พัฒนาขึ้น 2) นักวิชาการนำ E 1 /E 2 ไปเป็นของ ฝรั่ง เช่น ระบุว่า การหาประสิทธิภาพ E 1 /E 2 เกิด จาก แนวคิด Mastery Learning ของ Bloom 3) นักวิชาการไม่เข้าใจหลักการของ การตั้งเกณฑ์ประสิทธิภาพ เช่น เสนอแนะให้ตั้งเกณฑ์ไว้ ต่ำ (เช่น E 1 /E 2 =70/70) หลังจากตั้งเกณฑ์ไว้ต่ำแล้ว เมื่อหาค่า E 1 /E 2 ได้สูงกว่าก็ประกาศด้วย ความ ภาคภูมิใจว่า สื่อหรือชุดการสอนของตนมีประสิทธิภาพ มากกว่าเกณฑ์ซึ่งที่จริงเป็นเพราะตนเองตั้ง เกณฑ์ไว้ต่ำไปแทนที่จะปรับเกณฑ์ให้สูงขึ้นอันเป็นผลจาก คุณภาพของสื่อหรือชุดการสอน 4) ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของ E 1 และ E 2 ทั้งสองค่าควรได้ใกล้เคียงกัน กล่าวคือ ค่าแปรปรวน หรือแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญที่ระดับ .05 (แตกต่างกันได้ไม่เกิน ±2.5 ของค่า E 1 และ E 2 ซึ่งจะมี ผลทำให้ค่ากระบวนการ E 1 ไม่สูงกว่าค่าผลลัพธ์E 2 เกินร้อยละ 5 5) บางคนเขียนเผยแพร่ใน website ว่า ค่า E 1 ควรมากกว่า E 2 เพราะการทำแบบฝึกหัด หรือ กิจกรรมปรกติจะง่ายกว่าการสอบ ถือเป็นความ เข้าใจที่ไม่ถูกต้อง หากค่า E 1 สูง แสดงว่า กิจกรรมที่ ให้ นักเรียนทำง่ายไป หากค่า E 2 สูงก็แสดงว่าข้อสอบ อาจจะง่ายเพราะเป็นการวัดความรู้ความจำมากกว่า ดังนั้น ครูต้องปรับกิจกรรมให้ตรงตามระดับพฤติกรรม ที่ตั้งไว้ในวัตถุประสงค์ 6) บางคนเปลี่ยน E /E2 เป็น P1 /P2 หรืออักษรอื่น แต่สูตรยังคงเดิม บางคนยังคงใช้E1/E2 แต่ เปลี่ยนสูตร เช่น เปลี่ยน F ในสูตรของ E2 เป็น Y แทนที่จะใช้F และอ้างสิทธิว่าตนเองคิดขึ้น บางคนใช้ E1/E2 พัฒนาสูตรขึ้นใหม่ให้แลดูสลับซับซ้อนขึ้น บางคนนำหา E1 /E2 ไปคำนวณโดยใช้โปรแกรม 23
คอมพิวเตอร์ ทั้งหมดนี้ก็หาได้พ้นจาก การละเมิดลิขสิทธิ์ไปไม่เพราะแนวคิดการประเมินแบบ ทวิผลคือ E1 /E2 เป็นระบบความคิดที่ ศาสตราจารย์ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์พัฒนาขึ้น 7) นักวิชาการบางคนโยงการหาค่า E 1 / E 2 ว่า นำมาจากค่า Standard 90/90 ในความเป็น จริง มาตรฐาน 90/90 เป็นการหาประสิทธิภาพของ บทเรียนแบบโปรแกรม (บทเรียนสำเร็จรูป) ที่มีการ พัฒนาบทเรียนแบบเป็นกรอบหรือ Frame แนวคิด คือ 90 ตัวแรก หมายถึง บทเรียน 1 Frame ต้องมี นักเรียนทำให้ถูกต้อง 90 คน ส่วน 90 ตัวหลัง นักเรียน 1 คน จะต้องทำบทเรียนได้ถูกต้อง 90 ข้อ เรียกว่า มาตรฐาน 90/90 ผู้ที่คิดระบบการประเมินประสิทธิภาพ ของบทเรียนแบบยึด Standard90/90 คือ นักจิตวิทยา ชาวอเมริกันที่พัฒนาบทเรียนแบบโปรแกรม ชื่อ รองศาสตราจารย์ดร.เปรื่อง กุมุท เขียนไว้ใน หนังสือ ของท่าน และอธิบาย 90/90 Standard ว่า “...90 แรกหมายถึง คะแนนเฉลี่ยของทั้งกลุ่ม ซึ่ง หมายถึง นักเรียนทุกคน เมื่อสอนครั้งหลังเสร็จให้คะแนนเสร็จ นำคะแนนมาหาค่าร้อยละเฉลี่ยของกลุ่ม จะต้องเป็น 90 หรือสูงกว่า ….90 ตัวที่สองแทนคุณสมบัติที่ว่า ร้อยละของนักเรียนทั้งหมด ได้รับ ผลสัมฤทธิ์ตามความมุ่งหมายแต่ละข้อ และทุกข้อของบทเรียน โปรแกรมนั้น….” ส่วน E 1 /E 2 เน้นการ เปรียบเทียบผลการ เรียนจากพฤติกรรมต่อเนื่องคือกระบวนการ กับ พฤติกรรมสุดท้ายคือ ผลลัพธ์ ดังนั้น แนวคิดของ E 1 /E จึงมีจุดเน้นต่างกับกัน 90/90 Standard หรือ มาตรฐาน 90/90 ที่เน้นความสัมพันธ์ ของพฤติกรรม สุดท้ายของนักเรียน กับการบรรลุวัตถุประสงค์แต่ละ ข้อและทุกข้อของบทเรียน แม้จะ ใช้90/90 80/80 หากไม่เน้นกระบวนการกับผลลัพธ์ก็จะนำไปแทนค่า E 1 /E 2 ไม่ได้ 4. การประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา การพัฒนาการศึกษาในยุคศตวรรษที่ 21 เน้นการจัดการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ดังนั้น การจัดการศึกษาในปัจจุบันถือว่าเป็นความจำเป็นที่โรงเรียนจะต้องนำเอาหลักวิชาใหม่ๆ การใช้เทคนิค ใหม่ๆ ประดิษฐ์สิ่งใหม่ๆ ที่เป็นอุปกรณ์สำเร็จรูปขึ้นมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อเป็นเครื่องช่วย สอนซึ่งหลักวิชาใหม่ๆเทคนิคใหม่ๆสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆนี้เรียกว่านวัตกรรม (INNOVATION) นวัตกรรมทางการศึกษาที่เหมาะสมสำหรับการนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนให้มี ประสิทธิภาพนั้น ควรเป็นหลักการ แนวคิด วิธีการใหม่ๆ และควรมีการนำเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์มา ปรับใช้ด้วย ซึ่งในการพิจารณานวัตกรรมเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน ควรพิจารณาจาก สภาพความเหมาะสม คุณค่าของการนำไปใช้ โดยมีหลักการพิจารณาตามประเด็นดังต่อไปนี้ 1. นวัตกรรมที่จะนำมาใช้นั้นมีจุดเด่นที่เห็นได้ชัดกว่าวัสดุ อุปกรณ์ หรือวิธีการที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน มากน้อยเพียงใด 2. นวัตกรรมนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่กับระบบหรือสภาพที่เป็นอยู่ 24
3. มีการวิจัยหรือกรณีศึกษาที่ยืนยันแน่นอนแล้วว่า สามารถนำมาใช้ได้ดีในสภาวการณ์ที่ คล้ายคลึงกัน 4. นวัตกรรมนั้นมีความเกี่ยวข้องกับความต้องการของผู้ใช้อย่างจริงจัง 4.1 หลักในการประยุกต์ใช้นวัตกรรมให้สอดรับกับทฤษฎีการเรียนรู้ มีดังต่อไปนี้ ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (LEARNING THEORY : BEHAVIORISM) 1. การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลองผิดลองถูกด้วยตนเองจะเป็นการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในการ แก้ไขปัญหา 2. การวิเคราะห์ผู้เรียนรายบุคคล การสำรวจความพร้อมหรือการสร้างความพร้อมทางการเรียน ให้แก่ผู้เรียนเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องดำเนินการก่อนการเรียนเสมอ 3. หากต้องการให้ผู้เรียนเกิดทักษะในเรื่องใดแล้ว ต้องให้ผู้เรียนมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องนั้น ๆ อย่างถ่องแท้ และให้ผู้เรียนฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ 4. เมื่อผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แล้ว ควรให้ผู้เรียนฝึกนาการเรียนรู้นั้นไปใช้ 5. การให้ผู้เรียนได้รับผลที่น่าพึงพอใจ เช่น การเสริมแรง จะช่วยให้การเรียนการสอนเกิด ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม (COGNITIVE THEORY) 1. ครูควรสร้างบรรยากาศการเรียนที่เป็นกันเอง และมีอิสระที่จะให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นอย่าง เต็มที่ทั้งที่ถูกและผิด เพื่อให้ผู้เรียนมองเห็นความสัมพันธ์ของข้อมูลซึ่งกระบวนการค้นพบการ เรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ดีมีความหมายสำหรับผู้เรียน 2. เปิดโอกาสให้มีการอภิปรายในชั้นเรียน โดยใช้แนวทางต่อไปนี้ – เน้นความแตกต่าง – กระตุ้นให้มีการเดาและหาเหตุผล – กระตุ้นให้ทุกคนมีส่วนร่วม – กระตุ้นให้ใช้ความคิดอย่างรอบคอบ – กำหนดขอบเขตไม่ให้อภิปรายออกนอกประเด็น 3. การกำหนดบทเรียนควรมีโครงสร้างที่มีระบบเป็นขั้นตอน เนื้อหามีความสอดคล้องต่อเนื่องกัน 25
4. คำนึงถึงเจตคติและความรู้สึกของผู้เรียน พยายามจัดกิจกรรมที่กระตุ้นความสนใจของผู้เรียนมี เนื้อหาที่เป็นประโยชน์ ผู้เรียนนาไปใช้ประโยชน์ได้ และควรจัดโอกาสให้ผู้เรียนรู้สึกประสบ ความสำเร็จด้วย 5. บุคลิกภาพของครูและความสามารถในการถ่ายทอด จะเป็นสิ่งจูงใจให้ผู้เรียนมีความศรัทธา ดังจะเห็นแล้วว่าทฤษฎีการเรียนรู้แต่ละทฤษฎีเป็นการวิเคราะห์วิธีการตอบสนองแต่สิ่งเร้า ซึ่งใน ที่นี้ก็คือ สื่อ นวัตกรรมนั่นเอง และครูผู้สอนควรมีการวิเคราะห์หลักสูตร วิเคราะห์เนื้อหาที่นำมาจัดการ เรียนรู้ วิเคราะห์ผู้เรียนเพื่อการจัดการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสมในการพัฒนาทักษะทางปัญญาแก่ผู้เรียน 4.2 ประโยชน์ของการประยุกต์ใช้นวัตกรรมเพื่อการศึกษา 1. ประโยชน์สำหรับผู้เรียน โดยผู้เรียนมีโอกาสใช้ความสามารถของตนเองในการเรียนรู้อย่างเต็มที่ สามารถเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น มีโอกาสตัดสินใจในการเลือกเรียนตามความสามารถของตนเอง อิสระ ในการเลือกสามารถเรียนรู้ในทุกเวลา ทุกสถานที่ ลดเวลาในการเรียนรู้และสามารถเรียนรู้ได้มาก กว่าเดิมในเวลาเท่ากัน 2. ประโยชน์สำหรับผู้สอน ทำให้ประสิทธิภาพของการสอนสูงขึ้น เนื่องจากสามารถจัดกิจกรรมได้ หลากหลาย มีกระบวนการเรียนการสอนที่ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น แต่ลดเวลาในการสอนน้อยลง สามารถสอนเนื้อหาที่กว้างและลึกซึ้งกว่าเดิมได้โดยง่าย การประเมินเป็นระบบที่ชัดเจนยิ่งขึ้น 3. ประโยชน์ต่อการจัดการศึกษา สำหรับประการสุดท้ายนี้เป็นผลที่เลิศที่สุดที่การประยุกต์ใช้ นวัตกรรม เนื่องจากเป็นการส่งผลในระยะยาวสำหรับวงการศึกษา โดยการประยุกต์ใช้ นวัตกรรมสามารถเปิดโอกาสของการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง ทำให้ลดช่องว่างทางการศึกษาให้ น้อยลง สามารถสร้างผู้เรียนที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ทำให้การจัดการและการบริหารเป็น ระบบมากขึ้น ทำให้ลดการใช้งบประมาณและสามารถใช้งบประมาณที่มีอยู่ให้คุ้มค่า สามารถ แก้ปัญหาทางการศึกษาได้หลายประการ 4.3 นวัตกรรมที่นำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน นวัตกรรมที่เหมาะแก่การนำมาประยุกต์ใช้นั้นมีมากมาย หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาการ จัดการเรียนรู้ การวิเคราะห์ผู้เรียน บริบททางการเรียน แล้วนำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ให้เมาะสมก็จะ เกิดประสิทธิภาพสูงสุด นวัตกรรมที่แนะนำในการนำมาประยุกต์ใช้ ได้แก่ นวัตกรรมประเภทวิธีการ เช่น การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน (BLENDED LEARNING) การจัดการเรียนแบบ ACTIVE LEARNING เป็นต้น ประเภทที่สอง นวัตกรรมประเภทสื่อ อุปกรณ์ เช่น ชุดการเรียน บทเรียนแบบ โปรแกรม เครื่องคอมพิวเตอร์ 26
และดังที่ได้กล่าวไปแล้วในเบื้องต้นว่า ปัจจุบันเป็นยุคของการศึกษาด้วยนวัตกรรมทาง เทคโนโลยีดังนั้นคงไม่มีใครปฏิเสธว่า สื่ออิเล็กทรอนิกส์(E-LEARNING MEDIA) เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ เหมาะสมสำหรับการประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนของไทย ดังนั้นจึงขอแนะนำให้รู้จักกับ อิเล็กทรอนิกส์(E-LEARNING MEDIA) โดยคร่าวๆ ดังนี้ E-LEARNING เป็นรูปแบบการเรียนการสอน ซึ่งใช้การถ่ายทอดเนื้อหา ผ่านทางอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซ์ทราเน็ต หรือ ทาง สัญญาณโทรทัศน์ หรือ สัญญาณดาวเทียม โดย E-LEARNING มีคุณลักษณะสำคัญ คือ เป็นบทเรียนที่มี เนื้อหาที่สัมพันธ์กับจุดประสงค์การเรียน ใช้เทคนิควิธีการสอนเพื่อช่วยทำให้เกิดการเรียนรู้ เพิ่มทักษะใหม่ ให้แก่ผู้เรียนหรือเพิ่มความสามารถให้แก่องค์กร ลักษณะสำคัญของ E-LEARNING คือ 1. ANYWHERE, ANYTIME ช่วยขยายโอกาสในการเข้าถึงเนื้อหาการเรียนรู้ของผู้เรียนได้จริงทุกที่ ทุกเวลา 2. Multimedia มีการนำเสนอเนื้อหาโดยใช้ประโยชน์จากสื่อประสมเพื่อช่วยในการประมวลผลได้ดี ขึ้น 3. Non-linear สามารถเข้าถึงเนื้อหาตามความต้องการ 4. Interaction เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาหรือกับผู้อื่นได้ 5. Immediate Response มีการออกแบบให้มีการวัดและประเมินผล ซึ่งให้ผลป้อนกลับโดยทันที – การนำเสนอไฟล์เอกสาร (.DOC, DPF) ผ่านคอมพิวเตอร์ – หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ : E-BOOK – การนำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์ : COMPUTER PRESENTATION – การเรียนรู้ด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์ : ELECTRONIC MEDIA เช่น VIDEO, AUDIO, DIGITAL MEDIA – คอมพิวเตอร์ช่วยสอน : CAI (COMPUTER ASSISTED INSTRUCTION) – คอมพิวเตอร์ช่วยในการอบรม : CBT (COMPUTER BASED TRAINING) – เว็บช่วยสอน : WBI (WEB BASED INSTRUCTION) – เว็บช่วยในการอบรม : WBT (WEB BASED TRAINING) 27
– ระบบบริหารจัดการเนื้อหาบนเว็บไซต์ : CMS (CONTENT MANAGEMENT SYSTEM) – ระบบบริหารจัดการการเรียนการสอนออนไลน์ : LMS (LEARNING MANAGEMENT SYSTEM) – ระบบบริหารจัดการองค์ความรู้ในองค์กร : KMS (KNOWLEDGE MANAGEMENT SYSTEM) – ห้องเรียนเสมือน : VIRTUAL CLASSROOM – LEARNING OBJECT รูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วย E-LEARNING สำหรับการจัดการเรียนรู้ด้วย E-LEARNING นั้น สามารถจัดได้หลายรูปแบบ เช่น 1. สื่อการเรียนรู้ E-LEARNING จำแนกตามระบบการเชื่อมโยงข้อมูลได้ 2 ชนิด คือ 1.1 ชนิด STAND ALONE หมายถึง สื่อ E-LEARNING แบบปิด (OFFLINE) ที่สามารถแสดง ผลได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์บุคคลเครื่องใด ๆ โดยที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับเครื่องอื่นๆ 1.2 ชนิด ONLINE หมายถึง สื่อ E-LEARNING แบบเปิดที่สามารถแสดงผลได้โดยเครื่อง คอมพิวเตอร์อื่นๆ ที่มีระบบใกล้เคียงกันโดยมีการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายรวมกัน ซึ่งอาจเป็นระบบเครือข่าย ภายใน (LAN) หรือระบบอินเตอร์เน็ต ก็ได้ 2. สื่อการเรียนรู้ E-LEARNING จำแนกตามลักษณะวิธีการสื่อสารได้ 2 ชนิด คือ 2.1 ชนิดสื่อสารทางเดียว (ONE-WAY COMMUNICATION) คือ การสื่อสารในลักษณะที่ไม่เปิด โอกาสให้ผู้รับสารได้โต้ตอบกลับ สื่อชนิดนี้ ได้แก่ สื่อชนิด E-BOOKS ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวที่เน้น การให้ข้อมูล 2.2 ชนิดสื่อสารสองทาง (TWO-WAY COMMUNICATION) คือ การสื่อสารที่มีทั้งให้และรับ ข่าวสารระหว่างกัน โดยที่แต่ละฝ่ายเป็นทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสาร มีการโต้ตอบให้ข้อมูลย้อนกลับไปมา สื่อ ชนิดนี้ ได้แก่บทเรียน CAI ชนิดที่มีปฏิสัมพันธ์หรือระบบจัดการบทเรียน (LMS) 3. สื่อการเรียนรู้ E-LEARNING จำแนกตามระดับการใช้งานได้ 3 ชนิด คือ 3.1 SUPPLEMENTARY เป็นเพียงสื่อประกอบบางบทเรียนที่ครูคัดลอกเนื้อหาจากแบบเรียนไป บรรจุไว้ในอินเตอร์เน็ตแล้วแนะนำให้ผู้เรียนไปเปิดดู 3.2 COMPLEMENTARY มีการกำหนดเนื้อหาให้ศึกษา สืบค้นจากสื่ออิเล็คทรอนิคส์หรือ WEBSITE 28
3.3 COMPREHENSIVE REPLACEMENT เป็นสื่อใช้ทดแทนการเรียนการสอน หรือ การ บรรยายในชั้นเรียน ข้อคิดเกี่ยวกับการใช้ E-LEARNING ร่วมในบริบทการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียน – ครูควรวางแผนว่า จะทำอย่างไรจึงให้ห้องเรียนเป็นที่เหมาะสมที่จะก่อให้เกิดการเรียนรู้ได้ดี ที่สุด จะเชื่อมโยงทักษะคอมพิวเตอร์เข้าสู่หลักสูตรได้อย่างไร คิดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ไม่ใช่คิดกิจกรรม ต่าง ๆ เพื่อเข้าไปใช้เทคโนโลยี – สิ่งที่สำคัญ คือ ต้องเน้นว่าประสิทธิภาพการเรียนรู้นั้นเป็นเรื่องของกระบวนการหรือวิธีการไม่ใช่ เน้นเครื่องมือ และหากครูผลิตหรือเลือกใช้สื่อเทคโนโลยีอย่างมีคุณภาพ ตรงตามเนื้อหาและสภาพผู้เรียน จะช่วยเสริมบรรยากาศหน้าชั้นเรียนของครูได้เป็นอย่างดี จะเห็นได้ว่าจากการนำนวัตกรรมประเภทสื่ออิเล็กทรอนิกส์มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการ สอน นอกจากจะเกิดการพัฒนาประสิทธิภาพและประสิทธิผลทางการเรียนรู้แล้ว การพัฒนาศักยภาพ ทางด้านการใช้สื่อเทคโนโลยีก็เป็นอีกหนึ่งประโยชน์ที่ได้รับจากการนำนวัตกรรมไปประยุกต์ใช้ในการเรียน การสอน จากสาระความรู้ เรื่อง การประยุกต์ใช้นวัตกรรมในการเรียนการสอนจะเห็นได้ว่า การ เปลี่ยนแปลงรูปแบบการศึกษาในแต่ละยุคสมัย มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร แนวคิด วิธีการ จัดการเรียนการสอน รวมถึงสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยีก็มีการเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับยุคสมัย และนโยบายการจัดการศึกษาด้วย ดังนั้น ในบทบาทของครูผู้รับหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกในการ เรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องก้าวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง มี การศึกษา พัฒนาทั้งตนเอง องค์กร เพื่อการสนับสนุนส่งเสริมผู้เรียนให้มีทักษะ คุณลักษณะในการ เรียนรู้ ประพฤติปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมกับรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ตาม รูปแบบการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 นั่นเอง 29
บรรณานุกรม กิดานันท์ มลิทอง.(2540 : 245). นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์อรุณการพิมพ์. ชัยยงค์ พรหมวงศ์. (2520). ระบบสื่อการสอน. สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 135-143. ทิศนา แขมมณี. (2552). รูปแบบการเรียนการสอนทางเลือกที่หลากหลาย. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทิยาลัย. มาเรียม นิลพันธุ์, ศิริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย. (2558 : 54-56). สมชาย นําประเสริฐชัย. (2556:47). การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21. สุธาศินีสีนวนแก้ว , กานดา ศรอินทร์. (2552). การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อการศึกษา. วารสารวิทยบริการ, 20(2), 110-111.