เปตอง
ประวัติเปตอง เปตองเป็นกีฬากลางแจ้งประเภทหนึ่งซึ่งมีมา ตั้งแต่ดึกดำ บรรพ์ ประวัติที่แน่นอนนั้นไม่มีการ บันทึกไว้ แต่มีหลักฐานจากการเล่าสืบต่อ ๆ กัน มาว่า กำ เนิดขึ้นครั้งแรกในประเทศกรีซ เมื่อ ประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยเก็บก้อน หินที่เป็นทรงกลมจากภูเขาและใต้ทะเลมาเล่นกัน ต่อมากีฬาเปตองได้แพร่หลายเข้ามาในทวีป ยุโรป เมื่ออาณาจักรโรมันครองอำ นาจและเข้า ยึดครองดินแดนของชนชาวกรีกได้สำ เร็จ ชาว โรมันได้ใช้กีฬาประเภทนี้เป็นเครื่องทดสอบกำ ลัง ข้อมือและกำ ลังกายของผู้ชายในสมัยนั้น เมื่ออาณาจักรโรมันเข้ายึดครองดิน แดนชาวโก ลหรือประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบัน ชาวโรมันก็ได้ นำ เอาการเล่นลูกบูลประเภทนี้เข้าไปเผยแพร่ ทางตอนใต้ของประเทศ ฝรั่งเศส การเล่นลูกบูล จึงได้พัฒนาขึ้นโดยเปลี่ยนมาใช้ไม้เนื้อแข็งถาก เป็นรูปทรงกลม แล้วใช้ตะปูตอกรอบ ๆ เพื่อเพิ่ม น้ำ หนักของลูกให้เหมาะกับมือ
ในยุคกลาง การเล่นลูกบูลนี้เป็นที่นิยมเล่นกัน แพร่หลายในประเทศฝรั่งเศส ในสมัยพระเจ้านโป เลียนมหาราชขึ้นครองอำ นาจ พระองค์ได้ทรง ประกาศให้การเล่นลูกบูลนี้เป็นกีฬาประจำ ชาติ ของฝรั่งเศส และเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้ เล่นกัน การเล่นลูกบูลนี้จึงได้มีการพัฒนาขึ้น เรื่อย ๆ ตลอดมา จนมีการตั้งชื่อเกมกีฬาประเภท นี้ขึ้นมาเล่นอย่างมากมายต่าง ๆ กัน เช่น บูลเบรรอตรอง, บูลลิโยเน่ส์, บูลเจอร์ เดอร์ลอง และบลู- โปรวังซาล เป็นต้น ในที่สุดก็ฝรั่งเศสได้มีการก่อตั้ง “สหพันธ์ เปตองและโปรวังซาล” ขึ้นในปี พ.ศ. 2481 (ค.ศ. 1938) จากนั้นจำ นวนสมาชิกก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มี บุคคลทุกระดับชั้นทุกเพศ ทุกวัยเข้าเป็นสมาชิก ลูกบูลที่ใช้เล่นก็มีการคิดค้นทำ เป็นลูกโลหะผสม เหล็กกล้า ข้างในกลวง การเล่นจึงมีความ สนุกสนานเร้าใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม หลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 การเล่นกีฬาลูกบูล-โปรวังซาลที่ได้ ดัดแปลงแก้ไขใหม่นี้ได้รับความนิยมเล่น มากขึ้น และได้แพร่หลายไปตามหัวเมืองต่าง ๆ อย่าง รวดเร็วทั่วประเทศฝรั่งเศส ตลอดจนถึงดินแดน อาณานิคมของฝรั่งเศสอีกด้วย
กีฬาเปตองได้เริ่มเข้ามาในประเทศไทยเมื่อ ปี 2518 โดยการริเริ่มของนายจันทร์ โพยหาญ นำ กีฬาเปตองเข้ามาเผยแพร่ให้คนรู้จัก อย่างเป็น ทางการคนแรก นายจันทร์ โพยหาญได้ร่วมกับ นายศรีภูมิ สุขเนตร ซึ่งเป็นอดีตนักเรียนเก่า ฝรั่งเศส ซึ่งมีความรู้ความสามารถในด้านกีฬา เปตองเป็นอย่างดี ได้ร่วมกันจัดตั้งสมาคม เปตอง และโรปวังซาล แห่งประเทศไทย ขึ้นเมื่อ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2519 โดยมีนายศรีภูมิ สุข เนตร เป็นนายกสมาคมคนแรกเมื่อจัดตั้งสมาคม เรียบร้อยแล้ว คณะกรรมการได้ช่วยกันรณรงค์ เผยแพร่ และสาธิตการเล่นเปตองมาโดยตลอด แต่ไม่ได้รับความสำ เร็จเท่าที่ควร ประวัติเปตอง ในประเทศไทย
ต่อมาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชนนีทรง ช่วยส่งเสริม และเผยแพร่ให้อีกทางหนึ่ง โดย ทรงรับสั่งให้จัดการแข่งขันเปตองชิงชนะเลิศ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือขึ้น ซึ่งพระองค์ท่านและ สมเด็จพระพี่นางเอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนาฯ ทรงได้ ลงร่วมทำ การแข่งขันในครั้งนี้ด้วย และอีกหลาย ๆ รายการจึงให้สมญานามกีฬาเปตองว่า “กีฬา สมเด็จย่า” ในปี 2527 สมเด็จพระศรีนครินทราบ รมราชชนนี ทรงพระกรุณา โปรดเกล้า ฯ รับ สมาคมเปตองและโปรวังซาล แห่งแระเทศไทย ไว้ในพระอุปถัมภ์ และวันที่ 22 เมษายน 2530 เปลี่ยนชื่อสมาคมเปตองฯ เป็นสหพันธ์เปตอง แห่งประเทศไทยในพระอุปถัมภ์ สำ นักงานตั้งอยู่ ที่ 2088 อินเดอร์สเตเดี้ยม หัวหมาก กรุงเทพฯ ปัจจุบันกีฬาเปตอง มีการบรรจุเข้าในการ แข่งขันกีฬา ของส่วนราชการต่าง ๆ รวมทั้งภาค เอกชนด้วย เช่น กีฬาแห่งชาติ กีฬาเขตการ ศึกษา กีฬากองทัพไทย กีฬามหาวิทยาลัย กีฬา ของกระทรวงต่าง ๆ กีฬารัฐวิสาหกิจ เป็นต้น
1.แบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ฝ่ายเท่า ๆ กัน ตั้งแต่ 1-3 คน 2. เริ่มด้วยการเสี่ยงทาย เพื่อเลือกว่าฝ่ายใดเป็น ผู้เริ่มเริ่มก่อน 3. ฝ่ายที่ชนะการเสี่ยงทายจะเป็นฝ่ายเริ่มเล่น ก่อน โดยผู้เล่นเลือกจุดเริ่มต้นเขียนวงกลมลง บนพื้นสนาม มีเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 35-50 เซนติเมตร แต่ต้องห่างจากเส้นเขตสนามหรือสิ่ง กีดขวางต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า 1 เมตร กติกาเปตองและ วิธี วิธี การเล่นเปตอง
4. เมื่อเขียนวงกลมแล้ว ฝ่ายที่ชนะการเสี่ยงจะ ต้องเข้าไปยืนอยู่ในวงกลม แล้วโยนลูกเป้าให้ ห่างออกไปจากจุดเริ่มต้นไม่น้อยกว่า 6-10 เมตร ถ้าโยนไม่ได้ระยะที่กำ หนดผู้โยนจะต้องโยนใหม่ หากครบ 3 ครั้งแล้วยังไม่ได้ตามกติกาต้อง เปลี่ยนให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้โยนลูกเป้าแทน และ มีสิทธิโยนได้ 3 ครั้งเหมือนกัน 5. เมื่อโยนลูกเป้าได้ถูกต้องแล้ว ฝ่ายที่ชนะการ เสี่ยงจะเป็นฝ่ายโยนลูกเปตองให้ไปอยู่ใกล้ลูก เป้ามากที่สุด ขณะโยนเท่าทั้งสองข้างต้องอยู่ ภายในวงกลม ห้ามเหยียบเส้น ห้ามยกเท้า และ ต้องคอยให้ลูกตกถึงพื้นก่อน จึงจะออกจาก วงกลมได้ 6. หากฝ่ายใดโยนลูกเปตองหมดก่อน อีกฝ่ายที่ มีลูกเปตองเหลือ ก็จะต้องโยนลูกที่เหลือจนหมด และต้องพยายามให้ลูกเปตองขอฝ่ายตนเข้าใกล้ ลูกเป้ามากที่สุด เพื่อจะได้คะแนนมาก ๆ
ให้นับเมื่อทั้งสองฝ่ายโยนลูกเปตองหมดในแต่ละ เที่ยว ลูกของฝ่ายใดอยู่ใกล้ลูกเป้ามากที่สุด ฝ่าย นั้นจะได้ลูกละ 1 คะแนน ฝ่ายที่ชนะคือฝ่ายที่ทำ คะแนนถึงเกมส์ที่กำ หนดก่อน คือ 11 คะแนน ส่วนในรอบชิงชนะเลิศให้เพิ่มเป็น 13 คะแนน หงายมือวางลูกบูลลงไปในอุ้มมือในท่าที่ สบาย (รูปที่1) หรือคว่ำ มือจับลูก (รูปที่2) ทั้งนี้จะจับแบบใดก้ได้แต่ความถนัดของ แต่ละบุคคล ก่อนโยนลูกให้คว่ำ มือลงดังรูปที่ 3,4,5,6 เหตุ ที่ต้องคว่ำ มือเพราะจะสามารถบังคับลูกให้ไป ตามทิศทางที่เราต้องการได้ไม่ว่าลูกที่ปล่อย ไปนั้นเป็นลูกเข้าหรือลูกตี ก่อนโยนให้หักข้อมือลง และม้วนเข้าหาข้อมือ ในจังหวะสุดท้าย ที่จะปล่อยลูกให้ใช้อุ้งมือส่ง ลูกออกไป โดยใช้ปลายนิ้วบังคับลูก หลักการบังคับลูกเปตอง 1. 2. 3. 4. 5. 6. การนับคะแนน วิธี วิธี การจับลูกเปตอง
นักเปตองที่ฝึกหัดใหม่ มักจะประสบปัญหาเกี่ยว กับการบังคับลูกเปตองอย่างมาก สาเหตุอาจมา จากการฝึกที่ผิด หรือการไปจำ วิธีการผู้อื่นแล้ว นำ มาฝึกอย่างผิด โดยขาดการแนะนำ หรือจาก การฝึกที่ฝืนธรรมชาติของตนเอง การฝึกการ บังคับลูก ไม่ว่าจะเป็นลูกเข้าหรือลูกตี ลูกหมุน ซ้าย หมุนขวา หรือลูกสกรู (ลูกหมุนกลับหลัง) ปลายนิ้วมือและข้อมือมีส่วนสำ คัญเป็นอย่างมาก ในการบังคับลูก การเข้าลูกบูล ถือเป็นหัวใจสำ คัญของการเล่น เปตอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยากพอสมควร มีหลัก การเข้าลูกดังนี้ หลักการเข้าลูกบูล ใช้ความสังเกต และจดจำ ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิด ขึ้นกับตนเอง และคู่ต่อสู่ ศึกาพื้นสภาพที่ใช้ฝึก หรือแข่งขัน ว่ามีสภาพ เป็นเช่นไร แข็ง เรียบ ขรุขระ ฯลฯ หาจุดตก เพื่อจะได้คำ นวณน้ำ หนักมือที่จะส่ง ลูก ให้พอเหมาะกับระยะ ไม่ควรโยนลูกออกจากมือ ถ้าสมาธิยังไม่ดีพอ 1. 2. 3. 4.
นอกเหนือจาก 4 ประการนี้แล้ว สิ่งที่อาจทำ ให้ การเข้าลูกไม่ดีเท่าที่ควรก็คือ ลูกบูลน้ำ หนักและ มือไม่สมดุลกัน การเข้าลูกมี 2 ลักษณะ คือ นั่ง กับยืน ไม่ว่าจะเป็นการนั่งหรือยืน เท้าทั้งสอง ข้างจะต้องอยู่ในวงกลม ไม่เหยียบกัน และไม่ยก เท้าในขณะโยนลูก นอกเหนือจาก 4 ประการนี้แล้ว สิ่งที่อาจทำ ให้ การเข้าลูกไม่ดีเท่าที่ควรก็คือ ลูกบูลน้ำ หนักและ มือไม่สมดุลกัน การเข้าลูกมี 2 ลักษณะ คือ นั่ง กับยืน ไม่ว่าจะเป็นการนั่งหรือยืน เท้าทั้งสอง ข้างจะต้องอยู่ในวงกลม ไม่เหยียบกัน และไม่ยก เท้าในขณะโยนลูก ลักษณะการนั่งเข้าลูก นั่งบนส้นเท้า มีเท้านำ และ เท้าตาม เขย่งส้นเท้าขึ้น และเท้าทั้งสองต้องอยู่ ในวงกลมไม่เหยียบเส้น ยืนเข้าแบบเท้าคู่ลักษณะการยืนเข้า หรือการตี ลูก ยืนเท้าคู่ หรือแบบมีเท้านำ ก็ได้แล้วแต่ความ ถนัด ของแต่ละบุคคล แต่ถ้าถนัดโยนลูก , ตีลูก ด้วยมือขวา ควรยืนเท้าขวานำ เล็กน้อย เพื่อ ให้การทรงตัวมีฐานที่มั่นคง
1.การโยนลูกระยะใกล้ (ลูกไลน์) การโยนลูกระยะ ใกล้ (ลูกไลน์) เป็นการโยนลูกให้ตกตั้งแต่จุดโยน หรือไม่เกิน 3 เมตร จากจุดโยน ใช้แรงเหวี่ยง จากแขน ข้อมือ และปลายนิ้วส่งลูก ระยะทางที่ลูก บูลวิ่งเข้าหาเป้าจะมีระยะทางไกลทิศทางของลูก บูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายตามลักษณะ ของพื้นสนามการโยนลูกนี้เหมาะสำ หรับสนาม เรียบเท่านั้น 2. การโยนลูกระยะกลาง (ฮาฟดร๊อป) การโยนลูก ระยะกลาง (ฮาฟดร๊อป) เป็นการโยนลูกให้ตก เกือบกึ่งกลางระหว่างจุดเริ่มกับลูกเห้าต้องโยน ลูกให้สูงกว่าการโยนลูกระยะใกล้ และทุกลูกที่ โยนออกไปต้องเป็นลูกที่หมุนกลับหลัง (ลูกสกรู) ข้อสำ คัญของการโยนลูกคือ จุดตก การโยนลูกนี้ เหมาะสำ หรับพื้นสนามที่ไม่เรียบ เป็นหลุม พื้น สนามแข็ง ขระขระ หรือ จุดตกของการปล่อยลูก ระยะใกล้เป็นหลุมไม่สามารถหาจุดตกได้ วิธีการเข้าลูกมีอยู่ 3 แบบ คือ วิธี วิธี การเข้าลูก
3.การโยนลูกโด่ง (ดร๊อฟ) การโยนลูกโด่งต้อง โยนให้สูงกว่าลูกระยะกลาง และต้องให้ลูกหมุน กลับหลัง (สกรู) มากกว่า โดยใช้ปลายนิ้วสกรูลูก ไม่ใช่เป็นการกระดกข้อมูล การโยนลูกนี้จุดตกมี ความสำ คัญมาก ลูกนี้เหมาะสมกับพื้นสนามที่ไม่ เรียบ เปียกแฉะ เป็นหลุมเป็นบ่อ ต้องโยนให้ เกือบถึงลูกเป้า ห่างจากลูกเป้า ประมาณ 50- 100 ซม. ทั้งนี้ต้องแล้วแต่พื้นสนาม ในการ แข่งขันระดับโลกส่วนใหญ่จะใช้โยนลูกลักษณะนี้ เพราะสนามแข่งขันเป็นหินเกร็ด วิธีที่ 1 ให้เขียนวงกลมเป็นเป้าหมายซ้อนกัน หลาย ๆ วง วงในสุดมีเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 20 ซม. วงนอกต่อ ๆ มาห่างกันวง ละ 10-15 ซม. กำ หนดคะแนนวงในให้ 5 คะแนน วงต่อ ๆ มาเป็น 4,3,2,1 ตามลำ ดับ แล้วฝึกเข้าลูกจากระยะ 6 เมตร 6,5,7,7.5 ไป เรื่อย ๆ จนถึง 11 เมตร ฝึกโยนทุกระยะ ระยะ ละ 40-50 ลูก แล้วจดบันทึกคะแนนแต่ละระยะ ไว้เพื่อเปรียบเทียบถึงความบกพร่อง ระยะใด ที่มีความบกพร่องมากก็ให้ฝึกระยะนั้นมาก ขึ้น วิธี วิธี การฝึกเข้าลูก
วิธีที่ 2 ให้เขียนสี่เหลี่ยมมีลูกเป้าอยู่ใน สี่เหลี่ยมในสุด ซึ่งมีรัศมี 20 ซม. จากนั้นให้ทำ สี่เหลี่ยมซ้อนไปเรื่อย ๆ เส้นห่าง 5-10 ซม. กำ หนดคะแนน 5,4,3,2,1 ตามลำ ดับ ในแต่ละ เส้นล่างของสี่เหลี่ยมจะมีลูกบูลอยู่โดยวาง แบบสลับฟันปลา กำ หนดจุดในการฝึก เหมือนวิธีที่ 1 ระยะใดบกพร่องก็ให้ฝึกระยะ นั้นมาก ๆ วิธีที่ 3 การฝึกเข้าเหมือนแบบที่ 1 แต่เพิ่มลูก บูลดักไว้ ถ้าเข้าถูกลูกบูลที่วางไว้ถือว่าฟาวล์ ตองติดลบคะแนน ฝึกให้ชำ นาญ วิธี วิธี การฝึกตีลูก การตีลูกเป็นส่วนสำ คัญของการเล่นเปตองอีก ประการหนึ่ง เมื่อไม่สามารถเข้าลูกให้ชนะคู่ต่อสู้ ได้ ต้องอาศัยการตีลูกเพื่อให้ลูกของคู่ต่อสู้ออก จากจุดที่ตั้งอยู่ ผู้เล่นที่ฝึกหัดใหม่มักเผชิญต่อ ความยากลำ บากในการตีและบังคับลูก สาเหตุ อาจมาจากข้อบกพร่องดังนี้
ผู้เล่นจับลูกไม่ถูกวิธี และขาดสมาธิ ผู้เล่นอาจตีลูกช้า หรือเร็วเกินไป การประสานงานของแรงตีลูกไม่ถูกจังหวะ การวางตัว และวางเท้าผิดจากความถนัด ของตนเอง แขนงอ หรือแกว่งขณะตีลูก ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ขาดการฝึกซ้อมหรือเว้นระยะการฝึกซ้อม นานเกินไป ลูกเปตอง (ลูกบูล) มีขนาดและน้ำ หนักไม่สมดู ลกัน 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. แต่ถ้าผู้ฝึกพบว่าสาเหตุต่าง ๆ ของการตีเกิดขี้น เพราะสาเหตุใด หรือหลายสาเหตุ ให้แก้ไข ดัดแปลงวิธีการฝึกทีละขั้นแต่ต้องจับ และวางลำ ตัว เท้าให้ถูกต้อง โดยอาศัยแรงจาก 3 แหล่ง ใหญ่ คือ แรงตีที่เกิดจากการเหวี่ยงของแขน แรงตีที่เกิดจากการดีดตวัดข้อมือและนิ้วมือ แรงตีที่เกิดจากำ ลังขาทั้งสองข้าง โดยการ ย่อเข่าช่วยเล็กน้อย วิธีการฝึกตีลูก วิธีที่ 1 การตีลูกเลียด (ตีไลน์) เป็นการตีลูกลักษณะเกี่ยวกับการเข้าลูกระยะ ใกล้ แต่ใช้ความแรงมากกว่า และเหมาะ สำ หรับพื้นสนามเรียบเท่านั้นทิศทางของลูกที่ ตีไปหาความแน่นอนไม่ได้ หากมีลูกของฝ่าย ตรงข้ามหรือของตนขวางหน้า ก็ไม่สามารถ ตีลูกลักษณะนี้ได้ 1. 2. 3. 4.
กำ ลังแขน ผู้เล่นจะต้องมีการใช้กำ ลังทั้งนิ้ว มือ ข้อมือ ข้อศอก และหัวไหล่ให้สัมพันธ์กัน เพื่อการบังคับลูกให้ได้จังหวะ และระยะที่ ต้องการ กำ ลังขา เท่าที่สถิติโดยประมาณจากการ แข่งขันระดับชาตินั้น ผู้เล่นจะต้องเดินกลับไป กลับมาตามความยาวของสนาม คือ 15 เมตร และความกว้างของสนามคือ 4 เมตร ในระยะ 2 ชั่วโมงต่อ 1 เกม (13 คะแนน) ในระหว่างนั้น อาจจะนั่งหรือนั่งงอเข่าเพื่อ “วางหรือเข้าลูก” หรืออาจจะยืนเพื่อ “ยิงหรือตีลูก” ถ้านักกีฬา ไม่ฝึกฝนอย่างสม่ำ เสมอแล้วจะทำ ให้เกิด ความเมื่อยล้า สายตา กีฬาเปตองช่วยให้เกิดการทำ งานที่ สัมพันธ์กันระหว่างสายตา และมือ เนื่องจาก ต้องใช้สายตากะระยะทาง พิจารณาแง่มุม ทิศทางการเข้า – ตี หรือโยนลูกเพื่อให้ได้ ประสิทธิภาพตามต้องการ ประโยชน์ของเปตอง พัฒนาทางด้านร่างกาย
กีฬาเปตอง เป็นเกมการเล่นที่จำ เป็นต้องอาศัย การคิด การคาดคะเน การคำ นวณ การอ่านเกม และการเล่นอย่างจริงจัง ซึ่งถ้าเล่นผิดพลาด แม้แต่ลูกเดียวก็อาจจะทำ ให้ทีมแพ้ได้ทันที แต่ใน ขณะเดียวกันนอกจากการคิดหาวิธีการเล่น “เกม รุก” เพื่อเป็นการบังคับคู่ต่อสู้ที่เหนือกว่าเพื่อ “พลิกเกม” การเล่นไม่ให้เป็นฝ่ายที่เสียเปรียบคู่ ต่อสู้ กีฬาเปตองเป็นกีฬาที่ต้องร่วมเล่น “เป็นทีม” ในบางครั้ง ฉะนั้นวิธีการเล่นจะต้องเข้าถึง จิตใจผู้ร่วมทีมเป็นอย่างยิ่ง ในระหว่างการ เล่น ถ้ามีการต่อว่ากันแม้แต่เพียงครั้งเดียวก็ อาจทำ ให้ทีมเป็นฝ่ายแพ้ได้ทันที เพราะจะ ทำ ให้ความนึกคิดหรือจิตใจเกิดความขัดแย้ง กันขึ้นอันเป็นผลทำ ให้การเล่นเล่นได้อย่างไม่ เต็มประสิทธิภาพของตน นอกจากนี้ยังช่วยให้ได้รู้จักเป็นบุคคลที่ ยอมรับฟังความคิดเห็น และเหตุผลของผู้ ร่วมทีมในกรณีที่ต้องการปรึกษาวางแผน ร่วมกันในระหว่างการแข่งขัน เพื่อเอาชนะคู่ ต่อสู้ พัฒนาทางด้านสติปัญญา พัฒนาทางด้านจิตใจ
การเล่นเปตองนั้น สมาธิเป็นสิ่งที่สำ คัญอย่างยิ่ง สำ หรับนักกีฬา ไม่ว่าจะเล่นประเภทเดี่ยวหรือ ประเภททีม ผู้เล่นจะต้องฝึกการวางเฉยให้ได้ ต้องไม่วิตกกังวลมากกเกินไป ไม่ท้อถอย ไม่ตั้ง ความหวังมากเกินไป และที่สำ คัญต้องไม่ใส่ใจ เสียงของผู้ชมรอบข้างสนาม ไม่ว่าจะเป็นเสียง เชียร์เสียงข่มขวัญ หรือแม้แต่เสียงสอนเกมการ เล่น เพราะจะทำ ให้เกิดความสับสน ไม่แน่ใจเพราะ ขาดสมาธิ อันจะมีผลโดยตรงต่อฝีมือของตนเอง ในการเล่น เปตอง กีฬาเปตอง เป็นกีฬาที่เล่นง่ายในสายตาของ คนไทย ฉะนั้นจึงมีผู้นิยมเล่นกันอย่างแพร่ หลายและเป็นจำ นวนมาก จะเห็นได้ว่ามีการ จัดการแข่งขันกีฬาเปตองตามหน่วยงาน ต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อจะได้มา พบปะสังสรรค์กัน ได้รู้จักกันและร่วม สนุกสนานสามัคคีกัน นับเป็นการสร้างสังคม อันดีแก่นักกีฬาที่มาร่วมการแข่งขันโดย แท้จริง นอกจากนั้น กีฬาเปตองยังได้เข้ามามี บทบาทในทางการกุศลตลอดมาในปัจจุบัน พัฒนาทางด้านสมาธิ พัฒนาทางด้านสังคม
นี่เป็นเพียงประโยชน์ส่วนหนึ่งของกีฬาเปตอง ถ้าท่านผู้อ่านอยากทราบถึงประโยชน์ที่แท้จริง ซึ่งมีอีกหลายประการ หรือสนใจ เชิญพิสูจน์ได้ ด้วยตัวเอง ณ ที่สนามแข่งขันเปตองทุกแห่งทั่ว ประเทศไทย และประการสำ คัญท่านต้องเข้าใจ กติกาเปตองสากลด้วย แล้วท่านจะได้รับความ สนุกความเพลิดเพลินเกินที่ท่านคาดไว้
จัดทำ โดย นาย เจษฎา จิตรแหง ม.5/1 เลขที่12 วิช วิ า พละศึกษา อาจารย์ผุ้สอน คุณครู กิตติ รักรวี