The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ธวัชชัย บำรุงเชื้อ, 2022-12-05 02:34:06

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

Beige And Black Old Paper Vintage Certificate Of Completion-2

มหาเวสสันดรชาดก
กันฑ์มัทรี

จัดทำโดย
นายธวัชชัย บำรุงเชื้อ

ชั้น ม.๕/๖ เลขที่ ๑๔



โรงเรียนเตรียมอุ
ดมศึกษาภาคใต้

ประวัติผู้แต่ง

เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็นขุนนางและ
กวี เอกคนหนึ่งในสมัยต้น กรุง

รัตนโกสินทร์ มีนามเดิมว่า หน เกิดเมื่อใด
ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด น่าจะอยู่ในช่วง

ปลายสมัย กรุงศรีอยุธยา และถึงแก่
อสัญกรรม ในสมัยรัชกาลที่ ๑

พ.ศ. ๒๓๔๘ ประวัติอื่น ๆ มีปรากฏน้อย
เต็มที นอกเสียจากผลงานด้าน วรรณคดี

ที่ท่านได้แต่งไว้หลายเรื่องด้วยกัน

ลักษณะคำประพั นธ์

มหาเวสสันดรชาดก

เป็นมหาชาติกลอนเทศน์ มีลักษณะคำ
ประพันธ์เป็นร่ายยาวที่มีคาถาบาลีนำ

ร่ายยาว บทหนึ่งไม่จำกัดจำนวน
วรรค แต่ที่นิยมคือตั้งแต่ ๕ วรรคขึ้นไป และ
แต่ละวรรคก็ไม่จำกัดจำนวนคำเช่นกัน แต่ไม่
ควรน้อยกว่า ๕ คำ ซึ่งคำสุดท้ายของวรรค
หน้าจะส่งสัมผัสไปวรรคหลังคำใดก้ได้ แต่เว้น

คำสุดท้ายของวรรคอาจจบลงด้วย “คำ
สร้อย” (คำสร้อย เช่น ฉะนี้ ดังนี้ นั้นเกิด นั้นแล

แล้วแล ด้วยประการฉะนี้ เป็นต้น)



แผนผังและตัวอย่างร่ายยาว

ที่มาของเรื่อง

มาจากร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ซึ่งเป็นชาดก
เรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยกล่าวถึงเรื่องราวของพระ

โพธิสัตว์ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร เดิม
แต่งเป็นภาษาบาลี ต่อมามีการแปลเป็นภาษาไทยใน

สมัยกรุงสุโขทัย ต่อมาในสมัยสมเด็จพระบรม
ไตรโลกนาถ โปรดเกล้าฯให้ปราชญ์ราชบัณฑิตแต่ง
มหาชาติคำหลวง ซึ่งเป็นมหาชาติสำนวนแรก โดยมี

จุดประสงค์เพื่อใช้สวด ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม
โปรดเกล้าให้แต่งกาพย์มหาชาติ เพื่อใช้สำหรับ
เทศน์ แต่เนื้อความในกาพย์มหาชาติค่อนข้างยาว
ไม่สามารถเทศน์ให้จบภายใน ๑ วัน จึงเกิดมหาชาติ
ขึ้นใหม่อีกหลายสำนวน เพื่อให้เทศน์จบภายใน ๑ วัน
มหาชาติสำนวนใหม่นี้เรียกว่า มหาชาติกลอนเทศน์

หรือ ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก

ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ
โปรดเกล้าฯให้มีการชำระและรวบรวมมหาชาติ
กลอนเทศสำนวนต่าง ๆ แล้วคัดเลือกสำนวนที่ดี
ที่สุดของแต่ละกัณฑ์ นำมาจัดพิมพ์เป็นฉบับของ
หลวง ๒ ฉบับ คือ ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ และ

ฉบับกระทรวงศึกษาธิการ

เนื้อเรื่องย่อ

พระนางมัทรีฝันร้ายว่ามีบุรุษมาทำร้าย จึงขอให้พระเวสสันดร
ทำนายฝันให้ แต่พระนางก็ยังไม่สบายพระทัย ก่อนเข้าป่า พระนาง

ฝากพระโอรสกับพระธิดากับพระเวสสันดรให้ช่วยดูแล หลังจาก
นั้นพระนางมัทรีก็เสด็จเข้าป่าเพื่อหาผลไม้มาปรนนิบัติพระ

เวสสันดรและสองกุมาร ขณะที่อยู่ในป่า พระนางพบว่าธรรมชาติ
ผิดปกติไปจากที่เคยพบเห็น เช่นต้นไม้ที่เคยมีผลก็กลายเป็นต้นที่

มีแต่ดอก ต้นที่เคยมีกิ่งโน้มลงมาให้พอเก็บผลได้ง่าย ก็กลับ
กลายเป็นต้นตรงสูงเก็บผลไม่ถึง ทั้งท้องฟ้าก็มืดมิด ขอบฟ้าเป็น
สีเหลืองให้รู้สึกหวั่นหวาดเป็นอย่างยิ่ง ไม้คานที่เคยหาบแสรกผล
ไม้ก็พลัดตกจากบ่า ไม้ตะขอที่ใช้เกี่ยวผลไม้พลัดหลุดจากมือ ยิ่ง
พาให้กังวลใจยิ่งขึ้นบรรดาเทพยดาทั้งหลายต่างพากันกังวลว่า

หากนางมัทรีกลับออกจากป่าเร็วและทราบเรื่องที่พระเวสสันดร
ทรงบริจาคพระโอรสธิดาเป็นทาน ก็จะต้องออกติดตามพระกุมาร
ทั้งสองคืนจากชูชก พระอินทร์จึงส่งเทพบริวาร ๓ องค์ให้แปลง
กายเป็นสัตว์ร้าย ๓ ตัว คือราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง ขวาง
ทางไม่ให้เสด็จกลับอาศรมได้ตามเวลาปกติ เมื่อล่วงเวลาดึกแล้ว
จึงหลีกทางให้พระนางเสด็จกลับอาศรม เมื่อพระนางเสด็จกลับ
ถึงอาศรมไม่พบสองกุมารก็โศกเศร้าเสียพระทัย เที่ยวตามหาและ
ร้องไห้คร่ำครวญ พระเวสสันดรทรงเห็นพระนางเศร้าโศก จึงหา

วิธีตัดความทุกข์โศกด้วยการแกล้งกล่าวหานางว่าคิดนอกใจ
คบหากับชายอื่น จึงกลับมาถึงอาศรมในเวลาดึก เพราะทรงเกรง

ว่าถ้าบอกความจริงในขณะที่พระนางกำลังโศกเศร้าหนักและ
กำลังอ่อนล้า พระนางจะเป็นอันตรายได้ ในที่สุดพระนางมัทรีทรง

คร่ำครวญหาลูกจน
สติไป ครั้นเมื่อฟื้ นขึ้น พระเวสสันดรทรงเล่าความจริงว่า พระองค์

ได้ประทานกุมารทั้งสองแก่ชูชกไปแล้วด้วยเหตุผลที่จะทรง
บำเพ็ญทานบารมี พระนางมัทรีจึงทรงค่อยหายโศกเศร้าและทรง

อนุโมทนาในการบำเพ็ญทานบารมีของพระเวสสันดรด้วย

ถอดคำประพั นธ์

เวลานั้นพระนางมัทรีได้ทรงเข้าไปหา
ผลไม้ในป่าก็ทรงหวั่นกลัวเมื่อเห็นธรรมชาติผิด
ปกติไปก็ทรงคิดถึงลูกทั้งสองเดินไปก็เศร้าไป
ร้องไห้ไปพอดูผลไม้ในป่าจากที่เคยมีลูกก็มีแต่
ดอกทั้งดอกไม้ที่พระนางเคยร้อยไปฝากลูกทั้สอง
ท้องฟ้าก็แดงเป็นสายเลือดมืดหมดทั้งแปทิศผล
ไม้ก็ยังมาหล่นจากมือยิ่งผิดสังเกตเลยรีบก้าว
เท้าเดินโดยเร็วมาถึงกลางทางก็ดันมาเจอสัตว์
ทั้งสามตัวคือพญาราชสีห์พญาเสือเหลือง และ
พญาเสือโคร่งยิ่งร้องไห้รอเวลาก็คิดว่าป่านี้ลุกคง
คอย หากจะเดินไปทางอื่นก็ไกลมาก มีทั้งขอนไม้
ก้อนหินมากมาย เลยกราบไหว้อ้อนวอนขอทาง
กลับ แล้วจะแบ่งผลไม้ให้สักครึ่ง

เทพทั้งสามที่แปลงกายมาเมื่อได้ฟัง
แล้วก็เห็นพระนางร้องไห้น้ำตาเต็มไปทั้งสองตาก็
หลีกทางให้ พระนางรีบวิ่งไปแล้วร้องไห้ไปไม่ยอม
หยุด สักพักก็ถึงอาศรมถึงที่ที่ลูกทั้งสองเคยเล่น
กันก็ไม่เห็น ใจเริ่มเริ่มหวั่นเรียกหาก็ไม่มี พระนาง
ทรงพรรณนาถึงความหลังมากมายถึงลูกทั้งสอง
คิดว่าลูกจะสิ้นใจไปเสียแล้ว

ถอดคำประพั นธ์

เมื่อตรัสถามพระเวสสันดรก็พูดไม่ใยดี
แต่สักนิด คิดว่าคบชายอื่นแต่พระนางก็ไม่ถือ
โกรธเพราะทั้งลูกและสามีล้วนเป็นเพื่อนร่วมใน
ยามยาก แต่กราบทูลเท่าไรพระสามีก็ไม่ฟัง ไม่
ตรัสตอบแต่คำเดียว จึงยิ่งทำให้พระนางมัทรียิ่ง
กลุ้มใจยิ่งขึ้น พระนางหนักใจเหลือเกิน เหมือน
คนเอาเหล็กแดงมาแทงใจให้เจ็บใจจนทนไม่ได้
ทั้งลูกก็หายไปแม่แทบทนไม่ไหว หากพระ
เวสสันดรไม่ใยดี เห็นว่าพระนางคงจะสิ้นใจอยู่ใน
ป่านี้แล้ว

เมื่อพระเวสสันดรทรงได้ฟังพระนางมัท
รีแล้ว จึงรีบคิดหาวิธีดับโศกให้ ว่าพระนางมี
พักตร์อันผุดผ่องเสมือนเอาน้ำทองเข้ามาทาบ
ทับผิว เหมือนเป็นนางฟ้าลงมา ใครเห็นก็อยาก
จะชื่นชม พระองค์เลยเลยพูดกล่าวโทษว่าไปลอบ
คบชายอื่น แล้วยังมามารยา เมื่อตอนเช้าก่อนจะ
ไปยังทำเป็นห่วงใยลูกไม่อยากจาก แต่ไปซะนาน
เพิ่งจะกลับมาเอาปานนี้ หรือจะไปติดใจผลไม้ดีๆ
แล้วลืมลูกลืมสามี ช่างไม่รู้จริงๆ กับใจหญิง หาก
เป็นเหมือนเมื่อก่อนนั้นตอนที่เป็นกษัตริย์
พระนางก็คงไม่มีชีวิตอยู่ เพราะพระองค์จะสั่ง
ประหาร ร่างกายก็ขาดสบั้นไปทันตาแล้ว

ถอดคำประพั นธ์

ส่วนพระนางมัทรีเมื่อได้ฟังคำพระ
เวสสันดรก็ทรงเจ็บใจและหายทุกข์โศกลงบ้าง แล้ว
ก้มกราบบังคมทูลพระเวสสันดรว่าที่พระนางมาช้า
เพราะว่า ภายในป่าทั้งผลไม้ต้นไม้ พืชพรรณนานา
ชนิดมันแปรปรวนหมด ทั้งป่ามืดทั้งแปดทิศ
พระนางก็รีบวิ่งไม่หยุดหย่อน แต่ก็มาเจอสัตว์
ราชสีห์ และเสืออีกสองตัว กัดไว้ จนเวลาตะวัน
ตกดินแล้วจึงมาได้พระนางพยายามอธิบายและ
แสดงความจงรักภักดีต่อพระเวสสันดร ว่าพระนาง
เป็นเพื่อนยากให้พระองค์มาตลอดแล้วเห็นตรงไหน
ที่ผิดสังเกตบ้าง เมื่อไม่ว่าจะทุกข์ยากยังไงก็ทนหา
ผลไม้ เข้าไปในป่าก็โดนขุดขวนจนเป็นริ้วรอยเลือด
ไหล พระนางทรงรักสามีเหมือนดังบิดาของตน ไม่
เคยคิดที่จะนอกใจ ด้วยพระคุณพระกรุณาให้พระ
เวสสันดรทรงให้อภัยความผิดครั้งนี้ของนางด้วย

ถอดคำประพั นธ์

เมื่อพระนางมัทรีทรงกราบทูลไปแล้ว
พระเวสสันดรก็ยังนิ่งเฉยไม่กล่าวอะไร พระนางจึง
ออกอาการเศร้าโศกยิ่งสะอึกสะอื้น และกราบบังคม
ออกมาเที่ยวตามหาพระกุมารทั้งสองตามสถานที่
ต่างๆ รำลึกถึงความหลังเมื่อถึงสถานที่ตรงที่พระ
กุมารทั้งสองเคยเล่นกัน ยิ่งมองในน้ำก็มีแต่น้ำขุ่น
มองป่าก็จากที่เคยดำผุดดำว่ายอยู่ก็ไม่มี นกที่เคย
บินลงจิกอาหารก็ไม่เห็น ทุกอย่างแปลกตา
แปรปรวนไปทุกอย่างยิ่งทำให้ใจหาย ออกตามหา
ต่อเมื่อได้ยินเสียงอะไรก็คิดว่าเป็นเสียงพระกุมารทั้ง
สอง มองเห็นอะไรตะคุ่มๆ ก็คิดว่าจะเป็นพระกุมาร
ทั้งสอง ทุกอย่างรอบกายที่ได้ยินได้เห็นก็คิดว่าจะ
เป็นลุกทั้งสอง จึงกล่าวว่า เวลาปานนี้จะดึกดื่น จนจะ
รุ่งแล้วก็ไม่รู้เลย ลมพัดเรื่อยๆอกแม่เองก้อ่อนล้า
ทั้งดาวเดือนก็ลับกิ่งไม้ลง ฝูงลิงฝูงค้างก็เที่ยวกลับ
เกลือกอยู่มากมาย นกก็เงียบไปทุกรัง แต่ตัวแม่ยัง
คงเที่ยวตามหาลูกอยู่ในป่าทุกหนแห่ง สุดแล้ว
สายตาที่แม่จะตามลูกไปดูแล สุดที่จะได้ยินเสียง สุด
ปัญญาสุดค้นหาสุดที่จะคิดแล้วที่แม่จะได้พบลูกน้อย
แต่รอยสักนิดก็ไม่มี ลูกทั้งสองเจ้าเอ๋ย หรือว่าเจ้าทั้ง
สองจะสิ้นเสียแล้วเหมือนดังที่แม่ได้ฝันเมื่อคืน

ถอดคำประพั นธ์

เมื่อพระนางมัทรีทรงตามหาแล้วจน
ทั่วแห่งละ ๓ หน ก็ยังไม่เจอ ทรงหมดเรี่ยวแรง และ
เมื่อกลับมาที่อาศรมก็เหมือนจะสิ้นใจลงตรงนั้น
ทรงพรรณนาถึงลุกทั้งสอง ทรงร้องไห้น้ำตานอง
หน้าตลอดตั้งแต่ตามหาก็ยังไม่หยุด คร่ำครวญ
ร้องไห้ หากว่าพระนางรู้ว่าลูกอยู่หนแห่งใดก็จะไป
ตามหาหรือลูกจะข้ามน้ำทะเลไปเขตแคว้นอื่นแล้ว
หากแม่รู้แม่จะไปตามลูกด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือ เมื่อ
ตอนเช้าแม่ยังได้กอดจูบลูกอยู่แต้ตอนนี้ไม่เห็นเสีย
แล้ว ยามลูกทั้งสองอยู่แม่กล่อมเจ้าแล้วต่อแต่นี้แม่
จะกล่อมใครให้นิทรา แม่คิดว่าเจ้าจะได้เป็นเพื่อน
ยากกันยามหน้าแม่จะได้ฝากผีพึ่งลูกทั้งสองคน แต่
เจ้าก็ทิ้งแค่ชื่อไว้ให้เปล่าออก แล้วสมควรหรือไง
ที่มาสลัดทิ้งแม่ไปให้แม่ต้องเสียใจ และจะสิ้นใจเสีย
ให้ เลยกราบบังคมทูลน้อมศีรษะลงต่อพระ
เวสสันดรเพื่อที่จะได้รู้ แล้วกราบบังคมลาเมื่อเท้า
ย่องย่างก็ไม่ไหวต่อร่างกายที่อ่อนล้า ร่างกาย
หน้าตาง่วงงอให้พระนางไม่ไหวไม่ทันได้บังคมทูล
พอพูดพระคุณเจ้าเอ๋ยแค่คำเดียวเท่านั้นก็ไม่มีเสียง
ตาหลับร่างลงสลบตรงหน้าพระเวสสันดร ดั่งพุ่ม
ฉัตรทองถูกสายอัสนีฟาดลงระเนนเอนแล้วก็ล้มลง
ตรงหน้าพระที่นั่งพระเวสสันดรทันที

ถอดคำประพั นธ์

เวลานั้นพระเวสสันดรก็ทรงทอด
พระเนตรเห็นพระนางมัทรีสลบไปก็คิดว่าพระนางจะ
สิ้นใจแล้ว จึงพรรณนาว่า บุญของพี่นี้น้อยนัก
เพื่อนยาก เจ้ามาตายจากพี่ไปภายในวัด เจ้าจะเอา
ป่าแห่งนี้เป็นป่าช้า จะเอาอาศรมหลังนี้หรือเป็น
บริเวณเมรุทอง จะเอาเสียงสาริดร่ำร้องเสียงจักจั่น
และเรไรอันร่ำร้องหรือมาเป็นกลองประโคมใน และ
แตรสังข์เป็นพิณพาทย์ จะเอาเมฆหมอกเป็นเพดาน
จะเอายุ่งในป่าหรือมาแต่งฉัตรเงินและฉัตรทอง
แล้วจะเอาแสงพระจันทร์หรือมาเป็นแสงไฟประดับ
ช่างน่านิจจามัทรีมาตายไร้ญาติอยู่ในป่า เมื่อได้ตั้ง
สติลดโศกเศร้าจึงพิจารณาก็รู้ว่ายังไม่สิ้น จึงเอา
ผ้ากับน้ำมาประคบเพื่อให้ฟื้ น ยกศีรษะพระนางตั้ง
บนตัก แล้วประคบเพื่อให้นางฟื้ นตื่นขึ้นมา

ถอดคำประพั นธ์

เมื่อพระนางมัทรีตื่นขึ้นมาเห็นตนนอน
อยู่บนตักพระเวสสันดร ก็เห็นว่ามิควร เลยรีบลุก
แล้วถัดลงไป ก็ทรงทูลถามพระเวสสันดรต่อว่าลูก
ทั้งสองอยู่ที่ไหน พระองค์ทรงเล่าให้ฟังว่า ได้ให้
ทานแก่พราหมณ์เมื่อวานนี้แล้ว ขอให้พระนางจง
อย่าโศกเศร้าไปเลย ให้ศรัทธาในการทำทานครั้งนี้
หากเรายังมีชีวิตอยู่ต้องได้เจอกันสักวัน พระองค์จะ
ต้องให้ผู้ที่มาขอ ถึงแม้จะมีผู้มาขอเนื้อหนัง เลือด
หรือจะเป็นดวงตา พระองค์พร้อมที่จะให้ และถ้าหาก
พระองค์มีเงินทองมากมาย หากมียาจกมาไหว้วอน
ขอก็จะให้เช่นกัน มัทรีจงช่วยอนุโมทนาทานในครั้ง
นี้ด้วย

พระนางมัทรีทรงถามว่า เมื่อวานนี้
ทำไมพระองค์ไม่บอกให้รู้ พระเวสสันดรจึงตอบว่า
หากจะเล่าให้พระนางฟังก็สุดใจมาจากป่าไกลยัง
เหนื่อยอยู่ และด้วยความรักร้อนรนที่มีต่อลูก ที่ลูก
ทั้งสองไปไกลตา พระนางมัทรีเลยพูดต่อว่า พระ
กุมารทั้งสองคนพระนางอุตสาถนอม เลี้ยงดูมา ก็
ขออนุโมทนาด้วยปิยบุตรทานบารมีด้วย ขอให้น้ำ
พระทัยพระองค์จงผ่องแผ้วอย่ามีมัจฉริยธรรม
อกุศลอย่าปนในน้ำพระทัยของพระองค์

ข้อคิด

1.ความรักของแม่ที่มีต่อลูก

2.ความเชื่อเรื่องความฝันและโชคลาง

3.ความซื่อสัตย์ระหว่างสามีภรรยาทำให้ชีวิต
ครอบครัวมีความสุข

4.ผู้ที่ปราถนาสิ่งต่างๆอันยิ่งใหญ่จะต้องทำ
ด้วยความอดทนและความเสียสละอันยิ่งใหญ่

5.ผู้มีปัญญาย่อมแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี

อ้างอิง

มหาเวสสันดรชาดก (กัณฑ์มัทรี).(ออนไลน์)
สืบคค้นจาก:
http://elearning.triamudom.ac.th/courses/55/
unit02/06.html

ถอดความจากเนื้อเรื่อง-มหาเวสสันดรชาดก
(ออนไลน์). สืบค้นจาก :
http://maistdsru.blogspot.com/2016/05/blog-
post_56.html

ขอบคุณครับ
Thank you


Click to View FlipBook Version