The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัย5บทรายงานการวิจัยPresentperfect

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kenta Phipat Wanidchakul, 2022-09-25 09:15:41

วิจัย5บทรายงานการวิจัยPresentperfect

วิจัย5บทรายงานการวิจัยPresentperfect

รายงานการวจิ ัย
เร่อื ง

การพัฒนาทักษะการอ่านและการพูด Present Perfect Tense
เพื่อเพมิ่ ผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น โดยใชร้ ปู แบบการสอน Active Learning

ร่วมกับการฝึกพูดบทบาทสมมตุ ิของนักเรยี น
สำหรับนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3
โรงเรยี นชุมแสงชนทู ศิ
ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565

THE DEVELOPMENT READING AND SPEAKING SKILL OF PAST PERFECT TENSE
BY USING ACTIVE LERANING AND ROLE PLAY CONVERSATION
OF MATTAYOMSUKSA III STUDENTS

โดย
นายพิพัฒน์ วานิชกลู
ตำแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู ำนาญการ

โรงเรียนชมุ แสงชนูทศิ อำเภอชมุ แสง จังหวัดนครสวรรค์
สำนักงานเขตพ้นื ทกี่ ารศึกษามัธยมศึกษานครสวรรค์

สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ



รายงานการวิจัย

เร่ือง
การพัฒนาทักษะการอา่ นและการพูด Present Perfect Tense
เพื่อเพม่ิ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน โดยใช้รปู แบบการสอน Active Learning

รว่ มกบั การฝกึ พูดบทบาทสมมุติของนักเรยี น
สำหรบั นักเรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3
โรงเรยี นชุมแสงชนูทิศ
ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565

THE DEVELOPMENT READING AND SPEAKING SKILL OF PAST PERFECT TENSE
BY USING ACTIVE LERANING AND ROLE PLAY CONVERSATION
OF MATTAYOMSUKSA III STUDENTS

โดย
นายพิพัฒน์ วานิชกูล
ตำแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู ำนาญการ

โรงเรียนชมุ แสงชนูทิศ อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์
สำนักงานเขตพืน้ ที่การศึกษามัธยมศกึ ษานครสวรรค์

สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564



คำนำ

Present Perfect Tense เป็น Tense ทเ่ี หมาะกับการใช้เล่าเรือ่ งมาก ๆ เพราะ Present perfect Tense จะใช้
เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลง ก่อนท่ีจะมีอีกเหตุการณ์เกิดตามมา ซึ่งทั้ง 2 เหตุการณ์เกิดขึ้นในอดีตและจบลงใน
อดีตเรียบร้อยแล้ว มักใช้คู่กับ Past Simple โดยต้องอาศัยการใช้กริยาช่องท่ี 3 แสดงความเป็นอดีตของเหตุการณ์
ซง่ึ นกั เรียนจะมีปญั หา เรอ่ื งกรยิ า 3 ช่อง ทำใหแ้ ต่งประโยค Present Perfect Tense อย่างผิดๆ รวมถงึ แนวทางการเติม
-ed ทผ่ี ิด ซ่งึ พ้ืนฐานสำคัญของเรื่องนี้คือ กรยิ า 3 ช่อง ครผู ู้สอนจึงเห็นควรว่านักเรียนควรฝึกฝนท่องจำกริยา 3 ช่อง และ
ต้องฝึกฝนการพูดบทสนทนาควบคู่กัน เพ่ือเป็นพื้นฐานในการแต่งประโยค Present Perfect Tense จึงเกิดแนวคิดวิจัย
ในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะการใช้ Present Perfect Tense โดยการฝึกพูดบทบาทสมมุติของนักเรียน นักเรียน
ระดับชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 3

พพิ ฒั น์ วานชิ กลู
ผู้วิจัย



ช่ือผูว้ ิจัย : พพิ ัฒน์ วานิชกูล
ชือ่ เร่ือง : การพฒั นาทกั ษะการอ่านและการพูด Present Perfect Tense เพ่อื เพม่ิ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน

โดยใช้รปู แบบการสอน Active Learning ร่วมกับการฝึกพดู บทบาทสมมตุ ขิ องนักเรียน
สำหรับนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3

ปีการศึกษา : 2565

บทคัดย่อ

การวิจัยครัง้ นเ้ี ป็นการวจิ ัยเชงิ ทดลอง

มวี ตั ถุประสงคเ์ พ่ือ สร้างการพัฒนาทักษะการใช้ Present Perfect Tense โดยใชร้ ูปแบบการสอน Active Learning
ร่วมกับการฝึกพูดบทบาทสมมตุ ิของนักเรียน สำหรับนักเรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3

เรอ่ื ง Present Perfect Tense วชิ า ภาษาองั กฤษพนื้ ฐาน อ23101

ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551

กลุ่มตวั อย่างท่ใี ช้คือ นักเรยี นระดับ ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 จากหอ้ ง ม.3/1,ม.3/3, ม.3/5, ม.3/7 และ ม.3/9
จำนวน 191 คน

เครื่องมอื ที่ใชใ้ นการวจิ ยั ไดแ้ ก่
- แบบฝึกหัด Present Perfect Tense
- เทคนคิ การสอน การอ่านกริยา 3 ช่อง
- แบบฝึกหัด บทสนทนา Present perfect Tense
- แบบทดสอบเก็บคะแนน

วเิ คราะห์ข้อมลู โดยใชส้ ถติ ิ ใช้คา่ เฉลี่ยเลขคณิตของผลคะแนนนกั เรียนเปรยี บเทียบระหวา่ งกอ่ นและหลังการทดสอบการ
ใช้กริยาสามชอ่ ง และการใช้โครงสรา้ ง Present Perfect Tense ในบทสนทนา

ผลการวิจยั ปรากฏวา่ ผลการเปรียบเทียบผลคะแนนกอ่ นและหลงั ทดสอบการใช้กรยิ าสามช่อง และการใชโ้ ครงสรา้ ง
Present Perfect Tense ในบทสนทนา จากข้อมลู คะแนนเฉลย่ี ก่อน/หลังการทำแบบทดสอบ Present Perfect Tense
พบว่าคะแนนหลงั การสอนโดยให้นักเรยี นทดสอบการใช้กริยาสามช่อง และการใชโ้ ครงสร้าง Present Perfect Tense
ในบทสนทนาของนักเรยี นระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเฉลี่ย 8.083 คะแนน จากก่อนเรียน 3.694 คะแนน เน่อื งจาก
นกั เรยี นได้ฝกึ ฝน อ่าน และจดจำกรยิ า 3 ช่อง ที่มักใชบ้ ่อย ได้ ทำใหแ้ ต่งประโยคไดด้ ขี ึ้น และสามารถสื่อสารได้ดีมากขึน้

สารบัญ ค

คำนำ...................................................................................................................... หน้า
บทคดั ย่อ...............................................................................................................
บทที่ 1 บทนำ ก

ความเปน็ มาและความสำคัญของปญั หา....................................................
วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจยั ........................................................................... 1
สมมตฐิ านการวจิ ัย .......................................................................... 2
ขอบเขตของการวิจัย.................................................................................. 2
นิยามศัพทเ์ ฉพาะ....................................................................................... 2
ประโยชนท์ ่คี าดวา่ จะไดร้ ับ....................................................................... 3
3
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กยี่ วขอ้ ง
4
เอกสารท่เี ก่ียวข้อง..................................................................................... 5
งานการวจิ ัยทีเ่ ก่ยี วข้อง..............................................................................
11
บทที่ 3 วิธดี ำเนินการวจิ ยั 11
12
แบบแผนการวจิ ยั ...................................................................................... 12
ประชากร/กลุ่มตัวอยา่ ง............................................................................. 18
เคร่ืองมอื ที่ใชใ้ นการวจิ ยั ........................................................................... 18
ขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ........................................................................
การดำเนินการวจิ ัย/การเก็บรวบรวมข้อมูล............................................... 19
สถิติทใี่ ช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล................................................................

บทท่ี 4 ผลการวิจัย.............................................................................................

สารบัญ (ตอ่ ) ค

บทท่ี 5 สรปุ และข้อเสนอแนะ............................................................................ หน้า

วตั ถุประสงค์ของการวิจยั ........................................................................... 24
ประชากร/กลุม่ ตวั อย่าง............................................................................... 24
สรปุ ผลการวจิ ัย.......................................................................................... 24
อภปิ รายผล................................................................................................. 24
ข้อเสนอแนะ.............................................................................................. 24
25
บรรณานุกรม...........................................................................................................
26
ภาคผนวก.................................................................................................................
28

1

บทท่ี 1
บทนำ

ความเป็นมาและความสำคญั ของปญั หา

1. สภาพท่ีพงึ ประสงคเ์ กี่ยวกับเรือ่ งท่จี ะวิจัย
ในสังคมโลกปัจจุบัน การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมีความสำคัญและจำเป็นอย่างย่ิงในชีวิตประจำวัน เนื่องจากเป็น

เครื่องมือสำคัญในการติดต่อส่ือสาร การศึกษา การแสวงหาความรู้การประกอบอาชีพการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ
วัฒนธรรมและวิสัยทัศน์ของชุมชนโลก และตระหนักถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมุมมองของสังคมโลก นำมา
ซึ่งมิตรไมตรีและความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความเข้าใจตนเองและผู้อื่นดีขึ้น เรียนรู้และเข้า
ใจความแตกต่างของภาษาและวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี การคิด สังคม เศรษฐกิจ การเมอื ง การปกครอง มี
เจตคติท่ีดีต่อการใช้ภาษาต่างประเทศ และใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการสื่อสารได้ รวมท้ังเข้าถึงองค์ความรู้ต่างๆ ได้ง่าย
และกว้างข้ึน และมีวิสัยทัศน์ในการดำเนินชีวิตภาษาต่างประเทศท่ีเป็นสาระการเรียนรู้พื้นฐาน ซึ่งกำหนดให้เรียนตลอด
หลักสูตรการศึกษา
ขั้นพน้ื ฐาน คือ ภาษาอังกฤษ สว่ นภาษาตา่ งประเทศอนื่ เช่น ภาษาฝรง่ั เศส เยอรมนั จีน ญ่ีป่นุ อาหรบั บาลี และภาษา
กลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน หรือภาษาอื่นๆ ให้อยใู่ นดุลยพินจิ ของสถานศึกษาทีจ่ ะจดั ทำรายวิชาและจดั การเรยี นรูต้ ามความ
เหมาะสม ภาษาองั กฤษเป็นเคร่อื งมือจำเปน็ ในการตดิ ต่อส่ือสารในโลกยุคปัจจุบนั การติดต่อส่อื สารมีขอบข่ายที่ขยาย
กวา้ งขวาง และยังเป็นสังคมโลกที่มกี ารแข่งขันสูงหนง่ึ เป็นเครื่องมือท่ีจะชว่ ยใหเ้ ราได้เปรียบในการแข่งขัน
2.สภาพท่เี ปน็ อยู่ในปจั จุบัน

ในยุคปัจจุบันการเรียนการสอนจะต้องเนน้ ผเู้ รียนเปน็ หลัก และมักจะมเี ทคโนโลยีรวมท้ังส่ือการสอนท่ีทันสมัยต่างๆ
เขา้ มาผสมผสานใหเ้ กดิ รูปแบบการเรียนการสอนใหม่ๆ อย่างเช่น การเรียนดว้ ยบทเรยี นสำเรจ็ รูปชว่ ยสอน สื่อประเภท
ตา่ งๆ เป็นตน้ แตท่ ่ีไดร้ บั ความนิยมเป็นอย่างมาก กค็ ือ บทเรยี นเสมอนจริงช่วยสอน คอื สอื่ การเรยี นการสอนทางการ
แสดงบทบาทสมมุตริ ปู แบบหน่ึง ซ่งึ ใชค้ วามสามารถของนกั เรยี นในการนำเสนอสื่อประสมอันได้แก่ ขอ้ ความสนทนา
เคลื่อนไหว วฒั นธรรม และเสียง เพ่ือถ่ายทอดเน้ือหาบทเรียน หรือองค์ความรใู้ นลักษณะท่ี ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริง
มากที่สุด โดยมเี ปา้ หมายทีส่ ำคญั ก็คือ สามารถดงึ ดูดความสนใจของผู้เรียน และกระตุน้ ให้เกิดความต้องการท่ี จะเรียนรู้
บทเรียนบทบาทสมมตุ ิชว่ ยสอนเป็นตัวอย่างทดี่ ีของสื่อการศึกษาในลักษณะตวั ต่อตวั และระดับกลุ่ม ซึ่งผ้เู รยี นเกดิ การ
เรียนรูจ้ ากการมีปฏิสมั พนั ธ์ หรือการโต้ตอบพร้อมทั้งการได้รบั ผลปอ้ นกลบั (FEEDBACK) นอกจากนีย้ ังเปน็ สือ่ ท่ีสามารถ
ตอบสนองความแตกตา่ งระหว่างผู้เรียนไดเ้ ปน็ อยา่ งดี รวมทง้ั สามารถท่จี ะประเมิน และตรวจสอบความเข้าใจของผเู้ รียน
ได้ตลอดเวลา

การศกึ ษาในปจั จบุ นั จึงการนำบทเรยี นบทบาทสมมุติชว่ ยสอนมาใช้ในการเรียนการสอนอยา่ งแพร่หลาย สาเหตุ
เพราะทำให้การเรียนการสอนมีความสะดวกสบายและง่าย ยงิ่ ข้นึ ผ้เู รยี นให้ความสนใจ มากขนึ้ ลดภาระของครผู สู้ อน
ผู้เรยี นสามารถฝกึ ได้ดว้ ยตนเอง และเป็นเครื่องทดสอบความเขา้ ใจของผู้เรียนไดเ้ ป็นอย่างดีเลยทเี ดียว ดงั น้ันบทเรยี นบท
บาสมมุตชิ ว่ ยสอนจึงเป็นเหมือนเครื่องมือช่วยสอนของครูผู้สอนน่ันเอง
3. / 4. ปัญหาที่เกดิ ขน้ึ และ ความพยายามในการแก้ปัญหา

2

จากการไดค้ ้นควา้ หาข้อมูลท่ีผ่านมาพบวา่ การเรียนรใู้ นเรือ่ ง Present Perfect Tense ของผูเ้ รียนในปัจจุบนั ผู้เรียน
มกั ขาดความสนใจ และขาดความกระตือรือร้น และขาดความเข้าใจที่ถกู ต้อง ใช้ในการสื่อสารหรือนำไปใช้ในการเรียนการ
สอนไม่ถูกต้อง ซ่ึงอาจจะเกดิ ปญั หาเนอ่ื งมาจากรปู แบบการสอนท่ีไมน่ า่ สนใจ ไม่กระตนุ้ ความสนใจของผ้เู รียน การเรียน
การสอนเปน็ รูปแบบเดมิ ๆ หรือส่ือการสอนที่ไม่เหมาะสมกับการเรยี นการสอน ทำให้การเรียนการสอนและการเรยี นรู้
เรอื่ ง Present Perfect Tense เป็นเรอ่ื งทไี่ มน่ ่าสนใจ
5. แนวทางท่ผี ู้วจิ ัยคดิ ดำเนินการวิจัยเพือ่ แกป้ ญั หา

จากเหตุผลที่ กล่าวมาข้างต้น ผู้วจิ ัยจึงเห็นว่า การจดั การเรยี นการสอนโดยใชบ้ ทเรียน Present Perfect Tense
ช่วยสอน เป็นวธิ กี ารทีม่ ีประสิทธิภาพและมีประโยชน์ เหมาะสมกบั การเรยี นการสอนกับปจั จุบนั จงึ มคี วามสนใจทจี่ ะ
พัฒนาบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอนในกลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย สำหรับนกั เรยี นช่วงช้นั ท่ี 3 เร่ือง Present
Perfect Tense โดยสรา้ งบทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนแบบนำเสนอเนื้อหาและฝึกฝนและปฎิบัติ โดยผลการวจิ ยั ทั้งหมด
จะมีประโยชน์ต่อการเรียนการสอนและนำไปปรบั ปรุงให้มีประโยชน์ในการเรียนการสอนใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ ซ่ึงเป็นอีกหน่งึ
วธิ ีทจี่ ะช่วยใหผ้ ู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียน สามารถเรียนร้ไู ด้อย่างมีความสขุ ใช้ Present Perfect Tense ได้
ถกู ต้องเหมาะสมกบั สถานการณ์ และทส่ี ำคญั เพ่ือเป็นการพัฒนาองค์ความสสู่ ากลต่อไป

วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ัย

1. เพื่อใหน้ ักเรยี นสามารถแตง่ ประโยค Present Perfect Tense ได้
2. เพอ่ื ให้นักเรยี นสามารถจดจำกรยิ า 3 ช่องได้
3. เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียงแต่งประโยคได้ถกู ต้องตามโครงสรา้ งไวยากรณ์ และสามารถสื่อสารได้

สมมติฐานของการวิจยั

การวิจัยคร้งั น้ีมีสมมติฐานดงั น้ี
1. บทเรยี น Present Perfect Tense สามารถใชเ้ ปน็ สื่อการเรยี นการสอนได้อย่างมี ประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ที่

กำหนด 80/80
2. ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นเรื่อง Present Perfect Tense ของนกั เรยี นท่ีจดั การเรยี นรู้โดยใชบ้ ทเรียนกริยา 3

ช่อง และแบบฝึก Present Perfect Tense ช่วยสอนหลังเรียนสูงกวา่ กอ่ นเรยี น
3. นักเรียนในระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 มีความพึงใจตอ่ บทเรยี นบทเรียน Present Perfect Tense ช่วยสอน

หลังจากที่ได้ทดลองใช้

ขอบเขตของการวจิ ยั

1. ขอบเขตด้านเน้ือหา ทำการวิจัยในเนื้อหาเรื่อง Present Perfect Tense วิชา ภาษาองั กฤษพืน้ ฐาน
อ23102 ตามหลักสูตรสถานศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551

2. ประชากรของการวจิ ัยครั้งน้ีคือ นักเรยี นระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3
ของโรงเรียนชุมแสงชนูทศิ ทล่ี งทะเบียนเรยี นวิชาภาษาองั กฤษในภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565
จำนวน 191 คน

3. กลุ่มตัวอยา่ งคือ นกั เรยี นระดับชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 3
ของโรงเรียนชุมแสงชนูทศิ ท่ลี งทะเบยี นเรียนวชิ าภาษาอังกฤษ ในภาคเรยี นที่ 1

ปีการศึกษา จำนวน 191 คน

3

4. ตัวแปรท่ีศึกษาได้แก่
4.1 ตวั แปรอสิ ระ
4.1.1 บทเรียน Present Perfect Tense นกั เรียนในระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 3
4.1.2 บทเรยี น กริยา 3 ช่อง นกั เรยี นในระดับชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 3
4.2 ตัวแปรตาม
4.2.1 ประสิทธภิ าพของบทเรียน Present Perfect Tense นักเรียนในระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3
4.2.2 ประสิทธิภาพของบทเรยี น กริยา 3 ชอ่ ง นกั เรยี นในระดับชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3

5. การวจิ ยั คร้งั น้ดี ำเนินการในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2565

นิยามศพั ท์เฉพาะ

Google Form หมายถึง ระบบฟอร์มออนไลน์เพ่ือบริการผู้สรา้ งฟอรม์ ได้ต้งั คำถามแล้วรอรบั ข้อมลู คำตอบจาก
ผู้ใหข้ ้อมลู โดยแชรล์ ิงคแ์ บบฟอรม์ ไปใหผ้ ูใ้ ห้ข้อมูล สามารถสงั่ เปดิ ปิดฟอร์มรับข้อมลู ได้ ประยกุ ต์เปน็ แบบสอบถาม
งานวิจยั หรือแบบทดสอบออนไลนไ์ ด้ มีประเภทของตวั เลือกในแบบฟอร์ม อาทิ คำตอบสั้น คำตอบยาวเป็นย่อหน้า
หลายตัวเลือก ชอ่ งทำเครือ่ งหมาย เล่ือนลง อัพโหลดไฟล์ การกำหนดเงื่อนไข เช่น บังคบั ตอบ สลับตวั เลอื ก ตอบได้หลาย
ครั้ง หรอื เฉลยคำตอบหลังทำเสรจ็

Role play หมายถึง กจิ กรรมบทบาทสมมติ (Role play) หมายถึง การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน
ภาษาอังกฤษ โดยใช้ บทบาททส่ี มมติข้ึน จากสถานการณ์ใดสถานการณห์ น่ึง ทีใ่ กล้เคียงกบั ความเป็นจริงทีผ่ ูเ้ รียนตอ้ ง
เผชิญเม่อื ออกไป ปฏิบัติหน้าที่ มาไว้ในห้องเรียนโดยใหผ้ เู้ รียนสวมบทบาทน้นั และแสดงพฤติกรรมไปตามความรู้สกึ
อารมณ์ และ ทศั นคติที่มตี ่อบทบาท

Dialogue Conversation หมายถึง บทสนทนาภาษาองั กฤษ ฉบบั ง่ายๆเหล่าน้ีจดั ทำขึ้น เพ่ือให้ผ้ทู ่เี ร่ิมเรยี นรู้การ
สนทนาภาษาองั กฤษ สามารถนำประโยคภาษาองั กฤษสนั้ ๆทงี่ า่ ยๆ และใชไ้ ด้จริง เพ่ือนำไปฝกึ พดู ภาษาอังกฤษใน
ชวี ติ ประจาํ วันให้สามารถสนทนาภาษาอังกฤษพน้ื ฐานเบื้องตน้ กบั บุคคลทั่วๆไปได้

การพัฒนา (Development)หมายถึง การเปลย่ี นแปลงของการเรียนรู้ กริยา 3 ช่อง เพอื่ ให้เกิดความ
เขาใ้ จและดีขนึ้ จนเป็นที่พึงพอใจและสามารถท่จี ะนา ไปใช้ในชีวตปิ ระจำวันได้

ทักษะ (Skill)หมายถงึ ความชัดเจน และความชำนิชำนาญในเร่ืองกริยา 3 ชอ่ ง ซ่ึงนักเรียนสามารถ
สรา้ งข้นึ ไดจ้ากการเรยี นรู้

ความรู้ (Knowledge)หมายถงึ ความเข้าใจ ในเรื่องกรยิ า 3 ช่อง ซึ่งอาจจะรวมไปถงึ ความสามารถใน
การนำกริยา 3 ช่องไปใช้เพอ่ื เปา้ หมายบางประการและถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ภาษา

กริยา 3 ชอ่ ง (verb) หมายถึงคำ ที่แสดงถึงอาการตา่ ง ๆ หรือเหตกุ ารณ์ต่าง ๆ ท่เี กิดข้ึนในแตล่ ะช่วง
ของเวลากลา่ วอกี นยั หนึ่งกค็ ือคำ พดู ที่แสดงถึงการกระทา ของตวั ประธานในประโยค หรือคำท่ีทำหนา้ที่
ชว่ ยคา กรยิ าด้วยกนั น่ัน เองกรยิ าเป็นคำที่มบี ทบาทท่สี ำคัญ ในแตล่ ะประโยค

ภาษาองั กฤษ (English Language )หมายถึง ภาษาต่างประเทศ ภาษาสากลท่ีกระทรวงการศึกษาจัด
เข้าในกระบวนการเรยี นการสอนในประเทศไทย

4

ประโยชนท์ คี่ าดวา่ จะได้รับ

1. ได้สอื่ การเรยี นการสอน คือ บทเรียนบทเรียน Past Perfect Tense และบทเรียน กรยิ า 3 ชอ่ ง
2. ได้แนวทางในการพฒั นาบทเรียนบทเรียน Past Perfect Tense และบทเรียน กริยา 3 ทส่ี าระอื่นๆ

สามารถนำไปใชใ้ นการวางแผนปรับปรุงแก้ไขและพฒั นาการจดั การเรียนการสอนได้อย่างถกู ต้องและ
เหมาะสม
3. ได้รปู แบบการจัดการเรียนการสอน โดยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยมี าชว่ ยในการจดั การเรยี นการสอน
ให้แกผ่ ้เู รียน
4. สามารถนำประยุกตใ์ ช้ในการเรียนวชิ าภาษาอังกฤษ เรื่อง Past Perfect Tense เหมาะสำหรับครผู ูส้ อนและ
ผ้เู รยี นทส่ี นใจ

5

บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยท่ีเกยี่ วข้อง

การศกึ ษาเอกสาร และงานวิจยั ท่ีเก่ยี วข้องกับการวิจัยครั้งน้ี ผูว้ จิ ยั ไดศ้ กึ ษารายละเอียดตา่ งๆ ดงั นี้
การวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการใช้ Present Perfect Tense โดยการฝึกพดู บทบาทสมมตุ ขิ องนกั เรีย
ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 ผวู้ จิ ัยได้รวบรวมวรรณกรรณท่ีเก่ียวข้องและครอบคลุมไว้ดังน้ี

1.เนอื้ หา Present Perfect Tense
2.ทฤษฎีการเรยี นรู้ทเี่ ก่ยี วกับการเรียบแบบ Role Play
3.บทเรียน Present Perfect Tense และบทเรียน กรยิ า 3 ช่อง
4.การทดสอบประสิทธิภาพ
5.ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น
6.นกั เรียนในระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 (ชว่ งชั้นท่ี 3)
7.งานวิจัยเกย่ี วกับบทเรยี น Present Perfect Tense

เอกสารที่เก่ียวขอ้ ง

ในสังคมโลกปัจจุบัน การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจำวัน เนื่องจาก
เป็นเคร่ืองมือสำคัญในการติดต่อส่ือสาร การศึกษา การแสวงหาความรู้ ในการประกอบอาชีพ การสร้างความเข้าใจ
เกย่ี วกบั วฒั นธรรมและวิสัยทศั น์ของชุมชนโลก และตระหนักถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมุมมองของสังคมโลก
นำมาซ่ึงมิตรไมตรีและความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความเข้าใจตนเองและผู้อ่ืนดีข้ึน เรียนรู้และ
เข้าใจความแตกต่างของภาษาและวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี การคิด สังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง
มีเจตคติท่ีดีตอ่ การใชภ้ าษาต่างประเทศ และใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อการสือ่ สารได้ รวมท้ังเข้าถึงองค์ความรู้ต่างๆ ได้ง่าย
และกว้างข้ึน และมีวิสัยทัศน์ในการดำเนินชีวิตภาษาต่างประเทศที่เป็นสาระการเรียนรู้พ้ืนฐาน ซึ่งกำหนดให้เรียนตลอด
หลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน คือ ภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาต่างประเทศอื่น เช่น ภาษาฝร่ังเศส เยอรมัน จีน ญ่ีปุ่น
อาหรับ บาลี และภาษากลุ่มประเทศเพ่ือนบ้าน หรือภาษาอ่ืนๆ ใหอ้ ยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษาที่จะจัดทำรายวิชาและ
จัดการเรียนรู้ตามความเหมาะสม

เรียนรูอ้ ะไรในภาษาต่างประเทศ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ มุ่งหวังให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อภาษาต่างประเทศ สามารถใช้

ภาษาต่างประเทศ สื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ แสวงหาความรู้ ประกอบอาชีพ และศึกษาต่อ ในระดับท่ีสูงขึ้น รวมท้ังมี
ความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวและวัฒนธรรมอันหลากหลายของประชาคมโลก และสามารถถ่ายทอดความคิดและ
วฒั นธรรมไทยไปยงั สังคมโลกไดอ้ ย่างสรา้ งสรรค์ ประกอบด้วยสาระสำคญั ดงั นี้

6

ภาษาเพอื่ การสอื่ สาร
การใช้ภาษาต่างประเทศในการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน แลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร แสดงความรู้สึกและความคิดเห็น

ตีความ นำเสนอข้อมูล ความคิดรวบยอดและความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอย่าง
เหมาะสม
ภาษาและวัฒนธรรม

การใช้ภาษาต่างประเทศตามวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาความสัมพันธ์ ความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษา
กับวฒั นธรรมของเจ้าของภาษา ภาษาและวฒั นธรรมของเจ้าของภาษากับวัฒนธรรมไทย และนำไปใชอ้ ย่างเหมาะสม
ภาษากบั ความสัมพนั ธ์กับกล่มุ สาระการเรยี นรู้อน่ื

การใช้ภาษาต่างประเทศในการเช่ือมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น เป็นพ้ืนฐานในการพัฒนา แสวงหาความรู้
และเปดิ โลกทัศนข์ องตน
ภาษากบั ความสมั พันธ์กับชุมชนและโลก

การใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ชุมชน และสังคมโลก เป็นเคร่ืองมือ
พ้ืนฐานในการศึกษาต่อการประกอบอาชีพ และแลกเปล่ยี นเรยี นรู้กบั สงั คมโลก

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระท่ี ๑ ภาษาเพือ่ การส่ือสาร
มาตรฐาน ต ๑.๑ เข้าใจและตคี วามเร่ืองท่ฟี งั และอ่านจากส่ือประเภทตา่ งๆ และแสดงความคดิ เหน็ อย่างมีเหตผุ ล
มาตรฐาน ต ๑.๒ มีทักษะการส่อื สารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนขอ้ มูลขา่ วสาร แสดงความรสู้ ึก และความคิดเหน็ อย่างมี
ประสทิ ธิภาพ
มาตรฐาน ต ๑.๓ นำเสนอขอ้ มูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเร่ืองตา่ งๆ โดยการพูดและการเขียน
สาระที่ ๒ ภาษาและวฒั นธรรม
มาตรฐาน ต ๒.๑ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา และนำไปใช้ ได้อย่างเหมาะสมกับ
กาลเทศะ
มาตรฐาน ต ๒.๒ เข้าใจความเหมือนและความแตกตา่ งระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา
กับภาษาและวฒั นธรรมไทย และนำมาใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
สาระที่ ๓ ภาษากบั ความสมั พันธ์กบั กลมุ่ สาระการเรียนรู้อื่น
มาตรฐาน ต ๓.๑ ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อ่ืน และเป็นพื้นฐานในการพัฒนา
แสวงหาความรู้ และเปิดโลกทัศนข์ องตน
สาระท่ี ๔ ภาษากบั ความสมั พันธก์ ับชุมชนและโลก
มาตรฐาน ต ๔.๑ ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่างๆ ท้งั ในสถานศกึ ษา ชมุ ชน และสังคม
มาต รฐาน ต ๔ .๒ ใช้ภ าษ าต่ างป ระเท ศเป็ น เค ร่ืองมื อพื้ น ฐาน ใน การศึก ษ าต่ อ การป ระกอ บ อาชี พ
และการแลกเปล่ยี นเรียนรู้กบั สังคมโลก

7

•ปฏิบตั ิตามคำขอร้อง คำแนะนำ คำชี้แจง และคำอธบิ ายท่ฟี ังและอ่าน อา่ นออกเสียงข้อความ ขา่ ว โฆษณา นิทาน และ
บทรอ้ ยกรองสน้ั ๆ ถูกต้องตามหลักการอ่าน ระบ/ุ เขยี นส่ือทไี่ มใ่ ชค่ วามเรียงรูปแบบตา่ งๆ สัมพนั ธก์ ับประโยคและ
ขอ้ ความทฟี่ ังหรืออ่าน เลอื ก/ระบุหัวขอ้ เรื่อง ใจความสำคัญ รายละเอยี ดสนบั สนุน และแสดงความคิดเห็นเกยี่ วกับเร่ืองท่ี
ฟงั และอ่านจากสื่อประเภทต่างๆ พรอ้ มทง้ั ให้เหตุผลและยกตวั อยา่ งประกอบ
•สนทนาและเขยี นโต้ตอบข้อมูลเก่ียวกบั ตนเองและเรื่องต่างๆ ใกลต้ ัว สถานการณ์ ข่าว
เรอื่ งที่อยใู่ นความสนใจของสังคมและส่ือสารอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม ใช้คำขอรอ้ ง คำช้ีแจง และคำอธบิ าย ให้
คำแนะนำอย่างเหมาะสม พูดและเขยี นแสดงความต้องการ เสนอและให้ความช่วยเหลือ ตอบรับและปฏิเสธการให้
ความช่วยเหลือ พูดและเขยี นเพื่อขอและให้ข้อมูล บรรยาย อธบิ าย เปรยี บเทยี บ และแสดงความคดิ เห็นเกี่ยวกบั เรื่องท่ี
ฟังหรอื อ่านอยา่ งเหมาะสม พูดและเขยี นบรรยายความรู้สกึ และความคิดเห็นของตนเองเก่ียวกับเรือ่ งตา่ งๆ กจิ กรรม
ประสบการณ์ และข่าว/เหตุการณ์ พร้อมทั้งใหเ้ หตผุ ลประกอบอยา่ งเหมาะสม
• พดู และเขียนบรรยายเก่ียวกับตนเอง ประสบการณ์ ขา่ ว/เหตุการณ/์ เรื่อง/ประเดน็ ต่างๆ
ท่ีอยใู่ นความสนใจของสงั คม พดู และเขยี นสรปุ ใจความสำคัญ/แกน่ สาระ หัวข้อเร่ืองท่ีได้จากการวิเคราะห์เร่ือง/ข่าว/
เหตุการณ์/สถานการณ์ทอี่ ยู่ในความสนใจ พดู และเขียนแสดงความคิดเห็นเกยี่ วกับกจิ กรรม ประสบการณ์ และเหตุการณ์
พร้อมให้เหตผุ ลประกอบ
•เลือกใช้ภาษา น้ำเสยี ง และกิริยาท่าทางเหมาะกบั บุคคลและโอกาส ตามมารยาทสังคม
และวฒั นธรรมของเจ้าของภาษา อธิบายเก่ียวกบั ชีวติ ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียมและประเพณี
ของเจา้ ของภาษา เขา้ รว่ ม/จัดกิจกรรมทางภาษาและวัฒนธรรมตามความสนใจ
•เปรียบเทยี บ และอธบิ ายความเหมอื นและความแตกตา่ งระหวา่ งการออกเสยี งประโยคชนดิ ต่างๆ และการลำดับคำตาม
โครงสรา้ งประโยคของภาษาต่างประเทศและภาษาไทย เปรียบเทียบและ อธิบายความเหมือนและความแตกตา่ งระหว่าง
ชีวติ ความเปน็ อยแู่ ละวฒั นธรรมของเจา้ ของภาษากับ
ของไทย และนำไปใชอ้ ย่างเหมาะสม
•ค้นควา้ รวบรวม และสรุปข้อมูล/ข้อเทจ็ จริงท่เี ก่ยี วข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรอู้ ่ืนจาก
แหล่งการเรยี นรู้ และนำเสนอด้วยการพูดและการเขยี น
• ใช้ภาษาส่อื สารในสถานการณจ์ รงิ /สถานการณจ์ ำลองทเ่ี กิดขน้ึ ในห้องเรียน สถานศึกษา ชุมชน และสังคม
• ใช้ภาษาตา่ งประเทศในการสบื ค้น/คน้ ควา้ รวบรวม และสรปุ ความรู้/ขอ้ มลู ตา่ งๆ จากสือ่
และแหล่งการเรยี นรู้ต่างๆ ในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ เผยแพร/่ ประชาสมั พนั ธ์ขอ้ มลู ขา่ วสารของโรงเรียน
ชมุ ชน และทอ้ งถิน่ เป็นภาษาต่างประเทศ
• มที ักษะการใช้ภาษาตา่ งประเทศ (เน้นการฟงั -พูด-อา่ น-เขียน) ส่ือสารตามหวั เรื่องเก่ียวกับตนเอง ครอบครัว โรงเรียน
ส่ิงแวดล้อม อาหาร เคร่ืองดืม่ เวลาวา่ งและนนั ทนาการ สุขภาพและสวัสดกิ าร การซื้อ-ขาย ลมฟ้าอากาศ การศกึ ษาและ
อาชพี การเดินทางทอ่ งเทยี่ ว การบรกิ าร สถานที่ ภาษา และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภายในวงคำศัพทป์ ระมาณ
๒,๑๐๐-๒,๒๕๐ คำ (คำศัพท์ที่เปน็ นามธรรมมากขึน้ )
• ใช้ประโยคผสมและประโยคซับซ้อน (Complex Sentences) ส่ือความหมายตามบรบิ ทต่างๆ
ในการสนทนาทั้งทเ่ี ป็นทางการและไม่เปน็ ทางการ

8

อภธิ านศัพท์
การเดาความหมายจากบริบท (context clue)

การเดาความหมายของคำศัพท์หรือข้อความท่ีไม่ทราบความหมายโดยไมต่ ้องเปิดพจนานุกรม เปน็ การเดา
ความหมายนน้ั โดยอาศยั การชี้แนะจากคำศัพท์หรือข้อความที่แวดลอ้ มคำศัพทห์ รือข้อความ
ทีอ่ า่ น เพ่ือช่วยในการทำความเขา้ ใจหรือตีความหมายของคำศัพทห์ รอื ข้อความที่ไมเ่ ข้าใจความหมาย
การถา่ ยโอนข้อมูล

การแปลงข้อมูลที่ผ้สู ่งสารต้องการจะส่ือสารให้ผูร้ ับสารเขา้ ใจความหมายในรูปแบบทตี่ ้องการ เช่น การถา่ ยโอน
ข้อมลู ที่เป็นคำ ประโยค หรือข้อความไปเปน็ ขอ้ มลู ท่เี ป็นกราฟ สญั ลักษณ์ รูปภาพ แผนผัง แผนภูมิ ตาราง ฯลฯ หรือ
การถา่ ยโอนข้อมูลท่เี ป็นกราฟ สัญลกั ษณ์ รปู ภาพ แผนผัง แผนภูมิ ตาราง ฯลฯ ไปเปน็ ข้อมลู ท่ีเปน็ คำ ประโยค หรือ
ขอ้ ความ

ทกั ษะการส่ือสาร
ทักษะการฟัง การพูด การอา่ น และการเขียน ซงึ่ เป็นเครื่องมือในการรบั สารและส่งสารด้วยภาษานนั้ ๆ ได้อย่าง

ส่ือความหมาย คล่องแคล่ว ถูกต้อง เขา้ ถึงสารได้อยา่ งชัดเจน

บทกลอน (nursery rhyme)
บทร้อยกรองสำหรบั เด็ก ท่ีมีคำคล้องจองและมีความไพเราะ เพือ่ ชว่ ยให้จดจำไดง้ ่าย

บทละครสั้น (skit)
งานเขยี นหรือบทละครสั้นท่ีมีการแสดงออกด้วยท่าทางและคำพูด ทำใหเ้ กดิ ความสนกุ สนาน อาจเปน็ เร่ืองที่มา

จากนิทาน นิยาย ชีวติ ของคน สัตว์ สิ่งของ หรือตัดตอนมาจากงานเขยี น
ภาษาทา่ ทาง

การสือ่ สารโดยการแสดงทา่ ทางแทนคำพดู หรือการแสดงท่าทางประกอบคำพดู เพ่ือให้ความหมายมคี วามชดั เจน
ยง่ิ ขึน้ การแสดงทา่ ทางต่างๆ อาจแสดงไดล้ กั ษณะ เช่น การแสดงออกทาง
สหี น้า การสบตา การเคลือ่ นไหวศีรษะ มอื การยกมือ การพยักหนา้ การเลกิ ค้ิว เป็นต้น
วฒั นธรรมของเจา้ ของภาษา

วิถกี ารดำเนินชีวิตของคนในสังคมที่ใชภ้ าษาน้นั นับต้ังแตว่ ิธีการกนิ อยู่ การแต่งกาย การทำงาน การพักผ่อน การ
แสดงอารมณ์ การส่ือความ คา่ นิยม ความคิด ความเช่ือ ทศั นคติ ขนบธรรมเนยี มประเพณี เทศกาล งานฉลอง และ
มารยาท เป็นตน้
ส่ือที่ไม่ใชค่ วามเรียง (non-text information)

สิ่งทใี่ ช้ส่ือสารแทนคำ วลี ประโยค และข้อความ เชน่ กราฟ สญั ลกั ษณ์ รปู ภาพ สง่ิ ของ แผนผงั แผนภูมิ ตาราง
เปน็ ตน้

สรปุ การศกึ ษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง

วราภรณ์ ศุนาลัย (2536, หนา้ 35 อา้ งอิงใน กรมวชิ าการ, 2543ข, หน้า 18) กล่าววา่ การสอนแบบแสดง
บทบาทสมมติ เปน็ วิธีสอนทผี่ ูส้ อนกำหนดหัวข้อเร่ือง ปญั หาตา่ งๆ หรือสรา้ งสถานการณ์ขน้ึ มาใหค้ ล้ายกับสภาพความ
เป็นจริง แลว้ ให้ผเู้ รียนได้เตรียมการลว่ งหนา้ แล้วจงึ แสดงบทบาทตามทสี่ มมติขน้ึ มาอนั เปน็ แนวทางที่สามารถนำไป

9

แกป้ ัญหาตา่ งๆ ทีอ่ าจจะประสบในชีวิตประจำวัน นอกจากนีผ้ ู้เรียนก็สามารถแสดงบทบาทในช้ันเรยี น โดยไม่มีการ
เตรียมตัวล่วงหน้า

วารี ถริ จิตร (2534, หนา้ 186 อ้างองิ ใน กรมวิชาการ, 2543ข, หนา้ 18) กล่าววา่ บทบาทสมมติ
หมายถงึ การสมมติบทบาทและจดั สถานการณใ์ หผ้ ู้แสดงบทบาทได้แสดงความรูส้ กึ นึกคิดอารมณจ์ ากสถานการณ์ท่ีสมมติ
ขึ้นซง่ึ อาจจะเตรียมมาก่อน ภายหลังของการแสดงบทบาทสมมติ จะต้องมีการอภิปรายเกี่ยวกบั การแสดงบทบาท
ความรูส้ กึ นกึ คิดของผแู้ สดง ผู้ดแู ละมกี ารสรุปผลของการแสดงบทบาทนน้ั ดว้ ย
การแสดงบทบาทสมมตเิ ป็นการฝึกให้ผแู้ สดงได้ประสบกบั สถานการณจ์ ริงในสภาพของการสมมติขนึ้ มาทัง้ นี้เพ่ือฝึก
ให้ผเู้ รียนไดท้ ดลองและเรียนรูท้ ี่จะปรบั พฤติกรรมของตนอย่างมปี ระสทิ ธิภาพในสภาวะต่างๆ

การสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing) คอื เทคนิคการสอนที่ให้ผ้เู รียนแสดงบทบาทใน
สถานการณ์ทส่ี มมติข้นึ น่นั คือแสดงบทบาทท่ีกำหนดให้ การแสดงบทบาทสมมติมี 2 ลักษณะ คือ

1. ผู้แสดงบทบาทสมมติจะต้องแสดงบทบาทของคนอ่นื โดยละทงิ้ แบบแผนพฤติกรรมของตนเองหรือการ
เปลี่ยนบทบาทซึ่งกนั และกันกับเพื่อนหรือเปน็ บุคคลสมมติ

2. ผแู้ สดงบทบาทจะยงั คงรักษาบทบาทและแบบแผนพฤติกรรมของตน แต่ปฏิบตั อิ ยใู่ นสถานการณ์ท่ีอาจ
พบในอนาคต บทบาทสมมติประเภทน้ีเปน็ ประโยชน์ตอ่ การฝกึ ฝนทกั ษะเฉพาะ

บทบาทสมมติที่ใช้ประกอบการเรียนการสอนอยใู่ นปจั จบุ นั น้ี แยกได้เปน็ 3 วธิ ี ดงั นี้

1. การแสดงบทแสดงละคร วิธีนผ้ี ทู้ ่จี ะแสดงตอ้ งฝกึ ซอ้ มแสดงทา่ ทางตามบททก่ี ำหนดขน้ึ ไว้แล้ว เชน่
การแสดงละครเรือ่ งทีเ่ กย่ี วกับบทเรียนในหนงั สือเรียนภาษาไทย ผูแ้ สดงบทบาทสมมติแบบละคร จะต้องพดู ตาม
บทบาทท่ผี ู้เขียนกำหนดขน้ึ

2. การแสดงบทบาทสมมติแบบไมม่ บี ทเตรียมไว้ ผูแ้ สดงตอ้ งไม่ฝึกซ้อมมาก่อนเรยี นไปถึงเร่ืองใดตอนใดก็
ออกมาแสดงได้ทันที โดยแสดงไปตามความรสู้ กึ นึกคดิ ของตนเอง เช่น แสดงเป็นบคุ คลต่างๆ ในชุมนมุ ชน เป็นหมอ
เป็นทหาร เปน็ ตำรวจ นกั เรยี นได้คิด ได้พดู และแสดงพฤตกิ รรมจากความรู้สึกนึกคิดของเขาเอง

3. การใชบ้ ทบาทสมมติแบบเตรยี มบทไวพ้ ร้อม ผ้สู อนไดเ้ ตรยี มบทมาไว้ลว้ งหนา้ บอกความคิด
รวบยอดใหผ้ ู้แสดงทราบ ผแู้ สดงอาจต้องแสดงตามบทบาทบ้าง คิดบทบาทข้ึนแสดงเองตามความพอใจบ้าง แต่ต้อง
ตรงกบั เนื้อเรื่องทก่ี ำหนดให้

10

ขั้นตอนการจดั การเรียนรู้

การจัดการเรียนรู้แบบแสดงบทบาทสมมติ มีขน้ั ตอนดงั ต่อไปนี้

1. ข้ันเตรยี มการใช้บทบาทสมมติ แบ่งเปน็ 2 ข้นั ตอน ดังน้ี

1.1 ขนั้ การกำหนดวตั ถุประสงคเ์ ฉพาะ ผ้สู อนควรศึกษาและทำความเข้าใจพน้ื ฐานเสยี กอ่ นว่า
ต้องการใหผ้ ู้เรยี นได้รบั ความรู้อะไรบา้ งจากการแสดงและกรรมวิธใี นการใชบ้ ทบาทสมมตินำไปเพ่ือต้องการให้เกิดอะไรข้นึ

1.2 ขั้นสร้างสถานการณ์และบทบาทสมมติ เม่ือผู้สอนได้ศึกษาและเข้าใจรายละเอียดเกย่ี วกบั
วัตถปุ ระสงค์เฉพาะในการเตรียมใชบ้ ทบาทสมมตแิ ลว้ ก็จำเป็นต้องสร้างสถานการณ์และบทบาทสมมติใหส้ อดคล้อง
ตอ้ งกนั กบั วัตถปุ ระสงค์ดังกล่าว ซึ่งจำเป็นต้องเลง็ เห็นถึงวยั ของผเู้ รยี น เนอ้ื หาสาระ ปัญหา ความเปน็ จรงิ ข้อโต้แข้ง
ตลอดจนอปุ สรรคที่จำเป็นตา่ งๆ ทผ่ี ู้สอนต้องใหผ้ ู้เรยี นได้รู้จกั คิด ปฏบิ ัติและแก้ไขดว้ ยตนเอง

2. ข้ันแสดงบทบาทสมมติ แบง่ เปน็ 7 ข้นั ตอน ดงั นี้

2.1 การนำเข้าสู่สถานการณ์ ผู้สอนเตรียมเร่ืองหรือสถานการณ์ใหผ้ ูเ้ รียน แล้วนำเรือ่ งราวมาเล่าให้
ผเู้ รียนฟัง เพ่ือเปน็ การเร้าความสนใจ เปน็ แรงจูงใจให้ผูเ้ รียนอยากเรยี นและ อยากตดิ ตาม และควรใหผ้ ้เู รียนได้เล็งเห็น
ประโยชนท์ ่จี ะได้รบั จากการท่ีเข้ามามีส่วนรว่ มในการแสดงบทบาทสมมตินน้ั ๆ

2.2 การกำหนดตัวผู้แสดง การเลอื กผู้แสดงขน้ึ อยู่กบั จดุ มงุ่ หมายของการสอนและ การแสดงสำหรบั
การเลอื กตวั ผแู้ สดง ควรใหผ้ เู้ รยี นอาสาสมคั รมาแสดงบทบาทด้วยความเตม็ ใจ

2.3 การจดั สถานที่ ผู้สอนควรให้ผูเ้ รียนไดร้ ว่ มมอื ในการจดั สถานทส่ี ำหรับการแสดงบทบาทสมมติ ซ่งึ
ควรจดั และดัดแปลงให้เหมาะสมกับเนื้อเร่ืองท่ีกำหนดไว้

2.4 การกำหนดตัวผู้สงั เกตการณ์ โดยผสู้ อนอาจจะกำหนดผู้เรยี นกลุม่ หนึ่งใหเ้ ปน็ ผู้

สงั เกตการณ์ในการแสดงบทบาท โดยฝึกใหเ้ ปน็ คนช่างสังเกตและรวบรวมข้อมูลตา่ งๆ เพอื่ นำมาวิเคราะห์ อภปิ ราย

และแกป้ ัญหารว่ มกนั หลงั จากสิน้ สุดการแสดงบทบาทสมมตแิ ลว้

2.5 การเตรียมพรอ้ มก่อนการแสดง วธิ ีเตรยี มความพร้อมนนั้ ผสู้ อนต้องเปน็ ผู้ช่วยเหลอื ไม่ใหผ้ ูเ้ รียน
ตอ้ งมีความวติ กกงั วลเกีย่ วกับการแสดงให้มากเกนิ ไป ควรชี้แจงใหผ้ แู้ สดงทราบวา่ การแสดงกเ็ หมือนกับการพูด คุย
และเล่นกนั ธรรมดา เพียงแต่ต้องแสดงบทบาทต่างๆ ตามท่ไี ด้กำหนดไวเ้ ทา่ นน้ั

11

2.6 การลงมอื แสดง เมือ่ ผ้แู สดงพร้อมแล้วกเ็ รมิ่ ลงมือแสดงไดเ้ ลย ควรเปิดโอกาสให้
ผแู้ สดงไดใ้ ช้ความสามารถของตนได้เต็มที่ ถ้าเกิดปัญหาข้ึนในขณะทแ่ี สดง ผูส้ อนควรมสี ว่ นร่วมในการแก้ไขสถานการณ์
เพื่อให้การแสดงเป็นไปตามธรรมชาตแิ ละราบร่นื ต่อไป

2.7 การตัดบท ถ้าบังเอญิ การแสดงของผูเ้ รยี นยดื เยอ้ื และใชเ้ วลานานเกนิ ความจำเปน็ และผสู้ อนท่ี
ความคิดเห็นวา่ ได้ข้อมูลในการแสดงพอสมควรแล้ว ก็สามารถขอใหย้ ตุ ิการแสดง เพ่ือจะไดน้ ำขอ้ มลู มาวเิ คราะหแ์ ละ
อภิปรายและแก้ไขปัญหาต่างๆ ตอ่ ไป

3. ข้ันวิเคราะห์และอภิปรายผล การนำข้อมูลทไ่ี ด้จากการแสดงมาวเิ คราะห์และอภิปราย ผสู้ อนและ
ผู้เรยี นต้องรว่ มมือกัน แต่ควรอภิปรายในรูปแบบของความมีเหตุมผี ลเฉพาะการแสดงออกของผูแ้ สดงทางพฤตกิ รรม
เทา่ นนั้ แต่จะไม่มีการวิพากษ์วิจารณเ์ กยี่ วกับตวั ผู้แสดง

4. ข้นั แลกเปล่ยี นประสบการณ์และสรุป เม่ือไดว้ ิเคราะหแ์ ละอภิปรายผลของการแสดงแล้ว ผู้สอนจะเป็น
ผูเ้ ร้าและจูงใจใหผ้ ู้เรียนได้แลกเปลย่ี นประสบการณ์ต่างๆ เพ่ือให้มแี นวคดิ กว้างขวางขึน้ โดยให้ข้อคิดวา่ สง่ิ ที่ไดเ้ รียนรู้
หรือประสบพบเห็นนั้นๆ จะเกย่ี วข้องกบั ความเปน็ จรงิ ทงั้ ส้นิ แล้วใหผ้ ูเ้ รียนชว่ ยกนั ให้แนวมโนทัศนแ์ ละช่วยกันสรุป
ประเด็นให้ตรงกบั วตั ถปุ ระสงคข์ องการแสดงบทบาทสมมติท่ีกำหนดไว้

บุญชม ศรีสะอาด (2541, หนา้ 62 อ้างอิงใน กรมวชิ าการ, 2543ข, หนา้ 20) ไดเ้ สนอแนะเพ่ือเพิ่ม
ประสิทธภิ าพของการสอนโดยการแสดงบทบาทสมมติ ไวด้ ังน้ี

1. ผู้สอนควรชแี้ จงจดุ ประสงค์ของการแสดงบทบาทสมมติ และส่งิ ท่ีต้องการให้ผู้สังเกตศึกษาจากการ
แสดงบทบาทสมมติน้นั

2. ผูส้ อนตอ้ งเตรยี มสถานการณ์ และมีคำอธิบายสถานการณใ์ หช้ ดั เจนสำหรับผู้ทีจ่ ะแสดงบทบาทแตล่ ะคน
ซ่ึงจะต้องจดจำสถานการณ์ท่ีตนจะต้องแสดงบทบาทไวใ้ หแ้ มน่ ยำ มีความเขา้ ใจในบทบาทของตนอย่างรู้แจง้
สถานการณ์และบทบาทที่กำหนดมักพิมพ์ลงในแผ่นกระดาษเพ่ือมอบใหผ้ ู้แสดงได้ศึกษา

3. ควรให้เวลาในช่วงสน้ั ๆ สำหรบั ผทู้ จี่ ะแสดงบทบาทสมมตไิ ด้ประมวลความคดิ ซักซ้อมและ
เตรียมการ

4. ในการแสดงบทบาทสมมติ จะตอ้ งมีบรรยากาศท่ีเสรแี ละความรสู้ ึกปลอดภยั
5. อาจมกี ารปรับปรุงและแสดงกิจกรรมบางตอนใหม่
6. หลังจากการแสดงบทบาทสมมตคิ วรมีการอภปิ รายถึงพฤติกรรมทีแ่ สดงและประเมนิ ผลการปฏิบัติของ
ผูเ้ รยี น โดยใช้คำถามต่อไปน้ี

6.1 แตล่ ะคนแสดงบทบาทไดส้ มจรงิ เพียงใด
6.2 มคี วามแตกตา่ งของบทบาทท่ีแสดงในทางใด
6.3 การแสดงบทบาทเปล่ยี นแปลงแนวคิดของทา่ นเกย่ี วกับตวั ละครท่ีแสดงอย่างไร
6.4 อะไรคือจุดประสงค์ของการแสดงบทบาทสำหรบั บทเรยี นนี้

12

งานวิจยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง

1. การใช้กิจกรรมบทบาทสมมติเพื่อพัฒนาทักษะการพูดภาษาองั กฤษเพื่อการสื่อสารสำหรับ
นกั เรียน ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 โรงเรียนยอแซฟอุปถัมภอ์ ำเภอสามพราน จังหวดั นครปฐม (2561 : บทคัดย่อ)
ผลการวจิ ยั ปรากฏวา่ 1) ทกั ษะการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารหลังเรยี นโดยใช้กจิ กรรมบทบาทสมมติสงู ขึน้ กว่าก่อน
เรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .05 และ 2) นกั เรียนมีความพึงพอใจต่อบทบาทสมมติเพ่ือพัฒนาทักษะการพดู
ภาษาองั กฤษเพื่อการสื่อสารอย่ใู นระดับพึงพอใจมากที่สุด (Mean = 4.75, S.D. = 0.42) ซ่งึ มปี ระสิทธภิ าพสูงกวา่ เกณฑ์ที่
กำหนด

2. เพื่อศึกษาการพัฒนาความสามารถดานการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดยใชกจิ กรรมบทบาทสมมติกลุ
มตวั อยางเปนนักเรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที่ 5 ประจําภาคเรียนท่ี1 ปการศึกษา 2550 โรงเรยี นวชริ ธรรมโศภิต อาํ เภอบาน
แหลม จังหวัดเพชรบรุ ี ผลการวิจัยพบวา ความสามารถในการพดู ภาษาอังกฤษเพ่ือการสือ่ สารโดยใชกจิ กรรมบทบาท
สมมติของผูเรยี น สูงกวากอนการทดลอง อยางมีนัยสําคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 และผูเรียนมกี ารพฒั นาดานการพดู
ภาษาองั กฤษอยางตอเนื่อง และมีความมนั่ ใจในการพูดภาษาองั กฤษมากข้ึน

3. การพฒั นาทักษะการใช้ Present Perfect Tense โดยการสอบท่องกริยา 3 ช่อง ในรายวิชาภาษาองั กฤษ
พื้นฐาน (อ31101) ของนกั เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4/14 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2560สงั กัดกล่มุ สาระการ
เรียนรภู้ าษาต่างประเทศ โรงเรยี นวัดเขมาภิรตาราม ผลการเปรยี บเทียบผลคะแนนก่อนและหลังการท่องกริยา 3 ชอ่ ง
จากข้อมูลคะแนนเฉล่ียกอ่ น/หลังการทำแบบทดสอบ Present Perfect Tense พบว่าคะแนนหลังการสอนโดยให้
นักเรยี นฝึกท่องกริยา 3 ชอ่ ง ของนักเรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 4/14 มีค่าเฉลีย่ 8.083 คะแนน จากก่อนเรียน 3.694
คะแนน เน่ืองจากนักเรียนได้ฝึกฝน อ่าน และจดจำกริยา 3 ชอ่ ง ทีม่ ักใช้บ่อย ได้ ทำให้แตง่ ประโยคไดด้ ขี น้ึ

13

บทที่ 3
วธิ ีดำเนนิ การวจิ ยั

การวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอา่ นและการพดู Present Perfect Tense เพือ่ เพ่ิมผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น
โดยใช้รูปแบบการสอน Active Learning ร่วมกบั การฝึกพูดบทบาทสมมุติของนกั เรยี น สำหรบั นกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษา
ปที ่ี 3

ผวู้ ิจยั ได้ดำเนนิ การวจิ ยั ตามขนั้ ตอนดังนี้

1.ศกึ ษาสภาพปัญหา
จากการไดค้ ้นควา้ หาข้อมูลทีผ่ ่านมาพบว่าการเรียนร้ใู นเร่ืองการใช้ Present Perfect Tense

โดยการฝกึ พูดบทบาทสมมตุ ขิ องนกั เรยี น ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 ของผเู้ รียนในปัจจบุ นั ผู้เรยี นมักขาดความสนใจ และขาด
ความกระตอื รือร้น และขาดความเข้าใจที่ถูกต้อง ใชใ้ นการสื่อสารหรอื นำไปใชใ้ นการเรียนการสอนไมถ่ ูกตอ้ ง ซึ่งอาจจะ
เกดิ ปัญหาเน่ืองมาจากรปู แบบการสอนท่ีไม่นา่ สนใจ ไม่กระต้นุ ความสนใจของผูเ้ รยี น การเรยี นการสอนเปน็ รปู แบบเดมิ ๆ
หรือสื่อการสอนที่ไม่เหมาะสมกบั การเรียนการสอน ทำใหก้ ารเรยี นการสอนและการเรียนรู้เร่ืองคำราชาศัพท์ เปน็ เรือ่ งท่ี
ไม่นา่ สนใจ

ผวู้ จิ ัยจึงต้องการที่จะให้มีการจัดการเรียนการสอนโดยใช้บทเรยี นบทเรยี นบทเรียน Present Perfect
Tense และบทเรียน กริยา 3 ในรปู แบบบทบาทสมมตุ เิ ป็นวธิ ีการทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพและมีประโยชน์ เหมาะสมกับการ
เรยี นการสอนกับปัจจุบนั จึงมีความสนใจท่ีจะพัฒนาบทเรยี นคอมพิวเตอรช์ ่วยสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
สำหรับนักเรียนชว่ งชั้นท่ี 2 เรอ่ื ง Present Perfect Tense โดยสร้างบทเรียน Present Perfect Tense และบทเรียน
กรยิ า 3 ช่วยสอนแบบนำเสนอเนอื้ หาและฝึกฝนและปฎบิ ัติ โดยผลการวจิ ัยทัง้ หมดจะมปี ระโยชน์ต่อการเรยี นการสอน
และนำไปปรับปรงุ ให้มีประโยชนใ์ นการเรียนการสอนใหม้ ีประสิทธิภาพ ซึง่ เปน็ อกี หน่ึงวิธีทจี่ ะช่วยให้ผเู้ รียนประสบ
ความสำเร็จในการเรยี น สามารถเรียนรู้ได้อย่างมีความสุข ใช้ Present Perfect Tense ไดถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมตาม
สถานการณ์ และทสี่ ำคัญเพ่ือเปน็ การพัฒนานักเรยี นในระดับสากล

2. แบบแผนการวจิ ยั

การวิจัยครัง้ น้ี เปน็ การวิจยั เชงิ ทดลอง
มวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อ

1. เพื่อให้นักเรียนสามารถแต่งประโยค Present Perfect Tense ได้
2. เพอื่ ให้นักเรยี นสามารถจดจำกรยิ า 3 ชอ่ งได้
3. เพ่อื ใหน้ กั เรียนสามารถเรยี งแต่งประโยคได้ถกู ต้องตามโครงสรา้ งไวยากรณ์

และสามารถส่ือสารได้

14

3. ประชากร/กล่มุ ตวั อยา่ ง

ประชากรของการวจิ ยั ครง้ั น้คี อื นักเรียนระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาช้ันปที ี่ 3 ของโรงเรียนชุมแสงชนทู ิศ
ท่ลี งทะเบยี นเรยี นวิชาภาษาอังกฤษพ้ืนฐาน อ23101 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565
จำนวน 191 คน

กลมุ่ ตวั อย่างคอื นักเรยี นระดับชั้นมัธยมศึกษาชน้ั ปที ี่ 3 ของโรงเรียนชุมแสงชนทู ิศ ท่ีลงทะเบียนเรยี นวชิ า
ภาษาอังกฤษพ้นื ฐาน อ23101 ในภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2565
จำนวน 191 คน ทีเ่ ลือกโดย โดยการจบั สลาก เลอื กหอ้ ง มา 1 ห้องเรยี น จาก 5 ห้องเรยี น จำนวน 50 คน และเลอื ก
นักเรยี น โดยในแต่ละคร้ังจะแบ่งจำนวนคนไม่ซำ้ กันดงั น้ี
การทดลองครงั้ ที่ 1 ใช้กลมุ่ ตัวอย่าง จำนวน 5 คน
การทดลองคร้งั ท่ี 2 ใช้กลุ่มตวั อย่าง จำนวน 15 คน
การทดลองคร้งั ที่ 3 ใชก้ ลุ่มตวั อย่าง จำนวน 30 คน

4. เคร่ืองมอื ที่ใช้ในการวจิ ยั

เคร่อื งมอื ท่ีใช้ในการวิจัยคร้งั น้ีประกอบดว้ ย
- แบบฝึกหัด Present Perfect Tense
- เทคนิคการสอน การสอบท่องกรยิ า 3 ชอ่ ง
- แบบฝึกหดั บทสนทนา Present perfect Tense
- แบบทดสอบเก็บคะแนน

5. ขนั้ ตอนการสรา้ งเคร่อื งมือแต่ละประเภท

เครือ่ งมอื ที่ใช้ในการวิจยั ในที่นี้หมายถึงการสรา้ งบทเรียน Tense
เรื่อง Present Perfect Tense คือ
เครือ่ งมือท่ีใช้ในการวิจยั

- แบบฝกึ หัด Present Perfect Tense
- เทคนคิ การสอน การสอบท่องจากริยา 3 ช่อง
- แบบฝึกหัดบทสนทนา Present perfect Tense
- แบบทดสอบเกบ็ คะแนน
ขน้ั ตอนการพัฒนาเคร่ืองมือและสร้างส่ือ
1. บทเรียน Tense เร่ือง Present Perfect Tense สำหรบั นักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาตอนปลาย
ชว่ งชั้นท่ี 3 ช้ัน ม.3
บทเรียน Tense เรื่อง Present Perfect Tense มลี กั ษณะการนำเสนอเน้ือหาเป็นหน่อยย่อยๆ ทีผ่ ู้เรยี นสามารถ
ปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับบทเรยี นได้ มแี บบทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรยี นเพื่อใหผ้ ูเ้ รียนได้ทบทวนความรู้ และมีแบบฝึก
ทกั ษะเพื่อเสรมิ ความรู้ เมื่อตอบถูกหรอื ผิดจะมีการสะท้อนกลับและประเมินผลเป็นข้อมูลยอ้ นกลบั ได้ทนั ที

15

1 ข้ันการเตรียมการ ( Preparation)

ข้ันตอนการเตรยี มน้ี จะต้องเตรยี มพร้อม ในเร่ืองของ ความชัดเจน ในการกำหนดเป้าหมาย และวัตถุประสงค์
เตรยี มการโดย รวบรวมข้อมลู เรยี นร้เู น้อื หา เพื่อใหเ้ กดิ การสร้าง หรอื ระดมความคิด ขั้นตอนการเตรียมน้ี เป็นข้นั ตอนที่
สำคัญ มากตอนหนง่ึ ต้องใช้เวลา ใหม้ าก เพราะการเตรียมพรอ้ ม ในส่วนนี้ จะทำใหข้ ั้นตอนต่อไป ในการออกแบบ เป็นไป
อย่างต่อเน่อื ง และมปี ระสิทธิภาพ

- กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ ( Determine Goal Objectives) การกำหนดเป้าหมาย และวตั ถุประสงค์ ของ
บทเรยี น คอื การตง้ั เป้าหมายวา่ ผู้เรียนจะสามารถ ใช้บทเรียนนี้ เพื่อศึกษาในเรอ่ื งใด และลักษณะใด คอื เป็นบทเรียน
หลัก เปน็ บทเรียนเสรมิ เป็นแบบฝกึ หดั เพ่ิมเติม หรือเป็นแบบทดสอบ ฯลฯ รวมทัง้ การกำหนด วัตถุประสงค์ ในการเรียน
วา่ เมือ่ ผู้เรยี น เรียนจบแลว้ จะสามารถทำอะไรได้บา้ ง และพิจารณาครอบคลมุ ถึงวิธีการในการ ประเมนิ ผล ควบคู่กนั ไป
เชน่ รปู แบบคำถาม หรือจำนวนข้อคำถาม

- รวบรวมข้อมูล (Collect Resource) การรวบรวมข้อมลู หมายถงึ การเตรียมพร้อมทางด้าน ทรพั ยากร สารสนเทศ
ท้งั หมด ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ทัง้ ในส่วนเนอ้ื หา การพัฒนา และออกแบบบทเรยี น และส่ือ ในการเสนอบทเนียน ได้แก่ ผ้เู ชยี่ วชาญ
ด้านเนอื้ หา รวมถงึ ตำรา หนังสือ วารสารทางวิชาการ หนงั สอื อา้ งองิ สไลด์ ภาพต่างๆ หนังสอื การออกแบบบทเรียน
กระดาษ สำหรบั วาด สตอร่บี อรด์ สือ่ สำหรบั การทำ กราฟฟิค ผเู้ ช่ยี วชาญด้าน การออกแบบบทเรยี น คอมพวิ เตอร์ คู่มือ
ตา่ งๆ ทง้ั ของคอมพิวเตอร์ และของโปรแกรมช่วยสรา้ งคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ที่ต้องการใช้ และผูเ้ ชีย่ วชาญ การสร้าง
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน

- เรียนร้เู นอ้ื หา ( Learn Content) ผ้อู อกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน จำเป็นต้องเรยี นรู้เนื้อหาด้วย การเรียนรู้
เนอ้ื หา อาจทำได้หลายลักษณะ เช่น สมั ภาษณผ์ ูเ้ ช่ียวชาญ การอา่ นหนงั สือ หรอื เอกสารอื่นๆ ท่เี กี่ยวเน่ืองกบั เน้อื หาของ
บทเรยี น การเขา้ ใจเนือ้ หา อย่างถูกต้อง ลกึ ซึ้ง ทำใหส้ ามารถ ออกแบบบทเรยี น ในลกั ษณะที่ท้าทาย ผเู้ รียน ในการ
สร้างสรรค์ ได้

- สร้างความคดิ (Generate Ideas) การสร้างความคิด คือ การระดมสมอง ซึ่งหมายถึง การกระตนุ้ ใหเ้ กดิ การใชค้ วามคิด
สรา้ งสรรค์ เพ่ือให้ได้ข้อคิดเห็นตา่ งๆ จำนวนมาก จากทีมงาน ในระยะเวลาอนั ส้นั เพ่ือให้ได้ข้อคดิ เห็นต่างๆ อันจะนำมา
ซงึ่ แนวคดิ ท่ดี ี น่าสนใจ

2. ขั้นตอนการออกแบบบทเรียน ( Design Instruction)

*ขั้นตอนท่ี 2 เปน็ ขน้ั ตอนท่สี ำคัญทส่ี ุด ขน้ั ตอนหน่งึ ในการกำหนดว่า บทเรียนจะออกมาในลักษณะใด

- ทอนความคิด ( Elimination of Ideals) หลงั จากระดมสมองแล้ว นักออกแบบ จะนำความคิด ท้งั หมด มา

ประเมินดวู า่ ข้อคิดใดท่ีน่าสนใจ การทอนความคิด เริ่มจากการนำขอ้ คิด ท่ีไม่อาจปฏบิ ตั ไิ ด้ออกไป และรวบรวมความคดิ ท่ี

16

น่าสนใจ ทีเ่ หลอื อยนู่ น้ั มาพิจารณาอีกครงั้ ซ่ึงในชว่ งการพิจารณาอีกคร้ัง อาจรวมไปถงึ การซกั ถาม อภิปรายถึง
รายละเอียด และขดั เกลา ข้อคิดตา่ งๆ

- วิเคราะห์งาน และแนวคดิ ( Task and Concept Analysis) การวิเคราะห์งาน เปน็ การวเิ คราะห์ขัน้ ตอน เนอ้ื หา ที่
ผู้เรยี น จะตอ้ งศึกษา จนทำให้เกิดการเรยี นรเู้ พยี งพอ สว่ นการวิเคราะห์แนวคิด คอื ข้นั ตอนในการวิเคราะห์เนือ้ หา ซึ่ง
ผูเ้ รียนตอ้ งศึกษา อยา่ งพนิ จิ พิจารณา ทั้งน้ีเพ่ือให้ไดม้ าซึ่ง เน้ือหาที่เหย่ี วข้องกับการเรยี น และเนื้อหาท่ีมีความชัดเจน
เทา่ นั้น การคดิ วิเคราะหเ์ น้ือหา อย่างละเอียด รวมไปถงึ การนำเนอื้ หาทงั้ หมด ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง มาพจิ ารณา อย่างละเอียด และ
ตัดเนอ้ื หาในสงิ่ ท่ีไม่เกย่ี วข้องออกไป หรือทที่ ำให้ผเู้ รียนสบั สนได้ง่ายออกไป การวิเคราะห์งาน และการวเิ คราะหแ์ นวคดิ
ถอื ว่าเปน็ การวิเคราะห์ ที่มีความสำคัญมาก ทงั้ น้ี เพือ่ หาลักษณะการเรยี นรู้ ( Principles of learning ) ท่เี หมาะสมของ
เน้อื หานั้นๆ และเพ่ือให้ไดม้ า ซึ่งแผนงาน สำหรบั ออกแบบบทเรยี นที่มีประสทิ ธภิ าพ
- การออกแบบบทเรียนขน้ั แรก ( Preliminary lesson Description) ผอู้ อกแบบ จะต้องนำงาน และแนวคิดทง้ั หลาย ท่ี
ได้มาน้ัน มาผสมผสานให้กลมกลนื และอกแบบให้เปน็ บทเรียนมีประสิทธิภาพ โดยผสมผสานงาน และแนวคิดเหลา่ นี้
จะต้องทำภายใต้ทฤษฎี การเรียนรู้ โดยวเิ คราะหก์ ารเรียน การสอน ซง่ึ ประกอบดว้ ย การกำหนดประเภท ของการเรียนรู้
ประเภทของคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน การกำหนดขนั้ ตอน และทกั ษะท่จี ำเป็น การกำหนดปจั จยั หลัก ท่ตี อ้ งคำนงึ ถึง ในการ
ออกแบบคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน แตล่ ะประเภท และสดุ ทา้ ยคือ การจดั ระบบความคิด เพ่ือให้ได้มาซ่งึ การออกแบบลำดบั
( sequence) ของบทเรยี นที่ดีทส่ี ุด ผู้ออกแบบควรใช้เวลา ในสว่ นนี้ใหม้ ากท่ีสดุ โดยเฉพาะอย่างย่งิ ในการสรา้ งสรรค์งาน
หรอื กจิ กรรมต่างๆ ของคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน ท่ีผู้เรียนตอ้ งมีปฎิสมั พันธ์ด้วย เพื่อใหผ้ ูเ้ รียนมคี ามสนใจต่อการเรยี นได้อยา่ ง
สม่ำเสมอ และต่อเนื่อง นอกจากนี้ ต้องใชเ้ วลาให้มาก ในสว่ นของการออกแบบลำดับของการนำเสนอของบทเรยี น
เพอ่ื ให้ไดม้ าซึง่ โครงสรา้ งของ คอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน ทีส่ ามารถ ตอบสนองความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลของ ผเู้ รียนได้จริง

- ประเมิน และแกไ้ ขการออกแบบ ( Evaluation and revision of the design) การประเมินระหว่างการออกแบบ เปน็
สงิ่ ที่มีความสำคญั มาก ในการออกแบบบทเรยี น อย่างมรี ะบบ หลังจากการออกแบบแล้ว ควรมกี ารประเมินโดย
ผเู้ ช่ียวชาญเนือ้ หา ผู้เช่ียวชาญการออกแบบ และโดยผูเ้ รยี น การประเมินน้ี อาจหมายถึง การทดสอบว่า ผเู้ รยี น จะ
สามารถบรรลุเป้าหมายหรือไม่ การรวบรวมทรพั ยารกรทางด้านข้อมูลต่างๆ มากขน้ึ การหาความรเู้ กย่ี วกับเนื้อหา เพ่ิมขน้ึ
การทอนความคิดออกไปอีก การปรับแก้ การวิเคราะหง์ าน หรอื การเปล่ยี นประเภทของคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน

3 ข้นั ตอนการเขยี นผงั งาน ( Flow-chart Lesson)

ผงั งานคอื ชดุ ของสัญลักษณ์ตา่ งๆ ซ่ึงอธิบาย ขั้นตอนการทำงานของโปรแกรม เปน็ การ นำเสนอ ลำดับข้ันตอน โครงสร้าง
ของบทเรยี น คอมพิวเตอร์ ชว่ ยสอน และทำหน้าท่เี สนอข้อมูล เกยี่ วกบั โปรแกรม เช่น อะไรจะเกิดขน้ึ เมื่อผู้เรียนตอบ
คำถามผดิ หรือ เม่อื ไรทีจ่ ะมีการจบบทเรยี น

การเขยี นผงั งาน มีไดห้ ลายระดับ แตกต่างกันไป แลว้ แต่ความละเอยี ดของแตล่ ะผังงาน การเขียนผงั งานนนั้ ขึ้นอยู่
กับประเภท ของบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน ดว้ ย เชน่ ประเภทติวเตอร์ ประเภทแบบฝกึ หดั แบบทดสอบ ควรใชผ้ ัง
งานในลักษณะธรรมดา ซึ่งไม่ตอ้ งลงรายละเอียด โดยแสดงภาพรวม และลำดับของบทเรียนเท่าทีจ่ ำเปน็ แต่ลำหรบั

17

บทเรยี น ที่มคี วามซบั ซ้อน เชน่ บทเรียนประเภทการจำลอง หรือประเภทเกม ควรมผี ังงานให้ละเอยี ด เพอ่ื ความชัดเจน
โดยมีการแสดงขน้ั ตอน วิธี ( Algorithm) การทวนซำ้ ของโปรแกรม กฎ หรือกฏิกา ของเกม อย่างละเอยี ดด้วย

4 ขนั้ ตอนการสร้าง สตอรบี่ อรด์ ( Create Storyboard)

การสรา้ ง สตอร่ีบอร์ด เปน็ ขั้นตอนของการนำเสนอเนื้อหา และลกั ษณะของการนำเสนอเนือ้ หา และลักษณะของการ
นำเสนอด้วยขอ้ ความ ภาพ รวมทัง้ สื่อในรูปแบบ มลั ตมิ ีเดีย ลงบนยกระดาษ กอ่ นทจี่ ะนำเสนอ บนหน้าจอ คอมพวิ เตอร์
ตอ่ ไป ในขนั้ นีค้ วรมีการประเมิน และทบทวน แก้ไขบทเรยี น จากสตอรร์ ี่บอร์ดนี้ จนกระทั่ง ผรู้ ว่ มงานในทีมทกุ ฝาย พอใจ
กบั คุณภาพของบทเรยี นเสยี ก่อน ผู้มสี ว่ นร่วมในการประเมินคอื ผ้เู ช่ียวชาญด้านเน้ือหา ผ้เู ชี่ยวชาญด้านการออกแบบ
ผเู้ รยี นทอี่ ยู่ในกลุ่มเปา้ หมาย เพอื่ ชว่ ยในการตรวจสอบเน้ือหา ท่อี าจจะสบั สน ไมช่ ดั เจน ตกหล่น และเน้อื หาทอี่ าจจะยาก
หรืองา่ ยเกนิ ไป สำหรับผู้เรียน

5 ข้ันตอนบทเรยี น Tense เรอ่ื ง Present Perfect Tense

ข้นั ตอนการสรา้ ง/เขียนบทเรียน Tense เรือ่ ง Present Perfect Tense นี้ เป็นกระบวนการเปล่ยี น สตอรร์ บ่ี อร์ด ให้
กลายเป็นบทเรยี นช่วยสอน การเขยี นบทเรียนน้ัน อาจใช้ตำราภาษาต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยระดับโลก หรอื ใช้แบบฝึกหัด
ทไ่ี ด้มาตรฐาน

ปจั จยั หลัก ในการพิจารณาโปรแกรมช่วยสรา้ งคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน ทเี่ หมาะสมน้ัน ไดแ้ ก่ ฮาร์ดแวร์ ทใี่ ช้ ลักษณะและ
ประเภท ของบทเรยี น ทต่ี ้องการสร้าง ประสบการณ์ของผู้สรา้ ง ( โปรแกรมเมอร์) และด้านงบประมาณ

6 ขนั้ ตอนการผลิตเอกสารประกอบบทเรยี น Tense เรื่อง Present Perfect Tense ( Design Instruction)

เอกสารประกอบบทเรียน อาจแบง่ ได้เป็น 4 ประเภท คือ คมู่ อื การใช้ของผเู้ รยี น คมู่ ือการใช้ของผสู้ อน คู่มือสำหรับ
แกป้ ัญหา เทคนคิ ต่างๆ และเอกสารประกอบเพ่ิมเติมทว่ั ๆ ไป ผ้สู อนอาจต้องการข้อมูล เกี่ยวกบั การติดตั้งโปรแกรม การ
เข้าไปดูข้อมูลผู้เรยี น และการใชค้ อมพิวเตอร์ชว่ ยสอน ในหลกั สตู ร ผูเ้ รยี นอาจต้องการข้อมูล ในการจดั การกับบทเรยี น
และการสืบไปในบทเรียน คู่มือปญั หา เทคนิค ก็มีความจำเป็น หากการตดิ ต้ังบทเรียน มีความสลบั ซับซ้อน หรือต้องการ
ใชเ้ ครอื่ งมือ อุปกรณ์อนื่ ๆ เช่น การติดตั้ง แลน เอกสารเพ่ิมเตมิ ประกอบ อาจได้แก่ แผนภาพ ขอ้ สอบ ภาพประกอบ

18

7 ข้ันตอนการประเมิน และแก้ไข บทเรียน ( Evaluate and Revise)

ในชว่ งสุดทา้ ย เป็นการประเมินบทเรยี น และเอกสารประกอบทั้งหมด โดยเฉพาะ การประเมนิ ในสว่ นของการนำเสนอ
และการทำงานของบทเรียน ในสว่ นของการนำเสนอนั้น ผู้ท่ีควรจะทำการประเมนิ คือ ผู้ท่ีเคยมปี ระสบการในการ
ออกแบบมาก่อน ในการประเมนิ การทำงานของบทเรียนนั้น สังเกตพฤตกิ รรมของผู้เรยี น ทเ่ี ปน็ กลมุ่ เปา้ หมาย ในขณะท่ใี ช้
บทเรยี น หรือสัมภาษณ์ ผเู้ รยี น หลงั การใช้บทเรยี น นอกจากนี้ ยงั อาจทดสอบ ความรู้ขอผูเ้ รยี น หลงั จากทีไ่ ด้เรยี น จาก
คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนนั้นๆ แลว้ ข้ันตอนน้ี อาจครอบคลุม การทดสอบนำร่อง และประเมินจากผูเ้ ชย่ี วชาญ

2. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น
เนอื่ งจากบทเรียน Tense เรือ่ ง Present Perfect Tense สำหรับนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษา ชว่ งชัน้ ท่ี 3 ช้ัน ม.3 เป็น

บทเรียนที่มีแบบทดสอบ ประกอบอยูด่ ว้ ยแลว้ ดังน้ันจงึ สามารถทราบผลคะแนนของผ้เู รยี นไดท้ ันที เมอ่ื ทราบคะแนนจงึ
เอาข้อมลู คะแนนต่างๆมาเปรียบเทยี บเพ่ือดูผลสมั ฤทธิ์ไดเ้ ลย โดยใช้

19

นอกจากนี้ ยังสามารถหาประสทิ ธภิ าพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ประสิทธภิ าพของบทเรยี น Tense เร่ือง Present Perfect Tense ชว่ ยสอนหมายถงึ ความสามารถของบทเรียน

Tense เร่ือง Present Perfect Tense ช่วยสอนในการสรา้ งผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ให้ผู้เรยี นเกดิ การเรยี นรตู้ าม
จุดประสงคถ์ ึงระดบั เกณฑ์ที่คาดหวังไดก้ ารกำหนดเกณฑป์ ระสทิ ธิภาพกระทำได้ โดยใช้สตู รคอื

20

3. แบบประเมินความพึงพอใจบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน
เน่อื งจากบทเรียน Tense เรอ่ื ง Present Perfect Tense สำหรับนกั เรยี นชน้ั มัธยมศึกษา ช่วงช้ันท่ี 3 ชั้น ม.3 เป็น

บทเรยี นและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนท่ไี ดจ้ ดั ทำขนึ้ มาใหม่ จึงต้องการที่จะทราบถึงผลตอบรบั ความพึงพอใจและ
ข้อบกพร่องต่างๆเพ่ือนำไปปรับปรุงแก้ไข จึงต้องมีการประเมนิ ความพึงพอใจต่อบทเรียน Tense เรอ่ื ง Present Perfect
Tense สำหรบั นกั เรยี นชั้นมัธยมศกึ ษา ช่วงช้นั ที่ 3 ชั้น ม.3

มเี กณฑด์ ังนี้ มีความพึงพอใจ อยใู่ นระดับ ควรปรับปรุง
1.50 – 2.00 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจ อยูใ่ นระดับ นอ้ ย
2.01 - 2.49 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจ อยใู่ นระดับ ปานกลาง
2.50 - 3.00 หมายถึง มคี วามพึงพอใจ อยใู่ นระดับ มาก
3.01 - 3.49 หมายถึง มคี วามพึงพอใจ อยู่ในระดับ มากที่สุด
3.50 - 4.00 หมายถงึ

21

6. การดำเนนิ การวจิ ยั / การเก็บรวบรวมขอ้ มูล

วิธีการดำเนินการ
ผวู้ ิจยั ได้ดำเนนิ การทดลอง ใชเ้ วลา ทดลองทั้งหมด 3 ครั้ง คร้ังละ 1 ชัว่ โมง เปน็ เวลา 3 วัน โดยได้นำ

เครื่องมอื ที่ใชใ้ นการวิจัย คือ
1. บทเรยี น Tense เรื่อง Present Perfect Tense สำหรบั นักเรียนช้ันมธั ยมศกึ ษา ช่วงชน้ั ที่ 3

ช้นั ม.3
2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
3. แบบประเมินความพึงพอใจบทเรยี น Tense เร่อื ง Present Perfect Tense สำหรับนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษา

ชว่ งชนั้ ที่ 3 ชนั้ ม.3 โรงเรยี นชมุ แสงชนทู ิศ ได้ทดลองตามแผน และเกบ็ ข้อมูลเพื่อมาดำเนนิ การ คิดวิเคราะห์ และ
ปรับปรงุ ตอ่ ไป

7. การวเิ คราะหข์ ้อมลู

7.1 ใหน้ ักเรียนทำข้อสอบก่อนเรียนวดั ความรู้เรื่อง Present perfect Tense
7.2 ฝึกนักเรยี นโดยให้นกั เรียนฝกึ ท่องจากรยิ า 3 ช่อง กับครู
7.3 ให้นกั เรียนทำขอ้ สอบหลงั เรยี นวดั ความร้เู รอื่ ง Present perfect Tense

8. สถิติท่ีใชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมูล

ใช้คา่ เฉลย่ี เลขคณิตของผลคะแนนนักเรียนเปรยี บเทยี บระหวา่ งกอ่ นและหลังวัดความรู้
เร่อื ง Present perfect Tense และการท่องกรยิ า 3 ชอ่ ง

22

บทที่ 4
ผลการวิจยั

การวจิ ัยคร้งั นม้ี ีวตั ถปุ ระสงค์เพอ่ื ศึกษาการสร้างการพฒั นาทักษะการใช้ Present Perfect Tense โดยการฝกึ พูด
บทบาทสมมุติของนกั เรยี น ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 เร่ือง Present Perfect Tense วชิ า ภาษาอังกฤษพนื้ ฐาน อ23101
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551กลมุ่ ตวั อย่างทใ่ี ช้คือ นักเรยี นระดับ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3
จากหอ้ ง ม.3/1,ม.3/3, ม.3/5, ม.3/7 และ ม.3/9 จำนวน 191 คน

โดยเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมลู เปน็ ลำดบั ในลักษณะตารางประกอบคำบรรยายดงั นี้
1. การวิเคราะหผ์ ลการทำแบบฝึกหดั
2. การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพของชดุ การสอน
3. การวเิ คราะหผ์ ลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน

1. สญั ลักษณท์ ใ่ี ช้ในการนาํ เสนอผลการวเคราะห์ข้อมูลผู้รายงานไดก้ ำหนดสัญลักษณ์ท่ีใชในการแปลความหมายผล
การวิเคราะห์ข้อมูล ดังน้ี

N แทน จานวนนกเรียนกลุ่มตวั อย่าง
X แทน คะแนนเฉลยี่
∑ X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด
SD แทน ค่าสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน

2. ลำดบั ขน้ั ในการเสนอผลการวเคราะห์ข้อมลู
ในการวเิ คราะห์ขอมลู ผู้รายงานได้ดำเนนิ การตามลาดบข้นตอน ด้ังนี้

ตอนท่ี 1 วิเคราะห์หาประสิทธภิ าพของแบบฝึกทักษะการใช้ Present Perfect Tense กล่มุ สาระการเรยี นรู้
ภาษาตา่ งประเทศ ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 3 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80
ตอนท่ี 2 การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนการใช้ Present Perfect Tense ก่อนเรียนและหลังเรยี น
โดยใช้แบบฝึกทกั ษะ และบทสนทนาบทบาทสมมติ

3. ผลการวิเคราะห์ข้อมลู

ตอนท่ี 1 การหาประสทิ ธภิ าพของแบบฝึกทักษะการอา่ นและการเขียนค่าพ้ืนนฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้
Present Perfect Tense ช้ันชนั้ มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 3 ตามเกณฑ์ 80 ปรากฏผลดังตารางที่ 4.2

23

ตอนที่ 2 วเิ คราะหห์ าความแตกต่างระหวา่ งคะแนนแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลงเรยี น
ผลการวเิ คราะหข์ อมลู ปรากฎดงในตารางท 4.3 ดังนี้

คะแนน N S.D. t sig
.000
X

ก่อนเรียน 30 19.06 2.09

หลังเรียน 30 26.10 2.46 19.87

ตารางที่ 4.1 คะแนนเฉลี่ย สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน และผลการวเิ คราะห์ค่าที เพื่อเปรียบเทยี บ
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และความสามารถในการอา่ นและการเขยี นคำใช้แบบฝึก Present Perfect Tense

จากตารางที่ 4.1 พบว่าผลการทดสอบคา่ ที ที่มนี ัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.001 แสดงวา่
ผลการเรยี นร้กู อ่ นเรยี นและหลงเรยี น เร่อื ง Present Perfect Tense ของนักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปี ที่ 3
โดยใช้กิจกรรมแบบฝึกการอ่าน และการเขียนสะกดคำแตกต่างกันอยา่ งมนี ยั สาํ คัญทางสถติ ิ
ที่ระดบั .001 ซึ่งสอดคลองกับสมมติฐานการวจิ ัยท่ีกาํ หนดไว้ กลา่ วคอื นักเรยี นมคี ะแนนเฉลี่ยจากการ
ทดสอบหลังเรียน (x = 26.10,S.D. = 2.468) สงู กวา่ คะแนนเฉล่ียกอ่ นเรียน (x = 19.06,S.D. = 2.09)

24

ตารางที่ 4.1 แสดงการวเิ คราะห์ผลการทำแบบฝกึ หดั

เลขท่ี จำนวนคาศพั ท์ท่ีนกั เรียนสามารถจดจำาได้

กอ่ นฝึกทักษะ หลังฝึกทักษะ

14 9

25 9

34 7

43 8

52 8

63 7

72 9

84 8

94 8

10 5 9

11 5 9

12 5 9

13 2 6

14 5 9

15 4 8

16 4 9

17 3 8

18 2 8

19 4 7

20 4 8

21 4 8

22 5 8

23 3 9
24 4 9

25

ตารางที่ 4.2 แสดงค่าเฉล่ีย ร้อยละ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ของแผนการจดการสอนแบบฝึก
เร่ือง Present Perfect Tense

คะแนน คะแนนเตม็ X SD รอ้ ยละ
ผลสมฤทธิท์ างการเรียนหลงั เรียน 30 2.46 87
26.10

ตารางท่ี 4.2 แสดงผลการวิเคราะหห์ าประสิทธิภาพของชุดการสอน

จากตารางท่ี 4.2 พบวา่ คะแนนเฉลีย่ จากการทาแบบทดสอบวดผลสมฤทธ์ิทางการเรยี น หลังเรยี น
มคี ่าเฉล่ีย 26.10 คิดเปน็ ร้อยละ 87 เป็นไปตามเกณฑ์ 70 ที่ตง้ั ไว้

ตารางท่ี 4.3 แสดงค่าดัชนปี ระสิทธผิ ล และคะแนนความแตกต่างของคะแนนเฉลยี่ จากการทำแบบทดสอบก่อนและหลัง
เรียน โดยใช้แผนการจดกรรมการเรียนรู้ การอ่านค่าพนื้ ฐาน

ตารางที่ 4.3 ผลการวิเคราะห์คะแนนเฉล่ียของการทดสอบก่อนเรยี นกับหลังเรยี น

คะแนนสอบ กอ่ นเรียน หลงเรียน คะแนนความแตกต่าง E.I.
ผลสมฤทธทิ์ างการเรียน 19.06 26.10 11.43 0.79

จากตารางท่ี 3 ดชั นปี ระสิทธิผลของแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรกู้ ารอา่ น การเขียน และการพูด Present Perfect
Tense ค่าพ้ืนฐานเรอื่ ง มคี ่าเท่ากบั 0.79 แสดงวา่ การเรยี นรแู้ บบฝกึ ของนกั เรียนทำให้มผี ลสมฤทธ์ิก้าวหน้าเพ่ิมข้ึน
ร้อยละ 8

26

การวจิ ัยคร้ังนไี้ ด้กำหนดสมมตฐิ านไว้วา่ การวิจยั ครงั้ นมี้ ีสมมติฐานดงั น้ี
1. บทเรียน Present Perfect Tense สามารถใช้เปน็ สื่อการเรยี นการสอนได้อย่างมี ประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ท่ี

กำหนด 80/80
2. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนเร่ือง Present Perfect Tense ของนกั เรียนที่จดั การเรยี นรู้โดยใชบ้ ทเรยี นกริยา 3

ช่อง และแบบฝึก Present Perfect Tense ชว่ ยสอนหลงั เรียนสงู กว่าก่อนเรียน
3. นักเรยี นในระดับช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 มีความพึงใจต่อบทเรยี นบทเรยี น Present Perfect Tense ชว่ ยสอน

หลงั จากทีไ่ ด้ทดลองใช้
ซง่ึ จากการทดลองใชช้ ดุ การสอนพบวา่ คะแนนทดสอบก่อนเรยี นมีคา่ เฉลีย่ เทา่ กับ 19.06

ส่วนคะแนนทดสอบหลังเรียน มคี ่าเท่ากับ 26.10 เมื่อนำค่าเฉล่ียของคะแนนไปทดสอบความแตกต่าง โดยใช้
t – test dependent พบว่า ค่า t จากการคำนวณเท่ากบั 19.87 สว่ นคา่ t จากตารางท่ี df = N – 1
เท่ากับ 17.57 ดงั น้ันค่า t จากการคำนวณสูงกว่าค่า t จากตาราง สรปุ ไดว้ ่าคะแนนเฉล่ยี จากการทดสอบหลังเรยี น
(Post – test) สงู กวา่ คะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบก่อนเรียน (Pre – test) จรงิ เชอื่ ถอื ได้ 99%

สรปุ ว่าผู้เรียนทเี่ รียนด้วยชดุ การสอนเรื่อง 1.บทเรยี น Present Perfect Tense แล้ว
มีความรู้สูงข้ึนจรงิ เปน็ ไปตามสมมตฐิ าน ข้อที่ 2.ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นเรื่อง Present Perfect Tense
ของนักเรยี นที่จัดการเรียนรโู้ ดยใชบ้ ทเรียนกรยิ า 3 ชอ่ ง และแบบฝึก Present Perfect Tense ช่วยสอนหลงั เรยี นสงู
กว่าก่อนเรยี น

27

บทท่ี 5
สรุปผลและขอ้ เสนอแนะ

การวจิ ัยคร้ังน้ีเป็นการวจิ ยั เชิงทดลอง

วัตถุประสงคข์ องการวจิ ยั

1. เพ่อื ใหน้ ักเรียนสามารถแต่งประโยค Present Perfect Tense ได้
2. เพอ่ื ใหน้ ักเรยี นสามารถจดจำกรยิ า 3 ช่องได้
3. เพอื่ ใหน้ ักเรียนสามารถเรียงแต่งประโยคได้ถูกต้องตามโครงสรา้ งไวยากรณ์ และสามารถสื่อสารได้

สมมติฐานของการวิจยั
การวิจัยคร้ังน้มี ีสมมติฐานดงั น้ี

1. บทเรียน Present Perfect Tense สามารถใช้เปน็ สื่อการเรยี นการสอนได้อย่างมี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์
ทีก่ ำหนด 80/80
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นเร่ือง Present Perfect Tense ของนกั เรยี นทีจ่ ัดการเรียนรู้โดยใช้ บทเรยี นกรยิ า 3 ชอ่ ง
และแบบฝึก Present Perfect Tense ช่วยสอนหลังเรยี นสงู กวา่ ก่อนเรยี น
3. นักเรยี นในระดับช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 3 มีความพงึ ใจต่อบทเรียนบทเรยี น Present Perfect Tense ช่วยสอนหลงั จาก
ท่ีไดท้ ดลองใช้

ประชากร /กลุ่มตวั อย่าง

ประชากรของการวจิ ัยครงั้ นีค้ ือ
นกั เรยี นระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 ของโรงเรียนชุมแสงชนทู ศิ ที่ลงทะเบยี นเรียนวิชาภาษาอังกฤษในภาค

เรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565 จำนวน 191 คน

กลมุ่ ตัวอย่างคือ นักเรยี นระดับช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 3
ของโรงเรยี นชุมแสงชนทู ศิ ท่ลี งทะเบียนเรยี นวิชาภาษาองั กฤษในภาคเรยี นที่ 1

ปกี ารศกึ ษา จำนวน 191 คน

สรปุ ผลการวิจัย

วเิ คราะห์ข้อมลู โดยใชส้ ถิติ ใช้คา่ เฉลยี่ เลขคณิตของผลคะแนนนักเรียนเปรียบเทียบระหวา่ งก่อนและหลงั การ
ทดสอบการใชก้ ริยาสามช่อง และการใช้โครงสร้าง Present Perfect Tense ในบทสนทนา

ผลการวจิ ัยปรากฏวา่ ผลการเปรยี บเทยี บผลคะแนนก่อนและหลังทดสอบการใช้กรยิ าสามช่อง และการใชโ้ ครงสรา้ ง
Present Perfect Tense ในบทสนทนา จากข้อมลู คะแนนเฉลย่ี ก่อน/หลงั การทำแบบทดสอบ Present Perfect Tense

28

พบวา่ คะแนนหลงั การสอนโดยใหน้ กั เรียนทดสอบการใช้กริยาสามช่อง และการใชโ้ ครงสร้าง Present Perfect Tense
ในบทสนทนาของนักเรียนระดับชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 3 มีคา่ เฉลี่ย 8.083 คะแนน จากก่อนเรยี น 3.694 คะแนน เนื่องจาก
นักเรียนไดฝ้ กึ ฝน อา่ น และจดจำกรยิ า 3 ชอ่ ง ท่ีมักใชบ้ ่อย ได้ ทำให้แต่งประโยคได้ดีขึ้น และสามารถส่ือสารได้ดีมากขึน้

อภปิ รายผล

วเิ คราะหข์ ้อมูลโดยใช้สถิติ ใช้คา่ เฉลี่ยเลขคณติ ของผลคะแนนนกั เรยี นเปรยี บเทียบระหวา่ งก่อนและหลงั การ
ทดสอบการใช้กรยิ าสามช่อง และการใชโ้ ครงสร้าง Present Perfect Tense ในบทสนทนา

ผลการวิจัยปรากฏว่า ผลการเปรียบเทยี บผลคะแนนกอ่ นและหลังทดสอบการใช้กริยาสามชอ่ ง และการใช้โครงสร้าง
Present Perfect Tense ในบทสนทนา จากข้อมูลคะแนนเฉลย่ี กอ่ น/หลงั การทำแบบทดสอบ Present Perfect Tense
พบวา่ คะแนนหลังการสอนโดยให้นกั เรียนทดสอบการใช้กริยาสามช่อง และการใชโ้ ครงสรา้ ง Present Perfect Tense
ในบทสนทนาของนักเรยี นระดับช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 มีคา่ เฉลีย่ 8.083 คะแนน จากก่อนเรียน 3.694 คะแนน เนื่องจาก
นักเรียนไดฝ้ ึกฝน อา่ น และจดจำกริยา 3 ช่อง ท่ีมกั ใชบ้ ่อย ได้ ทำให้แต่งประโยคไดด้ ีขน้ึ และสามารถส่ือสารไดด้ ีมากข้นึ

ข้อเสนอแนะ

1. ข้อเสนอแนะจากการวจิ ยั คร้ังน้ี
แนวทางในการประยุกต์ใชค้ ือการนำความรู้เร่ืองกรยิ า 3 ชอ่ ง นำไปใชก้ ับไวยากรณอ์ ่ืนๆ ท่ีเก่ียวข้อง

เช่น Present Perfect Tense คกู่ ับโครงสรา้ งต่างๆในประโยค

2. ข้อเสนอแนะเพือ่ การวิจัยครั้งต่อไป
แนวทางในการประยกุ ตใ์ ช้คือการนำความรูเ้ รื่องกรยิ า 3 ช่อง ไปใช้กับไวยากรณ์เร่อื งอ่ืนๆ ท่เี กี่ยวข้อง

เชน่ Present Perfect Tense และ Past Perfect Tense โดยใชเ้ ครือ่ งมือในการทดลองท่หี ลาหลายและทนั สมยั มากขน้ึ
และสามารถพัฒนาต่อไปได้อย่างในอนาคตอยา่ งเป็นระบบ

29

บรรณานุกรม

สําราญ คําย่งิ . Advance English Grammar for High Learners. 2533. หางหุนสวน
จํากัด ชตุ มิ าการพิมพ, กรุงเทพ. 656 น.
Hewings, M. 2008. Advance Grammar in Use. Cambridge University Press.
Dubai. 294 p.
Sara, B. and G. Mackie. 2007. Basic Grammar Expert. CTBS. China. 111 p.
Hewings, Martin. (2005). Advanced Grammar in Use. Dubai; Oriental Press
Vince, Michael. (2003). Elementary Language Practice. Malaysia; Macmillan
www.http://xn--12cl9ca5a0ai1ad0bea0clb11a0e.com

กนกพร วรมานะกลุ . (2542). ความสมั พันธ์ระหวางบรรยากาศองคการแบบมีสวนรวมกับขวญั
ของบุคลากรในโรงเรียนเอกชน จังหวัดปราจีนบุร.ี วิทยานพิ นธ บธ.ม.(การจดั การและ
บรหิ ารองคการ). กรุงเทพฯ: บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยธรุ กจิ บัณฑตย์ิถายเอกสาร.
กรมวิชาการ. (2544). แนวทางการบรหิ ารงานโรงเรียนปฏิรปู การเรยี นรู. กรุงเทพฯ: กรมฯ.
กรมสามญั ศึกษา. (2545). ชดุ เอกสารการศึกษาดวยตนเองการศึกษาพเศษ ิ เรือ่ งการวจิ ยั ใน
ชน้ั เรยี น เลม 15. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พการศาสนา.
กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2543). แนวการจดั การศึกษาตามพระราชบัญญตั ิการศึกษาแหงชาต ิ.
กรงุ เทพฯ: สาํ นกั งานการปฏริ ปู การศึกษา สถาบนั แหงชาติเพ่อื ปฏริ ูปการเรียนรู.
_______. (2544). คูมอื การฝกอบรมการวิจัยในชัน้ เรียน. กรงุ เทพฯ: สาํ นักงานสถาบนราชภฏั .
กววี งศพฒุ . (2536). ภาวะผูนาํ . กรุงเทพฯ :โรงพมิ พศูนยสงเสริมวิชาชพี .
กองวจิ ัยทางการศกึ ษา. (2542). วิจยั เพือ่ พฒั นาการเรียนรู. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พการศาสนา.
_______. (2545). การวิจัยเพอ่ื การเรยี นรู(Research for Learning Development). กรงุ เทพฯ:
โรงพมิ พครุ ุสภาลาดพราว.
_______. (2546). การวจิ ยั เพื่อพฒั นาการเรยี นรูตามหลักสูตรการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน .
กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พครุ ุสภาลาดพราว.
กติ ติพร ปญญาภิญโญผล. (2541). รายงานการวจิ ัยรูปแบบของวิธกี ารวิจยั ปฏบิ ัติการในชน้ั เรียน.
เชียงใหม: มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม.
พิสณุ ฟองศร.ี (2552). การสรางและพฒั นาเครื่องมือ. กรงุ เทพฯ: ดานสุทธาการพมิ พ.
ภญิ โญ สาธร. (2529). หลักการบริหารการศึกษา. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พคุรสุ ภา.
มนสิช สทิ ธสิ มบูรณ. (2546). ชดุ ฝกปฏบิ ัตกิ ารเหนือตํารา :การทำวจิ ัยในช้ันเรียน.
(พิมพคร้ังที่ 2). พษิ ณโุ ลก: มหาวิทยาลัยนเรศวร.

30

Anderson, L.W., & Pigford, A.B. (2000). Removing Administrative impediments to
instructional improment Efforts.

Bennett, K.S. (1996). An investigation of school district support in the development of
critical skills in new principles. Doctoral Dissertation. University of the Pacific.

Buzzi, M. J. (1990). The relationship of school effectiveness to selected dimensions of
principals' instructional leadership in elementary schools in the state of

Connecticut. Ed.D. dissertation, University of Bridgeport, United States - Connecticut.
Retrieved January 17, 2011, from Dissertations & Theses :A&I. (Publication No. AAT
9103505).

Cavazos, J. M. (1999). The instructional leadership of high school principals in
successful hispanim Majority high schools. Ph.D. Dissertation. Factory of

Gradual school. The University of Texas at Austin.
Chell, Jan. (2001, June). Introducing Principals to the Role of Instructional Leadership
: A summary of master’s project. Retrieved July 19, 2009, from:
http://www.ssta.sk.ca/research.

Cotton. F., & Ashley. B. (2003). Instruction leadership Proficiencies of elementary.
Daniels, L. Y. (1998). Student teachers' use of action research in the classroom. Ph.D.

dissertation, University of Virginia, United States - Virginia. Retrieved January 18,
2011, from Dissertations & Theses : A&I. (Publication No. AAT 9840353).

David C. & Thomas, D.A. (1989). Leadership in Organization. (2 nd ed). Englewood cliffs, NJ : P Hall.
Davis, G.A. & Thomas, M.A. (1989). Effective Schools and Effective Teachers. Boston : Allyn and Bacon.
Debeviose. (2001). “Synthesis of Research on the Principal as Instructional Leader,”

quoted in Gary A. Davis and Magaret A. Thomas, Effective Schools and Effective Teacher 21.
Elliot, J. (1991). Action Research for Educational Change. Philadelphia : Open University.

Gorton, R.A. (1983). School Administrator and Supervision : Leadership. Lowa : Wine – Brown.
Glickman, Carl D. (2007). Super Vision and instructional leadership :A developmental approach.

7th ed Boston :Pearson,

31

ภาคผนวก

32

ใบความรู้

ช่ือ…………………………………………………………………………………………………………………………………………………...ชั้น…………………………………………เลขที่…………………………………………..

กริยาช่องที่ 1 กริยาช่องท่ี 2 กริยาช่องที่ 3 ค˚าแปล
(Infinitive) (V2) (V3) (Meaning)
be(is, am) เป็น, อยู่, คือ
be(are) was been เป็น, อยู่, คือ
become were been กลายเป็น
begin became become เริ่มต้น
bite began begun กัด
blow bit bitten เป่า
break blew blown แตก
bring broke broken น˚ามา
build brought brought สร้าง
buy built built ซอ้ื
catch bought bought จับ
choose caught caught เลอื ก
come chose chosen มา
cost came come มีราคา
cut cost cost ตัด
do cut cut ท˚า
draw did done วาด(ภาพ)
drink drew drawn ดื่ม
drank drunk

33

ate eaten กิน

eat
fall fell fallen ตก

feed fed fed เล้ยี ง

feel felt felt รู้สึก

fight fought fought ตอ่ สู้

find found found พบ

fly flew flown บนิ

forget forgot forgotten ลืม

get got got ได้รบั

give gave given ให้

go went gone ไป

grow grew grown ปลูก

have had had มี

hear heard heard ได้ยิน

hit hit hit ตี

hold held held ถือ

hurt hurt hurt ได้รบั บาดเจ็บ

keep kept kept เกบ็ รักษา

know knew known รู้

learn learnt learnt เรียน(ด้วยตนเอง)

leave left left ออกจาก

lend lent lent ให้ยืม

lose lost lost ขาดทุน, สูญหาย
meet
pay met met พบ
put paid paid จ่าย
read put put วาง
run read read อ่าน
say ran run วงิ่
see said said พูด
sing saw seen เห็น
sit sang sung ร้องเพลง
sleep sat sat น่ัง
speak slept slept นอน
stand spoke spoken พูด
shut stood stood ยืน
swim shut shut ปิด
take swam swum ว่ายน้˚า
teach took taken ได้รับ
tell taught taught สอน
understand told told บอก
win understood understood เขา้ ใจ
wear won won ชนะ
write wore worn สวมใส่
wrote written เขียน

35

Name……………………………………………………………………….. Class……………………..No……………………
ใบความรู้ วิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน 1 รหัสวิชา อ23102 ระดับช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 3

Present Perfect Tense
Tense ก็มีดว้ ยกนั ถงึ 12 Tense เลยทีเดียว แต่วนั นี้จะมาพูดถึง Present Perfect Tense ท่มี ักจะไดใ้ ช้
บอ่ ย ๆ ในชีวิตประจำวนั ค่ะ

Present Perfect คือ Tense ท่ีมักใชพ้ ดู ถงึ เหตุการณ์ทเี่ กดิ ข้นึ ในอดีต และเพ่ิงจบลงในปจั จบุ นั แต่
จริง ๆ แลว้ Present Perfect สามารถนำมาใช้ไดใ้ นหลากหลายสถานการณเ์ ลยค่ะ
Present Perfect ใช้เมื่อไหร่ดี?
1. ใชเ้ ลา่ ถึงเหตกุ ารณ์ท่ีเกิดข้ึนในอดตี และดำเนนิ ต่อเนือ่ งมาจนถงึ ถึงปัจจุบัน มกั ใชก้ ับคำเหลา่ นี้
since ตั้งแต่ (+ จดุ เร่มิ ต้นของเวลา เชน่ 2021, January, Tuesday)
for เป็นเวลา (+ ระยะเวลา เช่น 2 months, 5 days, 1 year)
ever since ต้ังแตน่ น้ั เป็นตน้ มา
so far จนกระท่ังตอนน้ี
up to now จนกระท่ังตอนนี้
up to the present จนถึงปัจจบุ ัน
เชน่
I have lived in Bangkok since 1991.
ฉนั อาศยั อยู่ในกรุงเทพฯ ตงั้ แต่ปี 1991

36

I have worked in this company for 3 months.
ผมทำงานในบริษทั น้มี า 3 เดือนแลว้

A: What have you done so far with your project?
ตอนนี้คุณทำโปรเจคน้ีถึงไหนแล้ว
B: So far, I’ve completed writing the report and making a list of customers.
ตอนนี้ผมเขยี นรายงานและทำรายชื่อลูกคา้ เสร็จแลว้

He was elected in 2000 and has been president ever since.
เขาไดร้ บั เลือกในปี 2000 และดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีตง้ั แตน่ นั้
I started smoking last year, and have coughed ever since.
ฉันเรมิ่ สูบบุหรปี่ ีที่แลว้ และมีอาการไอต้งั แตน่ ัน้

2. ใชบ้ อกวา่ เคยหรือไม่เคยทำ ตั้งแตอ่ ดีตจนถงึ ปัจจุบนั มักใชก้ ับคำเหล่าน้ี
never ไมเ่ คย
ever เคย
once ครั้งหน่ึง
twice สองคร้งั

37

เช่น
A: Have you ever been to Tokyo?
คณุ เคยไปโตเกยี วไหม
B: No, I haven’t been to Tokyo.
ไมน่ ะ ฉนั ไม่เคยไปโตเกียว

I have never been to Thailand.
ฉนั ไมเ่ คยไปเมืองไทย
Tips: เคยไปหรือไม่เคยไปท่ีไหน ใหใ้ ช้ been แทน gone เพราะ
been หมายถึง ไปแล้ว กลบั มาแล้ว
gone หมายถงึ ไปแลว้ แตย่ ังไมก่ ลบั มา
เช่น
She has just gone to the bank. She’ll back in about 10 minutes
เธอเพิง่ ออกไปแบงค์ จะกลบั มาในอักประมาณ 10 นาที

38

3. ใชก้ ับเหตุการณ์ทเี่ พงิ่ จบลงใหม่ๆ มักใช้กับคำเหลา่ น้ี
already เพง่ิ จะ
recently เมอ่ื ไมน่ านมาน้ี
just เรียบร้อยแล้ว
yet ยงั (มกั ใช้ในประโยคคำถามและปฏเิ สธ)

เชน่
I have just come back to Japan.
ฉนั เพ่งิ กลับมาจากญปี่ ่นุ
The bus has already arrived.
รถเมลม์ าถึงแลว้
A: Has he finished the work yet?
เขาทำงานเสรจ็ รยึ งั
B: Not yet
ยงั เลย

39

4. ใช้กบั เหตกุ ารณ์ท่จี บไปแล้ว แต่ผ้พู ูดยงั คงรู้สกึ ถงึ ผลของเหตกุ ารณ์นนั้ อยู่
เช่น
He has finished that work.
เขาทำงานนน้ั เสรจ็ แล้ว (เพง่ิ ทำเสรจ็ ยงั ไมไ่ ด้สง่ )
We have just cleaned our classroom.
(เพ่งิ ทำเสร็จใหม่ๆ ห้องยังสะอาดก้ิงอยู่เลย)

5. ใชก้ บั เหตกุ ารณ์ท่ีกำลงั เกิดขนึ้ และอาจเกิดขึ้นต่อเนื่อง มักใชก้ ับคำกำกบั เวลาเหล่านี้
today วนั น้ี
this week อาทติ ยน์ ้ี
this month เดอื นนี้
this year ปีนี้
เชน่
The teacher has drunk two cups of coffee today.
วันน้คี รูคนน้นั ไดด้ ื่มกาแฟไปแล้ว 2 แก้ว
(นกั เรยี นจะเห็นครขู องเขาทุกคร้งั ท่ีด่ืมกาแฟในแต่ละวนั และตอนทน่ี กั เรียนเห็นครูกำลังด่ืมกาแฟแก้วท่ี 2 อยู่
แลว้ แตค่ รอู าจจะดื่มแก้วที่ 3 หรอื 4 อีก หลงั จากน้ัน)

40

My father has washed his car three times this month.
พอ่ ของฉนั ล้างรถไปแลว้ 3 ครั้งแล้วเดอื นน้ี
(อาจจะล้างรถคร้ังท่ี 4-5 อีกในเดือนน้)ี

The teacher has not seen Ananda this week.
คณุ ครยู ังไมเ่ จออนนั ดาเลยในสัปดาห์น้ี
(สัปดาหน์ ้คี รูอาจจะไม่เจออนันดาเลย)

Present Perfect กับ Past Simple ตา่ งกันอย่างไร
1. Past Simple ใช้พูดถงึ เหตุการณ์ท่เี กิดและจบลงในอดีต แต่ Present Perfect ใช้พดู ถงึ เหตกุ ารณท์ ี่เกดิ ใน
อดตี แต่ยงั ทำต่อเน่อื งหรือสง่ ผลมาถึงปัจจุบัน
เชน่
Present Perfect:
She hasn’t called me.
เธอยงั ไม่ไดโ้ ทรหาฉัน (แตต่ อนนี้ยังรอให้โทรมาอยู่)
Past Simple:
She didn’t call me.
เธอไม่ได้โทรหา (แค่เลา่ เฉย ๆ วา่ ไม่ไดโ้ ทรมา แต่ไม่ไดร้ อแล้ว)

41

2. Present Perfect จะเน้นผลของการกระทำมากกวา่ Past Simple
เช่น

What have you done? (Present Perfect)
คุณทำอะไรลงไป
What did you do? (Past Simple)
คุณทำอะไรไปแล้ว

42

Present Perfect Tense Examples

These present perfect tense examples will ensure you understand the context of using
this tense.

The main use of the present perfect is to talk about something that started in the
past but has relevance to the present. For example it is something still going on or is
something that has just happened.

These examples of the present perfect tense illustrate the main ways that it is used
and the words it's commonly used with. At the end of the page there are examples of how it
might be used in an everyday conversation.

Just as a reminder, this is how we form the Present Perfect:

have + past participle

Positive: I have taken the test

Negative: I haven't taken the test

Question: Have you taken the test?

Something happening at an unspecified time in the past
These present perfect tense examples are of things that happened in the past, but a specific
time is not mentioned. This may be because it is not known or it isn't important.

I've been to Europe many times
Have you been to Spain?
We haven't eaten there before
I've taken my driving test
She has written several books
Have you seen Game of Thrones?
Ever and Never
Ever and never are commonly used with the present perfect tense.

43

It is similar to the examples above yet they are placed in the sentence to specifically clarify
it refers to experiences in one's whole life (so from birth up until now).

Note that ever is for questions and never for statements, though never can be used in a
question form if it is with another question word e.g. why.

Ever
Has she ever been to America?
Have you ever been married?
Have you ever eaten sushi?
Has the government ever changed their manifesto?

Never
I've never been to America
They have never married
Why have you never helped me with my homework?
He has never given me any feedback on my work

For and Since
With For and Since, a time is given, but again it is referring to something that has not finished.
For refers to the duration of time whereas since simply states the time when something
started.

For
I've studied French for three years
Mick has been married for two months
The restaurant has stopped doing take-aways for one week
Have you lived here for long?

44

Since
I've studied French since 2016
Mick has been married since February
The restaurant has stopped doing take-aways since the start of the month
Have you lived here since May?
Just, Already, Yet, Still
These words can be used with others but are commonly used with the present perfect. Here
are some present perfect tense examples with Just, Already, Yet, and Still:

Just
She has just arrived
Have you just eaten the last sweet?
John just found out he has passed all his exams
We have just arrived
Already
We've already eaten, so we don't need any food
Why have you already left? We are not meeting till later
My daughter has already gone to university
Have they already booked the holiday?

Yet
Has Susan arrived yet?
I haven't taken my tablets yet
It's late. Hasn't he phoned yet to say he got home ok?
Have they booked the holiday yet?

Still
He has still got his beard. He should shave it off
Have you still got that book you borrowed?
I've still got to clean the dishes
The shop has still got a sale on
Present Perfect Tense Examples in a Conversation


Click to View FlipBook Version