The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิชา I30202 IS2 การศึกษาและการนำเสนอ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การเรียนรู้และการประกอบอาชีพ

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาวิชา I30202 IS2 การศึกษาและการนำเสนอ

และการประกอบอาช ี พ รายงานฉบบันเ ี้ปน สว นหนง ึ่ ของการศกึษา วชิา I30202 IS2 การสอ ื่ สารและการนาํเสนอ ภาคเรยีนท ี่2 ปก ารศกึษา 2565 กลมุ สาระการเรยีนรภู าษาไทย โรงเรยีนวดัสทุธวิราราม


การเรียนรู้และการประกอบอาชีพ โดย นายกังüาน ÿุดĀล้า เลขที่ 6 นายธนüิชญ์ กุณฑล เลขที่ 13 นายüีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ เลขที่ 27 นายÿิทธิชัย ýรีเÿüก เลขที่ 34 นายอภิรักþ์ พีรกิจÿกุล เลขที่ 39 ชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 5/7 เÿนอ ครูรัฐพล ýรีบูรณะพิทักþ์ รายงานฉบับนี้เป็นÿ่üนĀนึ่งของการýึกþาüิชา I30202 IS2 การÿื่อÿารและการนำเÿนอ ภาคเรียนที่ 2 ปีการýึกþา 2565 กลุ่มÿาระการเรียนรู้ภาþาไทย โรงเรียนüัดÿุทธิüราราม


ก บทคัดย่อ ชื่อเรื่อง การเรียนรู้และการประกอบอาชีพ ÿมาชิก นายกังüาล ÿุดĀล้า เลขที่ 6 นายธนüิชญ์ กุณฑล เลขที่ 13 นายüีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ เลขที่ 27 นายÿิทธิชัย ýรีเÿüก เลขที่ 34 นายอภิรักþ์ พีรกิจÿกุล เลขที่ 39 นักเรียนชั้นมัธยมýึกþาปีที่ 5/7 ครูที่ปรึกþา นายรัฐพล ýรีบูรณะพิทักþ์ ปีการýึกþา 2565 รายงาน เรื่อง การเรียนรู้และการประกอบอาชีพ มีจุดมุ่งĀมายเพื่อýึกþาค้นคü้าและ นำเÿนอข้อมูลเกี่ยüกับ คüามรู้เกี่ยüกับการเรียนรู้และการประกอบอาชีพ คüามรู้เกี่ยüกับอาชีพ แนüโน้มอาชีพในอนาคต พฤติกรรมการเรียนรู้และการประกอบอาชีพ การจัดการýึกþาเพื่ออาชีพ ตลอดจนการนำเÿนอผลการÿำรüจเกี่ยüกับแนüโน้มอาชีพในอนาคต จากการýึกþา พบü่า การเรียนรู้คือการýึกþาÿิ่งแüดล้อมรอบตัüเรา เราจะเรียนรู้ คüามต้องการประกอบอาชีพจากปัจจัยĀลายด้าน ๆ ทั้งด้านคüามก้าüของงานในอนาคต คüามชอบ ÿ่üนบุคคล เป็นต้น ซึ่งงานĀรืออาชีพที่มีโอกาÿรับÿมัครมากจะเป็นจำพüกงานเกี่ยüกับเทคโนโลยี การตลาด Āรือการลงทุน เป็นปัจจัยที่แÿดงใĀ้เĀ็นü่าในอนาคตเทคโนโลยีมีบทบาทอย่างมาก ในชีüิตเรา รüมถึงด้านอุตÿาĀกรรม การตลาดและการประกอบอาชีพ การýึกþางานที่มี คüามเกี่ยüข้องกับเทคโนโลยีจึงเป็นเรื่องดีซึ่งจะช่üยĀางานที่มีประÿิทธิภาพได้ในอนาคต เช่น โปรแกรมเมอร์ นักธุรกิจ üิýüกรĀุ่นยนต์ เป็นต้น อันจะเป็นแนüทางในการเลือกประกอบอาชีพ ที่มีคüามมั่นคงในอนาคตได้ ลายมือชื่อครูที่ปรึกþา ............................ ลายมือชื่อนักเรียน 1. ........................ 2. ........................ 3. ........................ 4. ........................ 5. ........................ วัต กังวาล ธนวัฒน์วีรภาพ สิทธิชัย อภิรักษ์


ข กิตติกรรมประกาศ รายงาน เรื่อง การเรียนรู้และการประกอบอาชีพ ฉบับนี้ ÿำเร็จได้ ด้üยคüามเมตตาจาก ครูรัฐพล ýรีบูรณะพิทักþ์ กลุ่มÿาระการเรียนรู้ภาþาไทย โรงเรียนüัดÿุทธิüราราม ครูประจำüิชา I30202 IS2 การÿื่อÿารและการนำเÿนอ ครูธมลüรรณ Āลิมüงý์ที่ใĀ้คüามเมตตาประÿิทธิ์ประÿาท คüามรู้และทักþะด้านการýึกþาค้นคü้าและการเขียนรายงานüิชาการ อีกทั้งได้ÿละเüลาใĀ้คำแนะนำ ข้อเÿนอแนะ ตรüจและแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้üยคüามเอาใจใÿ่อย่างดียิ่ง ซึ่งทางคณะผู้จัดทำรู้ÿึก ซาบซึ้งในพระคุณ จึงขอขอบพระคุณเป็นอย่างÿูงไü้ ณ โอกาÿนี้ ขอขอบคุณบิดา มารดา ตลอดจนเพื่อนนักเรียนทุกคน ที่คอยเป็นแรงผลักดันและแรงใจ ในการจัดทำรายงานüิชาการฉบับนี้จนÿำเร็จลุล่üงได้ด้üยดี คุณค่าและประโยชน์ของรายงาน เรื่อง การเรียนรู้และการประกอบอาชีพ ฉบับนี้ คณะผู้จัดทำขอมอบใĀ้แก่คณะครูที่มีÿ่üนในการüางรากฐานทางการýึกþา และประÿิทธิ์ประÿาทüิชา คüามรู้แก่คณะผู้จัดทำตลอดมา คณะผู้จัดทำ 27 มกราคม 2566


ค คำนำ รายงาน เรื่อง การเรียนรู้และการประกอบอาชีพ ฉบับนี้ เป็นÿ่üนĀนึ่งของการýึกþาüิชา I30202 IS2 การÿื่อÿารและการนำเÿนอ ภาคเรียนที่ 2 ปีการýึกþา 2565 จัดทำขึ้นโดยมี üัตถุประÿงค์เพื่อนำเÿนอผลที่ได้จากการýึกþาค้นคü้าอย่างเป็นระบบ พัฒนาทักþะการแÿüงĀา คüามรู้ อันเป็นพื้นฐานÿำคัญต่อการýึกþาในระดับที่ÿูงขึ้นต่อไป รายงาน เรื่อง การเรียนรู้และการประกอบอาชีพ ฉบับนี้ มีคüามมุ่งĀüังนำเÿนอเนื้อĀา เกี่ยüกับ คüามรู้เกี่ยüกับการเรียนรู้และการประกอบอาชีพ คüามรู้เกี่ยüกับอาชีพ แนüโน้มอาชีพใน อนาคต พฤติกรรมการเรียนรู้และการประกอบอาชีพ การจัดการýึกþาเพื่ออาชีพ คณะผู้จัดทำĀüังเป็นอย่างยิ่งü่า รายงานเรื่องนี้จะเอื้อประโยชน์ในการýึกþาค้นคü้า แก่ผู้ที่ÿนใจได้เป็นอย่างดี ขอขอบคุณครูที่ปรึกþาและท่านผู้รู้ที่กรุณาใĀ้คำแนะนำจนเขียนรายงาน ได้ÿำเร็จและÿมาชิกผู้จัดทำที่ใĀ้คüามร่üมมือแก้ไขปัญĀาต่าง ๆ จนงานÿำเร็จลุล่üง และÿามารถ ผ่านอุปÿรรคได้ด้üยดี คณะผู้จัดทำ 27 มกราคม 2566


สารบัญ Āน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาý ข คำนำ ค ÿารบัญ ง ÿารบัญภาพ จ ชื่อเรื่อง 1 บทนำ 1 1. คüามรู้เกี่ยüกับการเรียนรู้และการประกอบอาชีพ 2 /////1.1 คüามĀมายของการเรียนรู้ 2 1.2 คüามÿำคัญของการเรียนรู้ 3 1.3 รูปแบบของการเรียนรู้ 3 2. คüามรู้เกี่ยüกับอาชีพ 4 2.1 ประเภทและลักþณะของอาชีพ 4 2.2 การมองเĀ็นโอกาÿในการประกอบอาชีพ 5 2.3 การýึกþาÿำรüจอาชีพ 5 3. แนüโน้มอาชีพในอนาคต 6 3.1 อาชีพที่เกี่ยüกับเทคโนโลยี 6 3.2 อาชีพเกี่ยüกับนักการตลาด และระบบการค้าออนไลน์ 9 4. พฤติกรรมการเรียนรู้และประกอบอาชีพ 11 4.1 ýึกþาอาชีพที่ตนÿนใจอยู่เÿมอ 11 4.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดÿินใจเลือกประกอบอาชีพ 14 5. พฤติกรรมและปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกประกอบอาชีพในอนาคต 17 5.1 ข้อมูลทั่üไปของผู้ตอบแบบÿอบถาม 17 5.2 ผลการÿำรüจ 18


สารบัญ (ต่อ) Āน้า 6. การจัดการýึกþาเพื่ออาชีพ 25 6.1 การÿอนโดยการประยุกต์นำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ด้านการÿอนใĀ้รู้/ พัฒนาÿิ่งที่ตนชอบ 25 6.2 การเรียนรู้จากการปฏิบัติ (Action Learning) 32 บทÿรุป 41 บรรณานุกรม 42 ภาคผนüก 45 ประüัติผู้เขียน 46


การเรียนรู้และการประกอบอาชีพ https://campus.campus-star.com/jobs/122945.html บทนำ การตัดÿินใจเลือกอาชีพĀรือการประกอบอาชีพ นับü่าเป็นเรื่องÿำคัญอย่างยิ่งในชีüิตมนุþย์ ซึ่งอาจกล่าüได้ü่า “งานคือชีüิต” ดังนั้นการเลือกอาชีพจำเป็นต้องมีการเริ่มต้นด้üยการüางแผนชีüิต ด้านอาชีพตั้งแต่üัยเรียน ซึ่งเป็นการüางแผนระยะยาüที่ต้องใช้เüลานานมาก และใช้คüามพยายาม อย่างมาก ผลตอบแทนที่ได้รับก็คุ้มค่า ขณะเดียüกันการใช้ชีüิตของเราในปัจจุบัน "ดิจิทัล" ได้เข้ามา มีบทบาทมากขึ้น เป็นปัจจัยÿำคัญที่เกิดการเรียนรู้ เกิดทักþะการทำงาน และเกิดอาชีพใĀม่ ๆ ที่เป็น ที่ต้องการของตลาดแรงงาน ที่ต้องการคนที่มีทักþะเฉพาะมาช่üยเÿริมการดำเนินธุรกิจใĀ้เติบโต มากขึ้นขณะเดียüกัน ดังนั้นการýึกþาเกี่ยüกับการเรียนรู้และการประกอบอาชีพที่มีแนüโน้มที่จะ เปลี่ยนแปลงไปจึงเป็นประเด็นÿำคัญของการýึกþา และการเตรียมคüามพร้อมÿู่การประกอบอาชีพที่ ต้องการในอนาคต


2 1. คüามรู้เกี่ยüกับการเรียนรู้และการประกอบอาชีพ 1.1 คüามĀมายของการเรียนรู้ คüามĀมายของคำü่า “การเรียนรู้” มีนักจิตüิทยาได้ใĀ้คüามĀมายของการเรียนรู้ไü้ Āลายท่านในที่นี้จะÿรุปพอเป็นแนüทางใĀ้เข้าใจ ดังนี้ การเรียนรู้Āมายถึง การที่มนุþย์ได้รับรู้ถึงÿิ่งแüดล้อมที่อยู่รอบตัüเขา โดยเริ่มต้น ตั้งแต่การมีปฏิÿนธิอยู่ในครรภ์มารดาเรื่อยไป จนกระทั่งคลอดมาเป็นทารกแล้üอยู่รอด ซึ่งบุคคลก็ต้อง ปรับตัüเพื่อใĀ้ตนเองอยู่รอดกับÿิ่งแüดล้อมทั้งภายในครรภ์มารดาและเมื่อออกมาอยู่ภายนอกเพื่อใĀ้ ชีüิตดำรงอยู่รอดทั้งนี้ก็เพราะการเรียนรู้ทั้งÿิ้น การเรียนรู้ Āมายถึง การได้รับคüามรู้ พฤติกรรม ทักþะ คุณค่า Āรือคüามพึงใจ ที่เป็นÿิ่งแปลกใĀม่Āรือปรับปรุงÿิ่งที่มีอยู่ และอาจเกี่ยüข้องกับการÿังเคราะĀ์ÿารÿนเทýชนิดต่าง ๆ ผู้ประมüลทักþะของการเรียนรู้เป็นได้ทั้งมนุþย์ ÿัตü์ และเครื่องจักรบางชนิด คüามก้าüĀน้าใน การเรียนรู้เมื่อเทียบกับเüลามีแนüโน้มเป็นเÿ้นโค้งแĀ่งการเรียนรู้ (learning curve) การเรียนรู้ของมนุþย์อาจเกิดขึ้นจากÿ่üนĀนึ่งของการýึกþา การพัฒนาÿ่üนบุคคล การเรียนการÿอน Āรือการฝึกฝน การเรียนรู้อาจมีการยึดเป้าĀมายและอาจมีคüามจูงใจเป็นตัüช่üย การýึกþาü่าการเรียนรู้เกิดขึ้นได้อย่างไรเป็นÿ่üนĀนึ่งของÿาขาüิชาประÿาทจิตüิทยา (neuropsychology) จิตüิทยาการýึกþา (educational psychology) ทฤþฎีการเรียนรู้ (learning theory) และýึกþาýาÿตร์ (pedagogy) การเรียนรู้อาจทำใĀ้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ (habituation) Āรือการüางเงื่อนไขแบบดั้งเดิม (classical conditioning) ซึ่งพบในÿัตü์Āลายชนิด ĀรือทำใĀ้เกิด กิจกรรมที่ซับซ้อนมากขึ้นอย่างเช่นการเล่น ซึ่งพบได้เฉพาะในÿัตü์ที่มีเชาüน์ปัญญา การเรียนรู้อาจ ก่อใĀ้เกิดคüามตระĀนักอย่างมีÿำนึกĀรือไม่มีÿำนึกก็ได้ กระบüนการของการเรียนรู้มีขั้นตอน ดังนี้ 1) มีÿิ่งเร้า มาเร้าอินทรีย์ 2) อินทรีย์เกิดการรับÿัมผัÿ ประÿาทÿัมผัÿทั้งĀ้า ตา Āู จมูก ลิ้น ผิüกาย 3) ประÿาทÿัมผัÿÿ่งกระแÿÿัมผัÿไปยังระบบประÿาทเกิดการรับรู้ 4) ÿมองแปลผลออกมาü่าÿิ่งที่ÿัมผัÿคืออะไรเรียกü่าคüามคิดรüบยอด 5) พฤติกรรมได้รับคำแปลผลทำใĀ้เกิดคüามคิดรüบยอดก็จะเกิดการเรียนรู้ 6) เมื่อเกิดกระบüนการเรียนรู้บุคคลก็จะเกิดการตอบÿนอง พฤติกรรม ตัüอย่างเช่น เราฝึกÿัตü์ใĀ้ÿามารถทำกิจกรรมใด ๆ ก็ได้อาจเป็นการเล่นลูกบอล โยนĀ่üง ĀรือใĀ้นกพิราบจิกบัตรÿี ĀรือĀัดใĀ้ลิงชิมแฟนซีüาดรูปภาพต่าง ๆ ĀรือใĀ้นกแก้üเฝ้าบ้าน โดยÿ่งเÿียงร้องเüลาที่คนแปลĀน้าเข้าบ้าน กิจกรรมต่าง ๆ เĀล่านี้ จะต้องมีกระบüนการคือมีÿิ่งเร้า มาเร้าอินทรีย์ ถ้าในที่นี้อินทรีย์คือตัüแลคคูน ตัüแลคคูนก็จะรู้ÿึก การเกิดคüามรู้ÿึกเราเรียกü่า เกิดการรับÿัมผัÿ จะด้üยทางตา Āู จมูก ลิ้น ผิüกาย ประÿาทÿัมผัÿจะทำใĀ้เกิดการรับรู้ ÿมองก็จะ


3 แปลคüามĀมาย พฤติกรรมที่ÿมองแปลคüามĀมายเรียกü่าเกิดการเรียนรู้ จะใĀ้เรียนรู้ได้ต้องทำ บ่อย ๆ โดยนักจิตüิทยาใĀ้แลคคูนจับลูกบอลบ่อยๆ พร้อมใĀ้แรงเÿริมด้üยอาĀารที่เจ้าแลคคูนชอบ ก่อนใĀ้อาĀารก็ใĀ้เจ้าแลคคูนจับลูกบอลบ่อย ๆ ทำซ้ำ ๆ Āลายครั้งเจ้าแลคคูนก็จะเกิดการเรียนรู้ü่า ถ้าทำกิจกรรมจับลูกบอลแล้üพัฒนาไปถึงขั้นโยนลูกบอลเข้าĀ่üงก็จะได้อาĀาร การเรียนรู้ก็จะเกิดขึ้น คือถ้าเจ้าแลคคูนĀิüก็จับลุกบอลโยนĀ่üงเป็นต้น (จิตตราภรณ์อินüัน, 2554) 1.2 คüามÿำคัญของการเรียนรู้ การเรียนรู้มีคüามÿำคัญÿำĀรับมนุþย์ทุกคน ทุกเพý ทุกüัย ทุกชาติ ทุกýาÿนา และทุกüงการอาชีพ คüามÿำเร็จในการพัฒนาตน ÿงัคมและมüลมนุþยโลก ทั้งในการดำรงชีüิต การทำงาน และการอยู่ร่üมกันอย่างราบรื่นและÿันติÿุขนั้น ย่อมเกิดจากการที่มนุþย์มีการÿะÿม การเรียนรู้ที่ÿืบทอดกันต่อๆมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การýึกþาเรื่องการเรียนรู้จะช่üยใĀ้ผู้ÿอน มีคüามรู้ คüามเข้าใจในการจัดÿภาพการณ์ และเลือกüิธีการต่าง ๆ เพื่อใĀ้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ได้อย่างมีประÿิทธิภาพและประÿิทธิผลตามคüามเĀมาะÿมของผู้เรียนแต่ละคน ซึ่งมีคüามแตกต่างกัน ทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์ÿังคม และÿติปัญญา เพื่อใĀ้บรรลุผลตามเป้าĀมายที่ต้องการ (การเรียนรู้, 2565) 1.3 รูปแบบของการเรียนรู้ รูปแบบของการเรียนรู้กับการเรียนการÿอน ÿรุปได้ 4 รูปแบบĀลัก ๆ คือ 1) ÿร้างประÿบการณ์ใĀ้แน่นแฟ้น (Concrete Experience) 2) ÿังเกตปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น (Reflexive Observation) 3) เกิดคüามคิดในเชิงนามธรรม (Abstract Conceptual) 4) ชอบการทดลอง (Active Experimentation) นอกจากนี้ยังÿามารถจำแนกรูปแบบการเรียนรู้กับการเรียนการÿอน ÿามารถ จำแนกได้เป็น 2 ประเภทใĀญ่ ๆ ประกอบด้üย (ชนาธิป ใจการุณเลิýดี, 2565) 1) รูปแบบการเรียนรู้กับการเรียนการÿอนทจำแนกตาม พฤติกรรมของผู้เรียน ซึ่งÿามารถแบ่งได้เป็น 6 แบบ ดังนี้ 1.1) แบบแข่งขัน (Competitive) 1.2) แบบร่üมมือ (Collaborative) 1.3) แบบĀลีกเลี่ยง(Avoidant) 1.4) แบบมีÿ่üนร่üม (Participant) 1.5) แบบพึ่งพา (Dependent) 1.6) แบบอิÿระ (Independent)


4 2) รูปแบบการเรียนรู้กับการเรียนการÿอนที่กำĀนดตามการ รับรู้ ซึ่งÿามารถ แบ่งได้เป็น 4 แบบ ดังนี้ 2.1) เรียนรู้ได้ดีจากการรับรู้การมองเĀ็นและการได้ ÿนทนา 2.2) เรียนรู้ได้ดจากการรับรู้ทางการมองเĀ็นและไม่ใช้การÿนทนาโต้ตอบ 2.3) แบบการเรียนรู้ได้ดีจากการลงมือกระทำĀรือใช้การÿัมผัÿกับÿิ่งแüดล้อม 2.4) การเรียนรู้ได้ดีจากการฟังและการใช้ 2. คüามรู้เกี่ยüกับอาชีพ 2.1 ประเภทและลักþณะของอาชีพ ประเภทของอาชีพ แบ่งออกเป็น 2.1.1 อาชีพอิÿระ มีลักþณะเป็นเจ้าของกิจการ บริĀารจัดการด้üยตนเอง อาจเป็นกิจการขนาดเล็ก Āรือเป็นอุตÿาĀกรรมในครัüเรือน อาชีพอิÿระแยกย่อยออกไปเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1) อาชีพอิÿระด้านการผลิต การแปรรูปผลผลิตเป็นÿินค้า นำไปจำĀน่าย ในท้องตลาดเป็นการขายปลีกและขายÿ่ง เช่น อาĀารไทย ขนมไทย ผักผลไม้ 2) อาชีพอิÿระด้านการใĀ้บริการ เป็นอาชีพที่นิยมกันแพร่Āลาย เนื่องจาก มีคüามเÿี่ยงน้อย การลงทุนต่ำ เช่น บริการทำคüามÿะอาด ทำนายโชคชะตา การนüดแผนไทย บริการซักรีดเÿื้อผ้า ช่างซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอื่น ๆ 2.1.2 อาชีพรับจ้าง เป็นการทำงานที่มีเจ้านายมอบĀมาย ได้รับค่าตอบแทน เป็นเงินเดือนค่าจ้าง เช่น งานก่อÿร้าง พนักงานในบริþัท Ā้างร้านและโรงงาน 2.1.3 อาชีพงานฝีมือ เป็นอาชีพที่ปฏิบัติงานโดยใช้ประÿบการณ์และ คüามชำนาญเฉพาะด้าน เช่น งานýิลปะงานĀัตถกรรม งานประติมากรรม 2.1.4 อาชีพรับราชการĀรือเจ้าĀน้าที่ของรัฐ รüมทั้งพนักงานรัฐüิÿาĀกิจ เป็นอาชีพที่ใĀ้บริการแก่ประชาชนใĀ้ได้รับคüามÿะดüกÿบาย เช่นตำรüจดูแลทุกข์ÿุขของ ประชาชน และคüามÿงบเรียบร้อยภายในประเทý ทĀารมีĀน้าที่รักþาดินแดน ป้องกันการรุกรานจากýัตรู ของประเทý แพทย์ พยาบาล ดูแลเกี่ยüกับÿุขภาพอนามัยของประชาชน ครู-อาจารย์ใĀ้คüามรู้ แก่เยาüชนและประชาชนทั่üไป กระทรüงมĀาดไทย กรมการปกครองที่มีปลัดอำเภอ นายอำเภอ และผู้ü่าราชการจังĀüัด ทำĀน้าที่ใĀ้การดูแลเอาใจใÿ่ประชาชนการรับเรื่องร้องเรียน พร้อมทั้ง ใĀ้บริการในด้านต่าง ๆ เช่น การทำบัตรประจำตัüประชาชน การจดทะเบียนÿมรÿ เป็นต้น การทำงานมุ่งผลประโยชน์ของประเทýชาติเป็นĀลัก มีüันทำการที่แน่นอน รายได้Āรือค่าตอบแทนที่ ได้รับเป็นเงินเดือนประจำ (อัชรีรัตนüราĀะ, 2553)


5 2.2 การมองเĀ็นโอกาÿในการประกอบอาชีพ การมองเĀ็นช่องทางการประกอบอาชีพโอกาÿและคüามÿามารถที่จะนำมา ประกอบอาชีพได้ก่อนผู้อื่น เป็นĀัüใจÿำคัญของการประกอบอาชีพĀากผู้ประกอบอาชีพตามที่ตลาด ต้องการและเป็นอาชีพที่เĀมาะÿมกับÿถานการณ์ในขณะนั้น ย่อมทำใĀ้มีโอกาÿประÿบคüามÿำเร็จ ÿามารถพัฒนาตนเองใĀ้มองเĀ็นโอกาÿในการประกอบอาชีพได้ คือ 2.2.1 คüามชำนาญจากงานที่ทำในปัจจุบัน จะเป็นแĀล่งคüามรู้ คüามคิดที่จะช่üย ใĀ้มองเĀ็นโอกาÿในการประกอบอาชีพได้มาก เช่น บางคนมีคüามชำนาญทางด้านการทำอาĀาร ตัดเย็บเÿื้อผ้า ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่อท่อน้ำประปา ช่างไม้ ช่างปูกระเบื้อง ช่างทาÿี ฯลฯ ซึ่งÿามารถ นำคüามชำนาญดังกล่าüมาพัฒนาและประกอบอาชีพได้ บางคนทำงานที่โรงงานตัดเย็บเÿื้อผ้า เมื่อ กลับมาภูมิลำเนาเดิมของตนเอง ก็นำคüามรู้คüามÿามารถและคüามชำนาญมาใช้เป็นช่องทางการ ประกอบอาชีพของตนเองได้ 2.2.2 คüามชอบคüามÿนใจÿ่üนตัü เป็นอีกทางĀนึ่งที่ช่üยใĀ้มองเĀ็นช่องทาง โอกาÿในการประกอบอาชีพบางคนชอบประดิþฐ์ดอกไม้ บางคนชอบüาดรูป ทำใĀ้บุคคลเĀล่านี้ พัฒนางานที่ชอบ ซึ่งเป็นงานอดิเรกกลายเป็นอาชีพĀลัก ทำรายได้เป็นอย่างดี 2.2.3 การฟังคüามคิดเĀ็นจากแĀล่งต่าง ๆ พูดคุยแลกเปลี่ยนคüามคิดเĀ็นกับ บุคคล เป็นแĀล่งคüามรู้และก่อใĀ้เกิดคüามคิดริเริ่มเป็นอย่างดี ในบางครั้งเรามีคüามคิดแล้ü และได้ พูดคุยกับบุคคลต่าง ๆ จะช่üยใĀ้การüิเคราะĀ์คüามคิดชัดเจนขึ้น ช่üยใĀ้มองไปข้างĀน้าได้อย่าง รอบคอบก่อนที่จะลงมือทำงานจริง 2.2.4 การýึกþาค้นคü้าจากĀนังÿือ นิตยÿาร Āนังÿือพิมพ์ การดูüีดีทัýน์ ฟังüิทยุ ดูรายการโทรทัýน์จะช่üยใĀ้เกิดคüามรู้และคüามคิดใĀม่ ๆ 2.2.5 ข้อมูล ÿถิติ รายงาน ข่าüÿารจากĀน่üยราชการและเอกชน รüมทั้ง แผนพัฒนาเýรþฐกิจของประเทýในการมองĀาช่องทางในการประกอบอาชีพ ผู้ที่จะมองĀาอาชีพ พัฒนาอาชีพ คüรใĀ้คüามÿนใจข้อมูลต่าง ๆ ในการติดตามเĀตุการณ์ใĀ้ทัน แล้üนำมาพิจารณา ประกอบการตัดÿินใจประกอบอาชีพ (üราจันทร์ ýรีüรรณบุตร, 2562) 2.3 การýึกþาÿำรüจอาชีพ ข้อมูลจากกลุ่มบริþัท อเด็กโก้ ประเทýไทย (Adecco Group Thailand) ซึ่งเป็น บริþัทด้านทรัพยากรมนุþย์ ที่ได้ทำการเก็บข้อมูลอาชีพในฝันเด็กไทย Adecco Children Survey ประจำปี 2564 โดยการÿำรüจคüามคิดเĀ็นเด็กไทยอายุ 7-14 ปี จำนüน 2,024 คน จากทั่üประเทý เกี่ยüกับอาชีพในฝัน ÿื่อและบุคคลที่มีอิทธิพล และการýึกþาแบบที่ต้องการ โดยÿรุปผลÿำรüจ ได้ดังนี้


6 2.3.1 Āมอและยูทูปเบอร์ ผลÿำรüจอาชีพในฝันปีนี้พบü่า อาชีพที่เด็กไทยอยาก เป็นมากที่ÿุดคือ Āมอ เพราะอยากรักþาคนและช่üยเĀลือผู้อื่น รองลงมาคือ ครู ÿำĀรับอาชีพที่นิยม ในปีนี้ได้แก่ YouTuber และดารา นักร้อง ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 3 และ 4 ตามลำดับ โดยเด็กๆ ใĀ้เĀตุผล ü่าเป็นอาชีพที่ได้มอบคüามบันเทิงและคüามÿุขใĀ้ผู้อื่น ÿำĀรับดารา-นักร้อง นั้นเป็นอาชีพที่ไม่เคยติด Top 5 มาก่อน คาดü่าเป็นเพราะปัจจุบันมีการทำคลิปคอนเทนต์โปรโมท ดารา นักร้อง อยู่ใน YouTube มากขึ้นซึ่งเป็นÿื่อĀลักที่เด็กเปิดรับมากที่ÿุด จึงทำใĀ้คะแนนเพิ่มขึ้นมาในปีนี้ ÿ่üนอันดับที่ 5 ได้แก่ ตำรüจ 2.3.2 ýิลปินและไอดอล ÿำĀรับผลโĀüตไอดอลในดüงใจของเด็กไทยปีนี้พบü่า ‘BLACKPINK’ ได้รับคะแนนโĀüตมากที่ÿุด โดย BLACKPINK เป็นที่ชื่นชอบของเด็กไทย จากคüามÿามารถที่โดดเด่นทั้งด้านการร้องและการเต้น รüมถึงĀน้าตาที่ÿüยน่ารัก โดยÿมาชิกที่เป็น ที่ชื่นชอบมากที่ÿุดในüงคือ ลิซ่า Āรือ ลลิþา มโนบาล ÿมาชิกคนไทยเพียงĀนึ่งเดียüในüงที่นอกจาก จะเต้นและแร็ปเก่งแล้üยังได้รับคำชมด้านคüามอดทน คüามพยายาม และคüามกตัญญูอีกด้üย ÿ่üน เก๋ไก๋ ÿไลเดอร์ YouTuber ที่มียอดผู้ติดตามÿูงÿุดในประเทýไทยและเป็นแชมป์เก่าในปีที่แล้ü ปีนี้อยู่ในอันดับที่ 2 อันดับที่ 3 ได้แก่ ‘BTS’ üงบอยแบนด์เกาĀลีที่เพิ่งพาเพลงครองแชมป์ Billboard ได้ÿำเร็จ โดยเด็กๆ ระบุü่าüง BTS เป็นแรงบันดาลใจทำใĀ้มีกำลังใจในการเรียนมากขึ้น อันดับที่ 4 ได้แก่ แป้ง ZbingZ นักแคÿเกมและ YouTuber ชื่อดังที่ติดโพลล์มา 4 ปีซ้อน และอันดับ 5 ได้แก่ เนม MNJTV นักแคÿเกม Free Fire ที่มาแรงติดโพลล์เป็นครั้งแรก (กองบรรณาธิการ TCIJ, 2564) 3. แนüโน้มอาชีพในอนาคต 3.1 อาชีพที่เกี่ยüกับเทคโนโลยี เทคโนโลยีนั้นถูกขับเคลื่อนและมีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันเริ่ม มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่üยแก้ไขÿถานการณ์ในขณะนี้ด้üย ฉะนั้นเราจะเĀ็นแล้üü่า เทคโนโลยี มีคüามÿำคัญขนาดไĀน จึงขอนำเÿนออาชีพไอที เรียนเทคโนโลยี ไม่มีตกงาน ใครÿนใจอาชีพÿายนี้ ลองมาดูกันü่า มีแต่ละÿาขามีคüามน่าÿนใจอย่างไรไĀนบ้าง และแต่ละอาชีพมีคüามน่าÿนใจอย่างไร 3.1.1 นักพัฒนาปัญญาประดิþฐ์ ÿร้าง AI ทำงานแทนคน AI จะมาแทนที่ เพราะ บางงานถูกแทนที่ไปแล้ü แต่ก็มีงานแนüใĀม่เกิดขึ้นด้üยเช่นกัน โดยĀลายๆ งาน มี AI เข้ามาช่üย ทำงาน โดยผู้อยู่เบื้องĀลังคือ นักพัฒนาปัญญาประดิþฐ์ ที่ต้องรู้üิธีประยุกต์ใช้งาน AI ซึ่งปัจจุบัน ประเทýไทยยังขาดคนทำงานด้านนี้เป็นจำนüนไม่น้อย อีกทั้งอาชีพนี้ยังมีคüามเชี่ยüชาญที่แตกต่างกัน ออกไป ตัüอย่างเช่น ระบบ AI ÿามารถนำข้อมูลมาüิเคราะĀ์ และพัฒนาระบบใĀ้ทำงานรüมกับÿาขา อื่น เช่น นักพัฒนาระบบข้อมูล และระบบอัตโนมัติ ที่ÿามารถพัฒนาฮาร์ดแüร์Āรือÿร้างชิปที่ใช้ ประมüลผล AI ขึ้นมาเองได้เลย รüมถึงอีกĀลายเทคโนโลยี AI ที่รอใĀ้เราได้เรียนรู้ได้อีกมากมาย


7 3.1.2 นักüิชาการคอมพิüเตอร์ออกแบบโปรแกรม อาชีพนี้มีประโยชน์มากต่อ บริþัทĀรือองค์กรในอนาคต ที่ต้องทำงานร่üมกับผู้เชี่ยüชาญด้านปัญญาประดิþฐ์ AI คอยÿนับÿนุน การใช้ระบบคอมพิüเตอร์ และทฤþฎีเครือข่ายĀรือโปรแกรมที่จำเป็น ประมüลผลและการประยุกต์ ใช้งาน เป็นคนกลางที่จะคอยเชื่อมต่อและดูภาพรüมการใช้งานเทคโนโลยีในอนาคต ที่อุตÿาĀกรรมมี คüามต้องการÿูง 3.1.3 นักüิýüกรคอมพิüเตอร์ เบื้องĀลังÿร้างระบบไอที Āากนักüิชาการ คอมพิüเตอร์ดูภาพรüมเทคโนโลยีจากภายนอก üิýüกรคอมพิüเตอร์ก็คือผู้ที่คอยดูแลภาพรüม เทคโนโลยีจากภายใน โดยดูตั้งแต่ระดับฮาร์ดแüร์ ลึกในระดับโครงÿร้างแผงüงจร Āรือÿถาปัตยกรรม ชิปประมüลผล ซึ่งเป็นเบื้องĀลังที่ÿำคัญของระบบคอมพิüเตอร์และเทคโนโลยีทั้งĀลาย Āากระบบ มีปัญĀา Āรืออยากÿร้างใĀม่ ก็เป็นĀน้าที่ของเĀล่าüิýüกรคอมพิüเตอร์ ที่จะต้องเข้ามาช่üยในÿ่üนนี้ üิýüกรคอมพิüเตอร์ เป็นอาชีพที่ต้องใช้คüามรู้และทักþะมาก แลกกับโอกาÿในการได้งานที่ÿูง รüมถึง ค่าตอบแทนที่ดีด้üยเช่นกัน เพราะบุคลากรเĀล่านี้ยังมีไม่มากพอ และกลายเป็นบุคลากรที่Āาได้ยาก 3.1.4 นักพัฒนาซอฟต์แüร์ 5G Āลังจากนี้เทคโนโลยี 5G มีประÿิทธิภาพมากขึ้น ถึงตอนนั้นคงมีÿารพัดโปรแกรมĀรือแอปพลิเคชั่น ที่ใช้ประโยชน์จาก 5G มากมายแน่นอน จึงเป็น โอกาÿที่ดีของนักพัฒนาซอฟต์แüร์ ที่ต้องเตรียมÿร้างบริการ Social media แอปพลิชั่นใĀม่อๆ เช่น แอปขนÿ่งÿินค้าที่ÿามารตรüจÿอบข้อมูลได้แบบ Real time คนที่อยู่ในÿายอาชีพนี้จะได้เรียนรู้ การพัฒนาซอฟต์แüร์ที่ÿร้างรูปแบบบริการที่แปลกใĀม่ แต่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากขึ้นกü่าเดิม 3.1.5 นักüิเคราะĀ์ข้อมูล ใช้ประโยชน์จาก Big Data เป็นอาชีพÿำคัญที่คอยช่üย ใĀ้เข้าใจมนุþย์ นั่นคือ ‘Data’ Āรือข้อมูลนั้นเอง Āากจะทำการใด ถ้าไม่มีข้อมูลอะไรยังไงก็ไปต่อไม่ได้ แน่นอน Āน้าที่ของนักüิเคราะĀ์ข้อมูล ที่จะต้องคอยออกแบบการเก็บข้อมูล เพื่อใĀ้เĀมาะÿมกับ การนำไปใช้ ซึ่งตอนนี้มี Big Data ซึ่งเป็นแĀล่งรüมข้อมูลขนาดใĀญ่ ที่แต่ละองค์กรก็จะมีüิธีเก็บ และนำมาใช้แตกต่างกันไป ตัüอย่างเช่น ข้อมูลพฤติกรรมการซื้อÿินค้าออนไลน์ของüัยรุ่น ก็คือทำ อย่างไรถึงจะได้ข้อมูลนี้มา และĀากได้มาแล้üจะÿามารถนำมาüิเคราะĀ์ ใช้งานใĀ้เกิดประโยชน์ÿูงÿุด ได้ยังไงบ้าง 3.1.6 Programmer โปรแกรมเมอร์ Āรือ นักเขียนโปรแกรม เป็นตำแĀน่งที่นิยม มาก และยังคงดีอย่างต่อเนื่องเพราะธุรกิจที่เกี่ยüข้องกับไอทีและดิจิทัลมีแนüโน้มเพิ่มÿูงขึ้นเรื่อย ๆ จึงถือü่าเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานและเป็นอาชีพที่ÿามารถต่อยอดĀรือปรับเปลี่ยนไปÿายงาน ที่ใกล้เคียงได้ ไม่ü่าจะเป็น Website, Web application, Mobile application รüมถึงการเริ่มต้น ทำกิจการที่เป็นเจ้าของเองก็ยังได้ ÿำĀรับĀน้าที่Āลักของงานนี้ คือ การเขียนโปรแกรมคอมพิüเตอร์ โดยใช้ภาþาทางโปรแกรมคอมพิüเตอร์อย่างน้อย 2-3 ภาþา เช่น ภาþา HTML, CSS, JavaScript, ReactJS, AngularJS, VueJS, NodeJS, Java, PHP, Python, Golang, R, .Net (C#, ASP, VB), ÿั่งการใĀ้คอมพิüเตอร์Āรือแอพพลิเคชั่นใĀ้ทำตามที่เราต้องการ


8 3.1.7 Cloud & Infrastructure มีคüามÿำคัญอย่างมาก และยังคงเป็นที่ต้องการ อย่างÿูงในตลาดแรงงานอีกด้üย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของคลาüด์คอมพิüติง เพราะเขาคือผู้ที่ดูแล Āัüใจของระบบโครงÿร้างไอทีในองค์กร Āรือ ถ้าจะเปรียบการüางระบบไอทีในÿำนักงานกับการÿร้าง บ้าน Cloud &Infrastructure ก็เปรียบได้กับ ÿถาปนิกผู้เชี่ยüชาญผู้ที่มาออกแบบüางÿถาปัตยกรรม และโครงÿร้างของบ้านนั่นเอง การออกแบบด้านระบบไอทีใĀ้กับองค์กรนั้น เป็นงานที่จำเป็นจะต้อง อาýัยผู้ที่ชำนาญเฉพาะทางจริงๆ จึงจะออกแบบมาได้ครอบคลุม และตอบโจทย์ประÿิทธิภาพ การใช้งานของทุกๆคนในองค์กร Āรือ ตำแĀน่งงานนี้ในบางบริþัทอาจจะครอบคลุมแค่ในÿ่üนของ การดูแล และแก้ไขปัญĀาที่เกิดขึ้นเท่านั้นÿ่üนองค์ประกอบĀลัก ๆ ของงาน Infrastructure ก็จะ ÿามารถแบ่งได้เป็นงานด้านออกแบบ การติดตั้ง และüางระบบ Cloud, System/Server, Network, การÿร้างและการจัดการ Data Center, การจัดซื้อ และเลือกใช้ Storage, การเลือกใช้ ระบบปฏิบัติการ, การ Backup ข้อมูล, และดูแลคüามปลอดภัยของโครงÿร้างของระบบโดยรüม เรียกได้ü่าครอบคลุมทุกÿ่üนงานที่เป็นกระดูกÿันĀลังทางด้าน IT ขององค์กรเลย 3.1.8 Developer (Web/ Application/ Mobile) ซึ่งÿายงานนี้ÿ่üนใĀญ่มักจะ ต่อยอดมากจาก Programmer ซึ่งตัü Developer นั้นจะต้องÿามารถเขียน และÿร้างผลิตภัณฑ์ ออกแบบ üางแผน เขียนโค้ด รüมทั้งบริĀารทั้งโปรเจคใĀ้ผ่านไปด้üยดีในทุกขั้นตอน ซึ่งมักจะต้อง มีคüามรับผิดชอบมากกü่า Coder และมีการแบ่งแยกคüามเชี่ยüชาญเฉพาะด้าน ในด้านใดด้านĀนึ่ง Āรือมากกü่า จนĀลายคนมองü่านักพัฒนาซอฟต์แüร์จะต้องเก่ง และมีคüามเป็นมืออาชีพมาก เนื่องจากÿามารถทำงานได้ทุกขั้นตอนได้ด้üยตัüเองเลย ซึ่ง Developer ที่จะประÿบคüามÿำเร็จนั้น ไม่ได้อาýัยเพียงแค่ทักþะด้านการ Coding อย่างเดียü แต่จำเป็นต้องมีทักþะพื้นฐานด้านอื่นๆด้üย เช่น Containers (Docker และ Kubernetes), Cloud Platform (AWS, GCP, Āรือ Azure), Microservices, Framework, Data Structure, Algorithm, Version Control Tool, IDEs (Integrated Development Environment), Database & SQL และ OOP Programming language HTML, CSS, JavaScript, ReactJS, AngularJS, VueJS, NodeJS, Java, PHP, Python, Golang, R, .Net (C#, ASP, VB) (techhub, 2563) (Manpower, 2565)


9 3.2 อาชีพเกี่ยüกับนักการตลาด และระบบการค้าออนไลน์ ปี 2020 โลกของเรากำลังก้าüเข้าÿู่ในยุคดิจิทัลในอนาคตที่นักการตลาดคüรจะต้อง เรียนรู้ ĀลายคนจึงใĀ้นิยามยุคÿมัยนี้ü่าเป็น “ดิจิทัล พลัÿ” ด้üยเĀตุนี้จึงก่อใĀ้เกิดÿาขาอาชีพต่าง ๆ เข้ามามากมาย รüมทั้งÿายการตลาด (Marketing) เช่นเดียüกันก็ไม่Āยุดที่จะพัฒนาตัüเองใĀ้ทันต่อ กระแÿโลก และได้ก่อเกิดอาชีพทางการตลาดใĀม่ ๆ เข้ามาอันเป็นผลจากการพัฒนาเทคโนโลยี เรามาดูกันü่า อาชีพÿายงานการตลาดใดบ้างที่เป็นที่น่าจับตามองกัน 3.2.1 Chief Marketing Technologist เป็นตำแĀน่งที่เป็นการผÿมผÿานของ เทคโนโลยี และการตลาด ซึ่งเป็นÿิ่งจำเป็นมากในบริþัทในปัจจุบัน เพราะตำแĀน่งงานมีคüามต้องการ มาก จากการที่การจะเจาะตลาดในยุคดิจิทัลได้ต้องมีคüามรู้ด้าน IT คนที่จะมาทำตำแĀน่งนี้ต้องมี คüามรู้ทั้งÿองýาÿตร์ ÿามารถใĀ้คำแนะนำและชี้แนüทางการพัฒนาÿินค้าร่üมกับเทคโนโลยีเพื่อใĀ้ บรรลุเป้าทางการตลาดได้ 3.2.2 Customer Wellbeing Specialist ตำแĀน่งคือการดูแลÿุขภาพทั้งกาย และใจของลูกค้าง โดยĀน้าที่Āลัก ๆ ก็คือต้องĀาüิธีการÿื่อÿารใĀ้ผู้บริโภครู้ÿึกผ่อนคลายตลอดการใช้งาน ÿินค้าและบริการ Āรือถ้าลูกค้ามีคüามรู้ÿึกไม่ÿบายใจมาก็ต้องใĀ้คüามช่üยเĀลือได้ ยกตัüอย่างเช่น Commonwealth Bank ในซิดนีย์มีตำแĀน่งนี้เพื่อลูกค้าที่เผชิญĀน้ากับเĀตุการณ์ไม่คาดฝันต่าง ๆ โดยคนที่จะทำตำแĀน่งนี้คüรจะมีคüามÿนใจด้านÿุขภาพ การออกกำลังกาย ÿุขภาพจิตและการดูแล ตัüเองก่อน เพราะต้องทำงานกับผู้เชี่ยüชาญด้านÿุขภาพเพื่อนำ content ตรงนั้นมาเÿนอใĀ้ลูกค้า ในขณะเดียüกันก็ต้องทำงานกับ marketing และ product development เพื่อÿื่อÿารใĀ้ตรงจุดü่า ลูกค้าต้องการอะไรจากแบรนด์ ตำแĀน่งนี้การÿื่อÿารเป็นเรื่องÿำคัญที่ÿุดเลย 3.2.3 Head of Bot Creative ในปัจจุบันและในอนาคตมักจะใช้บอต (Bot) ในการทำงานแทนพนักงานกัน จะเริ่มเĀ็นระบบรับโทรýัพท์อัตโนมัติใน call center ต่าง ๆ Āรือ แม้กระทั่งในแชทเฟซบุ๊คĀรือไลน์ เพราะบอตประĀยัดเüลาและลดเüลาการทำงานในการตอบคำถาม เดิมๆ ซ้ำๆ ได้มาก การมีบอตจึงช่üยแบ่งเบาภาระของทีมได้มาก แต่การจะมีบอตที่ครอบคลุมและ ตอบÿนองได้ตรงคüามต้องการของลูกค้า มันก็ต้องมีคนมากำกับดูแล นี่คือĀน้าที่ของตำแĀน่งนี้Head of Bot Creative ต้องรู้ customer journey ถึงคüามต้องการของลูกค้า โดยต้องเป็นการÿื่อÿารที่มี คุณภาพ ไม่ละทิ้ง emotion ซึ่งเป็นÿ่üนÿำคัญในการÿื่อÿาร คือต้องทำใĀ้เĀมือนการÿื่อÿารกับมนุþย์ มากที่ÿุด ดังนั้นตำแĀน่งนี้ต้องทำงานร่üมกับĀลายๆ ÿ่üนไม่ü่าจะเป็นนักüางแผนการตลาด และโปรแกรมเมอร์ในการÿร้างบอตที่ดีที่ÿุดในลูกค้านั่นเอง 3.2.4 Machine Personality Designer อนาคตคือการ Personalised Āรือ คüามเฉพาะเจาะลงของแต่ละคนไป ไม่มีการผลิตÿินค้าและบริการครั้งเดียüเพื่อตอบโจทย์คนทุกกลุ่ม แต่จะเป็นการผลิตเพื่อตอบÿนองเป็นคนต่อคน เพื่อÿร้างประÿบการณ์ที่เจาะลงที่ÿุดในลูกค้า


10 ตำแĀน่งนี้จึงต้องมีคüามรู้Āลายด้านมากทั้งมาร์เก็ตติ่งและเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังต้องเข้าใจผู้คน üัฒนธรรม ÿังคมและแบรนด์ลูกค้าด้üย เพราะต้องติดต่อกับĀลายภาคÿ่üนการÿื่อÿารจึงเป็น เรื่องÿำคัญเช่นกัน นอกจากนี้ต้องทำ Prototype เพื่อĀา preference ของลูกค้าที่แตกต่างกัน ออกไปอีกโดยต้องไม่ÿูญเÿียคüามเป็นตัüเองไป และต้องพัฒนา Machine ที่มีคüามแม่นยำ ชัดเจน และÿามารถทำงานระĀü่างคนในทีมได้ 3.2.5 Master Storyteller Content ในทุกยุคการจะÿื่อÿารใĀ้ถึงผู้บริโภคĀรือ ลูกค้า ต้องมีüิธีการÿื่อÿารที่ดี และนี่คือĀน้าที่ของ Master Storyteller ที่ต้องมีคüามเข้าใจ ใน ‘Media’ Āรือÿื่อที่จะÿ่งÿารออกไป โดยต้องคงเÿ้นเรื่องคงที่ และเป็นไปในทางเดียüกัน ในทุกแพลตฟอร์ม นอกจากนี้ยังต้องทำงานกับทีม AI เพื่อผลิตคอนเทนต์ที่ÿามารถÿร้างเอง โดยอัตโนมัติได้ด้üยในอนาคต โดยต้องไม่ละทิ้งการÿื่อÿารแบบมนุþย์ไปด้üย 3.2.6 ผู้จัดการฝ่ายโฆþณา (Advertising Manager) ทำĀน้าที่üางแผนโฆþณา เพื่อÿื่อไอเดีย ÿินค้าĀรือบริการต่าง ๆ และซื้อÿื่อเพื่อใĀ้ได้พื้นที่ทำโฆþณา เĀมาะÿำĀรับคน ที่ไม่ต้องการเชี่ยüชาญในด้านใดด้านĀนึ่งเฉพาะเจาะจงมากเกินไป เพราะการโฆþณาเรียกได้ü่าเป็น การผÿมผÿานระĀü่างการเขียนคำโฆþณา นักüิเคราะĀ์ นักออกแบบ และนักการตลาด จึงเป็น บทบาทที่ÿร้างÿรรค์มาก ต้องตระĀนักถึงเทรนด์ของผู้บริโภค ของตลาดทั้งĀมดและเทคโนโลยีล่าÿุด 3.2.7 ผู้จัดการแบรนด์ (Brand Manager) ทำĀน้าที่ดูแลแคมเปญการตลาด ทั้งĀมดของÿินค้าĀรือบริการ ต้องประÿานงานกับแผนกอื่น ๆ ทั้งĀมดเพื่อใĀ้แน่ใจü่าข้อคüามและ คุณค่าของแบรนด์ได้ÿื่อออกไปยังผู้บริโภคได้อย่างเĀมาะÿม รับผิดชอบÿร้างรูปลักþณ์ของแบรนด์จึง ต้องมีคüามคิดÿร้างÿรรค์และไĀüพริบ มีทักþะการนำเÿนอและโน้มน้าüใจที่ยอดเยี่ยมเนื่องจากต้อง โน้มน้าüใจผู้บริĀารเรื่องกลยุทธ์และงบประมาณ รู้จักตลาดผู้บริโภคและรู้จักüิเคราะĀ์ข้อมูล แบรนด์ที่ มีชื่อเÿียงÿ่üนใĀญ่ เช่น Red Bull และ Mercedes มีตำแĀน่งงานนี้ 3.2.8 ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเนื้อĀา/ผู้จัดการ SEO (Content Marketing Manager/ SEO Manager) Content Marketing คือการตลาดที่ใช้เนื้อĀาที่มีคุณค่า ไม่ü่าจะเป็น บทคüาม รูปภาพ üิดีโอ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าĀมายใĀ้ÿนใจÿินค้าĀรือบริการของเรา ÿ่üน SEO (Search Engine Optimization) คือ การทำใĀ้เü็บไซต์มีชื่อเÿียง โดยปรับแต่งเü็บไซต์และเพิ่มลิงก์ที่มีคุณภาพ มายังเü็บไซต์ ดังนั้น อาชีพนี้ต้องÿามารถเขียนเนื้อĀาที่มีคุณค่าเพื่อดึงดูดลูกค้า และคüบคุมคนเขียน เนื้อĀาอีกที รüมถึงประÿานงานกับแผนกอื่น ๆ และÿมาชิกในทีม มีทักþะการจัดการองค์กรที่ยอด เยี่ยม เนื้อĀาĀนึ่งชิ้นอาจÿ่งผ่านบุคคลตั้งแต่ÿามคนขึ้นไปก่อนเผยแพร่ จึงต้องตรüจÿอบใĀ้แน่ใจü่าแต่ ละขั้นตอนÿ่งตรงเüลา เÿ้นทางÿู่การเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดเนื้อĀาที่พบบ่อยที่ÿุดคือเริ่มต้นจาก การเป็นนักเขียนคำโฆþณา 3.2.9 ผู้จัดการโซเชียลมีเดีย (Social Media Manager) การใช้โซเชียลมีเดีย กลายเป็นพฤติกรรมĀลักของคนจำนüนมากไปแล้ü ผู้จัดการโซเชียลมีเดียจึงต้องมีคüามคิดÿร้างÿรรค์


11 ÿามารถใช้คำ ภาพและüิดีโอที่ดึงดูดผู้คน มีคüามรู้อย่างละเอียดเกี่ยüกับแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Twitter, Facebook, Instagram และ LinkedIn üางแผนปฏิทินการโพÿต์ในแต่ละüัน เขียนโพÿต์ ตัดต่อüิดีโอ Āมั่นตรüจÿอบคำüิจารณ์ ติดต่อÿื่อÿารกับแผนกอื่น ๆ เพื่อüางแผนคอนเทนต์โดยเป็น ผู้รับผิดชอบกลยุทธ์ด้านโซเชียลมีเดีย ติดตามเทคนิคและซอฟต์แüร์ใĀม่ ๆ อยู่เÿมอ 3.2.10 ผู้จัดการฝ่ายการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing Manager) ทำĀน้าที่ รับผิดชอบแคมเปญทั้งĀมดทางออนไลน์ รับผิดชอบการเพิ่มปริมาณการเข้าชมเü็บไซต์ของแบรนด์ และการเพิ่มยอดขายออนไลน์ โดยจะทำงานร่üมกับผู้จัดการฝ่ายการตลาดเนื้อĀาและทีมอื่น ๆ เพื่อใĀ้แน่ใจü่าน้ำเÿียง คุณค่า และข้อคüามของแบรนด์เĀมือนกันในทุกแพลตฟอร์ม ต้องเข้าใจ การüิจัยตลาดและการüิเคราะĀ์ โดยปกติก่อนจะได้ทำตำแĀน่งนี้ต้องทำตำแĀน่งผู้ช่üยการตลาด ดิจิทัลก่อน ประÿบการณ์การการทำงานĀรือการฝึกงานจะช่üยใĀ้ได้รับตำแĀน่งการตลาดดิจิทัล 3.2.11 นักüิเคราะĀ์การตลาด (Market Research Analyst) มีทักþะการüิเคราะĀ์และ การüิจัยทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณเพื่อüางกลยุทธ์การแข่งขันทางการตลาด ทำĀน้าที่รüบรüม ตีคüามข้อมูล ดำเนินการüิจัย และนำเÿนอผลการüิจัย ÿามารถคาดการณ์และเข้าใจแนüโน้มรüมถึง พฤติกรรมของผู้บริโภคได้ จะเĀ็นได้ü่าÿายอาชีพเĀล่านี้เป็นÿายอาชีพยุคใĀม่แม้จะดูเĀมือนเป็นอาชีพที่ เฉพาะเจาะจง แต่ผู้ประกอบอาชีพเĀล่านี้มิได้ใช้เพียงทักþะด้านใดด้านĀนึ่งเท่านั้น เพราะจำเป็น ทักþะต่าง ๆ คüบคู่กันไปขึ้นอยู่กับคüามจำเป็นในแต่ละอาชีพ เพื่อคอยÿนับÿนุนÿายงานด้านอื่นๆ และเพื่อÿ่งเÿริมใĀ้งานÿายการตลาดในยุค “ดิจิทัล พลัÿ” ใĀ้มีประÿิทธิภาพÿูงÿุด (Connext Team, 2564) 4. พฤติกรรมการเรียนรู้และประกอบอาชีพ 4.1 ýึกþาอาชีพที่ตนÿนใจอยู่เÿมอ ต้องเริ่มต้นจากการทำคüามรู้จักนิÿัยและบุคลิก 16 แบบ เพื่ออาชีพที่เĀมาะกับนิÿัย ของตัüเองมันมีทฤþฎี คือ Myers-Briggs Type Indicator (MBTI) ที่เป็นแบบทดÿอบบุคลิกภาพ โดยĀลัก ๆ จะแยกประเภทของทุกคนออกด้üยĀลัก 8 ข้อ โดยจะใช้ตัüอักþรแทนนิÿัยต่าง ๆ เĀล่านั้น ชอบเข้าÿังคม Āรือชอบอยู่เงียบๆ คนเดียü 4.1.1 Extraversion (E) ชอบเข้าÿังคม ชอบปาร์ตี้ เพื่อนเยอะ รักการทำกิจกรรม เüลาü่าง ๆ คือชอบออกไปเจอผู้คนพูดคุยและเข้ากับคนอื่นได้ง่าย 4.1.2 Introversion (I) ออกแนüเงียบๆ มีคüามÿุขกับอะไรง่ายๆ รอบตัü ชอบอยู่ ในพื้นที่ของตัüเองไม่ชอบคüามüุ่นüายมากเกิน ไม่ชอบÿุงÿิงกับคนĀมู่มาก จัดการกับÿิ่งที่อยู่ Āรือมอง ล่üงĀน้าไü้


12 4.1.3 Sensing (S) รู้เĀ็นและจัดการกับÿถานการณ์ตรงĀน้าได้Ăย่างดี พĂเจĂ ปัญĀาก็ÿามารถจัดการได้ทันทีเก็บรายละเĂียดเก่ง ชĂบข้Ăเท็จจริง üินิจฉัยและแก้ไขได้ถูกต้Ăง 4.1.4 Intuitive (N) ชĂบมĂงล่üงĀน้า เน้นคüามน่าจะเป็นไปได้ในĂนาคต ชĂบ เก็บข้Ăมูลแล้üเĂามาคิดต่ĂเĂาเĂง มีคüามคิดริเริ่มÿูง และครีเĂทีฟ ใช้ÿมĂงĀรืĂใช้Āัüใจมากกü่า Āลักการ 4.1.5 Feeling (F) ใช้คüามรู้ÿึกตัดÿินใจเรื่Ăงราüต่างๆ เป็นĀลัก คืĂใช้Āัüใจ มากกü่าคüามคิด มักจะคิดถึงคüามรู้ÿึกคนĂื่น เข้าĂกเข้าใจ เĀ็นใจคนĂื่น 4.1.6 Thinking (T) ใช้ÿมĂงในการคิดและเĀตุผลเป็นĀลัก ยึดĀลักเกณฑ์ เป็นระเบียบ เĂาĀลักการมาตัดÿิน ไม่ใช้Ăารมณ์ในการแก้ปัญĀา 4.1.7 Judging (J) ชĂบคüามมีระเบียบเรียบร้Ăย เป็นขั้นตĂน ทุกĂย่างต้Ăง จัดการตามแบบแผน จัดการเรื่Ăงต่าง ๆ ได้ดี 4.1.8 Perceiving (P) ชĂบใช้ชีüิตแบบไม่ยุ่งยาก มีคüามยืดĀยุ่นÿูง ไม่ต้Ăงมี กฎเกณฑ์ตายตัü รับคüามเปลี่ยนแปลงได้ดี เมื่Ăแยกได้ 16ประเภท แต่Āลัก ๆแล้üÿามารถแยกได้ 9 ข้Ă 1) กลุ่มชาü Introvert ชĂบĂยู่คนเดียü รักคüามเป็นÿ่üนตัü ชĂบทำงานเดี่ยüๆ ĀรืĂเป็นกลุ่มเล็กๆ จะรู้ÿึกพึงพĂใจ ยิ่งคนน้Ăยๆ ยิ่งโฟกัÿได้ดีÿาขาที่คüรลĂง งานดูแลÿัตü์และ ธรรมชาติ งานเกี่ยüกับพิพิธภัณฑ์ งานด้านไĂทีงานด้านüิทยาýาÿตร์Ăาชีพที่น่าจะไปได้ดี ÿัตüแพทย์ โปรแกรมเมĂร์social media แมเนเจĂร์ นักüิจัย นักบัญชี/ไฟแนนซ์ ผู้ช่üยทนายคüาม 2) กลุ่มชาü Extrovert ร่าเริง เฟรนด์ลี่ เรียกü่าไปที่ไĀนก็มีÿีÿัน ชĂบทำงาน เป็นกลุ่ม และคนÿ่üนใĀญ่ที่บุคลิกแบบนี้จะพูดคุยร่าเริงกับผู้คนได้ดี ÿามารถพูดต่ĂĀน้าคนเยĂะ ๆ ได้ มักจะมีคüามÿามารถในการจัดการงานต่างๆ ได้ดีÿาขาที่คüรลĂง งานฝ่ายบุคคล งานพีĂาร์ เซลล์ ขายÿินค้า งานด้านÿุขภาพ เช่น ฟิตเนÿ Ăาชีพที่น่าจะไปได้ดี ผู้จัดการฝ่ายบุคคล พีĂาร์และ มาร์เกตติ้ง ผู้จัดการฝ่ายขาย นายĀน้าขายบ้านและที่ดิน นักกายภาพบำบัด ĀมĂฟัน นักแÿดง 3) กลุ่มชาü Organiser ชĂบทำงานข้างนĂก เก็บรายละเĂียดได้ละเĂียด ชĂบ จัดการใĀ้เป็นไปตามแบบแผน และแก้ไขÿถานการณ์เฉพาะĀน้าได้ดี จะเĀมาะงานที่เน้นการจัดการ แบบเต็มที่ คนที่Ăยู่กลุ่มนี้จะชĂบการทำงานแบบผÿม ๆ คืĂจะÿนุกกับงานที่มีกฎและขั้นตĂนต่าง ๆ ที่üางแผนไü้แล้ü แต่ในขณะเดียüกันก็ชĂบทำงานเป็นกลุ่ม ÿาขาที่คüรลĂง งานด้านÿิ่งพิมพ์ĀรืĂงาน เขียนต่างๆ งานแĂดมิน งานไฟแนนซ์และ การบัญชีงานÿาขาการท่Ăงเที่ยü Ăาชีพที่น่าจะไปได้ดี บรรณาธิการ ผู้จัดการĂĂฟฟิý ผู้ช่üยแĂดมิน นักบัญชี


13 4) กลุ่มชาü Artist ชĂบเน้นทำงานด้üยมืĂและĀัüใจเป็นĀลัก ÿ่üนมากจะĂĂก แนüครีเĂทีฟ และมักจะมีคüามคิดริเริ่มÿร้างÿรรค์ที่เป็นขĂงตัüเĂง ÿ่üนใĀญ่จะไม่ค่ĂยĂินกับงานตĂก บัตรเข้าĂĂฟฟิý แต่จะชĂบงานที่ÿามารถบริĀารเüลาได้เĂง รüมทั้งชĂบที่จะทำงานจากไĂเดียขĂง ตัüเĂง มากกü่าจะเĂาไĂเดียคนĂื่นมาพัฒนาต่Ă ÿาขาที่คüรลĂง งานĂĂกแบบ มาร์เกตติ้ง พีĂาร์ งาน เขียน งานด้านดนตรีและýิลปะ งานดูแลÿัตü์และธรรมชาติĂาชีพที่น่าจะไปได้ดี นักตกแต่งภายใน นักĂĂกแบบผลิตภัณฑ์ นักการตลาด พีĂาร์นักüางแผนโฆþณา นักแÿดง นักแต่งเพลง เชฟ 5) กลุ่มชาü Caregiver ชĂบการบริการและดูแลผู้Ăื่น ชĂบพบเจĂผู้คน เข้ากับคน Ăื่นๆ ได้ดี มีคüามเĀ็นĂกเĀ็นใจคนĂื่น และเป็นผู้ฟังĀรืĂผู้ใĀ้คำปรึกþาได้ดีมีคüามรับผิดชĂบÿูง และ ÿามารถจัดการเรื่Ăงต่างๆ ได้ดี ÿ่üนใĀญ่ÿามารถไปทำงานได้Āลายรูปแบบ ทั้งงานด้านÿüัÿดิการและ งานเพื่Ăÿังคม งานĂĂฟฟิýทั่üไป งานด้านการแพทย์ จนถึงเป็นĂĂร์แกไนเซĂร์ÿาขาที่คüรลĂง ÿาขา การแพทย์ การýึกþา ÿüัÿดิการและงานเพื่Ăÿังคม แĂดมิน งานฝ่ายบุคคล งานด้านการขาย Ăาชีพ ที่น่าจะไปได้ดี ĀมĂ พยาบาล นักโภชนาการ นักกายภาพบำบัด นักบำบัดÿาขาต่าง ๆ พี่เลี้ยงเด็ก คนดูแลผู้ÿูงĂายุĀรืĂผู้ป่üย ผู้ช่üยแĂดมิน ผู้จัดการĂĂฟฟิý ผู้จัดการแผนกบุคคล พนักงานและ ผู้จัดการในĀ้างร้าน ĂĂร์แกไนเซĂร์ 6) กลุ่มชาü Enterpriser มีคüามเป็นผู้นำĀรืĂผู้บริĀาร มีคüามมั่นใจ และ คüามรับผิดชĂบÿูง ชĂบทำโปรเจคท์ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงการปิดดีลแต่ก็ÿามารถแบ่งงานใĀ้คนĂื่น ได้ จัดการบริĀารลูกน้Ăงได้ดีÿาขาที่คüรลĂง งานÿาขาการบริĀารจัดการ ÿาขาครุýาÿตร์และ การýึกþา ÿาขากฏĀมาย นิติýาÿตร์ งานข้าราชการ งานในĀน่üยงานรัฐบาล Ăาชีพที่น่าจะไปได้ดี ýาÿตราจารย์ Ăาจารย์ CEO ไลฟ์โค้ช ทนายคüาม นักการเมืĂง ผู้พิพากþา 7) กลุ่มชาü Analyst มีคüามÿามารถชĂบคิด üิเคราะĀ์การแก้ปัญĀา จดจ่Ăกับ Ăะไรที่ÿนใจได้นาน ชĂบเก็บรายละเĂียดยิบย่Ăย ÿ่üนใĀญ่ชĂบทำงานคนเดียü ÿาขาที่คüรลĂง ÿาขา üิทยาýาÿตร์ การแพทย์ กĂงทัพĀรืĂทĀาร-ตำรüจ ไĂที ไฟแนนซ์ บัญชีและงานด้านการýึกþา Ăาชีพ ที่น่าจะไปได้ดี üิýüกร ĀมĂ นักüิจัย ผู้นำกĂงทัพ/ทĀาร/ตำรüจ นักกฎĀมาย นักÿืบ ผู้พิพากþา นัก บริĀารธุรกิต โปรแกรมเมĂร์ ýาÿตรจารย์ นักบัญชี 8) กลุ่มชาü Idealist กลุ่มคนที่Ăยากช่üยใĀ้โลกน่าĂยู่ขึ้น ทำงานได้ดีเมื่Ăมี แรงจูงใจที่ชัดเจน มีผลตĂบแทนที่เĀ็นแล้üมีคüามÿุข ชĂบทำงานกับคนĂื่นและเข้ากับคนĂื่นได้ดี ÿาขาที่คüรลĂง ด้านพัฒนาÿังคม พัฒนาÿิ่งแüดล้Ăม ฝ่ายบุคคล การýึกþา ÿุขภาพและการแพทย์ งานด้านýิลปะ รüมไปถึงงานในĀน่üยงานขĂงรัฐ Ăาชีพที่น่าจะไปได้ดี นักพัฒนาÿังคม ผู้ใĀ้คำปรึกþา ด้านต่าง ๆ ครู นักบำบัดโรค นักการเมืĂง ช่างภาพ ดีไซเนĂร์ ผู้นำกลุ่มต่างๆ


14 9) กลุ่มชาü Realist ชĂบĂยู่กับคüามเป็นจริง งานĂะไรĂยู่ตรงĀน้าÿามารถจัดการ ได้ ภาคปฎิบัติได้ดีชĂบทำงานที่ต้Ăงใช้Ăุปกรณ์ เครื่ĂงมืĂĀรืĂเครื่Ăงจักร ชĂบงานที่มีเป้าĀมายชัดเจน ก็จะลงมืĂทำ ÿาขาที่คüรลĂง การกีāาและÿุขภาพ ÿาขาการผลิตและจัดจำĀน่ายÿินค้าต่างๆ งาน ด้านการก่Ăÿร้าง งานด้านคมนาคม üิทยาýาÿตร์ งานด้านกฎĀมาย งานด้านธุรกิจและการบริĀาร งานการเกþตร Ăาชีพที่น่าจะไปได้ดี นักกีāา โค้ช ช่างÿาขาต่างๆ นักบิน ตำรüจ นักÿืบ นักดับเพลิง เกþตรกร (Anuchana P, 2564) 4.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดÿินใจเลือกประกอบอาชีพ การตัดÿินใจเลืĂกĂาชีพนับเป็นขั้นตĂนที่ÿำคัญ เพราะถ้าตัดÿินใจเลืĂกĂาชีพ เĀมาะÿมกับตัüเรา จะทำใĀ้เรามีคüามÿุขและมีคüามก้าüĀน้าในĀน้าที่การงาน ในแต่ละüันทุกคน มีการตัดÿินใจĂยู่ตลĂดเüลา และบางครั้งต้ĂงตัดÿินใจĀลายเรื่Ăงซึ่งทุกเรื่ĂงĂาจมีคüามÿำคัญ และจำเป็นÿำĀรับตัüเรา การตัดÿินใจที่ดี ต้Ăงรู้Āลักการ üิธีการ ขั้นตĂน เพื่Ăจะได้ตัดÿินใจใĀ้ดีที่ÿุด การฝึกการตัดÿินใจเรื่ĂงĂาชีพต้Ăงเรียนรู้กระบüนการตัดÿินใจเลืĂกĂาชีพ รู้üิธีการ และปฏิรูปแบบ ขĂงการตัดÿินใจเลืĂกĂาชีพ การตัดÿินใจเลืĂกĂาชีพ นับü่าเป็นเรื่ĂงÿำคัญĂย่างยิ่งในชีüิตขĂงมนุþย์ Ăาจกล่าüได้ü่า งานคืĂชีüิตดังนั้น จำเป็นต้Ăงมีการเริ่มต้นด้านการüางแผนชีüิตด้านĂาชีพ ตั้งแต่ üัยเรียน ซึ่งเป็นการüางแผนระยะยาüที่ต้Ăงใช้เüลานานจะĂาýัยคüามพยายามĂย่างมาก ผลตĂบแทน ที่ได้รับก็คุ้มค่า ÿิ่งÿำคัญในการตัดÿินใจเลืĂกĂาชีพ ขึ้นĂยู่กับĂงค์ประกĂบที่ÿำคัญ 2 ประการ คืĂ 4.2.1 ประการที่ 1 ปัจจัยภายนĂก ได้แก่ 1) แนüโน้มขĂงตลาดแรงงาน เป็นข้Ăมูลเกี่ยüกับคüามต้Ăงการผู้ทำงานใน ด้านต่าง ๆ ปัจจุบัน และการพยากรณ์คüามต้ĂงการในĂนาคต 2) ลักþณะงาน งานที่ต้Ăงทำเป็นประจำมีลักþณะĂย่างไร ผู้ทำงานจะต้Ăง ทำĂะไรบ้างเป็นงานที่ทำใĀ้เกิดคüามเพลิดเพลินĀรืĂเบื่ĂĀน่าย งานใĀญ่ ĀรืĂงานเล็ก มีคüาม รับผิดชĂบที่ÿำคัญมากĀรืĂไม่ ฯลฯ 3) ÿภาพแüดล้ĂมขĂงงาน ได้แก่ ÿภาพแüดล้Ăม บรรยากาýขĂงงาน เช่น ร้Ăน ÿกปรก ฝุ่นมาก เÿียงดัง มีÿารพิþ มีคüามขัดแย้งต่างๆ ในĀน่üยงาน ฯลฯ 4) คุณÿมบัติขĂงผู้ประกĂบĂาชีพ มีการกำĀนดĂายุก่ĂนเกþียณĂย่างไร เพý Ăาชีพนั้นๆ 5) การเข้าประกĂบĂาชีพ การเข้าประกĂบĂาชีพต้ĂงมีüิธีการĂย่างไร โดย การÿมัครงานกับนายจ้างĀรืĂÿĂบข้Ăเขียน ÿĂบÿัมภาþณ์ด้üย 6) รายได้ ในการประกĂบĂาชีพมีรายได้โดยเฉลี่ยเท่าไĀร่ 7) คüามก้าüĀน้า Ăาชีพนั้นๆ มีคüามก้าüĀน้าเพียงใด ต้ĂงมีการĂบรม เพิ่มเติม และมีคüามÿามารถเท่าไĀร่ถึงจะเลืĂนขั้น


15 8) การกระจายขĂงผู้ประกĂบĂาชีพ มีผู้ประกĂบĂาชีพมากน้Ăยเพียงใด กระจายĂยู่ทั่üประเทýĀรืĂมีĂยู่เพียงบางจังĀüัด 9) ข้Ăดีและข้Ăเÿีย Ăาชีพแต่ละĂย่างมีทั้งข้Ăดีและข้Ăเÿีย ขึ้นĂยู่กับคüาม พĂใจและคüามต้ĂงการขĂงผู้ประกĂบĂาชีพนั้น 4.2.2 ประการที่ 2 ปัจจัยภายใน ได้แก่ ปัจจัยÿ่üนบุคคล คüามÿนใจ บุคลิกภาพ ÿติปัญญา คüามถนัดทักþะ แรงจูงใจใฝ่ÿัมฤทธิ์ คüามรับผิดชĂบ คüามĂุตÿาĀะ เพý เชื้Ăชาติ Ăายุ คüามแข็งแรง ÿุขภาพ คüาม ปลĂดภัย คüามมั่นคง การทำงานเป็นประโยชน์ต่Ăผู้Ăื่นĀรืĂไม่ ฯลฯ กระบüนการตัดÿินใจเลืĂกĂาชีพ เป็นกระบüนการที่ÿลับซับซ้Ăน เช่น ต้Ăงพิจารณาค่านิยม คüามÿนใจ คüามถนัด และคุณÿมบัติĂื่นๆ การตัดÿินใจÿัมพันธ์กับทักþะที่ได้เรียนรู้ ลักþณะที่เป็นเĂกลักþณ์ขĂงบุคคล เช่นĀลักในการตัดÿินใจ เป็นการÿำรüจĀนทางที่ จะเป็นไปได้กำĀนดü่าจะทำĂะไร จะเกิดผลĂะไร ในการตัดÿินใจ เราต้Ăง รู้จักคüามÿามารถ คüามÿนใจ ค่านิยมขĂงตนเĂงและรู้ประÿบการณ์ที่เกี่ยüข้Ăง นำคüามรู้ไปพิจารณา ตัüเลืĂกต่าง ๆ ถ้าได้ข้Ăมูลมากเท่าใด บุคคลนั้นก็มีโĂกาÿได้ผลที่พึงปรารถนามากขึ้นเท่านั้น ข้Ăมูล จากการประเมินนำไปÿู่การĂภิปรายลักþณะพิเýþขĂงบุคคลที่ÿามารถเชื่Ăมโยงกับคüามต้Ăงการ ทางการýึกþาและĂาชีพ และจะทราบได้Ăย่างไรü่าĂาชีพไĀนเĀมาะÿมกับเรา คนเรามีคüามถนัด คüามÿามารถ และคüามÿนใจในงานĂาชีพแตกต่างกัน บางคนเĀมาะที่จะทำงานด้านĀัตถกรรม บาง คนเĀมาะที่จะทำงานเกี่ยüกับเครื่Ăงจักรกล ĀรืĂงานทางด้านüิทยาýาÿตร์ ÿ่üนบางคนเĀมาะกับงาน ทางด้านที่จะÿĂนดนตรี แต่ละคนย่Ăมแตกต่างกัน ข้Ăÿำคัญ คืĂ ต้Ăงรู้จักตนเĂง และรู้จักงานĂาชีพ ต่างๆ Ăย่างกü้างขüาง รüมทั้งพิจารณาดูü่า มีงานĂะไรบ้างที่ชĂบและÿนใจมากที่ÿุด และงานนั้นๆ เĀมาะกับĂุปนิÿัยและบุคลิกภาพขĂงเราĀรืĂไม่ 4.2.3 ปัญĀาก่ĂนตัดÿินใจเลืĂกĂาชีพ 1) ขาดคüามรู้ คüามเข้าใจ ในการประกĂบĂาชีพต่าง ๆ ขาดทักþะและ รายละเĂียดข้Ăมูล เกี่ยüกับโลกĂาชีพ 2) ต้Ăงการคüามช่üยเĀลืĂเกี่ยüกับการใĀ้คำปรึกþา แนะนำ แนะแนüĂาชีพ การเตรียมตัüก่Ăนเข้าÿู่ตลาดแรงงาน 3) ขาดการรู้จักตนเĂง ด้านคüามÿามารถ ÿติปัญญา คüามถนัด คüามÿนใจใน Ăาชีพที่เĀมาะÿมกับตัüเรา


16 4.2.3 ข้Ăÿรุปก่ĂนตัดÿินใจเลืĂกĂาชีพ 1) คüรรู้จักตนเĂงใĀ้ดีเÿียก่Ăน โดยเฉพาะในด้านĂุปนิÿัยใจคĂ คüามรู้ คüามถนัด คüามÿามารถ ÿุภาพ นิÿัย ทัýนคติเกี่ยüกับĂาชีพนั้นๆ และฐานะทางเýรþฐกิจขĂง ครĂบครัüฯลฯ 2) มีคüามรู้คüามเข้าใจเกี่ยüกับĂาชีพต่างๆ ลักþณะขĂงงานĂาชีพต่าง ๆ ลักþณะขĂงงานĂาชีพ ค่าจ้าง ÿüัÿดิการ คüามก้าüĀน้า คüามต้ĂงการขĂงตลาดแรงงาน ฯลฯ 4.2.4 ขั้นตĂนการตัดÿินใจเลืĂกĂาชีพ 1) กำĀนดปัญĀาĀรืĂĂุปÿรรคใĀ้ชัดเจนü่า เรากำลังตัดÿินใจเรื่ĂงĂะไร เช่น เรา กำลังเลืĂกแผนการเรียนĂะไร ĀรืĂเลืĂกที่จะประกĂบĂาชีพĂะไร 2) ÿำรüจตัüเลืĂกต้Ăงรู้จักแผนที่จะเลืĂกĀรืĂĂาชีพที่จะเลืĂก 3) เปรียบเทียบแต่ละตัüเลืĂกแตกต่างกันĂย่างไร 4) ÿำรüจข้Ăมูลเกี่ยüกับการตัดÿินใจที่จะเลืĂกแผนĀรืĂĂาชีพทั้งĀมด 5) แปลคüามข้Ăมูลต้ĂงกำĀนดน้ำĀนักคüามÿำคัญใĀ้แต่ละตัüเลืĂก การตัดÿินใจเลืĂกĂาชีพมักเกิดขึ้นเมื่ĂมีĂาชีพใĀ้เราตัดÿินใจเลืĂกมากกü่าĀนึ่งĂาชีพ มีคüามรู้และ ประÿบการณ์เกี่ยüกับĂาชีพที่จะเลืĂก 6) จัดการกับข้ĂมูลโดยการใĀ้น้ำĀนักคüามÿำคัญแต่ละตัüเลืĂกในแต่ละ ประเด็นเมื่Ăเราเข้าใจü่าทำไมเราจึงเลืĂกตัüเลืĂกนี้มากü่า จะทำใĀ้ตัüเลืĂกลดลง จนเĀลืĂĂาชีพที่เรา ÿนใจเท่านั้น 7) เรียงลำดับประโยชน์ขĂงตัüเลืĂกจากมากไปĀาน้Ăย จะช่üยใĀ้เĀ็น คüามÿำคัญขĂงตัüเลืĂกแต่ละตัüมากขึ้น 8) ตัดÿินใจ การตัดÿินใจเลืĂกĂาชีพที่ดีจะต้Ăงไม่กังüลใจü่าตัüเลืĂกที่เĀลืĂ จะเĀมาะÿมกับตัüเรามากน้Ăยเพียงใด เมื่Ăเราได้พิจารณาตัüเลืĂกĀลายปัจจัย ได้คิดĂย่างรĂบคĂบ ต้ĂงตระĀนักü่าเราทำดีที่ÿุดแล้üในขณะนั้น แม้ü่าโดยทั่üไปการตัดÿินใจเลืĂกจะมีคüามเÿี่ยง เพราะ ไม่รู้ü่าĂะไร จะเกิดขึ้นในĂนาคต ปัญĀาขĂงเรา คืĂ จะต้ĂงพยายามเลืĂกĂาชีพที่เĀมาะÿมและเป็น ประโยชน์ต่Ăตัüเรามากที่ÿุด ไม่ตัดÿินใจด้üยĂารมณ์ และคüามรู้ÿึก ต้Ăงพิจารณาจากคüามÿนใจ บุคลิกภาพ ค่านิยม และคüามต้Ăงการ (Wimvipa, 2563)


17 5. พฤติกรรมและปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกประกอบอาชีพในอนาคต จากการÿำรÿจคüามคิดเĀ็นขĂงนักเรียนโรงเรียนüัดÿุทธิüราราม กลุ่มตัüĂย่างจำนüน 61 คน เพื่ĂýึกþาถึงคüามเĀ็นเกี่ยüกับĂาชีพในĂนาคต เพื่Ăýึกþาปัจจัยที่มีผลต่ĂการตัดÿินใจเลืĂกการ ประกĂบĂาชีพ และเพื่ĂýึกþาการตัดÿินใจเลืĂกประกĂบĂาชีพ ผลการÿำรüจมี ดังนี้ 5.1) ข้อมูลทั่üไปของผู้ตอบแบบÿอบถาม 1) เพý (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์และคณะ, 2565) 2) อายุ (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์และคณะ, 2565)


18 3) ระดับชั้น (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ และคณะ, 2565) 5.2 ผลการÿำรüจ (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ และคณะ, 2565) (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ และคณะ, 2565)


19 (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ และคณะ, 2565) (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ และคณะ, 2565) (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ และคณะ, 2565)


20 (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ และคณะ, 2565) (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ และคณะ, 2565) (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ และคณะ, 2565)


21 (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ และคณะ, 2565) (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ และคณะ, 2565) (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ และคณะ, 2565)


22 (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ และคณะ, 2565) (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ และคณะ, 2565) (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ และคณะ, 2565)


23 (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ และคณะ, 2565) (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ และคณะ, 2565)


24 (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ และคณะ, 2565) (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ และคณะ, 2565) (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ และคณะ, 2565) (üีรภาพ ลิขิตปัทมÿิงĀ์ และคณะ, 2565)


25 จากการÿำรüจ คüามคิดเĀ็นที่มีต่Ă ปัจจัยที่มีผลต่ĂการเลืĂกĂาชีพในĂนาคต พบü่า มี เพýขายเข้าร่üมแบบÿำรüจĂยู่ที่ร้Ăยละ 52.5 และมีเพýĀญิงĂยู่ที่ร้Ăยละ 47.5 ผู้เข้าร่üมมีĂายุÿ่üน ใĀญ่Ăยู่ในช่üง 16–20 ปี คิดเป็นร้ĂยละĂยู่ที่ 80.3 รĂงลงมาคืĂช่üง 12-15 ปี คิดเป็นร้ĂยละĂยู่ที่ 19.7 ระดับชั้นมีมัธยมýึกþาปีที่ 5 มากที่ÿุด คิดเป็นร้Ăยละ 63.9 รĂงลงมาคืĂมัธยมýึกþาปีที่ 4 คิด เป็นร้ĂยละĂยู่ที่ 26.2 และÿุดท้ายคืĂมัธยมýึกþาปีที่ 6 คิดเป็นร้ĂยละĂยู่ที่ 9.8 และพบü่าเทคโนโลยี มีผลต่Ăการทำงาน และĂาชีพในĂนาคตมีโĂกาÿเกิดขึ้นใĀม่ มากที่ÿุดคิดเป็นร้Ăยละ 63.5 รĂงลงมา คืĂ โĂกาÿที่จะได้รับคüามก้าüĀน้าในĂนาคตมีผลต่Ăการตัดÿินใจ คิดเป็นร้Ăยละ 57.1 Ăยู่ในระดับ มากที่ÿุด 6. การจัดการýึกþาเพื่ออาชีพ 6.1 การÿอนโดยการประยุกต์นำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ด้านการÿอนใĀ้รู้/พัฒนาÿิ่งที่ ตนชอบ Ăภินัน จันทร์ดี(2565), ขนิþฐา ทริพย์โกมล (2565), Ăนุธิดา ไตรยÿุทธิ์(2565) และ ananthiya (2559) ใĀ้คüามเĀ็นÿĂดคล้Ăงกันü่าเราจะใช้ ICT ในการÿĂนและการเรียนรู้คืĂ การนำ เทคโนโลยีดิจิตĂล เครื่ĂงมืĂÿื่Ăÿาร ĀรืĂเครืĂค่ายคĂมพิüเตĂร์ มาใช้ในการเข้าถึง จัดการ บูรณาการ ประเมินผล และÿร้างข้Ăมูล 6.1.1 เป้าĀมายขĂงการใช้ ICT เพื่Ăการเรียนรู้ 1) เป็นเครื่ĂงมืĂช่üยเพิ่มผลงาน และการติดต่Ăÿื่Ăÿาร 2) คüามร่üมมืĂขĂงนักเรียน โดยการüิเคราะĀ์ข้Ăมูลร่üมกัน 3) บริĀารจัดการข้Ăมูล โดยการค้นคü้าข้Ăมูล 4) คüามร่üมมืĂขĂงครู โดยครูทำงานร่üมกันเĂง ทำงานร่üมกับนักเรียน และเพื่Ăน ภายนĂก โรงเรียน 5) คüามร่üมมืĂระĀü่างโรงเรียน โดยนักเรียนทำงานร่üมกับผู้Ăื่นที่Ăยู่นĂก โรงเรียน 6) การÿร้างงาน โดยการจัดทำชิ้นงาน การเผยแพร่ผลงาน 7) ช่üยบททüนบทเรียน โดยซĂร์ฟแüร์เÿริมการเรียน


26 https://pt.venngage.com/templates/infographics/components-of-ict-informational-infographic2c4526ae-d279-4025-aba9-dc64843f15ee 6.1.2 ประโยชน์จากการนำระบบ ICT มาประยุกต์ใช้ พĂÿรุปได้ดังนี้ 1) คüามÿะดüกรüดเร็üในระĀü่างการดำเนินงาน 2) ลดปริมาณผู้ดำเนินงานและประĀยัดพลังงานเชื้Ăเพลิงได้ĂีกทางĀนึ่ง 3) ระบบการปฏิบัติงานเป็นไปĂย่างมีระเบียบมากขึ้นกü่าเดิม 4) ลดข้ĂผิดพลาดขĂงเĂกÿารในระĀü่างการดำเนินการได้ 5) ÿร้างคüามโปร่งใÿใĀ้กับĀน่üยงานĀรืĂĂงค์กรได้ 6) ลดปริมาณเĂกÿารในระĀü่างการดำเนินงานได้มาก (กระดาþ) 7) ลดขั้นตĂนในระĀü่างการดำเนินการได้มาก 8) ประĀยัดเนื้Ăที่จัดเก็บเĂกÿาร (กระดาþ) 6.1.3 เทคโนโลยีทางด้านคĂมพิüเตĂร์และการÿื่Ăÿารโทรคมนาคมมีบทบาท ที่ÿำคัญต่Ăการพัฒนาการýึกþาดังนี้ 1) เทคโนโลยีÿารÿนเทýเข้ามามีÿ่üนช่üยเรื่Ăงการเรียนรู้ ปัจจุบัน มีเครื่ĂงมืĂที่ช่üยÿนับÿนุนการเรียนรู้Āลายด้านมีระบบคĂมพิüเตĂร์ช่üยÿĂน (CAI) ระบบÿนับÿนุน การรับรู้ข่าüÿาร เช่น การค้นĀาข้Ăมูลข่าüÿารเพื่Ăการเรียนรู้ใน World Wide Web 2) เทคโนโลยีÿารÿนเทýเข้ามาÿนับÿนุนการจัดการýึกþาโดยเฉพาะ การจัดการýึกþาÿมัยใĀม่จำเป็นต้ĂงĂาýัยข้Ăมูลข่าüÿารเพื่Ăการüางแผน การดำเนินการ การติดตาม และประเมินผลซึ่งĂาýัยคĂมพิüเตĂร์และระบบÿื่Ăÿารโทรคมนาคมเข้ามามีบทบาทที่ÿำคัญ 3) เทคโนโลยีÿารÿนเทýกับการÿื่ĂÿารระĀü่างบุคคล ในเกืĂบทุกüงการ ทั้งทางด้านการýึกþาจำเป็นต้ĂงĂาýัยÿื่Ăÿัมพันธ์ระĀü่างตัüบุคคล เช่น การÿื่ĂÿารระĀü่างผู้ÿĂนกับ ผู้เรียน โดยใช้Ăงค์ประกĂบที่ÿำคัญช่üยÿนับÿนุนใĀ้เกิดประÿิทธิภาพในการดำเนินงาน เช่น การใช้ โทรýัพท์ โทรÿาร ไปรþณีย์Ăิเล็กทรĂนิกÿ์ เทเลคĂมเฟĂเรนซ์ เป็นต้น


27 4) พัฒนาคุณภาพการýึกþา โดยเกิดการýึกþาในรูปแบบใĀม่ กระตุ้น คüามÿนใจแก่ผู้เรียน โดยใช้คĂมพิüเตĂร์เป็นÿื่ĂในการÿĂน (Computer-Assisted Instruction : CAI) และการเรียนรู้โดยใช้คĂมพิüเตĂร์ (Computer-Assisted Learning : CAL) ทำใĀ้ผู้เรียนมี คüามรู้คüามเข้าใจในบทเรียนมากยิ่งขึ้น ไม่ซ้ำซากจำเจผู้เรียนÿามารถเรียนรู้ÿิ่งต่างๆ ได้ด้üยระบบที่ เป็นมัลติมีเดีย นĂกจากนั้นยังมีบทบาทต่Ăการนำมาใช้ในการÿĂนทางไกล (Distance Learning) เพื่Ă ผู้ด้ĂยโĂกาÿทางการýึกþาในชนบทที่Ā่างไกล 6.1.4 เทคโนโลยีกับการเรียนการÿĂน เทคโนโลยีจะเกี่ยüข้ĂงกับการเรียนการÿĂน 3 ลักþณะ คืĂ 1) การเรียนรู้เกี่ยüกับเทคโนโลยี (Learning about Technology) ได้แก่เรียนรู้ระบบการทำงานขĂงคĂมพิüเตĂร์ เรียนรู้จนÿามารถใช้ระบบคĂมพิüเตĂร์ได้ ทำระบบ ข้Ăมูลÿารÿนเทýเป็น ÿื่Ăÿารข้Ăมูลทางไกลผ่าน Email และ Internet ได้ เป็นต้น 2) การเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยี (Learning by Technology) ได้แก่ การเรียนรู้คüามรู้ใĀม่ ๆ และฝึกคüามÿามารถ ทักþะ บางประการโดยใช้ÿื่Ăเทคโนโลยี เช่น ใช้ คĂมพิüเตĂร์ช่üยÿĂน (CAI) เรียนรู้ทักþะใĀม่ ๆ ทางโทรทัýน์ที่ÿ่งผ่านดาüเทียม การค้นคü้าเรื่Ăง ที่ÿนใจผ่าน Internet เป็นต้น 3) การเรียนรู้กับเทคโนโลยี (Learning with Technology) ได้แก่ การเรียนรู้ด้üยระบบการÿื่Ăÿาร 2 ทาง กับเทคโนโลยี เช่น การฝึกทักþะภาþากับโปรแกรมที่ใĀ้ ข้Ăมูลย้Ăนกลับถึงคüามถูกต้Ăง (Feedback) การฝึกการแก้ปัญĀากับÿถานการณ์จำลĂง เป็นต้น 6.1.5 แนüคิดในการเพิ่มคุณค่าขĂงเทคโนโลยีช่üยการเรียนรู้ 1) การใช้เทคโนโลยีพัฒนากระบüนการทางปัญญา ระบบคĂมพิüเตĂร์ ที่จะช่üยพัฒนาผู้เรียนใĀ้มีคüามฉลาดในกระบüนการทางปัญญา โดยครูĂาจจัดข้Ăมูลในเรื่Ăงต่าง ๆ ในüิชาที่ÿĂน ใĀ้ผู้เรียนฝึกรับรู้ แÿüงĀาข้Ăมูล นำมาüิเคราะĀ์กำĀนดเป็นคüามคิดรüบยĂดและ ใช้คĂมพิüเตĂร์ช่üยแÿดงแผนผังคüามคิดรüบยĂด (Concept Map) โยงเป็นกฎเกณฑ์ Āลักการ ซึ่งผู้ÿĂนÿามารถจัดÿถานการณ์ใĀ้ผู้เรียนฝึกการนำกฎเกณฑ์ Āลักการไปประยุกต์ จนÿรุปเป็น Ăงค์คüามรู้Ăย่างมีเĀตุผล บันทึกÿะÿมไü้เป็นคลังคüามรู้ขĂงผู้เรียนต่Ăไป 2) การใช้เทคโนโลยีพัฒนาคüามÿามารถในการแก้ปัญĀาการเรียนรู้ที่ เน้นผู้เรียนเป็นýูนย์กลางÿามารถĂĂกแบบแผนการเรียนการÿĂนใĀ้ผู้เรียนมีโĂกาÿทำโครงงาน แÿüงĀาคüามรู้ตามĀลักÿูตรเพื่Ăแก้ปัญĀาการเรียนรู้ลักþณะนี้จะเริ่มต้นด้üยการกำĀนดประเด็น เรื่Ăง ตามมาด้üยการüางแผนกำĀนดข้ĂมูลĀรืĂÿาระที่ต้Ăงการ ผู้ÿĂนĂาจจัดบัญชีแÿดง แĀล่งข้Ăมูล ทั้งจากเĂกÿารÿิ่งพิมพ์และจาก Electronic Sources เช่น ชื่ĂขĂง Web ต่าง ๆ ใĀ้ผู้เรียนแÿüงĀาข้Ăมูล üิเคราะĀ์ ÿังเคราะĀ์ เป็นคำตĂบ ÿร้างเป็นĂงค์คüามรู้ต่าง ๆ โดยใช้ เทคโนโลยีเป็นเครื่ĂงมืĂช่üย และครูช่üยกำกับผลการเรียนรู้ใĀ้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพที่ ต้Ăงการ


28 6.1.6 การจัดปัจจัยÿนับÿนุนการใช้เทคโนโลยีช่üยการเรียนรู้ ปัจจัยพื้นฐานคืĂการÿร้างคüามพร้ĂมขĂงเครื่ĂงมืĂĂุปกรณ์ต่าง ๆ ใĀ้มี ÿมรรถนะและจำนüนเพียงต่Ăการใช้งานขĂงผู้เรียน รüมถึงการĂำนüยคüามÿะดüกใĀ้ผู้เรียน ÿามารถใช้เทคโนโลยีได้ตลĂดเüลาจะเป็นปัจจัยเบื้Ăงต้นขĂงการÿ่งเÿริมการใช้เทคโนโลยีเพื่Ă การเรียนรู้ ÿิ่งที่คüรเป็นปัจจัยเพิ่มเติมคืĂ 1) ครูÿร้างโĂกาÿในการใช้เทคโนโลยีเพื่Ăการเรียนรู้ การที่ครูĂĂกแบบ กระบüนการเรียนรู้ใĀ้เĂื้Ăต่ĂการทำกิจกรรมประกĂบการเรียนรู้ เป็นกิจกรรมที่ต้Ăงใช้ กระบüนการแÿüงĀาคüามรู้จากแĀล่งข้Ăมูลต่าง ๆ ทั้งจากการÿังเกตในÿถานการณ์จริง การทดลĂง การค้นคü้าจากÿื่Ăÿิ่งพิมพ์และจากÿื่Ă Electronic 2) ครูและผู้เรียนจัดทำระบบแĀล่งข้Ăมูลÿารÿนเทýเพื่Ă การเรียนรู้ปัจจัยด้านแĀล่งข้Ăมูลÿารÿนเทý (Information Sources) เป็นตัüเÿริมที่ÿำคัญที่ช่üย เพิ่มคุณค่าขĂงระบบเทคโนโลยีเพื่ĂการเรียนการÿĂน ครูและผู้เรียนคüรช่üยกันแÿüงĀา แĀล่งข้Ăมูลÿารÿนเทýที่มีเนื้ĂĀาÿาระตรงกับĀลักÿูตรĀรืĂÿนĂงคüามÿนใจขĂงผู้เรียน 3) ÿถานýึกþาจัดýูนย์ข้Ăมูลÿารÿนเทýเพื่Ăการเรียนรู้ýูนย์ข้Ăมูล ÿารÿนเทýเพื่Ăการเรียนรู้ ÿ่งเÿริมการใช้เทคโนโลยีเพื่Ăการเรียนรู้ขĂงครูและผู้เรียน เรียกü่า Ā้ĂงÿมุดเÿมืĂน (Virtual Library) ĀรืĂ E-Library จะมีคุณประโยชน์ในการมีแĀล่งข้Ăมูล ÿารÿนเทýเพื่Ăการýึกþาค้นคü้าในüิทยาการÿาขาต่าง ๆ 4) การบริการขĂงกรมĀรืĂĀน่üยงานกลางทางเทคโนโลยีเพื่Ă การเรียนรู้ กรมต้นÿังกัดĀรืĂĀน่üยงานกลางด้านเทคโนโลยีคüรÿ่งเÿริมการใช้เทคโนโลยีขĂง ÿถานýึกþาด้üยการบริการด้านข้Ăมูลÿารÿนเทý 6.1.7 รูปแบบการใช้ ICT เพื่Ăพัฒนาการเรียนรู้ คüามก้าüĀน้าทางเทคโนโลยีคĂมพิüเตĂร์ และการแข่งขันการพัฒนา ทางด้านซĂฟต์แüร์ ในปัจจุบัน ÿ่งผลใĀ้ประเทýต่าง ๆ นำคĂมพิüเตĂร์มาใช้ในด้านการýึกþา กันมาก การใช้คĂมพิüเตĂร์ช่üยÿĂน(Computer Assisted Instruction) มีบทบาทและ มีประÿิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมีรูปแบบการใช้ ICT ดังนี้ 1) จัดการเรียนรู้“ตลĂดเüลา” (Anytime) เüลาใดก็ÿามารถเรียนรู้ได้ ระยะแรกเริ่มใĀ้นักเรียนÿามารถใช้ Computer ÿืบค้นĀาคüามรู้จากĀ้Ăงÿมุด ซึ่งมีเครื่Ăง คĂมพิüเตĂร์ใĀ้บริการระบบ Internet 2) เรียนรู้จากแĀล่งเรียนรู้“ทุกĀนแĀ่ง” (Anywhere) นักเรียน ÿามารถเรียนรู้ร่üมกันจากÿื่Ăต่างๆ เช่น คĂมพิüเตĂร์ üีดิทัýน์ โทรทัýน์ CAI และĂื่นๆ


29 3) การใĀ้ทุกคน (Anyone) ได้เรียนรู้พัฒนาตนเĂงĂย่างเต็มýักยภาพ ขĂงตน ตั้งแต่ระดับĂนุบาลเป็นต้นไป 6.1.8 การใช้ ICT เพื่Ăการเรียนรู้ การเรียนรู้ในปัจจุบันแตกต่างจากเดิมไปĂย่างÿิ้นเชิง ซึ่งĀมายคüามü่า ผู้เรียนมีโĂกาÿ มีĂิÿระในการเรียนรู้ด้üยตนเĂง ÿร้างĂงค์คüามรู้ ÿร้างทักþะด้üยตนเĂง ครูเปลี่ยน บทบาทจากผู้ÿĂนมาเป็น ผู้ใĀ้คำแนะนำ นĂกจากนี้ทั้งครูและýิþย์ÿามารถเรียนรู้ไปพร้Ăมกันได้ การจัดการเรียนที่โรงเรียนดำเนินการได้ในขณะนี้ 1) การÿĂนโดยใช้ÿื่Ă CAI ช่üยÿĂนใĀ้เกิดการเรียนรู้ตามคüามÿนใจ เช่น üิชาคณิตýาÿตร์ üิชาภาþาไทย üิชาüิทยาýาÿตร์ üิชาÿังคม ĀรืĂ ÿปช. üิชาภาþาĂังกฤþ 2) ÿ่งเÿริมใĀ้ผู้เรียนรู้จักÿืบค้นüิทยาการใĀม่ ๆ จากĂินเทĂร์เน็ต จาก E-book จาก E-Library 3) ÿ่งเÿริมการเรียนรู้และÿร้างเจตคติที่ดีในการเรียนและการค้นคü้า Āาคüามรู้ โดยกำĀนดใĀ้ผู้เรียนได้เล่นเกมการýึกþา (Education Games) ที่ผ่านการüิเคราะĀ์ ขĂงครูผู้รับผิดชĂบü่าไม่เป็นพิþภัยต่Ăผู้เล่น และเป็นการÿร้างเÿริมคüามคิดÿร้างÿรรค์ที่ดีใĀ้กับ เด็ก 4) ใช้แผนการÿĂนแบบ ICT บูรณาการเรียนรู้ในÿาระüิชาต่างๆ เช่น คณิตýาÿตร์ üิทยาýาÿตร์ ภาþาĂังกฤþ และ คĂมพิüเตĂร์ 5) จัดระบบข้Ăมูลÿารÿนเทýเพื่ĂการบริĀารจัดการเรียนรู้ 6) ใช้เทคโนโลยีÿารÿนเทýในการจัดระบบและเผยแพร่คüามรู้ 7) จัดระบบข้ĂมูลÿารÿนเทýแĀล่งเรียนรู้ภายในโรงเรียน และ ภูมิปัญญาชุมชนท้Ăงถิ่น 8) พัฒนาเครืĂข่ายการเรียนรู้ในการจัดการเรียนรู้ขĂงผู้ÿĂน 6.1.9 Āลักการ แนüปฏิบัติในการจัดการเรียนการÿĂนด้üย ICT และ โปรแกรมปฏิบัติการคĂมพิüเตĂร์ 1) ĀลักการÿĂนด้üย ICT และโปรแกรมปฏิบัติการคĂมพิüเตĂร์ 2) เลืĂกใช้โปรแกรม (Soft ware) ที่เĀมาะÿมกับüิชา 3) ĂĂกแบบการÿĂน (Instructional Design) โดยใช้โปรแกรม ทั้งĀมด ĀรืĂบางÿ่üน เพื่Ăมุ่งÿู่ผลการเรียนรู้ที่คาดĀüังĀรืĂüัตถุประÿงค์ตามแผนการÿĂน ผÿมผÿานโปรแกรมกับĀลักการ แนüคิดทฤþฏีการÿĂนโดยทั่üไปที่จะช่üยใĀ้การเรียนการÿĂนมี ชีüิตชีüา (Active Learning) ทั้งในและนĂกĀ้Ăงเรียน ก่ĂใĀ้เกิดการเรียนรู้เร็ü รู้จริง รู้แจ้ง เชื่Ăมโยงกับคüามรู้เดิม และนำไปÿู่การÿร้างĂงค์คüามรู้ใĀม่


30 4) การใช้ ICT และโปรแกรมปฏิบัติการคĂมพิüเตĂร์ในกลุ่มาระณิต ýาÿตร์ üิทยาýาÿตร์ ภาþาĂังกฤþ มีโปรแกรมที่ใช้ในการจัดการเรียนการÿĂน (โรงเรียนในฝัน) ดังนี้ Sketchpad Graphic Calculator Visual lab ProDesktop Photo Shop Namo Dreamweaver Swish GSP Crocodile Java Applete Flash Tell Me More 6.1.10 การเตรียมĀ้Ăงเรียน Ăุปกรณ์การÿĂน 1) Ā้Ăง Lab มีผู้รับผิดชĂบĂำนüยคüามÿะดüกใĀ้กับครูผู้ÿĂนดูแล Ăุปกรณ์การÿĂนใĀ้Ăยู่ในÿภาพที่พร้Ăมใช้ได้ตลĂดเüลา 2) ก่ĂนทำการÿĂน ครูผู้ÿĂนเตรียมเนื้ĂĀา และเตรียมนำเÿนĂร่üมกับ ครูผู้รับผิดชĂบĀ้Ăง Lab ทดลĂงใช้ดูü่าĂุปกรณ์ต่างๆ ใช้การได้ĀรืĂไม่ เพื่Ăป้Ăงกันไม่ใĀ้เกิดการ เÿียเüลาในการÿĂน 3) ĀลังการÿĂน เก็บเนื้ĂĀาÿาระที่ÿĂนไü้ในคĂมพิüเตĂร์และเก็บไü้ กับตัüครูผู้ÿĂน ในกรณีมีผลงานนักเรียนเกิดขึ้น ใĀ้บรรจุลงในโฟลเดĂร์ขĂงรายบุคคล และกลุ่มที่ จัดเตรียมไü้ทั้งนี้เพื่Ăไü้ใช้ในครั้งต่Ăไป ĀรืĂใช้เพื่ĂการĂื่นได้ÿะดüก 6.1.11 การจัดกิจกรรมการเรียนการÿĂน 1) ใĀ้ดูซีดี 2) ใĀ้ÿืบค้นข้Ăมูลจาก internet ที่โรงเรียนช่üงพักกลางüันĀรืĂ ที่บ้าน (ÿำĀรับนักเรียนที่มีคüามพร้Ăม) ÿำĀรับนักเรียนที่มีคĂมพิüเตĂร์ที่บ้าน มĂบโปรแกรมใĀ้ไปทำ ที่บ้าน และนำผลงานมาเÿนĂ มĂบชิ้นงาน /โครงงานใĀ้ทำ แล้üใĀ้นำเÿนĂโดย Sketchpad ใĀ้ฝึกทักþะจาก online Soft ware เช่น GPS, Google Earth และ Soft ware ในคĂมพิüเตĂร์ 3) จัดกิจกรรมพี่ÿĂนน้Ăง เพื่ĂนÿĂนเพื่Ăน เกี่ยüกับโปรแกรม 4) จัดชุมนุม เช่น ชุมนุม GPS4.06 5) ครูนำเÿนĂÿื่Ă ICT เพื่Ăÿร้างคüามเข้าใจในเนื้ĂĀา 6) ใĀ้นักเรียนนำเÿนĂด้üย Power Point 7) ทำการบ้านในเü็ปไซต์ 8) ÿ่งงานทางผ่าน e-mail 9) ÿ่งงานลงใน โฟลเดĂร์เฉพาะบุคคล ลงในคĂมพิüเตĂร์ขĂงครู


31 6.1.12 คüามÿำเร็จในการใช้ ICT ในการเรียนรู้ 1) ผู้เรียน : จะต้Ăงมีทักþะพื้นฐานในการใช้ ICT เพื่Ăการเรียนรู้ 2) Āลักÿูตร : จะต้ĂงมีการÿĂดแทรก ICT เข้าในกิจกรรมการเรียน การÿĂนและÿ่งเÿริมใĀ้เกิดการคิด üิเคราะĀ์ และการÿร้างĂงค์คüามรู้ 3) ผู้ÿĂน/ผู้บริĀาร : จะต้Ăงมีทักþะพื้นฐาน และÿามารถนำ ICT ไปประยุกต์ใช้ในกิจกรรมการเรียนการ ÿĂน 4) เทคโนโลยี : เลืĂกใช้เทคโนโลยีได้ÿĂดคล้Ăง และเĀมาะÿมกับ ผู้เรียน ดังนั้น การจะพัฒนาประเทýใĀ้เป็นÿังคมแĀ่งการเรียนรู้ ตลĂดจนการเพิ่ม ขีดคüามÿามารถในการแข่งขันจำเป็นที่จะต้Ăงมีการÿ่งเÿริม พัฒนาโครงÿร้าง ICT ใĀ้ครĂบคลุม ทั่üทุกภาค ทั้งเขตเมืĂง และชนบท รüมทั้งการÿ่งเÿริมการใช้ ICT ขĂงประชากร ทั้งใน การดำรงชีüิต และในการทำงาน ซึ่งจำเป็นที่Āน่üยงานที่เกี่ยüข้Ăงจะต้Ăงýึกþา และĀาüิธีการที่จะ กระตุ้นเพื่ĂใĀ้ประชาชนได้เĀ็นถึงคüามÿำคัญ และประโยชน์ขĂงการใช้ ICT 6.1.13 ข้ĂดีขĂง ICT 1) เĂื้ĂĂำนüยใĀ้กับการติดต่Ăÿื่Ăÿารที่รüดเร็ü ไม่จำกัดเüลาและ ÿถานที่ รüมทั้งบุคคล 2) ผู้เรียนและผู้ÿĂนไม่ต้ĂงการเรียนและÿĂนในเüลาเดียüกัน 3) ผู้เรียนและผู้ÿĂนไม่ต้ĂงมาพบกันในĀ้Ăงเรียน 4) ตĂบÿนĂงคüามต้ĂงการขĂงผู้เรียน และผู้ÿĂนที่ไม่พร้Ăมด้านเüลา ระยะทางในการเรียนได้เป็นĂย่างดี ผู้เรียนที่ไม่มีคüามมั่นใจ กลัüการตĂบคำถาม ตั้งคำถาม ตั้งประเด็นการเรียนรู้ใน Ā้Ăงเรียน มีคüามกล้ามากกü่าเดิม เนื่Ăงจากไม่ต้Ăงแÿดงตนต่ĂĀน้าผู้ÿĂน และเพื่Ăนร่üมชั้น โดย Ăาýัยเครื่ĂงมืĂ เช่น E-Mail, Webboard, Chat, Newsgroup แÿดงคüามคิดเĀ็นได้Ăย่างĂิÿระ 6.1.14 ข้ĂเÿียขĂง ICT 1) ไม่ÿามารถรับรู้คüามรู้ÿึก ปฏิกิริยาที่แท้จริงขĂงผู้เรียนและผู้ÿĂน 2) ไม่ÿามารถÿื่Ăคüามรู้ÿึก Ăารมในการเรียนรู้ได้Ăย่างแท้จริง 3) ผู้เรียน และผู้ÿĂน จะต้Ăงมีคüามพร้Ăมในการใช้คĂมพิüเตĂร์และ ĂินเทĂร์เน็ต ทั้งด้านĂุปกรณ์ ทักþะการใช้งาน 4) ผู้เรียนบางคน ไม่ÿามารถýึกþาด้üยตนเĂงได้


32 6.2 การเรียนรู้จากการปฏิบัติ (Action Learning) üิธีการในการพัฒนาทรัพยากร มนุþย์ในĂงค์การในปัจจุบันมีการพัฒนาไปĂย่างต่Ăเนื่Ăง และมีüิธีการรูปแบบใĀม่ ๆ เกิดขึ้นĂยู่ เÿมĂทั้งนี้ก็เพื่Ăÿร้างการเรียนรู้ใĀกเกิดขึ้นกับบุคลากรที่มี คüามÿําคัญยิ่งต่Ăคüามÿําเร็จ ขĂงĂงค์กร โดยรูปแบบขĂงการเรียนรู้ที่ได้รับการยĂมรับü่า ÿามารถÿร้างใĀ้ผู้เรียนรู้เกิด กระบüนการเรียนรู้Ăย่างมีประÿิทธิผลüิธีการĀนึ่งคืĂการเรียนรู้ที่ เรียกü่า “การเรียนรู้จาก การปฏิบัติ (Action Learning)” 6.2.1 การเรียนรู้ (Learning) กระบüนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมĂย่างต่ĂถาüรĂัน เนื่Ăงมาจาก การฝึกĀัดĀรืĂประÿบการณ์ขĂงแต่ละบุคคล ซึ่งĂาจเกิดขึ้นได้ทั้งĂย่างที่เป็น ทางการและไม่เป็น ทางการ โดยการเรียนรู้นั้นมีĀลายประเภท ซึ่งการเรียนรู้ประเภทĀนึ่งที่มี คüามÿําคัญและ เป็นประโยชน์ต่Ăการพัฒนาคน และĂงค์กรĂย่างมาก คืĂ การเรียนรู้จากการปฏิบัติ (Action Learning) ซึ่งเป็นการเรียนรู้ในลักþณะกลุ่มย่ĂยทีมีการนำปัญĀาที่กลุ่มÿนใจ และมีผลกระทบ ต่Ăทั้งกลุ่มและĂงค์กรมาเข้าÿู่กระบüนการแก้ปัญĀาและการพัฒนาแนüทาง แก้ปัญĀา และนำไป ลงมืĂปฏิบัติการแก้ไขปัญĀาจริง โดยลักþณะเฉพาะขĂงการเรียนรู้จากการปฏิบัติ (Action Learning) มีดังนี้ 1) เป็นการเรียนรู้จากประÿบการณ์จริงในการทํางาน คืĂการเรียนรู้ที่มี การนําปัญĀาในการทํางานมาเป็นโจทย์ในการเรียนรู้Ăีกทั้งต้ĂงมีการคิดĀาüิธีในการแก้ปัญĀาĀรืĂ พัฒนางานซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่Ăทั้งผู้เรียนรู้เĂงและĂงค์กรด้üย 2) เป็นการเรียนรู้โดยการแลกเปลี่ยนประÿบการณ์กับผู้Ăื่น คืĂ การเรียนที่ต้ĂงมีการประชุมระดมÿมĂงเพื่ĂĀาüิธีการที่ดีและเĀมาะÿมในการดําเนินการ เนื่Ăงจาก เป็นการเรียนรู้ ในลักþณะทีมงานย่Ăยที่มีÿมาชิกจํานüนĀนึ่งที่ต้Ăงมีการทํางานร่üมกัน 3) เป็นการเรียนรู้โดยใĀ้ผู้ร่üมงานüิจารณ์และแนะนํา คืĂ การเรียนรู้ ที่ต้ĂงมีการเÿนĂแนะและใĀ้ข้ĂคิดเĀ็นเมื่Ăมีการดําเนินการปฏิบัติ และĂาจมีการปรับปรุงการ ปฏิบัติเพื่Ăคüามÿําเร็จขĂงดําเนินการ 6.2.2 แนüคิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติ(Action Learning) คำü่า “การเรียนรู้จากการปฏิบัติ (Action learning)” Āมายถึง การเรียนรู้ผ่านการ ปฏิบัติที่แต่ละบุคคลเรียนรู้ร่üมกันในการüิเคราะĀ์ปัญĀาผ่านกระบüนการขĂง การเรียนรู้และการ ÿะท้ĂนกลับĂย่างต่Ăเนื่Ăง โดยการทำงานบนบนปัญĀาจริง และÿะท้Ăนกลับ บนประÿบการณ์ขĂง ตนเĂง เÿนĂแนüทางการแก้ปัญĀาและนำแนüทางแก้ปัญĀา ที่ผ่าน การพิจารณาแล้üไปปฏิบัติ ซึ่งการเรียนรู้จากการปฏิบัติจะเป็นการนำบุคคลมาค้นĀาüิธีการ แก้ปัญĀาร่üมกัน ซึ่งในการดำเนินการ นั้นจะเป็นการพัฒนาทั้งบุคคลและĂงค์กร ĀรืĂกล่าüĂีกนัย


33 Āนึ่งก็คืĂเป็นการพัฒนาบุคคลและĂงค์กร โดยใช้ประเด็นปัญĀาที่ÿำคัญที่Ăงค์กรกำลังเผชิญĂยู่ มาเป็นเครื่ĂงมืĂในการดำเนินการนั่นเĂง(Inglis S., 1994) ÿĂดคล้ĂงกับแนüคิดขĂงมาร์คüĂร์ต (Marquardt, 1999) ที่ได้กล่าüถึงการเรียนรู้จาก การปฏิบัติ โดยĂยู่บนแนüคิดขĂงเรแüน (Revans) ที่เชื่Ăü่าไม่มีการเรียนรู้โดยปราýจากการปฏิบัติและไม่มีการปฏิบัติโดยปราýจาก การเรียนรู้ การเรียนรู้จากการปฏิบัติทำใĀ้ผู้เรียนได้เรียนรู้Ăย่างมี ประÿิทธิภาพ และจัดการกับ คüามยุ่งยากในÿถานการณ์จริงในเüลาเดียüกัน ซึ่งแนüคิดดังกล่าü ÿามารถนำมาประยุกต์ใช้ใน การจัดการĂงค์การ โดยการจัดประÿบการณ์การเรียนรู้ในเรื่Ăงที่เรียนรู้ ใĀ้กับบุคลากรĀรืĂทีมได้ ลงไปประÿบด้üยตนเĂง จัดใĀ้มีการÿะท้Ăนคüามคิด แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และĂภิปรายร่üมกัน เกี่ยüกับÿิ่งที่ได้ประÿบมาĀรืĂเกิดขึ้นในÿถานการณ์การเรียนรู้นั้น จากนั้นก็ ร่üมกันÿรุปคüามคิด เป็นคüามคิดรüบยĂดจากประÿบการณ์ที่ได้รับและนำแนüคüามคิดที่ÿร้าง ขึ้นมานี้ ไปทดลĂงĀรืĂ ประยุกต์ใช้ในÿถานการณ์ใĀม่ ๆ McGill and Beaty (1995) ได้กล่าüถึง “การเรียนรู้จาก การปฏิบัติ” ü่าเป็นกระบüนการต่Ăเนื่Ăงทั้งการเรียนรู้และÿะท้Ăนคüามคิด ที่ ดำเนินการโดยผู้ ร่üมกระบüนการ เพื่Ăที่จะทำใĀ้กระบüนการนั้นบรรลุüัตถุประÿงค์ Gordon ได้ใĀ้ กล่าüถึง การเรียนรู้จากการปฏิบัติü่าเป็นกระบüนการที่นำคนที่มีทักþะและประÿบการณ์ระดับ ต่างกันมา รüมกลุ่มกัน üิเคราะĀ์ปัญĀาในการทำงาน แล้üüางแผนในการแก้ปัญĀา จากนั้นจะมีการปฏิบัติ เพื่Ăแก้ปัญĀาตามแผนที่üางไü้ ซึ่งระĀü่างการดำเนินการแก้ปัญĀา กลุ่มผู้เรียนจะมีการพบปะกัน แลกเปลี่ยนคüามคิดเĀ็นĂย่างต่Ăเนื่Ăง ทำใĀ้เกิดการเรียนรู้ร่üมกันในการแก้ปัญĀา ประจüบ แĀลมĀลัก ได้ÿรุปü่าการเรียนรู้จากการปฏิบัติเป็นการเรียนรู้ที่นำคนที่มีทักþะĀรืĂประÿบการณ์ แตกต่างกันมารüมกลุ่มเพื่Ăเรียนรู้ เพื่Ăแก้ปัญĀาที่เผชิญĂยู่ระĀü่างการปฏิบัติจริง โดยผู้เรียนใน กลุ่ม จะเป็นทั้งผู้เรียนและผู้ÿĂนไปในตัü กล่าüคืĂ ผู้ที่มีคüามถนัดด้านใดก็จะดำรงบทบาทเป็น ผู้ÿĂนคน Ăื่น ๆ จะเป็นผู้เรียน จากนั้นจะเข้าไปปฏิบัติจริงและมีการพบปะกันเป็นระยะ เพื่Ăประเมินผล คüามก้าüĀน้าจนได้บทÿรุป คืĂเกิดทักþะในการทำงานครบถ้üน และเกิดแนüทาง ในการแก้ปัญĀาขĂงĂงค์กรในที่ÿุด นĂกจากนี้ยังกล่าüได้ü่า การเรียนรู้แบบจากการปฏิบัติ เป็นกระบüนการเรียนรู้ที่ต่Ăเนื่ĂงกันขĂงกลุ่มคนเล็ก ๆ เพื่Ăคิดทำคüามเข้าใจ ร่üมกันพัฒนาแก้ไข ปัญĀาจริงที่เกี่ยüข้Ăงกับงานที่เĂื้Ăประโยชน์ต่Ăการพัฒนาทั้งบุคคล ทีม และĂงค์กร (ประจüบ แĀลมĀลัก, 2547) นĂกจากนี้ üีระüัฒน์ ปันนิตามัย (2543) ได้ใĀ้คüามเĀ็นเพิ่มเติมü่า การเรียนรู้ จากการปฏิบัติเป็นกระบüนการเรียนรู้ที่แท้จริง (Real Learning) ที่ต้Ăงใช้ทั้งýาÿตร์และýิลป์ โดยเริ่มจากภายในĀน่üยงานเพื่Ăการ พัฒนาประÿิทธิภาพในการทำงานขĂงĂงค์กร โดยการเรียนรู้ ดังกล่าüเป็นการเปลี่ยนแนüทางจากการฝึกĂบรมในงาน (On the Job Training) มาเป็น การเรียนรู้จากประÿบการณ์ในการทำงาน (On the Job Learning) จึงÿรุปได้ü่า การเรียนรู้ จากการปฏิบัติ Āมายถึง การที่บุคคลได้นำคüามรู้ ทักþะเดิมที่มีĂยู่มาใช้ในการแก้ไขปัญĀา ที่เกิดขึ้นโดยการüิเคราะĀ์ üางแผนทำการทดลĂงปฏิบัติ เกิดเป็นคüามรู้ใĀม่ที่นำไปเป็นแนüทาง ในการปฏิบัติได้ต่Ăไป


34 การเรียนรู้จากการปฏิบัติไม่ÿามารถเกิดขึ้นได้โดยปราýจากการตั้งคำถามและ การ ÿะท้Ăนกลับ การเรียนรู้จากการปฏิบัติเริ่มต้นจากโปรแกรมคüามรู้(คüามรู้ที่ใช้ในปัจจุบัน ในĀนังÿืĂ ในจิตใจ คüามรู้ขĂงĂงค์กร การบรรยาย ฯลฯ) รüมกับกระบüนการขĂงการตั้งคำถาม ซึ่งจะถามใน ÿิ่งที่ยังไม่รู้และการÿะท้Ăนกลับ ซึ่งรüมถึงการระลึกถึงเรื่ĂงในĂดีต การพิจารณา ตรึกตรĂง คüามÿมเĀตุÿมผล และการพยายามทำคüามเข้าใจ การเรียนรู้จากการปฏิบัตินั้น มีแนüคิดพื้นฐานมาจาก เรแüน (Revans) ซึ่งเป็นนักüิชาการ นักบริĀารและที่ปรึกþา ด้านการจัดการผู้ซึ่งบุกเบิกในการนำการเรียนรู้แบบจากการปฏิบัติมาใช้ในการพัฒนา การปฏิบัติงาน แนüคิดพื้นฐานขĂงการเรียนรู้จาก การปฏิบัตินั้น เขาได้เÿนĂเป็นÿมการขĂงการ เรียนรู้ไü้ดังนี้ L = P + Q (Learning) = (Programmed) + (Questioning) ซึ่ง P = รูปแบบคüามรู้เดิมที่กำĀนดไü้เป็นแนüทาง Q = คำถามที่เกิดขึ้นจากภายในตนเĂง (Insight) ซึ่งต่Ăมา มาร์คüĂร์ต (Marquardt) (ประจüบ แĀลมĀลัก, 2547) ได้เพิ่มเติม ÿมการใĀ้ ชัดเจน เป็นระบบ และมีคüามต่Ăเนื่Ăงมากขึ้น ดังนี้ L = P + Q + R + I + R ซึ่ง R = การคิดใคร่ครüญ (Reflection) I = การดำเนินการแก้ไข การทดลĂงเพื่Ăเรียนรู้(Implementation) จากÿมการขĂง แรแüน และมาร์คüĂร์ต ÿามารถÿรุปได้ü่า การเรียนรู้จาก การปฏิบัติจะเกิดขึ้นเมื่Ăบุคคลมีการนำคüามรู้เดิมมาเป็นแนüทางร่üมกับการตั้งคำถามในÿิ่งที่ เกิดขึ้นแล้üจึงคิดใคร่ครüญÿะท้ĂนผลĂĂกมาเพื่Ăนำไปปฏิบัติ 1) ขั้นตĂนขĂงการเรียนรู้จากการปฏิบัติแม้แนüคิดพื้นฐานขĂงการเรียนรู้ จากการปฏิบัติจะเน้นที่การตั้งคำถามการคิดใคร่ครüญ และมีการปฏิบัติคüบคู่กันไปแต่นักüิชาการ Āลายท่านได้เÿนĂขั้นตĂนขĂงการเรียนรู้จากการปฏิบัติ แตกต่างกันĂĂกไป เช่น Pedler ได้ÿรุป กระบüนการการเรียนรู้จากการปฏิบัติไü้เป็น 4 ขั้นตĂน คืĂ 1.1) ขั้นüิเคราะĀ์ประÿบการณ์โดยการÿังเกตและคิดใคร่ครüญเกี่ยüกับ ÿถานการณ์ที่ ผ่านมาü่าทำÿิ่งใดลงไปและเกิดผลĂย่างไร 1.2) ขั้นเกิดคüามเข้าใจในÿถานการณ์นั้นĀลังจากการüิเคราะĀ์ ประÿบการณ์ 1.3) ขั้นจัดทำแผนปฏิบัติการตามคüามเข้าใจที่เกิดขึ้นใĀม่นั้น 1.4) ขั้นลงมืĂปฏิบัติตามแผนที่üางไü้


35 กระบüนการเรียนรู้ตามแนüคิดขĂง Pedler ÿรุปเป็นแผนภาพได้ดังนี้ https://encrypted-tbn1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSFa-sWzmkztG7Bpn6_ojMDQMBRseKN1v8dqXJwACHljKlyY0J ในทำนĂงเดียüกันจากบทคüาม “Action Learning Model” ได้ÿรุปรูปแบบ ขĂงการ เรียนรู้จากการปฏิบัติ โดยแบ่งเป็น 4 ขั้นตĂนที่ÿำคัญ คืĂ การüิเคราะĀ์ปัญĀา (Problem Analysis) การจัดทำแผนปฏิบัติการและการลงมืĂปฏิบัติตามแผน ( Action Planning & Implementation) การตัดÿินใจดำเนินการในขั้นต่Ăไป (Decisions on Next Step) และการ ใคร่ครüญและการ ประเมินผล (Reflection and Evaluation) ÿรุปเป็นแผนภาพกระบüนการเรียนรู้ จากการปฏิบัติ “Action Learning Model” ได้ดังนี้ https://encrypted-tbn1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSFa-sWzmkztG7Bpn6_ojMDQMBRseKN1v8dqXJwACHljKlyY0J Gordon ได้Ăธิบายü่า ĀลังจากการเผชิญกับปัญĀาแล้ü จะต้Ăงดำเนินการตาม ขั้นตĂนการเรียนรู้ 8 ขั้นตĂน ได้แก่ (ประจüบ แĀลมĀลัก, 2547) 1) กำĀนดüัตถุประÿงค์ขĂงการเรียนรู้โดยกระบüนการกลุ่ม


36 2) จัดกลุ่มผู้เรียนโดยแต่ละกลุ่มใĀ้ประกĂบด้üยÿมาชิกที่มีคüามรู้ คüามÿามารถ แตกต่างกันĂĂกไป 3) ประชุมร่üมกันเพื่ĂกำĀนดประเด็นที่จะต้Ăงเรียนรู้และปฏิบัติ 4) กลับเข้าที่ทำงานเพื่Ăฝึกทักþะตามที่กำĀนดไü้ 5) ĀากมีปัญĀาที่จำเป็นต้Ăงýึกþาเป็นกรณีพิเýþĂาจจัดการเรียนเป็น กลุ่มย่Ăย ýึกþาเฉพาะกรณีขึ้นได้ 6) ภายĀลังจากการฝึกปฏิบัติได้ระยะĀนึ่ง จะต้Ăงจัดประชุมกลุ่มขึ้นĂีกเพื่Ă ประเมิน คüามก้าüĀน้า และüางแผนการเรียนรู้ในขั้นต่Ăไป 7) ดำเนินการซ้ำตามกระบüนการเดิม จนกü่าประเด็นการเรียนรู้บรรลุตาม üัตถุประÿงค์ 8) จัดทำเĂกÿารเพื่Ăบรรยายกระบüนการเรียนรู้เพื่Ăใช้ประโยชน์ในการพัฒนา งาน ในคราüต่Ăไป Marquardt (1999) ได้แบ่งĂงค์ประกĂบขĂงการเรียนรู้จากการปฏิบัติเป็น 6 ประการ ดังนี้ 1) ปัญĀางานĀรืĂโครงการ (A Problem, Task or Project) เมื่ĂเกิดปัญĀา นั้นการเรียนรู้จะเกิดผลดีที่ÿุดคืĂ ทุกคนต้Ăงมีÿ่üนร่üมในการแก้ปัญĀา 2) กำĀนดกลุ่ม (The Group or Set) การเรียนรู้จากการปฏิบัติมีÿมมติฐาน ที่ü่า กระบüนการเรียนรู้คืĂÿังคม ดังนั้นการเรียนรู้จากการปฏิบัติจะเกิดได้ดีคืĂเรียนรู้เป็นกลุ่ม ซึ่งĂยู่ ระĀü่าง 4-8 คน ซึ่งในบางโĂกาÿÿมาชิกในกลุ่มĂาจเป็นที่ปรึกþา ĀรืĂผู้ตามก็ได้ 3) การตั้งคำถามและไตร่ตรĂง (The Questioning and Reflective Process) การเรียนรู้จากการปฏิบัตินี้เป็นการเน้นĀาคำถามมากกü่าการĀาคำตĂบ การไตร่ตรĂงนั้นเป็นเĀมืĂน คüามÿามารถในการย้ĂนกลับไปมĂงถึงประÿบการณ์ขĂงบุคคล 4) การนำไปปฏิบัติ(Commitment to taking Action) การปฏิบัติเป็นการ เพิ่มการเรียนรู้เพราะเป็นการได้คิดไตร่ตรĂง การเปรียบเทียบผลที่ได้รับตามที่ได้คาดĀüังการปฏิบัติ นั้นก็จะทำใĀ้บุคคลเกิดแรงจูงในการÿะท้Ăนกลับไปยังÿมมติฐานนั้น 5) การยึดมั่นในการเรียนรู้(The Commitment to Learning) การเรียนรู้ ÿำคัญ เท่าเทียมกันกับการปฏิบัติ ดังนั้นการเรียนรู้จากการปฏิบัติก็เท่ากับการบรรลุยังเป้าĀมายขĂง งาน และเป็นการพัฒนาบุคคลและĂงค์กร 6) ใĀ้การเรียนรู้เป็นตัüÿĂน (The Learning Coach) การใĀ้การเรียนรู้เป็น ตัüÿĂน จะช่üยใĀ้กลุ่มเกิดการพัฒนาทักþะทางด้านกระบüนการที่ดี โดยการทำงานกับกลุ่มผ่าน


37 การตั้งถาม และการไตร่ตรĂงÿะท้Ăนผล ซึ่งแÿดงใĀ้เĀ็นจากตารางเปรียบเทียบขั้นตĂนการเรียนรู้จาก การปฏิบัติ จากการýึกþาขั้นตĂนการเรียนรู้จากการปฏิบัติ จากนักüิชาการจึงÿามารถÿรุป ได้ü่าการ เรียนรู้จากการปฏิบัติมีขั้นตĂน ดังนี้ 1) ขั้นกำĀนดปัญĀา ระบุถึงปัญĀาที่เกิดขึ้น ĀรืĂÿิ่งที่ต้Ăงการเรียนรู้ในระĀü่าง ปฏิบัติจริง 2) ขั้นคิดไตร่ตรĂงถึงประÿบการณ์ ÿถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ĀรืĂนำคนที่มี ทักþะ ประÿบการณ์แตกต่างกันมารüมกลุ่มเพื่Ăเรียนรู้ด้üยกันโดยผู้เรียนในกลุ่มจะเป็นทั้งผู้เรียนและ ผู้ÿĂน ไปในตัü กล่าüคืĂ ผู้ที่มีคüามถนัดด้านใดก็จะดำรงบทบาทเป็นผู้ÿĂน คนĂื่น ๆ จะเป็นผู้เรียน 3) ขั้นüางแผน เป็นการüางแผนปฏิบัติในการแก้ปัญĀา ตามคüามเข้าใจใĀม่ 4) ขั้นนำไปปฏิบัติ ลงมืĂปฏิบัติตามแผนที่üางไü้ ในระĀü่างการปฏิบัติผู้เรียน Ăาจมีการแลกเปลี่ยนคüามคิดเĀ็นได้Ăย่างต่Ăเนื่Ăง เพื่Ăเกิดการเรียนรู้ร่üมกัน 5) ประเมินผลการเรียนรู้ü่าผลที่ได้รับเป็นไปตามแผนĀรืĂüัตถุประÿงค์ที่üางไü้ ĀรืĂไม่ Āากผลลัพธ์ที่ได้เป็นที่พĂใจก็ÿรุปผลเพื่Ăนำไปใช้ประโยชน์ 2. Ăงค์การแĀ่งการเรียนรู้: การเรียนรู้จากการปฏิบัติ มาร์คüĂร์ต (Marquardt, 2002) ได้เÿนĂแนüคิดเกี่ยüกับการพัฒนาĂงค์กร แĀ่งการเรียนรู้(Learning Organization) โดยต้Ăงมีการÿร้างพลüัตการเรียนรู้ (Learning dynamics) ใĀ้ เกิดขึ้น ซึ่งต้Ăงมีการเรียนรู้Ăย่างต่Ăเนื่Ăง เรียนรู้ร่üมกันเป็นทีม บุคลากรมีคüามกระตืĂรืĂร้นÿนใจ ใฝ่รู้และพัฒนาตนเĂงĂยู่เÿมĂ บุคลากรมีการคิดĂย่างเป็นระบบ บุคลากรมีแบบแผนทางคüามคิด


38 ไม่ยึดติดกับคüามเชื่ĂทัýนคติเดิมมĂงโลกĂนาคต บุคลากรมีÿ่üนร่üมในการแลกเปลี่ยนคüามคิดเĀ็น มีการÿนทนาที่เป็นเปิดเผย มีรูปแบบการเรียนรู้Āลายรูปแบบ เช่น เรียนรู้จากการปรับตัü การเรียนรู้ จากการคาดการณ์ และที่ÿำคัญต้Ăงมีการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง (Action learning) ซึ่งเป็นüิธีการ ขĂงการเรียนรู้แบบเข้าถึงตัü มีคüามคิดรüบยĂด (Concept) มาจากคüามจริงที่ü่าคนเรียนรู้ จาก การกระทำการเรียนรู้จากการปฏิบัติ เกี่ยüข้Ăงกับการจัดตั้งกลุ่มคนที่ÿนใจประเด็นเดียüกัน มีปัญĀา ร่üมกัน มีเป้าĀมายเดียüกัน ต้Ăงการเรียนรู้Ăย่างเดียüกัน การเรียนรู้จากการปฏิบัติÿามารถ ประยุกต์ใช้ในดำเนินการตามขั้นตĂนที่นักüิชาการÿรุปได้ดังนี้ 1) กำĀนดÿถานการณ์ขĂงปัญĀา โดยเป็นปัญĀาที่เป็นประเด็นจริงในĂงค์กร ที่จำเป็นต้Ăงได้รับการแก้ไข ซึ่งเกิดขึ้นในกรĂบขĂงเüลาจริง ต้Ăงมีคüามเป็นไปได้ และĂยู่ภายใต้ คüามรับผิดชĂบขĂงกลุ่ม ในขั้นตĂนนี้ÿมาชิกกลุ่มจะร่üมกันในการนำเÿนĂ คัดเลืĂก และÿรุป ประเด็น ÿถานการณ์ขĂงปัญĀาที่ต้Ăงการแก้ไข โดยเลืĂกประเด็นที่มีคüามÿำคัญและจำเป็นมากที่ÿุด มาปฏิบัติก่Ăน 2) การถามคำถามและการÿะท้Ăนการเรียนรู้ เพื่Ăทำคüามเข้าใจกับประเด็น ปัญĀาใĀ้ ชัดเจนยิ่งขึ้น และมีการÿะท้ĂนคิดĂย่างüิเคราะĀ์ผ่านประÿบการณ์ในĂดีต เพื่Ăค้นĀา แนüทางการ แก้ไขปัญĀาที่เĀมาะÿมกับÿถานการณ์ และช่üยในการค้นĀาแนüทางใĀม่ขĂงการปฏิบัติ ในขั้นตĂน นี้ÿมาชิกกลุ่มจะใช้üิธีการตั้งคำถามถึงประÿบการณ์ในĂดีตที่แต่ละคนเคยปฏิบัติมา ปัญĀา ĀรืĂ Ăุปÿรรคที่พบüิธีการแก้ปัญĀาที่ใช้โดยเน้นการถามคำถามที่ถูกต้Ăง ตรงประเด็น เน้นÿะท้Ăนÿิ่ง ที่กลุ่มยังไม่รู้ ในขณะเดียüกันคำตĂบที่ได้รับก็จะทำใĀ้ÿมาชิกได้ÿะท้ĂนคิดถึงเĀตุการณ์ในĂดีตที่ เกี่ยüกับประเด็นปัญĀานั้น และช่üยกันนำเÿนĂเพื่ĂใĀ้เกิดมุมมĂงใĀม่ๆ และนำมาเป็นแนüทางใน การกำĀนดüิธีการปฏิบัติต่Ăไป 3) การüางแผนแนüทางแก้ไขปัญĀา ในขั้นตĂนนี้ ÿมาชิกกลุ่มจะร่üมกัน เÿนĂแนะแนü ทางแก้ไขปัญĀา ผลกระทบขĂงแต่ละแนüทางและĂุปÿรรคĀลักขĂงการดำเนินการ ผ่านการ Ăภิปรายกลุ่ม และการเรียนรู้จากกันและกัน และมีการตัดÿินใจเลืĂกĀาข้Ăตกลง ข้Ăÿรุป ĀรืĂ Āาทางแก้ปัญĀาที่มีการตกลงร่üมกันเพื่ĂใĀ้ได้แนüทางแก้ไขปัญĀาที่มีคüามเป็นไปได้ พร้Ăมกับ üางแผนเพื่Ăนำแนüทางแก้ไขปัญĀาไปปฏิบัติ 4) การนำüิธีการแก้ไขปัญĀาไปปฏิบัติ ในขั้นตĂนนี้ ÿมาชิกกลุ่มจะนำ แนüทางการแก้ไข ปัญĀาที่ได้ไปปฏิบัติในÿถานการณ์จริง ซึ่งจะมีการบันทึกข้Ăมูลที่ได้รับ ปัญĀาและ Ăุปÿรรคที่เกิดขึ้น และคüามÿำเร็จที่ได้รับในขณะที่ทดลĂงปฏิบัติ เพื่Ăจะได้นำข้Ăมูลที่ค้นพบมาใช้ใน การปรับปรุงแนü ทางแก้ไขปัญĀาต่Ăไป


39 5) การประเมินผล โดยประเมินผลที่ได้รับภายĀลังจากการนำแนüทางแก้ไข ปัญĀาไป ปฏิบัติ และนำมาปรับปรุงแก้ไข เพื่ĂเÿนĂแนะแนüทางแก้ไขที่ดีที่ÿุดต่Ăไป ในขั้นตĂนนี้ ÿมาชิกกลุ่ม จะĂภิปรายÿรุปผลร่üมกันถึงคüามÿำเร็จ คüามล้มเĀลü ปัญĀาและĂุปÿรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลĂด ทั้งกระบüนการ และนำข้Ăÿรุปที่ได้มาทำการปรับปรุงแนüทางแก้ไขปัญĀาใĀ้มีคüาม ถูกต้Ăงและ ÿมบูรณ์มากที่ÿุด (üรüรรณ üาณิชย์เจริญชัย, 2548) การเรียนรู้จากการปฏิบัติ (Action Learning) เป็นเครื่ĂงมืĂที่Ăงค์กรĀลาย Ăงค์การทั้ง Ăงค์การภาครัฐ และĂงค์การเĂกชนทางภาคธุรกิจ เช่น Motorola, Nokia, Marriott, General Motors และ ฯลฯ นำมาใช้เพื่Ăการüางแผนด้านกลยุทธ์ เพื่Ăการพัฒนาผู้จัดการ เพื่Ă จำแนกคüาม ได้เปรียบทางการแข่งขัน เพื่Ăลดค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน เพื่Ăÿร้างการท างานเป็น ทีม และเพื่ĂใĀ้ Ăงค์กรกลายเป็นĂงค์กรแĀ่งการเรียนรู้ ในÿ่üนขĂงภาคราชการไทยได้นำมากำĀนดยุทธýาÿตร์ การปรับเปลี่ยน กระบüนทัýน์ üัฒนธรรม และค่านิยมขĂงข้าราชการรĂงรับราชการยุคใĀม่ที่ยึดประชาชนเป็น ýูนย์กลาง โดยĂาýัย การเรียนรู้จาการปฏิบัติเพื่Ăÿร้างกระบüนการเรียนรู้ด้üยตนเĂงจาก ประÿบการณ์จริง (Action Learning) ด้üยการÿร้างüิÿัยทัýน์ร่üม คüามรู้ÿึกผูกพันต่Ăภารกิจ และ การทำงานร่üมกันเป็นทีม Ăีกทั้งในโครงการการพัฒนาผู้นำการบริĀารการเปลี่ยนแปลง (Transformational Leadership) ได้ใช้üิธีการเรียนรู้จากการปฏิบัติการ (Action Learning) มาใช้ เพื่Ăÿร้างใĀ้มีกระบüนทัýน์ใĀม่ในการ พัฒนาระบบราชการ และÿามารถบริĀารการเปลี่ยนแปลง (Change Management) ในĀน่üยงาน ได้Ăย่างมีประÿิทธิภาพ โดยมุ่งเน้นการ เข้าใจบทบาทขĂง ตนเĂง และÿามารถพัฒนาแนüคิดเพื่Ăÿร้างนüัตกรรมใĀม่ (innovation) ใĀ้แก่Ăงค์กร และกระตุ้นใĀ้ เกิดการพัฒนาýักยภาพทั้งขĂงทั้ง ตนเĂง และทีมงาน ในภาคธุรกิจตัüĂย่างเช่น บริþัท Motorola ในÿĀรัฐĂเมริกา ก็เป็นĂงค์การ ภาคเĂกชน ชั้นนำที่ประยุกต์แนüคิดขĂงการเรียนรู้จากการปฏิบัติไปใช้การพัฒนาคน ทีม และ Ăงค์การ ประÿบคüามÿำเร็จจนเป็นที่ยĂมรับ ผ่านกระบüนการที่เรียกü่า The Motorola GOLD Press ด้üย เป้าĀมายเพื่Ăการÿร้าง ชิง และรักþา คüามได้เปรียบในการแข่งขันธุรกิจการÿื่Ăÿาร โทรคมนาคม จุดเริ่มต้นขĂงการนำ Action Learning มาใช้เพื่Ăการพัฒนาผู้นำรุ่นใĀม่ขĂงบริþัท ที่จะนำพา บริþัทฝ่าคลื่นขĂงการแข่งขันĂยู่รĂดและรุ่งเรื่Ăงธุรกิจยุคýตüรรþที่ 21 ใĀ้ได้ บริþัทจึงจัด ใĀ้มีĀลักÿูตรการพัฒนาภาüะผู้นำในĀน่üยงานขึ้นเรียกü่า The Global Organization Leadership Program (GOLD) เป็นĀลักÿูตรระยะเüลา 21 üัน แบ่งเป็น 3 ช่üง ในระยะเüลา 3 เดืĂนขึ้น แนüคิด การเรียนรู้จากการปฏิบัติ (Action earning) ÿามารถนำไปใช้ในการพัฒนาการเรียนรู้ในĂงค์กรได้ Ăย่างมีประÿิทธิผลĂย่างมาก เพราะเĀตุü่ามิได้มีการเรียนรู้เฉพาะในÿ่üนแนüคิด ทฤþฎี เพียงĂย่าง เดียü แต่ยังเป็นการนำประเด็นปัญĀา ĀรืĂเĀตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมาเข้าÿู่กระบüนการขบคิด


40 üิเคราะĀ์ และแก้ไขปัญĀานั้นด้üย ซึ่งประโยชน์ที่ได้โดยตรงคืĂผู้เรียนก็จะมีคüามรู้คüามเข้าใจใน แนüคิดนั้น ๆ Ăย่างลึกซึ้งมากกü่าในตำรา ĀรืĂจากผู้ÿĂนเพียงด้านเดียü แต่ยังได้มีการÿัมผัÿใกล้ชิด กับÿภาพคüามเป็นจริงซึ่งÿĂดคล้Ăงกับแนüคิดที่เรียกü่า Learning by doing คืĂการเรียนรู้ที่มีการ ลงมืĂปฏิบัติจริง ทำใĀ้การเรียนรู้เกิดขึ้นĂย่างมีผลÿัมฤทธิ์มากขึ้น บทÿรุปการเรียนรู้จากการปฏิบัติ (Action Learning) เป็นแนüคิด ทฤþฎีที่ÿามารถนำไปใช้ใน การพัฒนาการเรียนรู้ในĂงค์กรได้Ăย่างมี ประÿิทธิภาพĂย่างมาก เพราะเĀตุü่ามิได้มีการเรียนรู้เฉพาะ ในÿ่üนแนüคิด ทฤþฎีĂย่างเดียü แต่ยัง เป็นการน าประเด็นปัญĀาĀรืĂเĀตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมาเข้าÿู่ กระบüนการขบคิด üิเคราะĀ์ และ แก้ปัญĀานั้นด้üย เป็นüิธีการที่จำเป็นต้Ăงทำงานเป็นทีม คืĂการ เปิดโĂกาÿใĀ้ÿมาชิกทุกคนมีÿ่üนร่üม ในการแก้ปัญĀา การป้Ăนข้Ăมูลย้Ăนกลับ ตลĂดจนการÿื่Ăÿาร ที่ชัดเจน เพื่ĂใĀ้ได้ข้Ăมูลใน การตัดÿินใจร่üมกัน เป็นผลดีในการÿร้างคüามÿามัคคี และการทำงาน เป็นกลุ่ม ทำใĀ้ผู้ปฏิบัติงาน เกิดคüามผูกพัน ผลที่ได้รับจะเป็นผลÿำเร็จ และคüามภาคภูมิใจขĂงแต่ละคน และนำไปÿู่ผลÿำเร็จ ตามเป้าĀมายที่ตั้งไü้ Ăีกทั้งเป็นการพัฒนาĂงค์กรไปÿู่Ăงค์กรแĀ่งการ เรียนรู้ (Learning Organization) โดยต้Ăงมีการÿร้างพลüัติการเรียนรู้ (Learning dynamics) ใĀ้ เกิดขึ้น ซึ่งต้Ăงมีการ เรียนรู้Ăย่างต่Ăเนื่Ăง เรียนรู้ร่üมกันเป็นทีม บุคลากรมีคüามกระตืĂรืĂร้น ÿนใจ ใฝ่รู้และพัฒนาตนเĂง Ăยู่เÿมĂ บุคลากรมีการคิดĂย่างเป็นระบบ บุคลากรมีแบบแผนทางคüามคิด ไม่ยึดติดกับคüามเชื่Ă ทัýนคติเดิม มĂงโลกĂนาคต บุคลากรมีÿ่üนร่üมในการแลกเปลี่ยนคüามคิดเĀ็น จากที่กล่าüมา ประจüบ แĀลมĀลัก (2547), üรüรรณ üาณิชย์เจริญชัย (2548) และüีระüัฒน์ ปันนิตามัย (2543) ใĀ้คüามเĀ็นÿĂดคล้Ăงกันü่า การเรียนรู้จากการปฏิบัติ (Action Learning) เป็นแนüคิด ทฤþฎีที่ÿามารถนำไปใช้ใน การพัฒนาการเรียนรู้ในĂงค์กรได้Ăย่างมี ประÿิทธิภาพĂย่างมาก เพราะเĀตุü่ามิได้มีการเรียนรู้เฉพาะ ในÿ่üนแนüคิด ทฤþฎีĂย่างเดียü แต่ยัง เป็นการนำประเด็นปัญĀาĀรืĂเĀตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมาเข้าÿู่ กระบüนการขบคิด üิเคราะĀ์ และ แก้ปัญĀานั้นด้üย เป็นüิธีการที่จำเป็นต้Ăงทำงานเป็นทีม คืĂการ เปิดโĂกาÿใĀ้ÿมาชิกทุกคนมีÿ่üนร่üม ในการแก้ปัญĀา การป้Ăนข้Ăมูลย้Ăนกลับ ตลĂดจนการÿื่Ăÿารที่ชัดเจน เพื่ĂใĀ้ได้ข้Ăมูล ในการตัดÿินใจร่üมกันเป็นผลดีในการÿร้างคüามÿามัคคี และการทำงานเป็นกลุ่ม ทำใĀ้ผู้ปฏิบัติงาน เกิดคüามผูกพันผลที่ได้รับจะเป็นผลÿำเร็จ และคüามภาคภูมิใจขĂงแต่ ละคน และนำไปÿู่ผลÿำเร็จ ตามเป้าĀมายที่ตั้งไü้ Ăีกทั้งเป็นการพัฒนาĂงค์กรไปÿู่Ăงค์กรแĀ่งการเรียนรู้ (Learning Organization) โดยต้Ăงมีการÿร้างพลüัติการเรียนรู้ (Learning dynamics) ใĀ้เกิดขึ้น ซึ่งต้Ăงมี การเรียนรู้Ăย่างต่Ăเนื่Ăง เรียนรู้ร่üมกันเป็นทีม บุคลากรมีคüามกระตืĂรืĂร้น ÿนใจ ใฝ่รู้และพัฒนา ตนเĂงĂยู่เÿมĂ บุคลากรมีการคิดĂย่างเป็นระบบบุคลากรมีแบบแผนทางคüามคิด ไม่ยึดติดกับ คüามเชื่Ăทัýนคติเดิม มĂงโลกĂนาคต บุคลากรมีÿ่üนร่üมในการแลกเปลี่ยนคüามคิดเĀ็น มีการÿนทนาเป็นที่เปิดเผย มีรูปแบบการเรียนรู้Āลายรูปแบบ เช่น เรียนรู้จากการปรับตัü เรียนรู้จาก


41 การคาดการณ์ และที่ÿำคัญต้Ăงมีการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง (Action Learning) üิธีการนี้Ăยู่ ภายใต้แนüคิดที่ü่า “การกระทำกับการเรียนรู้ ต้Ăงเกิดคüบคู่กันไป” เป็นการเรียนรู้ที่เกิด จากการ ปฏิบัติที่Ăาýัยประÿบการณ์ คüามรู้ มุมมĂงที่กลุ่มĀรืĂบุคคลมีจากการซักถาม และ แลกเปลี่ยน คüามเĀ็น ซึ่งนำไปÿู่ทางĂĂกใĀม่ ๆ ที่แตกต่าง นำคüามรู้มาคิดใคร่ครüญและ แลกเปลี่ยนถ่ายทĂดแก่ กัน ÿร้างประโยชน์ใĀ้กับตน ทีม และĂงค์การ บทÿรุป การเรียนรู้คืĂการýึกþาÿิ่งแüดล้ĂมรĂบตัüเรา เราจะเรียนรู้คüามต้Ăงการคüามต้Ăง ประกĂบĂาชีพตามปัจจัยĀลายด้านๆ เช่น คüามก้าüขĂงงานในĂนาคต คüามชĂบขĂงตัüเรา และ Ăื่นๆĂีกมากมาย ซึ่งงานที่มีโĂกาÿรับÿมัครมากจะเป็นจำพüกงานเกี่ยüกับเทคโนโลยี การตลาด ĀรืĂ การลงทุน นั้นทำใĀ้เราก็จะตัดÿินใจเลืĂกĂาชีพด้üยปัจจัยĀลายประการ และเป็นเĀตุผลÿนับÿนุนü่า รูปแบบการทำงานขĂงมนุþย์จากĂดีตจนถึงปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปĂย่างมĀาýาล จากที่ใช้แรง ในการทำงานเป็นĀลักก็ได้มีการพัฒนาเรื่Ăยมาจนมีเครื่Ăงทุ่นแรงและเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาช่üย Āนุนเÿริมประÿิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น ทำใĀ้แนüคิดด้านการเพิ่มประÿิทธิภาพในการทำงาน (productivity) เป็นĀนึ่งในปัจจัยÿำคัญที่เปลี่ยนรูปแบบการทำงานขĂงมนุþย์เÿมĂมา และด้üย การมุ่งเน้นด้าน productivity (เพิ่มปริมาณ/คุณภาพการผลิต ด้üยต้นทุนที่เท่าเดิมĀรืĂลดลง) ที่ดูท่า จะไม่ผ่Ăนแรงลงเลย เราจึงค่Ăนข้างจะมั่นใจได้ü่าĂาชีพที่จะเกิดขึ้นใĀม่ในĂนาคตก็จะเปลี่ยนแปลงไป เĀมืĂนกัน และปฏิเÿธไม่ได้ü่าเทคโนโลยีนั้นมีÿ่üนเกี่ยüข้ĂงกับĂาชีพในĂนาคต และเด็กÿ่üนใĀญ่ที่ทำ แบบÿำรüจต่างคิดü่า คüรเลืĂกĂาชีพที่มีคüามมั่นคงในĂนาคต ĀรืĂเกี่ยüกับเทคโนโลยี การลงทุน ระบบการค้าĂĂนไลน์เป็นต้น


บรรณานุกรม กองบรรณาธิการ TCIJ. (2564). ปี 2564 'Āมอ' ยังเป็นอาชีพในฝันของเด็กไทย. ÿืบค้นเมื่อ 10 พฤýจิกายน 2565, จาก https://www.tcijthai.com/news/2021/10/scoop/11321. การเรียนรู้. (2565). ÿืบค้นเมื่อ 10 พฤýจิกายน 2565, จาก http://elearning.psru.ac.th/courses/ 47/learning.pdf. ขนิþฐา ทริพย์โกมล. (2565). การประยุกต์ใช้ÿื่อไอทีที่ใช้ในการýึกþา. ÿืบค้นเมื่อ 10 พฤýจิกายน 2565, จาก https://sites.google.com/site/suxhlaymitiprayuktchingan/phu-cadtha-websit. จิตตราภรณ์ อินüัน. (2554). Āลักการเรียนรู้. ÿืบค้นเมื่อ 10 พฤýจิกายน 2565, จาก https://sites. google.com/site/giftindependent/hlak-kar/hlak-kar-reiyn-ru. ชนาธิป ใจการุณเลิýดี. (2565). การเรียนรู้และรูปแบบการจัดการเรียนรู้. ÿืบค้นเมื่อ 10 พฤýจิกายน 2565, จาก https://wbscport.dusit.ac.th/artefact/file/download. php?file=231031&view=167150. ประจüบ แĀลมĀลัก. (2547). องค์การแĀ่งการเรียนรู้: การเรียนรู้จากการปฏิบัติ. ÿืบค้นเมื่อ 10 พฤýจิกายน 2565, จาก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/ download/193374/163544/822211. üรüรรณ üาณิชย์เจริญชัย. (2548). องค์การแĀ่งการเรียนรู้: การเรียนรู้จากการปฏิบัติ. ÿืบค้นเมื่อ 10 พฤýจิกายน 2565, จาก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/ download/193374/163544/822211. üราจันทร์ ýรีüรรณบุตร. (2562). ช่องทางการขยายอาชีพ. ÿืบค้นเมื่อ 10 พฤýจิกายน 2565, จาก https://sites.google.com/dei.ac.th/op31001lp/. üีระüัฒน์ ปันนิตามัย. (2543). องค์การแĀ่งการเรียนรู้: การเรียนรู้จากการปฏิบัติ. ÿืบค้นเมื่อ 10 พฤýจิกายน 2565, จาก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jra/article/ download/193374/163544/822211. อนุธิดา ไตรยÿุทธิ์. (2565). การประยุกต์ใช้ÿื่อไอทีที่ใช้ในการýึกþา. ÿืบค้นเมื่อ 10 พฤýจิกายน 2565, จาก https://sites.google.com/site/suxhlaymitiprayuktchingan/phu-cadtha-websit. อัชรี รัตนüราĀะ. (2553). ลักþณะของงานอาชีพ. ÿืบค้นเมื่อ 10 พฤýจิกายน 2565, จาก https:// blogkruree2014.wordpress.com/2014/06/26/.


Click to View FlipBook Version