ตำบลพุมเรียง
อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ตำบลพุมเรียง
อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
คำนำ
หนังสือไดอารี่ตำบลพุมเรียง เป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวของตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื้อหาประกอบด้วยประวัติความเป็นมาตำบล อาณาเขต การปกครอง เเหล่งท่อง
เที่ยวตำบล จุดอ่อน จุดเเข็งตำบล เป็นต้น หนังสือไดอารี่ตำบลเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาฝึก
ประสบการณ์วิชาชีพของนักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ภาคเรียน
ที่1/2564
ขอขอบคุณอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ปุณยวีย์ หนูประกอบ ที่ให้คำปรึกษา เเละขอขอบคุณ
คนในตำบลพุมเรียงที่ให้การสัมภาษณ์ เเละการต้อนรับเป็นอย่างดี ทำให้หนังสือเล่มนี้ลุล่วงไปได้ด้วย
ดี หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะมีประโยชน์แก่ผู้เข้ามาศึกษา หากมีข้อผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้
ด้วย
คณะผู้จัดทำ
สารบัญ 1
7
ส่วนที่ 1 ข้อมูลพื้นฐาน 18
ส่วนที่ 2 โครงสร้างของชุมชน 22
ส่วนที่ 3 โครงสร้างเศรษฐกิจและอาชีพ 29
ส่วนที่ 4 สถานที่สำคัญ
ส่วนที่ 5 การวิเคราะห์ศักยภาพชุมชน
สารบัญตาราง 8
9
ตาราง 1 จำนวนครัวเรือน จำนวนประชากร จำแนกตามหมู่บ้าน
ตารางที่ 2 แสดงจำนวนนักเรียนในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
1ส่ ว น ที่
โ ค ร ง ส ร้ า ง พื้ น ฐ า น
2
ตำ บ ล พุ ม เ รี ย ง
อำ เ ภ อ ไ ช ย า
จั ง ห วั ด สุ ร า ษ ฎ ร์ ธ า นี
1.1 ประวัติความเป็นมา
พุมเรียงเป็นตำบลหนึ่งของอำเภอไชยา เป็น 1 ใน 3 ตำบลที่ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวัน
ออกสุดอันเป็นพื้นที่จรดทะเลอ่าวไทย ด้านทิศตะวันตกจดพื้นที่ตำบลทุ่งและตำบลเลม็ด ทิศ
เหนือจดพื้นที่ตำบลตะกรบ และด้านทิศใต้จดพื้นที่ตำบลเลม็ด มีพื้นที่ประมาณ 70 ตาราง
กิโลเมตร หรือ 43,750 ไร่ (รวมพื้นที่ในทะเล) สภาพพื้นที่เป็นที่ราบลุ่ม บริเวณทะเลมีหาด
ทรายและสันทราย พื้นที่ริมทะเลบางส่วนเกิดแผ่นดินงอก คือบริเวณแหลมซุย และทะเลถอย
ร่น คือ พื้นที่ด้านทิศใต้ของตำบล แหลมซุยเป็นแหลมที่ยื่นออกไปในทะเลระหว่างทะเลกับ
ปลายแหลมสุดของแหลมซุย เรียกว่าอ่าวก้นทุ่ง
ในปี พ.ศ.2559 ตำบลพุมเรียงมีประชากรทั้งสิ้น 7,783คน เป็นประชากรจำนวนชาย
3,805 คนประชากรหญิงจำนวน 3,978 คน ด้านสุขภาวะของประชากร หากพิจารณาจาก
อัตราการป่วยและการตายในปีที่ผ่านมา คือ ปี พ.ศ. 2553-2557 พบว่า อัตราการเกิดและ
การตายในแต่ละปี พ.ศ. 2557 สาเหตุของการป่วย 3 อันดับแรกคือ โรคระบบไหลเวียน
เลือด โรคระบบหายใจ และโรคกล้ามเนื้อ ด้านอัตราการตาย โรคที่มีผู้เสียชีวิตค่อนข้างสูง คือ
โรคระบบไหลเวียนเลือด และอาการโรคที่ไม่สามารถจำแนกได้ สำหรับโรคที่มีการตายในระดับ
ต่ำสุดคือโรคระบบสืบพันธุ์ ด้านโรคที่มีการป่วยสูงสุด คือ โรคอุจจาระร่วง ไข้หวัดใหญ่ และ
โรคปอดบวม ด้านความสัมพันธ์ทางสังคมของประชากร เนื่องจากประชากรส่วนใหญ่ของ
พุมเรียงเป็นชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมจึงตั้งบ้านเรือนแยกกันอยู่ 2 กลุ่ม แต่เดิมทั้งสอง
เป็นกลุ่มครอบครัวขยาย และเป็นสังคมเกษตรกรรมทำให้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกัน
อย่างดียิ่งแต่ภายหลังที่พัฒนาแบบใหม่ซึ่งให้ความสัมพันธ์การทำมาหากินถูกจำกัดเนื่องจาก
ประชาชนที่เพิ่มมากขึ้น ความสัมพันธ์แบบเดิมของครอบครัวในแต่ละกลุ่มและความสัมพันธ์
ระหว่างกลุ่มย่อหย่อนลง ปัญหาภายในครอบครัวและปัญหาระหว่างกลุ่มปรากฏเด่นชัดขึ้น ก็
มิได้เป็นความรุนแรงแต่ประการใด ทั้งสองกลุ่มยังให้ความสำคัญกับความเป็นพุมเรียงของพวก
เขาอย่างแน่นแฟ้น (อ้างอิงจากเทศบาลตำบลพุมเรียง)
3
ตำ บ ล พุ ม เ รี ย ง
อำ เ ภ อ ไ ช ย า
จั ง ห วั ด สุ ร า ษ ฎ ร์ ธ า นี
ชุมชนพุมเรียงเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับวิวัฒนาการของเมืองไชยา เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอไชยา โดยที่ในยุคหนึ่งประมาณช่วงพุทธศตวรรษ
ที่ 14 มีหลักฐานที่แสดงว่าเมืองไชยาเป็นเมืองท่าสำคัญริมฝั่งทะเลอยู่ที่แหลมโพธิ์ หลักฐานที่สำคัญซึ่งพบจากการขุดค้นที่แหลมโพธิ์ คือ โบราณวัตถุอัน
เป็นสินค้าจากต่างถิ่นมากมาย ส่วนสินค้าที่ผลิตเอง ได้แก่ ลูกปัดแก้ว ซึ่งคนท้องถิ่นได้เรียนรู้กรรมวิธีการผลิตจากตะวันออกกลางหรืออินเดียพบเศษแก้วที่
เป็นวัตถุดิบในการผลิตที่นำเข้ามาจากตะวันออกกลาง นอกจากนี้ยังได้พบเศษถ้วยชามโบราณของสมัยก่อนศรีวิชัยอยู่ด้วย หลักฐานดังกล่าวอาจเป็นไปได้ว่า
ท่าเรือพุมเรียงเป็นเมืองท่าสำคัญมาแต่ก่อนสมัยศรีวิชัย นอกจากนี้ชาวบ้านตำบลพุมเรียงยังพบเงินตรานโม เป็นลักษณะแท่งเงินขนาดเล็กอยู่ด้วย หลัก
ฐานสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือวิหารพราหมณ์ที่วัดโพธารามซึ่งอาจเป็นถานที่ที่ประดิษฐานเทวรูปเป็นสิ่งสำคัญที่โยงให้เห็นถึงความเป็นเมืองในอดีตที่เคยตั้งเป็น
บ้านเมืองมาหลายยุคสมัย ในสมัยอยุธยาไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าพุมเรียงมีบทบาทสำคัญอย่างไร แต่มีหลักฐานว่าเมืองที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
โปรดให้สร้างป่าเป็นนา คือ เมืองไชยา เมืองท่าทองเมืองไชยคราม และเมืองเวียงสระ อีกทั้งจัดให้เมืองไชยาเป็นเมืองชั้นตรี ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้เมือง
ไชยาคงตั้งอยู่ที่บ้านเวียง ครั้นถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชภายหลังจากการปราบปรามเมืองสงขลาจนราบคาบได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าเมืองสงขลาซึ่ง
นับถือศาสนาอิสลามเป็นเจ้าเมืองไชยา เจ้าเมืองดังกล่าวได้ย้ายเมืองจากเมืองไชยาเก่าที่บ้านเวียงไปตั้งที่บ้านสงขลา ครั้นเมืองกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าใน
ปี พ.ศ. 2310 เมืองไชยาถูกพม่ายึดครอง
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินกู้เอกราชได้สำเร็จ เมืองชาได้ย้ายจากบ้านสงขลาได้ตั้งที่บ้านพุมเรียง ครั้นในสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
เมื่อสงครามเก้าทัพในปี พ.ศ. 2328 เมืองไชยาที่พุมเรียงได้รับความเสียหายมาก ภายหลังสงครามสงบได้ยกฐานะเป็นเมืองชั้นตรีอันดับพิเศษ มีจตุสดมภ์
เมืองไชยาที่พุมเรียงเป็นศูนย์กลางอยู่ประมาณหนึ่งศตวรรษเศษ ครั้นถึงปี พ.ศ. 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ โปรดเกล้าฯ ให้รวมเมืองไชยา
เมืองหลังสวน และเมืองชุมพร เป็นมณฑลชุมพร โดยมีศาลาว่าการมณฑลที่บ้านดอน ทำให้เมืองไชยาที่พุมเรียงหมดความสำคัญลง ประกอบกับเมื่อมีทาง
รถไฟสายใต้ผ่านเมืองไชยาได้เกิดชุมชนใหม่ขึ้นในพื้นที่บริเวณใกล้ทางรถไฟ ครั้งถึง ปี พ.ศ. 2476 ระบบมณฑลเทศาภิบาลถูกยกเลิก โดยจัดแบ่งการ
ปกครองออกเป็นภาค ภาคแบ่งออกเป็นจังหวัด ในปี พ.ศ. 2478 โดยมีการย้ายที่ว่าการอำเภอไชยาจากพุมเรียงไปตั้งใกล้สถานีรถไฟไชยา พุมเรียงซึ่งเคย
เป็นที่ตั้งของอำเภอไชยามายาวนาน และมีฐานะเป็นอำเภอพุมเรียงขณะนั้นก็ลดฐานะเป็นเพียงตำบลหนึ่งของอำเภอไชยา (วิโรจน์ ร่าหมาน,สัมภาษณ์เมื่อ
วันที่ 8 สิงหาคม 2564)
4
ตำ บ ล พุ ม เ รี ย ง
อำ เ ภ อ ไ ช ย า
จั ง ห วั ด สุ ร า ษ ฎ ร์ ธ า นี
1.2 ขนาดและที่ตั้งของตำบล
เทศบาลตำบลพุมเรียง มีสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์บนเส้นรุ้งที่ 9 องศา 22 ลิปดา 50 พิลิปดาเหนือ และเส้นแวงที่ 99 องศา 15 ลิปดา
33 พิลิปดาตะวันออก ครอบคลุมพื้นที่ ตำบลพุมเรียงอำเภอไชยาจังหวัดสุราษฎร์ธานีห่างจากที่ว่าการอำเภอไชยา 9 กิโลเมตรห่างจากศาลากลางจังหวัด
สุราษฎร์ธานี62 กิโลเมตร มีพื้นที่โดยประด้านเหนือ ตั้งแต่หลักเขตที่ 1ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองหรงฝั่งเหนือบนเส้นแบ่งเขตตำบลพุมเรียงกับตำบลทุ่ง เลียบริม
คลองหรงฝั่งเหนือไปทางทิศตะวันออก ถึงหลักเขตที่2ซึ่งตั้งอยู่ริมปากคลองหรงฝั่งเหนือบนจุดร่วมของเส้นแบ่งเขตตำบลพุมเรียง ตำบลทุ่งและตำบลตะ
กรบ จากหลักเขตที่ 2ตรงไปทางทิศตะวันออก ตามแนวเส้นแบ่งเขต หมู่ที่ 2กับหมู่ที่ 5 ต.ตะกรบถึงหลักเขตที่ 3 ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งทะเล ด้านตะวันออก
เลียบริมฝั่งทะเลไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ถึงหลักเขตที่4 ซึ่งตั้งอยู่ตรงปลายสุดแหลมซุย ด้านทิศใต้ จากหลักเขตที่4 ตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
ผ่านอ่าวก้นทุ่ง ถึงหลักเขตที่5ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้สุดของสันดอน(เส็ด)จากหลักเขตที่ 5ตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ผ่านอ่าวก้นทุ่งถึงหลักเขตที่ 6 ซึ่งตั้งอยู่
ตรงปลายสุดแหลมเกาะ จากหลักเขตที่ 6เลียบริมฝั่งทะเลไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ถึงหลักเขตที่ 7 ซึ่งตั้งอยู่ตรงริมปากน้ำไชยาฝั่งตะวันออก คลองขุดฝั่ง
เหนือบนเส้นแบ่งเขตตำบลพุมเรียงกับตำบลทุ่ง จากหลักเขตที่ 8ตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตามแนวเขตเส้นแบ่งเขตตำบลพุมเรียงกับตำบลทุ่ง ถึง
หลักเขตที่9ซึ่งตั้งอยู่ริมคลองพุมเรียงฝั่งเหนือ จากหลักเขตที่ 9ตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือตามแนวเขตเส้นแบ่งเขตตำบลพุมเรียงกับตำบลทุ่งบรรจบ
หลักเขตที่ 1 บรรจบหลักเขตที่ 1
โดยตำบลพุมเรียงเป็นตำบลหนึ่งของอำเภอไชยา เป็น 1 ใน 3 ตำบลที่ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกสุดอันเป็นพื้นที่จดทะเลอ่าวไทยด้านทิศ
ตะวันตกจดพื้นที่ตำบลทุ่งและตำบลเลม็ด ทิศเหนือจดพื้นที่ตำบลตะกรบ และด้านทิศใต้จดพื้นที่ตำบลเลม็ด มีพื้นที่โดยประมาณ 76.5 ตารางกิโลเมตร
หรือประมาณ 43,750 ไร่ (รวมพื้นที่ในทะเล) โดยมีพื้นที่แยกเป็นรายหมู่บ้าน/ชุมชน ดังนี้
ครอบคลุมพื้นที่ของตำบลพุมเรียงทั้งตำบลประกอบด้วย
หมู่ที่ 1 บ้านล่าง
หมู่ที่ 2 บ้านหัวเลน
หมู่ที่ 3 บ้านเหนือ
หมู่ที่ 4 บ้านเหนือน้ำ
หมู่ที่ 5 บ้านแหลมทราย
5
ตำ บ ล พุ ม เ รี ย ง
อำ เ ภ อ ไ ช ย า
จั ง ห วั ด สุ ร า ษ ฎ ร์ ธ า นี
1.3 ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ
ทรัพยากรน้ำ ในด้านทรัพยากรน้ำ ทั้ง 5 หมู่บ้านของตำบลพุมเรียงมีแหล่งน้ำใต้ดินและแหล่งน้ำผิวดิน ประโยชน์จากน้ำใต้ดินมีทั้งการขุดบ่อน้ำ สระ
น้ำ ทำนบหรือเขื่อน และขุดเจาะบ่อบาดาล ส่วนแหล่งน้ำผิวดินมีลำคลองใหญ่น้อยหลายสายที่สำคัญ คือ คลองพุมเรียง คลองไชยา คลองท่าโพธิ์ คลอง
ตะเคียน คลองหรง คลองคูขุด คลองต่างๆ เชื่อมต่อกันไหลลงสู่ทะเล คลองต่าง ๆ ต้นน้ำเป็นคลองน้ำจืด กลายเป็นน้ำกร่อยเมื่อใกล้ออกทะเล สำหรับ
พื้นที่ทะเลเป็นที่รับจากคลองพุมเรียง คลองท่าโพธิ์และคลองไชยา ชาวบ้านตำบลพุมเรียงแต่เดิมแทบทุกครัวเรือนที่ตั้งบ้านเรือนห่างไกลจากลำคลองใช้วิธี
ขุดบ่อนำน้ำมาใช้ประโยชน์ ทุกหมู่บ้านมักมีบ่อน้ำสาธารณะที่ชาวบ้านใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือไม่ก็ใช้น้ำจากบ่อที่วัด ครั้นต่อมาเมื่อมีการใช้น้ำจากบ่อที่ขุด
ไม่เพียงพอ จึงขุดบ่อบาดาลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันบ่อบาดาลของตำบลพุมเรียงมีมากกว่า 20 บ่อ กระจายอยู่ทั่วไปทุกหมู่บ้าน ในส่วนของลำคลอง
พุมเรียง กล่าวคือ เป็นแหล่งน้ำที่มีความอุดมสมบูรณ์ซึ่งเกี่ยวข้องกับทรัพยากรอื่น ๆ เช่น ป่าไม้ ป่าชายเลน สัตว์น้ำ และสัตว์ป่า เป็นแหล่งอาหารของ
ชุมชน แต่ปัจจุบันลำคลองบางคลองตื้นขึ้น และประสบปัญหาน้ำเสีย เนื่องจากชุมชนทิ้งสิ่งปฏิกูลและระบายน้ำทิ้ง สิ่งดังกล่าวส่งผลให้พืชและสัตว์น้ำเป็น
อันตรายลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วและบางชนิดก็สูญพันธุ์ แม้ว่าชุมชนพุมเรียงได้รับบทเรียนจากสภาพที่ว่านี้แต่ชุมชนก็ยังไม่เข้มงวดที่จะดำเนินการขจัดสิ่ง
ดังกล่าวอย่างจริงจัง
6
ตำ บ ล พุ ม เ รี ย ง
อำ เ ภ อ ไ ช ย า
จั ง ห วั ด สุ ร า ษ ฎ ร์ ธ า นี
1.4 ลักษณะภูมิประเทศ/ภูมิอากาศ
ลักษณะภูมิประเทศ
พื้นที่ในเขตเทศบาลตำบลพุมเรียงเป็นที่ราบลุ่มและราบชายฝั่งพื้นที่ทั้งหมด ส่วนหนึ่งเป็นหาดทรายและสันทรายส่วนหนึ่งเป็นที่ราบลุ่มและพื้นที่
ราบตะกอนริมลำน้ำ บริเวณที่เป็นหาดทรายและสันทรายมีลักษณะเป็นแนวยาวแคบๆ ขนาดกับชายฝั่งทะเลแนวเหนือใต้มีลักษณะเนื้อทรายดินทราย
พื้นที่ไม่มีความลาดชัน ความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ำ บริเวณที่ราบลุ่มน้ำทะเลขึ้นถึง คือบริเวณแนวลำน้ำและบริเวณปากน้ำคลองพุมเรียงคลองไชยาและ
คลองท่าโพธิ์
ลักษณะภูมิอากาศ
สภาพอากาศโดยทั่วไปของอำเภอไชยา คือ มีลักษณะภูมิอากาศแบบมรสุมเมืองร้อน เนื่องจากได้รับอิทธิพลของลมมรสุม ตะวันตกเฉียงใต้จาก
มหาสมุทรอินเดีย และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจากอ่าวไทยและทะเลจีน ทำให้มี 2 ฤดูกาล คือ ฤดูร้อน เริ่มตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ - เดือนเมษายน
ฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือน พฤษภาคม - เดือนธันวาคม อุณหภูมิโดยเฉลี่ย ตลอดปี ประมาณ 26.3 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์เฉลี่ย 83.0 เปอร์เซ็นต์
มีปริมาณหน้าฝนในพื้นที่โดยเฉลี่ยประมาณ 1,600 มิลิเมตรต่อปี (อ้างอิง สำนักงานสาธารณสุขอำเภอไชยา)
1.5 การเดินทาง/การคมนาคม
เทศบาลตำบลพุมเรียง ไม่มี บขส. และไม่มีรถประจำทาง ส่วนใหญ่จะใช้รถส่วนตัวในการสัญจรไปมา การคมนาคมขนส่ง
ถนนสายหลักในเขตเทศบาลตำบลพุมเรียง มี 2 สาย คือ
1. ถนนทางหลวงหมายเลข 4011 อำเภอไชยา-บ้านพุมเรียง
2. ถนนทางหลวงหมายเลข 4223 บ้านพุมเรียง – ตะกรบ
ถนนสายรองในเขตเทศบาลและอยู่ในความรับผิดชอบดูแลรักษาของเทศบาล ในเขตชุมชนหนาแน่นจะเป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นส่วนใหญ่ในเขต
ชุมชนไม่หนาแน่นจะเป็นถนนหินคลุกและถนนลูกรังซึ่งขณะนี้มีอยู่น้อยมาก
การไฟฟ้า
การขยายเขตไฟฟ้า ปัจจุบันมีไฟฟ้าใช้ทุกครัวเรือน คิดเป็น ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ปัญหาคือไฟฟ้าส่องสว่างทางหรือที่สาธารณะยังไม่สามารถดำเนินการ
ครอบคลุมพื้นที่ได้ทั้งหมดเนื่องจากพื้นที่ที่มีความต้องการให้ติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างนั้นยังไม่เป็นที่สาธารณะ เทศบาลจึงไม่สามารถดำเนินการได้เช่นเดียวกับ
ถนน การแก้ปัญหาคือ ประสานความร่วมมือกันในหลายๆ ฝ่าย เพื่อที่จะทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่และวิธีการที่จะดำเนินการแก้ไขอย่างไรทั้งนี้
เทศบาลก็ได้ตั้งงบประมาณในส่วนนี้ไว้แล้ว และได้แจ้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงเหตุผลเพื่อที่จะได้ช่วยกันแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ในเขต
เทศบาลตำบลพุมเรียงมีไฟฟ้าใช้ทุกครัวเรือนโดยรับการบริการจากสำนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอไชยาระบบไฟฟ้าสาธารณะเทศบาลเป็นผู้ดูแล
รักษาขณะนี้ครอบคลุมชุมชนทุกแห่งในเขตเทศบาล
7
ประปา
การประปา เทศบาลตำบลพุมเรียงยังไม่มีกิจการประปาเป็นของเทศบาล ระบบประปาที่ใช้อยู่
ขณะนี้ในเขตหมู่ที่1-4ส่วนหนึ่งรับจากการประปาส่วนภูมิภาคอำเภอไชยา ที่เหลือและหมูที่ 5 ใช้น้ำ
จากระบบประปาหมู่บ้าน
โทรศัพท์
ปัจจุบันในพื้นที่เทศบาลตำบลพุมเรียง ไม่มีโทรศัพท์สาธารณะ เนื่องจากประชาชนได้นิยมใช้
โทรศัพท์ส่วนบุคคลแทน ซึ่งสามารถติดต่อสื่อสารได้รวดเร็ว และสามารถใช้ระบบอินเตอร์เน็ตได้
เช่น โทรศัพท์มือถือ สำหรับสถานที่ราชการ ยังคงใช้ระบบโทรศัพท์พื้นฐานในการติดต่อสื่อสาร
โทรศัพท์พื้นฐานรับการบริการจากสำนักงานบริการโทรศัพท์อำเภอไชยา ขณะนี้ไม่เพียงพอกับ
ความต้องการของประชาชนในเขตเทศบาล ส่วนหนึ่งใช้บริการจากระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งในเขต
เทศบาลมีผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ติดตั้งเสารับ-ส่งสัญญานเช่นจีเอสเอ็มแอ๊ดว๊านซ์ ,ดีเทคและ
ออร์เร้น
ไปรษณีย์หรือการสื่อสารหรือการขนส่ง และวัสดุครุภัณฑ์
เทศบาลตำบลพุมเรียง ไม่มีไปรษณีย์แต่มีบริการไปรษณีย์จากไปรษณีย์ประจำอำเภอซึ่งมี จำนวน
1แห่ง ให้บริการ เวลา 08.00 – 16.00 น. ในวันจันทร์ – เสาร์ (วันเสาร์ครึ่งวัน) หยุดวัน
อาทิตย์
-มีหอกระจายข่าวประจำหมู่บ้านมีครบทั้ง 5 หมู่บ้าน
- มีบริการให้ใช้อินเตอร์เน็ตฟรี ที่สำนักงานเทศบาลตำบลพุมเรียง
- เทศบาลตำบลพุมเรียง มีวัสดุ ครุภัณฑ์ในการปฏิบัติหน้าที่
แต่ก็มีบางรายการที่ยังคาดแคลนเนื่องจากมีงบประมาณไม่เพียงพอ วัสดุ ครุภัณฑ์ต่างๆนั้นมีไว้
สำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เทศบาลในการดำเนินภารกิจบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์
ของประชาชนเท่านั้น แต่หากประชาชนเดือดร้อน หรือหน่วยงานอื่นเดือนร้อน ก็สามารถมายืมใช้ได้
ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
เทศบาลตำบลพุมเรียงมีเครื่องมือเครื่องใช้ในการดับเพลิง / บุคลากร ประกอบด้วย
(1) รถยนต์ดับเพลิง จำนวน 1 คัน ขนาดความจุถังน้ำ 4,000 ลิตร
(2) รถยนต์บรรทุกน้ำ จำนวน 1 คันขนาดความจุ 6,000 ลิตร
(3) เครื่องดับเพลิงชนิดหาบหาม จำนวน 2 เครื่อง
(4) เจ้าพนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จำนวน 1 คน
(5) พนักงานดับเพลิง จำนวน 8 คน
การรักษาความสงบเรียบร้อย
ในเขตเทศบาลตำบลพุมเรียงมีการตั้งหน่วยบริการประชาชนจากสถานีตำรวจภูธรอำเภอไชยา
จำนวน 2 จุด มีกำลังพลประจำทั้งสองจุดประมาณ 20 คน (อ้างอิง องค์การบริหารส่วนตำบล
พุมเรียง)
2ส่ ว น ที่
โ ค ร ง ส ร้ า ง ชุ ม ช น
8
2.1 ด้านการเมืองการปกครอง
ตำบลพุมเรียงได้มีการจัดการปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบของเทศบาล โดยปัจจุบันปี 2564 มีนายถาวร ถาวรสุข เป็นนายกเทศมนตรี โดยเทศบาลตำบลพุมเรียง มีจุดมุ่ง
หมายอำนาจหน้าที่ดูแลและจัดทำบริการสาธารณะ และกิจกรรมสาธารณะ รวมทั้งส่งเสริมการสนับสนุนการจัดการศึกษาให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นเช่น
- รักษาความเรียบร้อยของชุมชนและประชาชน
- จัดให้มีน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค
- จัดให้มีการบำรุงรักษาทางน้ำและทางบก
- รักษาความสะอาดของถนน ทางเดิน ทางน้ำ และพื้นที่สาธารณะ รวมทั้งการกำจัดขยะมูลฝอย และสิ่งปฏิกูล
- บำรุงและส่งเสริมการประกอบอาชีพในชุมชน
- บำรุงศิลปะ จารีตประเพณี ภูมิปัญญาทิ้งถิ่นและวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น
เขตการปกครอง
ตำบลพุมเรียง แบ่งเป็น 5 หมู่บ้าน ดังนี้
หมู่ที่ 1 ได้แก่ ชุมชนบ้านล่าง นายศิริศักดิ์ รุ่งโรจน์วรารักษ์ (ผู้ใหญ่บ้าน)
หมู่ที่ 2 ได้แก่ ชุมชนบ้านหัวโอ นายอภิชาติ เหร็นเส็บ (ผู้ใหญ่บ้าน)
หมู่ที่ 3 ได้แก่ ชุมชนบ้านเหนือ นายวัชระ อินทรอักษร (ผู้ใหญ่บ้าน)
หมู่ที่ 4 ได้แก่ ชุมชนบ้านเหนือน้ำ นายสมาน หย่าหลี (ผู้ใหญ่บ้าน)
หมู่ที่ 5 ได้แก่ ชุมชนบ้านแหลมโพธิ์ นางยุวดี เศวตศิลป์ ( กำนันตำบลพุมเรียง)
ชุมชนตำบลพุมเรียง มี 9 ชุมชน ได้แก่ ตารางที่ 1จำนวนครัวเรือน จำนวนประชากร จำแนกตามหมู่บ้าน
- ชุมชนบ้านล่าง
- ชุมชนบ้านนอกนา
- ชุมชนบ้านกลาง
- ชุมชนบ้านหัวโอ
- ชุมชนบ่อเดื่อ
- ชุมชนบ้านเหนือ
- ชุมชนบ้านเหนือน้ำ
- ชุมชนบ้านแหลมโพธิ์
- ชุมชนบ้านแหลมทราย
9
2.3 ด้านการศึกษา/ศาสนา/วัฒนธรรม
1. ด้านการศึกษา
ด้านการศึกษาในเขตเทศบาลตำบลพุมเรียง มีการจัดการด้านการศึกษา โดยมีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของเทศบาลตำบลพุมเรียง จำนวน 2 แห่ง มีโรงเรียน
สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จำนวน 5แห่ง ตามข้อมูล ดังนี้
ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จำนวน 2 แห่ง ได้แก่
ตารางที่ 2 แสดงจำนวนนักเรียนในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเทศบาลตำบลพุมเรียง
- มีครู จำนวน 1 คน
- มีผู้ดูแลเด็ก จำนวน 4 คน
- มีผู้ช่วยผู้ดูแลเด็ก จำนวน 4 คน
ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กนูรุลอิสลาม
- มีครู จำนวน 2 คน
- มีผู้ช่วยผู้ดูแลเด็ก จำนวน 3 คน หมายเหตุ : ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ณ เดือนพฤษภาคม 2562
10
โรงเรียนระดับมัธยมศึกษา จำนวน 3 แห่ง ได้แก่
1. โรงเรียนมัธยมพุทธนิคม ตั้งอยู่หมู่ที่ 3 ตำบลพุมเรียง
2. โรงเรียนพัฒนศาสตร์ ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ตำบลพุมเรียง
3. โรงเรียนวัดพุมเรียง ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลพุมเรียง
2. ด้านสาธารณสุข
ตำบลพุมเรียงมีสถานพยาบาลในพื้นที่ จำนวน 1 แห่ง คือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลพุมเรียง
1. ข้อมูลด้านบุคลกร
1.1 บุคลากรที่ประจำทั้งหมด 12คน ประกอบด้วย
1.1.1 นักวิขาการสาธารณสุข จำนวน 3 คน
1.1.2 พยาบาลวิชาชีพ จำนวน 2 คน
1.1.3 เจ้าพนักงานทันตสาธารณสุข จำนวน 1 คน
1.1.4 แพทย์แผนไทย จำนวน 1 คน
1.1.5 พนักงานช่วยการพยาบาล จำนวน 2 คน
1.1.6 เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี จำนวน 1 คน
1.1.7 เจ้าพนักงานธุรการ จำนวน 1 คน
1.1.8 นักกายภายบำบัด จำนวน 1 คน
1.2 บุคลากรที่ให้บริการในคลินิกหมดครอบครัวซึ่งมาปฏิบัติงานในวัน จันทร์ พุธ ศุกร์ จำนวน 1 คน(ภารกิจ ช่วงเช้า ตรวจผู้ป่วยช่วงบ่าย เยี่ยมบ้าน)
1.2.1 แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว จำนวน 1 คน
1.2.2 นักวิชาการสาธารณสุข จำนวน 1 คน
1.2.3 เจ้าพนักงานสาธารณสุข จำนวน 1 คน
1.2.4 นักกายภายบำบัด จำนวน 1 คน
1.2.5 นักจิตวิทยา จำนวน 1 คน
1.2.6 นักโภชนา จำนวน 1 คน
1.2.7 เภสัชกร จำนวน1 คน
1.3 อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.จำนวน 157 คน )
ได้รับเงินตอบแทน 146คน ยังไม่ได้รับเงินค่าตอบแทน 11 คน
11
3. ด้านศาสนา
ศาสนา เทศบาลตำบลพุมเรียงมีสถาบัน ศาสนา ประกอบด้วย วัดพุมเรียง วัดนอก วัดทุ่งจับช้าง วัดโพธาราม วัดสมุหนิมิต วัดศักดิ์คุณาราม
มัสยิดนุรูลอิสลาม และมัสยิดฮีดายะห์ ประเพณีศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น ที่สำคัญมี ประเพณีแข่งขันมวยทะเล ประกวดเรือพนมประเภทสวยงาม แข่งขันปีนเสา
น้ำมัน ประเพณีชักพระทางน้ำ การจัดงานประเพณีวันสงกรานต์ งานประเพณีสวดศาลาประจำหมู่บ้าน งานเมาลิด เป็นต้น
4. อาชญากรรม
เทศบาลมีเหตุอาชญากรรมเกิดขึ้น มีเหตุการณ์ลักขโมยทรัพย์สินประชาชน และทำลายทรัพย์สินของราชการ ซึ่งเทศบาลก็ได้ดำเนินการป้องกันการ
เกิดเหตุดังกล่าว คือการติดตั้งกล้องวงจรปิดในจุดที่เป็นที่สาธารณะรวมทั้งได้ตั้งจุดตรวจ จุดสกัด จุดบริการในช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดหลายวันเพื่ออำนวยความ
สะดวกให้กับประชาชนแต่ปัญหาที่พบเป็นประจำคือการทะเลาะวิวาทของกลุ่มวัยรุ่นโดยเฉพาะในสถานที่จัดงานดนตรี งานมหรสพ เป็นปัญหาที่ชุมชนได้รับผลก
ระทบเป็นอย่างมาก การแก้ไขปัญหา คือการแจ้งเตือนให้ผู้ปกครองดูแลบุตรหลานของตนประชาสัมพันธ์ให้ทราบถึงผลกระทบผลเสียหายและโทษที่ได้รับจากการ
เกิดเหตุทะเลาะวิวาทการขอความร่วมมือไปยังผู้นำ การขอกำลังจาก ตำรวจ ผู้นำอปพร.เพื่อระงับเหตุไม่ให้เกิดความรุ่นแรงแต่จะไม่ให้เกิดขึ้นเลยยังเป็นปัญหา
ที่ปัจจุบันไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ ทั้งที่มีการร่วมมือกันหลายฝ่าย เป็นเรื่องที่ทางเทศบาลจะต้องหาวิธีที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนต่อไปตามอำนาจหน้าที่ที่
สามารถดำเนินการได้
5. ด้านยาเสพติด
ปัญหายาเสพติดในชุมชนของเทศบาล มีผู้ที่ติดยาเสพติดในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งทางเทศบาลได้แก้ไขปัญหายาเสพติดโดยได้รับความร่วมมือกับทางผู้นำ
ประชาชนหน่วยงานของเทศบาลที่ช่วยสอดส่องดูแลอยู่เป็นประจำ การแก้ไขปัญหาของเทศบาลสามารถทำได้เฉพาะตามอำนาจหน้าที่เท่านั้น เช่นการณรงค์
การประชาสัมพันธ์ การแจ้งเบาะแสการฝึกอบรมให้ความรู้ถ้านอกเหนือจากอำนาจหน้าที่ก็เป็นเรื่องของอำเภอหรือตำรวจแล้วแต่กรณี ทั้งนี้ เทศบาลก็ได้ให้
ความร่วมมือมาโดยตลอด โดยประชาการในพื้นที่ที่ติดยาเสพติดได้รับการบำบัดตามโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด กิจกรรมสำหรับส่งเสริม บำบัด
ฟื้นฟูผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด และส่งเสริมการฝึกอาชีพให้แก่ผู้ผ่านการบำบัด
12
6. การสังคมสงเคราะห์
เทศบาลได้ดำเนินการด้านสังคมสังเคราะห์ ดังนี้
1. ดำเนินการจ่ายเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุผู้พิการ และผู้ป่วยเอดส์
2. รับลงทะเบียนและประสานโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด
3. ประสานการทำบัตรผู้พิการ
4. ดำเนินการโครงการฝึกอบรมทักษะอาชีพให้กับประชาชนทั่วไป
5. ดำเนินโครงการสงเคราะห์ครองครัวผู้ยากไร้ที่ตกเกณฑ์ จปฐ.
6. ดำเนินโครงการสร้างและซ่อมที่อยู่อาศัยให้กับผู้ยากไร้ รายได้น้อยผู้ด้อยโอกาสไร้ที่พึ่ง
7. อุดหนุนกองทุนสวัสดิการชุมชน
8. ประสานการให้ความช่วยเหลือของจังหวัด อำเภอ หน่วยงานต่างๆ ที่ให้การสนับสนุน
9. จัดตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุ
13
ด้านวัฒนธรรม
วัฒนธรรมการเรียนรู้ แหล่งวัฒนธรรมการเรียนรู้ในอดีตก่อนที่ชุมชนพุมเรียงจะมีระบบโรงเรียนเช่นปัจจุบัน คือ วัด ครอบครัวและชุมชน ทั้ง 3
แหล่งบูรณาการอยู่อย่างเหนียวแน่นในการเรียนรู้หนังสือ งานช่าง หมอยา โหราศาสตร์ งานอาชีพ กิริยา มารยาท ความประพฤติ คุณธรรมจริยธรรม และ
อื่นๆ ตำราเรียน คือหนังสือบุด ( สมุดข่อย) และวรรณกรรมมุขปาฐะ คัมภีร์ใบลาน แต่ละครอบครัวไม่นิยมให้ลูกหลานผู้หญิงเรียนหนังสือ แต่ฝึกให้หัดเรียน
รู้งานบ้านงานเรือน การดำรงชีวิตคือ การทำไร่ ทำนา เลี้ยงสัตว์ หาของป่า ฯลฯ การเรียนรู้ดังกล่าวเป็นการฝึกลงมือปฏิบัติจริง วัฒนธรรมการเรียนรู้มี 3
ลักษณะ คือ สุตมยปัญญา เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการฟัง การดู การพูด และการอ่าน จินตามยปัญญา เป็นการเรียนรู้เกิดจากการคิดไตร่ตรองพิจารณา
เหตุผล วิเคราะห์ สังเคราะห์ จนเกิดเป็นองค์ความรู้ และภาวนามยปัญญาเป็นการเรีบยนรู้ด้วยการปฏิบัติลงมือทำ การเรียนรู้ทั้ง 3 แบบดำเนินอยู่ในชุมชน
วัฒนธรรมการทำงานในส่วนนี้หากย้อนไปพิจารณาชุมชนพุมเรียงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พบว่ามีการทำงานทั้ง 3 แบบ คือ แบบจารีตนิยม แบบ
จริตนิยม และแบบอำนาจนิยมวัฒนธรรมการทำงานดังกล่าวสัมพันธ์กับวัฒนธรรมการเรียนรู้ สุตมยปัญญาจินตามยปัญญา และภาวนามตยปัญญา ในอดีต
ชุมชนพุมเรียงวัฒนธรรมการทำงานแบบจารีตนิยมอันเป็นการทำงานที่สืบทอดจากบรรพบุรุษ คือ แประกอบอาชีพทำนา ประมงพื้นบ้าน ทำสวน ทำไร่ ปลูก
พืช เลี้ยงสัตว์ หาของป่า โดยสร้างเครื่องมือเครื่องใช้ขึ้นเอง ใช้เทคโนโลยีน้อย เป็นลักษณะของการพึ่งตนเองของคนในครอบครัว พึ่งเพื่อนบ้านและพึ่งชุมชน
เป็นสำคัญระบบของการทำงานอาศัยเกื้อกูลที่เรียกว่า “ซอแรง” คือใช้แรงงานช่วยเหลือกันวัฒนธรรมการทำงานจึงทำให้เกิดความสัมพันธ์ฉันญาติพี่น้อง
ผลผลิตการทำงานเป็นลักษณะของเศรษฐกิจชุมชนที่ใช้แลกเปลี่ยนกันระหว่างครอบครัวและชุมชน วัฒนธรรมการทำงานดังกล่าวทำให้ครอบครัวและชุมชนมี
ความสงบสุข
14
2.4 บริบททางสังคม / ความเป็นอยู่
บริบทชุมชนพุมเรียงในภาวะการณ์เปลี่ยนแปลงบริบทด้านสภาพกายภาพของชุมชน ในอดีตพุมเรียงเคยเป็นเมืองท่าสำคัญและเป็นศูนย์กลางของ การปกครอง ด้านสังคม
วัฒนธรรมทั้งชาวไทยพุทธชาวไทยมุสลิมและชาวไทยเชื้อสายจีนให้ความสำคัญกับผู้อาวุโสและมีความใกล้ชิดกับวัดและมัสยิดอย่างยิ่ง ด้านเศรษฐกิจ/อาชีพ เมื่ออยู่ภายใต้ระบบ
เศรษฐกิจทุนนิยมได้เปลี่ยนเป็นทำนากุ้งและทำสวนปาล์มน้ำมัน ด้านการเมืองการปกครอง/โครงสร้างอำนาจ พุมเรียงได้ยกฐานะเป็นเทศบาลตำบล มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 วัฒนธรรม
การปกครองเชิงอำนาจเกี่ยวข้องกับระบบอุปถัมภ์ ด้านการพึ่งพาตนเองของชุมชน ดำรงชีวิตด้วยวิถีการผลิตทางเกษตรและการประมง ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ปัจจุบันการสาธารณูปโภค
และสาธารณูปการมีการพัฒนาให้ดีขึ้นตามลำดับ ด้านสภาพปัญหาของชุมชน มีปัญหาสำคัญ ได้แก่ การบุกรุกทำลายพื้นที่สาธารณะ งานสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ สภาพ
แวดล้อมและยาเสพติด ฐานเศรษฐกิจ ซึ่งแต่เดิมชุมชนมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์แต่ปัจจุบันลดน้อยลง ทรัพยากรบุคคล 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็นกำลังการผลิต กลุ่มวัยพึ่งพิง และกลุ่มวัย
ศึกษาเล่าเรียน กลุ่มที่เป็นกำลังการผลิตมีความสำคัญต่อฐานเศรษฐกิจอย่างยิ่ง มีทั้งที่พ้นสมัย สมสมัย และควร ต่อยอด ส่วนศาสตร์และเทคโนโลยีจากภายนอกได้นำเทคโนโลยีสมัย
ใหม่เข้ามาผสมผสานกับแรงคนทำให้ผลผลิตมีปริมาณเพิ่มขึ้น ด้านสุขภาวะของผู้คนและชุมชน ปัจจุบันต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยง ส่วนปัจจัยและข้อจำกัดเกี่ยวกับการขยายฐานทาง
เศรษฐกิจ ได้แก่ สภาพการคมนาคม การสาธารณูปโภคและการสาธารณสุข อำนาจและฐานอำนาจ ในชุมชนยังเกี่ยวข้องกับบารมีที่เกิดจากการเป็นคนดี และแหล่งอบายมุขและสิ่งเสพ
ติด สำหรับด้านทุนทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแทบทั้งสิ้น ฐานเศรษฐกิจและทุนทางวัฒนธรรมของชุมชน แม้ว่า บริบทชุมชน ฐานเศรษฐกิจ และทุนทางวัฒนธรรม
จะเป็นจุดแข็งของชุมชนพุมเรียง แต่เนื่องจากการที่ผู้คนถูกครอบงำด้วยระบบทุนนิยม ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาและความสงบสุขของชุมชน จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้คนในชุมชนจะต้อง
หันมาร่วมกันเพื่อพัฒนาบนพื้นฐานของการพึ่งตนเองตามศักยภาพที่มีอยู่ในด้านต่าง ๆ
ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
15
2.4 บริบททางสังคม / ความเป็นอยู่
บริบทชุมชนพุมเรียงในภาวะการณ์เปลี่ยนแปลงบริบทด้านสภาพกายภาพของชุมชน ในอดีตพุมเรียงเคยเป็นเมืองท่าสำคัญและเป็นศูนย์กลางของ การปกครอง ด้านสังคม
วัฒนธรรมทั้งชาวไทยพุทธชาวไทยมุสลิมและชาวไทยเชื้อสายจีนให้ความสำคัญกับผู้อาวุโสและมีความใกล้ชิดกับวัดและมัสยิดอย่างยิ่ง ด้านเศรษฐกิจ/อาชีพ เมื่ออยู่ภายใต้ระบบ
เศรษฐกิจทุนนิยมได้เปลี่ยนเป็นทำนากุ้งและทำสวนปาล์มน้ำมัน ด้านการเมืองการปกครอง/โครงสร้างอำนาจ พุมเรียงได้ยกฐานะเป็นเทศบาลตำบล มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 วัฒนธรรม
การปกครองเชิงอำนาจเกี่ยวข้องกับระบบอุปถัมภ์ ด้านการพึ่งพาตนเองของชุมชน ดำรงชีวิตด้วยวิถีการผลิตทางเกษตรและการประมง ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ปัจจุบันการสาธารณูปโภค
และสาธารณูปการมีการพัฒนาให้ดีขึ้นตามลำดับ ด้านสภาพปัญหาของชุมชน มีปัญหาสำคัญ ได้แก่ การบุกรุกทำลายพื้นที่สาธารณะ งานสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ สภาพ
แวดล้อมและยาเสพติด ฐานเศรษฐกิจ ซึ่งแต่เดิมชุมชนมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์แต่ปัจจุบันลดน้อยลง ทรัพยากรบุคคล 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็นกำลังการผลิต กลุ่มวัยพึ่งพิง และกลุ่มวัย
ศึกษาเล่าเรียน กลุ่มที่เป็นกำลังการผลิตมีความสำคัญต่อฐานเศรษฐกิจอย่างยิ่ง มีทั้งที่พ้นสมัย สมสมัย และควร ต่อยอด ส่วนศาสตร์และเทคโนโลยีจากภายนอกได้นำเทคโนโลยีสมัย
ใหม่เข้ามาผสมผสานกับแรงคนทำให้ผลผลิตมีปริมาณเพิ่มขึ้น ด้านสุขภาวะของผู้คนและชุมชน ปัจจุบันต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยง ส่วนปัจจัยและข้อจำกัดเกี่ยวกับการขยายฐานทาง
เศรษฐกิจ ได้แก่ สภาพการคมนาคม การสาธารณูปโภคและการสาธารณสุข อำนาจและฐานอำนาจ ในชุมชนยังเกี่ยวข้องกับบารมีที่เกิดจากการเป็นคนดี และแหล่งอบายมุขและสิ่งเสพ
ติด สำหรับด้านทุนทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแทบทั้งสิ้น ฐานเศรษฐกิจและทุนทางวัฒนธรรมของชุมชน แม้ว่า บริบทชุมชน ฐานเศรษฐกิจ และทุนทางวัฒนธรรม
จะเป็นจุดแข็งของชุมชนพุมเรียง แต่เนื่องจากการที่ผู้คนถูกครอบงำด้วยระบบทุนนิยม ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาและความสงบสุขของชุมชน จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้คนในชุมชนจะต้อง
หันมาร่วมกันเพื่อพัฒนาบนพื้นฐานของการพึ่งตนเองตามศักยภาพที่มีอยู่ในด้านต่าง ๆ
การเกษตร
พื้นที่เทศบาลตำบลพุมเรียง ร้อยละ5 ประกอบอาชีพทำการเกษตร ได้แก่ทำสวนปาล์ม
สวนยางพารา สวนมะพร้าวฯลฯ
การประมง
อาชีพส่วนใหญ่ของประชาชนในเทศบาลตำบลพุมเรียง ได้แก่ อาชีพประมง เป็นประมงขนาดเล็กเพื่อออกเรือหาปู ปลา การประมงที่ทำอยู่เป็นอาชีพที่รายได้ไม่แน่นอน
เพราะปีหนึ่ง ๆ สามารถออกเรือได้ประมาณ 5-6 เดือนเท่านั้น อีกทั้งยังมีการเลี้ยงปลาในกระชัง หอยแครง และกุ้งกุลาดำ อีกจำนวนหนึ่งด้วย ผลผลิตจากการประมงก่อ
ให้เกิดการแปรรูปอาหารทะเล โดยทำเป็นโรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารทะเลเพื่อส่งออกก่อให้เกิดการใช้แรงงานในพื้นที่ และยังมีที่ทำเป็นกิจการในครัวเรือนเพื่อจำหน่ายอีก
ส่วนหนึ่งด้วย
16
2.5 ความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรม
ชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมในตำบลพุมเรียงยังคงยึดถือขนบธรรมเนียมมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษไม่ว่าจะเป็นการทอผ้าไหมพุมเรียง , ประเพณีชักพระทางน้ำ
ก า ร ท อ ผ้ า ไ ห ม พุ ม เ รี ย ง
การทอผ้าไหมพุมเรียงเป็นศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านภาคใต้ของกลุ่มคนไทยมุสลิม ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านหัวเลน หมู่ที่ 2 บริเวณคลองพุมเรียง ตำบลพุมเรียง
อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีซึ่งได้สืบทอดกันหลายชั่วอายุคนจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า ผ้าไหมพุมเรียงเป็นผ้าไหมที่มีลวดลายสวยงามและมีลักษณะเด่นที่ต่างไป
จากผ้าไหมอื่นๆ คือ การทอยกดอกด้วยไหมและดิ้น ผ้ายกดอกที่มีชื่อเสียงได้แก่ ผ้ายกชุดหน้านาง ผ้ายกดอกถมเกสร และผ้ายกดอกลายเชิง เป็นต้น
ชาวไทยมุสลิมตำบลพุมเรียงในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งสืบเชื้อสายมาจากแขกเมืองสงขลาเขาแดงซึ่งนับถือศาสนาอิสลามเป็นพวกมลายูที่อพยพมาจากหมู่เกาะ
อินโดนีเซียบางส่วนอาจมีเชื้อสายแขกปัตตานีและไทรบุรีที่อพยพเข้ามาที่ตำบลพุมเรียงในช่วงรัตนโกสินทร์ ซึ่งจากการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของพวกแขกเมืองสงขลาหัวเขา
แดงเมืองปัตตานีและไทรบุรีทำให้เกิดการผสมผสานทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมกับชาวไทย แต่ส่วนใหญ่พวกแขกเหล่านั้นยังคงรักษาเอกลักษณ์ดังเดิมไว้ โดยเฉพาะการ
ทอผ้าไหมยกดิ้นเงินดิ้นทองหรือยกไหมซึ่งต่างไปจาการทอผ้า ที่ทอโดยคนไทยสมัยนั้น และสิ่งเหล่านั้นได้สืบทอดมาสู่ทายาทที่เป็นชาวไทยมุสลิม ลักษณะการถ่ายทอด
วิชาความรู้เกี่ยวกับการทอผ้าไหมของชาวไทยพุทธและขาวไทยมุสลิม เป็นวิธีการเรียนรู้โดยธรรมชาติ ด้วยวิธีสังเกตและทดลองปฏิบัติจริง เด็กหญิงมักจะเริ่มหัดทอผ้า
ตั้งแต่อายุยังน้อย โดยสังเกตเวลาผู้ใหญ่ทอผ้า ผู้ใหญ่จะสอนวิธีการทอ การย้อมสี กรอไหมค้นไหม ม้วนเก็บ การเก็บตระกอและก่อเช่า ซึ่งเทคนิคขั้นตอนการทอผ้าไหม
เหล่านี้ไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร แต่อาศัยความสามารถ
ในการจดจำจากผู้ที่สอนที่มีความชำนาญ มีการปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง จึงให้สามารถเก็บรักษาศิลปะการทอผ้าไว้จนถึงปัจจุบันเครื่องมือที่ใช้ในการทอ
ผ้าทอตำบลพุมเรียงในสมัยรัตนโกสินทร์ ได้แก่ หูก จึงเรียกการทอผ้าว่าการทอหูกซึ่งถือเป็นหน้าที่ของผู้หญิงชาวไทยพุทธและชาวไทยมุสลิมที่จะต้องเตรียมไว้ให้
ครอบครัวโดยเฉพาะหญิงสาวที่จะออกเรือนจะต้องเตรียมผ้าที่จำเป็นทั้งของฝ่ายชายและของตนเอง ซึ่งมีทั้งผ้านุ่ง ผ้าห่มและเครื่องใช้ต่างๆ ดังนั้น การมีฝีมือในการทอ
ผ้ า จึ ง เ ป็ น ก า ร แ ส ด ง ค ว า ม เ ป็ น กุ ล ส ต รี อี ก ด้ ว ย
17
2.6 ภูมิปัญญาท้องถิ่น
จ า ก ก า ร จั ด เ ว ที ชุ ม ช น แ ล ะ ส อ บ ถ า ม ตั ว แ ท น ก ลุ่ ม แ ล ะ อ ง ค์ ก ร ใ น ชุ ม ช น
ทำให้ได้ข้อมูลกลุ่มต่างๆ ในตำบลพุมเรียงดังนี้ กลุ่มเย็บผ้า กลุ่มทอเสื่อกก
กลุ่มจักสาน และกลุ่มแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ในส่วนของการเลี้ยง
สัตว์ในทะเลชาวบ้านส่วนหนึ่งเปลี่ยนอาชีพมาเลี้ยงปูม้า เลี้ยงปลาในกระชัง
เลี้ยงหอยแครงหอยนางรม หอยแมลงภู่ และกุ้งขาวควบคู่กันไปขณะที่บาง
ครอบครัวที่มีทุนรอนเปลี่ยนอาชีพจากการประมงไปประกอบอาชีพอื่นๆ เช่น
ทำสวนปาล์มน้ำมัน ค้าขาย เป็นต้นจากสภาพของการเปลี่ยนแปลงและการที่
ชุมชนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมทั้งปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นมากมายชาวบ้าน
พุมเรียงจึงรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อแก้ปัญหา เช่นกลุ่มอาชีพ กลุ่มอนุรักษ์
เป็นต้นแต่การรวมตัวดำเนินงานกันยังคงหละหลวม (แผนพัฒนาท้องถิ่น
พ.ศ. 2562 – 2568)
3ส่ ว น ที่
เ ศ ร ษ ฐ กิ จ เ เ ล ะ อ า ชี พ
19
ส่วนที่ 3 โครงสร้าง
เศรษฐกิจและอาชีพ
3.1 แหล่งทุนทางธรรมชาติ
ทรัพยากรธรรมชาติของตำบลพุมเรียงอันเป็นฐานเศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ทรัพยากรดิน ทรัพยากรน้ำ
ทรัพยากรป่าไม้ พืชสัตว์เศรษฐกิจและอื่น ๆ
พุมเรียงประกอบด้วย 5 หมู่บ้าน คือ หมู่ที่ 1 บ้านล่าง หมู่ที่ 2 บ้านหัวเลน หมู่ที่ 3 บ้านเหนือ หมู่ที่ 4
บ้านเหนือน้ำ หมู่ที่ 5 บ้านแหลมโพธิ์ พื้นที่ของพุมเรียงมีชุดดินแตกต่างกัน พื้นที่ดอนเป็นกลุ่มชุดดิน 42 / 43
พื้นที่ลุ่มเป็นกลุ่มชุดดิน 13 /14 ส่วนที่มีน้ำท่วมขังในฤดูฝนเป็นกลุ่มชุดดิน 17p / 17 กลุ่มชุดดินดังกล่าวมี
ความอุดมสมบูรณ์ต่ำ การระบายน้ำเลว ปฏิกิริยาของดินเป็นกรดบ้าง จากสภาพดินที่ว่านี้ นอกเหนือจากพื้นที่ป่า
ชายเลน สภาพดินจึงเหมาะแก่การปลูกข้าว มะพร้าว ถั่ว มะม่วง มันสำปะหลัง อ้อย ปอ ข้าวโพด มะละกอ
สับปะรด ยาสูบ และมะม่วงหิมพานต์ นอกจากนั้นใช้เป็นที่เลี้ยงกุ้ง ปัจจุบันพื้นที่นาและพื้นที่เลี้ยงกุ้งบางแห่ง
เปลี่ยนเป็นสวนปาล์มน้ำมัน หรือสถานประกอบการเพื่อนนันทนาการและการรักษาคุณภาพและสิ่งแวดล้อม ด้าน
พื้นที่อยู่อาศัยคือพื้นที่ราบตามแนวถนนราษฎร์บำรุง สำหรับการขยายตัวในบริเวณชุมชนเดิมและพื้นที่ต่อเนื่อง
ส่วนพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม คือ บริเวณรอบนอกของตำบล นอกจากใช้เพื่อเกษตรกรรมแล้ว ยังใช้เป็นพื้นที่
สงวนไว้เป็นจุดรับน้ำในฤดูน้ำหลากอีกด้วย ในส่วนของพื้นที่ที่ใช้ในการสาธารณูปการ พื้นที่ดังกล่าวมีทั้งที่ใช้กันมา
แต่เดิมและที่กำหนดขึ้นใหม่ซึ่งกระจายอยู่ในชุมชน ส่วนการสาธารณูปโภค คือพื้นที่เพื่อการประปา ไฟฟ้าและการ
สื่อสารยังอยู่ในพื้นที่ไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเองได้ จะเห็นได้ว่า การใช้ประโยชน์ที่ดินของตำบลพุมเรียง
แต่ละประเภทมีลักษณะปะปนกันขาดรูปแบบที่ชัดเจนสภาพนี้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาชุมชนอย่างในอนาคต
แน่นอน
3.2 แหล่งอาหาร
ชาวบ้านตำบลพุมเรียงมีวัฒนธรรมการผลิตและการบริโภคบนฐานของบริบาทและสภาพแวดล้อมของชุมชน
โดยสาระการผลิตและการบริโภคขึ้นอยู่กับจารีต นวัตกรรมจุดแข็งจุดอ่อน
การผลิตและการบริโภคของชุมชนพุมเรียงแต่เดิมสัมพันธ์กับพื้นที่ที่ตั้งแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ ชาวบ้านที่ตั้ง
หลักแหล่งบริเวณลำคลองและชายฝั่งทะเลมักหาเลี้ยงชีพด้วยการทำประมง ที่อยู่บริเวณที่ราบลุ่มประกอบอาชีพทำ
นา ส่วนที่ตั้งหลักแหล่งในดอนจะประกอบอาชีพ ทำสวน ทำไร่ หาของป่า เลี้ยงสัตว์เป็นต้น ความรู้ที่ใช้ในการผลิต
เป็นชุดความรู้ที่สืบทอดจากบรรพบุรุษต่อเนื่องมายาวนาน เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆส่วนใหญ่ทำขึ้นเอง เป็นระบบ
การผลิตเพื่อยังชีพในครัวเรือนและชุมชน แรงงานในการใช้การผลิตใช้แรงงานคนและแรงงานสัตว์เป็นหลัก
20
3.3 ผลิตภัณฑ์ชุมชน ของดี ของขึ้นชื่อ
หอยขาวพุมเรียง INDUSTRY >
ผ้าไหมพุมเรียง หอยขาวพุมเรียง เป็นอาหารทะเลที่มีชื่อเสียงของอำเภอไชยา สามารถหาบริโภคได้เฉพาะที่พุมเรียงเท่านั้น หอย
ผ้าพุมเรียง เป็นผ้ายกที่มีลวดลายสวยงามและมีเอกลักษณ์ต่างไป
นางรม หอยนางรมสุราษฎร์ธานีเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในหมู่นักบริโภคว่า สด ตัวใหญ่ รสหวาน เนื้อในขาว มี
จากผ้ายกของภาคอื่นๆ กล่าวคือ มีการทอยกดอกด้วยไหม หรือ ดิ้นเงิน
ดิ้นทอง ในสมัยโบราณจะมีการใช้วัตถุดิบทั้งฝ้ายและไหม โดยแบ่งออก คุณค่าทางอาหารสูง หอยนางรมเริ่มเพาะเลี้ยงประมาณปี 2504 ทดลองเลี้ยงที่แหลมซุย อำเภอไชยา ต่อมาได้เพาะ
เป็นผ้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ทอโดยใช้ฝ้าย และผ้าที่ใช้ในงานหรือพิธีการ
ต่างๆ จะทอโดยใช้ไหม เลี้ยงที่บริเวณปากคลองท่าทอง และปากคลองกะแดะ อำเภอกาญจนดิษฐ์ หอยนางรมมี 2 ชนิดคือ ชนิดพันธุ์เล็ก
เรียกว่าหอยเจาะ ชนิดพันธุ์ใหญ่ เรียกว่าหอยตะโกรม ลักษณะเป็นหอย 2 ฝา พบทั่วไปบริเวณน้ำตื้นชายฝั่ง หอย
นางรมจะออกวางไข่ตลอดปี แต่จะมีมากในเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนเมษายน หอยนางรมจะวางไข่ครั้งหนึ่งประมาณ
การทอผ้าพุมเรียง เป็นศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านภาคใต้ของตำบล 1-9 ล้านฟอง
พุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัด สุราษฎร์ธานี โดยชาวไทยมุสลิม ที่อพยพ
มาจากเมืองสงขลา เมืองปัตตานีและเมืองไทรบุรี ซึ่งสืบเชื้อสายมาจาก
ชาวมลายูในหมู่เกาะอินโดนีเซีย เป็นผู้นำความรู้กระบวนการทอผ้าติดตัว
มาด้วย ผ่านถ่ายทอดสืบต่อกันมาด้วยวิธีการสังเกต จดจำ และทดลอง
ปฏิบัติทอจริงโดยไม่มีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ได้รับการสั่งสม
ภูมิปัญญาและสืบทอดกันมาสู่อนุชนรุ่นหลัง เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป
ในความสวยงามของลายผ้าและความประณีตของฝีมือการทอผ้า ซึ่งมี
ลักษณะเด่นแตกต่างไปจากผ้าทอของภูมิภาคอื่นๆ เช่น การทอยกดอก
ด้วยไหม และดิ้น ผ้ายกชุดหน้านาง ผ้ายกดอกถมเกสร และผ้ายกดอก
ลายเชิง เป็นต้น โดยถือว่าการทอผ้าเป็นหน้าที่ของผู้หญิงทั้งชาวไทยพุทธ หมวกพุมเรียง
และไทยมุสลิม ที่จะต้องเตรียมไว้ใช้สอยในครอบครัว โดยเฉพาะหญิงสาว หมวกพุมเรียง หมวกพุมเรียงเป็นงานหัตถกรรม ที่ชาวพุมเรียงทำสืบต่อกันมาเป็นเวลานาน ไม่ปรากฏหลักฐานที่
ที่จะออกเรือนจำเป็นจะต้องเรียนรู้วิธีการทอผ้า เพื่อเตรียมไว้ใช้ในการ แน่ชัดว่าเริ่มทำกันมาตั้งแต่สมัยใด รู้แต่ว่าทำกันมากในกลุ่มของชาวพุทธ ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา การทำหมวก
แต่งงาน เช่น ผ้านุ่ง ผ้าห่ม และเครื่องใช้ต่างๆ ที่ทำด้วยผ้า ดังนั้น การมี พุมเรียงทำจากวัสดุหลายอย่างด้วยกันคือ ปอแก้ว ใบลาน หรือใบตาล ลักษณะของหมวกพุมเรียงที่แปลกไปจาก
ฝีมือในการทอผ้าจึงเป็นการแสดงถึงความเป็นกุลสตรี หมวกสานของที่อื่นคือ การสานจะเป็นลักษณะเส้นยาวก่อนแล้วจึงนำมาเย็บเป็นรูปทรงหมวกภายหลัง ซึ่งหมวก
ลักษณะนี้ชาวบ้านเรียกกันว่า หมวกรานี
ตำ บ ล พุ ม เ รีย ง 21
อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี 3.4 สถานภาพทางเศรษฐกิจของประชาชน
แต่เดิมก่อนมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (พ.ศ. 2504) พุมเรียงเป็นชุมชนที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ / อาชีพที่เกี่ยวกับ
การเกษตรเป็นหลัก ครั้นถึงช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ฉบับที่ 1 – 3 ก็มิได้เปลี่ยนแปลงมากนัก อาชีพการเกษตรที่ชาวบ้านสืบต่อมาแต่เดิม
คือทำนา การประมงชายฝั่ง การประมงน้ำจืด ทำสวนและเลี้ยงสัตว์ การผลิตแบบยังชีพของพุมเรียงอันเป็นลักษณะของสังคมดั้งเดิม
นอกจากมีผลผลิตด้านอาหารหลายชนิดแล้วยังผลิตงานหัตถกรรมเพื่อเป็นสินค้าใช้สอยในครัวเรือนและจำหน่ายด้วย
ประมาณหลังจากปี พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา พุมเรียงแต่เดิมใช้การติดต่อทางน้ำกับภายนอกเป็นหลักเปลี่ยนมาเป็นการติดต่อทางถนน
เมื่อการคมนาคมทางบกที่ดีขึ้นการพัฒนาแบบใหม่และความทันสมัยได้เข้ามาสู่ชุมชนอย่างรวดเร็ว บ้านเรือนสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ได้รับการ
ปรับปรุงให้ดีขึ้น ร้ายค้าขายมีเพิ่มมากขึ้นผู้คนจากพุมเรียงเดินทางออกไปทำธุรกิจ ทำงาน และศึกษาเล่าเรียนนอกพื้นที่มากขึ้น การผลิต
เพื่อยังชีพหรือบริโภคใยนครัวเรือนเปลี่ยนแปลงเป็นการผลิตเชิงพานิช นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวยังเห็นได้ชัดเจนจากการ
ประกอบอาชีพหลัก คือ ทำนา และการประมง การทำนามีน้อยลง เนื่องจากต้องลงทุนมาก ผลผลิตข้าวราคาตกต่ำ แรงงานที่เคยช่วยเหลือ
เกื้อกูลกันเปลี่ยนเป็นแรงงานรับจ้างชาวนาส่วนใหญ่จึงปล่อยให้ที่นาร้าง หรือขายให้แก่นายทุนในราคาสูง หรือต่อมาเมื่อการทำนากุ้งและทำ
สวนปาล์มน้ำมันแพร่หลาย ก็เปลี่ยนที่นาเป็นนากุ้งและสวนปาล์มน้ำมัน การประมงพื้นบ้านก็ปรับตัวสู่การประมงอุตสาหกรรมที่มีนายทุน
จากภายนอกและแรงงานจากภูมิภาคอื่นและแรงงานจากต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง การประมงพื้นบ้านมีรายได้ลดลงจากเดิมเป็นอันมาก สัตว์
น้ำก็ลดจำนวนลง สมาชิกของครอบครัวพื้นบ้านที่ประกอบการประมงต้องทำงานรับจ้างภายในและภายนอกพื้นที่เพื่อให้ครอบครัวอยู่รอด
ชาวบ้านส่วนหนึ่งเปลี่ยนอาชีพมาเลี้ยงปูม้า เลี้ยงปลาในกระชัง เลี้ยงหอยแครง หอยนางรม หอยแมลงภู่ และกุ้งขาวควบคู่กันไป ขณะที่
บางครอบครัวมีทุนน้อยเปลี่ยนอาชีพจากการทำประมงไปประกอบอาชีพอื่น เช่น ทำสวนปาล์มน้ำมัน ค้าขาย เป็นต้น จากสภาพของการ
เปลี่ยนแปลงและการที่ชุมชนเติบโตอย่างรวดเร็ว รวมทั้งปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายชาวบ้านพุมเรียงจึงรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อแก้
ปัญหา เช่น กลุ่มอาชีพอนุรักษ์ เป็นต้น แต่การรวมตัวดำเนินงานกันยังคงหละหลวม (แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580)
4ส่ ว น ที่
ส ถ า น ที่ สำ คั ญ
23
ส่ ว น ที่ 4 ส ถ า น ที่ สำ คั ญ
4.1 แหล่งท่องเที่ยว
ชายหาดแหลมโพธิ์
ชายหาดแหลมโพธิ์ ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 5 ของตำบลพุมเรียง ชายหาดแห่งนี้มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามทั้งยามเช้าและ
ยามเย็น บริเวณโดยรอบเป็นที่ตั้งของสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา มีร้านอาหารไทย-อาหารทะเลสด
อร่อย รวมทั้งของทะเลสด ๆ ไว้ให้เลือกซื้อ มีสนามเด็กเล่น และมีบริการให้เช่าจักรยานปั่นรอบสวนสาธารณะ ซึ่ง
เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมชมชอบ นอกจากการวิ่งออกกำลังกาย
จุดเด่นของบริเวณชายหาดแหลมโพธิ์นั้น คือประติมากรรม "ปูม้า" ตัวใหญ่ที่โดดเด่นเป็น Landmark หลัก
ของตำบลพุมเรียงซึ่งนักท่องเที่ยวต้องแวะเวียนมาถ่ายภาพเป็นที่ระลึกอยู่เสมอ และอีก 1 ประติมากรรมที่สำคัญ
อีกจุดหนึ่ง คือ ประติมากรรม "รูปปั้นแสดงท่ามวยไชยา" ที่ล้อมรอบน้ำพุใหญ่ภายในสวนสาธารณะเฉลิมพระเกีย
รติฯ
นักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศนิยมมาใช้เวลาพักผ่อนที่ชายหาดแห่งนี้ เพื่อชมบรรยากาศยามเย็น ต้องแอบกระซิบ
ว่า วิวพระอาทิตย์ตกที่นี่สวยงามไม่แพ้หาดไหนในภาคใต้เลยทีเดียว เฉดสียามเย็นที่พระอาทิตย์ระบายไว้ให้ก่อนลับ
ขอบฟ้าไปในแต่ละวัน ให้อารมณ์และบรรยากาศที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งเดียวที่เหมือนกัน คือ ความสวยงามและ
ความสงบยามพลบค่ำ ที่คุณจะได้สัมผัสจากที่นี่ (ด้าโหด ร่าหมาน , 21 กันยายน 2564 )
บ้านเกิดท่านพุทธทาสภิกขุ
อาคารไม้ 2 ชั้นที่ยังคงสภาพเดิมไว้หลังนี้ คือบ้านเกิดของ "ท่านพุทธทาสภิกขุ" หรือชื่อเดิม "เงื่อม อิน
ทปัญโญ" บ้านเดิมของท่านนั้นตั้งอยู่บริเวณตลาดพุมเรียง หมู่ 3 ต.พุมเรียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ด้วยท่านเกิด
ในสกุลของพ่อค้าเชื้อสายจีนที่ตลาดพุมเรียง ในช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะ
นั้นพุมเรียงยังเป็นที่ตั้งของตัวเมืองไชยา หรือจังหวัดไชยา ก่อนที่จะกลายเป็นจังหวัดสุราษฎร์ธานีในปัจจุบัน บิดา
ของท่านพุทธทาสฯ ชื่อ เซี้ยง พานิช (สกุลเดิม แซ่โข่วหรือข่อ หรือโค้ว ในภาษาแต้จิ๋ว) ประกอบอาชีพหลักคือการ
ค้าขายของชำ ชื่อร้านไชยาพานิช ส่วนมารดาของท่านชื่อ เคลื่อน พานิช เกิดที่อำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ท่านพุทธทาสฯ มีพี่น้อง 2 คน ซึ่งมีอายุห่างจากท่านพุทธทาสฯ 3 ปี และ 6 ปีตามลำดับ น้องคนโตเป็นชาย ชื่อ
ยี่เกย พานิช ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น ธรรมทาส พานิช และได้เป็นกำลังหลักของคณะธรรมทานในการเผยแพร่
พระพุทธศาสนา และสนองงานของท่านพุทธทาสฯ ส่วนน้องสาวคนสุดท้องของท่านพุทธทาสฯ ชื่อ กิมซ้อย พานิช
ภายหลังแต่งงานไปอยู่บ้านดอน (ที่ตั้ง อ.เมืองสุราษฎร์ธานีในปัจจุบัน) และใช้นามสกุลสามี เหมะกุล
24
กลุ่มท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมอำเภอไชย
ไชยาปรากฎในบันทึกประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยศรีวิชัยว่าเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางพุทธศาสนา และเป็น
เมืองใหญ่ที่มีอำนาจมาก แต่บทบาทความสำคัญลงเมืองไชยาลดลงตามลำดับในสมัยต่อๆ มา ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้รวมเมืองไชยาได้ถูกเข้ากับเมืองกาญจนดิษฐ์ซึ่งเป็นเมืองใกล้ชิดติดต่อกัน
โดยให้คงชื่อเมืองไชยาไว้เนื่องจากไชยาเป็นเมืองประวัติศาสตร์สำคัญเก่าแก่มีชื่อเสียงเมืองหนึ่ง ต่อมารัชกาลที่ 6 ทรง
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อ เมืองไชยาที่บ้านดอนว่า เมืองสุราษฎร์ธานี ส่วนชื่อเมืองไชยาให้กลับนำไปใช้เป็นชื่อ
ของอำเภอพุมเรียงเพื่อรักษาชื่อเมืองสำคัญในประวัติศาสตร์ไว้ ตำบลพุมเรียงเป็นเมืองเก่าแก่ของอำเภอไชยา คำว่า
พุมเรียง มาจากคำว่า โพธิ์เรียง สันนิษฐานว่าสมัยก่อนเป็นเมืองแห่งหนึ่งของอาณาจักรศรีวิชัยซึ่งมีต้นโพธิ์เรียงรายอยู่
เป็นจำนวนมากต่อมาได้เพี้ยนเป็นพุมเรียงเป็นชุมชนโบราณที่เป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญรุ่งเรืองและเป็นศูนย์กลางแห่ง
ความเจริญและการปกครอง และยังเป็นที่สำคัญในภาคใต้เป็นที่พักเรือ สินค้าจากทะเลตะวันออกไปยังตะวันตก มีการค้น
พบประวัติศาสตร์หลายอย่างที่บ่งบอกไว้เช่น การค้นพบถ้วยชาม และลูกปัดแบบต่างๆ สมัยราชวงศ์ถัง/ซ้อง จึงเป็น
พื้นที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์โบราณคดี ประชานชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธและอิสลาม การประกอบอาชีพ
ของชุมชนได้แก่ ประมง ทอผ้า ค้าขาย ข้าราชการ รับจ้างเกษตร
เป็นเมืองเก่ามีศีลธรรม ค่ายมวยไชยา ผ้าไหมยกดอกบ้านพุมเรียง มีปราชญ์ด้านศาสนา อ.พุทธทาสภิกขุ โบราณ
สถานสมัยศรีวิชัย แหล่งผลิตไข่เค็มไชยา และไก่ชนไชยา โดยดึงความโดดเด่นมานำเสนอให้นักท่องเที่ยวทั้งกระแสหลัก
และกระแสรอง ซึ่งได้มีความพยายามสร้างองค์ความรู้ให้กับผู้ที่ถ่ายทอด และเยาวชน (วนิดา หย่าหลี , 21 กันยายน
2564)
4.2 แหล่งโบราณสถาน
อาคารเรียนท่านพุทธทาส วัดตระพังจิก
สวนโมกขพลาราม หรือชื่อเรียกทางการว่า “วัดธารน้ำไหล” จัดตั้งขึ้นโดยพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาส
ภิกขุ) ตั้งอยู่ที่เขาพุทธทอง ริมทางหลวงหมายเลข 41 บริเวณกิโลเมตรที่ 134 อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
เพื่อให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและสถานที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาที่มีชื่อเสียงในประเทศและไปทั่วโลก
“สวนโมกขพลาราม” นี้ ถือเป็นสถานปฏิบัติธรรมชั้นแนวหน้าของเมืองไทยเป็นแหล่งบ่มเพาะเรียนรู้พระพุทธ
ศาสนา ที่มีผู้ศรัทธามากแห่งหนึ่ง ด้วยภายในอาณาบริเวณของสวนโมกข์ มีความร่มรื่น สงบ เหมาะสำหรับการ
ปฏิบัติธรรม กล่อมเกลาจิตใจและศึกษาพระพุทธศาสนา มีโรงมหรสพทางวิญญาณ ซึ่งประกอบด้วยภาพศิลป์ บท
กวี คติธรรมคำสอนในพุทธศาสนานิกายต่างๆ รวมถึงพุทธประวัติ และภาพจำลองจากภาพหินสลักเกี่ยวกับพุทธ
ประวัติในอินเดีย และบริเวณไม่ไกลจากสวนโมกข์ มีส่วนรุกขชาติเขาพุทธทอง ซึ่งเป็นสถานที่รวบรวมพันธ์ไม้ที่มีค่า
ไว้มากมาย
ศาลาที่ประทับรัชกาลที่ 5 25
ตำบลพุมเรียง เคยเป็นเมืองท่าของนคร (ศรีโพธิ์) ตั้งอยู่บนสันทรายใหญ่สุดของอำเภอไชยา มีอายุ
กว่าสองหมื่นปี เคยเป็นเมืองท่าของไชยา สมัยอาณาจักรศรีโพธิ์ หรือศรีวิชัย เป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุดของ
ฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรมาลายา คู่กับแหล่งโบราณคดีเกาะคอเขาของอำเภอตะกั่วป่า เป็นที่ตั้งเมืองไชยา
ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายสมัยรัชการที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ก่อนที่จะย้ายไปที่บ้านดอนและ
เ ป ลี่ ย น จ า ก เ มื อ ง ไ ช ย า เ ป็ น จั ง ห วั ด สุ ร า ษ ฎ ร์ ธ า นี จ น ถึ ง ปั จ จุ บั น
พื้นที่ติดชายทะเล มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นหาดทรายบริเวณหาดแหลมโพธิ์ เคยเป็นที่ประทับของ
สมเด็จพระเจ้า ตากสิน ตอนยกทับมาปราบพระยานคร และเป็นที่ประทับของรัชกาลที่ 5 ตอนเสด็จ
ประพาสหัวเมืองภาคใต้ วัดสวนโมกข์ (เก่า) เป็นสถานที่แรกที่ท่านอาจารย์พุทธทาส ได้สร้างขึ้นก่อนที่จะ
ย้ายไปยังที่ตั้งปัจจุบัน ในตัวตลาดมีการทอผ้าไหมที่มีชื่อเสียงมาก คนทั่วไปรู้จักในนาม "ผ้าไหมพุมเรียง"
ล ว ด ล า ย ด อ ก ต่ า ง ๆ บ น ผื น ผ้ า เ ป็ น ที่ แ ป ล ก ต า เ ป็ น เ อ ก ลั ก ษ ณ์ ข อ ง ท้ อ ง ถิ่ น
ศ รี ย า ภั ย อ นุ ส ร ณ์ เ จ้ า เ มื อ ง ไ ช ย า
อนุสรณ์เจ้าเมืองไชยา (อนุสรณ์ศรียาภัย) ณ เมืองไชยา(เก่า) ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัด
สุ ร า ษ ฎ ร์ ธ า นี
4.3 ศาสนสถานของทุกศาสนา
วัดทุ่งจับช้าง
วัดทุ่งจับช้าง คือถิ่นต้นกำเนิด “มวยไชยา” มวยไชยา นั้นมี ๒ สาย สายแรกนั้นมีรากฐานมาจากมวยไทยโบราณของภาคกลางที่ใช้ในการต่อสู้ป้องกันตัวเมื่อยามออกศึกสงคราม
ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ตกทอดมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา แต่มาถูกพัฒนาอย่างเป็นระบบในสมัยปลายรัชกาลที่ ๓ ถึงสมัยรัชการที่ ๕ ที่ตำบลพุมเรียง ณ “วัดทุ่งจับช้าง” โดยมีเจ้า
อาวาสรูปหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “พ่อท่านมา”พระภิกษุรูปนี้เป็นชาวกรุงเทพฯสันนิษฐานว่าท่านเคยเป็นนักรบ ระดับแม่ทัพนายกองมาก่อน แต่ย้ายมาอยู่ที่ไชยาด้วยเหตุใดนั้นไม่
ปรากฏ “พ่อท่านมา”นั้นเป็นผู้ที่มีความรู้แตกฉาน และมีฝีมือด้านการชกมวยอย่างยิ่ง ท่านได้ถ่ายทอดวิชา สู่หนุ่มฉกรรจ์ชาวไชยา จนมีชื่อเสียงขจรไกลว่ามวยไชยานั้นเฉียบคมน่าเกรง
ขามยากที่จะเอาชนะได้ศิษย์เอกมากฝีมือของพ่อท่านมาที่ทำให้มวยเมืองไชยากลายเป็นที่รู้จักมากที่สุดในสยามประเทศเมื่อครั้งแผ่นดินของพระพุทธเจ้าหลวง คือ “พระยาวจีสัตยา
รักษ์”(นำ ศรียาภัย) เจ้าเมืองไชยาในยุคนั้นด้วยเป็นผู้จัดให้มีการแข่งขันชกมวยหน้าพระที่นั่ง ณ มณฑลพิธีทุ่งพระสุเมรุ (สนามหลวง) จนเป็นที่ประทับใจนักต่อสู้ทั่วทั้งแผ่นดิน
วัดโพธาราม
เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ในตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี กรมการศาสนาระบุว่า วัดโพธารามตั้งวัดเมื่อ พ.ศ. 1830 ได้รับ
พระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 1835 แต่ประทุม ชุ่มเพ็งพันธ์ ระบุว่ามสร้างขึ้นเมื่อใดยังไม่พบหลักฐานที่แน่นอน แต่คงไม่เก่าไปกว่าสมัยอยุธยาตอนปลายหรือสมัย
รัตนโกสินทร์ตอนต้นรุ่นเดียวกันกับวัดสมุหนิมิตชื่อของวัดเดิมเรียก วัดเหนือ คู่กับวัดล่างหรือวัดสมุหนิมิต ชาวบ้านเรียกว่า วัดโพธิ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ
พระราชดำเนินวัดโพธาราม เมืองไชยา เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ร.ศ. 108 (พ.ศ. 2432) อาคารเสนาสนะ ได้แก่ อุโบสถ เดิมสร้างมาแต่เมื่อไรไม่มีใครทราบ รู้แต่ว่าได้มีการบูรณะ
ครั้งใหญ่ใน เมื่อ พ.ศ. 2465 ดังปรากฏข้อความที่เสาเพดานโบสถ์ หน้าบันอุโบสถประดับตกแต่งด้วยกระเบื้องถ้วยชามขนาดใหญ่ประกอบเข้ากับลายปูนปั้นรูปดอกไม้และใบไม้ถ้วย
ชาส่วนมากมีอายุในราวต้นกรุงรัตนโกสินทร์ทั้งเครื่องถ้วยจีนและเครื่องถ้วยฝรั่ง บานประตูอุโบสถเป็นไม้สลักลายพุ่มข้าวบิณฑ์ลงรักปิดทอง และมีกุฏิทรงไทย ปูชนียวัตถุที่สำคัญ
ได้แก่ พระพุทธรูปสำริด สกุลช่างนครศรีธรรมราช สูง 31 เซนติเมตร ช่วงพระพาหากว้าง 20 เซนติเมตร พบเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2511 ขุดพบที่รากฐานรั้วกำแพงวัด ตู้
พระธรรมลายรดน้ำ หีบพระธรรมไม้ฉลุลาย ธรรมาสน์ไม้ทรงบุษบก กล่องใส่คัมภีร์ฝังมุก และ สมุดข่อยและหนังสือคัมภีร์ต่าง ๆ
วัดพุมเรียง 26
วัดพุมเรียง หรือ วัดใหม่เป็นวัดเก่าแก่ที่มีมานานตั้งแต่ประมาณกรุงศรีอยุธยา
และชำรุดทรุดโทรมลงเนื่องจากเกิดภาวะสงครามครั้งสงครามเก้าทัพ กองทัพพม่าบุก
เข้ามา เมื่อประมาณปี พ.ศ.2328 หรือตอนช่วงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น พม่าเข้ามาตี
เมืองไชยา และเผาวัดวาอารามและพระอุโบสถ เป็นเหตุให้เกิดความเสีย ชำรุดทรุด
โทรมอย่างหนัก ต่อมาเมื่อสงครามสงบชาวบ้านและพระภิกษุชื่อ อุ ได้เข้ามาบูรณะและ
สร้างพระอุโบสถขึ้นมาใหม่ และได้รับพระราชทานวิสงคามสีมาเมื่อปี พ.ศ.2391
ภายในวัดมีของโบราณที่มีคุณค่าอยู่หลายอย่างเช่น หน้าซุ้มประตูทางเข้าทีรูปราหูอม
จันทร์ไม้แกะสลักอายุกว่า 100 ปี เจดีย์ท่านขุนรองเมือง ที่เก็บอัฐิอดีตเจ้าอาวาสรูป
แรก และ เจดีย์เก็บอัฐิพระครูยาภิวัฒน์ พระอาจารย์สอนภาษาบาลี ให้กับท่านพุทธ
ทาสเป็นต้น และ เมื่อท่านพุทธทาสบวชจากวัดอุบลก็มาจำพรรษาอยู่ที่วัดพุมเรียงแห่ง
นี้ วัดพุมเรียงเป็นวัดเก่าแก่ที่มีมานานตั้งแต่ประมาณกรุงศรีอยุธยา และชำรุดทรุดโทรม
ลงเนื่องจากเกิดภาวะสงครามครั้งสงครามเก้าทัพ กองทัพพม่าบุกเข้ามา เมื่อประมาณ
ปี พ.ศ.2328 หรือตอนช่วงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น พม่าเข้ามาตีเมืองไชยา และเผา
วัดวาอารามและพระอุโบสถ เป็นเหตุให้เกิดความเสีย ชำรุดทรุดโทรมอย่างหนัก ต่อมา
เมื่อสงครามสงบชาวบ้านและพระภิกษุชื่อ อุ ได้เข้ามาบูรณะและสร้างพระอุโบสถขึ้นมา
ใหม่ และได้รับพระราชทานวิสงคามสีมาเมื่อปี พ.ศ.2391 ชาวบ้านพุมเรียงเลยเรียก
กันว่า “วัดใหม่” ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นทางการว่า “วัดพุมเรียง” ตามชื่อตำบล ตั้งอยู่
เลขที่ 177 หมู่ที่ 1 ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี สังกัดคณะสงฆ์
มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัดตามเอกสาร สค.1 จำนวน 133 ไร่ แต่ปัจจุบันเหลือแค่ 65
ไร่ มีอาคารเสนาสนะที่มีความสำคัญและเก่าแก่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ หลังจากที่
อุโบสถของวัดพุมเรียงถูกพม่าเผาในปี 2328 วัดนี้ได้ร้างขาดการดูแลและต่อมาได้มี
พระรูปหนึ่งเข้ามาที่วัดนี้และได้ ชักชวนให้ชาวบ้านพุมเรียงบูรณะอีกครั้งในปี 2390
วัดสมุหนิมิต มัสยิดญัมอิญตุลอิสลาม
วัดสมุหนิมิต ชาวบ้านเรียกว่า วัดล่าง อยู่ในตำบล
พุมเรียง อำภอไชยาเป็นวัดใหญ่เคยเจริญรุ่งเรืองมาก่อน
ตามข้อความในศิลาจารึกที่ฝังไว้กับผนังในอุโบสถมี
ความว่าวัดสมุหนิมิต เดิมชื่อวัดรอ เจ้าพระยาพระคลัง
เสนาบดีว่าที่กรมท่าพระกลาโหม ซึ่งเป็นต้นตระกูลของ
พระอภิรมยสินารักษ์ บุนนาค ออกมาสักเลกหัวเมือง
ปักษ์ใต้ เมื่อ พ.ศ.๒๓๙๒ เห็นวัดรอรกร้างจึงได้สร้างขึ้น
ใหม่ และสร้างเสร็จภายในเวลาเพียง ๔ เดือน ขนาน
นามใหม่ว่า วัดสมุหนิมิต มีโบราณสถานที่สำคัญคือ
อุโบสถ เป็น อุโบสถก่ออิฐถือปูนศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์
ตอนต้นด้านหน้ามีบันไดขึ้นสองทางฐานอุโบสถมีลักษณะ
เป็นฐานไพที เดินรอบได้ มีเสาเหลี่ยมเรียงรายอุโบสถ
รองรับปีกนกหลังคา หน้าบัน ตกแต่งด้วยลายปูนปั้นรูป
ดอกไม้ประดับกระจกสี หน้าต่างและบานประตูเขียน
ลายลงรักปิดทองสวยงาม
4.4 แหล่งเรียนรู้ / โรงเรียน / ห้องสมุดชุมชน 27
แหล่งเรียนรู้ / โรงเรียน
1. โรงเรียนวัดพุมเรียง ตั้งอยู่หมู่ที่1 ตำบลพุมเรียงอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เปิดทำการสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2482
มีชื่อในครั้งนั้นว่า “โรงเรียนประชาบาลตำบลพุมเรียง – วัดพุมเรียง” โดยมี นายโยธินเศวตศิลป์ เป็นครูใหญ่ ในปีแรกที่เปิดสอนมีนักเรียน 40 คน
อาศัยศาลาการเปรียญของวัดพุมเรียงเป็นที่ทำการสอนต่อมาปี พ.ศ. 2498 นายเกตุ คงเจริญเป็นครูใหญ่ได้ย้ายโรงเรียนมาตั้งในที่ปัจจุบันโดย นาง
เชื้อ มานิตกุล และลูก ๆ ได้ช่วยกันติดต่อประสานงานขอเงินจากจอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นจำนวนเงิน80,000 บาท มาเป็นทุนดำเนินการได้
รับเงินสนับสนุนในการก่อสร้างเพิ่มเติมจากพระครูชยาภิวัฒน์ โดยมีนายเนินวงศ์วานิชเป็นแกนนำประชาชนในหมู่บ้านร่วมกันดำเนินการก่อสร้าง
อาคารเรียนแบบ ป.พิเศษมีขนาดกว้าง 10 เมตร ยาว 35 เมตร สูงจากพื้นถึงหลังคา 10 เมตร ในพื้นที่20 ไร่เศษ โดยใช้ชื่อใหม่ว่า “โรงเรียนวัด
พุมเรียง (พิบูลชยาวงศ์ประชานุเคราะห์)” ซึ่ง พิบูลมาจากนามสกุลของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ผู้ให้เงินก้อนแรก
2. โรงเรียนมัธยมพุทธนิคมเมื่อปี พ.ศ.2475 ท่านพุทธทาส ได้เริ่มจัดตั้งสวนโมกข์ขึ้นที่วัดสระพังจิต ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุ
ราษฏร์ธานี เพื่อดำเนินการส่งเสริมปฏิบัติธรรมสำหรับพระภิกษุ สามเณร นายธรรมทาส พานิช น้องชายของท่านพุทธทาส ซึ่งในสมัยนั้นใช้ชื่อว่า
นายยี่เก้ย พานิช มีความประสงค์ที่จะเผยแพร่สนับสนุนการปฏิบัติของพี่ชาย จึงได้จัดตั้งคณะธรรมทานขึ้นมาเป็นองค์กรการกุศลเพื่อจัดหาปัจจัยสี่
บำรุงกิจการของสวนโมกขพลาราม และจัดพิมพ์เผยแพร่หนังสือพุทธศาสนาโดยใช้เงินกองทุนของต้นตระกูลพานิช ที่ นางเคลื่อน พานิช ผู้เป็นมารดา
ได้ทำพินัยกรรมให้ และเพื่อเป็นการปูพื้นฐานความรู้ฝึกการปฏิบัติตนแบบชาวพุทธ และปลูกฝังเจตคติที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาให้กับเด็กๆ และ
เยาวชนในอำเภอไชยาและอำเภอใกล้เคียง ซึ่งเป็นการสืบสานเจตนารมณ์ของพี่ชาย นายธรรมทาส พานิช จึงได้จัดตั้งโรงเรียนพุทธนิคมขึ้น เพื่อจะได้
สอดแทรกการสอนวิชาพระพุทธศาสนา และฝึกอบรมนักเรียนให้หเป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรมแบบชาวพุทธ โรงเรียนพุทธนิคม แรกเริ่มก่อตั้งที่บ้าน
ธรรมทาน ริมทางรถไฟ (หมู่ที่ 3 ตำบล เวียง) เปิดสอนเป็นวันแรกเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2479 โดยเปิดสอนในชั้นอนุบาล เพื่อเป็นการทดลองและ
ช่วยเหลือมิให้เด็กเล็กในตลาดไชยา ต้องเดินทางไปเรียนไกลถึงโรงเรียนวัดพระบรมธาตุไชยา และโรงเรียนสารภีอุทิศที่ท่าโพธิ์
เมื่อปี พ.ศ. 2480 ได้เปิดสอนในระดับชั้นมัธยม มีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 2 รวม 55 คน เก็บค่าเล่าเรียนครั้งแรกปีละ 10 บาท
สำหรับนักเรียนชั้นเด็กเล็กนั้น ได้เปิดสอนถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2480 ก็หยุดทำการสอนเพราะเสียงรบกวนการสอนชั้นมัธยม
ในปี พ.ศ. 2482 เริ่มเปิดสอนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเป็นปีแรก (ม.4) และเปิดสอนชั้น ม.5 และ ม.6 ในปีต่อ ๆ ไป
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2486 ได้ย้ายโรงเรียนพุทธนิคม จากห้องแถวริมทางรถไฟมาอยู่ในสถานที่ใหม่ ที่ นายธรรมทาส พานิช ได้ซื้อไว้ 3 ไร่
และในปีเดียวกันนี้ก็ได้ยื่นคำร้องขอเปิดเป็นโรงเรียนมัธยมพุทธนิคม 2 แต่ได้อนุญาตให้เป็นโรงเรียนมัธยมพุทธนิคม 2 เมื่อวันที่ 17 พฤศภาคม
2467 ในการสร้างอาคารเรียนเป็นโรงเรียนพุทธนิคม 2 นั้นในระยะแรกสร้างได้เพียงอาคารหลังเดียว 3 ห้องเรียน เนื่องจากเป้ฯการก่อสร้างระหว่าง
มีสงคราม เครื่องมือในการสร้างขาดแคลน และเมื่อสร้างเสร็จรับนักเรียนได้เฉพาะชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4 - ม.6 ) เท่านั้น
ปี พ.ศ.2496 เมื่อธรรมทานมูลนิธิได้ก่อตั้งขึ้นแล้ว จึงรับโรงเรียนพุทะทั้งหมดไว้ในอุถัมถ์ช่วยกิจการของโรงเรียน
ปี พ.ศ. 2497 ย้ายโรงเรียนพุทธนิคม 2 จากเดิมไปยังสถานที่แห่งใหม่ (วัดท่าโพธิ์) เป็นอาคารเรียน 2 ชั้น 10 ห้องเรียน ซึ่งกระทรวง
ศึกษาธิการให้การอุดหนุน โดยสร้างอาคารมอบให้ ส่วนสถานที่เดิมของโรงเรียนพุทธนิคม 2 ใช้สำหรับนักเรียน ตั้งชื่อว่า โรงเรียนพุทธนิคมสตรี ตั้งชื่อ
ว่า โรงเรียนสตรีพุทธนิคม ทั้งย้ายโรงเรียนพุทธนิคม 1 มาอยู่ใกล้กับโรงเรียนสตรีพุทธ
Issue 27 | 234
28
ในปี พ.ศ. 2497 โรงเรียนในเครือของพุทธนิคมมีถึง 3 แห่งด้วยกัน คือโรงเรียนพุทธนิคม โรงเรียนพุทธนิคม 2 และโรงเรียนสตรีพุทธนิคม
ทุกแห่งได้รับการรับรองวิทยฐานะจากกระทรวงศึกษาธิการ ปี พ.ศ. 2503 โรงเรียนพุทธนิคม 2 เป็นสอนถึงขั้นเตรียมอุดมศึกษาและมัธยมศึกษาตอน
ปลาย การดำเนินงานของโรงเรียนพุทธนิคมในปัจจุบัน ในระยะเดือนกุมภาพันธ์ 2537 คณะศิษย์เก่าโรงเรียนพุทธนิคม ได้ดำเนินการก่อตั้งมูลนิธิชื่ว่า
"มูลนิธิบารมีปกเกล้าพุทธนิคม" เพื่อขอรับโอนกิจการจากธรรมทานมูลนิธิ ไปดำเนินการเอง โดยมี พลเอก วิมล วงศ์วานิช เป็นประธานกรรมการของ
มูลนิธิ ประกอบด้วยคณะศิษย์เก่าผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่าน โดยเห็นว่า โรงเรียนควรจะดำรงและขยายกิจการให้ดียิ่งขึ้น ทางธรรมทานมูลนิธิเห็นชอบ
และโอนกิจการให้ดำเนินงานได้ตั้งแต่ปีการศึกษา 2537 เป็นต้นไป คาดว่าการดำเนินงานเสียอนาคต คงจะมีแนวโน้มดีขึ้น โดยอาศัยความร่วมมือจาก
มูลนิธิบารมีปกเกล้าพุทธนิคมและบรรดาศิษย์เก่า ตลอดจนผู้ที่เป็นประโยชน์ของการศึกษาในทำนองโรงเรียนเอกชน
3. โรงเรียนวัดโพธารามโรงเรียนวัดโพธาราม (โพธิพิทยากร) ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 3 ตำบลพุมเรียงอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โทรศัพท์
0-7743-1318 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต2 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
โรงเรียนวัดโพธาราม(โพธิพิทยากร) ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.2443 เดิมเป็นโรงเรียนประจำเมืองไชยา ชื่อโรงเรียนโพธิพิทยากร โดยพระยาวิจิตร
ธรรมประวัติ ผู้อำนวยการศึกษามณฑลสุราษฎร์ธานี ทำการสอนตามหลักสูตรของมหามกุฎราชวิทยาลัยและของกระทรวงศึกษาธิการ มีพระชยาภิ
วัฒน์เจ้าคณะจังหวัดเป็นผู้อุปการะอาศัยหอสวดมนต์ของวัดโพธารามเป็นสถานที่ทำการสอน โดยมีพระครูคณานุกูล (ทับ สุวรรณ) เป็นครูใหญ่ (แผน
ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561 – 2580)
4. โรงเรียนบ้านเหนือน้ำ
5. โรงเรียนพัฒนศาสตร์
5ส่ ว น ที่
ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์
ศั ก ย ภ า พ ชุ ม ช น
30
ก า ร วิ เ ค ร า ะ ห์
ศั กยภาพชุมชน
S 1. มีแผนพัฒนาที่ชัดเจนและมีการบูรณาการจัดทำแผนการทำงานร่วมกับหน่วยงานหรือส่วนราชการอื่น
2. เทศบาลมีประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณเนื่องจากมีอิสระในการจัดเก็บรายได้และบริหารการใช้จ่ายงบประมาณได้เอง
3. เป็นหน่วยงานที่มีความใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุดจึงทำให้รับทราบถึงสภาพปัญหาความต้องการประชาชนได้เป็นอย่างดี
4. มีสถานที่ท่องเที่ยวและสถานที่พักผ่อน เช่น สวนสาธารณเฉลิมพระเกียรติ
5. มีโบราณสถานสามารถพัฒนาเสริมสร้างความพร้อมให้เป็นแหล่งพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมของเยาวชนและประชาชนในตำบล
6. มีการจัดส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน
7. มีเครื่องมือเครื่องใช้ในการปฏิบัติงานอย่างเพียงพอและทันสมัย เพื่อการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ
W 1. พื้นที่ตำบลไม่มีรถโดยสารประจำทางสัญจรผ่าน ทำให้การเดินทางไม่สะดวก ส่วนใหญ่ประชาชนจะใช้รถส่วนตัวในการเดินทาง
2. ขาดการรวบรวมข้อมูลและการวางแผนที่สมบูรณ์ที่จะเอื้อต่อการพัฒนาท้องถิ่น และระบบข้อมูลไม่เป็นปัจจุบัน หรือไม่ครบ
ถ้วนครอบคลุมในทุกด้าน
3. ปัญหาสังคมโดยเฉพาะความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น และการแพร่ระบาดของยาเสพติด
4. ตำบลพุมเรียงมีทรัพยากรการท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยวแต่ขาดการบริหารจัดการที่ดีไม่เป็นไปตามกำหนดทิศทางที่วางไว้
5. เยาวชนยังขาดความตระหนักในการเข้าไปมีส่วนรวมในกิจกรรมทางศาสนา วัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่น
6. ด้านขยะมูลฝอยของตำบลพุมเรียงยังขาดการจัดการการจัดการอย่างจริงจังและครบวงจร
7. ขาดสถานศึกษาระดับฝึกอาชีพ ขาดแหล่งงานรองรับแรงงานว่างงานนอกฤดูกาล
O 1. ผู้บริหารเทศบาลตำบลพุมเรียงสามารถกำหนดนโยบายและทิศทางการพัฒนาให้เป็นไปตามกฎหมาย
2. แนวโน้มของรายได้ที่ได้รับจัดสรรมากขึ้นตามลำดับแผนกระจายอำนาจฯ และการจัดเก็บรายได้เองของเทศบาลตำบล
3. ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีทำให้มีความสะดวกคล่องตัว และมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น
4. มีโบราณสถานสามารถพัฒนาเสริมสร้างความพร้อมให้เป็นแหล่งพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมของเยาวชน และประชาชนในตำบล
5. มีสถานที่ท่องเที่ยวในตำบล เพิ่มการกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชนให้ดีขึ้น
T 1. การจัดสรรงบประมาณมีความล่าช้าและระเบียบข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องมีขั้นตอนปฏิบัติที่ค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อน ทำให้เกิด
ความล่าช้าในการดำเนินงาน
2. ภาคเกษตรกรรมมีปัญหาหนี้สิน ขาดทุนคุณภาพต่ำผลผลิตทางเกษตรส่วนใหญ่มีราคาต่ำ
3. มีภัยธรรมชาติเนื่องจากพื้นที่ของตำบลมีลักษณะเป็นแหล่งต้นน้ำ ฤดูฝนมีน้ำท่วมขังในฤดูแล้งขาด แคลนน้ำเพื่อการอุปโภค
บริโภคทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย
4. ประชาชนไม่ให้ความสนใจขาดจิตสำนึกในการมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่และไม่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมในกิจกรรม
ของท้องถิ่นและของภาครัฐ
5. สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองส่งผลต่อการพัฒนาท้องถิ่น
บรรณานุกรม
ด้าโหด ร่าหมาน , 21 กันยายน 2564
วนิดา หย่าหลี , 21 กันยายน 2564
วิโรจน์ ร่าหมาน,สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2564
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ณ เดือนพฤษภาคม 2562
แผนพัฒนาท้องถิ่น พ.ศ. 2562 – 2568
แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580
Vol. 21. February 24, 20XX