The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kattikakanlaya, 2021-05-26 09:52:38

แนวทางการผ่าตัดเจาะคอผู้ป่วย covid-19

ผลงานการปฏิบัติงานWorkFromHome


แนวทางการผ่าตัด Emergency Tracheostomy



ณ หอผู้ป่วย COVID-19






โดย






นางสถาพร วังคะฮาต



นางสาวภควดี หัตถนิรันดร์


นางสาวกัตติกา โคช่วย






หน่วยผ่าตัด 1 แผนกการพยาบาลห้องผ่าตัด



งานบริการพยาบาล โรงพยาบาลศรีนครินทร์



คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น



ค าน า



จากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019 (Corona Virus


Disease 2019 : COVID-19) มีรายงานพบผู้ป่วยปอดอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสและมีการ

แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ซึ่งมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเป็นจ านวนมาก

คณะผู้จัดท าได้เห็นความส าคัญและจ าเป็นที่จะต้องเตรียมความพร้อมให้บุคลากรมีแนว


ทางการปฏิบัติงานที่ถูกต้องเพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน จึงได้จัดท าคู่มือการปฏิบัติงาน

เรื่อง แนวทางการผ่าตัด Emergency Tracheostomy ณ หอผู้ป่วย COVID-19และหวังเป็น


อย่างยิ่งว่าคู่มือฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อบุคลากรเพื่อใช้เป็นแนวทาง ในการปฏิบัติงานเมื่อมี

ผ่าตัดผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง COVID-19 ต่อไป









คณะผู้จัดท า


หน่วยผ่าตัด 1 แผนกการพยาบาลห้องผ่าตัด




สารบัญ




หน้า

ค าน า ก

สารบัญ ข

ตารางปฏิบัติงาน Work from home 1

1. บทน า
หลักการและเหตุผล 2

วัตถุประสงค์ 2

ระยะเวลาด าเนินการ 3
ดัชนีชี้วัด 3

ผลที่คาดว่าจะได้รับ 3

2. ความรู้เรื่องโรคและการเจาะคอ 3
ู้
3. แนวทางการผ่าตัด Emergency Tracheostomy ณ หอผป่วย COVID-19
แนวทางการผ่าตัด 10

ขั้นตอนการปฏิบัติ 12

เครื่องมือที่ใช้ในการผ่าตัด 13

การปฏิบัติตัวหลังเสร็จผ่าตัด 15

การแต่งกายเจ้าหน้าที่ทีมผ่าตัด 16


ประสบการณ์การเขาร่วมกับท าผ่าตัด 18


บรรณานุกรม

ภาคผนวก

1

ตารางปฏิบัติงาน Work from home

ทีม Aในวันที่ 26 เมษายน 2564 – 14 พฤษภาคม 2564


หน่วยผ่าตัด 1 แผนกการพยาบาลห้องผ่าตัด




วัน/เดือน/ปี แผนการด าเนินงาน


26 เมษายน 2564 เขียนร่างแผนการด าเนินงาน Work from home

27-30เมษายน 2564 หาข้อมูลเกี่ยวกับการแนวทางการผ่าตัด Emergency Tracheostomy

10-14พฤษภาคม2564 รวบรวมข้อมูลจัดท าคู่มอ แนวทางการผ่าตัด Emergency Tracheostomy

ผู้ป่วย COVID-19และจัดท าแบบประเมินผลของคู่มือและสรุปผลการด าเนินงาน

2


บทน า


1.1 หลักการและเหตุผล

สืบเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งเป็น

โรคติดต่ออันตราย ล าดับที่ 14 ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่ออันตราย พ.ศ. 2458และโรคมีการระบาดใหญ่

(Pandemic) ไปทั่วโลก ตามประกาศขององค์การอนามัยโลกโดยในสถานการณ์การติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

ในระดับโลก พบผู้ป่วยสะสมรวมมากกว่า 146 ล้านคน โดยจ านวนผู้ป่วยรายวันเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางเดือน

กุมภาพันธ์ 2564 จนอยู่ในระดับมากกว่า 8 แสนคนต่อวัน และสูงที่สุดนับตั้งแต่เริ่มต้นมีการระบาดมา ซึ่งเกิด

จากการระบาดที่เพิ่มมากขึ้นในอินเดีย จากเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์อินเดีย B.1.617 จ านวนผู้เสียชีวิตรายวัน

ก็มีแนวโน้มเพมสูงขึ้น รวมผู้เสียชีวิตทั้งหมดมากกว่า 3 ล้านคน ส่วนในประเทศไทย พบผู้ติดเชื้อสะสมจากการ
ิ่
ระบาดในระลอกใหม่ (เมษายน 2564)มากกว่า 20,000รายและพบผู้ที่มีอาการรุนแรงมากกว่า 500 ราย ทั้งนี้

จ านวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียรายวันในประเทศมีแนวโน้มเพมขนซึ่งเชื้อสามารถติดต่อจากคนสู่คน โดยละอองฝอย
ิ่
ึ้
ของเชื้อผ่านทางการไอจาม เหมือนเชื้อกลุ่ม ไข้หวัดใหญ่(Droplets transmission) สัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อน

สารคัดหลั่งแล้วมาสัมผัสบริเวณ จมูกปาก ตา (Contacts transmission)โดยผู้ติดเชื้อเมื่อได้รับเชื้อมีทั้งแบบไม่

แสดงอาการและแบบแสดงอาการ อาการที่แสดงออกทางคลินิกมีตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง เกิดความ

ผิดปกติของทางเดินหายใจ ในรายที่มีอาการรุนแรง มักพบภาวะปอดอกเสบรุนแรง การบาดเจ็บของหัวใจ


เฉียบพลัน กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุขได้ออกกฎระเบียบ แนวปฏิบัติและมาตรการต่างๆ ให้

โรงพยาบาลและสถานบริการสุขภาพเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือการแพร่ระบาด ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา

คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ท าแนวทางการผ่าตัด Emergency Tracheostomyผู้ป่วย

COVID-1 โดยน าTrigger for intubation covid-19 ซึ่งมีทีมห้องผ่าตัดร่วมด้วย ดังนั้นแผนกการพยาบาลห้อง

ผ่าตัดซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีโอกาสให้บริการผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงและ COVID-19 ดังกล่าว คณะผู้จัดท าได้เห็น

ความส าคัญและเตรียมความพร้อมให้บุคลากรมีแนวทางในการปฏิบัติงานที่ถูกต้องจึงได้จัดท าคู่มอแนวทางการ

ผ่าตัด Emergency Tracheostomyผู้ป่วย COVID-19นี้ขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสและการ

แพร่กระจายเชื้อในระหว่างการดูแลผู้ป่วย

1.2 วัตถุประสงค์

1.2.1เพื่อให้เจ้าหน้าที่ห้องผ่าตัดสามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องเมื่อมีการผ่าตัดเจาะคอ

ผู้ป่วยCOVID-19

1.2.2 ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่กระจายเชื้อของบุคลากรทีมผ่าตัด

3


1.3 ระยะเวลาด าเนินงาน

ตั้งแต่วันที่ 26-30 เมษายน พ.ศ.2564 และ 10-14 พฤษภาคม พ.ศ.2564

1.4ดัชนีชี้วัด

1.4.1 บุคลากรสามารถปฏิบัติได้ในการท างาน


1.4.2 บุคลากรไม่มีการติดเชื้อและไม่มการแพร่กระจายเชื้อ
1.5 ผลที่คาดว่าจะได้รับ


1.5.1 บุคลากรมีความรู้สามารถปฏิบัติได้ถกต้องตามแนวปฏิบัติ
1.5.2 บุคลากรปลอดภัยจากการติดเชื้อ


2.ความรู้เรื่องโรคและการเจาะคอ

2.1 โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)โรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส2019 (coronavirus

disease 2019) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า “โควิด-19 (COVID-19)” โดย CO มาจาก corona, VI มาจาก virus, D

คือ disease และ 19 มาจาก ปี ค.ศ. 2019 ปีที่พบผู้ป่วยรายแรกที่เมืองอฮั่น ประเทศจีน เดือนธันวาคม ค.ศ.
ู่
2019หลังจากนั้นเกิดการระบาดอย่างรุนแรงทั่วโลก เนื่องจากเชื้อสามารถติดต่อได้ง่ายและรวดเร็ว และเป็น


สาเหตุของการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อจ านวนมากจากอาการรุนแรงที่พบคือการเกิดปอดอกเสบ มีการแยกและ
พิสูจน์เชื้อก่อโรคได้ว่าเป็นโคโรนาไวรัสแต่เป็นสายพันธุ์ใหม่ องค์การอนามัยโลกจึงตั้งชื่อโรคว่าโควิด-19 และ

เรียกชื่อเชื้อในระยะแรกว่า “โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 (2019-nCoV)” โดย n ย่อจาก novel และ

CoVย่อจาก coronavirus ต่อมา International Committee on Taxonomy of Viruses (ICTV) ตั้งชื่อเชื้อ

ใหม่ว่า “Severe Acute Respiratory Syndrome Coronavirus 2, SARS-CoV-2)” ตามผลล าดับเบสของ

สารพันธุกรรมซึ่งมีความคล้ายคลึงกับเชื้อ SARS-CoVซึ่งเป็นสาเหตุของ SARS มากที่สุดในบรรดาโคโรนาไวรัส

ก่อโรคในคนและใกล้เคียงกับของ coronavirus ที่แยกได้จากค้างคาวเกือกม้า SARS-CoV-2 อยู่ในวงศ์

Coronaviridaeมีสารพันธุกรรมเป็น ribonucleic acid (RNA) มีรูปร่างอนุภาคเป็นทรงกลมขนาดกลาง (60 -

140 นาโนเมตร) มีเปลือก envelope และแท่งโปรตีน spike (S) หุ้มรอบอนุภาค ชั้นในมี nucleocapsid

(โปรตีน N) การระบาดของโควิด-19 เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 2020


องค์การอนามัยโลกประกาศสถานการณ์โควิด-19 ว่าเป็นการระบาดทั่วโลก ผู้ติดเชื้อมีทั้งแบบไม่แสดงอาการ
และแบบแสดงอาการ อาการที่แสดงออกทางคลินิกมีตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง บางรายถึงแก่ชีวิต การก่อ


พยาธิสภาพของ SARS-CoV-2 ในผู้ป่วยคือท าให้เกิดความผิดปกติของทางเดินหายใจ ในรายที่มีอาการรุนแรง

มักพบภาวะปอดอักเสบรุนแรง การบาดเจ็บของหัวใจเฉียบพลัน ซึ่งคาดว่าเกิดจากผลของการหลั่งของไซโตไคน์

ที่เกี่ยวข้องกับการอกเสบอย่างมากมาย ซึ่งเรียกว่า cytokine storm syndrome หรือกลุ่มอาการพายุไซโต


4



ไคน์ น าไปสู่การเกดภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (acute respiratory distress syndrome, ARDS) และ
เสียชีวิตในที่สุด

การระบาดของโควิด-19 เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ดังนั้นในวันที่

11 มีนาคม ค. ศ. 2020 องค์การอนามัยโลกประกาศสถานการณ์ โควิด-19 ว่าเป็นการระบาดทั่วโลก

(pandemic COVID-19) โดยผู้ติดเชื้อมีทั้งแบบไม่แสดงอาการและแบบแสดงอาการ และอาการที่แสดงออก

ทางคลินิกจะมีตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง บางรายถึงแก่ชีวิตซึ่งเชื้อไวรัสเป็นเชื้อไวรัสที่พบในสัตว์เลี้ยงลูก

ด้วยนมและสัตว์ปีกที่มีเปลือกเป็นไขมันหุ้ม สามารถติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจของมนุษย์ ท าให้เกิดไข้และ

อาการระบบทางเดินหายใจผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการไข้ไอเจ็บคอ หายใจล าบาก บางรายอาจมีปอดอกเสบ



รุนแรง โดยสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้จากการถกไอจาม หรือสัมผัสกับสารคัดหลั่งของคนที่ป่วยระยะ
ฟักตัว 2-14 วัน

การกอพยาธิสภาพของ SARS-CoV-2 ในผู้ป่วยคือท าให้เกิดความผิดปกติของทางเดินหายใจ ในรายที่


มีอาการรุนแรง มักพบภาวะปอดอกเสบรุนแรง การบาดเจ็บของหัวใจเฉียบพลัน ซึ่งคาดว่าเกิดจากผลของการ
หลั่งของไซโตไคน์ที่เกี่ยวข้องกับการอกเสบอย่างมากมาย ซึ่งเรียกว่า cytokine storm syndrome หรือกลุ่ม

อาการพายุไซโตไคน์ น าไปสู่การเกิดภาวะหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (acute respiratory distress

syndrome, ARDS) จนต้องได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจและต้องเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤติ

2.2. การเจาะคอ (tracheostomy)เป็นการสร้างทางติดต่อระหว่างหลอดลมกับผิวหนังบริเวณ

ด้านหน้าของล าคอ ท าให้อากาศสามารถผ่านเข้าสู่ปอด โดยไม่ต้องผ่านช่องจมูก และล าคอส่วนบน โดยมีข้อ

บ่งชี้ดังต่อไปนี้

1. เพื่อบรรเทาการอุดกั้นในระบบทางเดินหายใจส่วนบน ได้แก่ ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งกล่องเสียง

หรือท่อลมตีบ, ผู้ป่วยที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับชนิดรุนแรง ซึ่งท าให้อากาศไม่สามารถ

ผ่านจากจมูกไปสู่ปอดได้


2. เพื่อให้ใช้เครื่องช่วยหายใจเป็นระยะเวลานานได้โดยไมมีผลข้างเคียงของการที่ต้องใส่ท่อช่วย
หายใจเป็นระยะเวลานาน


3. เพื่อสามารถดูดเสมหะในท่อลมและหลอดลมได้ดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ไม่รู้สติ, ผู้ป่วยที่มีการ
ติดเชื้อในปอด หรือผู้ป่วยที่มีเสมหะคั่งมากๆที่ไม่สามารถไอออกมาได้ดี


4. เพื่อช่วยปกป้องทางเดินหายใจส่วนล่าง ในผู้ป่วยที่มีการส าลักเลือด, เสมหะ หรือสิ่งอาเจียน

หรือผู้ป่วยที่ไม่สามารถไอได้ เช่น ผู้ป่วยอัมพาต หรือ ผู้ป่วยที่ไม่รู้สติ

การเจาะคอสามารถทาได้ในกรณีฉุกเฉิน หรือ ไม่ฉุกเฉิน ขึ้นอยู่กับข้อบ่งชี้ และสภาวะของผู้ป่วย ใน

5


กรณีฉกเฉิน สามารถท าได้ที่ข้างเตียงของผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม การเจาะคอ ควรท าในห้องผ่าตัดที่มีอุปกรณ์


พร้อม เช่น เตียงผ่าตัด, เครื่องมือดูดเลือด, เครื่องมือจี้ไฟฟา, แสงไฟที่เพียงพอและเหมาะสม และ มีผู้ช่วยที่มี
ความช านาญ เพื่อลดอุบัติการณ์ของภาวะแทรกซอนจากหัตถการนี้

วิธีระงับความรู้สึก การเจาะคอท าได้โดยการฉีดยาชา หรือดมยาสลบ ทั้งนี้ขี้นอยู่กับภาวะของผู้ป่วย รายที่

ผ่าตัดโดยวิธีดมยาสลบ ควรให้ผู้ป่วยงดน้ าและอาหารก่อนเจาะคออย่างน้อย 6 ชั่งโมง เพอป้องกันการส าลัก
ื่
อาหารลงปอด เวลาดมยาสลบ ในกรณีผู้ป่วยเด็ก มักจ าเป็นต้องท าด้วยวิธีดมยาสลบ โดยอาศัยความร่วมมือ

จากวิสัญญีแพทย์ เพื่อให้การควบคุมทางเดินหายใจปลอดภัยทั้งก่อน ขณะ และ หลังการเจาะคอ ผู้ป่วยบาง

รายที่มีปัญหาทางเดินหายใจอุดกั้นฉุกเฉิน ที่มีขอจ ากัดในการใส่ท่อช่วยหายใจ อาจจ าเป็นต้องเจาะคอ โดยใช้


ยาชาเฉพาะที่ วิสัญญีแพทย์ควรร่วมดูแลผู้ป่วยในขณะเจาะคอด้วยทุกครั้ง

การจัดท่าผู้ป่วย ท่าของผู้ป่วยที่เหมาะสมในการเจาะคอ คือท่านอนหงาย และ เอนคอไปทางด้านหลัง

โดยวางหมอนทรายไว้ใต้ไหล่ของผู้ป่วย เพื่อท าให้ส่วนของหลอดลมบริเวณล าคอ เห็นได้ชัดและง่ายต่อการเจาะ

ี่
คอ อย่างไรก็ดี ในบางกรณีทผู้ป่วยมีปัญหาทางเดินหายใจอุดกั้นฉุกเฉิน อาจไม่สามารถนอนราบในท่าแหงนคอ
ได้ อาจจ าเป็นต้องเจาะคอในท่านั่งหรือ ท่านอนยกศีรษะสูง

ชนิดของท่อเจาะคอ (Tracheostomy tube)

1. ท่อเจาะคอที่ท าจากวัสดุสังเคราะห์ นิยมใช้polyvinyl cholide (PVC) หรือ silicone เช่น

Portex tube , Shiley’s tube เป็นต้น ซึ่งมีทั้งแบบมีลูกโป่ง (cuff) เหมาะส าหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วย

หายใจ หรือมีการส าลัก แต่ข้อเสียคือ หากผู้ป่วยต้องใส่ท่อเป็นเวลานานลูกโป่งอาจกดทับเนื้อเยื่อบริเวณ

หลอดลมเกิด หลอดลมตีบตามมาได้ แบบชนิด ไม่มีลูกโป่ง (uncuff) เหมาะส าหรับผู้ป่วยหลังผ่าตัดเนื้องงอก

บริเวณศีรษะและล าคอ อัมพาตของเส้นเสียง หรือในเด็กอายุ น้อยกว่า 12 ปี


























Shiley® cuffed tube with inner tube Portex ® cuffed tube with inner tube



ภาพแสดงท่อเจาะคอชนิดท าจากวัสดุสังเคราะห์ชนิด


ต่างๆ

6


2. ท่อเจาะคอที่ท าจากโลหะ (Silver tube) ท่อชนิดนี้จะไม่มีลูกโป่ง ประกอบไปด้วย ท่อชั้นนอก

(Outer tube) และท่อชั้นใน (Inner tube) ,obtulator guide เช่น Jackson ,Tucker tube























Jackson silver tube Tucker silver tube




ภาพแสดงท่อเจาะคอชนิดโลหะแบบต่างๆ

ขนาดของท่อเจาะคอ



ควรเลือกขนาดของท่อเจาะคอที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งขนาดของท่อเจาะคอนั้นจะมีตัวเลขบอก
เส้นผ่าศูนย์กลางรอบในของท่อไว้ (inner diameter : ID) และ/หรือขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางรอบนอก


(outer diameter : OD) มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร หรือมีตัวเลขบอกขนาดเป็นเบอร์ส าหรับท่อเจาะคอชนิดโลหะ

เช่น Jackson tube นั้น มีขนาดเบอร์ ตั้งแต่00-12 ซึ่งขนาดเบอร์ 00 ใช้ในเด็กคลอดก่อนก าหนดหรือทารก

แรกเกิด ส่วนท่อเจาะคอที่นิยมใช้ในผู้ใหญ่ คือ เบอร์ 6 ถึง เบอร์ 9 โดยจะมีตัวเลขบอกขนาดเบอร์ที่ท่อเจาะ

คอ


ภาวะแทรกซ้อนขณะผ่าตัด


1.เลือดออก อาจจะออกได้จากการบาดเจ็บต่อเส้นเลือดบริเวณคอ หรือ เส้นเลือดที่มาเลี้ยงต่อมธัย

รอยด์


2.ลมรั่วเข้าเยื่อหุ้มปอด (pneumothorax), ช่องอก (pneumomediastinum), มีลมรั่วมาอยู่ใต้

ผิวหนัง (subcutaneous emphysema) การอัดวัสดุห้ามเลือดแน่นจนเกินไปที่แผล และการเย็บขอบแผลรอบ


รูของหลอดลมคอแน่นจนเกินไป อาจท าให้ลมหายใจออกรั่วไปรอบรูดังกล่าว และเซาะไปตามเนื้อเยื่อออน
บริเวณคอด้านหน้า เกิดมีลมรั่วมาอยู่ใต้ผิวหนังได้ ในกรณีทมีการผ่าตัดเลาะบริเวณหน้าหลอดลมคอเป็นบริเวณ
ี่

7


กว้าง ก็อาจท าให้ลมที่รั่วออกมาเซาะเข้าไปในช่องอก ในผู้ป่วยเด็ก เยื่อหุ้มปอดอาจจะลอยสูงขึ้นมาบริเวณท ี่

เจาะคอได้ การฉีกขาดของเยื่อหุ้มปอด ท าให้เกิดปัญหาลมรั่วเข้าเยื่อหุ้มปอดตามมาได้

3.การที่ไม่สามารถเจาะคอได้ส าเร็จ ผู้ป่วยที่มีปัญหาทางเดินหายใจอุดกั้นฉุกเฉิน และมีความจ าเป็นที่

จะต้องได้รับการเจาะคออย่างเร่งด่วนโดยใช้ยาชาเฉพาะที่จะกระสับกระส่าย ไม่อยู่นิ่ง หลอดลมคอจะมีการ

เคลื่อนไหวขึ้นลงตลอดเวลาตามจังหวะการหายใจที่แรงและเร็ว อาจท าให้การเจาะคอส าเร็จได้ยาก ประกอบ

กับแรงกดเบียดจากเครื่องมือลงไปบนล าคอผู้ป่วย จะทาให้ผู้ป่วยมีความทุกข์ทรมานเพิ่มขึ้น การควบคุม

ทางเดินหายใจของผู้ป่วยในกรณีเช่นนี้ อาจท าได้ไม่ง่าย ในเวลาอันจ ากัด และผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตได้

4.ท่อหลอดลมคอหลุด และท่อหลอดลมคอไม่อยู่ในต าแหน่งที่เหมาะสม ผิวหนังและเนื้อเยื่อไขมัน


บริเวณล าคอของผู้ป่วยที่หนา, การเคลื่อนไหวของศีรษะไปมา, ท่อที่มีขนาดสั้นเกินไป และการผูกสายรัดท่อ


หลอดลมคอที่ไม่แน่นพอ จะท าให้เกิดการเลื่อนหลุดของท่อจากหลอดลมได้ ซึ่งอาจมีอนตรายถึงชีวิต ท่อที่มี
ขนาดยาวเกินไป เมื่อผู้ป่วยอยู่ในท่ากมศีรษะ หลอดลมมีการหย่อนตัวเต็มที่ ปลายของท่ออาจอยู่ในหลอดลม

ข้างเดียวได้

5.ทางเชื่อมต่อระหว่างหลอดลมคอ และหลอดอาหาร การลงมีดบนหลอดลมคอ ที่ขาดความ

ระมัดระวัง โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็ก ซึ่งมีขนาดของหลอดลมคอ เล็กมาก ๆ อาจเกิดการบาดเจ็บต่อผนัง

หลอดลมคอด้านหลัง และทะลุไปยังหลอดอาหารได้

6.ภาวะน้ าท่วมปอด (pulmonary edema) การบรรเทาปัญหาทางเดินหายใจอุดกั้นเรื้อรัง ด้วยการ

เจาะคอ อาจท าให้ความดันภายในหลอดลมที่เคยสูงอยู่เป็นระยะเวลานาน ลดลงอย่างรวดเร็ว และมีการรั่วของ

ของเหลวจากเส้นเลือด ผ่านผนังของถุงลมในปอด เข้ามาในหลอดลมจนเกิดน้ าท่วมปอดได้

การดูแลหลังผ่าตัด

ื่
1. การถ่ายภาพเอกซ์เรย์ปอด เพื่อดูต าแหน่งของปลายท่อ และดูว่ามีภาวะแทรกซ้อนอนๆ ที่เกิดจาก

การเจาะคอ เช่น ลมรั่วเข้าเยื่อหุ้มปอดหรือไม่

2. การให้ความชื้นที่เพียงพอ อากาศที่หายใจผ่านท่อเจาะคอ จะแห้ง ขาดความชุ่มชื้น ขาดการปรับ

อุณหภูมิ และ ขาดการกรองดักฝุ่นละออง โดยโพรงจมูก การให้อากาศที่ชื้นผ่านทางรูเจาะคอจะช่วยป้องกัน


ไม่ให้เยื่อบุหลอดลมคอแห้ง เกิดสะเก็ด และเสมหะเหนียว และแห้งมาอุดตันท่อหลอดลมคอ
3. การดูดเสมหะที่เพียงพอ อากาศทแห้ง รวมทั้งการระคายเคืองเยื่อบุหลอดลมคอ เนื่องจาก ท่อ
ี่

ิ่
หลอดลมคอ ท าให้ปริมาณของเสมหะเพมขึ้น ประกอบกับผู้ป่วยที่มีท่อหลอดลมคอไม่สามารถไอขับเสมหะได้
อย่างมีประสิทธิภาพ การดูดเสมหะที่เพียงพอ จะท าให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายขึ้น นอกจากนั้นควรกระตุ้นให้ผู้ป่วยไอ

บ่อยๆ

8


4. การป้องกันการติดเชื้อ หลังการเจาะคอ หลอดลมจะมีทางติดต่อกับอากาศภายนอกโดยตรง โดย

ไม่มีสิ่งใดป้องกัน เสมหะที่เกิดในทางเดินหายใจก็สามารถปนเปื้อนไปที่แผลเจาะคอได้โดยตรง การใช้เทคนิค

ปลอดเชื้อ และเครื่องมือในการดูดเสมหะ, การป้องกันสิ่งแปลกปลอมจากภายนอกเข้าไปในหลอดลมโดยตรง

และการดูแลท าความสะอาดบริเวณแผลเจาะคอ และเปลี่ยนผ้าก๊อสทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1- 2 ครั้ง หรือเมื่อ

เปียกแฉะ จะช่วยป้องกันการติดเชื้อบริเวณรอบแผลเจาะคอและในหลอดลมได้เป็นอย่างดี

5. การท าให้ทางเดินหายใจกว้างอยู่ตลอดเวลา ในช่วง 48-72 ชั่วโมงแรก หลังการเจาะคอ ถือว่าเป็น

ช่วงเวลาที่อันตราย เนื่องจากยังไม่มีการสร้างทางเชื่อมระหว่างท่อหลอดลมคอและ ผิวหนังบริเวณล าคออย่าง

ชัดเจน จึงไม่แนะน าให้เปลี่ยนท่อหลอดลมคอในช่วงเวลานี้ เพราะอาจเป็นอันตรายได้ และเพื่อป้องกันท่ออุด


ตันจากเสมหะ ท่อ 2 ชั้นที่มีทั้งท่อหลอดลมคอชั้นนอก และชั้นใน ควรล้างท่อหลอดลมคอชั้นใน ทุกๆ 4-6

ชั่วโมง และทุกครั้ง ที่ผู้ป่วยรู้สึกหายใจไม่สะดวก


6. การเอาลมออกจากถงลม (deflating the cuff) และการเอาท่อหลอดลมคอออก เมื่อหมดข้อบ่งชี้
ของการใช้ถุงลมแล้ว ต้องเอาลมออกจากถุงลม หรือ เปลี่ยนเป็นท่อหลอดลมคอชนิดไม่มีถุงลม เพื่อป้องกัน

ภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวข้างต้น เช่น หลังเจาะคอใหม่ๆ อาจจ าเป็นต้องใช้ท่อหลอดลมคอชนิดพลาสติกซึ่งมีถุง

ลมอยู่ด้านข้าง เพื่อยึดให้ท่ออยู่กับที่ ประมาณ 24 ชั่วโมงหลังจากนั้น ควรเอาลมในถุงลมที่ติดกับท่อออก และ

ประมาณ 72 ชั่วโมงหลังเจาะคอ ควรเปลี่ยนเป็นท่อซึ่งไม่มีถุงลม ซึ่งมีทั้งชนิดพลาสติกและโลหะ เนื่องจากจะ

ล้างและท าความสะอาดได้ง่ายกว่า

ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด

1. เลือดออก อาจเกิดขึ้นได้หลังการเจาะคอ เป็นวันหรือเดือน เลือดที่ออกจากทางเชื่อมต่อระหว่างท่อ

หลอดลมคอ และเส้นเลือดใหญ่ (tracheo-innominate artery fistula) อาจรุนแรงและถึงแก่ชีวิตได้ ต าแหน่ง

ที่มักเกิดทางเชื่อมต่อดังกล่าวได้ คือบริเวณถุงลม และ ปลายท่อ ซึ่งมีการกดเบียดด้านหน้าของหลอดลมคอ

เป็นเวลานาน จนเกิดเนื้อเยื่อตาย และทะลุไปทางด้านหน้า ติดต่อไปยังเส้นเลือดใหญ่ โดยเริ่มต้นมักจะมี

เลือดออกปริมาณไม่มากน ามาก่อน จากนั้นก็จะตามมาด้วยเลือดออกปริมาณมาก และ รุนแรง จนผู้ป่วยเข้าสู่

ภาวะช็อคได้


2.ลมรั่วเข้าเยื่อหุ้มปอด, ช่องอก, มีลมรั่วมาอยู่ใต้ผิวหนัง
3. รอยโรคที่กล่องเสียง และหลอดลมคอ การกดทับเยื่อบุหลอดลมคอจากถุงลม เป็นระยะเวลานานๆ,


การระคายเคืองเยื่อบุหลอดลมคอจากปลายท่อ, ระยะเวลาที่คาท่อไว้, ชนิดวัสดุที่ใช้ท าท่อ และขนาดของท่อ,

การติดเชื้อ และการตัดกระดูกออนออกมากเกินไป มีผลท าให้เกิดรอยโรคได้ตั้งแต่ แผลที่เยื่อบุ, เนื้อเยื่อการ

อักเสบเหนือรูเจาะคอ (suprastomal granuloma), กระดูกออนอักเสบ, ผนังหลอดลมคอออนตัว จนถึง กล่อง



9


เสียง และหลอดลมคอมีการตีบแคบ (laryngotracheal stenosis)

4. ท่อหลอดลมคออุดตัน

5. ปัญหาการส าลัก

6. แผลติดเชื้อ

7. ทางเชื่อมต่อระหว่างหลอดลมคอ และผิวหนังบริเวณด้านหน้าคอ (tracheocutaneous fistula)

ในกรณีที่ผู้ป่วยเอาท่อหลอดลมคอออก หลังจากใส่ท่อเป็นระยะเวลานาน อาจมีทางเชื่อมต่อดังกล่าวได้

10


ู้
3. แนวทางการผ่าตัด Emergency Tracheostomy ณ หอผป่วยCOVID-19













































































*หมายเหตุ :มีการเปลี่ยนแปลง Headlight จาก 5ง เปลี่ยนเป็นโคมไฟ จากห้องผ่าตัด ซึ่งได้มีการน าไปไว้ที่ MICU3

ยาชา จากเดิมของวิสัญญี เปลี่ยนเป็นใช้ในกล่อง กล่องEmergency Tracheostomy ของห้องผ่าตัด

11


เดิมใช้ vicryl 2-0 เปลี่ยนเป็น Silk 3-0 เข็ม Round

Ward AE4 เปลี่ยน MICU3
1.หลังจากได้รับ set case ซึ่ง air way ทีม จะโทรมา set case ที่เบอร์หัวหน้าเวร 0994232360 ซึ่งในเวลา


ราชการหัวหน้าเวรจะโทรมาที่เบอร์ 63771
2.ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ไปท า case ให้มาหยิบกล่องอุปกรณ์ที่เตรียมไว้ส าหรับ Emergency tracheostomy


ี่
ที่ OR 1 และเครื่องจี้ที่ไม่ได้ใช้งานน าไปท MICU3 โดยออกทางประตูรับส่ง1 (ในเวลาราชการ) และออกทาง
ประตูรับส่ง 3 (นอกเวลาราชการ)

3.เมื่อไปถึง MICU3 ให้เข้าประตูบริเวณด้านหน้า

4.ผู้ที่ท าหน้าที่Circulating Nurseเปิดเครื่องมือบนรถจี้ นอกห้องผู้ป่วย รอ stand by พร้อมเจาะคอ ดังนี้

- Set เจาะคอ

- ผ้าเจาะ 6x6 (disposable)

- Blade no 15,11พร้อมใส่ด้ามมีด

- syringe 5 cc.พร้อมเข็ม no.20,25ยาว ดูดยาชา 1% xylocaine c adrenaline ประมาณ 5 cc.

- syringe 10 cc.ใช้ส าหรับ blow cuff

- Silk 3/0 RB เย็บ stay trachea

- สายจี้ mono

- Shilley tube no.4,6,8(Surgeon จะเป็นผู้ประเมินและเลือกขนาดที่เหมาะสมเอง)

- Collugaate tube

- Tubing suction

- ถุงพลาสติกใสพร้อมหนังยาง sterile (ใช้แทนด้ามจับโคมไฟ)


- ถุงพลาสติกใส sterileใช้ส าหรับคลุมบริเวณคอขณะที่จะเจาะเปิด trachea

5.หลังเปิดอุปกรณ์ต่างๆเรียบร้อยแล้ว คลุมผ้า sterileไว้ พร้อมใช้งาน รอทีมส่งสัญญาณพร้อมเจาะคอแล้วจึง

เข็นรถจี้พร้อมเครื่องมือและโคมไฟเข้าไปในห้อง negative pressure

6.ระหว่างที่ Circulating Nurseเตรียมเครื่องมือที่ประตูด้านข้างห้อง negative pressure ผู้ที่ท าหน้าที่ Scrub

ื่
Nurse เดินเข้าประตูด้านหน้า MICU 3 เพอไปดูสถานการณ์พร้อมทีม และเตรียมพร้อมส าหรับแต่งตัวด้วยชุด
PPE เพอเตรียมพร้อมเข้าcase
ื่
7.เมื่อทีมส่งสัญญาณว่าต้องท า Tracheostomy จะมีเจ้าหน้าที่จากในห้อง negative pressure มาเปิดประตู

ด้านข้าง เพอให้ Circulating Nurseที่รออยู่ขนอุปกรณ์เข้าไปในห้อง
ื่

12


8.หลังจากขนส่งอุปกรณ์เข้าในห้องให้ Scrub N.เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ward MICU3 ซึ่งอยู่ด้านในอยู่แล้วจะ

ื่
เป็นผู้ช่วยต่ออุปกรณ์ต่างๆช่วย Scrub Nurse ส่วน Circulating Nurseเดินเข้ามาใน ward เพอดูสถานการณ ์
ว่าด้านในห้องต้องการอุปกรณ์อย่างอื่นเพิ่มหรือไม่

**หมายเหตุ : เครื่องจี้และโคมไฟ ยืมเก็บไว้ที่ MICU3

ขั้นตอนการท า tracheostomy in COVID-19 ที่ Ward COVID

1. ผู้ที่เข้าเคสผ่าตัดคือ ENT staff, R3, scrub nurse, staff วิสัญญีและพยาบาลวิสัญญี ใส่ full PPE


(หมวกคลุมผม2 ชั้น ,แว่นตา/goggles, face shield, N95, Coverall, ถุงคลุมเท้า, ถุงมอยาว, ถุงมอ 2 ชั้น, ±

PAPRS)



2. ทบทวนขั้นตอนการผ่าตัดร่วมกันกับทม
3. พยาบาลประจ าward ท าหน้าที่ช่วยจัดไฟต่อเครื่อง ต่อsuction และ circulate ภายในห้อง

ผู้ป่วย

4. แพทย์วิสัญญีช่วย sedate ผู้ป่วยเท่าที่สามารถท าได้

5. Scrub nurse เตรียม shiley tube ขนาดที่เหมาะสมเมื่อ Surgeon พร้อมจะเปิด trachea และ

test cuff ให้มั่นใจว่าไม่รั่ว (หากมีที่ครอบพลาสติกใสคลุมทับบริเวณศีรษะและตัวผู้ป่วยเมื่อเข้าถึงห้อง)

6. Surgeon ท าการผ่าตัดตามขั้นตอนปกติ โดยพยายาม stop bleed ให้แห้งที่สุด **ใช้ monopolar

cautery low energy 15-20 watts เพื่อป้องกัน aerosolizing viral particles

7. เมื่อถึง trachea ให้คลุมพลาสติกใสบน field ป้องกันการฟุ้งกระจายเมื่อเปิด trachea

8. เย็บ stay suture ด้วย silk RB 3/0 พร้อมส่งสัญญาณแจ้งวิสัญญีแพทย์ให้หยุด ventilate

9. เปิด trachea ให้มีขนาดเหมาะสมตามหลอดลมของผู้ป่วย โดยพยายามไม่ให้เกิดช่องว่างให้อากาศ

รั่วออกมา และให้ stop bleed ให้แห้งที่สุด เพื่อที่จะเลี่ยงการ stop bleed หลังใส่ shiley tubeโดยSurgeon

จะเป็นผู้ประเมินขนาดของ Shiley tube และแจ้ง Circulating Nurseให้เปิดShilley tube

10. Inflate cuff ให้เหมาะสมเพื่อป้องกันอากาศรั่วโดยให้ cuff pressure 20-30 cmH2O (ประมาณ

8 cc)


11. หลังใส่ shiley tube แล้วให้วิสัญญีตรวจสอบ tracheostomy cuff pressure และต่อdry
circuit ventilator with HEPA filters


12. วิสัญญีตรวจสอบต าแหน่งของ shiley tube โดย capnography และให้ muscle relaxant

13. เลี่ยงการ Suction ระหว่างการท าหัตถการ ให้ใช้เป็น closed suction system หากจ าเป็น

14. ให้ผูก tracheostomy tube ให้แน่นเพียงพอ

13


15. ให้มีการ monitor cuff pressure 20-30 cmH2O ต่อหลังผ่าตัดทุกเวร




เครื่องมือที่ใช้ในการผ่าตัด Emergency Tracheostomy for Covid-19


เมื่อมีการประสานงานเกี่ยวกับการท าหัตถการเจาะคอผู้ป่วย COVID-19 พยาบาลในห้องผ่าตัดจะมี
การจัดเตรียมเจ้าหน้าที่ทีม Scrub และ Circulate ในการเข้าช่วยแพทย์ส่งเครื่องมือผ่าตัดเจาะคอที่หอผู้ป่วย


จะมีการจัดเตรียมอุปกรณ์โดยการน า “กล่อง Emergency Tracheostomy for Covid-19” ซึ่งถูกเตรียมไว้ใน

ห้องเตรียมเครื่องมือของห้องผ่าตัด 1 และจัดหารถเครื่องจี้ เพื่อน าไปผ่าตัด ณ หอผู้ป่วย


กล่องEmergency Tracheostomy for Covid-19 เป็นกล่องอุปกรณ์ที่จัดเตรียมไว้ส าหรับการ

ี่
ผ่าตัดเจาะคอผู้ป่วย COVID-19 ที่จะผ่าตัด ณ หอผู้ป่วย ซึ่งจะประกอบด้วย วัสดุและอุปกรณ์ทพร้อมและ
จ าเป็นต่อการผ่าตัด โดยในกล่อง ประกอบด้วย



ลักษณะ กล่อง Emergency
Tracheostomy for Covid-19


















Set เจาะคอ

14


- ผ้าเจาะ 6x6 (disposable)


- Blade no 15,11


- syringe 5 cc.


-เข็ม No.20,25 ยาว


- syringe 10 cc.ใช้ส าหรับblow cuff



- Silk 3/0 RB เย็บ stay trachea


-Silk 3/0


-Gel foam แผ่นหนา



-Surgicel


- สายจี้ mono


- Shilley tube no.4,6,8


- Collugate tube



- Tubing suction


-แผ่น Plate จี้



- ถุงพลาสติกใสพร้อมหนังยาง sterile
(ใช้แทนด้ามจับโคมไฟ)



- ถุงพลาสติกใส sterile ใช้ส าหรับคลุม

บริเวณคอขณะที่จะเจาะเปิด trachea


-ถุงมือผ่าตัด ขนาดต่างๆ

15


การปฏิบัติตัวหลังเสร็จผ่าตัด

1. ทีมผ่าตัด ได้แก่ ทีมแพทย์ พยาบาลส่งเครื่องมือ ทีมวิสัญญี ออกจากห้องผู้ป่วย เพอถอดชุด PPE
ื่
และอาบน้ าช าระร่างกาย เปลี่ยนชุดใหม่

2. Scrub Nurse เก็บเครื่องมือใช้แล้ว ลงในอุปกรณ์ที่เตรียมไปส าหรับจัดเก็บเครื่องมือ คือตะแกรง

ส าหรับใส่เครื่องมอติดเชื้อ แล้วน าตะแกรงใส่ลงในกล่องที่มีฝาปิดมิดชิดอีกครั้ง เพื่อป้องการการฟุ้ง

กระจาย

3. หลังจากเก็บเครื่องมือเสร็จ Scrub Nurse เดินออกประตูด้านหน้าห้อง negative pressure เพื่อ

ไปถอดชุด PPEและอาบน้ าในห้องอาบน้ า พร้อมเปลี่ยนชุดก่อนออกมายังห้องภายนอก


4. Circulating Nurseน าเครื่องมือใช้แล้วพร้อมกล่องอุปกรณ์ เตรียมพร้อมขนย้ายกลับห้องผ่าตัดเพื่อ

น าไปช าระล้างห้องล้างเครื่องมือ โดยจะมีการประสานงานกับหน่วย TSSU เพื่อเตรียมเครื่อง Washer

ไว้พร้อมล้าง

16


การแต่งกายเจ้าหน้าที่ทีมผ่าตัด


เจ้าหน้าที่ที่เข้าร่วมการผ่าตัดเจาะคอผู้ป่วย COVID-19 ได้แก่



1. แพทย์ จากภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา ได้แก่ Staff, Resident ปี 3


2. พยาบาลจากห้องผ่าตัด ซึ่งแบ่งหน้าที่ ได้แก่ Scrub nurse ช่วยส่งเครื่องมือ และ Circulating

nurse ช่วยเหลือทีมผ่าตัดในการเตรียมอุปกรณ์การผ่าตัดนอกห้องผู้ป่วย


3. Staff วิสัญญีและพยาบาลวิสัญญี



4. พยาบาลประจ าหอผู้ป่วย เข้าช่วยเหลือรอบนอกขณะผ่าตัด ในห้องผู้ป่วย COVID-19



โดยทีมผ่าตัดจะสวมชุดป้องกนร่างกาย โดยจะแต่งกายด้วยชุด PPE(หมวกคลุมผม 2 ชั้น ,
แว่นตา/goggles, face shield, N95, Coverall, ถุงคลุมเท้า, ถุงมือยาว, ถุงมอ 2 ชั้น)






ขั้นตอนการใส่ชุด

17






































ขั้นตอนการถอดชุด

18


































ประสบการณ์การเข้าร่วมกับท าผ่าตัด Emergency Tracheostomy for Covid-19


หลังจากที่ได้มีการ ผ่าตัด Emergency Tracheostomy ที่หอผู้ป่วย MICU3เคสแรกไปเมื่อวันที่


15/2/2564 พบว่ายังมีข้อบกพร่องอยู่หลายจุด เนื่องจากเป็นเคสแรก และยังไม่คุ้นชินกับสถานที่และอุปกรณ์

และจากแนวทางและแผนที่ได้มีการพูดคุยกันไว้เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมกอนหน้านั้น พอไปถึงสถานที่และ

ปฏิบัติจริง จึงพบว่ายังมีปัญหาหลายจุดดังนี้


ื่
1. วางแผนจะใช้ Headlight ในการท าผ่าตัดแทนการใช้โคมไฟเพอเป็นการประหยัดพื้นที่ในห้องผู้ป่วย
ี่
และลดอุปกรณ์ทต้องเคลื่อนย้าย แต่เมื่อหลังจาก Surgeon ใส่ชุด PAPR แล้วไม่สามารถใส่
Headlight ได้ จึงมีการเปลี่ยนมาใช้โคมไฟผ่าตัดแทน

2. ตามแผนคือให้เตรียม shiley tube ไปเพียงขนาดเดียว คือNo.6 ให้ใช้ขนาดเดียว แต่ในความเป็นจริง

แล้ว Surgeon ณ เวรวันนั้นประเมินว่าควรเลือกขนาดที่เหมาะสมไปเลยจะได้ไม่ต้องมาเปลี่ยนใน

ภายหลัง

19


ข้อเสนอแนะ


หลังจากได้มีการผ่าตัด Emergency Tracheostomyที่หอผู้ป่วย MICU3 เมื่อวันที่ 15/2/2564



ทางภาควิชา ENT ได้มีการประชุมเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการผ่าตัดครั้งต่อไป ดังนี้


1. เมื่อมีการ consult Emergency Tracheostomyแพทย์ENT จะประเมินก่อนรับconsult โดยจะไม่ท า

การ เจาะคอจนกว่าผลตรวจจะเป็น Negative นอกจากผู้ป่วยมีปัญหา Airway obstruction จึงจะไปท า

การเจาะคอ ณ หอผู้ป่วย แม้ผลจะยังเป็น Positive


2. อาจารย์ที่ไปผ่าตัดแนะน าว่า Circulating Nurseที่เปิดอุปกรณ์ ได้ใส่อุปกรณ์ป้องกันเพียงN95 อาจไม่


เพียงพอเพราะอาจต้องเปิดประตูเข้าไปตรงห้องระหว่างทางเดินหน้าห้องผู้ป่วย อยากให้ใส่อุปกรณ์ป้องกัน
เพิ่มเติม เช่น อาจสวมชุด PPE หรือ Grow disposable



3. Circulating Nurseน าเครื่องมือใช้แล้วพร้อมกล่องอุปกรณ์เครื่องมือที่ท าความสะอาดขนย้ายกลับห้อง

ผ่าตัด ส่วนเครื่องมือ Set เจาะคอที่ใช้หลังเจาะคอผู้ป่วย จะส่งไปพร้อมกับอุปกรณ์ของ Ward ที่ส่งไป

CSSD โดยจะประสานการรับเครื่องมือคืนกับเจ้าที่ CSSD หลังจากท าความสะอาดเรียบร้อย

20


บรรณานุกรม



กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณะสุข.โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก:


http://ddc.moph.go.th. (วันที่ค้นขอมูล 26 เมษายน 2564).


กรมควบคุมโรค ระทรวงสาธารณะสุข.รายงานสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019. (ออนไลน์).

เข้าถึงได้จาก : http://ddc.moph.go.th. (วันที่ค้นข้อมูล 27 เมษายน 2563).


นุจรี ฮะค่อม, สุภาณี แก้วธ ารงค์. (2563). บทบาทของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยภาวะวิกฤตที่ได้รับ

การเจาะคอและใส่ท่อหลอดลมคอในหอผู้ป่วยไอซียู. วารสารคณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยบูรพา, 28(4),

116-122.


ปารยะ อาศนะเสน.(2557).การเจาะคอ (Tracheostomy). คลินิก,30(6), 379-387.



มะลิ วิโรจน์แสงทอง. (2563). โรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส2019 (Coronavirus Disease 2019, COVID-

19).(น. 1-6).กรุงเทพฯ: คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

21



































ภาคผนวก

22


แบบประเมินผลคู่มือ


เรื่อง คู่มือ แนวทางการผ่าตัด Emergency Tracheostomy ณ หอผู้ป่วย COVID-19



ค าชี้แจงกรุณาตอบแบบประเมินตามรายการที่ตรงกับความคิดเห็นของท่าน หลังจากอ่านคู่มือ


1. ผู้ประเมิน

ต าแหน่ง พยาบาลช านาญการพิเศษ พยาบาลช านาญการ

พยาบาลปฏิบัติการ ผู้ช่วยพยาบาล

2. ความคิดเห็นต่อคู่มือ

ระดับความคิดเห็น(ร้อยละ)
ล าดับ รายการที่ประเมิน
ดีมาก ปานกลาง น้อย

1 รูปเล่มเหมาะสม
2 ขนาดตัวอักษรเหมาะสม

3 ภาษาสื่อความหมายได้ง่าย ชัดเจน

4 มีตัวอย่างให้เข้าใจง่าย

5 จัดล าดับเนื้อหาเหมาะสมชัดเจนและเข้าใจง่าย
6 เนื้อหาครอบคลุมการปฏิบัติงาน

7 สามารถอ้างอิงในการปฏิบัติงานได้

8 สามารถน าไปสู่การปฏิบัติงานได้

9 มีประโยชน์ต่อหน่วยงาน
10 ผลลัพย์โดยรวม



3. ข้อคิดเห็นอื่นๆ


..............................................................................................................................................................................


..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................


..............................................................................................................................................................................

........................................................................................................


Click to View FlipBook Version