The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ สระบุรี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by dtam.sri, 2022-09-02 10:15:46

ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ สระบุรี

ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ สระบุรี

ทะเบียนสำรวจสมุนไพร
ในเขตอนุรักษ์

จังหวัดสระบุรี

ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและท่องเที่ยวเชิงนิเวศเจ็ดคด-โป่งก้อนเส้า



ทะเบียนสำรวจสมุนไพร
ในเขตอนุรักษ์

จังหวัดสระบุรี

ณ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
เจ็ดคด-โป่งก้อนเส้า อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี

ที่ปรึกษา

ดร.ปราโมทย์ ไตรบุญ นักวิจัย ธนาคารทรัพยากรชีวภาพแห่งชาติ

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

ภญ.ชวัลวลัย เมฒสวัสดิชัย เภชสัชกรชำนาญการ

หัวหน้ากลุ่มงานการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระบุรี

ผู้เขียน และเรียบเรียง

นางสาววิไลพร ชาอุ่น แพทย์แผนไทย

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระบุรี

จัดพิมพ์โดย

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระบุรี

โครงการคุ้มครองส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรจังหวัดสระบุรี

ปีงบประมาณ 2565

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: แคมเปญการเคลื่อนไหวและการตระหนักรู้

บทนำ

ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี เล่มนี้
จัดทำขึ้นโดยกลุ่มงานการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระบุรี ภายใต้โครงการคุ้มครองส่งเสริม
ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร จังหวัดสระบุรี ปีงบประมาณ
2565 เพื่อส่งเสริมคุ้มครองภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยเกี่ยวกับ
ตำรับยา แผนไทย และตำราการแพทย์แผนไทย สมุนไพรคุ้มครอง
และที่ดินที่เป็นถิ่นกำเนิดของสมุนไพรหรือที่ใช้ปลูกสมุนไพร โดยมุ่งเน้น
การเสริมสร้างกลไกความร่วมมือของบุคลากรด้านสาธารณสุข รวมถึงกลไก
ความร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่ายภาครัฐ และภาคเอกชนให้มีส่วนร่วม
ในการอนุรักษ์คุ้มครอง ส่งเสริม และพัฒนาการใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญา
การแพทย์แผนไทยในระบบสุขภาพที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว อันจะนำไปสู่
ความมั่นคง และสร้างความอยู่ดีมีสุขของประชาชน

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสระบุรี



สารบัญ

ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและท่องเที่ยวเชิงนิเวศ หน้า
เจ็ดคด-โป่งก้อนเส้า
1
ความเป็นมา 2
4
ความหลากหลายในผืนป่าเจ็ดคด
8
การเปลี่ยนแปลงแทนที่ หรือการทดแทน 10
14
สมุนไพรทีพบในเขตป่าอนุรักษ์ 18
เห็ดเชมเปญ 22
เร่ว 25
โด่ไม่รู้ล้ม 30
กำลังวัวเถลิง 34
สาบเสือ 37
เปราะหอมแดง 40
ประดู่ป่า
กระท้อนป่า
สัก

บรรณานุกรม

ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
เจ็ดคด-โป่งก้อนเส้า

อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี

ความเป็นมา ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและ
ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
ก่อตั้งในสมัย ท่านปองพล อดิเรกสาร ซึ่งเป็นรัฐมนตรี เจ็ดคด-โป่งก้อนเส้า
ว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมัยนั้นเลยตั้งชื่อว่า

ศูนย์ฯ อดิเรกสาร
ตั้งอยู่ที่ หมู่ 5 ตำบลท่ามะปราง
เจ็ดคด-โป่งก้อนเส้า มีพื้นที่รับผิดชอบทั้งสิ้น 13,750 ไร่ อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี
ครอบคลุมป่าปลูก และป่าธรรมชาติในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
มวกเหล็ก - ทับกวาง แปลง 2 ซึ่งเปิดดำเนินงานครั้งเเรกเมื่อปี

2543 เดิมเคยเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
ต่อมาได้ถูกแยกออกมาเพื่อความสะดวกในการดูแลนักท่องเที่ยว

ปัจจุบันศูนย์ศึกษาธรรมชาติเจ็ดคด - โป่งก้อนเส้า อยู่ใน
ความดูแลของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1 (สาขาสระบุรี) ซึ่ง
ได้จัดสรรพื้นที่ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และสถานที่พัก
แรมแหล่งพักผ่อนหย่อนใจในธรรมชาติใกล้กรุงเทพมหานคร

หน้า 1 ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี

ความหลากหลาย หน้า 2
ในผืนป่าเจ็ดคด

เจ็ดคด-โป่งก้อนเส้า มีความอุดมสมบูรณ์และ

หลากหลายทางชีวภาพทั้งพันธุ์พืช และสัตว์ป่านานาชนิด
มีพื้นที่ติดต่อกับด้านตะวันตกของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
ประกอบด้วยสังคมป่าหลายชนิด ได้แก่ ป่าดิบแล้ง ป่าดง
ดิบชื้น ป่าเบญจพรรณ และทุ่งหญ้า ซึ่งเดิมพื้นที่แห่งนี้
เคยถูกการบุกรุกป่า มีการตัดไม้เพื่อทำการเกษตรและ
ที่อยู่อาศัย ทางศูนย์จึงมีการปลูกป่าทดแทน เช่น สัก
ประดู่ หวาย

ด้วยความสมบูรณ์ของผืนป่าซึ่งมีความหลากหลาย
ทางชีวภาพทั้งพันธุ์พืชและสัตว์ป่า มักจะพบพืชสมุนไพร
เช่น พญามีฤทธิ์ ม้ากระทืบโรง กราวเครือ ว่าน รวมทั้ง
เห็ดชนิดต่าง ๆ ส่วนสัตว์ป่าที่พบในบริเวณนี้ ได้แก่ ช้างป่า
กระทิง หมี กวาง เก้ง นางอาย อีเห็น กระจงหมูป่า และ
นกอีกประมาณ 158 ชนิด

เส้นทางเดินป่าและเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ได้แก่
- รอบเล็ก น้ำตกเจ็ดคดเหนือ เป็นน้ำตกสูง 4 ชั้น
รายล้อมด้วยป่าไผ่ ระยะทางเดิน 1.2 กิโลเมตร
- รอบกลาง น้ำตกเจ็ดคดเหนือ - กลาง - ใต้
สามารถแวะเล่นน้ำที่น้ำตกเจ็ดคดกลางได้ เป็นน้ำตก
ชั้ น เ ดี ย ว ส่ ว น น้ำ ต ก เ จ็ ด ค ด ใ ต้ เ ป็ น น้ำ ต ก ชั้ น เ ดี ย ว ที่ มี
ความสวย สูงประมาณ 40 เมตร ระยะทาง 3 กิโลเมตร
- รอบใหญ่ น้ำตกเจ็ดคดเหนือ - กลาง - ใต้ และ
น้ำตกเจ็ดคดใหญ่ ระยะทางเดิน 4 กิโลเมตร

ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี



การเปลี่ยนแปลงแทนที่ หรือการทดแทน

Succession

การทดแทน เป็นการเปลี่ยนแปลงของสังคมพืช

ที่สังคมพืชหนึ่งเข้าไปแทนที่อีกสังคมพืชหนึ่งไปใน
แนวทางที่มีความก้าวหน้าขึ้นคือ มีความหลากหลาย
ความซับซ้อนในโครงสร้าง ความมั่นคงความคงที่และ
ความสมดุลในสังคมมากยิ่งขึ้น การทดแทนของสังคม
เป็นก็เปลี่ยนแปลงที่มิได้มีชนิดพันธุ์ไหมในโลกเกิดขึ้น
แต่เป็นการเข้ามาในพื้นที่ของชนิดพันธุ์จากแหล่งอื่น
และยึดครองพื้นที่แทนกลุ่มชนิดพันธ์ที่มีอยู่เดิม

การทดแทนสามารถแบ่งออกได้

การทดแทนขั้นปฐมภูมิ (Primary Succession)
หมายถึง การทดเทนที่เกิดขึ้นในพื้นที่โล่งที่ไม่มีพรรณพืช
ขึ้นอยู่ก่อนการเข้ามายึดครองของพันธุ์พืชในขั้นของ
การทดแทนต่างๆ ต้องรอการพัฒนาของปัจจัยแวดล้อม
โดยเฉพาะปัจจัยที่เกี่ยวกับดิน เช่น การทดแทนบน
ดอนทรายที่ก่อตัวจากกระแสน้ำ

การทดแทนขั้นทุติยภูมิ (Secondary succession) สภาพปัจจัยแวดล้อม โดยเฉพาะดินเหมาะสม
หมายถึง ขบวนการทดแทนที่เกิดขึ้นในที่โล่งที่เคยมี สำ ห รั บ พื ช ที่ จ ะ เ ข้ า ม า ยึ ด ค ร อ ง ไ ด้ โ ด ย ทั น ที
พรรณพืชยึดครองมาก่อน ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เคยปกคลุม ก า ร ยึ ด ค ร อ ง ใ น ขั้ น แ ร ก มั ก ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย พื ช ที่
ด้วยพรรณพืช และถูกทำลายลงเนื่องจากไฟป่า ไร่เลื่อนลอย เข้ามาใหม่และพืชเก่าที่มีอยู่แต่เดิม ขบวนการทดแทน
หรือพื้นที่เกษตรที่ถูกทิ้งร้าง พื้นที่เหล่านี้มักมีส่วนสืบพันธุ์ มักเป็นไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากดินประกอบด้วย
ของพืชตกศางอยู่บ้าง เช่น เมล็ด ตอที่สามารถแตกหน่อได้ อินทรียวัตถุและจุลินทรีย์สำหรับการพัฒนาดิน
อย่างสมบูรณ์

ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี หน้า 4





จุดเด่นของป่า เจ็ดคด-โป่งก้อนเส้า
เห็ดถ้วยขนสั้น หรือเห็ดถ้วยแชมเปญ ที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า เห็ดแชมเปญ
เป็นเห็ดที่มีรูปร่างคล้ายถ้วย หรือ แก้วแชมเปญ พบมากตามป่าที่มีความชื้นสูงในช่วงฤดูฝน

เห็ดแชมเปญ

ชื่อวิทยาศาสตร์ Cookeina sulcipes (Bk.) Kuntze.
วงศ์ SARCOACYPHACEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ดอกเห็ดคล้ายถ้วยแชมเปญ ขนาด 0.5-3.5 เซนติเมตร ถ้วยมีสีส้ม ชมพู แดงอมชมพูไปจนถึงแดง
จัด มีขนสั้น ผิวด้านนอกสีอ่อนกว่า มีขนละเอียดสีขาวไม่เด่นชัด เรียงเป็นแถวที่ขอบถ้วยด้านนอก
ภายในถ้วยเป็นที่เกิดของสปอร์ ก้านทรงกระบอก ขนาด 1-4 X 0.1-0.3 เซนติเมตร

ลักษณะสปอร์
ทรงรี ใส มีหยดน้ำมันใหญ่ 2 หยดและหยดน้ำมันเล็กๆ หลายหยด ขนาด 25-30 X 14-15
ไมโครเมตร บรรจุอยู่ในถุงแอสคัส ซึ่งภายในมีถุงบรรจุสปอร์ทั้งหมด 8 แอสโคสปอร์

ไม่พบรายงานการรับประทาน

ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี หน้า 8

ชื่อท้องถิ่น : หมากแหน่ง (สระบุรี), หน่อเนง (ชัยภูมิ),
มะอี้ หมากอี้ มะหมากอี้ (เชียงใหม่), หมากเนิง (ภาคอีสาน), เร่วใหญ่ (ทั่วไป)

ชื่อวิทยาศาสตร์ เร่วสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ เร่ว
- เร่วน้อย Amomum villosum Lour.
- เร่วใหญ่ Amomum xanthioides Wall. ex Baker
ชื่อสามัญ Bustard cardamom, Tavoy cardamom
วงศ์ ZINGIBERACEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เร่ว จัดเป็นพืชล้มลุก มีเหง้าหรือลำต้นอยู่ในดิน มีลำต้นเทียมเป็นกาบแข่งโผล่เหนือดินขึ้นมาสูงได้
2-4 เมตร โดยเป็นพืชสกุลเดียวกับ กระวาน ข่า ขิง

ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ผิวใบสีเขียวเข้มเป็นมัน ลักษณะของใบเรียวยาวเป็นรูป
ขอบขนานหรือรูปขอบขนานแกมใบหอกปลายใบเรียวแหลม ห้อยลง มีความยาวประมาณ 30-50 ซม.
และกว้างประมาณ 5-7 ซม. ก้านใบเป็นแผ่นมีขนาดสั้น

ดอก มีสีขาว ออกเป็นช่อจากยอดที่แทงขึ้นมาจากเหง้า เป็นดอกฝอยขนาดเล็กดอกจะรวมอยู่ใน
ก้านเดียวกันเป็นช่อยาว ๆ คล้ายกับดอกข่า กลีบดอกเป็นสีขาวหรือชมพูอ่อนแล้วจะเปลี่ยนสีน้ำตาลเทา
โคนกลีบดอกจะเชื่อมติดกันเป็นท่อ ปลายแยกเป็นกลีบมีก้านช่อดอกสั้น

ผล จำแนกได้ดังนี้

เร่วน้อย ผลค่อนข้างกลม ลักษณะเป็น 3 พู

ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.0-1.5 ซม.
ยาวประมาณ 1.5-2 ซม. มีขน ผลแก่สีน้ำตาลแดง
มีเมล็ดจำนวนมากจับกันเป็นกลุ่มก้อนกลม หรือ
กลมรี มี 3 พู แต่ละพูมีเมล็ด 3-15 เมล็ด เรียงแน่น
3-4 แถว เมล็ดรูปร่างไม่แน่นอน มีหลายเหลี่ยม
และเป็นสันนูน กว้าง 2-3 มม. ยาว 2.5-4 มม.
สีน้ำตาลเข้มหรือสีน้ำตาลดำ ผิวนอกเรียบมีเยื่อ
บางหุ้ม ปลายแหลมของเมล็ดมีรู เห็นเด่นชัด
เมล็ดแข็ง เนื้อในเมล็ดสีขาวอมเหลือง กลิ่นหอมฉุน
รสเผ็ดซ่าและขมเล็กน้อย

เร่วใหญ่ ผลเรียวยาว หรือขอบขนานแกม

สามเหลี่ยม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 ซม.
มีขนอ่อนสีน้ำตาลแดงปกคลุม ภายในมีเมล็ดเป็น
กลุ่ม 10-20 เมล็ด ลักษณะเหมือนเร่วน้อย ผลมี
รสมันเฝื่ อนติดเปรี้ยว เมล็ด รสร้อนเผ็ดปร่า

ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี หน้า 10

การขยาย
พั นธุ์เร่ว

เร่วเป็นพืชที่ชอบขึ้นในที่ค่อนข้างชื้นพอสมควร สามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด
การใช้เหง้าและการแยกหน่อหรือต้นกล้า แต่วิธีที่นิยมในปัจจุบัน คือ วิธีการแยกหน่อ ซึ่งควรเลือก
ต้นกล้าหรือหน่อที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป โดยทำการแยกต้นกล้าที่มีไหลติดอยู่ด้วยมาปลูกเพราะจะมี
การแตกหน่อได้ดี

สำหรับการเก็บเกี่ยวผลผลิตจะเริ่มเก็บเมื่อเร่วมีอายุประมาณ 3 ปี โดยการเลือกกิ่งเหง้า
ที่จะนำไปจำหน่ายควรเลือกเหง้าที่มีลักษณะใหญ่ 1-2 ต้นต่อกอโดยปล่อยต้นที่เหลือในกอมีเจริญ
เติบโตและแตกต้นใหม่ต่อไป

หน้า 11 ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี

สรรพคุณทางยา

ตำรายาไทย: ตำรายาไทยแผนโบราณ:

ผลเร่วน้อย รสร้อนเผ็ดปร่า แก้ไข้ แก้ ผลเร่วจัดอยู่ใน “พิกัดทศกุลาผล” คือการ
ริดสีดวง แก้หืดไอ เสมหะ แก้ระดูขาว แก้ไข้ จำกัดจำนวนตัวยาตระกูลเดียวกัน 10
สันนิบาต เมล็ดเร่วน้อย รสร้อนเผ็ดปร่า ขับ อย่าง มี ชะเอมทั้งสอง (ชะเอมเทศ, ชะเอม
ลมในลำไส้ แก้ท้องขึ้น อืดเฟ้อ ปวดท้อง แก้ ไทย), ลูกผักชีทั้งสอง (ผักชีล้อม, ผักชีลา),
คลื่นเหียน อาเจียน แก้ริดสีดวง หืดไอ กัด อบเชยทั้งสอง (อบเชยเทศ, อบเชยไทย)
เสมหะ แก้ไข้สันนิบาต ขับน้ำนม ผลเร่วใหญ่ ลำพันทั้งสอง (ลำพันแดง, ลำพันขาว) และ
รสมันเฝื่ อนติดเปรี้ยว แก้ไข้เพื่อดีและเสมหะ ลูกเร่วทั้งสอง (เร่วน้อย, เร่วใหญ่) มี
แก้ริดสีดวงทวารทั้ง 9 รักษาอาการขัดใน สรรพคุณ แก้ไข้เพื่อดีและเสมหะ ขับลมใน
ทรวง บรรเทาอาการกระหายน้ำ แก้ธาตุพิการ ลำไส้ บำรุงธาตุ บำรุงปอด แก้รัตตะปิตตะ
แก้ท้องอืดเฟ้อจุกเสียด แก้ปวดท้อง แก้มุตกิด โรค แก้ลมอัมพฤกษ์ อัมพาต บำรุงกำลัง
ระดูขาว แก้หืดไอ แก้เสมหะอันบังเกิดแต่ดี บำรุงดวงจิตให้แช่มชื่น แก้ไข้
แก้โลหิตขึ้นเบื้องสูง แก้ไข้สันนิบาต ขับ
ผายลม ทำให้เรอ เมล็ดเร่วใหญ่ รสร้อนเผ็ด ตำรายาไทยจีน:
ปร่า ขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ขับน้ำนม
หลังคลอด แก้ปวดท้อง แก้คลื่นเหียนอาเจียน ใช้เร่วน้อย และเร่วใหญ่ ขับลม บรรเทาอาการ
ลดไขมันในเลือด ลดความเป็นพิษของสารพิษ ท้องเสีย และครรภ์รักษา แก้อาการอาเจียน รับ
ต่อตับ แก้ริดสีดวง หืดไอ ขับเสมหะ แก้ความ ประทานอาหารไม่ได้ โดยใช้เมล็ดบดเป็นผง ครั้ง
ดันโลหิตต่ำ แก้ไข้สันนิบาต ละประมาณ 7-8 กรัม ชงกับน้ำขิงต้ม ใช้ดื่ม
บ่อยๆ แก้อาการเป็นพิษ โดยใช้ผง ชงกับน้ำอุ่น
บัญชียาจากสมุนไพร: ดื่ม บำรุงธาตุ แก้อาการท้องอืดเฟ้อ และปวด
ท้อง โดยใช้เมล็ดเร่ว ผสมกับหัวแห้วหมู ราก
ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยา ชะเอมและขิงแห้งร่วมกัน แก้ประจำเดือนมา
แห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ระบุตำรับ มากกว่าปกติ โดยใช้ผลเร่วแห้งหนัก 7-8 กรัม
"ยาเลือดงาม" มีส่วนประกอบของลูกเร่วหอม รางไฟจนแห้งกรอบแล้วบดเป็นผงชงน้ำรับประ
ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับ มี ทานบ่อยๆ
สรรพคุณบรรเทาอาการปวดประจำเดือน
ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ แก้มุตกิด

รูปแบบและขนาดวิธีใช้ยา:

แก้อาการท้องอืดเฟ้อ ขับลมแน่นจุก
เสียด นำเมล็ดในจากผลแก่มาบดเป็นผง
รับประทานครั้งละ 1-3 กรัม
(ประมาณ 3-9 ผล) วันละ 3 ครั้ง
หลังอาหาร

ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี หน้า 12

ชื่อท้องถิ่น : ขี้ไฟนกคุ่ม คิงไฟนกคุ่ม เคยโบ้ ตะชี โกวะ
หญ้าไก่นกคุ่ม หญ้าปลาบ หญ้าไฟนกคุ่ม หญ้าสามสิบสองหาบ หนาดผา หนาดมีแคลน

โด่ไม่รู้ล้ม หน้า 14

ชื่อวิทยาศาสตร์ Elephantopus scaber Linn.
ชื่อสามัญ Prickly-Leaved Elephant’s Foot
วงศ์ ASTERACEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

พืชล้มลุก ลำต้นสั้น กลม ชี้ตรง สูง 10-30 ซม.
ตามผิวลำต้น

ใบมีขนสีขาวตรงละเอียด ตรง ห่าง สาก
ทอดขนานกับผิวใบ ทั้งสองด้าน ท้องใบมีขนมากกว่า
หลังใบใบรูปหอกกลับ หรือรูปไข่แกมใบหอกกลับ
แผ่นใบยาว 8-20 ซม. กว้าง 3-5 ซม. ส่วนที่ค่อนไป
ทางปลายใบ ผายกว้าง แล้วสอบแหลมทู่ๆ ส่วนโคน
ใบสอบแคบจนถึงก้านใบ ขอบใบหยักมน หรือจัก
ฟันเลื่อยห่างๆ เนื้อใบหนาสาก ก้านใบยาว 0.5-2 ซม.
หรือไม่มีก้านใบ

รากที่มีอายุมากจะมีลัษณะคล้ายเหง้า รากแขนง
กลมยาว ทั้งต้นมีรสกร่อยขื่น

ดอกช่อแทงออกจากกลางต้น ช่อดอกรูปขอบ
ขนาน มี 4 ดอกย่อย ยาว 8-10 มม. ดอกรูปหลอดสี
ม่วง หลอดกลีบดอกยาว 3-3.5 มม. ปลายกลีบดอก
ไม่มีขน เกสรเพศผู้สีเหลือง เกสรเพศเมียมีขนที่ปลาย
ยอดและสิ้นสุดที่รอยแยก แต่ละช่อย่อยมาอยู่รวมกัน
เป็นช่อกระจุกกลมที่ปลายก้านดอก

ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี

สรรพคุณทางยา

สรรพคุณพื้นบ้าน: ตำรายาไทยพื้นบ้าน:

ทั้งต้น รสกร่อยขื่น เป็นยาขับปัสสาวะ จังหวัดอุบลราชธานี ใช้ ราก ต้มน้ำดื่ม แก้
แก้ไข้ แก้ไข้จับสั่น ขับน้ำเหลืองเสีย แก้บิด แก้ ไอ บำรุงกำลัง บำรุงสมรรถภาพทางเพศ
ท้องเสีย แก้ไอ แก้วัณโรค บำรุงหัวใจ ขับเหงื่อ แก้ไอ ร้อนใน กระหายน้ำ แก้ไข้ ราก ต้มน้ำ
ขับระดู ขับพยาธิตัวกลม แก้ปัสสาวะพิการ ดื่ม หรือดองเหล้าดื่ม เข้ากับยากำลังเสือ
บำรุงกำหนัด แก้กระษัย ขับไส้เดือน แก้ โคร่ง ม้ากระทืบโรงบำรุงร่างกายแก้ปวด
กามโรค แก้บวมน้ำ แก้นิ่ว แก้ไข้หวัด แก้เจ็บ เมื่อย ราก ลำต้น ใบ และผล ต้มน้ำดื่ม แก้
คอ แก้ตาแดง แก้ดีซ่าน แก้เลือดกำเดาออก โรคกระเพาะอาหาร แก้ไอ
ง่าย แก้ฝี แก้แผลมีหนอง แก้แผลงู แก้แมลง
มีพิษกัดต่อย แก้อักเสบ แก้แผลในกระเพาะ รูปแบบและขนาดวิธีใช้ยา:
อาหาร แก้แผลเปื่ อยในปาก แก้เหน็บชา
ตามตำรายาพื้นบ้าน
ราก ขับปัสสาวะ แก้ไข้ตัวร้อน แก้ไข้หวัด 1.แก้เลือดกำเดา ใช้ต้นสด 30-60 กรัม (หรือ
แก้ไอเรื้อรัง แก้ท้องเสีย แก้บิด ขับพยาธิ ขับ
ระดู บีบมดลูก ต้มเอาน้ำอมแก้ปวดฟัน แก้ฝี ต้นแห้ง หนัก 10-15 กรัม) ต้มกับเนื้อหมูพอ
แผลมีหนอง บวมอักเสบทั้งหลาย เป็นยาคุม ประมาณ กินติดต่อกันนาน 4-5 วัน
สำหรับหญิงที่คลอดบุตรใหม่ เป็นยาบำรุง
เป็นยาขับไส้เดือน รักษาโรคบุรุษ ต้มดื่มแก้ 2. แก้ดีซ่าน ใช้ต้นสด 120-240 กรัม ต้มกับ
อาเจียน เนื้อหมูพอประมาณ กินติดต่อกันนาน 4-5 วัน

ใบ รักษาบาดแผล แก้โรคผิวหนัง (ใช้ใบ 3. แก้ท้องมาน ใช้ต้นสด 60 กรัม ต้มเอาน้ำ
สดประมาณ 2 กำมือ เคี่ยวกับน้ำมันมะพร้าว ดื่ม เช้า-เย็น หรือตุ๋นกับเนื้อหมูรับประทาน
ทาแผล แก้โรคผิวหนังผื่นคัน) แก้ไข้ ขับ
ปัสสาวะ แก้อ่อนเพลีย รักษาโรคบุรุษ รักษา 4. แก้ขัดเบา ใช้ต้นสด15-30 กรัม ต้มเอาน้ำ
กามโรค เป็นยาคุมสำหรับหญิงที่คลอดบุตร ดื่ม
ใหม่ เป็นยาบำรุง แก้ไอ ทำให้เกิดความ
กำหนัด 5. แก้นิ่ว ใช้ต้นสด 90 กรัม ต้มกับเนื้อหมู
120 กรัม เติมน้ำใส่เกลือเล็กน้อย ต้มเคี่ยว
รากและใบ ขับปัสสาวะ แก้ท้องร่วง แก้ กรองเอาแต่น้ำ แบ่งไว้ดื่ม 4 ครั้ง
โรคแผลในกระเพาะอาหาร แก้บิด แก้กามโรค
ในสตรี ใช้สดหรือแห้งประมาณ 2 กำมือ ต้ม 6.แก้ต่อมทอนซิลอักเสบ แก้เจ็บคอ ใช้ต้น
ดื่ม ขับปัสสาวะ แก้ท้องร่วง แก้กระเพาะ แห้ง 6 กรัม แช่ในน้ำร้อน 300 ซีซี (ประมาณ
อาหารเป็นแผล ต้มอาบหลัง ขวดแม่โขง) นาน 30 นาที รินเอาน้ำดื่ม หรือจะ
บดเป็นผงปั้ นเม็ดไว้รับประทานก็ได้
บัญชียาจากสมุนไพร:
7.แก้ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ใช้ต้นสด 30 กรัม
ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยา ต้มเอาน้ำดื่ม
แห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ระบุตำรับ
8. แก้ฝีบวมหรือฝีเป็นหนอง ใช้ต้นสด ตำ
"ยาผสมโคคลาน" ผสมเกลือเล็กน้อย ละลายน้ำส้มสายชูพอข้นๆ
พอก
มีส่วนประกอบของโด่ไม่รู้ล้ม ร่วมกับสมุนไพร
ชนิดอื่นๆ ในตำรับ มีสรรพคุณบรรเทาอาการ 9. แก้ฝีฝักบัว ใช้ต้นสด 25 กรัม ใส่น้ำ 1
ปวดเมื่อยตามร่างกาย ขวด และเหล้า 1 ขวด ต้มดื่ม และใช้ต้นสดต้ม
กับน้ำ เอาน้ำล้างหัวฝีที่แตก

หน้า 15 ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี

การศึกษาวิจัย

ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี ข้อมูลพฤกษเคมีเบื้องต้นของสารสกัดโด่ไม่รู้ล้ม
พบสารในกลุ่ม flavonoids tannins และ phenolics
การศึกษาฤทธิ์ต่อสมรรถภาพทางเพศในสัตว์ทดลอง
พบว่า สามารถเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้โดยไม่มีผล
ทำให้ระดับของฮอร์โมน testosterone ในเลือดเปลี่ยนแปลง
เมื่อเปรียบเทียบกับการได้รับยามาตรฐาน sildenafil
โดยพบว่าขนาดของสารสกัดที่ได้ผลดี คือ

สารสกัดโด่ไม่รู้ล้มขนาด 1,428 mg/kg น้ำหนักตัว

การศึกษาฤทธิ์ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
ในสารสกัดโด่ไม่รู้ล้มขนาด 20, 40 และ 80 mg/kg
น้ำหนักตัว มีผลลดระดับความดันโลหิตและอัตราการเต้น
ของหัวใจในระยะเวลาสั้น ค่าความดันโลหิตและอัตราการเต้น
ของหัวใจก็จะกลับคืนสู่ระดับก่อนได้รับสาร ซึ่งแสดงผล
เป็นที่น่าพอใจ ทั้งในหนูปกติที่สลบ และหนูที่เหนี่ยวนำให้
ความดันโลหิตสูง ถือเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับการใช้
ยาแผนปัจจุบัน ยามาตรฐาน sildenafil และยาลดความดัน
prazosin ซึ่งเกิดนานมากกว่า 30 นาที

ทั้งนี้ยา sildenafil มีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการ
ไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงคือ ภาวะความดันโลหิตต่ำ
กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ในกรณีที่ผู้ที่หย่อนสมรรถภาพ
ทางเพศมีภาวะความดันโลหิตสูงได้

ข้อมูลจาก :
สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน)

ผลของ โด่ไม่รู้ล้ม ในหนูเพศผู้ต่อความกำหนัด
คุณภาพน้ำอสุจิ อวัยวะเพศเสริมขนาดและกล้ามเนื้อลึงค์
และสัดส่วนเพศลูก การศึกษาผลของโด่ไม่รู้ล้มในหนู
เพศผู้แบ่งเป็น 3 การทดลอง คือการป้อนสมุนไพร
โด่ไม่รู้ล้มชนิดบด ปริมาณ 0.5, 1.5 และ 4.5 g/kg
ชนิดสกัดน้ำ และแอลกอฮอล์ปริมาณ 50, 150 และ
450 mg/kg ต่อวัน เป็นเวลา 14 วัน

สรุปได้ว่าสมุนไพรโด่ไม่รู้ล้มเพิ่ม libido จำนวนอสุจิ
ของน้ำอสุจิ น้ำหนักอวัยวะเพศเสริมและสัดส่วนลูกเพศ
เมีย/เพศผู้

ข้อมูลจาก :
นิวัฒน์ ใจดีเฉย, อนันต์ ศรีขาว
การประชุมทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 41:
สาขาสัตว์ สาขาสัตวแพทยศาสตร์. กรุงเทพฯ. 2546. หน้า 16-24

หน้า 16

ชื่อท้องถิ่น :
ช้าวัวเถลิง(ประจวบคีรีขันธ์) ชะแมบ(ตราด) ปุนทา(นราธิวาส) ปูน(สุราษฎร์ธานี)

กำลังวัวเถลิง

ชื่อวิทยาศาสตร์ Anaxagorea luzonensis A. Gray
วงศ์ ANNONACEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

กำลังวัวเถลิงจัดเป็นไม้เถาเนื้อแข็ง หรือไม้พุ่ม
เลื้อยโดยที่ลำต้นมีหนามแข็งห่างๆ เห็นชัดเจน และ
บริเวณกิ่งจะมีรยางค์เป็นตะขอ ใบเป็นรูปรีถึงรูป
ขอบขนาน กว้าง ประมาณ 3– 6 ซม. ยาว10-16 ซม.
โคนใบกลม แผ่นใบค่อนข้างหนาและแข็ง ผิวมัน
มีเส้นแขนงใบข้างละ 6-9 เส้น ก้านใบยาว 0.5 -2 ซม.
ดอกออกเดี่ยวหรือเป็นกระจุก ประมาณ 2-3 ดอก
ตามซอกใบ หรือตามลำต้น ก้านดอกยาว 0.5-1 ซม.
ใบประดับ 1 คู่ กลีบเลี้ยง 3 กลีบ รูปไข่กว้าง ยาว 5 มม.
ดอกสีเขียวอมขาว กลีบวงนอก 3 กลีบ รูปขอบขนาน
ยาวประมาณ 1.5 ซม. กลีบวงใน 3 กลีบ รูปใบหอก
ยาว 0.6-1 ซม. มีก้านกลีบสั้น มีเกสรเพศผู้ยาว 3 มม.
มี 5-7 คาร์เพล มี 3-6 ผล เป็นแบบย่อยแห้งแล้วแตก
ลักษณะรูปกระบอง ยาว 1.5-3 ซม. ก้านผลยาว 1.5-
2 ซม. ข้างในมีเมล็ดอยู่ 2 เมล็ด เป็นรูปไข่กลับ ยาว
ประมาณ 1 ซม. สีน้ำตาลดำเป็นมันวาว

การขยายพั นธุ์




ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง หรือปักชำ
ผลเป็นรูปกระสวยมีเมล็ดข้างใบ 1 - 2 เมล็ด โดยแกะเมล็ดที่สมบูรณ์ไปลงกระบะเพาะชำ
ประมาณ 45 วัน จะออก ต้นอ่อนขึ้นมาประมาณ 10 – 15 เซนติเมตร แยกลงกระบะ 1 ต้น

(โดยผสมดิน ปุ๋ย และมะพร้วสับ) เก็บไว้ในเรือนเพาะชำ
ปัจจุบันนิยมปักชำโดยใช้กิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อน ยาวประมาณ 8 – 10 เซนติเมตร ปักในถุงดินผสม
ขี้เถ้าแกลบ รดน้ำให้ชุ่ม หรือนำเข้าแปลงพ่นหมอกจะได้ผลดีเมื่อประมาณ 30 – 45 วัน

จะเริ่มออกรากและใบอ่อนต่อไป

ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี หน้า 18

สรรพคุณทางยา

สรรพคุณพื้นบ้าน: ตำรายาไทย:

บำรุ งโลหิต บำรุ งกำลัง บำรุ งธาตุ กำลังวัวเถลิงมีตัวยาในตำรับ ยาบำรุงโลหิต
แก้ปวดเมื่อย แก้กษัย บำรุงเส้นเอ็น คัมภีร์มุจฉาปักขันทิกา เป็นคัมภีร์ที่กล่าวถึง
ตำราที่ว่า ด้วยอาการของโรคบุรุษ และโรคสตรี
สูตรยาดองเหล้าพื้นบ้านแก้ไข้ภาวะเสื่อม รวมถึงยาสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคบุรุษและสตรี
สมรรถภาพทางเพศ โดยใช้กำลังวัวเถลิง
แซ่ม้าทะลาย กำแพงเจ็ดชั้น ม้ากระทืบโรง รูปแบบและขนาดวิธีใช้ยา:
ฝางเสน เทพธาโร ชะเอมไทย เถาสะค้าน และ
เจตมูลเพลิง นำมาดองกับเหล้าดื่มวันละเป๊ก เถาต้มน้ำดื่มบำรุงกำลัง แก้กระษัยบำรุงไต
กล้ามเนื้อเสื่อม เส้นเสื่อม
บัญชียาจากสมุนไพร:
เนื้อไม้ เปลือก ราก ต้มน้ำดื่ม เช้าและก่อน
ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่ง นอน ครั้งละแก้ว หรือใช้เนื้อไม้หรือเปลือกต้น
ชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ระบุตำรับ ดองกับเหล้าขาว ใช้ดื่มวันละ 1-2 เป๊ก ก่อน
อาหารเย็นก็ได้
"ยาบำรุงโลหิต"
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
มีส่วนประกอบของแก่นกำลังวัวเถลิง 2 กรัม
สรรพคุณบรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย


"ยากษัยเส้น" ในการใช้กำลังวัวเถลิง มาเป็นยาสมุนไพร
ควรระมัดระวังในการใช้ เช่น เดียวกับสมุนไพร
มีส่วนประกอบของแก่นกำลังวัวเถลิง 10 กรัม ชนิดอื่นๆ โดยไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากเกินกว่า
สรรพคุณ บรรเทาอาการปวดหลัง ปวดเอว ที่ระบุไว้ในตำรับ ตำรายาต่างๆ รวมถึงไม่ควรใช้
ปวดเมื่อยตามร่างกาย ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจนเกินไปเพราะอาจ
ส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ สำหรับเด็ก สตรีมีครรภ์
ผู้ป่วยเรื้อรัง รวมถึงผู้ที่ต้องรับประทานเป็นประจำ
ก่อนจะใช้กำลังวัวเถลิงในการช่วยบำบัดรักษาโรค
ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เสมอ

หน้า 19 ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี

การศึกษาทางเภสัชวิทยา



ฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดคลายตัว จากการศึกษาฤทธิ์ของสารสกัดหยาบจากแก่นไม้ต้นกำลังวัวเถลิง
ต่อความตึงตัวของหลอดเลือดแดง พบว่ากำลังวัวเถลิงมีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดเอออร์ตาของหนูแรท
คลายตัว ซึ่งการตอบสนองของหลอดเลือดเออร์ตาต่อกำลังวัวเถลิง จะเกิดจากการออกฤทธิ์ผ่าน
ไนตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ที่สร้างจากเซลล์เยื่อบุหลอดเลือด นอกจากนี้การตอบสนองของ
หลอดเลือดจากกำลังวัวเถลิงยังเกิดจากการเพิ่มการผ่านของโพแทสเซียมไอออนออกนอกเซลล์ รวมทั้ง
การยับยั้งการผ่านของแคลเซียมไอออนจากภายนอกเข้าสู่เซลล์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากำลังวัวเถลิง มีฤทธิ์
เป็นสารที่ทำให้หลอดเลือดคลายตัว ซึ่งมีผลดีต่อการทำงานของหัวใจและหลอดเลือด

นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาอื่นๆ ของกำลังวัวเถลิงว่า มีฤทธิ์
ในการต้านอนุมูลอิสระ (EC50 = 23.55ไมโครกรัม/มล.) มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย S. mutans
ที่ทำให้เกิดโรคในช่องปาก(ที่ความเข้มข้น 0.39 มก./มล.) มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรีย S. aureus
ที่ทำให้เกิดโรคแผลฝีหนอง(ที่ความเข้มข้น 3.125 มก./มล.) และเชื้อ V. cholerae ซึ่งเป็นสาเหตุ
ของโรคอหิวาตกโรค(ที่ความเข้มข้น 3.125 มก./มล.)มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อราสาเหตุของโรคกลาก
(ที่ความเข้มข้น 8 มก./มล.) และยังมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อไวรัสโรคเริม Herpes simplex virus type 1
(IC50 = 58.16 ไมโครกรัม/มล.) มีความเป็นพิษต่อเซลล์ม้ามโดยให้ค่า IC50 = 129.5 มก./มล.

ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี หน้า 20

ชื่ออื่น ๆ : หญ้าเมืองวาย, หญ้าดอกขาว, หญ้าลืมเมือง, หญ้าเมืองช้าง,
หญ้าเหม็น, หญ้าฝรั่งเศส, หญ้าเครื่องบิน, ปวยกีเช่า, เฮียงเจกลั้ง

สาบเสือ

ชื่อวิทยาศาสตร์ Chromolaena odorata (L.) R.M.King&H.Rob.
ชื่อสามัญ Siam weed, Bitter bush, Christmas bush, Devil weed, Camfhur grass
วงศ์ ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

จัดเป็นวัชพืชที่มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกากลาง โดยมี
เขตแพร่กระจายตั้งแต่ทางตอนใต้ของรัฐฟลอริดาไปจนถึง
ทางตอนเหนือของประเทศอาร์เจนตินา และระบาดทั่วไปใน
เขตร้อนทั่วทุกทวีป (ยกเว้นการระบาดเข้าไปในทวีปออสเตรเลีย
ซึ่งจะพบได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา) โดย
จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุก เป็นพืชที่แตกกิ่งก้านสาขามากจนเหมือน
ทรงพุ่ม กิ่งก้านและลำต้นจะปกคลุมไปด้วยขนนุ่มอ่อน ๆ มี
ลำต้นสูงประมาณ 1-2 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวออกจากลำต้น
ที่ข้อแบบตรงกันข้าม ใบมีสีเขียวอ่อน ลักษณะของใบคล้าย
รูปรีทรงรูปสามเหลี่ยม ปลายใบแหลม ฐานใบกว้าง ใบเรียว
สอบเข้าหากัน มีขอบใบหยัก ที่ใบเห็นเส้นชัดเจน 3 เส้น
ผิวใบทั้งสองด้านมีขนอ่อนปกคลุม ใบและก้านเมื่อนำมาขยี้
จะมีกลิ่นแรงคล้ายกลิ่นสาบเสือ ดอกออกเป็นช่อ มีสีขาว
หรือสีฟ้าอมม่วง มีดอกย่อยประมาณ 10-35 ดอก โดยดอก
วงนอกจะบานก่อนดอกวงใน ที่กลีบดอกหลอมรวมกันเป็น
หลอด ผลขนาดเล็ก มีรูปร่างคล้ายรูปห้าเหลี่ยม มีสีน้ำตาล
หรือสีดำ มีหนามแข็งบนเส้นของผล ที่ปลายผลมีขนสีขาว
ช่วงพยุงให้ผลและเมล็ดสามารถปลิวตามลมได้

ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี หน้า 22

สรรพคุณทางยา

สรรพคุณพื้นบ้าน: ตำรายาหมอพื้นบ้าน:

ดอก เป็นยาแก้ร้อนใน กระหายน้ำ ชูกำลัง ชมรมหมอพื้นบ้านสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น
แก้อ่อนเพลีย บำรุงหัวใจ แก้ไข้ อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุตรธานี

ใบ ใช้เป็นยารักษาแผลสด สมานแผล "แก้ริดสีดวงทวาร บานทะโรค"
ถอนพิษแก้อักเสบ แก้พิษน้ำเหลือง แก้ตาฟาง
แก้ตาแฉะ แก้ริดสีดวงทวารหนัก รักษาแผลเปื่ อย ใช้ใบสาบเสือ หนึ่งกำมือล้างให้สะอาด ตำให้
ละเอียด นำปูนแดง (ปูนกินหมาก) เท่าปลาย
ต้น เป็นยาแก้ ปวดท้อง ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ นิ้วก้อย ผสมให้เข้ากัน วางบนสำลีแผ่นแปะ
แก้บวม ดูดหนอง ที่ช่องทวารหนัก หลังอาบน้ำ ตอนเข้าหรือเย็น
และก่อนนอน สามวันก็จะยุบหาย
ทั้งต้น เป็นยาแก้บาดทะยัก
ตำรับยาบำรุงน้ำนม
(หญิงหลังคลอด)

ประกอบด้วย ใบสาบเสือ ข้าวเย็นเหนือ ฝาง
และตัวยาอื่นๆ

นางบุญมี เชื้อบุญมี

สารสำคัญ: รูปแบบและขนาดวิธีใช้ยา:

ใบ มีสารสำคัญ คือ กรดอะนิสิกและฟลาโวนอยด์ รักษาบาดแผลสดเพื่อห้ามเลือด โดยใช้ใบหรือ
หลายชนิด เช่น ไอโซซากูรานิติน และโอโดราติน ยอดอ่อนสาบเสือ 10-15 ใบ โขลกให้ละเอียด
นอกจากนี้ยังมีสารพวกน้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบ พอกบริเวณที่มีบาดแผลจะห้ามเลือดได้ หรือ
ไปด้วยสารยูพาทอล คูมาริน โดยสารสำคัญเหล่านี้ อาจจะคั้นเอาน้ำล้างบาดแผลแล้วใช้กากพอก
จะไปออกฤทธิ์ที่ผนังเส้นเลือดทำให้เส้นเลือดหดตัว ตาม
และนอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ไปกระตุ้นสารที่ทำให้เลือด
แข็งตัวได้เร็วขึ้น ทำให้สามารถห้ามเลือดได้ ใช้เป็น ตำรายาไทย ใช้ใบ ตำผสมกับปูนพอกห้าม
ยารักษาแผลสด สมานแผล ถอนพิษแก้อักเสบ เลือด ตำปิดแผล เป็นยาสมานแผลที่ดี ทั้งต้นมี
แก้พิษน้ำเหลือง แก้ตาฟาง แก้ตาแฉะรักยาแผลเปื่ อย กลิ่นแรง เป็นยาฆ่าแมลง ถ้าใช้แต่น้อยเป็น
แก้ริดสีดวงทวารหนัก น้ำหอมได้

ยาพื้นบ้าน ใช้ราก ผสมกับรากมะนาวและราก
ย่านาง ต้มน้ำดื่ม แก้ไข้ป่า ตำผสมเกลือ พอก
แผลห้ามเลือด ใบและดอก ตำบีบน้ำทาห้าม
เลือด

หน้า 23 ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี

ชื่ออื่น ๆ : หอมเปราะ (ภาคกลาง) ว่านตีนดิน ว่านแผ่นดินเย็น ว่านหอม (ภาคเหนือ)

เปราะหอมแดง

ชื่อวิทยาศาสตร์ Kaempferia galanga L.
ชื่อสามัญ Sand Ginger, Aromatic Ginger, Resurrection Lily
วงศ์ ZINGIBERACEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี

เปราะหอมจัดเป็นไม้ลงหัวหรือพืชล้มลุก มีลำต้น
ใต้ดินประเภทไรโซม (RHIZOME) ลักษณะเป็น
เหง้าแง่งกลมรูปไข่สีเหลืองอ่อนมีเยื่อบาง ๆ รูป
สามเหลี่ยมหุ้มโคน เหง้าแก่สีน้ำตาล เนื้อในหัวสีขาว
หรือขาวเหลือง มีสีเหลืองเข้มตามขอบนอกและ
มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ข้ามปี
หรือหลายปี

ใบเป็นใบเดี่ยว แทงขึ้นมาจากหัวหรือเหง้าใต้ดิน
ประมาณ 2-3 ใบ โดยใบอ่อนมีลักษณะม้วนเป็น
กระบอกออกมาแล้วค่อยแผ่ราบบนหน้าดิน หรือ
วางตัวอยู่ในแนวราบเหนือพื้นดินเล็กน้อย เนื้อใบ
ค่อนข้างหนา ลักษณะของใบเป็นรูปค่อนข้างกลม
หรือเป็นรูปไข่ป้อม มีขนาดกว้างประมาณ 5-10
เซนติเมตรและยาวประมาณ 7-15 เซนติเมตร
ปลายใบแหลม ส่วนโคนใบมนหรืออาจเว้าเล็กน้อย
บางครั้งอาจพบว่าขอบใบมีสีแดงคล้ำ มีขนอ่อนๆ
อยู่บริเวณท้องใบ โดยท้องใบนั้นหากมีสีแดงจะ
เรียกว่าเปราะหอมแดง หากมีสีขาวจะเรียกว่า
เปราะหอมขาว

ส่วนก้านใบ มีลักษณะเป็นกาบ มีความยาวประมาณ
1-3 เซนติเมตร ดอกออกเป็นช่อ ซึ่งดอกตรงกลาง
ระหว่างใบ โดยมีดอกย่อยได้ตั้งแต่ 6-10 ดอก แต่
ดอกจะทยอยบานครั้งละ 1-2 ดอก ดอกมีความยาว
ประมาณ 2-4 เซนติเมตร ลักษณะดอกมี 4 กลีบ
2 กลีบ บนมีสีขาว 2 กลีบ ล่างแต้มด้วยสีม่วงเหลือง
ผลเป็นแบบผลแห้งแตกได้ ภายในมีเมล็ดกลม 12
เมล็ด

หน้า 25

สรรพคุณทางยา

สรรพคุณพื้นบ้าน: ตำรายาไทย:

-อาการหวัดคัดจมูก ขับลมในลำไส้ อาการท้องอืด หัว รสหอมเผ็ดเล็กน้อย สรรพคุณ ขับเลือด
ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ทั้งเปราะหอมขาวและ ขับหนองให้ตก แก้ไอ แก้ลมพิษ แก้ผื่นคัน
เปราะหอมแดง ให้ใช้หัวสดประมาณ 10-15 กรัม
(หรือประมาณครึ่งถึงหนึ่งกำมือ) นำมาหั่นเป็นชิ้น ต้น รสหอมเผ็ดเล็กน้อย สรรพคุณ แก้ท้องอืดเฟ้อ
เล็ก ๆ แล้วนำมาต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว ใช้ดื่มวันละ ใบ รสร้อนกลิ่นหอม สรรพคุณ แก้เกลื้อนวงใหญ่
1-2 ครั้ง ดอก รสหอมติดร้อน สรรพคุณ แก้โรคตาอักเสบ
-ช่วยในการผ่อนคลาย เนื่องจากเปราะหอมมีกลิ่น ตาแฉะ
ที่หอม สามารถช่วยในการผ่อนคลาย เหมาะ
สำหรับใช้เป็น AROMA THERAPY บัญชียาจากสมุนไพร:
-หัวและใบ สามารถนำมาใช้ปรุงเป็นอาหารได้ ใบ
ใช้รับประทานเป็นผักแกล้ม มีกลิ่นหอม หรือใช้ทำ ที่มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ตามประกาศ
หมกปลาหรือใส่แกงปลา ส่วนหัวนำมาใช้ปรุงเป็น คณะกรรมการแห่งชาติด้านยา ระบุการใช้เหง้า
เครื่องเทศสำหรับทำแกงหรือนำมาตำใส่เครื่อง เปราะหอม ในยารักษากลุ่มอาการทางระบบ
แกง หรือนำมาหั่นใส่ผัดเผ็ด หรือใช้เป็นส่วนผสม ทางเดินอาหาร ปรากฏในตำรับ
ของน้ำราดข้าวมันไก่ ส่วนทางภาคใต้นิยมใช้หัวใส่
ในน้ำพริก หรือใช้เป็นส่วนผสมในน้ำพริกเผาเพื่อ “ยาธาตุบรรจบ”
ช่วยทำให้มีกลิ่นหอม
-หัว ด้วยความหอมจากเปราะหอม จึงมีการนำมา มีส่วนประกอบของเหง้าเปราะหอม ร่วมกับ
ใช้เป็นเครื่องสำอาง แป้งฝุ่น แป้งพัฟผสมรองพื้น สมุนไพรชนิดอื่นๆ ในตำรับ มีสรรพคุณ บรรเทาอาการ
เจลแต้มสิว สบู่เปราะหอม แชมพู ครีมนวดผม ท้องอืดเฟ้อ และอาการอุจจาระธาตุพิการ ท้อง
เป็นครีมกันแดด หรือใช้ทำเป็นน้ำยาบ้วนปาก เสียที่ไม่ติดเชื้อ
-หัว ใช้เป็นยาสระผม โดยใช้ว่านหอมผสมกับใบ
ชมวง (ส้มโมง), แน่งหอม (เร่วขน), ขมิ้น, ต้มกับ และระบุการใช้เหง้าเปราะหอมร่วมกับสมุนไพร
น้ำมวก และใช้น้ำที่ได้ไปสระผม จะช่วยบำรุง อื่นๆ ใน
เส้นผม ทำให้ผมดกดำเงางามและมีกลิ่นหอม
“ตำรับยาเขียวหอม”

สรรพคุณ บรรเทาอาการไข้ ร้อนในกระหายน้ำ
แก้พิษหัด พิษอีสุกอีใส (บรรเทาอาการไข้จากหัด
และอีสุกอีใส)

ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี หน้า 26

ตำรับยาสมุนไพรพื้นบ้านอีสาน : ในด้านความเชื่อ

คุณตาจำนง กันนิดา ชุมชนบ้านม่วง หมู่ 3 คนไทยโบราณเชื่อว่าเปราะหอมเป็นว่าน
ตำบลสมสะอาด อำเภอเดชอุดม จังหวัด ศักดิ์สิทธิ์การปลูกเปราะหอมไว้หน้าบ้าน หรือใช้
อุบลราชธานี เปราะหอมนำมาแช่น้ำให้ผู้ป่วยรับประทาน จะ
ช่วยปัดเป่าภูตผีปีศาจและขจัดมารออกไปได้
รักษาเนื้องอกในมดลูก และยังมีความเชื่อว่าเปราะหอมเป็นไม้มงคลที่
ใช้สำหรับใส่ลงไปในน้ำสำหรับสรงน้ำพระหรือ
ตำรับ 1 : หัวว่านหอม(เปราะหอม) รากดอกเกษ น้ำขอพรจากผู้ใหญ่ และยังใช้ผสมในพระเครื่อง
(การะเกด) ชุมเห็ดเทศ รากหนามแท่งเตี้ย แก่น รวมไปถึงการนำมาใช้เป็นว่านมหาเสน่ห์สำหรับ
ตีนเป็ด (สัตตบรรณ) รากมะละกอตัวผู้ รากหญ้า ชายหนุ่ม โดยนำว่านมาปลุกเสกด้วยคาถาแล้ว
แห้วหมู ต้มน้ำดื่ม นำมาเขียนคิ้ว หรือใช้ทาปากเพื่อให้ได้รับความ
เมตตา รักใคร่เอ็นดู หรือใช้ในงานแต่งของชาว
อีสาน ด้วยการนำเปราะหอมไปแช่ไว้ในขันใส่น้ำ
สำหรับดื่มเพื่อความเป็นสิริมงคล

หน้า 27 ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี

การศึกษาทางเภสัชวิทยา:

ฤทธิ์กระตุ้นการนอนหลับ ฤทธิ์แก้ไข้ บรรเทาปวด อักเสบ

การศึกษาฤทธิ์กระตุ้นการนอนหลับของสารสกัดเฮกเซนของเปราะหอม การทดสอบฤทธิ์ระงับปวด ลดไข้ และต้านการอักเสบ ของสารสกัดเม
และสารบริสุทธิ์ 2 ชนิดได้แก่ compound 1: ethyl trans-p- ทานอลของเปราะหอมขนาด 50, 100 และ 200 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ใน
methoxycinnamate และ compound 2: ethyl cinnamate โดยให้ หนูถีบจักร และหนูขาวเพศผู้ โดยทดสอบฤทธิ์ระงับปวดด้วยวิธี
สารสกัดในขนาด 0.001, 0.01, 0.1, 0.5, 1, 1.5 และ 10 มิลลิกรัม และใช้ writhing, formalin, hot plate และ tail flick ทดสอบฤทธิ์ต้าน
lavender oil ความเข้มข้น 0.05 มิลลิกรัม เป็นสารมาตรฐาน ทดสอบในหนู การอักเสบด้วยการฉีด carrageenan บริเวณอุ้งเท้าหลังของหนู เพื่อ
ถีบจักรเพศผู้อายุ 5 สัปดาห์ ละลายสารทดสอบด้วย triethylcitrate และ เหนี่ยวนำให้เกิดการบวม และใช้ cotton pellet เพื่อเหนี่ยวนำการสร้าง
หยดลงบนกระดาษกรอง ที่วางไว้ในแท็งค์ ให้หนูสูดดมสารทดสอบภายในแทง granuloma ส่วนการศึกษาฤทธิ์ลดไข้ใช้ brewer’s yeast เหนี่ยวนำ
ค์ และทำการติดตามการตอบสนองทางด้านพฤติกรรมของหนูในการเดินข้าม ให้เกิดไข้ เมื่อให้สารสกัดเปราะหอมขนาด 50,100 และ 200
จากด้านหนึ่งของแท็งค์มายังอีกบริเวณหนึ่ง เป็นเวลา 60 นาที ผลการทดลอง มิลลิกรัม/กิโลกรัมทางปาก พบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ยับยั้งการเกิด
พบว่าสารสกัดเฮกเซนของเปราะหอมในขนาด 1.5 และ 10 มิลลิกรัม แสดง abdominal writhing ได้ 42.75% ,59.57% และ 70.60% ตาม
ฤทธิ์กระตุ้นการนอนหลับ (ทำให้หนูหยุดอยู่ที่มุมแท็งค์ ลดการเคลื่อนไหว) ได้ ลำดับ และลดเวลาการเลียอุ้งเท้าบริเวณที่ฉีด formalin ในช่วงต้น หรือ
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.01 และ p < 0.05, ตามลำดับ) นอกจากนี้ อาการปวดแบบเฉียบพลัน (early phase) ได้ 28.77%, 32.56% และ
compound 1 และ 2 ยังมีฤทธิ์ กระตุ้นการนอนหลับ เมื่อให้ในขนาด 0.0014 53.48% และช่วงปลาย หรือระยะอักเสบ (late phase) ได้ 68.94%,
มิลลิกรัม และ 0.0012 มิลลิกรัม ตามลำดับ (Huang, et al., 2008) 78.76% และ 78.50% ตามลำดับ สารสกัดทุกขนาดทำให้ระยะเวลาเริ่ม
การตอบสนองต่อความเจ็บปวดของสัตว์ทดลองเพิ่มขึ้น ทั้งใน hot
ฤทธิ์ต้านเชื้อไวรัส plate และ tail flick tests โดยเริ่มตอบสนองต่อความเจ็บปวดที่เวลา
45 นาที เมื่อให้ naloxone (2 มก/กก) สามารถต้านฤทธิ์ระงับปวดของ
การทดสอบสารสกัดน้ำ และเมทานอลของเปราะหอม ในการยับยั้งเชื้อ morphine (5 มก/กก) และสารสกัด (200 มก/กก) ในการทดสอบ hot
human immunodeficiency virus type 1 reverse transcriptase plate และ tail flick test ได้ ส่วนการทดลองเพื่อศึกษาฤทธิ์ในการ
(HIV-1 rt) และ proteases จาก human immunodeficiency virus ลดไข้ พบว่าสารสกัดไม่มีฤทธิ์ในการลดไข้ เมื่อทดลองด้วยวิธีการฉีด
type 1 (HIV-1), hepatitis C virus (HCV) และ human brewer’s yeast เพื่อเหนี่ยวนำให้เกิดไข้ในหนูขาว ในการทดสอบความ
cytomegalovirus (HCMV) จากผลการทดลองพบว่า สารสกัดเมทานอล เป็นพิษเฉียบพลัน เมื่อให้สารสกัดเมทานอลเปราะหอม ขนาดสูงสุด 5
สามารถยับยั้ง protease ทั้งสามชนิดได้ดี (Protease เป็นเอนไซม์ที่สำคัญ mg/kg พบว่าไม่ทำให้สัตว์ทดลองตาย และไม่แสดงอาการความเป็นพิษ
ของไวรัสในการแยก gag-pol polyprotein ให้เป็น reverse จากสารสกัดเปราะหอม โดยสรุปสารสกัดเมทานอลจากเปราะหอม มี
transcriptase, protease และ integase ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญของไวรัส ฤทธิ์ระงับปวดทั้งในระบบประสาทส่วนกลางระดับสมองและไขสันหลัง
HIV การยับยั้งการทำงานของเอนไซม์นี้จะยับยั้งการติดเชื้อได้) การทดสอบ โดยสารสกัดออกฤทธิ์บางส่วนที่ opioid receptor และระบบประสาท
สารบริสุทธิ์ 4-methoxy cinnamic acid ethyl ester และ 4-methoxy ส่วนปลาย จากผลการทดลองในการศึกษาในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า สาร
cinnamic acid ที่แยกได้จากเปราะหอม ต่อการยับยั้ง alpha- สกัดเมทานอลของเปราะหอมมีฤทธิ์ระงับปวด และต้านการอักเสบได้
glucosidase (เนื่องจากอนุภาคไวรัสเมื่อเข้าสู่ร่างกายในขั้นแรกจะมีการเกาะ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ไม่มีฤทธิ์ในการลดไข้ (Sae-Wong,
ติดระหว่างไกลโคโปรตีนของเชื้อ gp120 กับ CD4 receptor ซึ่งเป็น T- 2007)
helper lymphocyte ของ host ในขั้นตอนนี้ถ้ายับยั้งการทำงานของ
alpha-glucosidase ทำให้การสังเคราะห์ไกลโคโปรตีนของเชื้อไม่สมบูรณ์) ฤทธิ์รักษาแผล
จากการทดสอบพบว่า สารบริสุทธิ์ทั้ง 2 ชนิด สามารถยับยั้งการทำงานของ
เอนไซม์ alpha-glucosidase ได้สูงกว่าสารมาตรฐาน 1- การศึกษาฤทธิ์ในการรักษาแผลของสารสกัดเอทานอลของเปราะหอม
deoxynojirimycin โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 0.05±0.03 และ 0.04±0.01 ในแผลผ่าตัด (excision wound) แผลเปิดที่เกิดจากการตัดผิวหนัง
mM, deoxynojirimycin มีค่า IC50 เท่ากับ 5.60±0.42 mM ส่วน full thickness ออกไป (incision wound) และแผลที่มีเนื้อ
(Sookkongwaree, 2004) ตาย (dead space wound) การทดลองแบ่งสัตว์ทดลองออกเป็น 4
กลุ่ม กลุ่มที่ 1 ได้รับ 2 มล.ของ gum acacia 2% กลุ่มที่ 2 ได้รับสาร
ฤทธิ์ต้านจุลชีพ สกัดเปราะหอม 300 mg/kg กลุ่มที่ 3 ได้รับยามาตรฐาน
dexamethasone 0.17 mg/kg กลุ่มที่ 4 ได้รับ dexamethasone
ศึกษาฤทธิ์ต้านจุลชีพของน้ำมันหอมระเหยจากเปราะหอมโดยทดสอบกับ 0.17 mg/kg และ สารสกัดเปราะหอม 300 mg/kg มีพารามิเตอร์ใน
เชื้อ 7 ชนิด คือ E. coli, S.aureus, P.aeruginosa, B.subtills, การติดตามผลการทดลอง คือ การเพิ่มขึ้นของ breaking strength
S.faecalis, C.albicans และ M. gypseum พบว่าน้ำมันหอมระเหยจาก (incision wound; บ่งบอกถึงความแข็งแรงของแผล) การสร้างเซลล์
เปราะหอมสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อที่ทำให้เกิดแผลฝีหนอง S. เยื่อบุผิว การปิดของแผล (excision wound) การเพิ่มขึ้นของเนื้อเยื่อ
aureus ได้ดี และสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ E.coli (ที่ทำให้เกิด (granulation tissue), breaking strength, hydroxyproline
ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ) จากการศึกษาองค์ประกอบทางเคมีพบว่าน้ำมันหอม content (กลุ่มแผลที่มีเนื้อตาย) การสร้างคอลลาเจนที่แผล วัดจาก
ระเหย จากเปราะหอมมีองค์ประกอบหลักทางเคมี คือ (Z)-ethyl cinnamate ปริมาณ hydroxyproline ผลการทดลองพบว่า กลุ่มแผล incision
ร้อยละ 46.60, 1,8’ cineole ร้อยละ 17.40 และ delta-3-carene ร้อยละ wound ที่ได้รับ dexamethasone มี breaking strength ลดลง
11.19 (ณาตยาและคณะ, 1997) แต่หากได้รับ dexamethasone ร่วมกับสารสกัดเปราะหอมจะมี
breaking strengthเพิ่มขึ้น กลุ่มแผลผ่าตัดพบการเพิ่มขึ้นของ
การศึกษาองค์ประกอบทางเคมีและฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของน้ำมันหอม เปอร์เซ็นต์การปิดของแผล เฉพาะกลุ่มที่ได้รับสารสกัดเปราะหอม และ
ระเหยในเหง้าของเปราะหอมที่กลั่นด้วยน้ำ วิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีด้วย ลดระยะเวลาในการการสร้างเซลล์เยื่อบุผิว และในแผลทั้งสามประเภท
วิธี gas chromatography สารสำคัญที่แยกได้ ได้แก่ ethyl-p- นั้นพบว่าใช้ระยะเวลาในการหายของแผลเมื่อให้สารสกัดเปราะหอมเร็ว
methoxycinnamate (31.77%), methylcinnamate (23.23%), กว่า dexamethasone (Tara, et al., 2006)
carvone (11.13%), eucalyptol (9.59%) และ pentadecane (6.41%)
การทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี agar disc diffusion พบว่า
สามารถต้านเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด โดยให้ค่า inhibition zone เท่ากับ
8.0 - 31.0 มิลลิเมตร สำหรับการทดสอบความเป็นพิษต่อไรทะเล (Brine
shrimp toxicity test) ให้ค่าความเข้มข้นที่ทำให้ไรทะเลตายครึ่งหนึ่ง LC50
เท่ากับ 26.84 μg/ml ในขณะที่น้ำมันหอมระเหยไม่มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูล
อิสระ DPPH ในหลอดทดลอง ซึ่งเป็นวิธีทางเคมี (IC50>100 μg/ml) (สุภิ
ญญา และคณะ, 2548)

ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี หน้า 28

ชื่ออื่น ๆ : ประดู่เสน (ราชบุรี, สระบุรี), ดู่ ดู่ป่า (ภาคเหนือ), ประดู่ ประดู่ป่า (ภาคกลาง), จิต๊อก
(ฉาน-แม่ฮ่องสอน), ตะเลอ เตอะเลอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), ฉะนอง (เขมร))

ประดู่ป่า

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pterocarpus macrocarpus Kurz.
ชื่อสามัญ: Burma Padauk, Narva
ชื่อวงศ์: LEGUMINOSAE – PAPILIONOIDEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ลำต้นสูง 15-30 เมตร หุ้มด้วยเปลือกหนาสีน้ำตาลซึ่งแตกสะเก็ดเป็นร่องลึก
มีนํ้ายางมาก เรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบ กิ่งก้านมักไม่ห้อยระย้าอย่างประดู่บ้าน
ใบเป็นใบประกอบรูปขนนกเรียงสลับ ใบย่อยเยื้องสลับกัน 4-10 ใบ รูปไข่ถึงรูปขนาน
กว้าง 2.5-5 เซนติเมตร ยาว 5-15 เซนติเมตร ปลายเป็นติ่ง โคนมน
ดอกมีสีเหลือง กลิ่นหอม มีกลิ่นคล้ายดอกซ่อนกลิ่น ออกเป็นช่อยาว 10-20
เซนติเมตร ตามง่ามใบ ดอกจะออกช่วงมีนาคม-พฤษภาคม ช่อดอกมีขนาดใหญ่
แต่ไม่แตกกิ่งก้านแขนงมากอย่างประดู่บ้าน(แต่ดอกจะบานแค่หนึ่งถึงสองวันเท่านั้น)
ผลมีลักษณะเหมือนรูปโล่แบนบาง ตรงกลางนูน เส้นผ่าศูนย์กลาง 6-10 เซนติเมตร
ผลใหญ่กว่าประดู่บ้านมาก และมีขนปกคลุมทั่วไป การขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด

ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี หน้า 30

สรรพคุณทางยา

สรรพคุณพื้นบ้าน: รูปแบบและขนาดวิธีใช้ยา:

ประดูป่าและประดู่บ้านต่างก็ใช้ได้ มีสรรพคุณ นำเปลือกต้นมาต้มกับน้ำ ดื่มรับประทาน
เหมือนกัน ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ยาบำรุง
ร่างกาย ยาแก้ท้องเสีย ยาสมานบาดแผล
ใบ : รสฝาด ใช้สระผม พอก ฝี พอกแผล นำแก่นมาต้มกับน้ำดื่มรับประทานยาบำรุง
แก้ผดผื่นคัน กำลัง ยาบำรุงโลหิต ช่วยแก้โลหิตจาง ยา
แก้กษัย ยาแก้ไข้ ยาแก้เสมหะ แก้โลหิต
เปลือก : รสฝาดจัด สมานบาดแผล แก้ท้อง และกำเดา ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยแก้ผื่นคัน
เสีย บำรุงร่างกาย ยาแก้คุดทะราด ยาแก้พิษเมาเบื่อ
นำผลมาต้มกับน้ำ ดื่มรับประทานยาแก้
แก่น : รสขมฝาดร้อน แก้คุดทะราด แก้ อาเจียน ยาแก้ท้องร่วง
เสมหะ เลือดกำเดาไหล แก้ไข้ บำรุงเลือด บำรุง นำใบประดู่ป่า 1 กำมือ นำมาต้มกับน้ำ 3 แก้ว
กำลัง ขับปัสสาวะ แก้ผื่นคัน ใช้แบ่งดื่มก่อนอาหารเช้าและเย็นช่วยลด
ระดับน้ำตาลในเลือด
ผล : แก้อาเจียน แก้ท้องร่วง มีรสฝาดสมาน นำใบมาพอกรักษาฝี รักษาบาดแผล แก้ผด
ผื่นคัน ฝีให้สุกเร็ว ใช้พอกบาดแผล หรือ
ประโยชน์ด้านอื่นๆ พอกแก้ผดผื่นคัน

ประดู่มีเนื้อไม้สีแดงอมเหลือง เสี้ยนสนเป็นริ้ว เนื้อ
ละเอียดปานกลาง มีลวดลายสวยงาม ใช้ทำเสา พื้น
ต่อเรือ เครื่องเรือน เครื่องดนตรี แก่นสีแดงคล้ำใช้
ย้อมผ้า และเปลือกให้น้ำฝาดใช้ฟอกหนัง

ส่วนที่ใช้ : เปลือกต้น แก่นต้น
สีที่ได้: สีน้ำตาล

เทคนิควิธีการย้อมสี: ประดู่สามารถสกัดสีได้ทั้ง
เปลือกและแก่นต้น แต่ปัจจุบันแก่นประดู่หายาก จึง
นิยมใช้เฉพาะส่วนของเปลือกต้นด้านใน โดยนำมา
สับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตากให้แห้ง เปลือกประดู่แห้ง 3
กิโลกรัม สามารถย้อมเส้นใยได้ 1 กิโลกรัม นำมา
ต้มกับน้ำในอัตราส่วน 1:10 นาน 1 ชั่วโมง กรอง
ใช้เฉพาะน้ำ การย้อมเส้นใยจะใช้กรรมวิธีย้อมร้อน
นาน 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงนำเส้นใยไปแช่ใน
สารละลายช่วยติดสีจุนสี จะได้เส้นใยสีน้ำตาล

หน้า 31 ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี

ความเป็นมงคล

คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นประดู่ไว้ประจำบ้านจะทำให้เกิดพลังแห่งความยิ่งใหญ่เพราะ
ประดู่ คือ ความพร้อม ความร่วมมือ ร่วมใจสามัคคี มีพลังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นอกจากนี้ดอก
ของประดู่ยังมีลักษณะที่ระดมกันบานเต็มต้นดูลานตา ดังนั้นคนโบราณจึงได้เลือกเอาต้นประดู่
เป็นไม้ประจำกอง กองทัพเรือ และคนไทยโบราณยังเชื่ออีกว่า ส่วนของแก่นไม้ยังใช้เป็นศิลปะการ
ดนตรี ที่สำคัญของคนพื้นเมืองในสมัยโบราณอีกด้วย คือใช้ทำเป็นเครื่องเสียงพวกระนาด นั่นก็
หมายถึง ความแข็งแกร่ง แข็งแรง

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของประดู่ป่า

สารสำคัญที่พบ ได้แก่ สารอีปิแคทเทซิน ในเนื้อไม้ประกอบไปด้วยสารที่มีชื่อว่า Narrin
ซึ่งเป็น Amorphous และสีแดงเข้ม สารนี้เมื่อนำมาหลอมกับด่างจะให้ phloroglucinol และ
resocicinol และยังมีสารสี santalin และ angolensin อีกด้วย ส่วนเปลือกต้นมี gum kino
เหมือนกับประดู่บ้าน และมี tannic acid เป็นส่วนผสมอยู่ด้วย เมื่อปี ค.ศ.1986 ที่ประเทศอินเดีย
ได้มีการทดลองนำสารอิปิแคทเทซินที่สกัดได้จากประดู่บ้านมาใช้ โดยพบว่าสารดังกล่าวสามารถ
ลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูที่ทำให้เป็นเบาหวานด้วยสาร Alloxan (สาร Alloxan จะเข้าไป
ทลายเซลล์ต่อมตับอ่อนที่สร้างอินซูลิน ทำให้หนูเป็นเบาหวาน) จากการทดสอบความเป็นพิษ พบว่า
เมื่อสารสกัดจากส่วนที่อยู่เหนือดินของต้นประดู่บ้านด้วย 50% เอทานอล นำมาฉีดเข้าทางช่องท้อง
ของหนูถีบจักรทดลอง พบว่าในขนาดที่ทำให้หนูถีบจักรตาย 50% มีขนาดมากกว่า 1 กรัมต่อ
กิโลกรัม

ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี หน้า 32

ชื่ออื่นๆ : เตียน, ล่อน, สะท้อน (ภาคใต้) มะต้อง (ภาคเหนือ, อุดรธานี) มะติ๋น (ภาคเหนือ)
สตียา สะตู (มาเลย์- นราธิวาส) สะโต (มาเลย์-ปัตตานี)

กระท้อนป่า

ชื่อสามัญ: Santol,
ชื่อวิทยาศาสตร์: Sandoricum koetjape (Burm.f.) Merr.
ชื่อวงศ์: MELIACEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ต้นกระท้อนป่า เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ 10 - 25 เมตร ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ ดอกมีกลิ่นหอม
ลำต้นเปลาตรง เรือนยอดเป็นพุ่มทึบรูปไข่ ลำต้นมักเป็น ยาว 10-15 ซม. มีดอกย่อยจำนวนมาก กลีบเลี้ยง
พูพอน เปลือกลำต้น ชั้นนอกเป็นสีน้ำตาลออกชมพู เปลือก 5 กลีบ มีขนหนาด้านนอก กลีบดอกมีสีเหลือง
ในสีชมพู แกมเขียวกลีบบานแยกแผ่ออก จำนวน 5 กลีบ
ยาว 1 ซม. เกสรเพศผู้ 10 อันเชื่อมติดกันเป็นหลอด
ใบ เป็นใบประกอบ มีใบย่อย 3 ใบ แผ่นใบเป็นรูปไข่
รูปรี สีเขียวเมื่อแก่จะเป็นสีแดง ความกว้าง 6-15 ซม. ผล รูปทรงกลมแป้น อาจมีจุกผลที่ขั้วหรือ
ยาว 8-15 ซม. โคนใบมน ปลายใบเรียวแหลม หลังใบ ไม่มีก็ได้ ผิวมีขนคล้ายกำมะหยี่อ่อนนุ่ม ผลอ่อน
เป็นคลื่น มีนวลปกคลุม ท้องใบมีเส้นใบนูนเห็นได้ชัด จะมีสีเขียวมีน้ำยางสีขาว เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสี
ขอบใบเรียบเป็นคลื่น เหลืองและมีน้ำยางที่น้อยลง เนื้อนิ่ม ฉ่ำน้ำ
รสหวานอมเปรี้ยว

เมล็ด มี 2-5 เมล็ด รูปกลมรี มีเยื้อหุ้มที่
เกิดจากเปลือกหุ้มเมล็ด

ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี หน้า 34

สรรพคุณทางยา

ตำรายาไทย:

เปลือกต้น รสเปรี้ยวเย็นฝาด รักษาโรคผิวหนังกลากเกลื้อน แก้พิษงู
ใบ มีรสเปรี้ยวเย็นฝาด ขับเหงื่อ ต้มน้ำอาบลดไข้
ผล รสเปรี้ยวเย็นฝาด ใช้เป็นอาหาร แก้ฝาดสมาน
ราก มีรสเปรี้ยวเย็นฝาด ใช้ขับลม เป็นยาธาตุ แก้ท้องร่วง แก้บิดมูกเลือด ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้
แก้ไข้รากสาด ถ้าเอามาสุมเป็นถ่าน รสฝาดเย็น ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้ไข้รากสาด แก้บิด ผสมใน
ยามหานิล แก้พิษกาฬ
ดอกและผล แก้ท้องเสีย แก้ฝี

การใช้ประโยชน์:

ผล ใช้รับประทานเป็นอาหาร ใช้ทำอาหารคาวหวานได้หลากชนิด เช่น แกงคั่ว แกงฮังเล
ผัดตำกระท้อน ส่วนอาหารหวานก็เช่น กระท้อนทรงเครื่อง กระท้อนลอยแก้ว กระท้อนดอ กระท้อนกวน
กระท้อนแช่อิ่ม เยลลี่กระท้อน แยมกระท้อน น้ำกระท้อน หรือใช้กินเป็นผลไม้สดก็ได้เช่นกัน

ลำต้น ใช้ทำเป็นไม้ใช้สอยต่าง ๆ เช่น ทำไม้กระดาน
กระท้อน เป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว มีฤทธิ์เย็น จึงเหมาะกับผู้ที่เกิดในเดือนสิงหาคม กันยายน
และตุลาคม ซึ่งธาตุเจ้าเรือนอยู่ในธาตุน้ำ

หน้า 35 ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี



สัก

ชื่อสามัญ: Santol,
ชื่อวิทยาศาสตร์: Sandoricum koetjape (Burm.f.) Merr.
ชื่อวงศ์: MELIACEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

ลำต้น :
ไม้ต้นขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 30 เมตร ผลัดใบ เรือน
ยอดรูปกลมหรือไข่ ลำต้นเปลาตรง โคนต้นมัก
เป็นพูพอนต่ำ เปลือกสีน้ำตาลอ่อนเรียบหรือล่อน
ออกเป็นแถบชื้นตามยาว กิ่งอ่อนเป็นรูปสี่เหลี่ยม
กิ่งอ่อนและยอดอ่อนมีขนสีเหลืองรูปดาว

ใบ :
เดี่ยว เรียงตรงข้าม ใบรูปไข่กลับกว้างหรือรูปไข่
กว้าง 12-35 ซม. ยาว 15-75 ซม. ปลายใบ
แหลม โคนใบรูปลิ่ม ผิวใบด้านบนสากด้านล่างมี
ขนอ่อนนุ่ม เส้นแขนงใบข้างละ 9-14 เส้น ก้านใบ
ยาว 1-5 ซม.

ดอก :
ดอกสีขาว ออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนงตาม
ปลายกิ่ง ดอกบานเต็มที่กว้างประมาณ 3 มม.
กลีบเลี้ยง 6 กลีบ กลีบดอกรูปกรวยปลายแยก
เป็น 6 กลีบ แผ่บานโค้งไปด้านหลังมีขน เกสรเพศ
ผู้มี 5-6 อัน เกสรเพศเมียยาวเท่าเกสรเพศผู้มี 1
อัน รังไข่มีขนหนาแน่น

ผล :
แห้งค่อนข้างกลม สีเขียวอ่อนแกมเหลือง ขนาด
1.5-2 ซม. ประกอบด้วยชั้นของกลีบเลี้ยงที่พอง
กลมบางคล้ายกระดาษห่อหุ้มเมล็ด เมล็ด แข็ง
ขนาด 1 ซม. มีขนคล้ายไหมภายในมี 4 ช่อง มี 1
เมล็ด ในแต่ละช่อง

หน้า 37 ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี

สรรพคุณทางยา

สรรพคุณพื้นบ้าน: วิธีและปริมาณที่ใช้:

เมล็ด ใช้รักษาโรคตา 1.บำรุงโลหิต ขับลม แก้อ่อนเพลีย โดยใช้แก่น
เปลือกไม้ บรรเทาอาการบวม ปวดศีรษะ หรือเนื้อไม้ 30-50 กรัม ต้มในน้ำเดือด 1
ใบอ่อน หั่นฝอยตากหรือคั่วให้แห้ง ชงน้ำดื่ม ลิตร เคี่ยวให้เหลือครึ่งหนึ่ง กรองเอาน้ำดื่ม
วันละ 2 เวลา เช้า-เย็น
ช่วยลดน้ำหนัก
แก่น ช่วยขับปัสสาวะ แก้บวมน้ำ แก้ไข้ 2.แก้เจ็บคอ ขับเสมหะ โดยใช้ใบสด 1-2 ใบ
เปลือกรากและใบอ่อน ให้สีย้อมสีน้ำตาลเหลือง ล้างให้สะอาดแล้วต้มในน้ำ 500 ซีซี
ประมาณ 15 นาที กรองเอาน้ำอมกลั้วคอวัน
หลายส่วนของพืชใช้รักษาระบบปัสสาวะ ละ 2-3 ครั้ง
ถ่ายพยาธิ โรคเบาหวาน เจ็บคอ
ประจำเดือนมาไม่ปกติ 3.ใช้ใบ - ต้มกับน้ำ รับประทานเป็นยาลด
แก่นและใบ ขับลมในลำไส้ รักษาเบาหวาน น้ำตาลในเลือด

ตำรับยาสมุนไพรพื้นบ้านอีสาน

ที่รวบรวมโดยคุณตาจำนง กันนิดา
ชุมชนบ้านม่วง หมู่ 3 ตำบลสมสะอาด อำเภอ
เดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี
โรคเบาหวาน

ตำรับ 1 : นำใบสัก ใบมะยม ต้มน้ำดื่ม
โรคดีซ่าน

ตำรับ 1 : นำแก่นสัก แก่นประดู่ แก่นฝางเสน
ต้มน้ำดื่ม

ไม้สักเป็นไม้ที่เราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายรูปแบบตามอายุและขนาดของไม้
ตั้งแต่ไม้ซุงขนาดใหญ่ ที่นำมาแปรรูปใช้ในการก่อสร้างอาคาร บ้านเรือน ไม้อัด ไม้ปาร์เก้ ไม้แกะสลัก
เฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ หรือใช้ต่อเรือ รถ ทำเครื่องมือกสิกรรม ฯลฯ ส่วนไม้ซุงขนาดเล็กลงมาก็สามารถนำ
มาทำบ้านไม้ซุงได้อย่างสวยงามและคงทน หรือจะนำมาผ่าซีกทำไม้โมเสด วงกบประตู และหน้าต่างได้
ดี ซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก เนื่องจากมีเนื้อไม้มีลวดลายที่สวยงาม เห็นเส้นวงปีได้ชัดเจน เนื้อไม้มีความแข็ง
ปานกลางและทนทาน เลื่อย ผ่า ไสกบตกแต่งได้ง่าย และชักเงาได้ดี ปลวก มอด ไม่ชอบทำลายเพราะมี
สารเทคโทควิโนน (TECTOQUINONE) ทำให้มีคุณสมบัติคงทนต่อปลวก แมลง เห็ดราขึ้นได้ดี

ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี หน้า 38

บรรณานุกรม

1.ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและท่องเที่ยวเชิงนิเวศเจ็ดคต-โป่งก้อนเส้า [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :
https://thailandtourismdirectory.go.th/th/attraction/1583 [25ก.ค.2565].

2.คณะกรรมการวิชาการดำเนินงานส่วนสวนสมุนไพรพืชสวนโลก. 2549. สวนสมุนไพรในงานมหกรรมพืช
สวนโลก 2549. Herbal Garden in Royal Flora Expo 2006. บริษัท สามเจริญพาณิชย์(กรุงเทพฯ)
จำกัด. กรุงเทพมหานคร.

3. คณะผู้ดำเนินงานโครงการให้ความรู้ด้านพฤกษศาสตร์แก่บุคลากรและนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
2553ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพสู่ความเป็นมหาวิทยาลัยสร้างเสริมสุขภาพมหาวิทยาลัยเชียงใหม่.

4.มูลนิธิสวนหลวง ร. ๙. 2547. ไม้นามตามถิ่น. พิมพ์ครั้งที่ 1. อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด.
กรุงเทพมหานคร.

5.เอื้อมพร วีสมหมาย และปณิธาน แก้วดวงเทียน. 2552. ไม้ป่ายืนต้นของไทย 1. พิมพ์ครั้งที่ 2. เอช เอ็น
กรุ๊ป จำกัด. กรุงเทพมหานคร

6.หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). “สัก (Sak)”. หน้า 294.
7.ส่วนปลูกป่าภาคเอกชน, สำนักส่งเสริมการปลูกป่า กรมป่าไม้. “สัก”.
8.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด, สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “สัก”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก:
www.rspg.or.th/plants_data/herbs/. [25ก.ค.2565].
9.นันทวัน บุณยะประภัศร และอรนุช โชคชัยเจริญพร, บรรณาธิการ. สมุนไพร:ไม้พื้นบ้าน (1). กรุงเทพฯ:
บริษัทประชาชนจำกัด; 2539.
10.หนังสือสมุนไพรบำบัดเบาหวาน 150 ชนิด. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก). “ประดู่”. หน้า 100-
101.
11.มูลนิธิหมอชาวบ้าน. นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่ 291 คอลัมน์ : ต้นไม้ใบหญ้า. (เดชา ศิริภัทร). “ประดู่ :
ตำนานความหอมและบิดาแห่งราชนาวี”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.doctor.or.th.
[25ก.ค.2565].
12.ส่วนปลูกป่าภาคเอกชน สำนักส่งเสริมการปลูกป่า กรมป่าไม้. (เภสัชกรหญิง จุไรรัตน์ เกิดดอนแฝก).
“ประดู่ป่า”.
13.ข้อมูลพรรณไม้ในพระตำหนักเทา สำนักศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพ
พรรณี. “ประดู่ป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : www.rbru.ac.th/db_arts/rbruflower/.
[25ก.ค.2565].
14.พันธุ์ไม้ย้อมสีธรรมชาติ, กรมหม่อนไหม. “ประดู่ป่า”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :
qsds.go.th/webtreecolor/. [25ก.ค.2565].
15.เปราะหอมขาว,เปราะหอมแดง.กลุ่มยาขับประจำเดือน.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด.โครงการอนุรักษ์
พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารีฯ[ออนไลน์].
เข้าถึงได้จาก http://www.rspg.or.th/plant_data/herds/herbs_26_9.htm.[25ก.ค.2565].
16.เปราะหอม.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี[ออนไลน์]เข้าถึงได้จาก
http://www.thaicrudedrug.com/main.php?action=viewage&pid=154[25ก.ค.2565].
17.ถ้วยแชมเปญ. ศูนย์วิจัยความหลากหลายทางชีวภาพเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา บรมราชินีนาถ
มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา [ออนไลน์]เข้าถึงได้จากhttp://srdi.yru.ac.th/bcqy/view/275_
[25ก.ค.2565].

หน้า39 ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี

บรรณานุกรม

18.ไพบูลย์ แพงเงิน.สมุนไพรรู้ใช้ไกลโรค (สมุนไพรคู่บ้าน 2).กรุงเทพฯ:มติชน.2556.272 หน้า.
19.ผศ.ดร.วีณา นุกูลการ. โด่ไม่รู้ล้ม.สมุนไพรกับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร

คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
20.โด่ไม่รู้ล้ม.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก

http://www.phargen.com2main.php?action=viewpage&pid=143
21.โด่ไม่รู้ล้ม.กลุ่มยาแก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ.สรรพคุณสมุนไพร.โครงการอนุรักษ์พันธุ์กรรม

พืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี (ออนไลน์)เข้าถึงได้
จากhttp://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/hers_10htm
22.โด่ไม่รู้ล้ม.สารานุกรมสมุนไพร เล่ม 1 สมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ104.ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะ
เภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
23.Kang Y, Kim HY. Glucose uptake-stimulatory activity of Amomi Semen in 3T3-L1
adipocytes. J Ethnopharmacology. 2004;92:103-105.
24.Lee YS, Kang MH, Cho SY, Jeong CS. Effects of constituents of Amomum
xanthioides on gastritis in rats and on growth of gastric cancer cells. Arc Pharm
Res. 2007;30(4):436-443.
25.Wang J-H, Wang J, Choi M-K, Gao F, Lee D-S, Han J-M, et al. Hepatoprotective
effect of Amomum xanthoides against dimethylnitrosamine-induced sub-
chronic liver injury in a rat model. Pharm Biol. 2013;51(7):930-935.
26.ภญ.กฤติยา ไชยนอก.กำลังวัวเถลิง.สมุนไพรไทย กับภาวะเสื่อมสมรรถภาพ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
27.Mokkhasmit, M., 1971. Pharmacological evalution of Thai medical plants continued.
J. Med. Ass. Thailand, 54: 490-504.
28.Gonda, R., T. Takeda and T. Akiyama, 2000. Studies on the constituents of
Anaxagorea luzonensis A. GRAY. Chem. Pharm. Bull. (Tokyo), 48: 1219-1222.
29.L.i,B,and M,G, Gllbert.(2011).Annonaceae (Anaxagoera).In Flora of China Vol,19:673.
30.Tep-areenan, P. and P. Sawasdee, 2011. The vasorelaxant effects of Anaxagorea
luzonensis A. Grey in the rat aorta. Int. J. Pharmacol, 7: 119-124.
31.Kitaoka, M., H. Kadokawa, M. Sugano, K. Ichikawa, M. Taki, S. Takaishi, Y. Iijima, S.
Tsutsumi, M. Boriboon and T. Akiyama, 1998. Prenylflavonoids: a new class of
non-steroidal phytoestrogen (Part 1). Isolation of 8-isopentenylnaringenin and
an initial study on its structure-activity relationship. Planta Med., 64: 511-515.

ทะเบียนสำรวจสมุนไพรในเขตอนุรักษ์ จังหวัดสระบุรี หน้า 40






Click to View FlipBook Version