The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by natta1972, 2022-05-07 23:07:54

Soft power ฉบับเต็ม

Soft power ฉบับเต็ม

ในปี พ.ศ. 2560 ตามที่ได้รับมอบหมายจากกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ให้เป็นผู้รวบรวมและ
จดั เกบ็ ขอ้ มูลองคค์ วามร้โู นราในพื้นทจ่ี ังหวดั พทั ลุง สงขลา นครศรธี รรมราช และตรัง

• สมาคมโนราจงั หวัดตรัง เป็นหน่วยงานกลางในการเช่ือมประสานเครือข่ายโนราตรัง เพ่ือแสดงตาม
งานตา่ ง ๆ ของจังหวดั

• โนราโรงครูทา่ แคกบั การสืบทอดและสรา้ งความสัมพนั ธใ์ นชมุ ชน

“โนราโรงคร”ู เป็นความเช่ือและพธิ ีกรรมทแี่ สดงใหเ้ ห็นถึงภูมิปัญญาที่มีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของ
ชาวบ้านในภาคใต้ โดยเฉพาะชุมชนท่าแค ตำบลท่าแค อำเภอเมืองพัทลุง จังหวัดพัทลุง เพราะเป็นพิธีกรรม
ความเชื่อทางพุทธศาสนาระดับชาวบ้าน อันหมายถึงความเชื่อในหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนาซึ่ง
ผสมผสานกับลัทธิพราหมณ์ และความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์หรือผีสางเทวดา รวมถึงการเซ่นไหว้ การเข้าทรง
และพิธีกรรมทางความเชื่ออื่น ๆ ที่ปรากฏในโนราโรงครู จึงมีบทบาทและหน้าที่ต่อปัจเจกบุคคลและต่อสังคม
ส่วนรวมตามลักษณะของพุทธศาสนาระดับชาวบ้าน จึงเห็นได้ว่าโนราโรงครูและพิธีกรรมบางอย่าง เช่น พิธี
ครอบเทรดิ หรอื ผูกผ้าใหญ่ พิธีรำสอดเคร่ืองหรือสอดกำไล เป็นการแสดงออกถึงคุณธรรมด้านการดำรงคุณค่า
ในการเคารพนับถือครูบาอาจารย์ ความกตัญญูรู้คุณ มีเมตตาธรรม เป็นเคร่ืองชี้นำในการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับ
ความทุกข์ ความเดือดร้อน ช่วยคลี่คลายปัญหาทั้งด้านร่างกายและจิตใจ จึงมีส่วนสำคัญในการสืบทอดและ
รักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมรำโนราโรงครูจากอดีตจนถึงปัจจุบัน อันเป็นภาพปรากฏของโนราโรงครู
ชุมชนบ้านท่าแคอยา่ งเดน่ ชดั

ชุมชนบ้านท่าแคมีประวัติความเป็นมาเกี่ยวข้องกับตำนานโนรา การประกอบพิธีกรรมโนราโรง
ครูใหญว่ ดั ท่าแคและโนราโรงครูในชุมชนบา้ นทา่ แคท้ังโนราโรงครูเล็กและโรงครใู หญ่ต้ังแต่อดตี จนถึงปัจจบุ ัน มี
กลุ่มศิลปินที่เป็นโนรา ผู้มีเชื้อสายโนรา ลูกหลานตายายโนราอยู่เป็นจำนวนมาก จนกล่าวได้ว่าชาวบ้านท่าแค
ล้วนเป็นลูกหลานตายายโนรา มีคณะโนราที่มีชื่อเสียงอยู่หลายคณะ มีกลุ่มทำเครื่องแต่งกายและร้อยลูกปัด
โนรา กลุ่มทำเครื่องดนตรี กลุ่มวาดฉากม่านโนรา รวมทั้งคนทรงครูหมอโนรา หมอไสยศาสตร์ และผู้มีส่วน
เกี่ยวขอ้ งกบั ความเช่อื และพิธกี รรมโนรา

โครงการวิจัยดำเนินงานวิจัยจากภายในโดยคนในชุมชน เพื่อหาแนวทางส่งเสริมพัฒนาและต่อยอด
งานวิจยั ท่จี ะนำไปสกู่ ารสรา้ งสรรค์ สรา้ งนวัตกรรมและสร้างความเขม้ แขง็ ของชุมชนผ่านกระบวนการวิจยั การ
ปฏิบัติการสร้างธรรมาภิบาลในชุมชนโดยการใช้เวทีสรรหากรรมการจากหลายภาคส่วนมาเป็นตัวแทนในการ
จัดการโนราในพื้นที่ท่าแค ทั้งโนราโรงครู การจัดการสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับที่ประดิษฐานขุนศรีศรัทธา การ
บรหิ ารรายได้และงบประมาณ ฯลฯ

ความสัมพันธ์ของโนราโรงครทู ่าแคกับชุมชน พบว่าชุมชนท่าแคและบรเิ วณใกล้เคียงมตี ำนานทอ้ งถ่ิน
เกี่ยวกับขุนศรีศรัทธาหรือขุนอัยาก พระอัยกาประทานเครื่องทรงกษัตริย์ให้เป็นเครื่องแต่งตวั โนรา และทรงตั้ง

P a g e | 97

เจ้าชายน้อยเป็นขุนศรีศรัทธา ต่อมาได้ครองดินแดนท่าแคแล้วตั้งโรงฝึกหัดรำโนราขึ้นในบริเวณโคกขุนทา
ตำบลท่าแค ทำใหช้ ุมชนมีสำนกึ ร่วมในการเปน็ เจ้าของบา้ นทด่ี ีและเจา้ ภาพจัดโนราโรงครเู พื่อต้อนรับผู้คนที่เข้า
มาสูช่ ุมชน

นอกจากนี้ท่าแคยังหมายถึงวัดท่าแค ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมโนราโรงครูใหญ่ของชาวบ้าน
ตำบลทา่ แคและบริเวณใกล้เคียงมสี ถานทีเ่ ป็นอนสุ รณ์และเก่ียวข้องกับขนุ ศรีศรัทธาอยหู่ ลายอยา่ ง คือ โคกขุน
ทา ซง่ึ เชือ่ ว่าเปน็ สถานท่ีที่ขุนศรีศรทั ธาใชเ้ ป็นทฝ่ี ึกหดั ศิษย์ให้รำโนราดังกล่าวท่ีขุนทาหรือหลักขุนทาเช่ือกันว่า
เป็นที่ฝังกระดกู ของขนุ ศรศี รทั ธา และเขือ่ นขนุ ทาเช่ือกันวา่ เปน็ ทพ่ี ำนักของครูโนรา

วัดท่าแคจึงมีพิธีกรรมโนราโรงครูใหญ่ตั้งแต่ปี 2508 ต่อมาในปี 2514 พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจา้
เฉลิมพลฑิฆัมพรทรงสร้างรูปปั้นขุนศรีศรทั ธาและพรานบญุ แล้วสรา้ งศาลาตรงบริเวณเขื่อนขุนทานำรปู ปั้นไป
ประดษิ ฐานไว้เปน็ อนุสรณ์หรืออนุสาวรยี ์ของขุนศรีศรัทธา คณะโนราและชาวบา้ นจึงร่วมกันประกอบพิธีกรรม
โนราโรงครูสืบต่อมา กลายเป็นประเพรีที่สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน ขณะเดียวกันชุมชนท่าแคและบริเวณ
ใกล้เคยี งยงั คงจัดโนราโรงครูท้งั โนราโรงครูเลก็ และโรงครูใหญ่ตามบา้ นของโนรา ผู้มเี ช้อื สายโนราและลูกหลาน
ตายายโนราตามวาระและโอกาสท่ีเหมาะสม และยังร่วมในพิธกี รรมโนราโรงครูใหญ่วัดทา่ แคดว้ ย

ในด้านความเชื่อ พิธีกรรม และการจัดการโนราโรงครูท่าแคตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน พบว่าความเชื่อที่
สำคัญและส่งผลใหเ้ กิดความเชือ่ อืน่ ๆ และการประกอบพิธีกรรมโนราโรงครู คอื ความเช่อื เร่อื งครหู มอโนราซึ่ง
เป็นบูรพาจารย์หรือครตู น้ ของโนรา และบรรพบุรษุ โนราที่ลว่ งลบั ไปแลว้ โนราผมู้ เี ช้ือสายโนรา ลูกหลายตายาย
โนรา และชาวบ้านทั่วไปต่างมีความเชื่อว่าครูหมอโนราเหล่านี้ยังมีความผูกพันกับลูกหลานที่มีเชื้อสายโนรา
หากเพิกเฉยไม่เคารพ ไม่เซน่ ไหว้ รวมทง้ั ไมต่ ง้ั ห้งิ บูชา ครูหมอโนราอาจจะให้โทษหรือลงโทษดว้ ยวิธตี ่าง ๆ เช่น
ปวดหัว ปวดท้อง ปวดเมื่อยตามร่างกาย มีอาการบวมหรือเจ็บป่วย บางคนป่วยเจียนตายรักษาไม่หาย เมื่อ
ทราบสาเหตแุ ลว้ ผู้เปน็ ลกู หลายตายายโนราจะตอ้ งหาหมอพธิ มี าทำการบน การเซน่ ไหว้ ทำพิธีต้งั หงิ้ บูชาโดยครู
โนราแลว้ ทำคำสัญญาหรือทานบนไว้กับครูหมอโนรา เมอ่ื หายปว่ ยหรือปลอดภัยแล้วจะแก้บนด้วยการเซ่นไหว้
ยอมรับนับถือ ครูหมอโนรา หรือจัดโนราโรงครูเพื่อรำถวายและแก้บน ในทางกลับกันหากลูกหลานเคารพนับ
ถือครูหมอโนราจะส่งผลให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงในชีวิต นอกจากนั้นยังมีความเชื่ออื่น เช่น
ไสยศาสตร์ความเช่ือเรื่องการแก้บน การรักษาอาการปว่ ยไข้ การเหยียบเสน และการตัดผมผชี อ่

สว่ นพิธีกรรมโนราโรงครูในชุมชนทา่ แค มกี ารจัดต้ังดโดยการรวมญาติหรือเครือขายโนราตามเช้ือสาย
โนราหรือครูหมอโนราตามที่ตนเคารพนับถือ นับเป็นวิธีการสำคัญหรือเป็นภูมปิ ัญญาของชาวบ้านในการสร้าง
ความเข้มแข็งและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในหมู่เครือญาติผ่านความเชื่อครูหมอโนราสายเดียวกัน โนรา
โรงครูวัดท่าแคจัดเป็นโนราโรงครูใหญ่ที่มีลักษณะพิเศษเป็นศูนย์รวมของครูหมอโนรา ชื่อว่าวัดท่าแคเป็นท่ี
พำนักของครูโนรา มีพิธีกรรมต่าง ๆ อย่างเต็มรูปแบบอาจจะจัด 3-4 วัน มีผู้มาร่วมกิจกรรมจำนวนมากทั้ง
ศิลปินโนรา ผู้มีเชื้อสายโนรา ลูกหลานตายายโนรา ทั้งในชุมชนท่าแคบริเวณใกล้เคียงและชุมชนอื่น ๆ ทั้งใน
จังหวัดพัทลุงและต่างจังหวัด เป็นวิธีการจัดกิจกรรมทีผ่ ูค้ นทุกฝ่ายสามารถประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ตามความ
เชื่อของตนและสายครูหมอโนราของตนไดอ้ ย่างถูกต้องและสมบูรณ์ ประหยัดค่าใช้จ่ายโดยไม่ต้องจัดพิธีกรรม
โนราโรงครูและพิธีกรรมอน่ื ๆ ทเี่ กีย่ วข้องทบี่ า้ นของตน

ด้านการสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนนั้น กล่าวได้ว่าโนราโรงครูมีบทบาทสำคัญในการสืบทอดการรำ
โนรา การบนบานขอความช่วยเหลือ การรักษาอาการป่วยไข้ การควบคุมพฤติกรรมของบุคคลและสังคม การ
สร้างอาชีพ การสร้างเอกภาพและสัมพันธภาพในสังคม มีหน้าที่สร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เน้นย้ำ
ความสำคัญของการผูกพันทางเครือญาติ ช่วยแก้ปัญหา ความขัดแย้ง เพิ่มขวัญและกำลังใจให้กับสมาชิกใน

P a g e | 98

สังคม ตอบสนองต่อภาวะวิกฤตใิ นชีวิตจของคน หรอื ชุมชนทีต่ อ้ งเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และเป็น
เครอื่ งมือสำคญั ในการขัดกลาทางสงั คมผา่ นการเคารพผู้อาวโุ ส การตอบแทนบญุ คุณ และยดึ มัน่ ในคุณธรรม48

ข้อเสนอแนะ
ชุมชนและผ้เู ก่ียวข้อง
- ควรเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมมากที่สุด สร้างความตระหนักและให้เห็นคุณค่าของ
ศลิ ปวฒั นธรรมซ่งึ เป็นเอกลักษณ์ของตำบลทา่ แค
- ควรจัดประชุมพบปะแลกเปลี่ยนความเห็นในกลุ่มบุคคลที่นับถือครูหมอตายายโนรา กลุ่มศิลปิน
โนราในตำบลและทั่วไป กลุม่ บุคคลท่ีประกอบการด้านโนรา เชน่ ผผู้ ลิตเคร่ืองแต่งกายโนรา ผผู้ ลติ เครื่องดนตรี
โนรา
- สรา้ งความเขม้ แข็งให้เกิดกับองค์กรท่ีมีสว่ นเก่ยี วข้องและรบั ผิดชอบกิจกรรมพิธีกรรมโนราโรงครู
หน่วยงานภาครัฐทมี่ ีสว่ นเกย่ี วข้อง
- ส่งเสริมสนบั สนุนให้องค์กรมสี ว่ นรว่ มรับผดิ ชอบเข้ามามบี ทบาทในการปรับปรุงพฒั นาอาคารสถานที่
บรเิ วณวดั ท่าแคใหเ้ ปน็ เอกลักษณข์ องจังหวัดพทั ลุงในเรื่องโนรา ตามคำขวญั ของจงั หวดั พัทลุง “เมืองหนังโนรา
อู่นาขา้ ว พราวน้ำตก แหล่งนกนำ้ ทะเลสาบงาม เขาอกทะลุ นำ้ พรุ ้อน”
- สรา้ งความเขม้ แขง็ และเหน็ ความสำคัญของกจิ กรรมและพิธีกรรมโนราโรงครูให้กับองค์กรท่ีมีส่วนรับ
ผชิ ดบอบ เชน่ สภาวัฒนธรรมจงั วัด อำเภอและตำบล
- ควรพิจารณาจัดสรรงบประมาณ ส่งเสริมสนับสนุนกจิ กรรมทีเ่ กี่ยวข้องกับโนรา โดยเฉพาะเน้นด้าน
พธิ ีกรรมโนราโรงครูเปน็ พเิ ศษ

• การสำรวจและศึกษาทุนทางวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
“ตามรอยวรรณคดีนิราศเรื่องพระประธมของสุนทรภู่” ในจังหวัดนครปฐม นนทบุรี และ
กรุงเทพมหานคร

นบั แตโ่ บราณมามีความเช่ือกันว่ากวมี ิใชบ่ ุคคลธรรมดา แตเ่ ป็นบคุ คลทีอ่ ยู่ในฐานะอนั พเิ ศษเพราะกวีมี
ลักษณะพิเศษกว่าบุคคลธรรมดา กล่าวคือ มีจิตใจอ่อนไหว รับรู้อารมณ์ต่าง ๆ ได้ง่าย มีประสาทสัมผัสต่าง ๆ
ที่ไวต่อการรบั รู้ส่ิงทีล่ ะเอียดอ่อนและเล็กน้อยจนหลายคนมองข้ามไปได้ การนิยามคุณลักษณะของกวจี งึ ท่เี ปน็
เร่อื งท่ีมอิ าจละเลยได้ แรงบันดาลใจของกวีคือศรัทธาอนั แรงกล้าต่อความเชื่อ โดยเฉพาะความเช่ือเร่ืองศาสนา
หรอื เร่ืองเหนือธรรมชาติ การอยใู่ นฐานะทเ่ี หนอื มนุษย์ ทำให้งานท่ีรงั สรรค์ขน้ึ จึงมิได้เพื่อบุคคลอันอยู่เบ้ืองล่าง
หากแตส่ ถานท่ีอันสูงสุดเหนอื โลกท่ีเป็นส่ิงดลใจกวใี หป้ ระพนั ธว์ รรณคดดี ้วยพลังแห่งความศรทั ธา

“นิราศ” เป็นชื่อที่นักวิชาการใช้เรียกวรรณคดีจำพวกหนึ่งที่มีลักษณะของการพรรณนาอารมณ์
ความรู้สกึ ระหวา่ งการเดนิ ทาง รวมถงึ การเคล่อื นทข่ี องเวลา โดยมากมักเนน้ ถึงความพลัดพราก ท้งั การจากนาง
จากเมือง รวมถึงการจากภาระหน้าที่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวถึง
ความเป็นมาของวรรณคดีนิราศว่าเกิดจากการเดินทางไกล และมีเวลาว่างมากจนรู้สึกเบื่อหน่าย จึงคิดแต่ง
นิราศเป็นการแก้รำคาญโดยพรรณนาหรือบรรยายสง่ิ ทพ่ี บเห็นระหวา่ งทางแลว้ ครวญคิดถึงคนรักทีจ่ ากมา

ผ้วู ิจยั ไดเ้ ลือกศึกษานิราศพระประธมของสุนทรภู่ เนอื่ งจากเปน็ นริ าศที่กวีให้รายละเอียดของข้อมูลใน
การเดินทางดว้ ยการ ‘ครำ่ ครวญ’ ทีน่ า่ สนใจ ท้งั ในแงภ่ าษา วรรณศลิ ป์ โลกทศั น์ ตลอดจนขอ้ มูลเชิงวฒั นธรรม

48 รายงานวิจยั โนราโรงครูท่าแคกับการสบื ทอดและสรา้ งความสมั พันธ์ในชุมชน. สมบูรณ์ แสงสุบัน และคณะ. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวจิ ัย
ฝา่ ยงานวจิ ัยเพ่อื ทอ้ งถิน่ .

P a g e | 99

ขณะเดียวกันเส้นทางในการเดินทางของสุนทรภู่เป็นการเดินทางระหว่างกรุงเทพฯ กับปริมณฑล ซึงสามารถ
พัฒนาเป็นรายการการท่องเที่ยวตามรอยนิราศในเวลา 1-2 วัน นิราศพระประธมของสุนทรภู่นับได้ว่าเป็น
นิราศเรื่องหนึ่งที่มีคุณค่าและให้รายละเอียดทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมากกว่านิราศเรื่องอื่น ๆ ใน
เสน้ ทางเดียวกนั คือ โคลงนริ าศพระประธมของกรมหลวงวงษาธิราชสนทิ นริ าศพระประธมของหลวงจักรปาณี
(ฤกษ์) นิราศพระปฐมเจดีย์ของกวีหญิงวังหนา้ และนิราศเมอื งนครไชยศรี (ไม่ปรากฏผู้แต่ง) โดยนิราศ 5 เรื่อง
นี้มีจดุ เรมิ่ ต้นทเี่ ดยี วกนั คือ เริม่ ตน้ จากพระนครหรอื กรงุ เทพฯ และมจี ดุ หมายคือ เมืองนครปฐม เนอ้ื หาในนิราศ
ชีใ้ หเ้ หน็ ว่ากวผี ู้แต่งเป็นชาวกรงุ ทีเ่ ดนิ ทางมงุ่ หนา้ ไปส่เู มืองนครปฐม แมก้ วี 5 ทา่ นนี้จะมจี ดุ เร่ิมตน้ และจุดหมาย
ทคี่ ล้ายคลึงกนั หากแตร่ ายละเอียดเรื่องเสน้ ทางและสถานที่ที่กล่าวถึงมคี วามแตกต่างกนั ตามแต่ประสบการณ์
ภมู ิรู้และความสนใจของกวีแต่ละคน

จากการศึกษาเปรียบเทียบข้อมูลการเดินทางที่ปรากฏในนริ าศทัง้ 5 เรื่อง พบว่าเส้นทางที่กวีล่องเรือ
ผ่านจากพระนครไปยังพระปฐมเจดีย์สามารถแบ่งได้เป็น 3 เส้นทางตามลักษณะการขุดคลองในสมัยรัชกาลที่
4 เสน้ ทางแรก เปน็ เส้นทางทก่ี รมหลวงวงษาธิราชสนทิ และสนุ ทรภูใ่ ชใ้ นสมยั รัชกาลที่ 3 ถอื เป็นเสน้ ทางก่อนที่
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค)
เป็นแม่กองขุดคลองมหาสวัสดิ์ เส้นทางท่ี 2 เป็นเส้นทางที่ปรากฏในนิราศพระปฐมและนิราศพระปฐมเจดีย์
เปน็ เส้นทางหลงั จากขดุ คลองมหาสวสั ดิ์เสรจ็ สิน้ แล้ว (พ.ศ. 2403) และเสน้ ทางท่ี 3 คอื เดนิ ทางโดยลอ่ งเรอื มา
ทางแม่น้ำท่าจีน ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าออกมาจากคลองภาษีเจริญในพระนคร เส้นทางจากวรรณคดีนิราศเรื่อง
ดังกล่าวหากมีการสำรวจและศึกษาทุนทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องน่าจะนำมาสู่การพัฒนาเป็นเส้นทางการ
ท่องเท่ยี วเชิงวัฒนธรรมและการสร้างแหล่งท่องเที่ยวให้ท้องถ่ินเพ่ิมขึน้ ก่อให้เกิดรายได้ของชุมชนและเป็นการ
ใชม้ นษุ ยศาสตร์เพื่อการพฒั นาคุณภาพชีวิตทยี่ ง่ั ยนื

หนุ่ เหมือนสุนทรภู่ ทพี่ ิพิธภณั ฑว์ ัดต้นเชอื ก จังหวัดนนทบุรี ปากคลองบางใหญ่ (คลองโยง) ฝ่งั แมน่ ำ้ นครชยั ศรี

การจัดการท่องเที่ยวตามรอยนิราศพระประธมของสุนทรภู่ครั้งนี้ ผู้วิจัยใช้แนวคิดทางคติชนวิทยา
เรอื่ ง “คติชนสร้างสรรค์” ของศริ าพร ณ ถลาง เปน็ หลัก ซึง่ อธบิ ายวา่ “ปรากฏการณ์คตชิ นสร้างสรรค์เป็นผล
จากการปรับใช้คติชนอันเป็นรากเหง้าทางวัฒนธรรมท้องถิ่นไทยที่มีอยู่เดิม ผนวกกับวิธีคิดในการผลิตซ้ ำ
ประยุกต์ ผสมผสาน สร้างใหม่ หรือสรา้ งความหมายใหม่ในบรบิ ทใหม่”

การศึกษาครั้งนี้ได้มอง “นิราศพระประธม” ในฐานะบันทึกจากภาคสนามทางคติชนวิทยาท่ี
ประกอบด้วยข้อมูลวฒั นธรรมทั้งชาวบ้านและชาววังจำนวนมาก เป็นการทำงานท่ีผสานระหว่างการอาศัยองค์
ความรู้ทางวรรณคดีและคตชิ นวทิ ยาเขา้ ดว้ ยกนั นอกจากน้ียงั ไดใ้ ช้แนวคิดอีก 3 แนวคิดคือ ได้แก่ แนวคิดเรื่อง
เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งองค์กรระหว่างประเทศที่ดูแลควบคุมและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 2
องค์กรหลัก ได้แก่ UNESCO และ UNCTAD ต่างก็ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่าเป็น “อุตสาหกรรมที่เกิดจาก

P a g e | 100

ความคิดสร้างสรรค์ ความชำนาญ และความสามารถที่มีศักยภาพในการสร้างงานและความมั่งคั่งโดยการผลิต
และใชป้ ระโยชนจ์ ากทรพั ย์สนิ ทางปญั ญา”

อกี แนวคิดหน่งึ คือ การท่องเทยี่ วเชิงแนวคดิ ในรปู แบบใหม่นักทอ่ งเท่ยี วจะใช้แรงบันดาลใจตา่ ง ๆ ใน
การสร้างแนวคิดในการท่องเที่ยว โดยลักษณะเด่นที่เป็น “แก่น” จะต้องเป็นการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยว
สามารถเลือกได้ มิใช่การท่องเที่ยวตามกระแสนิยม โดยจะมี Concept หรือ Theme ที่สอดคล้องหรือ
เกี่ยวข้องกันอยู่ ได้แก่ สถานท่ที อ่ งเทีย่ ว ประเภทของท่ีพกั รวมถงึ การจดั การและการควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ท่ี
เกดิ ขึ้นในระหว่างการท่องเท่ียว โดยผทู้ มี่ ีส่วนเก่ยี วข้องทุกฝ่ายทั้งด้านผู้ประกอบการและด้านของนักท่องเท่ียว
อาจมีส่วนร่วมในการวางกรอบแนวคิด เช่น การท่องเที่ยวงานชมวัฒนธรรมและประเพณี การท่องเที่ยวเพื่อ
ศึกษากลุ่มชาติพันธ์หรือวัฒนธรรมกลุ่มน้อย คือ การเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเรียนรู้วิถีชีวิตคว ามเป็นอยู่
วัฒนธรรมของชาวบ้าน วัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยหรือชนเผ่าต่าง ๆ การท่องเที่ยวเชิงทัศนศึกษาและศาสนา
การท่องเทีย่ วแบบผจญภัย การท่องเท่ียวตามรอย และการทอ่ งเทีย่ วตามแหล่งเสียงเพลง

การท่องเที่ยวเชิงแนวคิดเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เพราะนอกจากความลึกซ้ึง
ในแง่ของเนื้อหาทไ่ี ดร้ บั จากการท่องเทีย่ ว ยงั เปน็ การเพ่ิมคุณคา่ ให้กบั การท่องเทย่ี วและแหล่งท่องเท่ียวดว้ ย ส่ิง
ที่ได้รับเพิ่มขึ้น คือ การส่งเสริมการจัดการทรัพยากรการท่องเทีย่ วให้มีประสิทธิภาพ ช่วยลดการทำลายแหลง่
ทอ่ งเที่ยวและวิถชี ุมชนทีม่ ีเหลอื อยู่นอ้ ยในปัจจุบันใหส้ ามารถดำรงอยู่ได้ต่อไปจนตกทอดไปถงึ ชนรุ่นหลัง

แนวคิดสุดท้ายคือ ทฤษฎีบทบาทหน้าที่ของคติชน การศึกษาบทบาทหน้าที่ของข้อมูลคติชนเป็น
แนวทางหนึ่งในการศึกษาวิจัยทางคติชนวิทยา ซ่ึงนักคติชนรับแนวคิดนี้มาจาก ทฤษฎีหน้าที่นิยม ของนัก
มานุษยวทิ ยาทีน่ ำมาใช้ศกึ ษาวัฒนธรรม โดยสนใจบทบาทหน้าท่ีของระบบตา่ ง ๆ ในวัฒนธรรม ทง้ั ระบบความ
เช่อื และศาสนา ระบบครอบครวั ระบบการปกครอง ระบบการศกึ ษา ระบบนันทนาการ โดยระบบตา่ ง ๆ เป็น
กลไกทางวฒั นธรรมซงึ่ ตา่ งกม็ ีหน้าทข่ี องตนและช่วยให้สงั คมดำรงอยไู่ ด้

แนวทางการประยุกต์ “นิราศพระพระประธม” ของสุนทรภู่ในฐานะทุนทางวัฒนธรรมสู่การ
ท่องเทยี่ วเชงิ สรา้ งสรรค์

จากการเก็บข้อมูลภาคสนามและการทดลองจัดการท่องเที่ยวตามรอยวรรณคดีนิราศ “พระประธม”
ของสุนทรภู่ พบว่านำมาพัฒนาคุณภาพชวี ิตของชาวจังหวัดนครปฐม นนทบุรี และกรุงเทพมหานครได้ โดยใช้
เป็นแนวทางในการจัดการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์หรือเชิงแนวคิด และบูรณาการกับประวัติศาสตร์และ
วฒั นธรรมทอ้ งถิน่ ของชมุ ชนที่เกย่ี วข้อง ตลอดจนสร้างความเขา้ ใจและถ่ายทอดองค์ความรสู้ ู่ชุมชนดังกล่าว อัน
จะช่วยให้คณุ ค่าและความหมายแก่แหลง่ ท่องเทีย่ วท่ีมอี ยู่เดิม และเกิดแหลง่ ทอ่ งเท่ียวใหมใ่ นชมุ ชน นำมามาสู่
การสรา้ งงานและรายได้ ตลอดจนคุณภาพชีวติ ทด่ี ใี นทส่ี ดุ

1. ทุนทางวฒั นธรรมในนริ าศพระประธมของสนุ ทรภู่
หลังจากผู้วิจัยถอดคำประพันธ์แล้วจึงคัดสรรข้อมูลที่ได้จากนิราศพระประธม โดยอาศัยการประเมิน
ข้อมูลจากนิราศ และเลือกสิ่งที่จะนำมาเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวและมีศักยภาพที่จะเข้าสู่กระบวนการ
สร้างคุณค่า โดยการท่องเที่ยวชุมชนเชิงวัฒนธรรมควรมีกระบวนการสร้างคุณค่าใน 4 ด้าน ได้แก่ นวัตกรรม
(Innovation) ภมู ปิ ญั ญา (Wisdom) เร่ืองเล่า (Story telling) และความคิดสรา้ งสรรค์ (creative)
2. แนวทางการประยกุ ต์ทนุ ทางวัฒนธรรมในนิราศพระประธมของสุนทรภูส่ กู่ ารท่องเท่ียว
ทุนทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมีมูลค่าที่สั่งสมมาในอดีตและถ่ายทอดรุ่นต่อรุ่น ทั้งในเชิง
กายภาพและเชิงทักษะภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม สามารถปรับประยุกต์ต่อยอดเกิดเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและมี
มูลค่าเพิ่มขึ้น ผลการศึกษาพบว่าการศึกษานิราศพระประธมของสุนทรภู่ในฐานะทุนทางวัฒนธรรมสามารถ
พฒั นาการทอ่ งเทยี่ วได้ 5 มิติ ดงั น้ี

P a g e | 101

- เสน้ ทาง เช่น การจดั เส้นทาง 1 วัน หรอื ไหวพ้ ระ 9 วดั ตามเส้นทางสุนทรภู่
- อาหาร เชน่ อาหารจีน พะโล้
- กิจกรรม เชน่ ดูนก ถักเชอื ก หรอื รูปแบบการเดนิ ทาง เชน่ พายเรอื ขี่ม้า
- ของฝาก ขนมเสบยี งสนุ ทรภู่ หรือตุ๊กตาควายโยง
- วนั เวลาเดนิ ทาง เทศกาลท่องเทย่ี ว วันที่ระลกึ การเดินทางของสุนทรภู่
การท่องเที่ยวทั้ง 5 มิติสามารถบูรณาการให้เข้ากับการท่องเที่ยวได้จริงอย่างเป็นรูปธรรม พร้อม
นำเสนอ “นิราศ พระประธม” ในฐานะเรื่องเล่าประกอบการเดินทาง โดยแบ่งเส้นทางเป็น 3 ภาคคือ ภาค
ธนบุรี (กรุงเทพฯ) - คลองบางใหญ่ (นนทบุรี) ภาคคลองบางใหญ่ (นนทบุรี) - คลองโยง (นครปฐม) และภาค
คลองโยง (นครปฐม) - นครชัยศรี (นครปฐม) ทั้งนี้ผู้วิจัยได้เสนอรูปแบบการจดั การท่องเที่ยวโดยใช้เรือ่ งนริ าศ
พระประธมของสนุ ทรภ่เู ป็นแกนหลักในการเลา่ เรอ่ื ง เพือ่ สร้างมลู ค่าเพ่มิ ให้แกร่ ายการการท่องเทยี่ วในพนื้ ที่ ทำ
ให้เกิดการให้คุณค่าและความหมายแก่แหล่งท่องเที่ยวที่มีอยู่เดิม อนุรักษ์ภูมิปัญญาในชุมชน และเกิดแหล่ง
ทอ่ งเที่ยวใหมใ่ นชุมชน นำมามาส่กู ารสร้างงานและรายได้ ตลอดจนคณุ ภาพชวี ิตทด่ี ีในทส่ี ุด

การแห่หนุ่ ขผ้ี ้ึงสนุ ทรภเู่ น่ืองในประเพณตี กั บาตรพระร้อยแปด ของชาวตำบลบา้ นใหม่ อำเภอบางใหญ่ จังหวดั นนทบุรี

รูปแบบการใช้ประโยชนจ์ ากนริ าศในฐานะทนุ ทางวฒั นธรรมเพอ่ื การท่องเที่ยว
การค้นหาแนวทางในการนำวรรณคดีนิราศมาใช้เป็นทุนทางวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยว โดยมีนิราศ
พระประธมของสุนทรภู่มาใช้นำร่อง ทำให้เห็นโอกาสในการนำวรรณคดีนิราศไปใช้ในมิติเศรษฐกิจสร้างสรรค์
และการท่องเทีย่ วเชิงวฒั นธรรมได้อีกมาก ผูว้ ิจัยพยายามสรปุ กระบวนการทางานเพ่ือประยุกตใ์ ชน้ ิราศเพื่อการ
ทอ่ งเทีย่ ว ซ่ึงข้นั ตอนต่าง ๆ ในกระกวนการมีความเก่ียวข้องสัมพันธ์กัน และต้องตรวจสอบย้อนกลับเพ่ือความ
แมน่ ยำ ถกู ตอ้ ง และเหมาะสมของขอ้ มูลมากท่ีสดุ เรยี กกระบวนการนีว้ ่า “ตะขาบแหง่ การตามรอยนริ าศ”

P a g e | 102

นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้แนวทางการใช้ประโยชนจ์ ากนิราศในฐานะทุนทางวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยว
ซึ่งสรุปเป็น “มาลัยแห่งความคิดสร้างสรรค์เพื่อการท่องเที่ยว” เพื่อให้เห็นกระบวนการทางานและเป็นแนว
ทางการทำงานได้ชัดเจนขึ้น โดยตัวมาลัยประกอบด้วย ข้อมูลจากนิราศ ข้อมูลบริบทร่วมสมัยกับนิราศ และ
ข้อมูลบริบทในปัจจุบัน ซึ่งจะต้องผ่านการเก็บข้อมูลภาคสนาม และการค้นคว้าเอกสาร จากนั้นจึงแสวงหา
เครือข่ายและสร้างความร่วมมือ ตลอดจนการบูรณาการและ
ประยุกต์องค์ความรู้จนเกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว และองคาพยพของ
การท่องเที่ยว แตกแขนงเป็นอุบะของมาลัยในรูปแบบต่าง ๆ เช่น
อาหาร กจิ กรรม ผลติ ภัณฑข์ องท่ีระลกึ

วรรณคดีในมุมมองของเศรษฐกิจสร้างสรรค์และคติชน
วิทยา จึงไม่มีคุณค่าในฐานะศิลปะทางภาษาชั้นเยี่ยมที่ใช้
สุนทรียภาพถ่ายทอดภูมิรู้ของบรรพชนเท่านั้น หากแต่ยังเป็น
เครื่องมือในการสร้างความเข้าใจวิธีคิดของกลุ่มชน การบันทึก
ความรู้สึกนึกคิด ตลอดจนความเช่ือผ่านสายตาและมุมมองของกวี
และที่สำคัญยังเป็น “ทุนทางวัฒนธรรม” ที่สามารถพัฒนาจากการ
“อมิ่ ใจ” สู่การ “อ่ิมท้อง” ไดใ้ นท่ีสุด และหากทุกชมุ ชนไดท้ ดลองนำ
วรรณคดีท้องถิ่น หรือวรรณคดีเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชุมชนของ
ตน ที่เล่าเรื่องชุมชนตนเอง ก็จะทำให้วรรณคดีกลับมามีชีวิตออก
ดอกสะพรั่งสสี นั งดงามตา “ให้สืบชือ่ ชัว่ ฟา้ สธุ าสถาน” ได้ต่อไป

จากการทำวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยเล็งเห็นความสำคัญของชุมชนริมคลองมหาสวัสด์ิ ซึ่งเป็นชุมชนหนึ่งที่มี
ความเป็นมาและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่ยาวนาน รวมถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่และสถานที่ ต่าง ๆ ท่ี
สามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวประจำท้องถิ่นได้ และยังมีพื้นที่ใกล้เคียงที่เชื่อมโยงกันด้วยสายน้ำ ท้ัง
คลองโยง คลองบางใหญ่ และแม่น้ำนครชยั ศรี ซ่ึงยงั ปรากฏชือ่ อยใู่ นนิราศพระประธมของสนุ ทรภู่ จงึ เหมาะแก่
การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพแหล่งท่องเที่ยว ทั้งในด้านการเผยแพร่องค์ความรู้ในสื่อประชาสัมพันธ์ที่
ทนั สมยั และการปรับภูมิทศั น์ของแหลง่ ทอ่ งเทย่ี วใหเ้ หมาะสมและสวยงามมากยิ่งข้ึน

ผู้วจิ ยั จงึ ได้จัดโครงการพฒั นาแหล่งท่องเทีย่ วคลองมหาสวัสด์ิและพ้ืนทีเ่ ช่ือมโยง ภายใต้การสนับสนุน
งบประมาณจากกองวเิ ทศสัมพันธ์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล นับเปน็ โครงการทส่ี ่งเสรมิ สนบั สนนุ ประชาสมั พันธ์และ
ขยายพนื้ ทกี่ ารท่องเที่ยว และสง่ ต่อการท่องเทย่ี วให้เกิดขึ้นระหวา่ งพืน้ ท่ีชุมชนใกล้เคยี ง เพื่อนำไปสู่การพัฒนา
เป็นแหล่งท่องเท่ียวตัวอย่างและเป็นสถานท่ที ่องเทยี่ วช่ือดังท่ีเป็นท่ีรจู้ ักของนกั ท่องเที่ยวต่อไป ได้แก่ 1) วัดต้น
เชือก จังหวัดนนทบรุ ี 2) โรงเรียนบา้ นคลองโยง จังหวัดนครปฐม 3) วัดลานตากฟ้า จังหวัดนครปฐม 4) วัดงิ้ว
ราย จังหวัดนครปฐม 5) วัดสัมปทวน จังหวัดนครปฐม 6) วัดสิงห์ จังหวัดนครปฐม 7) วัดท่าใน จังหวัด
นครปฐม 8) วัดธรรมศาลา จังหวัดนครปฐม 9) วัดห้วยตะโก จังหวัดนครปฐม และ 10) วัดพระปฐมเจดีย์
จังหวัดนครปฐม

นอกจากนผี้ ู้วิจยั ยังได้ทดลองสรา้ งของที่ระลึกโดยเร่ิมต้นจากการสำรวจส่ิงที่ปรากฏในนิราศที่สุนทรภู่
กล่าวถึง และสิ่งที่ชุมชนต้องการ “ขาย” ในปัจจุบัน เช่น ผลิตภัณฑ์ OTOP แหล่งท่องเที่ยวชุมชนต่าง ๆ
จากนั้นจึงนำมาประยุกต์เข้าด้วยกนั กล่าวคือ คัดสรรสิ่งท่ีปรากฏในบทประพันธ์มาสร้างสรรค์เป็นของทีร่ ะลกึ
ซง่ึ ทำโดยคนในชุมชนที่สนุ ทรภู่กล่าวถึง และปจั จบุ ันยังคงดำเนินการอยู่ ไมข่ ดั กับวถิ ีปัจจุบัน ดังท่ีงานวิจัยนี้ได้
สร้างสรรค์ “ขนมเสบียงสนุ ทรภ่”ู ขึ้นมา

P a g e | 103

ขณะเดียวกันงานวิจัยนี้ยังได้สร้างมัคคุเทศก์ท้องถิ่น โดยอบรมครูที่สังกัดโรงเรียนในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง
เจา้ หน้าทอ่ี งค์การบริหารสว่ นท้องถิ่นท่ีเกี่ยวข้อง รวมถงึ จดั อบรม “สนุ ทรภู่ ครทู อ่ งเทย่ี ว” แก่นักเรียนโรงเรียน
บ้านคลองโยง อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับนิราศพระประธม โดยมี
จุดมุ่งหมายให้เยาวชนในท้องถิ่นเข้ามีมาส่วนร่วมกับการท่องเที่ยวในชุมชน และส่งเสริมให้เยาวชนในท้องถ่ิน
เรียนรู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชุมชนที่ตนอาศัยอยู่ ส่งผลให้เกิดความรักความผูกพันต่อชุมชน ทั้งยัง
สามารถพฒั นาเปน็ หลักสูตรท้องถ่ินต่อไปได้อีกดว้ ย

ขนมเสบียงสุนทรภู่ หรือขนมเสบยี งเนอื้ นพคณุ ทส่ี รา้ งสรรค์ข้ึนใหมจ่ ากงานวิจยั ตามรอยนิราศพระประธมฯ

การใหค้ วามรเู้ ร่ืองการเดนิ ทางโดยเรอื ของสนุ ทรภ่ทู ่ีปรากฏในนิราศพระประธม ณ วัดระฆงั โฆสติ าราม และวดั เกตุประยงค์

• การศึกษาศักยภาพและมูลค่าของผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวต่อการสร้างรายได้ของ
จงั หวดั ชัยนาท สิงหบ์ รุ ี สระแก้ว และสมทุ รสาคร ในเขตภาคกลาง

ภาคกลางเป็นกลุ่มจังหวัดที่มีความสำคญั อยา่ งสูง และถอื เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศคิด
เป็นมูลค่ากว่าร้อยละ 71 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ และมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในอัตรา
เฉลีย่ ที่สูงมากถึงร้อยละ 8 ต่อปี เนอ่ื งจากสภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบลุ่ม จึงมคี วามสะดวกในการ
เดนิ ทาง รวมท้ังมีแม่นำ้ สายสำคัญของประเทศ จงึ ทำใหเ้ ปน็ บริเวณท่ีอดุ มสมบรู ณ์ด้านทรัพยากรดิน ภาคกลาง
จึงได้ชื่อว่าเป็น “อู่ข้าว อู่น้ำ” ของประเทศ และมีรายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวถึง 85,000 ล้านบาท
ต่อปี มีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลายทั้งทางประวัตศิ าสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติ นอกจากน้ียังมีภูมิปัญญา
ท้องถิน่ ท่เี อ้อื ตอ่ การพัฒนาอยา่ งยงั่ ยนื

อย่างไรก็ตามในช่วง 4-5 ปที ี่ผ่านมาประเทศไทยต้องประสบปัญหาทีส่ ง่ ผลต่อการท่องเที่ยว นบั ต้ังแต่
วิกฤตการณ์โรคซาร์ส ราคาน้ำมัน การแพร่ระบาดของโรคหวัดสายพันธุ์ใหม่ การเมืองในประเทศ และมหา
อุทกภัยในปี 2554 นอกจากนี้ปัญหาระดับศักยภาพและความพร้อมทางการค้าและบริการต่อการท่องเที่ยว

P a g e | 104

ชุมชนยังอยู่ในระดับต่ำ ปัญหาการตลาดการท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ยังไม่ตอบสนองความต้องการ และไม่
สอดคล้องกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่แท้จริง ทำให้ไม่เกิดการท่องเที่ยวที่ต่อเนื่องและยั่งยืน ปัญหาการ
ขาดการจัดการความรู้เกีย่ วกับการทอ่ งเที่ยวของแต่ละจังหวัดที่ดพี อทำให้การจดั การดา้ นทรพั ยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมยังไม่มีประสิทธิภาพ นับวันจะเพิ่มพูนปัญหาที่หลากหลายและเพิ่มมากขึ้น ทำให้รายได้จาก
การท่องเท่ยี วของจงั หวัดลดนอ้ ยลงและไม่มีความยง่ั ยนื

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งประเทศไทยได้กำหนดแผนเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ปี
พศ. 2555-2559 โดยจัดกล่มุ จังหวัดทว่ั ประเทศไว้ 8 กลมุ่ ตามสภาพพ้ืนท่ี และศกั ยภาพการท่องเท่ียว ในแผน
ดังกล่าวได้จัดกลุ่มจังหวัดในภาคกลาง 24 จังหวัด ไว้ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มท่องเที่ยววิถีชีวิตลุ่มแม่น้ำภาคกลาง
รวม 18 จังหวัด กลุ่มท่องเที่ยว Active Beach รวม 4 จังหวัด และ กลุ่มท่องเที่ยว Royal Coast รวม 2
จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่สอดคล้องกับการจัดกลุ่มจังหวัดของสำนักพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมภาคกลาง และ
สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม สถาบัน TDRI ได้ประเมินศักยภาพทางการท่องเที่ยว
เบื้องต้นพบวา่ มี 4 จงั หวดั คือ ชยั นาท สงิ หบ์ ุรี สระแก้ว และ สมทุ รสาคร ทม่ี ีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวต่ำ
กว่าจังหวัดอื่น ๆ ในภาคกลาง จึงน่าสนใจทีจ่ ะศึกษาศักยภาพและมูลค่าผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวทีม่ ีผลต่อการ
สรา้ งรายไดเ้ พิ่มข้ึนของกลมุ่ จงั หวัดดังกลา่ วในเขตภาคกลาง

คณะผู้วิจัยจึงมุ่งเน้นศึกษาเฉพาะ 4 จังหวัดน้ี โดยบูรณาการของ 3 โครงการย่อยคือ การประเมิน
ศักยภาพการท่องเที่ยว แผนการตลาดท่องเที่ยวเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และ การจัดการความรู้การ
ทอ่ งเทย่ี วและพฒั นาทรพั ยากรมนุษย์เพ่ือส่งเสริมรายไดอ้ ย่างยัง่ ยืน ของทงั้ 4 จังหวดั เพื่อประเมินศักยภาพ
ผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวของจังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี สระแก้ว และสมุทรสาคร พัฒนาการตลาดท่องเที่ยวเชิง
เศรษฐกจิ สร้างสรรค์ที่ก่อให้เกิดมูลคา่ เพิ่มต่อการท่องเท่ียวอย่างยงั่ ยืน และเพ่ือจัดการองค์ความรู้ที่ได้จากการ
ประเมินศักยภาพ การตลาดท่องเที่ยวเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และองค์ความรู้ที่มีอยู่ใน 4 จังหวัด เพื่อ
เสนอแนะเชิงนโยบายการพัฒนาการตลาดท่องเที่ยวและทรัพยากรมนุษย์ด้านการท่องเที่ยว และนำไปสู่การ
สร้างรายได้อย่างยั่งยืนของจังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี สระแก้ว และสมุทรสาคร ตลอดจนส่งเสริมการบูรณาการ
การวิจยั ด้านการทอ่ งเท่ยี วแบบสหวทิ ยาการ

การศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพได้ศึกษาพร้อมกันทั้ง 3 โครงการย่อย โดยศึกษาเชิงลึกแบบสนทนากลุ่ม
ยอ่ ยกบั กลุ่มบุคคล 3 กลมุ่ ได้แก่ กลมุ่ ประชาชนในพน้ื ที่ กลมุ่ ผปู้ ระกอบการทเี่ ก่ียวเน่ืองกับการท่องเท่ียว และ
กลุ่มองค์กรท้องถ่ินทั้งหนว่ ยราชการ ไม่น้อยกวา่ 3 พน้ื ทีต่ อ่ 1 จังหวดั สว่ นการวิจัยเชงิ ปริมาณแต่ละโครงการ
ใช้แบบสำรวจของแต่ละโครงการและบูรณาการผลการศึกษาร่วมกัน โดยศึกษาจากนักท่องเที่ยวที่เคยและอยู่
ระหว่างการท่องเที่ยว เน้นผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว 5 ผลิตภัณฑ์ คือ อาหาร นันทนาการ ที่พัก องค์ความรู้ และ
ธรรมชาติ

จากการบูรณาการผลการศึกษาของทั้ง 3 โครงการ พบว่าจังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี และสระแก้วมี
ศักยภาพผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยวอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนจังหวัดสมุทรสาครมีศั กยภาพ
ผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวอยู่ในระดับสูงแต่มีแหล่งท่องเที่ยวอยู่ในระดับต่ำ แหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพของจังหวัด
ชัยนาท คือ สวนนกชัยนาทและวัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดสิงห์บุรีคือ วัดพระนอนจักรสีห์และวัดพิกุล
ทอง จังหวัดสระแก้วคือ อุทยานแห่งชาติปางสีดา/ตาพระยา ส่วนจังหวัดสมุทรสาครคือ เบญจรงค์ดอนไก่ดี
และศาลพันทา้ ยนรสงิ ห์ โดยแนวทางสร้างเสริมศักยภาพควรเน้นการนำเสนอการท่องเที่ยวเชิงสงั คมวัฒนธรรม
ให้คนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ให้เกิดความกลมกลืนระหว่างวิถีชีวิตชุมชนกับ
กิจกรรมการทอ่ งเทย่ี วเพือ่ ให้เกดิ ศักยภาพทยี่ ่ังยนื

P a g e | 105

ผลการประเมินศักยภาพของโครงการย่อยที่ 1 และข้อค้นพบจากการสำรวจของโครงการย่อยที่ 3
เก่ยี วกับการจดั การความรู้ โครงการยอ่ ยที่ 2 ไดน้ ำผลมาบรู ณาการ ทำใหไ้ ด้รปู แบบผลิตภัณฑก์ ารท่องเท่ยี วเชิง
เศรษฐกจิ สร้างสรรค์ทส่ี อดคล้องกับทรพั ยากรการทอ่ งเที่ยวของจังหวดั ท้ังส่ี

- ผลติ ภัณฑท์ ่องเท่ยี วของจงั หวดั ชยั นาท คอื นันทนาการของสวนนกและวัดปากคลองมะขามเฒ่า
- ผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวของจังหวัดสิงห์บุรีคือ องค์ความรู้สำคัญที่วัดพระนอนจักรสีห์และวัดพิกุลทอง
ตลอดจนองคค์ วามรจู้ ากการทำประมงน้ำจืดทำให้ได้ผลติ ภัณฑ์ปลาทมี่ ชี ื่อเสียง
- ผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวของจงั หวัดสระแก้ว คือ ผลิตภัณฑ์นันทนาการ ซึ่งเป็นการจับจ่ายสินคา้ ที่ตลาด
โรงเกลือและธรรมชาติของอทุ ยานแหง่ ชาติปางสีดา/ตาพระยา
- ผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวของจังหวัดสมุทรสาคร คือ อาหารทะเลและผลไม้ รองลงมาคือองค์ความรู้จาก
ขอ้ คิดเกยี่ วกบั ศาลพนั ท้ายนรสงิ ห์ และผลิตภณั ฑเ์ บญจรงค์ดอนไก่ดมี าใชป้ ระโยชน์ให้เกิดมูลคา่ เพ่ิม
การสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวเป็นการนำวัตถุดิบในท้องถิ่นผสมผสานกับภูมิปัญญา
ท้องถิ่น เทคโนโลยี และวัฒนธรรมท้องถิ่น ก่อให้เกิดเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าและหายากจน
นักท่องเที่ยวตอ้ งไปแสวงหาหรือเยี่ยมเยียนถึงถ่ินของจังหวัดน้ัน
โครงการย่อยที่ 3 ศึกษาการจัดการความรู้การท่องเที่ยวโดยเสาะหาองค์ความรู้ด้านการท่องเที่ยวใน
แตล่ ะจังหวัด รปู แบบการจัดการองคค์ วามร้ใู นแต่ละจงั หวัด บรู ณาการผลการศกึ ษาจากโครงการย่อยที่ 1 และ
โครงการย่อยที่ 2 เพื่อพัฒนาฐานข้อมูลการท่องเที่ยว สื่อประชาสัมพันธ์และนำเสนอหลักสูตรการให้ความรู้
ด้านการตลาดท่องเทย่ี วและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ดา้ นการทอ่ งเทย่ี วเพื่อสง่ เสริมรายไดอ้ ย่างย่ังยืน49

สวนนกชยั นาท จ.ชยั นาท และวดั พระนอนจักรสหี ์ จ.สิงหบ์ รุ ี

ตลาดโรงเกลอื และอุทยานแหง่ ชาตปิ างสีดา จ.สระแก้ว

49 การศึกษาศักยภาพและมลู คา่ ของผลิตภัณฑ์การทอ่ งเทีย่ วตอ่ การสรา้ งรายไดข้ องจังหวัดชยั นาท สงิ หบ์ ุรี สระแกว้ และสมุทรสาคร ในเขตภาค
กลาง. ศริ ิชัย พงษว์ ิชยั จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . สำนกั งานกองทุนสนบั สนุนการวิจยั และสำนกั งานคณะกรรมการวจิ ัยแห่งชาติ

P a g e | 106

วัดศาลพนั ท้ายนรสิงห์ และเบญจรงค์ดอนไก่ดี จ.สมทุ รสาคร

ขอ้ เสนอแนะ จำแนกตามจงั หวัดต่าง ๆ ดังนี้
จังหวัดชัยนาท ควรให้นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณี แหล่ง
ประวัตศิ าสตร์ และผสมผสานวัฒนธรรมทอ้ งถน่ิ อีกทั้งใชส้ ่งิ ท่ีมีอย่ใู นท้องถิ่นสรา้ งผลิตภัณฑเ์ พอ่ื เพ่ิมมลู ค่า เช่น
สวนนกควรสร้างบรรยากาศให้เหมาะกับนักท่องเที่ยวกลุ่มเด็กและครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ปรับปรุงด้านความ
สะอาดและความเพียงพอของห้องน้ำทั้งหญิงและชาย อาหารในแหล่งท่องเทยี่ วควรมีเอกลักษณ์ประจำท้องถิ่น
ทั้งนี้ท้องถิ่นควรจัดการการท่องเที่ยวแบบค่อยเป็นค่อยไป ด้านการจัดการความรู้ควรเพิ่มศูนย์เรียนรู้ด้านภูมิ
ปัญญาของชุมชน พรอ้ มกบั สนับสนนุ กิจกรรมของศนู ย์และส่งเสริมการศึกษาดูงาน/ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการแก่
ตัวแทนของท้องถิ่น สนับสนุนการปรับปรุงคุณภาพและปริมาณการผลิต การแปรรูปผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด
สากล และจัดหลักสูตรสำหรบั คนในชมุ ชนเพื่อสนับสนุนการท่องเทย่ี ว การประชาสมั พันธท์ ่เี หมาะสมดา้ นการ
ท่องเทยี่ วอย่างยงั่ ยืนควรทำส่ือเปน็ แผน่ พับ รวมท้ังมีการแบ่งปนั แลกเปลยี่ นความรูท้ างเว็บไซต์
จังหวัดสิงห์บุรี ควรเชื่อมโยงการจัดการด้านการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ โดยประสานความ
ร่วมมือกับจังหวัดใกล้เคียงที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการการท่องเที่ยวของจังหวัดควรดึง
องคค์ วามรขู้ องจงั หวัดมาประชาสมั พนั ธเ์ ผยแพร่ให้เป็นท่ีรู้จักมากข้ึน และควรนำเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มา
เรียบเรียงให้เหมาะสมเพ่ือเพิ่มความต้องการในการท่องเท่ียว ควรประชาสมั พันธ์อาหารและผลิตภัณฑ์ท้องถ่ิน
เพ่ือใหน้ กั ท่องเทยี่ วได้จับจ่ายใช้สอยอันนำมาซ่งึ รายได้ของท้องถ่ิน ของท่ีระลกึ และอาหารแปรรูปควรปรับปรุง
ผลิตภัณฑแ์ ละระบุสิง่ บง่ ชี้ทางภมู ิศาสตร์ท่เี ปน็ เอกลักษณข์ องจังหวัดสิงหบ์ ุรี นอกจากน้ีควรปรบั ปรงุ ดูแล ทำนุ
บำรุง โบราณสถาน โบราณวัตถุ สนับสนุนการดูงานและฝึกอบรมแก่ตัวแทนของชุมชนและหน่วยราชการ
สนับสนุนเร่งรัดการจัดการดา้ นการชลประทานและระบบสาธารณูปโภค อีกทั้งให้มีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว
และการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมการสร้างและการบริหารจัดการศูนย์เรียนรู้ด้าน
ทรัพยากรธรรมชาติ ประเพณี วัฒนธรรม และภูมปิ ญั ญาทอ้ งถน่ิ ทดี่ ีงาม
จังหวัดสระแก้ว ผู้ท่ีเกี่ยวข้องควรกำกับดูแลพ่อค้าแม่ค้าให้เคารพกฎเกณฑ์กติกาของตลาด มี
จริยธรรมในการค้าขาย รักษาความสะอาดบริเวณร้านค้าของตนรวมถึงบริเวณตลาด ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ประกอบการร้านอาหารและน้ำต้องรู้จักวิธีการปอ้ งกันแมลงวัน เชื้อโรคและฝุ่นละออง ใช้
ภาชนะที่สะอาดถูกต้องตามหลักอนามัย ร้านอาหารโดยเฉพาะอาหารเวียดนาม ซึ่งพบว่านักท่องเที่ยวมีความ
นิยมจะต้องทำป้ายให้ชัดเจนและประชาสัมพันธ์แนะนำร้าน/แผนที่ทางไปร้านให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เจ้าหน้าที่
อุทยานต้องรักษาความปลอดภัยและความสะอาดของบริเวณอุทยานและน้ำตกอย่างสม่ำเสมอ มีบทลงโทษ
นักท่องเที่ยวที่ทำผิดกฎของอุทยาน นอกจากนั้นควรฟื้นฟู ปรับปรุง สนับสนุน การดูแลรักษาเรื่องราวของ
โบราณสถาน โบราณวัตถุ ให้ผู้คนกลับมาสนใจโบราณสถานให้มากกว่านี้ การพัฒนาโฮมเสตย์ควรเป็นแบบ

P a g e | 107

ค่อยเป็นค่อยไป ส่งเสริมและสนับสนุนการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวแบบการมีส่วนร่วม ส่งเสริมกิจกรรม
การดำเนินงานของศูนย์ฯ การจัดทำฐานความรู้ด้านต่าง ๆ อีกทั้งเพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้และความ
เข้าใจเพื่อสร้างจิตสำนึกความเป็นเจ้าของให้แก่ประชาชนเจ้าของพื้นที่ สุดท้ายควรจัดอบรมหลักสูตรสำหรับ
คนในชุมชนเพอ่ื สนับสนุนการทอ่ งเทยี่ ว

จังหวัดสมุทรสาคร ผู้ประกอบการอาหารทะเลควรเพมิ่ มลู ค่าผลิตภณั ฑข์ องตนด้วยการรกั ษาความสด
และความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ จัดเตรียมบรรจุภัณฑ์เพื่อรักษาความสดและสะดวกในการนำกลับ
นอกจากนั้นกลุ่มผู้ขายอาหารทะเลควรคิดค้นเมนูใหม่ทั้งอาหารสดและอาหารแปรรูปเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับ
ผู้บริโภค ผู้ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ตลาดทะเลควรดแู ลรักษาความสะอาดของตลาดอย่างสมำ่ เสมอทุกจุด มีท่ีล้างมือตาม
จุดตา่ ง ๆ การจัดระเบยี บท่ีจอดรถ รวมถึงปรับปรุงส่งเสริมกิจกรรมด้านวัฒนธรรมประเพณีในชุมชน และการ
จดั ทำฐานข้อมูลความรดู้ า้ นตา่ ง ๆ เชน่ องคค์ วามร้ดู า้ นการใช้ไม้ไผช่ ะลอคลน่ื การทำนาเกลือ การเกษตรกรรม
การเพาะเลย้ี งสัตวน์ ้ำ การฝึกอบรมดา้ นการบรหิ ารจัดการแหล่งท่องเทีย่ ว และการปรับปรุงเส้นทางการเดินรถ
เพื่อเข้าสู่แหล่งท่องเท่ียว ควรเร่งรัดการจัดสร้างระบบสาธารณูปโภคในแหล่งท่องเที่ยวที่กำลังดำเนินการอยู่
ตลอดจนเรง่ รัดควบคมุ ตรวจจับการลักลอบทิ้งนำ้ เสียลงในลำคลองสาธารณะ และจดั อบรมหลักสตู รสำหรับคน
ในชมุ ชนเพอ่ื สนบั สนุนการท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตามทุกจังหวัดยังมีจุดด้อยเรื่องการบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยว ไม่มีอิสระในการ
บริหารงานดา้ นงบประมาณการท่องเทย่ี วเพราะต้องขนึ้ อยู่กับจงั หวัดอื่น นอกจากนท้ี ง้ั 4 จงั หวัดยังขาดการบูร
ณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครฐั และภาคประชาชน อกี ท้ังผรู้ ับผิดชอบด้านการท่องเทยี่ วมีการโยกย้าย
ตามวาระทำให้แผนงานไม่มีความต่อเนื่องและไม่มีนโยบายการท่องเที่ยวชัดเจน ทำให้มีผู้รับผิดชอบหลาย
หนว่ ยงานและไมม่ กี ารบรู ณาการงานทอ่ งเท่ยี วรว่ มกนั

ปญั หาเร่งดว่ น
นักท่องเที่ยวไม่นิยมค้างคืนหรือถ้าค้างคืนจะเที่ยวไม่เกิน 2 วันในจังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี สระแก้ว
และสมุทรสาคร อาจเนื่องมาจากจังหวัดชัยนาทและสิงห์บุรีเป็นเมืองผ่านและที่พักไม่ดึงดูดใจ ส่วนจังหวัด
สมทุ รสาครอยูใ่ กล้กรุงเทพฯ และจงั หวดั สระแก้วนักท่องเท่ียวอาจยังไม่ทราบวา่ มแี หลง่ ท่องเทยี่ วอีกมากมายท่ี
นา่ สนใจ สง่ ผลให้สนิ คา้ ทพ่ี ัก รวมถึงผลติ ภัณฑใ์ นทอ้ งถน่ิ ไมส่ ามารถจำหน่ายและบรกิ ารได้
วธิ แี ก้ไขปัญหาการสร้างมลู ค่าเพิ่มให้กบั ท้งั 4 จังหวัด ควรหาวธิ ีการใหน้ ักทอ่ งเทย่ี วค้างคืนและจับจ่าย
ใช้สอยให้มากขึ้น โดยเจ้าภาพควรเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีคณะทำงานได้แก่ ท่องเที่ยวจังหวัด
ประชาสัมพันธ์จังหวัด เกษตรจังหวัด พาณิชย์จังหวัด ประธานหอการค้าจังหวัดและวัฒนธรรมจังหวัดต้อง
บูรณาการร่วมกัน ปัญหาที่ควรดำเนินการเร่งด่วนคือ ประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวได้รู้จักแหล่งท่องเที่ยว
จำแนกตามกล่มุ นักท่องเทย่ี ว เชน่ กลุ่มนกั เรยี นนักศึกษาให้แนะนำเส้นทางเพ่ิมทักษะชวี ติ กลุ่มเกษียณอายุให้
แนะนำเส้นทางธรรม กลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไปให้แนะนำเส้นทางท่องเที่ยวหลักของจังหวัด ซึ่งจะทำให้แต่ละ
กลุ่มเห็นคุณค่าตามความชอบของตนเอง ส่งผลให้มีแนวโน้มที่จะจับจ่ายใช้บริการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ต้อง
สร้างพนั ธมิตรรว่ มกบั กลุ่มผปู้ ระกอบการทอ้ งถน่ิ ด้านอาหาร ที่พกั และการขนส่งด้วย
ปัญหารอง
ชมุ ชนยงั ไดร้ บั การส่งเสรมิ สนับสนุนการผลิตและการขายสนิ ค้าเกย่ี วกบั การทอ่ งเท่ยี วไม่มากพอ
วิธีแก้ไขปัญหา
- ให้ชุมชนได้รับความรู้เก่ียวกับทรัพยากรท่องเท่ียวในทอ้ งถิ่นตนเองให้มากขึ้นเพื่อตอบคำถามต่าง ๆ
แก่นักท่องเที่ยวได้อย่างชัดเจน กระตุ้นให้ชุมชนรักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาตขิ องท้องถิ่นเพื่อทำให้เกิด

P a g e | 108

การท่องเที่ยวที่ยั่งยืนสืบไปชั่วลูกชั่วหลาน พร้อมทั้งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ท้องถิ่นปราศจากมลภาวะ
ซ่งึ เป็นแนวโน้มท่ีนักทอ่ งเท่ยี วยุคใหม่แสวงหา

- ฝกึ อบรมมคั คเุ ทศก์ทอ้ งถิน่ สมทบเพ่ือใหเ้ กดิ อาชีพทีก่ ่อให้เกิดรายไดเ้ พม่ิ ให้แก่ท้องถนิ่
- สนับสนุนและฝึกอบรมผู้ประกอบการท้องถิ่นที่มีศักยภาพที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น
ผู้ประกอบการของที่ระลึก ร้านอาหาร การขนส่ง ที่พัก เพื่อปรับปรุงมาตรฐานและยกระดับคุณภาพการ
ให้บริการให้เป็นสากลมากขึ้น เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอนาคต และสร้างความประทับใจ
ให้กับนักท่องเที่ยวปัจจบุ นั ได้รับบรกิ ารท่ีได้มาตรฐาน ทำให้นักท่องเท่ียวอยากกลับมาใชบ้ ริการซ้ำ ซึ่งเป็นการ
สร้างมูลค่าเพิ่มหรือรายได้ให้กับท้องถิ่นต่อไป เจ้าภาพที่ควรรับผิดชอบโครงการนี้คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด
ทอ่ งเท่ยี วจังหวัด ประธานหอการคา้ และพาณชิ ย์จงั หวัด

• แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม
กรณีศึกษา : เส้นทางทอ่ งเที่ยวอารยธรรมลา้ นนา

ประเทศไทยได้เปรียบด้านทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งมีมากเป็นอันดับ 3 ของภูมิภาค
เอเชีย มีความโดดเด่นเฉพาะตัวของศิลปวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารยธรรมล้านนา ทำให้การ
ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ จึงเกิดการตื่นตัว
และตระหนักถงึ ความสำคญั โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลไดม้ ีนโยบายส่งเสริมและพฒั นาการท่องเท่ียวโดยใช้ฐาน
ทางวัฒนธรรมตามแนวทางส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติฉบับที่ 11
(พ.ศ. 2555-2559) โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากำหนดใหภ้ าคเหนือตอนบนเป็นพื้นที่ที่มศี ักยภาพใน
การเป็น “กลุ่มท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา” อีกทั้งรัฐบาลได้ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมผ่านการ
ท่องเที่ยววถิ ีไทย มุง่ สื่อสารภาพลักษณท์ ี่สามารถเสรมิ ความเข้มแข็งให้แบรนด์ประเทศไทย

นอกจากนี้การศึกษาวิจัยภายใต้แผนงานวิจัย “การบริหารจัดการและการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิง
วัฒนธรรมเส้นทางอารยธรรมล้านนา เชื่อมโยงกับ สปป.ลาว สหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐประชาชนจีน
(ตอนใต้)” ได้นำเสนอเส้นทางท่องเที่ยวเชงิ วัฒนธรรมอารยธรรมล้านนาที่มีศักยภาพสูงในการจดั การท่องเที่ยว
จำนวน 6 กลุ่มเส้นทาง คือ กลุ่มเส้นทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี กลุ่มเส้นทางประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
กลุ่มเส้นทางสถาปัตยกรรม กลุ่มเส้นทางหัตถกรรมล้านนา กลุ่มเส้นทางเทศกาลงานประเพณีล้านนา กลุ่ม
เส้นทางวิถีชวี ติ ล้านนา อกี ทัง้ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตฉิ บับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564) มีประเด็น
การพัฒนาหลักที่สำคัญด้านการท่องเที่ยว ที่มุ่งเน้นการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจบริการ
การท่องเที่ยวที่มีศักยภาพให้เติบโต และสนับสนุนภาคการผลิตโดยเน้นการสร้างความสมดุลและย่ังยืนในการ
พฒั นาอตุ สาหกรรมท่องเท่ยี ว ซง่ึ คำนึงถึงขดี ความสามารถในการรองรับของระบบนิเวศและศักยภาพของพ้ืนที่
ใหค้ รบวงจรทง้ั การผลติ ธรุ กิจทีเ่ กย่ี วข้อง เพื่อใหก้ ารทอ่ งเทย่ี วสามารถสรา้ งรายได้และแข่งขันได้มากขึน้

จากการประชุมแลกเปลยี่ นความคิดเหน็ ของหน่วยงานทเี่ กี่ยวข้อง ทงั้ ภาครฐั เอกชน ชุมชนท่องเท่ียว
มีประเด็นสำคัญที่ต้องดำเนินงานต่อเพื่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในพื้นท่ี
ภาคเหนือตอนบน อาทิ การสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ “รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม” “สภาพ
ตลาดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม” เพื่อนำไปสู่การพัฒนาสินค้าและการบริการการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
การพัฒนาศักยภาพด้านการประชาสัมพันธ์/การให้ข้อมูลในแหล่งท่องเที่ยว สิ่งอำนวยความสะดวก และการ
รับรองมาตรฐานการท่องเที่ยว รวมถึงการจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (ระดับ
จังหวัดและระดับทอ้ งถิ่น) เพื่อทำหน้าที่เป็นกลไกส่วนกลางในการประสานแผนงานพัฒนาแหล่งท่องเทีย่ วเชงิ
วัฒนธรรม และเปน็ ศูนย์ประสานความร่วมมือในการจดั การการท่องเที่ยวเชงิ วฒั นธรรม

P a g e | 109

แผนงานการพัฒนาผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มใหก้ ับผลิตภัณฑ์ในกลมุ่
เส้นทางท่องเที่ยวอารยธรรมลา้ นนา จงึ ศึกษาและพฒั นาเสน้ ทางท่องเท่ียวเชงิ วัฒนธรรมอารยธรรมล้านนาท่ีมี
ศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยว พร้อมทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธเ์ ส้นทางท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นรูปแบบการ
เสนอขายแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม วิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ชุมชน เน้นเรื่องวิถี
ไทย (Thainess) และภมู ิปญั ญาท้องถน่ิ ทีโ่ ดดเด่นมีเอกลกั ษณ์ ผสานกบั ความหลากหลายของสินคา้ และบริการ

P a g e | 110

ทางการท่องเที่ยวที่สามารถตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวได้หลากหลายรูปแบบ และสร้าง
มลู ค่าเพิ่มใหเ้ กิดรายได้จากการท่องเที่ยวมากย่ิงขึน้ 50

ผลการสำรวจและวิเคราะห์ศักยภาพของแหลง่ ท่องเท่ยี วเชิงประเพณี วถิ ีชีวติ และแหล่งท่องเที่ยวเชิง
วัฒนธรรมเพื่อการเรียนรู้คุณค่าทางสถาปัตยกรรมในเส้นทางอารยธรรมล้านนา และนำข้อมูลที่ได้มานำเสนอ
ในเวทีระดมความคิดเห็นเพื่อจัดเส้นทางท่องเที่ยว (นำร่อง) ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนของหน่วยงานภาครัฐ
ภาคเอกชน ภาคประชาชนมีส่วนร่วมคัดเลือกเส้นทางท่องเที่ยว (นำร่อง) เพื่อให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์การ
ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเส้นทางการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา ผลที่ได้นำมาสู่การลงพื้นที่จังหวัดลำพูนเพื่อ
ประชุมร่วมกับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของเทศบาลเมืองลำพูน ผู้นำชุมชนในพื้นที่บานแพะต้นยางงาม อำเภอ
บ้านธิ และประชาชนที่เกี่ยวข้องในการร่วมกันจัดโปรแกรมเส้นทางท่องเที่ยว (นำร่อง) ที่เชื่อมโยงแหล่ง
ท่องเที่ยวเชงิ ประเพณี วิถีชีวิต และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเพื่อการเรียนรู้คุณคา่ สถาปัตยกรรมในเส้นทาง
อารยธรรมลา้ นนา

แหล่งท่องเที่ยวภายในเส้นทางถูกคัดเลือกมาจากการเชื่อมโยงข้อมูลจากทั้งสองโครงการย่อย เพราะ
สถาปัตยกรรมจะผูกโยงกับวิถีชีวิตโดยตรง อีกทั้งยังเป็นสื่อความคิดและสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของสังคมใน
ยุคนั้น ๆ นำมาสู่การพัฒนาเป็นโปรแกรมเส้นทางท่องเที่ยว (นำร่อง) โดยจัดโปรแกรมการท่องเที่ยวใน 2
รูปแบบ คือ โปรแกรมการท่องเที่ยวแบบ 1 วัน และโปรแกรมท่องเที่ยว 2 วัน 1 คืน ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่ถูก
คัดเลือกใหอ้ ยู่ในโปรแกรมการท่องเท่ยี ว (นำร่อง) มคี า่ คะแนนการประเมินศักยภาพความพร้อมของทรัพยากร
การมีส่วนร่วมในพื้นที่ มีศักยภาพความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยว นอกจากนั้นยังพบว่าศักยภาพด้าน
คุณค่าทางสถาปัตยกรรม และสิ่งบริการในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองลำพูนซึ่งเป็นเขตเวียงเก่า ปรากฏแหล่ง
ทอ่ งเทยี่ วทีม่ คี ุณคา่ และความโดดเด่นดา้ นสถาปัตยกรรม โดยแหล่งท่องเท่ียวทมี่ ศี กั ยภาพอยใู่ นระดับปานกลาง
และสูงคือ วัดพระธาตุหริภุญชยั วัดจามเทวี วัดพระยืน และพิพิธภัณฑ์ชุมชนเมืองลำพูน ซึ่งโครงการย่อยที่ 2
กำหนดให้เป็นหมุดหลักของเส้นทางท่องเที่ยว โดยเชื่อมร้อยกับแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่มีความสำคัญทาง
ประวัติศาสตร์ และบทบาทด้านกายภาพที่สง่ เสรมิ การท่องเท่ียวในพ้ืนทร่ี ่วมกบั ชมุ ชนและหนว่ ยงานทเ่ี ก่ียวข้อง
มีความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรม สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในการพัฒนาเป็นเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
เพื่อการเรียนรู้คุณค่าสถาปัตยกรรมในเส้นทางอารยธรรมล้านนา โดยเชื่อมร้อยกับตำบลบ้านธิ อำเภอบ้านธิ
จงั หวัดลำพูน ทม่ี คี วามโดดเด่นดา้ นประเพณีและวิถชี ีวิตในรปู แบบไตลอื้

เมื่อได้โปรแกรมเส้นทางท่องเที่ยว (นำร่อง) แล้ว ทีมวิจัยได้ทดสอบกิจกรรมการท่องเที่ยวเพื่อศึกษา
วิเคราะห์และประเมินศักยภาพเส้นทาง พบว่ามีความเหมาะสมที่จะนำเสนอเป็นเส้นทางใหม่ในการท่องเที่ยว
เชิงวัฒนธรรม เส้นทางอารยธรรมล้านนา เนื่องจากแหล่งท่องเที่ยวมีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยว มี
ความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม วิถีชีวิต รวมทั้งหน่วยงานภาครฐั ในพืน้ ท่ี เอกชน ผู้นำชุมชน และ
ประชาชนมีส่วนร่วมสำคัญในการขับเคลี่อนกิจกรรมที่อยู่ในเส้นทางการท่องเที่ยว ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นสิ่ง
สำคญั ตอ่ การพฒั นาผลิตภัณฑ์ทางการทอ่ งเที่ยว

50 แผนงานวิจยั แนวทางการพฒั นาผลิตภณั ฑท์ างการท่องเที่ยวเชงิ วฒั นธรรมเพื่อสร้างมลู ค่าเพม่ิ กรณีศกึ ษา : เสน้ ทางทอ่ งเทยี่ วอารยธรรมลา้ นนา.
ดร.กรวรรณ สงั ขกร มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่. สำนักงานกองทุนสนบั สนนุ การวจิ ยั ฝ่ายอตุ สาหกรรม และสำนกั งานคณะกรรมการการวจิ ัยแหง่ ชาติ

P a g e | 111

รายไดจ้ ากการท่องเท่ียวของนักทองเทย่ี วไทยในเขตพฒั นาการทองเท่ียวอารยธรรมล้านนา ปี พ.ศ. 2555-2558

รายไดจ้ ากการท่องเทีย่ วของนกั ทองเทย่ี วต่างชาตใิ นเขตพฒั นาการท่องเทย่ี วอารยธรรมล้านนา ปี พ.ศ. 2555-2558

การศึกษาและเสนอแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์และสร้างมูลค่าเพิ่มการท่องเที่ยวเชิงประเพณี
และวถิ ีชวี ิตในเสน้ ทางอารยธรรมลา้ นนา

ผลการคัดกรองแหล่งท่องเที่ยวเชิงประเพณีและวิถีชีวิตในเส้นทางอารยธรรมล้านนา ทำให้ได้แหล่ง
ท่องเที่ยวที่มศี ักยภาพสูงด้านทรัพยากรการท่องเที่ยวและการมีส่วนร่วมของชุมชน จำนวน 27 แหล่ง ในพื้นท่ี
5 จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง และพะเยา และใช้ตัวชี้วัดการประเมินสถานการณ์การ
ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมทางประเพณีและวิถีชีวิตในเส้นทางอารยธรรมล้านนา ซึ่งดัดแปลงจากคู่มือการตรวจ
ประเมนิ มาตรฐานคณุ ภาพแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม (กรมการทอ่ งเท่ียว 2557) จำนวน 3 ด้าน ดังน้ี

ดา้ นที่ 1 ศกั ยภาพด้านประวัตศิ าสตรแ์ ละวฒั นธรรม
- การพัฒนาผลติ ภณั ฑ์และสรา้ งมูลค่าเพิ่ม ต้องให้ความสำคัญกับการการสืบค้นประวัติศาสตร์ ค้นหา
รากเหง้า และความชัดเจนในอัตลักษณ์ของแต่ละพื้นที่ เพื่อสร้างความน่าสนใจให้กับตัวผลิตภัณฑ์ (เส้นทาง
ท่องเทย่ี ว)

P a g e | 112

- พัฒนารปู แบบแนวทางในการปลกู ฝงั ค่านยิ มใหค้ นคนรนุ่ ใหมเ่ ห็นคุณค่า และอยากทจี่ ะรักษาและสืบ
สานวฒั นธรรมประเพณีแบบดงั้ เดมิ

ดา้ นท่ี 2 ศักยภาพด้านคุณค่าทางสังคมและเศรษฐกจิ
- ต้องมีเวทีวางแผนงานและสร้างความเข้าใจร่วมกันของทุกภาคส่วนในพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ที่มีส่วนได้
ส่วนเสยี กับการพฒั นาผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเพื่อสรา้ งมูลค่าเพิ่มการท่องเท่ียวเชิงประเพณีและ
วิถีชีวิตในเส้นทางอารยธรรมล้านนา อาทิ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน หน่วยงานด้านวิชาการ
สถาบันการศึกษา ปราชญ์ ผู้รู้ในด้านประเพณีและวิถชี ีวิต ประชาชนในพื้นที่ ฯลฯ เพื่อร่วมกันกำหนดทิศทาง
และวางแผนในการขบั เคลอ่ื นงาน ซึง่ จะหมายถงึ การดาเนินงานร่วมกันของทกุ ฝา่ ยและรบั ประโยชน์รว่ มกนั
- ต้องมีหน่วยงานหลกั ที่เป็นกลไกกลางในการประสานงาน และดงึ การมีส่วนร่วมของทกุ ภาคส่วน
ด้านท่ี 3 ศกั ยภาพดา้ นโอกาสในการพัฒนาการเศรษฐกจิ
- พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยว และการนำเสนอโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ การลองทำ
ด้วยช่างฝีมือในชุมชนในการถ่ายทอดองค์ความรู้แต่ละด้านให้กับนักท่องเที่ยวได้ร่วมลองฝึกปฏิบัติ เป็นการ
สร้างความผูกพันของนักท่องเที่ยวกับผู้ถูกท่องเที่ยว ผ่านประสบการณ์แท้/ปฏิบัติการจริงที่มาจากการเรียนรู้
ในพื้นที่ท่องเที่ยว และเป็นผลให้เกิดความจดจำ ประทับใจอย่างลึกซึ้งในพื้นที่ของการท่องเที่ยว ให้
นกั ทอ่ งเท่ยี วรู้สกึ วา่ ส่ิงที่ไดค้ ุ้มค่าตัวเงนิ ท่เี สยี ไปและอยากกลบั มาเทย่ี วอีก
- การตอ่ ยอดองค์ความรูภ้ ูมปิ ัญญาท้องถ่ิน ซง่ึ เปน็ จดุ เดน่ ทจี่ ะนำเสนอขายให้กบั นกั ท่องเท่ียว มที ั้งการ
สร้างเครอื ขา่ ยกลมุ่ หตั ถศลิ ปล์ า้ นนา การสืบสานภมู ิปญั ญาโดยกลุ่มเยาวชนในพน้ื ที่
- กำหนดกฎระเบยี บการบริหารจัดการทรพั ยากรการท่องเที่ยวเชงิ ประเพณีและวิถีชวี ิตรว่ มกัน เพื่อให้
การทอ่ งเที่ยวที่เข้ามาไมส่ ่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดมิ
- นำเสนอความแตกต่างของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ที่ไม่ใช่แค่รูปแบบกิจกรรม
ประเพณี แตเ่ ปน็ การนำเสนอรูปแบบการท่องเที่ยวที่เน้นการเรยี นร้คู วามแตกตา่ งของอัตลักษณ์ เรียนรู้วิถีชีวิต
และภูมปิ ญั ญาที่เปน็ องค์ความจากบรรพบรุ ษุ สชู่ นรุ่นหลัง
- พัฒนารูปแบบการนาเสนอผลิตภัณฑ์และสร้างมูลค่าเพิ่มการท่องเที่ยวเชิงประเพณีและวิถีชีวิตใน
เส้นทางอารยธรรมล้านนาให้มคี วามนา่ สนใจ เขา้ ถงึ กลุม่ เปา้ หมายซง่ึ ใช้โซเชียลในการทอ่ งเท่ียวมากขน้ึ
- เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวกับประวัติศาสตร์ของชุมชน วิถีชีวิต ภูมิปัญญาท้องถิ่น คติความเช่ือ
พิธีกรรมและวัฒนธรรม โดยร้อยเรียงเป็นเร่ืองราวเพื่อสรา้ งความน่าสนใจและสร้างมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์การ
ท่องเทีย่ ว อีกทั้งพฒั นาให้เปน็ รปู แบบกจิ กรรมการท่องเท่ียวทีส่ ะท้อนผ่านงานประเพณีในท้องถ่ิน
การศึกษาและเสนอแนวทางการยกระดับและสรา้ งมูลค่าเพิ่มเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเพ่ือ
การเรยี นรคู้ ณุ ค่าสถาปตั ยกรรมในเส้นทางอารยธรรมลา้ นนา
ผลการคัดกรองแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และผลการประเมินสถานการณ์แหล่งท่องเที่ยวเชิง
วัฒนธรรมเพ่ือการเรียนรู้คุณค่าสถาปัตยกรรมในพื้นที่อารยธรรมลา้ นนา จำนวน 34 แหล่ง ในพื้นที่ 7 จังหวดั
คือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน และพะเยา โดยใช้ตัวชี้วัดในการประเมินสถานการณ์แหล่ง
ท่องเที่ยวที่ทีมวิจัยปรับปรุงและประยุกต์ใช้จากคู่มือการประเมินมาตรฐานคุณภาพแหล่งท่องเที่ยวทาง
วัฒนธรรม (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและกรมการทอ่ งเทย่ี ว, 2550) จำนวน 3 ด้าน ดงั นี้
ด้านที่ 1 ศกั ยภาพทางด้านกายภาพของแหลง่ ท่องเท่ียว
- การสร้างมูลค่าเพิ่มของแหล่งท่องเที่ยว ควรดูแลรักษาโดยลดปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดการบุกรุกหรือ
ทำลายโบราณสถาน โบราณวตั ถุ บรู ณะปรบั ปรุงแต่ไม่เปลย่ี นแปลง เน้นการฟนื้ ฟูทรัพยากรทางสถาปัตยกรรม
ที่ทรงคุณค่าให้คงอยู่ ซึ่งต้องอาศัยความรว่ มมือของหน่วยงานที่มีความชำนาญการ ผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรม

P a g e | 113

และสถาปัตยกรรม รวมถึงประชาชนในพื้นท่ีร่วมกันกำหนดรูปแบบแนวทาง เพราะความสมบูรณ์ผนวกกับ
ความโดดเดน่ ดา้ นสถาปตั ยกรรมในพ้ืนท่ีอารยธรรมล้านนา สามารถสร้างมลู คา่ เพิ่มในรูปแบบการท่องเที่ยวเชิง
การเรยี นร้คู ณุ ค่าสถาปตั ยกรรม โดยจัดทำเป็นโปรแกรมเสน้ ทางการทอ่ งเทีย่ ว

ดา้ นท่ี 2 ศกั ยภาพดา้ นการรองรบั ด้านการท่องเท่ยี ว
- การออกแบบภูมิสถาปัตย์ที่กลมกลืนกับแหล่งท่องเที่ยวและเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มนักท่องเที่ยว
เฉพาะ เชน่ นักท่องเท่ียวผูส้ งู อายุ นกั ทอ่ งเทยี่ วท่เี ป็นคนพิการ
- พัฒนาสื่อที่ให้ข้อมูลกับนักท่องเที่ยวได้หลากหลายภาษา เช่น ใช้เทคโนโลยีระบบสื่อสารบรรยาย
แปลภาษาแบบไร้สาย โดยจำลองบริบทพื้นที่ สถาปัตยกรรม รูปแบบประเพณี วิถีชีวิตผ่านห้องเรียนรู้ และมี
วดิ ีทัศนท์ ี่เน้นแสง สี เสียง เพอ่ื สร้างความน่าสนใจใหน้ ักทอ่ งเท่ยี วอยากไปท่องเที่ยวในสถานทจ่ี ริง
- ออกแบบและจัดทำข้อมูลเส้นทาง/แหล่งท่องเที่ยวทางเลือก ให้เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวจากแหล่ง
หนึ่งไปอีกแหล่งหนึ่งในบริเวณใกล้เคียงกัน โดยมีรูปแบบ เช่น ป้ายบอกพิกัดที่นักท่องเที่ยวอยู่และพิกัดแหลง่
ท่องเที่ยวที่น่าสนใจใกล้เคียง มี QR Code ให้เลือกชมก่อนไปยังสถานที่จริง ออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวก
และสภาพแวดลอ้ มทางกายภาพในแหลง่ ท่องเที่ยวเพือ่ ตอบสนองความต้องการของกล่มุ นักท่องเทย่ี วผสู้ งู อายุ
- ประชุมวางแผนร่วมกันระหว่างชุมชนกับภาคีที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ เพื่อ
พฒั นากลไกการทำงานในการรองรับการท่องเทย่ี ว ทง้ั ดา้ นงบประมาณ การบริหาร และบุคลากร โดยมีองค์กร
พ่เี ล้ียงทำหน้าท่หี ลักในการประสานงาน ใหค้ ำแนะนำปรึกษา และสนบั สนนุ การดำเนนิ งานในระดบั พ้ืนท่ีชมุ ชน
- พัฒนาบุคลากรที่เป็นผู้นำชมให้รู้และเข้าใจประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสถาปัตยกรรมเพื่อ
ถา่ ยทอดใหก้ บั นักทอ่ งเที่ยวไดอ้ ย่างถกู ต้อง รวมท้งั มคี วามเชยี่ วชาญดา้ นการสื่อสารผา่ นภาษา
- การยกระดับและสร้างมูลค่าเพิ่มในรูปแบบเส้นทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเพื่อการเรียนรู้คุณค่า
สถาปัตยกรรมในพื้นที่อารยธรรมล้านนา ควรเพิ่มแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ 2 จังหวัด คือ แพร่ และน่าน ซึ่งมี
เรอ่ื งราวทางประวัตศิ าสตร์ของสถาปตั ยกรรมท่เี ช่อื มโยงกับอีก 5 จังหวัดในเขตอารยธรรมลา้ นนา
ด้านที่ 3 ศกั ยภาพด้านการบริการ
- ส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมการเรียนรู้คุณค่าทางสถาปัตยกรรมในแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งจะ
ปลูกฝั่งให้คนในชุมชนและนักท่องเที่ยวเห็นถึงคุณค่าของสถาปัตยกรรมในพื้นท่ี ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่
สะทอ้ นประวัตศิ าสตร์ ความเชื่อทาง ภูมปิ ัญญา และความรใู้ นเชงิ ช่าง
- กำหนดกฎระเบียบรว่ มกันของคนในพน้ื ท่ีในการบรหิ ารจดั การทรพั ยากรการท่องเที่ยวเชงิ วัฒนธรรม
เพอ่ื การเรียนร้คู ณุ ค่าสถาปตั ยกรรม เพือ่ ให้ไม่ส่งผลกระทบตอ่ ทรัพยากรทางสถาปัตยกรรมทม่ี ีอยู่ รวมท้งั มีป้าย
ส่อื ความหมายท่เี ปน็ ข้อห้ามสำหรับนักทอ่ งเทยี่ ว และบทลงโทษสำหรับผ้ทู ่ีไมป่ ฏิบตั ิตาม
แนวทางการพัฒนาผลิตภณั ฑ์การท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมเพ่ือสร้างมูลคา่ เพม่ิ ในเส้นทางท่องเท่ียว
อารยธรรมล้านนา
ผลการดำเนินงานทำให้ได้ขอ้ มูลสถานการณ์การท่องเที่ยวเชิงประเพณี วิถีชีวิต และการท่องเทีย่ วเชงิ
วฒั นธรรมเพ่ือการเรียนรู้คุณค่าสถาปัตยกรรมในเส้นทางอารยธรรมลา้ นนา โดยพบวา่ การพัฒนาผลติ ภัณฑ์การ
ท่องเทยี่ วเชิงวฒั นธรรมเพ่ือสร้างมลู คา่ เพ่มิ ในเสน้ ทางท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนานั้น ต้องมีแนวทางขับเคล่ือน
งานที่สอดคล้องกับศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวตามตัวชี้วัดการประเมินศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวที่โครงการ
ยอ่ ยไดป้ รบั ปรุงและพฒั นาข้นึ ให้เหมาะสมกับแหล่งท่องเท่ียวในพื้นท่ีอายธรรมล้านนา แผนงานวิจัยได้เลือกใช้
แนวคิดในการกำหนดส่วนประสมทางการตลาด หรือ 4P’s ในการพัฒนาแนวทางการท่องเทีย่ วเชงิ วัฒนธรรม
เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มเส้นทางท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา ประกอบด้วย 1. สินค้าหรือบริการ (Products
Element) 2. สถานท่ี (Place) 3. การสง่ เสรมิ การตลาด (Promotion) 4. ราคา (Price)

P a g e | 114

เพื่อให้สอดรับกับแนวคิดด้านการตลาดด้านการท่องเที่ยว จากข้อมูลพบว่าแนวโน้มพฤติกรรมของ
นักท่องเที่ยวในปัจจุบันจะใช้สื่อโซเชียลในการเข้าถึงข้อมูลการแหล่งท่องท่องเที่ยวมากขึ้น การพัฒนา
ผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในเส้นทางท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนาจึงต้องตอบ
โจทย์ความตอ้ งการของกลุม่ ผูบ้ รโิ ภค

จากการศึกษาวิจัยจึงนำมาสู่การพัฒนาแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเพอ่ื
สร้างมูลค่าเพ่ิมในเสน้ ทางท่องเท่ียวอารยธรรมลา้ นนา จำนวน 5 ด้าน ดงั น้ี

ด้านท่ี 1 ดา้ นลกั ษณะทางกายภาพของแหลง่ ท่องเทีย่ ว
ด้านที่ 2 ด้านผลิตภัณฑ์ทางการท่องเทยี่ วเชงิ วัฒนธรรม
ดา้ นท่ี 3 ดา้ นกระบวนการการให้บรกิ าร
ด้านท่ี 4 ด้านบลุ คลากร
ด้านที่ 5 ด้านการสง่ เสรมิ การตลาด
แนวทางการเผยแพร่และประชาสมั พนั ธเ์ สน้ ทางท่องเทย่ี วเชิงวัฒนธรรมอารยธรรมล้านนา
คณะวิจัยได้เห็นศักยภาพและข้อจำกัดในการพัฒนาแนวทางการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์เส้นทาง
ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอารยธรรมล้านนา จึงใช้แนวคิดในการกำหนดส่วนประสมทางการตลาด หรือ 4P’s
เป็นกรอบในการศึกษา ซึ่งให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการตลาดที่ต้องสร้างความเข้าใจกับพฤติกรรมของ
ผบู้ ริโภค โดยพบว่านกั ท่องเที่ยวใช้ส่ือโซเชียลในการเข้าถึงข้อมูลสถานที่ทอ่ งเท่ยี วทตี่ ้องการ เน้นการท่องเที่ยว
เชงิ สร้างสรรคม์ ากข้นึ คือร่วมเรยี นรกู้ ับแหลง่ ทอ่ งเท่ยี ว และใช้โซเชยี ลในการส่อื สารสง่ ต่อข้อมลู ให้กับคนท่ีรู้จัก
ในรูปแบบที่ประทับใจ หรือไม่ประทับใจกับการได้มาสัมผัสแหล่งท่องเที่ยว โดยมีแนวทางการเผยแพร่และ
ประชาสัมพันธ์เส้นทางท่องเท่ยี วเชิงวัฒนธรรมเส้นทางอารยะรรมลา้ นนา มดี ังน้ี
- ดึงจุดเด่นด้านวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรม ในเส้นทางอารยธรรมล้านนา และ
เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวโดยใช้เร่ืองราวจากจุดเดน่ ในด้านต่าง ๆ เพอ่ื สร้างความน่าสนใจให้กับแหล่งท่องเท่ียว
และสร้างจดุ ขายในเชงิ อัตลกั ษณ์ที่แตกตา่ งและไมเ่ หมือนใคร
- พัฒนาส่ือประชาสัมพันธ์ที่มีเนื้อหากระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเกิดความต้องการที่จะมีประสบการณ์
ร่วมกับกจิ กรรม และมีความสุขที่จะช่วยแบง่ ปันตามวถิ ีการท่องเที่ยวเชงิ วฒั นธรรม โดยใชส้ ือ่ โซเชียลให้เขา้ ถึง
กลุ่มเป้าหมายในยุคปัจจุบัน รวมทั้งสื่อกระแสหลักและสื่อประเภทสื่อสิ่งพิมพ์เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อ
นกั ท่องเทีย่ วได้เขา้ มาเทย่ี วชมในสถานทจี่ ริง
- สร้างเครือข่ายชุมชนทอ่ งเที่ยวเชงิ วฒั นธรรม เพ่อื ให้เกิดการแลกเปลย่ี นเรียนรูแ้ ละเกดิ มุมมองในการ
เผยแพร่ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวบนความหลากหลายของผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม แล ะ
เช่ือมโยงแหล่งท่องเที่ยวในพ้นื ทใ่ี กล้เคียง
- ใช้การประชาสัมพันธ์ในงานเทศกาลประเพณีต่าง ๆ ในช่วงเวลาจริง เพื่อสอดแทรกเนื้อหาสาระท่ี
ตอ้ งการนำเสนออย่างได้ผล เปน็ บรรยากาศท่ีมคี วามรูส้ กึ ร่วมกันทจ่ี ะเผยแพร่และแลกเปลี่ยนเรียนรู้

P a g e | 115

ขอ้ ค้นพบจากงานวิจยั เพ่ือนำไปส่กู ารพัฒนาแผนในแตล่ ะระยะ
แผนระยะเรง่ ด่วน ปีท่ี 1
1. การบูรณะฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยเน้นการปรับปรุงที่ไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ส่งผล
กระทบตอ่ คณุ คา่ ทางสถาปตั ยกรรมเดิม
2. การพัฒนาภมู ิสถาปตั ย์ (Universal design) เพอ่ื รองรบั นักท่องเที่ยวกลมุ่ ผู้สงู อายุ
3. การพฒั นาศกั ยภาพของผนู้ ำชมแหลง่ ท่องเทีย่ วเชิงวฒั นธรรม
4. พัฒนาส่ือประชาสมั พนั ธใ์ ห้ตอบโจทยก์ ลุ่มเปา้ หมายของการทอ่ งเท่ยี วเชิงวัฒนธรรม
แผนระยะเร่งดว่ น ปที ่ี 1-2
1. การควบคมุ การใช้ประโยชนใ์ นพืน้ ท่ที ่มี ีโบราณสถานทมี่ คี ุณค่าทางการเรียนรปู้ ระวตั ิศาสตร์
2. สร้างเครือข่ายชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ผูกโยงเส้นทางการทอ่ งเทีย่ วทางอารยธรรมล้านนา
3. การกำหนดเกณฑ์ของผู้นำชมการท่องเทยี่ วเชิงวฒั นธรรม
4. กำหนดหรอื สร้างมาตรฐานคณุ ภาพด้านศลิ ปะและวฒั นธรรม ให้ผลงานเป็นทย่ี อมรบั ในระดับชาติ
5. กำหนดยทุ ธศาสตรก์ ารพัฒนาและสง่ เสรมิ การทอ่ งเที่ยวทางวัฒนธรรม
6. การพัฒนาศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์และวิถีชีวิต โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีจำลองบริบทพื้นที่
สถาปัตยกรรม รปู แบบประเพณี วิถชี ีวิตผา่ นหอ้ งเรยี นรู้
7. การลงนามความร่วมมือของภาคีที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาการบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิง
วฒั นธรรม

• การพฒั นาและส่งเสริมการทอ่ งเท่ียว: ตลาดนกั ทอ่ งเทีย่ วจีน

นักท่องเที่ยวจีนเป็นกลุ่มตลาดใหญ่ที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี
จากสถติ ิการทอ่ งเทยี่ วในปี พ.ศ. 2552 มนี กั ทอ่ งเทีย่ วจีนเขา้ มาท่องเที่ยวในไทยเพียง 0.77 ลา้ นคน และสถิติปี
ล่าสุด พ.ศ. 2559 มีนักท่องเที่ยวชาวจีนมากถึง 8.76 ล้านคน (กระทรวงท่องเที่ยวแลกีฬา, 2560) แนวโน้ม
นักทอ่ งเท่ียวจนี เร่ิมสูงขน้ึ ต้งั แต่ปี พ.ศ. 2553 จากขอ้ สนั นิษฐานวา่ เกดิ จากกระแส Thai Pop ในจีน โดยเฉพาะ
ละครโทรทศั นข์ องไทย โดยกอ่ นหน้านส้ี ถานีโทรทัศน์ของมณฑลอันฮุยได้ซ้ือละครไทยไปฉายอย่างต่อเนื่อง ทำ
ให้ละครไทยในเว็บไซต์จีนแพร่หลายและได้รับความนิยมในหมู่ผู้ชมชาวจีน ประกอบกับมีการฉายภาพยนตร์
เรื่อง The Lost in Thailand ปลายปี พ.ศ. 2555 ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวชาวจีนนิยมมาท่องเที่ยวไทยอย่าง
ต่อเนอ่ื ง

ตลาดนกั ทอ่ งเทีย่ วจนี เปน็ ตลาดท่ีใหญ่ทีส่ ดุ และจะมีความสำคญั มากทสี่ ดุ ตลาดหน่ึงของการท่องเท่ียว
ไทย จึงมีความได้เปรียบและมีโอกาสสูงในการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวจากกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน แต่
ปญั หาทไ่ี ทยกำลังประสบคือนักท่องเท่ยี วจีนที่มาไทยในแตล่ ะประเภทมจี ำนวนมาก (ยกเวน้ กลมุ่ รายได้สูง) ทำ
ให้กำลังรองรับของไทยไม่เพยี งพอ โดยเฉพาะในระดบั รากหญ้าหรือมวลชน ทงั้ น้ี พฤตกิ รรมการท่องเที่ยวของ
นักท่องเที่ยวจีนในปัจจบุ ันเปลีย่ นแปลงไปจากเดิม อาทิ แต่ก่อนนิยมท่องเที่ยวเป็นหมู่คณะ ให้บริษัททัวร์เป็น
ผู้จัดการการท่องเที่ยว เปลี่ยนเป็นจัดการท่องเที่ยวด้วยตัวเองมากขึ้น ทราบข้อมูลการท่องเที่ยวของไทยจาก
การบอกตอ่ ของเพ่ือฝงู ญาตพิ ี่นอ้ ง และ Application ของอปุ กรณส์ ่อื สารทที่ ันสมัย เช่น สมาร์ทโฟน และแท็บ
เล็ต เข้ามามีบทบาทในการท่องเที่ยวมากขึ้น โดยใช้ค้นหาข้อมูลการท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยว แปลภาษา
ดูแผนที่ แบ่งปันข้อมูลและรูปภาพผา่ นสังคมออนไลน์51

51 แผนงานวิจยั การพัฒนาและสง่ เสรมิ การทอ่ งเทยี่ ว: ตลาดนกั ทอ่ งเทยี่ วจนี . ดร.กรวรรณ สังขกร มหาวิทยาลยั เชียงใหม.่ สำนกั งานกองทุน
สนบั สนนุ การวิจั ย.

P a g e | 116

จำนวนนกั ทอ่ งเทีย่ วชาวจีนที่เข้ามาท่องเท่ียวในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2540-2559

แผนงานการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเทยี่ ว: ตลาดนักทอ่ งเทย่ี วจีน จงึ ศกึ ษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ
ตลาดของนักท่องเที่ยวจีน เพื่อนำเสนอทางออกและแก้ปัญหาอันเกิดจากนักท่องเที่ยวจีนในพื้นท่ี ซึ่งนำไปสู่
การพัฒนาประเทศด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยนื ลดผลกระทบเชิงลบ และการส่งเสริมผลกระทบเชิงบวก ทำ
ให้ทั้งนักท่องเที่ยว คนท้องถิ่น และผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวสามารถอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เพ่ื อ
นำไปสู่การพัฒนาประเทศดา้ นการทอ่ งเท่ยี วอยา่ งย่งั ยืน

พื้นท่ที ีศ่ กึ ษา การศกึ ษานม้ี ่งุ เนน้ ที่ 4 จงั หวัดในภาคเหนือตอนบน คอื
จังหวัดเชียงใหม่: เป็นจังหวัดเป้าหมายหลักที่นักท่องเที่ยวชาวจีนให้ความนิยมมาท่องเที่ยวจำนวน
มาก ซ่ึงมผี ลกระทบจากการเขา้ มาท่องเทย่ี วของนักท่องเที่ยวจีนต่อผู้ประกอบการอตุ สาหกรรมท่องเที่ยว และ
คนทอ้ งถนิ่ อย่างชัดเจน
จงั หวดั เชยี งราย: เปน็ จังหวัดที่มจี ุดผา่ นแดนท่ีอำเภอเชยี งของ ซ่ึงนักท่องเทยี่ วจนี นยิ มเดินทางโดยทาง
รถเขา้ มาในประเทศไทย โดยใช้เสน้ ทาง R3A และเข้าประเทศทางดา่ นเชียงของมากข้นึ
จังหวัดลำพูน: เป็นจังหวัดทางเลือกของการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ อยู่ไม่ไกลจาก
เชยี งใหม่
จังหวัดลำปาง: เป็นอีกจังหวัดทางเลือกของการท่องเท่ียว มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และ
ประวตั ิศาสตร์ นักท่องเทีย่ วจนี เรมิ่ ใหค้ วามสนใจไปเท่ยี วในตวั เมอื งและศนู ย์อนรุ กั ษ์ช้างไทย
ทง้ั จงั หวดั ลำพนู และลำปางสามารถจัดเสน้ ทางการท่องเท่ยี ว และแนะนำเส้นทางการท่องเท่ยี วใหม่ ๆ
เพือ่ เสนอแก่นกั ทอ่ งเท่ยี วจีนได้
ผลการศึกษาแบง่ ออกเป็น 2 โครงการย่อย คอื
โครงการยอ่ ยท่ี 1 การศกึ ษาตลาดนกั ทอ่ งเท่ยี วจนี ต่ออตุ สาหกรรมการท่องเที่ยวไทย
ศึกษาพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีน และผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของ
ไทยและคนท้องถิ่น ศึกษาตลาดการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนในปัจจุบัน ศึกษาบทบาทของสื่อในการ
ประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการท่องเที่ยวในกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน รวมถึงการสร้างผลกระทบเชิงบวก และลด
ผลกระทบเชิงลบ และเพื่อพัฒนาสื่อประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจในการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีน
ในภาคเหนอื ตอนบน โดยแบง่ การศกึ ษาออกเปน็ 4 ดา้ น คือ

P a g e | 117

1. พฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวจีน โดยการเก็บแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างจาก
นักทอ่ งเที่ยวชาวจนี

2. ผลกระทบของนักท่องเที่ยวชาวจีนต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยและคนท้องถิ่น โดยเก็บ
แบบสอบถามโดยตรงกับคนท้องถิ่น 4 จังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และลำปาง และผ่านระบบ
ออนไลน์ (Google Form)

3. ตลาดการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนในปัจจุบัน โดยศึกษาจากการทบทวนวรรณกรรม สถิติ
และวเิ คราะห์แนวโน้มตลาดการทอ่ งเทยี่ ว

4. บทบาทของสื่อในการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการท่องเที่ยวในกลุ่มนักท่องเท่ียวจีน รวมถึงการ
สร้างผลกระทบเชิงบวก และลดผลกระทบเชิงลบ โดยการทบทวนวรรณกรรมจากเว็บไซต์ของจีน และสังเกต
พฤติกรรมของนักทอ่ งเท่ียวจนี ที่ใช้สอ่ื ต่าง ๆ

5. การพัฒนาสื่อประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจในการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนใน
ภาคเหนอื ตอนบน

การศึกษาพฤติกรรมนกั ท่องเที่ยวจีน พบว่าผูต้ อบแบบสอบถามชาวจีนคร่งึ หน่งึ เดินทางท่องเที่ยวปีละ
4-5 ครง้ั เดนิ ทางท่องเทย่ี วกบั เพื่อน ส่วนมากเป็นการเดินทางมาประเทศไทยเป็นคร้งั แรก และไม่ได้ท่องเที่ยว
ตามฤดูกาล ไม่มีช่วง Low Seasons หรือ High Seasons แต่ในช่วงท่ีนักท่องเที่ยวชาวจีนเที่ยวมากที่สุดคือ
ช่วงตรุษจีน และวันชาติจีน นักท่องเที่ยวชาวจีนส่วนมากมีวัตถุประสงค์เพื่อพักผ่อนและฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย
และจิตใจ ได้ศึกษาและสอบถามข้อมูลจากเพื่อน/คนรู้จัก เว็บไซต์ท่องเที่ยว รูปแบบการเดินทางท่องเที่ยว
สว่ นมากเดนิ ทางมาด้วยตนเอง โดยชอบท่องเทย่ี วทางธรรมชาติมากทีส่ ดุ

นักท่องเที่ยวชาวจีนนิยมพักที่โรงแรมหรือบูติกโฮเตล (ร้อยละ 43.2) รองลงมา ได้แก่ อพาร์ทเมนต์/
เกสต์เฮ้าส์ (ร้อยละ 24.0) รีสอร์ท (ร้อยละ 23.7) โฮมสเตย์ (ร้อยละ 6.2) ตามลำดับ ประเภทอาหารท่ี
นักท่องเที่ยวชื่นชอบอันดับแรกคือ อาหารท้องถิ่น (ร้อยละ 56.5) รองลงมา ได้แก่ อาหารไทย อาหารเพ่ือ
สขุ ภาพ ร้อยละ 53.4 และร้อยละ 22.3 ตามลำดับ

ชนดิ อาหารทีน่ กั ทอ่ งเท่ยี วชาวจนี ชืน่ ชอบ ได้แก่ ขา้ วเหนยี วมะมว่ ง ตม้ ยำกุ้ง ผลไม้ตามฤดกู าล ผัดไทย
อาหารทะเล ข้าวผัด และส้มตำ ตามลำดับ ของฝากและของที่ระลึกที่นักท่องเที่ยวชาวจีนซื้อกลับไป ได้แก่
ผลไม้อบแห้ง (ร้อยละ 44.1) เสื้อผ้า (ร้อยละ 26.7) อุปกรณ์สปา/น้ำมันหอมระเหย (ร้อยละ 22.1)
เครื่องประดับ (เข็มขัด สร้อย แหวน) (ร้อยละ 20.6) ผ้าพันคอ/ผ้าคลุมไหล่ (ร้อยละ 20.1) และกระเป๋า (ร้อย
ละ 18.4) ตามลำดบั

สถานที่ท่องเที่ยวในเชียงใหม่ที่นิยม ได้แก่ วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร ถนนคนเดินวันอาทิตย์
(ท่าแพ) ประตูท่าแพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถนนนิมมานเหมินทร์ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร ถนนคนเดินวัน
เสาร์ (วัวลาย) บ้านแม่กำปอง ส่วนเชียงรายนิยมไปวัดร่องขุ่น กิจกรรมที่ทำมากที่สุด ได้แก่ นวดแผนโบราณ
จับจ่ายซื้อของ ขี่ช้าง สปา โดยมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเฉลีย่ 12,115 บาท ใช้เวลาทอ่ งเที่ยวเฉล่ีย 7 วัน พบ
ปญั หาดา้ นการสอื่ สาร ด้านภาษา การถูกหลอก โดนโกง ปญั หาสุขภาพ และปัญหาอุบตั ิเหตุ

ด้านผลกระทบจากคนในท้องถิ่นจากการเข้ามาท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวจีน พบว่าก่อให้เกิด
ผลกระทบต่อการบริหารจัดการท่องเที่ยวในประเทศไทยมากที่สุด ในส่วนของผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ทำให้
ท้องถิน่ มีรายได้เพิ่มมากขนึ้ สร้างรายไดใ้ ห้ภาคธุรกจิ การท่องเท่ียว เกิดโอกาสในการทำธรุ กจิ ใหม่ ๆ เพอื่ รองรับ
นักทอ่ งเท่ียวจีน เกดิ การปรบั ตัวของผปู้ ระกอบการท้องถิ่นเพื่อตอบสนองนกั ทอ่ งเทย่ี ว

ผลกระทบด้านสังคม ทำให้ขาดความเป็นส่วนตัวและความสงบของคนในพื้นที่และสถานที่ท่องเที่ยว
(รอ้ ยละ 51.7) สรา้ งความรำคาญให้กบั ชมุ ชนและคนในพืน้ ที่ เช่น ส่งเสยี งดัง การแซงควิ ผลกั ผู้อืน่ สูบบหุ รี่ ไม่

P a g e | 118

รักษาความสะอาด ถ่มน้ำลาย ท้งิ ขยะไม่เป็นที่ เกดิ ความวุน่ วายจากการไม่เคารพกฎกติกาในสถานท่ีท่องเท่ียว
และสถานที่ต่าง ๆ เช่น ในสถานที่ราชการ ในมหาวิทยาลัย (ร้อยละ 64.3) และเกิดปัญหาการแย่งชิงการใช้
บริการสาธารณะของคนในพื้นที่ เช่น แย่งใช้บริการรถสองแถว รถสี่ล้อแดง แย่งซื้อสินค้า (ร้อยละ 32.8)
ก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น (ร้อยละ 40.2) ความปลอดภัยในการดำเนินชีวิตและทรัพย์สินของ
คนในพื้นที่ลดลง (ร้อยละ 34.5) เริ่มมีการปรับตัวของคนในท้องถิ่นต่อการเขา้ มาของนักท่องเท่ียวจีน (ร้อยละ
37.5) และภาครัฐมสี ว่ นชว่ ยสง่ เสรมิ ประชาสัมพันธก์ ารทอ่ งเทยี่ วแก่นกั ทอ่ งเทยี่ วจีน (รอ้ ยละ 36.1)

ผลกระทบด้านวัฒนธรรม เกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมขัดกับวัฒนธรรมไทย นักท่องเที่ยวเข้ามา
รบกวนการประกอบกิจกรรมทางวัฒนธรรมประเพณี เช่น งานศพ งานบญุ งานประเพณีต่าง ๆ (รอ้ ยละ 31.1)
เกิดประเพณีเสมือนเพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวจีน (ร้อยละ 36.1) และเกิดการแลกเปลี่ยน
ประเพณี วัฒนธรรม ระหว่างคนทอ้ งถนิ่ และนกั ท่องเทย่ี วจีน (รอ้ ยละ 32.9)

ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม มีปริมาณขยะเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความคับคั่งของการจราจร/เกิด
ปัญหารถติด ปัญหาจราจร อุบัติเหตุบนท้องถนน ปัญหาเสียงรบกวนมากกว่าปกติ และการทำลายธรรมชาติ
และภูมทิ ศั น์ของเชียงใหมด่ ้วยความร้เู ท่าไมถ่ ึงการณ์

การท่องเที่ยวของชาวจีนก่อให้เกิดการสร้างอาชีพในอุตสาหกรรมการท่องเทีย่ ว เมื่อประเทศไทยเปน็
จุดหมายปลายทางท่องเที่ยว จึงเป็นโอกาสให้เกิดการจ้างงานเพื่อรองรับการให้บริการแก่นักท่องเที่ยวจีน
สถาบันการศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนมีการขยายหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับจีน จึงควรมีแนวทางในการพัฒนา
ทักษะของผู้ประกอบการหรือบุคลากรที่เกี่ยวข้องในการยกระดับการประกอบการหรือการสร้างคุณภาพการ
บริการให้ตอบสนองนักทอ่ งเท่ียวจนี ยง่ิ ขึน้

ขอ้ เสนอแนะ
- การเลอื กกล่มุ นักทอ่ งเท่ียวเป้าหมายชาวจีนท่มี ีคุณภาพ เพอื่ พัฒนาตลาดใหย้ ัง่ ยืนและเตบิ โตในระยะ
ยาว รวมถึงการม่งุ พัฒนาตลาดท่มี ีความหลากหลายและสรา้ งกลยุทธท์ ่แี ตกต่างกันไปสำหรบั นักท่องเท่ยี วแต่ละ
กล่มุ เช้อื ชาตมิ ากกว่าการม่งุ ทำตลาดจีนเพียงอย่างเดยี ว นักท่องเทย่ี วจนี ท่เี ดินทางมาไทยสามารถแบ่งเป็นกลุ่ม
ตลาดระดบั กลางร้อยละ 40 กลมุ่ ตลาดท่วั ไปรอ้ ยละ 50 ขณะทน่ี ักทอ่ งเท่ยี วในตลาดบนหรอื ตลาดพรเี มียมชาว
จีนนยิ มไปท่องเทย่ี วในยโุ รปและสหรฐั มากกว่าฝ่ังเอเชยี
ดังนั้นหากประเทศไทยสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าจีนระดับบน หรือพัฒนาตลาดนักท่องเที่ยวที่มีความ
หลากหลายเช่นที่เคยเป็นมา ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเทีย่ วยุโรป นักท่องเที่ยวรัสเซีย หรือนักท่องเที่ยวจากซีกโลก
ใต้ที่มีกำลังซื้อและมีรูปแบบพฤติกรรมการท่องเที่ยวท่ีพฒั นาแล้ว ย่อมเกิดการขยายตัวของตลาดนักท่องเท่ยี ว
ท่ีมีคณุ ภาพสงู ซึ่งจะดงึ ดูดรายได้และนกั ท่องเทย่ี วทม่ี ีคุณภาพเข้าประเทศมากขน้ึ อีกด้วย
- บทบาทของการประชาสัมพันธ์ทางสื่อออนไลน์ภาษาจีนเพิ่มมากขึ้น โดยแนะนำแหล่งท่องเที่ยว
สำคัญของไทย จัดทำ Application Program ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ แนะนำการเดินทางท่องเที่ยวในไทย
ผ่านโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาท่องเท่ียวในไทยด้วยตนเองมากขึ้น แทนการ
เดินทางแบบคณะทัวร์ สมาร์ทโฟนเป็นช่องทางการสื่อสารที่ดีที่สุด เร็วที่สุด และเป็นคนรุ่นใหม่ที่จับต้องได้
การออกแบบเนื้อหาเป็นเรื่องสาคัญมาก จะต้องมีลักษณะแบบหลายการเล่าเรื่อง นำข้อมูลนั้นมาขัดเกลาให้
เป็น Story Telling เพื่อแนะนาการท่องเที่ยว และควรหารูปแบบสื่อที่เหมาะสมกับนักท่องเที่ยวจีน เช่น การ
ประชาสัมพนั ธไ์ ปยัง Mobile Application ท่นี กั ท่องเทีย่ วจีนนิยมใช้ เช่น Wechat, Baido, Weibo, Renren,
Youku, Tudou, Sina.com, QQ.com เป็นการเข้าถึงที่เร็วมาก และเข้าถึงได้ทุกท่ีของนักทอ่ งเที่ยวจีน โดยท่ี
ไมจ่ ำเป็นต้องสรา้ ง Mobile Application ใหมไ่ ด้

P a g e | 119

ทั้งนี้ ควรประเมินปรับปรุงเนื้อหาอย่างครบถ้วน และรูปแบบสื่อการประชาสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ
อย่างน้อยทุก 6 เดือน เพื่อให้ทันกับสถานการณ์และมีข้อมูลที่ถูกต้อง ใหม่อยู่เสมอ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้
ทราบข้อมูลทงั้ กอ่ นเดินทาง ระหวา่ งเดนิ ทาง และเม่ือเดนิ ทางกลบั ประเทศ

โครงการยอ่ ยที่ 2 การศกึ ษาและพฒั นาระบบโลจิสติกส์การเดนิ ทางของนกั ท่องเทยี่ วจีน
เตรยี มความพรอ้ มในการรองรับจดั การนักท่องเท่ียวชาวจนี ในพ้ืนท่ภี าคเหนือตอนบน 4 จังหวัด ได้แก่
จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และลำปาง ครอบคลุมไปถึงอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮอ่ งสอน ซึ่งเป็นจดุ หมาย
ปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวจีนในภาคเหนือ ด้วยเครื่องมือทางโลจิสติกส์ (SCAAN Model®) ทาง
ภมู ิศาสตร์ (GIS) รวมท้ังการประเมนิ ระบบโลจิสตกิ สด์ ว้ ย PIFFS Index
การศกึ ษาแบ่งออกเปน็ 8 ส่วน ได้แก่
1. การเดินทางเข้า-ออก และเดินทางในพื้นที่ของนักท่องเที่ยวชาวจีนพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ทั้งทาง
อากาศ ทางบก ทางราง และทางเรือ
2. การพักคา้ งคนื และความเชอื่ มโยงกบั แหล่งท่องเทย่ี ว
3. แผนการเดินทางของนักท่องเที่ยว โดยครอบคลุมรูปแบบการเดินทางระยะทาง แหล่งท่องเที่ยวที่
นักท่องเที่ยวนิยม
4. ความชอบในส่วนของวิธีการเดินทางและเสน้ ทาง
5. คอขวดในหว่ งโซ่อปุ ทานการทอ่ งเท่ยี ว ปัญหาการเดินทางของนักท่องเทีย่ ว
6. การพฒั นาระบบโลจิสตกิ ส์การท่องเท่ยี วด้านขอ้ มูลข่าวสารสำหรับนกั ท่องเทย่ี วจนี
7. การพฒั นาโลจสิ ติกสก์ ารท่องเท่ยี วดา้ นการเงนิ เพือ่ รองรบั นักท่องเทีย่ วจนี
8. การพฒั นาโลจิสตกิ สก์ ารท่องเทยี่ วด้านกายภาพ เพอื่ รองรบั กลุม่ คุณภาพและลดผลกระทบเชงิ ลบ
ผลการศึกษาพฤติกรรมการท่องเที่ยว พบว่านักทอ่ งเทีย่ วชาวจีนสว่ นใหญ่ (ร้อยละ 80) นิยมพักค้างท่ี
จังหวัดเชียงใหม่มากที่สุด ระยะเวลาพักเฉลี่ย 3-5 คืน และท่องเที่ยวในจังหวัดเชยี งใหมเ่ ป็นหลัก หากพักค้าง
มากกว่า 3 วันจะเลือกเดินทางแบบไปกลับยังจังหวัดเชียงราย หรืออำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมี
ทัศนคติว่าเป็นเมืองเดียวกับเชียงใหม่ การไปพักค้างที่เชียงรายมีน้อยมากยกเว้นเดินทางเข้าประเทศทางบก
ผา่ นเสน้ ทาง R3A ทางอำเภอเชียงของ ส่วนอำเภอปายจะเปน็ ทน่ี ิยมในการพกั ค้างมากกว่าเชียงราย เน่ืองจาก
มีเอกลักษณ์ของเมืองมากกว่าและมีกิจกรรมในเวลาค่ำ การเดินทางเชื่อมโยง 4 จังหวัดสามารถเดินทางได้
สะดวกด้วยเครอื ข่ายคมนาคมทางบก การเดินทางทางถนนสามารถทำไดง้ ่าย
รูปแบบการเดนิ ทางท่องเท่ียวในประเทศไทยของนักท่องเทย่ี วชาวจีน จะเดนิ ทางไปยงั แหล่งท่องเที่ยว
ต่าง ๆ โดยการโดยสารเครื่องบิน รถโดยสารสาธารณะ รถเช่าทั้งรถยนตร์ รถจักรยานยนต์ รถจักรยาน หรือ
การเดินเท้าเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ซึ่งในภาคเหนือตอนบนหากนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาจาก
ภมู ิภาคอื่น ๆ ในประเทศ สว่ นใหญ่นักท่องเทีย่ วจีนจะนิยมโดยทางโดยเคร่ืองบนิ มายังทา่ อากาศยานนานาชาติ
เชยี งใหม่ จากนั้นจะทอ่ งเทย่ี วโดยรถเช่า รถสาธารณะรถแดง หรอื เช่ารถยนต์ รถจักรยานยนต์ และรถจกั รยาน
ในการท่องเท่ยี ว
อย่างไรก็ตามเมื่อวิเคราะห์องค์ประกอบการท่องเที่ยว พบว่าแหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังอยู่ในจังหวัด
เชียงใหม่ ทำให้นักท่องเที่ยวกระจุกตัวในเชียงใหม่เป็นส่วนใหญ่ การเดินทางไปจังหวัดอื่น เช่น เชียงราย
ส่วนมากมักเป็นการเดินทางแบบไปกลับ ดังนั้นการขยายคอขวดที่จังหวัดเชยี งใหม่นี้ควรทำโดยการเพิ่มแหลง่
ทอ่ งเท่ยี วในอกี 3 จังหวดั และพัฒนาเป็นเสน้ ทางที่มีการพักค้างในจงั หวดั อ่ืนนอกจากเชยี งใหม่ดว้ ย

P a g e | 120

ขอ้ เสนอแนะแนวทางการส่งเสรมิ ตลาดการทอ่ งเทยี่ วของกลุ่มนักท่องเทยี่ วจีน
ผลการพัฒนาที่ผ่านมาอาจกล่าวได้ว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอยู่ในภาวะขาดสมดุล และมีความ
เสี่ยงต่อการเติบโตอย่างไม่ยั่งยืนค่อนข้างสูง เนื่องจากการเติบโตเป็นไปในลักษณะก้าวกระโดด จนเกิดปัญหา
การรองรบั ไม่เพียงพอ และสง่ ผลกระทบต่อสง่ิ แวดล้อม โดยสว่ นแบง่ ตลาด 1 ใน 3 ของนกั ทอ่ งเทย่ี วทงั้ หมดมา
จาก 2 ตลาด คือ ตลาดจนี และรัสเซีย และรายไดจ้ ากการท่องเท่ียวกว่า 2 ใน 3 มาจากจงั หวดั ท่องเทยี่ ว เพียง
5 จงั หวดั
การผลักดันและนาประเทศไทยสู่ความมั่งคง มั่งคั่ง และยั่งยืนตามวิสัยทัศน์ของรัฐบาล โดยใช้การ
ท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือนั้นจะต้องสร้างความสมดุลระหว่างการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว การใช้
ทรัพยากรทางการท่องเทยี่ ว และการสรา้ งความพึงพอใจใหก้ ับนกั ท่องเทยี่ วและประชาชน เพื่อวางรากฐานการ
ดำเนินงานเพื่อให้เกิดการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืนในระยะยาว ในขณะเดียวกันจะต้องทำให้การ
ท่องเทีย่ วเปน็ เครอ่ื งมือในการสร้างรายได้ เพอื่ ฟ้นื ฟูสถานะทางเศรษฐกิจของประเทศระยะส้นั
แนวทางการส่งเสริมการตลาดการทอ่ งเทย่ี วของกลุ่มนกั ท่องเทีย่ วจนี
เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านการตลาดของยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวไทย พ.ศ. 2558-2560
ควรมีแนวทางการส่งเสริมการตลาดการท่องเทยี่ วของกลุ่มนกั ทอ่ งเที่ยวจีนดังน้ี
1) แนวทางการยกระดับภาพลักษณ์การท่องเท่ียวสู่การเป็น Quality Leisure Destination เน้นการ
สื่อสารข้อมูลเชิงบวกในด้านสินค้าและบริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน และใช้ “วิถีไทย” เป็นตัวนำ สร้าง
เอกลักษณแ์ ละสง่ มอบประสบการณ์ท่องเท่ยี วที่มีคณุ คา่ แกน่ ักท่องเทีย่ วจีน
2) บริหารจัดการภาพลักษณ์ทางลบ ควบคู่กับการยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถให้ผู้เกี่ยวข้องใน
ห่วงโซ่คุณค่ามีความเข้มแข็ง สามารถส่งมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ และสอดคล้องกับความต้องการ
นักทอ่ งเทย่ี วจีน
3) ส่งเสริม สนับสนุน สร้างกลไกในการหาผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพใน Tourism Value
chain เพื่อเป็นต้นแบบกับผู้ประกอบการอื่น ๆ สร้างความเข้มแขง็ เชิงการตลาดให้กบั ชุมชนในพื้นที่ โดยเสริม
องค์ความรู้ดา้ นการตลาดใหช้ ุมชนสามารถทำการตลาดไดด้ ้วยตนเองจดั
4) สนับสนุน ส่งเสริม ให้มีการจัดทำสินค้า/บริการให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มตลาดจีน
เพื่อให้สามารถนำไปเสนอขายได้อย่างเหมาะสมทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และส่งเสริมให้เกิดการ
ประกอบการอยา่ งมีคุณภาพและมาตรฐานสงู ใส่ใจส่ิงแวดลอ้ ม
5) ปรับโครงสร้างตลาดสู่ High Value เน้นการขยายฐานตลาดนักท่องเที่ยวจีน ทั้งกลุ่มระดับกลาง-
บน กล่มุ ความสนใจพเิ ศษทมี่ ีแนวโน้มการใชจ้ ่ายสงู ได้แก่ กลุ่ม Health & Wellness, MICE, Green Tourism
(Eco Luxury), Aging, Sport Tourism, Wedding & Honeymoon และกล่มุ ครอบครัว
6) ส่งเสริมการเดินทางในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนในประเทศไทย กระตุ้นการ
เติบโตของตลาดทเ่ี ดนิ ทางในช่วง Low Season นำเสนอสินค้าและกิจกรรมท่เี พิม่ มลู คา่ วิถไี ทย
7) ขยายฐานตลาดกลุม่ ระดบั กลาง-บนในพื้นท่ีตลาดหลกั ทดแทนกลุ่มระดับล่าง รวมทงั้ ขยายฐานกลุ่ม
ความสนใจพิเศษและกลุม่ FIT ตามกระแสแนวโนม้ โลกที่นักท่องเท่ียวจีนเลือกเดินทางเองตามความสนใจของ
ตน และกำหนดเป้าหมายด้านจำนวนนักท่องเทย่ี วอยา่ งสมดุลกบั ขีดความสามารถในการรองรับ
8) ส่งเสริมการทอ่ งเท่ยี วไปยังพ้นื ท่ีใหม่ทีม่ ีความพร้อม เช่น เมืองทอ่ งเท่ียวรองอ่ืน ๆ ในเขตอารยธรรม
ล้านนา 12 เมือง ต้องห้าม...พลาดเมืองเศรษฐกิจพิเศษ ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนและ Creative Tourism
ท่ีสอดคลอ้ งกับ Thainess ทก่ี ำหนดไว้

P a g e | 121

• การจัดทำแผนที่ทางวัฒนธรรม เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเมืองเชียงใหม่เป็น
เครือข่ายเมอื งสร้างสรรคข์ ององคก์ ารยูเนสโก (สาขาหตั ถกรรมและศลิ ปะพน้ื บา้ น)

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจ
สร้างสรรค์ โดยการส่งเสริมการพัฒนาเมืองสร้างสรรค์ควบคู่กับการพัฒนาธุรกิจที่มีการสร้างสรรค์ ส่งเสริม
เครอื ข่ายวิสาหกิจ เสริมสร้างศกั ยภาพผู้ประกอบการและบุคลากร ให้ใช้ความคดิ สร้างสรรคเ์ พื่อเพิ่มมูลค่าของ
สินค้าและบริการ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างบรรยากาศและสภาวะที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ และการพัฒนา
ความคดิ สร้างสรรค์ อาทิ การพฒั นาแหลง่ การเรยี นรู้ พ้ืนที่สาธารณะรปู แบบตา่ ง ๆ การจัดกจิ กรรม งานแสดง
สินค้าและบริการสร้างสรรค์สาขาต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเครือข่ายการผลติ การคา้
และการบริการของธุรกิจสรา้ งสรรค์ของภูมภิ าคอาเซียน

รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของการเป็นสมาชิกเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของ UNESCO ที่เชื่อว่า
จะสามารถดึงเศรษฐกิจของพื้นที่ให้สูงขึ้นได้ จึงกำหนดนโยบายการพัฒนาเมืองสร้างสรรค์เป็นนโยบายหรือ
ภายใต้พันธสัญญาการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นและเสริมสร้างเศรษฐกิจ
สร้างสรรค์ในระดับภูมิภาคและท้องถ่ิน โดยเมืองเชียงใหม่เป็นเมืองหนึ่งที่นำนโยบายดังกล่าวมาขับเคลื่อน
ตั้งแต่ปี 2554 ได้รับคัดเลือกเป็นเมืองต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวง
วัฒนธรรมให้เข้าร่วมการคัดเลือกเป็นเมืองวัฒนธรรมสร้างสรรค์ของ UNESCO โดยมุ่งพัฒนางานหัตถกรรม
ผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อสร้างเอกลักษณ์และการผลิตสินค้าในท้องถิ่นให้มีศักยภาพ ใช้ทรัพยากรและภูมิปัญญา
ทอ้ งถ่ินที่มีอยู่ อนั จะเป็นโอกาสสร้างมูลค่าให้เพ่ิมขน้ึ กับสินค้าและบริการของจงั หวดั เชยี งใหม่ในอนาคต

จังหวัดเชียงใหม่ได้จัดทำข้อมูลเมืองเชยี งใหม่ แตย่ ังไม่สามารถเข้าเปน็ เครอื ขา่ ยสมาชิกเมอื งวฒั นธรรม
สร้างสรรค์ของ UNESCO ได้ เพราะขาดข้อมูลและผลดำเนินงานด้านที่เกี่ยวข้องตามเกณฑ์มาตรฐานท่ี
UNESCO กำหนดไว้ โดยเฉพาะการศึกษาวิจัย การมีฐานข้อมูล และระบบการสืบค้นของงานหัตถกรรมและ
ศิลปะพื้นบ้านดั้งเดิมของพื้นที่ การวิจัยจึงมุ่งศึกษาและจัดทำระบบฐานข้อมูลที่เน้นงานหัตถกรรมและศิลปะ
พืน้ บ้านด้ังเดิมโดยเนน้ 4 พื้นทห่ี ลกั เช่อื มโยงกบั ยุทธศาสตร์การทำงานของมหาวทิ ยาลัยและจงั หวดั ไดแ้ ก่

พื้นที่อำเภอเมือง มีความร่วมมือระหว่างคณะวิจิตรศิลป์ และคณะสาขาวิชาต่าง ๆ เพื่อผลักดัน
เชียงใหม่เมืองสร้างสรรค์ โดยทำงานร่วมกันทั้งในระดับเทศบาลนครเชียงใหม่ และเครือข่าย กลุ่ม
ศิลปหัตถกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่ แต่อาจไม่ครอบคลุมและเห็นข้อมูลอย่างชัดเจนเนือ่ งด้วยความหลากหลายของ
กลมุ่ ชมุ ชน การเปลย่ี นแปลงและพัฒนาอยา่ งเป็นพลวัตต่อเน่อื งและรวดเรว็ ซ่งึ เปน็ พ้ืนทที่ ี่ความท้าทายอย่างย่ิง

พื้นที่อำเภอพร้าว ทำงานร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน
ระดับพื้นที่ ภายใต้ชุดโครงการ “พรา้ วโมเดล” ตั้งแตป่ ลายปี 2554 ถึงปจั จบุ ัน โดยเมืองพร้าวมีประวัติศาสตร์
ยาวนานและเป็นพื้นที่แห่งศิลปวัฒนธรรม มีความโดดเด่นเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและการประกอบอาชีพใน
ภาคการเกษตร รวมถึงเป็นดินแดนที่มีประวัติศาสตร์น่าสนใจด้านพุทธศาสนา โดยค้นพบวัดร้างจำนวนมาก
รวมทั้งทุนเดิมที่สำคัญคือความสนใจและความต้องการของกลุ่มแกนนำในพื้นที่ทั้งภาคการปกครอง เช่น
นายอำเภอ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล บุคลากรกรของหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สภาวัฒนธรรม และกลุ่ม
พระสงฆ์ ที่ตั้งใจจะผลักดันเรื่องการสืบค้น รวบรวมเรื่องประวัติศาสตร์ ทุนเดิม ของดี ภูมิปัญญาในพื้นท่ี
เพ่ือใหเ้ กิดการอนุรกั ษแ์ ละสืบทอดตอ่ ไป

พื้นที่อำเภอสันกำแพง มีความโดดเด่นหลายด้านและเป็นที่รู้จักในเรื่องสินค้าหัตถกรรม เช่น ร่ม
กระดาษสา งานไม้ งานช่าง รวมถึงของดีที่มีอัตลักษณ์ชัดเจน เช่น ผ้าไหม ผ้าซิ่นสันกำแพง โดยมีทุนเดิมของ
คณาจารย์และนักวิจัยที่เคยขับเคลื่อนงานร่วมกับพื้นที่ รวมถึงกลุ่มแกนนำระดับผู้บริหารของเทศบาลท่ีให้
ความสนใจ และเป็นแกนหลกั ในการผลกั ดันการสานต่อของดขี องชุมชนที่ดำเนนิ การรว่ มกับกลุม่ นักวชิ าการ

P a g e | 122

พื้นท่อี ำเภอหางดง มศี ูนย์งานหัตถกรรมท่ีมีช่ือเสียงทั้งแหล่งผลิตและแหล่งจำหน่ายท่ีมีชื่อเสียงทั้งใน
และต่างประเทศ เช่น บ้านถวายแหล่งงานหัตถกรรมไม้แกะสลักที่มีชื่อเสียง บ้านเหมืองกุง แหล่งงาน
หัตถกรรมเครื่องป้ันดินเผาสำหรับใช้ในวิถีชีวิตชาวล้านนามาช้านาน และยังคงอนุรักษง์ านเครื่องปัน้ ดนิ เผาทัง้
แบบดั้งเดิมและแบบประยุกต์มาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังเป็นท่ีตัง้ ของวดั ต้นเกวน๋ ซึ่งอนุรักษ์สถาปัตยกรรม
ลา้ นนาอนั โดดเด่นให้เปน็ แหล่งศึกษาและแหลง่ ทอ่ งเท่ยี ว

ข้อวิเคราะห์ประเด็นของพนื้ ที่
1. ตำแหนง่ ทต่ี ้งั สามารถเชอ่ื มตอ่ กบั พื้นที่ทางตอนบนของประเทศ รวมถึงประเทศต่าง ๆ ได้เป็นอย่าง
ดี ขณะเดียวกันจะมีการลงทุนโครงสร้างทางการบินที่จะทำให้เชียงใหม่มีความสะดวกสบายเรื่องการเข้าถึงท่ี
เออื้ ตอ่ การทอ่ งเทย่ี ว
2. เชยี งใหมม่ ที ุนทางวฒั นธรรมทแี่ ขง็ แกรง่ มาอย่างยาวนาน ท้งั ดา้ นชาติพนั ธุท์ หี่ ลากหลาย ศิลปกรรม
ศาสนา ประเพณี วรรณกรรม พิธีกรรม และที่สำคัญคืองานหัตถกรรมและศิลปะพืน้ บ้านทีส่ ืบทอดมาจากอดีต
มาจนถึงปัจจุบัน อันถือว่าเปน็ ทุนท่ีสำคัญ หากนำความคิดสรา้ งสรรค์มาผนวกกับทุนทางวัฒนธรรมเดิมท่มี อี ยู่
จะทำให้เชียงใหมเ่ ปน็ เมืองท่ีนา่ จับตามองเรอ่ื งการพฒั นาสรา้ งสรรค์จากเอกลกั ษณท์ ้องถ่ินในอนาคต
3. การยอมรบั จากนานาชาติ โดยนิตยสารของสหรัฐอเมรกิ า Travel and Leisure ยกย่องให้เชียงใหม่
เปน็ เมอื งน่าเท่ยี วมากท่ีสุดอันดับ 2 ของโลก ในปี 2559
4. นโยบายของจังหวัดเชียงใหม่ทีเ่ อือ้ อำนวยต่อการดำเนินการเรื่องการจดั เก็บและพัฒนาองคค์ วามรู้
ของเมือง เช่น โครงการผลักดันเชียงใหม่สู่มรดกโลก ซึ่งบรรจุใน Tentative List ของ UNESCO ปี 2558
โครงการ Chiang Mai Smart City ปี 2559 เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของพื้นที่ นำเทคโนโลยีต่าง ๆ
ไปยังชนบทให้มากขึ้น ภายใต้โครงการย่อยที่หลากหลาย เช่น ICT ชุมชน พัฒนาสู่ศูนย์ดิจิทัลชุมชน หรือช่วย
ผู้ประกอบการพัฒนาระบบ SMEs ทำให้เกิด Digital Economy การท่องเที่ยววถิ ีสีเขียว ศูนย์สร้างคณุ ค่าผู้สูง
วัย แหล่งท่องเที่ยวของเมืองเชียงใหม่ และสืบสานศิลปวัฒนธรรมล้านนา ซึ่งสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรม
ซอฟต์แวร์แห่งชาติ (SIPA) เลือกจงั หวัดเชียงใหม่ให้ดำเนินการโครงการนำร่องทอ่ี ำเภอแม่ออน สอดคล้องกับที่
องค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวดั เชยี งใหม่ดำเนินการมาแล้ว คอื “การยกยอ่ งครูภูมปิ ัญญาทางชา่ ง ในวาระเชียงใหม่
มอี ายุครบรอบ 720 ปี” สร้างความภาคภูมใิ จแก่ครภู ูมิปญั ญาทางชา่ งของจังหวดั เชียงใหม่ รวมถึงนโยบายเชิด
ชเู มืองเชียงใหมภ่ ายใต้นโยบาย “นครแห่งชีวติ และความมั่งคง่ั ” (City of Life & Prosperity) ซึ่งทง้ั หมดนี้
ล้วนเป็นโครงการทผี่ สานสอดรับกัน52

ขับเคลอ่ื น พันธกจิ ของเมืองเชียงใหม่
เมอื งเชียงใหม่ และประเทศทศ

เชยี งใหม่ นครแหง่ ความมั่งคั่ง
สมาชกิ เครอื ขา่ ยเมืองสร้างสรรค์
ของ UBESCO ดา้ นหตั ถกรรมและ

ศลิ ปะพื้นบา้ น

52 งานวิจยั การจัดทำแผนทท่ี างวัฒนธรรม เพื่อสนับสนนุ การขบั เคลอื่ นเมืองเชียงใหมเ่ ปน็ เครอื ขา่ ยเมืองสรา้ งสรรค์ขององคก์ ารยูเนสโก (สาขา
หตั ถกรรมและศิลปะพืน้ บา้ น). รศ. ดร.อาวรณ์ โอภาสพัฒนกจิ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม.่ สำนกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวิจยั หน่วยบูรณาการวจิ ยั
และความรว่ มมอื เพื่อพัฒนาเชิงพนื้ ที่.

P a g e | 123

การศึกษาเพอ่ื จดั ทำแผนท่ที างวัฒนธรรม
1. โครงการขับเคลอื่ นเมอื งเชียงใหม่เป็นเครอื ขา่ ยเมอื งสรา้ งสรรค์ขององคก์ าร UNESSCO
มรดกทางวัฒนธรรมสำคัญท่ีตกทอดมาสู่ปัจจุบัน คือ "งานหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน" ที่มีความ
งดงาม เป็นเอกลักษณ์ แสดงถึงภูมิปัญญาของผู้คนในดินแดนนี้ โดยมีมิติแห่งการสร้างสรรค์งานหัตถศิลป์ 3
ประเภท คือ 1) พัฒนาการมาจากรากเหงา้ ทางวัฒนธรรม 2) งานอุตสาหกรรมหัตถศิลป์ 3) งานหัตถศิลปร์ ว่ ม
สมัย ที่ยึดโยงกันอยู่อันเกิดจากพัฒนาการทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชุมชนที่เชื่อมโยงจากระดับ
หมบู่ ้านสู่เมอื ง และเปน็ แรงขับเคล่ือนสู่การสร้างสรรค์ให้เชยี งใหม่พร้อมการเคล่ือนตวั ของเมืองสู่อุตสาหกรรม
สร้างสรรค์และความร่วมสมัยของงานหัตถศิลป์ การพัฒนางานหัตถศิลป์สร้างสรรค์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมี
ความยั่งยืนของงานหัตถกรรมของชุมชน คือ การพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากรากเหง้าสู่สังคมร่วมสมัยใน
หลากหลายมิติ มรรคผลของการสร้างสรรค์งานหัตถศิลป์จะกลบั มาสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตและการศึกษาแก่
ผคู้ นในทอ้ งถิ่น พฒั นาเศรษฐกจิ ชุมชนและการทอ่ งเทีย่ วทย่ี ่งั ยืน
2. การดำเนนิ โครงการขบั เคล่ือนเมืองเชียงใหม่เป็นเครอื ขา่ ยเมืองสรา้ งสรรคข์ อง UNESCO สาขา
หัตถกรรมและศิลปะพ้ืนบา้ น
ศึกษาเอกลักษณ์และสภาพการณ์ของหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้านของเมืองเชียงใหม่ที่เกี่ยวข้องกับ
เศรษฐกิจสร้างสรรค์ วิเคราะห์ศักยภาพความเป็นไปได้ และความพร้อมของหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้านของ
เมืองเชียงใหม่ จัดทำข้อเสนอแนะแนวทางและแผนปฏิบัติการเกี่ยวกับการส่งเสริมงานหัตถกรรมและศิลปะ
พื้นบ้าน เพื่อขับเคลื่อนเมืองเชียงใหม่ให้เป็น “เมืองสร้างสรรค์” ซึ่งได้จัดทำกิจกรรมร่วมกับชุมชนหัตถกรรม
ภาครัฐ สถาบันการศึกษา ผู้ประกอบการ เพื่อผลักดันงานหัตถกรรมที่มีทุนทางวัฒนธรรมของตนเองในแต่ละ
พนื้ ที่ การเกบ็ ข้อมูลช่างฝีมือท้องถ่ินท่ีสบื ทอดการทำงานหตั ถกรรมจากรุ่นสรู่ ุ่น เพอื่ ศึกษาเทคนิค การทำ การ
ส่งเสรมิ งานออกแบบและการส่งออกให้กบั ชมุ ชนหัตถกรรม สามารถสร้างรายได้ใหก้ ับชุมชนและตนเองได้
นับตั้งแต่ปี 2557 องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ผลักดันโครงการขับเคลื่อนเมืองเชียงใหม่เป็น
เมืองสร้างสรรค์ของ UNESCO (สาขาหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน) ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนชาว
เชยี งใหม่ จังหวัดใกล้เคียงและประเทศไทย โดยครอบคลุมใน 5 มติ ิ ได้แก่
1. มิติของหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน: การนำเสนอความรุ่มรวยด้านงานหัตถกรรมและศิลปะ
พื้นบ้านของเมืองเชยี งใหม่ตอ่ สายตาชาวโลกใน 2 ลักษณะ คือ 1. ความหลากหลายของงานทีม่ ีถงึ 9 ประเภท
คือ งานผา้ งานไม้ งานเครื่องเงิน งานเครอื่ งโลหะ งานเครอื่ งปั้นดินเผา งานกระดาษ งานเครื่องเขิน งานเครื่อง
จักสาน และงานสบู่ น้ำมัน เครื่องหอม 2. ความเป็นเอกลักษณ์ของงานแต่ละประเภทที่มีความแตกต่างทั้ง
รูปแบบลวดลาย เทคนิค ซึ่งเป็นรายละเอียดของแต่ละชุมชนหรืออำเภอ ทั้งแบบดั้งเดิมและสร้างสรรค์ใหม่
สร้างรายได้จำนวนมากใหก้ บั จงั หวดั โดยผ้ปู ระกอบการรุ่นใหม่ 200 ราย สรา้ งรายไดป้ ีละกว่า 3,000 ล้านบาท
2. มิติของคน: เป็นมิติที่ต้องทำงานอย่างระมัดระวังและเข้าใจความคิด ความสามรถของผู้คน โดย
ผสมผสานผู้คนที่มีความรู้ ภูมิปัญญาดั้งเดิม กับคนรุ่นใหม่ทั้งชาวเชียงใหม่และผู้คนจากต่างพื้นถิ่นทั้งชาวไทย
และต่างประเทศ โดยคำนึงถึง 2 เรอื่ งใหญ่ คอื 1. การสร้างผู้ประกอบการสร้างสรรค์ ไดแ้ ก่ ผปู้ ระกอบการด้าน
งานศิลปะหรืองานออกแบบ ผู้ประกอบการท่ีรวบรวมองค์ความรู้ ทักษะ เทคโนโลยี และสุนทรียภาพจาก
วัฒนธรรมและงานศิลปะดงั้ เดมิ แลว้ แปรเปน็ กระบวนการสร้างสรรค์ผลติ ภณั ฑ์ทมี่ คี ุณค่าและความแตกตา่ ง ซ่ึง
ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคแต่ละกลุ่มได้ 2. การรวบรวมนักคิด ผู้มีความคิดสร้างสรรค์ในการ
ผสมผสานวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้เข้ากับเทคโนโลยีและการจัดการด้านธุรกิจ ก่อให้เกิดการจ้าง
งานและกำลงั ซ้ือสนิ ค้าหมนุ เวียน ทำใหเ้ กดิ การเตบิ โตทางเศรษฐกิจของเมอื งและประเทศ

P a g e | 124

3. มิติของการส่งเสริม พัฒนา: การแสดงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษาใน
การส่งเสริม พัฒนางานหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน เพื่อให้เกิดการเรียนรูแ้ ละเป็นฐานต่อยอดงานหัตถกรรม
และศลิ ปะพ้นื บ้าน รวมถึงการเออ้ื อำนวยให้เกดิ การจำหน่ายสินคา้ ได้

4. มิติของเมือง: แสดงความตั้งใจของเมืองในการสร้างระบบการจัดการเมืองท่ีเชื่อมโยงเมืองที่เป็น
มติ รกับผ้คู น เช่น

- การสร้างเอกลักษณ์ทางวฒั นธรรมให้แก่เมอื ง สรา้ งสภาพแวดลอ้ มทางสงั คมใหเ้ ปดิ กว้าง เพ่ือให้เกิด
การแลกเปลยี่ นทางวัฒนธรรม กอ่ ให้เกดิ ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ

- การสร้างพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียงพอ มีคุณภาพ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อ
การผลิตนักคิดและธรุ กิจสร้างสรรค์

- การบริหารจัดการเมือง องค์กรของภาครัฐและเอกชนต้องมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาเมือง มีความ
ยืดหยุ่นและทำงานประสานกันสู่เป้าหมายได้อย่างสร้างสรรค์ โดยมีแนวทางในการปรับปรุงเมืองให้เป็นเมือง
สร้างสรรค์ ผ่านการผสานแนวคิดทางวัฒนธรรมประวตั ิศาสตร์ ภูมปิ ัญญาและความคิดสรา้ งสรรคไ์ ปพร้อมกัน

5. มิตขิ องเครือข่าย: เป็นทัง้ เครือข่ายองค์กรท้ังในประเทศและตา่ งประเทศใน 3 ระดับ คอื เครือข่าย
ระดับหน่วยย่อย เชน่ ระหว่างชมุ ชน สถาบัน เครือขา่ ยระดบั เมอื ง และเครอื ข่ายระดบั ประเทศ

เพื่อให้ตอบโจทย์ตามวัตถุประสงค์ของการเป็นสมาชิกเมืองสร้างสรรค์ของ UNESCO ในแต่ละปีของ
การทำงานจะประกอบด้วยเรอ่ื งทด่ี ำเนนิ การในกจิ กรรมที่แตกตา่ งกันไป เพอื่ ตอบโจทย์ท้งั 5 มติ ิข้างต้น ไดแ้ ก่

1. การวจิ ยั ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับหตั ถกรรมและเรือ่ งอน่ื ๆ ท่ีเกีย่ วขอ้ ง ในอำเภอต่าง ๆ ของจงั หวัดเชยี งใหม่
2. การจัดอบรมสร้างความรู้และพัฒนาทักษะทางหัตถกรรมแก่ผู้คนของเมืองและเยาวชนรุ่นใหม่
กอ่ ใหเ้ กดิ อาชพี และตอบโจทยก์ ารพฒั นาทย่ี ัง่ ยืน เชน่ ยอ้ มคราม เซรามิก งานปกั ผา้ เขยี นเทียนของกลมุ่ ม้ง
3. การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศผ่านการจัดสัมมนา เพื่อตอบโจทย์มิติของเ มือง มิติของ
ความสัมพันธ์ การสร้างเครือข่ายระหว่างเมืองสร้างสรรค์ เพื่อสร้างความร่วมมือกับเมืองในประเทศต่าง ๆ อัน
เป็นประโยชน์ต่อภาพลักษณ์และแสดงความมุ่งมั่นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ประกาศ
เจตนารมย์ใหส้ มาชิกเมืองสรา้ งสรรคอ์ ื่น ๆ ได้ทราบ พร้อมกบั การสนับสนุนในวาระต่าง ๆ ตามมา
4. สนับสนนุ การสรา้ งพื้นทีส่ รา้ งสรรคเ์ พ่ือนำเสนอผลงานหัตถกรรม ทั้งที่ดำเนินการเองสลับกับความ
รว่ มมอื เช่น ทำงานกบั ศูนยส์ รา้ งสรรค์การออกแบบเชยี งใหม่ (TCDC) ในช่อื งาน “Chiang Mai Crafts Fair”
การทำงานรว่ มกนั กบั ชุมชน
การดำเนนิ กจิ กรรมรว่ มกนั กับชมุ ชนโดยให้ชมุ ชนเปรยี บเสมือนนักวิจัยร่วมของโครงการ เพ่ือเนน้ ย้ำให้
เห็นถึง “คุณลักษณะ” สร้างสรรค์ปัญญาเพื่อพัฒนาท้องถิ่น โดยให้ชาวบ้านและชุมชนเป็นหลัก ส่วนวิธีการ
สร้างสรรค์ปัญญาให้แก่ชาวบ้าน สร้างคุณค่าที่เกี่ยวกับภูมิปัญญา เป็น “กลยุทธ์การประสมประสานอย่างใช้
ปัญญา” แสดงให้เห็นคุณค่าของภูมิปัญญาดั้งเดิมและภูมิปัญญาร่วมสมัย รวมทั้งผลักดันโครงการในวัดและ
ชุมชนพวกแต้ม ด้วยความโดดเด่นด้านงานช่างฝีมือที่สอดคล้องกับการเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านหัตถกรรม
ศิลปะพ้ืนบา้ น เปน็ แหลง่ รวมช่างฝีมือทผี่ ลติ ควั ตองหรือเครื่องทองเหลือง โดยศกึ ษาประวัติชุมชนท่ีสัมพันธ์กับ
ตำแหน่งขุนนางควบคุมงานช่าง โดยเฉพาะการลงรักปิดทองบนงานโลหะ งานควั ตองเปน็ องค์ความรู้ที่สืบทอด
จากรุ่นสู่รุ่นมาถึงปัจจุบันทั้งการเป็นอาชีพหลักและอาชีพเสริมในชุมชน แบ่งได้ 2 ประเภท คือ “งานพุทธ
ศิลป์” เช่น ฉัตร สัปทน พุ่มดอกไม้เงินทอง เครื่องสูง และ “งานหัตถศิลป์” เพื่อประดับตกแต่งร่างกาย เช่น
ดอกไม้ไหสประดบั ศรี ษะชา่ งฟัอน และเล็บทองเหลอื งสำหรับการแสดงฟ้อนเลบ็

P a g e | 125

โครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ “พวกแต้ม คัวตอง” เพื่อการจัดการด้านอนุรักษ์และพัฒนางานคัวตองใน
ฐานะงานหัตถกรรมที่มีคุณค่าตั้งแต่ปี 2555 ร่วมกับกิจกรรมด้านศิลปวัฒนธรรม เป็นแหล่งเรียนรู้ทาง
ศิลปวัฒนธรรม และพัฒนางานคัวตองในรูปแบบร่วมสมัย เพิ่มมูลค่าของงานควั ตอง และกิจกรรมฮ่วมใจ๋ ฮ่วม
แฮง คนพวกแต้ม ฮักชุมชน รวมทั้งกิจกรรมทั้งในและนอกชมุ ชนเม่ืออาคารพิพิธภัณฑแ์ ลว้ เสร็จ เช่น กิจกรรม
“เตียวล่องกอง ผ่อของงาม” กิจกรรม “ช่างฟ้อน กลองชุม” กิจกรรม “รื้อฟิ้นของดี วิถีพวกแต้ม” ส่งผลให้
เป็นชุมชนตัวอย่างดา้ นการอนุรักษ์ศลิ ปหัตถกรรม เป็นแหล่งเรียนรู้ของเมืองสรา้ งสรรค์ที่ก่อให้เกิดการพัฒนา
เศรษฐกิจชุมชนจากการท่องเที่ยว การพักอาศัย การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในชุมชน ทำให้ชุมชนพวกแต้มได้รับ
รางวลั ยกยอ่ งเชดิ ชเู กยี รติท้งั ระดบั บุคคล องคก์ ร และชุมชนอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง

การทำงานร่วมกับชุมชนกระตุ้นให้คนในชุมชนเห็นคุณค่าความสำคัญของตนเอง ผลงาน และทุก
องค์ประกอบในชุมชน การทำงานในพืน้ ที่ด้วยความทุ่มเทและสร้างความเชื่อมน่ั ในความสำเร็จที่ต้องเกิดข้ึนใน
อนาคต การสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับกลุ่มผู้นำในชุมชนที่เข้มแข็ง การให้เกียรติและยกย่ององค์
ความรู้ในท้องถิ่นให้ทัดเทียมกับองค์ความรู้ทางวิชาการให้คนในชุมชนเข้าถึงเวทีวิชาการ และนักวิชาการเห็น
คุณคา่ ของงานศลิ ปหตั ถกรรม-วิถีชวี ิตในชุมชน การสรา้ งทัศนคติที่ดีต่อกันในชุมชนและต่อผู้มาเยือน ทำให้เกิด
ความประทบั ใจและสรา้ งความสำเร็จแก่ชุมชนพวกแต้มอยา่ งต่อเน่ือง

กระบวนการสรา้ งเครอื ข่ายความร่วมมอื นานาชาติ
เครือข่ายเมืองสรา้ งสรรค์ของยูเนสโก (UCCN) มีเป้าหมายทีจ่ ะเสริมสร้างความเข้มแข็ง ความร่วมมือ
กับเมืองและระหว่างเมืองทม่ี ีการยอมรบั ความคดิ สร้างสรรคเ์ ปน็ ปัจจยั เชิงกลยุทธ์ของการพัฒนาทย่ี ่ังยืนในด้าน
เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เมื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกเครือข่าย ในแต่ละเมืองจะร่วมกันหา
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการพัฒนาร่วมกับภาคีเครือข่าย เป็นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และ
อุตสาหกรรมทางวฒั นธรรม และการบูรณาการในแผนพฒั นาเศรษฐกิจของเมือง เครอื ข่ายเมืองสรา้ งสรรค์ของ
ยูเนสโก ครอบคลุม 7 สาขาความคิดสร้างสรรค์ ประกอบด้วย งานหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน การออกแบบ
ภาพยนตร์ อาหาร วรรณกรรม ส่อื ศิลปะ และดนตรี โดยมีกระบวนการสรา้ งเครอื ข่ายความรว่ มมือดงั น้ี
1. แลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรแู้ ละแนวทางปฏิบัติท่ีดที ่สี ดุ
2. จัดทำโครงการนำรอ่ ง การมสี ่วนร่วมและการรเิ รม่ิ ทเี่ กีย่ วขอ้ งกับภาครฐั เอกชนและสงั คม
3. โครงการแลกเปล่ยี นบคุ ลากรกับเมอื งเครอื ข่ายเมืองสมาชกิ
4. การศึกษาวจิ ัยและประเมนิ ผลประสบการณ์ของเมืองสร้างสรรค์อ่ืน ๆ
5. จดั ทำนโยบายและมาตรการเพื่อการพฒั นาเมอื งอย่างย่ังยืน
6. สรา้ งกจิ กรรมด้านการสื่อสารและการสร้างจติ สำนึก
โครงการ “การจัดทำแผนที่ทางวัฒนธรรม เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเมืองเชียงใหม่เป็นเครือข่าย
เมืองสร้างสรรค์ขององค์การยูเนสโก (สาขาหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน)” กลุ่มนักวิจัยในฐานะคณะทำงาน
ขับเคลื่อนเมืองเชียงใหม่ ด้วยการสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการ และการจัดทำแผนที่ทางวัฒนธรรม พร้อม

P a g e | 126

นำเสนอแผนงานการพัฒนาพื้นที่วัฒนธรรมตามพันธกิจของเมืองเชียงใหม่และประเทศ ให้เชียงใหม่เป็นนคร
แหง่ ความมั่งคง่ั และเปน็ สมาชิกเครอื ข่ายเมืองสรา้ งสรรค์ฯ ให้บรรลุเป้าหมาย

แนวทางการดำเนนิ งานเพอ่ื สรา้ งความรว่ มมอื กับภาคีตา่ ง ๆ ในจังหวดั เชียงใหม่
1. ประชุมร่วมกับภาคีระดับจังหวัด เพื่อทำความเข้าใจร่วมกันในการขับเคลื่อนเมืองเชียงใหม่ โดย
การสร้างสรรค์งานหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้านเป็นเครื่องมือในการยกระดับคุณภาพของเมืองและคน ชี้แจง
บทบาทหนา้ ทข่ี องโครงการในการจดั ทำแผนทที่ างวฒั นธรรม เพ่อื เปน็ ฐานข้อมูลอนั เกิดจากการศึกษาวิจัย เป็น
ระบบสืบค้นข้อมูลงานศิลปหัตถกรรมในพื้นที่ได้อย่างชัดเจนภายใต้ความร่วมมือกันระหว่างเยาวชน โรงเรียน
มหาวิทยาลัย เพอื่ สร้างเขม้ แข็ง ปลกู จติ สานกึ อนั จะเปน็ แนวทางสรา้ งความยง่ั ยืนด้านศลิ ปวัฒนธรรม
เป้าหมายในการถ่ายทอดความรู้ คือ กลุ่มเยาวชนในสถานบันการศึกษาในพื้นที่ 4 อำเภอ เยาวชนท่ี
กำลังหางานทำ หรือเยาวชนทีม่ ีความต้องการเตบิ โตทางนี้ หลังจากการร่วมเก็บข้อมูลด้วย Application แลว้
การพัฒนากลุ่มเยาวชนเป้าหมายในระดับต่อไป คือ การคัดเลือกต้นแบบจากการเก็บข้อมูล เพื่อส่งเยาวชนที่
สนใจไปอบรม สร้างแรงบันดาลใจ โดยต้นแบบต้องเห็นเป็นรูปธรรมได้จริง ซึ่งต้องค้นหาในแต่ละพื้นท่ี เพื่อให้
ทำหน้าที่ผถู้ ่ายทอดและสร้างแรงบนั ดาลใจแก่เยาวชน
2. การประชุมร่วมกับภาคีเครือข่ายชุมชนเมืองรักษ์เชียงใหม่ 13 ชุมชน เพื่อหาอาสาสมัครสร้าง
พื้นที่รูปธรรมในการวางแผนงาน Creative Space เพื่อแก้ปัญหาความยากจนและความไม่เท่าเทียมกันใน
สังคม ตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติที่หลายประเทศใช้เรื่องเศรษฐกิจ
สร้างสรรค์มาแก้ปัญหา โดยสร้างการมีส่วนร่วมในระดับท้องถิ่นเพื่อรวบรวมข้อมูลพื้นฐานและปัญหาท่ีเกดิ ข้นึ
ในชุมชนเมือง เพื่อหวังผลระยะยาวถึงแนวทางการสร้างพื้นที่ทางวฒั นธรรม เช่น การจัดการชุมชนต้นแบบใน
เขตอำเภอเมืองบริเวณพื้นที่ริมสองฝั่งคลองแม่ข่า 1 ในชัยมงคล 7 ประการของเมืองเชียงใหม่มาแ ต่สมัย
พญามังราย ถูกบุกรุกเข้าครอบครองและปลูกสร้างบ้านเรือนริมแม่น้ำ และเป็นที่รองรับน้ำทิ้งจากครัวเรือน
และโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้คลองแม่ข่าเน่าเสีย จังหวัดเชียงใหม่ได้รับงบประมาณเพื่อฟื้นฟูสภาพคลองมา
ข่าโดยเร่งด่วน ประกอบกับพบว่าชุมชนริมคลองแม่ข่าเป็นพื้นท่ีผลิตงานหัตถกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ซ่ึง
สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาท่ียัง่ ยืน ทำให้แหล่งผลิตงานหัตถกรรมริมคลองแม่ข่าถกู นำเสนอใหเ้ ป็นหนึ่ง
ในแนวทางการสร้างพื้นที่ทางวัฒนธรรมทีน่ ำไปสู่การเกิดแผนพัฒนาผู้ประกอบการทางวัฒนธรรมร่วมกับภาคี
ภาคธุรกิจและผเู้ กีย่ วข้องตอ่ ไป
3. ประชุมร่วมกับภาคีระดับปฏิบัติการในการเก็บข้อมูล เช่น โรงเรียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา
TCDC เชียงใหม่ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ เทศบาลเมือง
เชียงใหม่ เรื่อง “เครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนเมืองเชียงใหม่เป็นเมืองสร้างสรรค์” เพื่อเตรียมการอนาคตทาง
ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา ทั้งประเพณีและความคิดสร้างสรรค์ เพื่อตั้งรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับ
งานศิลปหัตถกรรมในเมืองเชียงใหม่ การสืบทอดให้ดำรงอยู่ได้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเสนอ
ประเด็นว่าควรจัดกิจกรรมทีต่ ่อเน่ืองในรูปแบบการสร้างปฏิทินกิจกรรมงานหัตถกรรมของเมืองเชียงใหม่ เช่น
การจัดประชุมเชิงวิชาการ งาน design week งานมหกรรมงานหัตถกรรม ยกระดับศูนย์กลางทั้งองค์ความรู้
งานปฏบิ ัติการ และจดั งานประชุมใหม้ ีกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอทุกปี โดยมุ่งเนน้ การยกระดบั สูส่ ากล
ที่ประชุมมองถึงการแก้ปัญหาดว้ ยการคน้ หามีชุมชนต้นแบบที่ทำงานหัตถกรรมในเมืองเชียงใหม่ โดย
ให้ TCDC เชียงใหม่ช่วยให้คำแนะนำด้านการออกแบบ และนำเสนอในรูปแบบนิทรรศการในพื้นที่หอ
ศิลปวัฒนธรรมเชียงใหม่ และที่อื่น ๆ กิจกรรมดังกล่าวนำมาสู่ภาพของเชียงใหม่สร้างสรรค์ที่จะดำเนินต่อไป
โดยคนรุ่นใหม่ที่สามารถนำความรู้ด้านศิลปหัตถกรรมมาปรับใช้กับชีวิตกับปัจจุบัน ให้เกิดความภาคภูมิใจ
ตระหนักถึงคุณค่าที่มาจากรากเหง้าของเมืองเชียงใหม่ เกิดเป็น (1) มีคนรุ่นใหม่ร่วมสืบทอด (2) นักจัดงาน

P a g e | 127

หัตถกรรมรุ่นใหม่ และ (3) การจัดมหกรรมเพื่อแสดงพื้นที่ทางวัฒนธรรมให้เห็นเป็นระยะ เปิดพื้นที่ให้คนรุ่น
ใหม่แสดงผลงาน เผยแพรต่ ามปฏทิ ินงานเชยี งใหม่ การแสดงงานท่ีเช่ือมโยงพันธมิตรในเมอื งเชียงใหม่

การวางแผนงานสร้างพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่จะนำไปสู่เชียงใหม่เมืองสร้างสรรค์ ด้วยการเปิดโรงเรียน
ช่าง เพื่อสร้างคนให้เป็นช่างมีการวางแผน การออกแบบหลักสูตรตลอดทั้งปี แผนการใช้งบประมาณ มุ่งให้
นักศึกษาผลิตงานเพื่อขายได้ในระดับที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ โดยการผลิตต้องตอบสนองต่อการตลาดและ
ฐานข้อมูลเศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยโครงการนำร่องมีวัดพวกแต้มเป็นต้นแบบเพื่อให้เห็นภาพของเชียงใหม่
สรา้ งสรรค์ในอนาคต

การสร้างแนวทางการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลเรื่อง “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” โดยการ
ขับเคลื่อนเมืองเชียงใหม่เป็นสมาชิกเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของ UNESCO ด้านหัตถกรรมและศิลปะ
พนื้ บ้าน

คณะทำงานเสนอแนวคดิ ในการเปิดโรงเรยี นช่าง ภายใต้ความร่วมมือของมหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ โฮง
เฮียนสืบสานภูมิปญั ญาลา้ นนา TCDC เชียงใหม่ หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ องค์การบริหารส่วนจังหวดั
เชยี งใหม่ และภาคที เ่ี กีย่ วข้อง สิง่ ท่ีควรดำเนนิ การอยา่ งเร่งดว่ น คอื การอบรมช่างเพราะช่างท่ีกำลังจะหมดไป
การเปิดสอนเพื่อให้เกิดความยั่งยืนด้วยการสร้างงานอย่างสร้างสรรค์ สามารถนำสู่ตลาดงานหัตถกรรมที่มี
คณุ ภาพได้ โดยกลุม่ เปา้ หมาย คอื ผปู้ ระกอบการ ผดู้ ้อยโอกาส เช่น SMEs ทล่ี ้มเหลว เยาวชนในกลุม่ ชาติพันธ์ุ
บัณฑิตคืนถิ่น กลุ่มแม่บ้าน เข้ารับการเรียนตามกระบวนการช่าง การสร้างผลงาน การอบรม e-Commerce
การหาตลาด ทำ Branding เป็น Chiang Mai by hand Diversity ที่ขยายผลสู่การสร้างความร่วมมือทั้ง 4
อำเภอ เพื่อสร้างความยงั่ ยนื ด้านศลิ ปวัฒนธรรม

สิ่งที่ดำเนินการไปแล้ว คือ การให้แนวทางการสร้างพื้นที่ทางวัฒนธรรมที่ต้องอาศัยความร่วมมือจาก
ทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงใหม่ ตลอดจนหนว่ ยงานภายนอก โดยจัดประชุมร่วมกับเครอื ข่ายระดบั ตา่ ง ๆ เพื่อ
สรุปและนำเสนอผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในการบริหารจัดการโครงการระยะยาว ประกอบด้วย Fair
Trade Chiang Mai, Chiang Mai International Symposium, การฟื้นฟูชุมชนริมคลองแม่ข่า และโครงการ
จัดตั้งโรงเรยี นชา่ งลา้ นนา

P a g e | 128

กระทรวงวัฒนธรรมได้ติดตามผลการดำเนินงานของเชียงใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเครื่องมือ
กระบวนการทำงานเก็บขอ้ มลู งานศลิ ปหตั ถกรรมพนื้ บ้านดว้ ย Application และการสร้างแผนทท่ี างวฒั นธรรม
สู่การขับเคลื่อนเมืองเชียงใหม่ เปน็ ตัวอย่างการดำเนินงานในระดบั ชาติต่อไป ดังการมีส่วนรว่ มและเป็นผู้นำใน
โครงการฟื้นฟูชุมชนริมคลองแม่ข่าด้วยแนวคิดการจัดการทางมรดกวัฒนธรรม โดยคำนึงถึงการฟื้นฟูสภาพ
คลองแม่ข่า จะเป็นการสร้างโอกาสให้ผู้คนสองฝั่งคลองให้มีทางเลือกในการประกอบอาชีพ พัฒนา
ความสามารถทางงานหัตถกรรม เพื่อสร้างอาชีพให้กับผู้คน ตลอดจนผู้สูงอายุในชุมชน และพัฒนาทักษะของ
เยาวชนในชมุ ชนในการดำรงชีวติ โดยพบวา่ มกี ลุ่มคนเมืองและกลุ่มชาติพนั ธุ์ผลิตงานหัตถกรรมชาวเขาสำหรับ
ขายในบริเวณตรอกเล่าโจ้ว กาดหลวง เชียงใหม่ การสร้างเครือข่ายในชมุ ชนให้มสี ว่ นร่วมในการเก็บข้อมูลงาน
หัตถกรรมในชมุ ชนโดยใช้ Application ตอ่ ไป

• ลำปางเมืองแหง่ การเรยี นรู้

มหาวิทยาลัยสวนดุสิตได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนวิจัยด้านการพัฒนาระดับ
พน้ื ที่ (บพท.) จำนวน 2 โครงการ คอื

1. โครงการวิจยั การพัฒนาเมืองลำปางสู่เมืองแห่งการเรยี นรู้จากฐานภมู ิทางสังคมและวัฒนธรรม
(Lampang Learning City) โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาระบบและกลไกในการพัฒนาเมืองแห่งการ
เรียนรู้จากฐานภูมิทางสังคมวัฒนธรรมโดยกระบวนการมีส่วนร่วม 2) เพื่อพัฒนาพื้นที่การเรียนรู้ของเมือง
(Learning Space) ในย่านเมืองสำคัญของลำปางในการยกระดับเศรษฐกิจท้องถิ่นและคุณภาพชีวิตของคนใน
พื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม 3) เพื่อสร้างแบรนด์อัตลักษณ์เมืองลำปางให้เป็นที่รู้จักและสร้างเสน่ห์ทางการ
ท่องเทยี่ ว

2. โครงการวิจัย ลำปางศึกษา (Lampang Study) โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อจัดการความรู้ฐาน
ภูมิสังคมวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง 2) เพื่อจัดทำคลังข้อมูล และห้องสมุดลำปางศึกษา 3) เพื่อจัดทำฐานข้อมูล
บรรณานุกรมลำปางศึกษาและสารานุกรม ชุด 5 ภูมิวัฒนธรรมในรูปแบบ Open Data บนเว็บไซต์และ E-
BOOK 4) เพื่อวิเคราะห์คุณค่าและมูลค่าทางเศรษฐกิจ สังคมและทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมจากฐานชุด
ความรู้ 5 ภูมิวัฒนธรรม จากภูมิหลังสู่ภูมิอนาคต 5) เพื่อนำเสนอฉากทัศน์ชุดภาพอนาคตลำปาง วิสัยทัศน์
และขอ้ เสนอเชงิ นโยบาย

P a g e | 129

➢ ลำปางศึกษาผ่านกลไกลำปางเมอื งแหง่ การเรยี นรู้
คณะวิจัยไดจ้ ัดทำ Knowledge Structure Map แผนท่โี ครงสรา้ งความรู้ และฐานขอ้ มูลชุดความรู้
5 ภมู ิวฒั นธรรม ซึง่ ข้อมลู ดังกลา่ วจะจัดทำระบบฐานขอ้ มูลรูปแบบสารานกุ รมลำปางโดยมีรายละเอยี ดของแต่
ละภมู ดิ งั น้ี
ภูมิหลัง (local history) ขอบเขตเนื้อหาครอบคลุมประวัติศาสตร์เมืองลำปางในแต่ละยุคสมัย
ตลอดจนเหตุการณ์สำคญั ทางประวตั ิศาสตร์ของเมืองลำปางในแต่ละยุคสมยั ว่าเมืองลำปางมีจุดกำเนิดและก้าว
เดินมาอย่างไรในมิติทางประวัตศาสตร์ ความรุ่งเรืองแห่งยุคสมัยและพัฒนาการ โดยแบ่งขอบเขตความรู้ของ
ภูมหิ ลงั ไว้ตามยคุ ดงั น้ี
• ลำปางยุคกอ่ นประวตั ศิ าสตร์
• ลำปางยคุ ประวัตศิ าสตร์

ยุคที่ 1 : ลำปางยุคสร้างบ้านแปงเมือง (สมัยแว่นแคว้น–นครรัฐ สมัยแคว้นหริภุญชัย-แคว้น
โยนก-ราวพทุ ธศตวรรษท่ี 13-19)

ยคุ ท่ี 2 : ลำปางยุครว่ มประวัติศาสตร์ล้านนา (ลา้ นนาสมัยรัฐอาณาจักร-ราชวงศ์มังราย พ.ศ.
1804 – 2101)

ยุคที่ 3 : ลำปางภายใต้การปกครองของพม่าและการร่วมกอบกเู้ อกราชภายใต้ร่มธงไทยก่อน
สมยั กรงุ รตั นโกสินทร์ (ลา้ นนาสมัยพม่าปกครอง พ.ศ. 2101 – 2317)

ยุคที่ 4 : ลำปางในยุคเจ้าผู้ครองนคร-ยุคเก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง (พ.ศ. 2317-2435)
(ล้านนาสมัยเป็นเมืองประเทศราชของไทย พ.ศ. 2317-2427 - ร่วมยุคสมัยกรุงธนบุรี - รัตนโกสินทร์ตอนต้น
สมัยพระเจา้ ตากสินมหาราช พ.ศ. 2310-2325 และสมยั รัชกาลที่ 1 - รชั กาลท่ี 4)

ยุคท่ี 5 : ลำปางยุคภายใต้รฐั สยาม และศูนยก์ ลางเศรษฐกจิ การค้า (พ.ศ. 2435-2500)
o ลำปางในระบอบมณฑลเทศาภิบาล ถึงสมัยการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
(ลำปางยุคปฏิรูปหวั เมอื งทางเหนอื - สมยั รวมหวั เมืองประเทศราชล้านนาเขา้ กบั สว่ นกลาง พ.ศ. 2427 – 2476
จัดตั้งมณฑลเทศาภบิ าลราว พ.ศ. 2417-2459 รว่ มสมัยกับรชั กาลท่ี 5-6 แห่งสยามประเทศ และปกครองแบบ
มณฑลเทศาภิบาล พ.ศ. 2442 – 2476 ยกเลิกฐานะเมืองประเทศราชของล้านนา โดยถือว่าหัวเมืองประเทศ
ราชล้านนาผนวกเป็นสว่ นหน่งึ ของพระราชอาณาจักร)
o ลำปางในยุคของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สู่การเปลี่ยนแปลงเส้นทางทางเศรษฐกิจที่
สำคัญของเมอื ง (ยุคร่วมสมยั แหง่ การเปลย่ี นแปลงการปกครองของสยามประเทศ (พ.ศ. 2459 – 2500)
• ลำปางยุคปัจจุบัน (พ.ศ. 2500-ปัจจุบัน) ลำปางในยุคการพัฒนาภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและ
สังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 - ฉบับที่ 12 (ในรัชสมัยรัชกาลที่ 9 การวางรากฐานการพัฒนาประเทศสู่การพัฒนา
แบบยงั่ ยืน
ภูมิเมือง (dynamic town) ขอบเขตของเนื้อหาครอบคลุมพัฒนาการด้านเศรษฐกิจ สังคม และ
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระบวนการเปลี่ยนผ่านการพัฒนาสู่อัตลักษณ์ ตัวตนและคุณค่า
พัฒนาการการเปลี่ยนแปลงของเมือง ทั้งพัฒนาการในระดับย่าน สถานที่สำคัญของเมือง ข้อมูลในด้านสถิติ
ภาพลักษณ์ที่สะท้อนความเป็นตัวตนและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง การปกครองของเมือง
ลำปาง โดยแบ่งขอบเขตความรู้ของภมู ิเมืองไวด้ ังนี้
• วิเคราะห์ภมู ิเมืองผา่ นชือ่ บ้านนามเมืองและยา่ นสำคัญทางประวัติศาสตร์และเศรษฐกจิ
- “อาลัมพางคน์ คร” หรอื “ลัมภกปั ปนคร / ชุมชนยา่ นลำปางหลวง: วดั พระธาตลุ ำปางหลวง วัดไหล่
หนิ

P a g e | 130

- "เขลางค์นคร" เมืองเขลางค์ยุค 1 ในยุคสมัยจามเทวีวงศ์ / ชุมชนย่านพระแก้วหัวข่วง: วัดพระแก้ว
ดอนเต้าสชุ าดาราม วดั นางเหลยี ว วัดปา่ พรา้ ว

- “เมืองละกอน” เมืองเขลางค์ยุค 2 ในยุคสมัยล้านนาไทย / ชุมชนย่านท่ามะโอและวัดปงสนุก: วัด
ประตปู อ่ ง วัดประตตู ้นผ้ึง วดั ท่ามะโอ วัดศรลี อ้ ม วัดปงสนกุ

- “นครเวียงดิน” เมืองเขลางค์ยุค 3 / ชุมชนย่านวัดบุญวาทย์: วัดคะตึกเชียงม่ันวัดกลางเวียงหรือวัด
บุญวาทย์วิหาร วัดบุญยนื วัดปา่ ดัวะ วัดน้ำลอ้ ม

- “นครลำปาง” เมืองใหม่แห่งการเป็นศูนย์กลางทางสังคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่สำคัญของ
ภาคเหนือ จากลำนำ้ วงั สูท่ างรถไฟสายเหนือ / ยา่ นกาดกองตา้ ชมุ ชนตลาดจนี / ย่านสบตยุ๋ ชมุ ชนชาวไทยเช้ือ
สายจีน ย่านเศรษฐกิจการคา้ การลงทุนแห่งใหม่ที่มาพร้อมกับการมาถงึ ของเส้นทางรถไฟสายเหนือและความ
ทนั สมยั ในนครลำปาง

• วิเคราะห์ภูมเิ มอื งผา่ นพัฒนาการเมืองลำปาง ช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1
- ฉบบั ท่ี 12

- ข้อมูลพื้นฐานบริบทและพัฒนาการเศรษฐกิจ สังคม และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเมือง
ลำปาง

- ขอ้ มูลทางสถิติ เศรษฐกิจ สงั คม และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเมืองลำปาง
- แผนยุทธศาสตรแ์ ละทศิ ทางการขบั เคล่อื นการพัฒนาจังหวดั ลำปาง
- วิเคราะห์ลำปางมิติเชิงคุณค่า/มูลค่าทางเศรษฐกิจ สังคม และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เมืองลำปาง
• วเิ คราะห์ภูมิเมอื งผา่ นพัฒนาการยา่ นของเมอื ง วิถชี วี ติ และสถานทส่ี ำคญั ทางประวัตศิ าสตร์
- เมืองเกา่ ลำปางท่ียังมีพลวตั สถาปัตยกรรมอาคารเก่าลำปาง 100 ปี ย่านเมืองเก่าลำปาง
ภมู ิวงศ์ (local intellectuals) ขอบเขตเนอื้ หาครอบคลมุ ประเด็นพระเถราจารย์ปูยชนียบุคคลสำคัญของเมือง
สกลุ วงศ์เจา้ ผูค้ รองนครลำปาง บุคคลสำคญั ทางประวัติศาสตร์ที่มีบทบาทในการสร้างและพัฒนาเมืองลำปางใน
มติ ิต่าง ๆ แบง่ ขอบเขตความรูข้ องภมู ิวงศ์ ไวด้ ังนี้
• อริยสงฆ์ผู้เป็นศูนย์รวมทางจิตใจ เช่น หลวงพ่อเกษม เขมโก อริยสงฆ์เจ้า ผู้สืบเชื้อสายเจ้าผู้ครอง
นครลำปาง
• บคุ คลสำคัญในประวัติศาสตร์
• ประวตั ิศาสตร์เจ้าผคู้ รองนครลำปางในทพิ ยจ์ ักราธิวงศ์
• รายนามผู้ว่าการเมอื งนครลำปาง และผู้ว่าราชการจงั หวัดลำปาง ตัง้ แตค่ นท่ี 1 ถงึ ปัจจุบัน
• บุคคลสำคัญท่มี ีชือ่ เสยี งท่ไี ดร้ บั การยอมรับในระดับชาตแิ ละนานาชาติ
ภูมิธรรม (religious and traditional beliefs) ขอบเขตเนื้อหาครอบคลุมประเด็นศาสนา ความ
เชื่อ จารีตประเพณีพื้นถิ่นของเมืองลำปางที่ชาวบ้านยึดถือ ตระหนัก และใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ตลอดจน
การรกั ษาสงิ่ เหลา่ น้ีใหค้ งอยูใ่ นสงั คมของเมืองลำปาง แบง่ ขอบเขตความรู้ของภูมิธรรมไว้ดงั นี้
• ศาสนาและความเชอ่ื
• ประเพณี 12 เดือนเมอื งลำปาง
• ประเพณีฟ้อนผีลำปาง ความเชื่อ จารีตท้องถิ่นที่ยึดโยงอัตลักษณ์ความเป็น “คนลำปาง” เข้าไว้
ดว้ ยกนั
• ประเพณีแห่สลุงหลวง กลองใหญ่ ปีใหม่เมือง นครลำปาง

• ประเพณลี ่องสะเปาจาวละกอน

P a g e | 131

• พธิ สี บื ชะตา-ยอคุณแมน่ ้ำวงั เพ่อื ระลกึ ถึงคณุ ประโยชนข์ องแม่น้ำวงั สายน้ำแหง่ ชวี ติ ของคนลำปาง
ภูมิปัญญา (local wisdom) ขอบเขตเนื้อหาครอบคลุมประเด็นด้านวิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรม ภูมิ
ปัญญา หรือองค์ความรู้จากท้องถิ่นในสาขาด้านต่าง ๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยประชาชนในเมืองลำปางยุคสมัย
ตา่ ง ๆ แบ่งขอบเขตความรูข้ องภมู ิปัญญาไวด้ งั นี้
• วถิ ชี วี ติ ภมู ิปญั ญาคนลำปาง วิถีแห่งผ้า และอาหาร
• “ร่ำเปิงลำปาง” บทเพลงภูมิปัญญา สะทอ้ นบริบทอัตลักษณว์ ิถวี ฒั นธรรมเมืองลำปาง
• รถม้าลำปาง ภมู ปิ ญั ญาทีม่ าพรอ้ มกบั ความทนั สมัยและความรงุ่ เรืองของนครลำปาง
• เครือ่ งปนั้ ดินเผาลำปาง (เซรามกิ ) ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ สอู่ ตุ สาหกรรมเศรษฐกจิ ระดบั โลก
• ภูมิปัญญาแหง่ ศรทั ธาและความเชื่อศิลปหัตถกรรมการทำโคม ตงุ
• งานพทุ ธศิลป์ งานสถาปตั ยกรรมสกุลช่างลำปาง สกุลชา่ งเชยี งแสน
• กอ๋ งปูจา ดุริยศิลปท์ ีโ่ ดดเดน่ และเปน็ เอกลักษณข์ องเมอื งลำปาง
• หตั ถกรรมตดี าบบา้ นขามแดงภูมปิ ัญญาช่างตดี าบในตำนาน
• ภมู ิปัญญาแหง่ ความเชอื่ และความงามแหง่ หนิ แก้วธรรมชาติ “แกว้ โปงข่าม”
เปา้ หมายและผลลพั ธข์ องการเรยี นร้ขู องเมอื ง
- เรยี นรู้ตัวเอง (รู้จัก เขา้ ใจ เหน็ ศักยภาพ)
- เรียนรูร้ ่วมกัน (ผ่านกจิ กรรมเรียนรทู้ ่ีหลากหลายต่อเน่อื ง)
- สรา้ งความรู้สึกการเป็นเจา้ ของร่วม (ผา่ นกระบวนการมีส่วนร่วมในทกุ กระบวนการ)
- กำหนดทิศทางการพัฒนาร่วมกันของเมือง (ผ่านการกำหนดภาพอนาคตและวสิ ยั รว่ มของเมือง)
- สรา้ งเครือขา่ ยการเรยี นรูข้ องเมือง (ผา่ นกระบวนการบรู ณาการทำงานรว่ มกันของเครือขา่ ย)
- สร้างความเชื่อมั่นและยอมรับในกระบวนการขับเคลือ่ น (ผ่านกระบวนการขับเคลือ่ นเมืองเข้าสู่การ
สมาชิกเครือข่ายระดับโลกด้านเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโก (The UNESCO Global Network of
Learning Cities - GNLC))
- สร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นในภาพรรวม (ผ่านกระบวนการสร้างคุณค่าในการขับเคลื่อนเมือง ผ่าน
กระบวนการสร้างมูลค่าเพ่ิมทางเศรษฐกิจ พัฒนาตอ่ ยอดเชิงสร้างสรรค์และเรียนรู้ และผ่านกระบวนการสร้าง
ความเข้มแขง็ และยง่ั ยนื ในการบรหิ ารจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ ม)
กิจกรรมการกำหนดทิศทางของเมืองและเครือขา่ ย
- การประชุมเชิงปฏิบัติการเครือข่ายลำปางเมืองแห่งการเรียนรู้ จัดทำแผนปฏิบัติการและคู่มือ
ปฏิบัติงานในการขับเคลื่อนงานและกรอบในการจัดกิจกรรม กิจกรรมประชุมเชิงปฏิบัติการเครือข่ายลำปาง
เมอื งแหง่ การเรียนรู้
กิจกรรมการเรียนรู้
- เวทแี ลกเปลี่ยนเรียนรู้ “สบตยุ๋ ย่านเศรษฐกิจสำคัญลำปางกบั พัฒนาการและการธำรงอยู
- กระบวนการศึกษาฐานภูมิทางสังคมวัฒนธรรมผ่าน 5 ภูมิวัฒนธรรมของย่านท่ามะโอ และจัดทำ
แผนทท่ี างวัฒนธรรมจากฐานภูมิทางสงั คมวฒั นธรรมของยา่ นท่ามะโอ
- จิบชาแอ่วชุมชนรถม้า บ้านนาก่วม วิถีแห่งชุมชนคนรถม้า เสน่ห์แห่งอัตลักษณ์ชุมชนเลียบน้ำวังฝงั่
ตะวนั ออก
- เรยี นรภู้ ูมปิ ัญญาจาก “ครง่ั ” สกู่ ารพฒั นาผลติ ภณั ฑอ์ ตั ลักษณ์เมอื งลำปาง
- ตามรอยเสน้ ทางโกโก้ สู่การพัฒนาต่อยอดพัฒนาผลติ ภัณฑ์โกโก้นครลำปาง

P a g e | 132

• การยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรมอาหารอยุธยา เมืองท่าแห่ง
ตะวันออก

สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการท่องเที่ยว สำนักงานสภานโยบายการ
อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ได้กำหนดนโยบายการฟื้นฟูและปรบั โครงสร้าง
เศรษฐกิจและสังคมของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหาร” (Gastronomy
Tourism) เป็นกลไกสำคัญในการฟื้นฟูการท่องเที่ยว เนื่องจากข้อได้เปรียบของอาหารไทยที่มีวัตถุดิบเป็น
เอกลกั ษณท์ ่ใี ช้พืชผักสมุนไพรในท้องถ่ินทร่ี ับประทานแลว้ ทำใหส้ ุขภาพดี พร้อมกบั มีจุดเด่นเรื่องรสชาติ รวมถึง
มีความหลากหลายของอาหารในแต่ละภมู ิภาคของประเทศ ซึง่ สามารถนำมาสรา้ ง “คุณคา่ ” ด้วยการผนวกกับ
เร่ืองราวทีส่ ามารถถ่ายทอดเกย่ี วกับภูมปิ ัญญาและวัฒนธรรมทส่ี ืบทอดกันมาจากอดีต

การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือในการถ่ายทอดประวัติศาสตร์
วัฒนธรรม และวิถีชีวิตท้องถิ่นผ่านอาหาร แต่ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างงานและกระจายรายได้ให้คนใน
ท้องถิ่น รวมถึงสร้างเข้มแข็งของชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสง่ เสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารสมัย
อยุธยา ซึ่งเป็นอาณาจักรซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองจนอาจถือได้ว่าเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมั่งคั่งที่สุดในภูมิภาค
สุวรรณภูมิ อีกทั้งยังเป็นอาณาจักรที่มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับหลายชาติ จนถือได้ว่าเป็น “เมืองท่าแห่ง
ตะวันออก” โดยเป็นศูนย์กลางการค้าในระดับนานาชาติ เช่น จีน เวียดนาม อินเดีย ญี่ปุ่น เปอร์เซีย รวมทั้ง
ชาติตะวันตก เช่น โปรตุเกส สเปน ดัตช์ และฝรั่งเศส ทําเลที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยาเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทําให้
อาณาจักรอยธุ ยาเปน็ อาณาจักรทเี่ จริญร่งุ เรอื งเปน็ ศนู ย์กลางอํานาจทางการเมือง เศรษฐกิจและสงั คมเป็นเวลา
กว่า 400 ปี ทำให้การผสมผสานทางวัฒนธรรม รวมถึงอาหารการกินที่ได้รับอิทธิพลจากชาวต่างชาติ ซึ่งมี
เรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่สามารถนำมาสู่การจัดกิจกรรมเพื่อยกระดับสู่การท่องเที่ยวเชิง
สร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรมอาหาร เพื่อนำเสนอ “คุณค่าและมูลค่า” สู่นักท่องเที่ยวให้เปิดรับประสบการณ์
ทางการท่องเที่ยวในมิตใิ หม่

จากการสังเคราะห์บริบทของการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออกและ
การพัฒนาโจทย์วิจัยเพื่อศึกษาความต้องการของพื้นที่ พบว่ามีช่องว่างการวิจัยและการทบทวนความต้องการ
ของพน้ื ท่ี ดังน้ี

(1) ขาดการสังเคราะหว์ ัฒนธรรมอาหารอยธุ ยา

P a g e | 133

(2) ขาดการถอดรหัสวัฒนธรรมอาหาร
(3) ขาดต้นแบบวัฒนธรรมอาหารอยุธยา และการพัฒนาสำรับอาหารเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิง
สร้างสรรค์
(4) ขาดแนวทางการพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าตะวันออกเพื่อ
รองรบั การทอ่ งเที่ยวเชงิ สร้างสรรค์
จากความสำคญั ของปัญหาและความต้องการของพนื้ ท่ี ทำให้เห็นความสำคัญอย่างย่งิ ของการวิจัยและ
นวัตกรรมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารไทยของชมุ ชนที่จะเป็นการพัฒนาตอ่ ยอดจากฐานทรัพยากรและ
ความพร้อมเดิมที่มีอยู่เพื่อพัฒนาในแบบ Quick win เพื่อศึกษาวิจัยให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายหลัก
ได้ผลผลิตซึ่งจะนำไปสู่การใช้ประโยชน์ก่อให้เกิดผลลัพธ์ การสร้างงานสร้างอาชีพของคนในชุมชนและรองรบั
การท่องเที่ยวในยุควิถีชีวิตปกติใหม่ โดยก่อให้เกิดผลกระทบคือ ยกระดับความสามารถในการแข่งขันของ
ประเทศด้านการท่องเที่ยวที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คือ การพัฒนาการท่องเท่ียวเชงิ
วัฒนธรรมอาหารไทยโดยชุมชน เป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวโดยชุมชนเพื่อฟื้นฟูการ
ท่องเที่ยวจากภาวะวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 และนำไปสู่การขยายผลและใช้เป็นต้นแบบในการ
ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน อีกทั้งยังเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ พร้อมกับการ
อนุรกั ษแ์ ละสืบสานทรัพยากรในท้องถิน่ และชุมชนสู่ความมั่นคง มงั่ คั่ง ยงั่ ยนื บนพ้ืนฐานของความพอเพียงบน
ฐานวถิ ชี ีวติ ใหม่53
‘พระนครศรีอยุธยา’ เป็นอดีตราชธานีมายาวนานกว่า 417 ปี ซึ่งเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ เมืองของพหุ
วัฒนธรรมที่รวบรวมความหลากหลายทางวัฒนธรรมจากการทีเ่ ปน็ “เมืองท่าแหง่ ตะวันออก” ซึ่งเป็นศนู ย์กลาง
การคา้ ในระดบั นานาชาติ เช่น จีน เวยี ดนาม อินเดีย ญีป่ นุ่ เปอร์เซีย รวมทั้งชาติตะวนั ตก เชน่ โปรตเุ กส สเปน
ดัตช์ และฝรั่งเศส อาหารไทยในสมัยอยุธยาได้เริ่มมีการรับเอาวัฒนธรรมจากอาหารต่างชาติที่ส่วนใหญ่ได้รับ
การแพร่หลายอยู่ในราชสำนักก่อน และต่อมาจึงแพร่หลายสู่ประชาชน โดยดัดแปลงรสชาติให้ถูกกับรสนิยม
การรับประทานของคนไทย และใช้วัตถุดิบที่หาได้ในประเทศไทย ผ่านกรรมวิธีการปรุงที่เหมาะสม เพื่อให้ได้
รสชาติทถี่ ูกปากคนไทย และกลายเป็นอาหารไทยในที่สดุ
อาหารการกินเป็นมรดกที่แสดงถึงภูมิปัญญา กล่าวในอีกทางหนึ่ง คือ เป็นมรดกภูมิปัญญาทาง
วัฒนธรรม (Intellectual Cultural Heritage) ที่แสดงปฏิสัมพันธ์ของคนที่มีต่อธรรมชาติและประวัติศาสตร์
ของตน และทำให้คนเหลา่ นนั้ เกิดความรสู้ กึ มอี ัตลกั ษณแ์ ละความต่อเน่ือง อนั จะกอ่ ให้เกดิ ความเคารพต่อความ
หลากหลายทางวัฒนธรรมและการคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ อาหารการกินในสมัยอยุธยามีความหลากหลาย
สะท้อนใหเ้ ห็นถึงวิถีชีวติ ความเป็นอยู่ ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากร วตั ถดุ บิ และสภาพแวดล้อมในสมัยนั้น
รวมทั้งการแลกเปลี่ยนผสมผสานทางวัฒนธรรมจากชาติต่าง ๆ ที่เข้ามาติดต่อค้าขายด้วยความเป็นเมืองท่าที่
สำคญั ตลาดจงึ เปน็ พนื้ ที่แลกเปล่ียนวัฒนธรรมทส่ี ำคัญและเกี่ยวเน่ืองกับอาหารการกนิ โดยตรง ความเจรญิ รุ่งเรือง
ของอยุธยาในช่วงสมัยต่าง ๆ ปรากฏผ่านตำรับ สำรับอาหารและวัฒนธรรมการกิน กล่าวได้ว่า วัฒนธรรมการกิน
ของชาวบ้านและชาววังในสมัยอยุธยาแตกต่างกัน ลักษณะทางกายภาพตั้งแต่สีสันอาหาร การจัดสำรับ
องค์ประกอบการกินต่าง ๆ ล้วนมีความเฉพาะ นอกจากเกิดจากบริบทและสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลาแลว้ ย่อม
มาจากพัฒนาการทางภมู วิ ฒั นธรรมและการสั่งสมภูมิปัญญาอีกดว้ ย

53 งานวิจยั การยกระดบั การท่องเทีย่ วเชงิ สรา้ งสรรค์ดา้ นวัฒนธรรมอาหารอยธุ ยาเมอื งทา่ แห่งตะวนั ออก. ผศ. ดร.จิรานชุ โสภา มหาวทิ ยาลยั สวน
ดสุ ติ และคณะ. หนว่ ยบริหารและจดั การทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแขง่ ขนั ของประเทศ (บพข.).

P a g e | 134

อยา่ งไรก็ตามมรดกภมู ิปัญญาทางวัฒนธรรมในเร่ืองอาหารการกินจำเป็นต้องมีการจัดการทั้งการอนุรักษ์
และพัฒนา การให้เห็นคุณค่าอย่างแท้จริงเป็นสิ่งสำคัญส่วนแรกของการอนุรักษ์อันนำไปสู่ขั้นการพัฒนาต่อยอด
ต่อไป การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารสมัยอยุธยา ซึ่งเป็นอาณาจักรซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองจน
อาจถือได้ว่าเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมั่งคั่งที่สุดในภูมิภาคสุวรรณภูมิ อีกทั้งยังเป็นอาณาจักรที่มีความสัมพันธ์
ทางการค้ากับหลายชาติ จนถือได้ว่าเป็น “เมืองท่าแห่งตะวันออก” ซงึ่ เปน็ ศนู ยก์ ลางการค้าในระดบั นานาชาติ
เช่น จีน เวียดนาม อินเดีย ญี่ปุ่น เปอร์เซีย รวมทั้งชาตติ ะวันตก เช่น โปรตุเกส สเปน ดัตช์ และฝรั่งเศส ทําเล
ที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยาเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อาณาจักรอยุธยาเป็นอาณาจักรท่ีเจริญรุ่งเรืองเป็นศูนย์กลาง
อำนาจทางการเมอื ง เศรษฐกิจและสงั คมเป็นเวลากว่า 400 ปี ทำใหก้ ารผสมผสานทางวฒั นธรรมรวมถงึ อาหาร
การกินที่ได้รับอิทธิพลจากชาวต่างชาติ ซึ่งมีเรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมทีส่ ามารถนำมาสู่การจดั
กิจกรรมเพื่อยกระดับสู่การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรมอาหารเพื่อนำเสนอ “คุณค่าและมูลค่า” สู่
นกั ท่องเท่ียวใหเ้ ปดิ รับประสบการณ์ทางการท่องเทีย่ วในมิติใหม่54

การถอดรหัสภูมิปัญญาวัฒนธรรมผ่าน ‘การกิน’ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยส่ี ทำให้เข้าใจภูมิสังคม วิถีชีวิต
และวัฒนธรรมของอยุธยาซึ่งเป็นเมืองท่าที่สำคัญของภูมิภาค กระบวนการถอดรหัสล้วนต้องอาศัยพื้นฐาน
ความเข้าใจในบริบทของอยุธยาและบริบทความเป็นเมืองท่า อ้างถึง “จดหมายเหตุ” ของ “ซีมอง เดอ ลาลู
แบร”์ หัวหน้าคณะทตู ฝรั่งเศสคณะทีส่ อง ซง่ึ พระเจ้าหลยุ ส์ที่ 14 สะทอ้ นภาพในอดีตของกรงุ ศรอี ยุธยาได้อย่าง
ชัดเจน บรรยายสภาพภูมิทัศน์ของกรุงศรีอยุธยาที่แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของทำเลที่ตั้ง จนทำให้
อาหารการกินมากมายไม่เคยขาดแคลน ความอุดมสมบูรณ์และความร่ำรวยของวัตถุดิบ จนเป็นที่รู้จักคุ้นเคย
ของชาวต่างชาตวิ า่ เปน็ เมืองที่อุดมสมบูรณ์ด้วยเครื่องอุปโภคบริโภคหลากหลายชนิด เป็นที่พบปะแลกเปล่ยี น
ทางวัฒนธรรมที่มาจากดินแดนต่าง ๆ อาหารการกินในสมัยอยุธยามีความอุดมสมบูรณ์ มีอาหารมากมายท้ัง
อาหารของชาวสยามและอาหารของชาวต่างชาติ อาหารบางอย่างเป็นอาหารเฉพาะกลุ่มเชื้อชาติที่นำเข้ามา
จากต่างประเทศ อาหารบางอย่างเป็นอาหารที่ชาวต่างชาติทำขายในตลาดในเมืองพระนครศรีอยุธยา การมี
อาหารหลากหลายเชื้อชาติในพระนครศรีอยุธยาแสดงให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในการบริโภค
ผ่านอาหารทห่ี ลากหลาย สงิ่ เหลา่ นหี้ ลอ่ หลอมจนเป็นภูมิวฒั นธรรมทส่ี ือ่ ออกมาทงั้ ทางกายภาพ สถาปตั ยกรรม
และภมู ปิ ญั ญาวัฒนธรรมอาหาร

นอกจากการตีความหรือการถอดรหัส เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงคุณค่าในสาระและภูมิปัญญาอย่าง
แท้จรงิ แล้ว กระบวนการสรา้ งความหมายยอ่ มมีความสำคัญเช่นเดยี วกัน เพอ่ื ใหเ้ นือ้ แทข้ องสง่ิ ทีต่ ้องการสื่อสาร
ไมส่ ญู หายไป งานวจิ ยั จงึ ตอ้ งมีกระบวนการสร้างความหมายเพอ่ื กำหนดเป็นแนวทางในการพัฒนด้านกายภาพ
เพื่อสะท้อนภูมิปัญญาวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าตะวันออก โดยคณะผู้วิจัยใช้กระบวนการวิเคราะห์
สร้างกระบวนการถอดรหัสและการสร้างความหมายอย่างมีส่วนร่วม ทั้งจากกลุ่มที่อยู่กบั วิถีชุมชนและกลุม่ ผู้รู้
จากภายนอกในมิติมุมมองที่เกี่ยวข้องมาร่วมสะท้อนจากความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มีการบันทึกข้อมูล
วิเคราะห์วิจัยให้เข้าใจในแก่นขององค์ความรู้ ออกแบบพื้นที่ที่เกี่ยวเนื่องกับวัฒนธรรมอาหารและส่งเสริม
บรรยากาศให้เกิดการเรียนรู้ เข้าใจถึงคุณค่าและกิจกรรมสร้างสรรค์และสังเคราะห์เป็นแนวทางและรูปธรรม
เพื่อสามารถนำไปใช้ต่อยอดภูมิปัญญาการยกระดับวัฒนธรรมอาหารอยุธยา อันนำไปสู่การพัฒนาการ
ทอ่ งเทย่ี วเชงิ สรา้ งสรรคไ์ ด้ตอ่ ไป

54 รายงานวจิ ัย การยกระดับการทอ่ งเทยี่ วเชงิ สรา้ งสรรคด์ ้านวัฒนธรรมอาหารอยธุ ยาเมอื งทา่ แหง่ ตะวนั ออก. ผศ. ดร.จริ านชุ โสภา มหาวทิ ยาลยั
สวนดุสิต และคณะ. หนว่ ยบรหิ ารและจดั การทุนด้านการเพมิ่ ความสามารถในการแขง่ ขันของประเทศ (บพข.).

P a g e | 135

คณะวิจัยจึงได้ร่วมกันบูรณาการหนุนเสริมเพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารอยุธยา
(Ayutthaya Gastronomy) ที่เป็นผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยว และเป็นหมุดหมาย (Gastronomy
Destination) ที่ตอบโจทย์มุ่งการสร้างงาน สร้างรายได้ และพลิกฟื้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารของ
อุยธยา ให้สามารถรองรับในยุค New Normal เพื่อรองรับการเป็นตลาดการท่องเที่ยวในมิติใหม่ด้วยการ
นำเสนออัตลกั ษณอ์ าหารไทยอรอ่ ยท่ีสุดในโลก และย้อนเวลาไปพบกบั รากเหง้าของวัฒนธรรมอาหารไทยตั้งแต่
สมัยอยธุ ยาทม่ี คี วามรุม่ รวยทางวฒั นธรรมและเปน็ จดุ กำเนิดของอาหารไทย

แผนงาน “การยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่ง
ตะวันออก” มวี ัตถุประสงค์ คือ 1.ศึกษาและวิเคราะห์ศักยภาพของการท่องเท่ียวเชิงสร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรม
อาหารอยุธยาเมืองทา่ แห่งตะวันออกที่สอดคล้องกับนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมาย 2. จัดทำรูปแบบกิจกรรมการ
ท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออก 3. จัดทำแนวทางการยกระดับ
อาหารอยุธยาสู่การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออก มีวิธีการวิจัย
แบบบูรณาการจากโครงการย่อย ซึง่ ผลทีค่ าดวา่ จะไดร้ ับ ได้แก่ (1) ผลการวิเคราะหศ์ กั ยภาพของการท่องเท่ียว
เชิงสร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออกที่สอดคล้องกับนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมาย
(2) รูปแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออก และ (3)
แนวทางการยกระดับอาหารอยุธยาสู่การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่ง
ตะวนั ออก

การนำผลงานไปใช้ประโยชน์
1. ชุมชนตน้ แบบจำนวน 5 ชุมชน โดยจะถา่ ยทอดองค์ความร้แู ละเทคโนโลยีสูช่ ุมชนเกยี่ วกบั (1) องค์
ความรู้ด้านภูมิวัฒนธรรมและภูมิปัญญาอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออก (2) แผนกระบวนการยกระดับ
อาหารอยุธยาสู่การท่องเที่ยวสร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าแหง่ ตะวันออก (3) กิจกรรมการ
ท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออก (4) สำรับอาหาร (Food Fusion
& Food Styles) อยธุ ยาเมอื งท่าแหง่ ตะวนั ออก
2. ธุรกิจทีเ่ ก่ยี วข้องกบั การท่องเทย่ี วเชิงวฒั นธรรมอาหาร เช่น ร้านอาหาร ตลาด แหล่งทอ่ งเทย่ี ว และ
ร้านขายของที่ระลึกประเภทอาหารในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สามารถใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ เพ่ือ
ส่งเสริมการดำเนินงานของธุรกิจท่องเที่ยว ที่จะสามารถขายสินค้าและบริการทางด้านการท่องเที่ยวเชิง
วฒั นธรรมอาหารเพือ่ สรา้ งรายไดใ้ ห้กับจังหวัดพระนครศรอี ยธุ ยา
3. บริษัทนำเที่ยวนำเสนอขายโปรแกรมท่องเที่ยวตามรูปแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์
ดา้ นวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวนั ออก เพ่ือเจาะกลมุ่ ตลาดนกั ท่องเทย่ี วกำลงั ซ้ือสงู ท่ีมีความสนใจ
อาหารไทย และชนื่ ชอบการท่องเท่ียวเชงิ ประวัตศิ าสตร์ เป็นต้น
4. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬานำผลการวิเคราะห์ศักยภาพของการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ด้าน
วัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออกท่ีสอดคล้องกับนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมายไปใช้ในการจัดทำ
แผนพฒั นาการท่องเที่ยวเชิงสรา้ งสรรคด์ ้านวัฒนธรรมอาหารของจังหวดั
โครงการย่อย 1 การค้นหาต้นแบบวัฒนธรรมอาหารและพัฒนาสำรับอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่ง
ตะวันออก
มีวัตถุประสงค์ คือ 1. ศึกษาภูมิวัฒนธรรมและภูมิปัญญาอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออก 2.
พฒั นาตวั ช้วี ดั ประเมินวัฒนธรรมอาหารไทยและค้นหาต้นแบบวฒั นธรรมอาหารอยธุ ยาเมืองท่าแห่งตะวันออก
3.ถอดรหัสภูมิปัญญาสำรับอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออก 4. พัฒนาสำรับอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่ง
ตะวันออก

P a g e | 136

ผลที่คาดว่าจะไดร้ บั ได้แก่ (1) องค์ความรู้เกี่ยวกบั ภูมิวฒั นธรรมและภมู ิปัญญาอาหารอยุธยาเมืองทา่
แห่งตะวันออก (2) ตัวชี้วัดประเมินวัฒนธรรมอาหารไทยและต้นแบบวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่ง
ตะวันออก (3) ผลการถอดรหัสภูมิปัญญาสำรับอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออก (4) สำรับอาหารอยุธยา
เมืองท่าแห่งตะวนั ออก

ผลผลิตที่สำคัญของโครงการ คือ การถอดรหัสภูมิปัญญาสำรับอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออก
และพัฒนาสำรับอาหารอยุธยา ซึ่งหาทานได้ยาก อาทิ ขนมตระกูลทอง ขนมหินฝนทอง ต้มยำกุ้ง ทอดมันกุ้ง
ข้าวบุหรี่ ตลอดจนการถ่ายทอดเทคโนโลยีลงสู่ชุมชนเพื่อพัฒนาให้เป็นชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
อาหาร

การนำผลงานไปใชป้ ระโยชน์
1. ชุมชนต้นแบบจำนวน 5 ชุมชน จะมีการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีสู่ชุมชน
เกี่ยวกับ (1) องค์ความรู้ด้านภูมิวัฒนธรรมและภูมิปัญญาอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออก (2) ตัวชี้วัด
ประเมินวัฒนธรรมอาหารไทย (3) ต้นแบบอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออก (4) รหัสภูมิปัญญาสำรับ
อาหารอยุธยา (Decoding the wisdom of Ayutthaya food) เมืองท่าแห่งตะวันออก (5) สำรับอาหาร
(Food Fusion & Food Styles) อยธุ ยาเมอื งท่าแหง่ ตะวนั ออก
2. ร้านอาหารในพื้นที่นำเสนอขายสำรับอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออกให้แก่นักท่องเที่ยวท้ัง
ชาวไทยและชาวต่างชาตทิ ่ตี ้องการรบั ประทานอาหารพืน้ ถิน่ สมยั กรุงศรีอยุธยา
3. ธุรกจิ ทเ่ี กี่ยวข้องกับการทอ่ งเทย่ี วเชงิ วฒั นธรรมอาหาร เช่น รา้ นอาหาร ตลาด แหลง่ ท่องเท่ยี ว และ
ร้านขายของที่ระลึกประเภทอาหาร ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาสามารถใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เพื่อ
ส่งเสริมการดำเนินงานของธุรกิจท่องเที่ยว ที่จะสามารถขายสินค้าและบริการทางด้านการท่องเที่ยวเชิง
วฒั นธรรมอาหารเพื่อสรา้ งรายได้ให้กับจังหวัดพระนครศรอี ยุธยา
4. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นำองค์ความรู้เกี่ยวกับภูมิ
วัฒนธรรมและภูมิปญั ญาอาหารอยุธยาเมอื งท่าแห่งตะวันออกไปใชส้ ำหรับการกำหนดนโยบายเพ่ือโปรโมตและ
ยกระดับการทอ่ งเทยี่ วเชงิ สรา้ งสรรคด์ ้านวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าแหง่ ตะวนั ออก

ตวั อยา่ งสำรับอาหารชาววังสมยั กรุงศรีอยุธยาที่เป็นผลผลติ ของโครงการวจิ ยั

P a g e | 137

โครงการย่อย 2 การถอดรหัสภูมิปัญญาวัฒนธรรมและออกแบบพื้นท่ีเก่ียวเนื่องวัฒนธรรมอาหาร
อยธุ ยาเมอื งท่าแห่งตะวนั ออกเพือ่ ยกระดับสกู่ ารทอ่ งเทยี่ วเชิงสรา้ งสรรค์

มีวตั ถปุ ระสงค์ คือ 1. ศกึ ษาพฒั นาการทางภูมิวฒั นธรรม ลักษณะทางกายภาพ และคัดเลือกพื้นท่ีที่
เกี่ยวเนื่องกับวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออก 2. ถอดรหัสภูมิปัญญาวัฒนธรรมอาหารอยุธยา
เมืองท่าแห่งตะวันออกทางด้านกายภาพ 3. ออกแบบพื้นที่ที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ด้าน
วัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออก 4. กำหนดแนวทางการพัฒนาทางกายภาพเพื่อยกระดับ
วัฒนธรรมอาหารอยุธยาและรองรับการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่ง
ตะวันออก

ผลการศกึ ษา
1. กรงุ ศรีอยุธยามีคุณลกั ษณะทเ่ี หมาะสมเปน็ เมืองทา่ ระดบั นานาชาติ
สอดคล้องกับศรีศักร วัลลิโภดม (2556) ที่กล่าวไว้เรื่องคุณสมบัติการเป็นเมืองท่า 5 ข้อ คือ 1)
ยุทธศาสตร์ท่ีตัง้ อยู่ใกล้ทะเลแต่ไม่จำเป็นต้องอยู่ติดทะเล 2) เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการปกครองของ
ท้องถิ่น 3) เป็นจุดเชื่อมต่อภายในภายนอกและแลกเปลี่ยนสิง่ ของทางเศรษฐกจิ ท่ีมาจากโพ้นทะเลและมาจาก
ดินแดนภายใน 4) มีความเป็นสหพันธ์ (Network) 5) เป็นที่สะสมของชนหลากหลายชาติพันธุ์ เกิดการ
แลกเปลีย่ น พบปะสงั สรรค์ เป็นวัฒนธรรมผสมผสาน

ขอบเขตอาณาจักรกรุงศรีอยธุ ยา เปน็ เมอื งท่าการคา้ ทส่ี ำคญั ในภูมภิ าคอินเดียตะวนั ออกหรือทะเลจนี ใต้ ในแผนทีข่ อง Giambattista Albrizzi
ในชว่ งครสิ ตศตวรรษที่ที่ 18

ท่มี า: https://www.libreriaperini.com/

P a g e | 138

2. การถอดรหัสลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ที่เกี่ยวเนื่องกับวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่า
ตะวนั ออก

1) เป้าหมายของการถอดรหสั
เป้าหมายของการถอดรหัสพื้นที่ทางกายภาพที่เกี่ยวเนื่องกับวัฒนธรรมอาหารอยุธยา เพื่อให้เข้าใจ
วัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คนสมัยอยุธยา อุปนิสัย แนวคิด รวมทั้งปทัสสถานท่ียดึ โยงความเป็นชุมชนและสังคม
ซึ่งแม้เป็นหนว่ ยย่อยสุดแต่กลับเป็นส่วนที่สำคญั ส่วนหนึ่งที่ทำให้กรุงศรีอยุธยาไดเ้ จริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง เป็นมหา
นครของโลกในยุคสมัยหนึ่ง ซึ่งจะนำไปสู่การตีความในบริบทพื้นที่ทางกายภาพของวัฒนธรรมอาหารอยุธยา
สงิ่ สำคญั ในคุณค่าแทจ้ ะได้รับการระบุเพื่อสะท้อนถึงโลกทศั น์ สังคม และภูมปิ ญั ญาของผู้คนในสมัยอยธุ ยา อัน
นำไปสู่การต่อยอดในด้านอนื่ ๆ ตอ่ ไป
งานวิจัยน้ีสามารถนำกำหนดแนวทางการออกแบบพื้นที่ทางกายภาพประยุกต์ใช้จริงในด้านการ
ท่องเทีย่ วเชิงวัฒนอาหารอยธุ ยาเมืองทา่ ตะวันออก การออกแบบทางกายภาพน้ชี ว่ ยส่งเสริมและรองรับรูปแบบ
และกิจกรรมการพัฒนาการท่องเที่ยวเชงิ วัฒนธรรมอาหารโดยบูรณาการ ทั้งด้านกิจกรรมการท่องเที่ยวที่ตอบ
โจทย์พฤติกรรมนักท่องเที่ยว ภูมิปัญญาทางด้านอาหารที่ถูกจัดออกมาเป็นสำรับในพื้นที่ที่มีการออกแบบให้
สอดคล้องกับวัฒนธรรมการกินของผู้คนสมัยอยุธยา และชูเรื่องความเป็นเมืองท่าตะวันออก ร่วมกับกลุ่ม
ผใู้ ช้งานวจิ ัย ได้แก่ ชมุ ชน ผู้ประกอบการท่องเทยี่ ว และเครอื ข่ายท่ีเกีย่ วกบั การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหาร
เชน่ วิสาหกิจชมุ ชนท่องเท่ียว รา้ นอาหาร ครวั สาธิต ท่ีพัก เรอื ท่องเท่ยี ว โดยมีส่วนร่วมในกระบวนการวิจัยที่ได้
วางกรอบไว้ เพ่ือให้ผลงานวจิ ยั ท่ีไดน้ ี้นำไปใช้ได้จริงและแข่งขนั ได้
2) กระบวนการการถอดรหัส
กระบวนการในการถอดรหัสเพื่อนำไปสู่การกำหนดแนวทางการออกแบบ สามารถแบ่งเป็นขั้นตอน
การศึกษา 3 ขั้นตอน คือ 1) การระบุพื้นที่ทางกายภาพที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าตะวันออก
2) วิเคราะห์ลักษณะทางกายภาพของแต่ละพื้นที่ และ 3) การถอดรหัสทางกายภาพของพื้นที่ที่เกี่ยวกับ
วฒั นธรรมอาหาร
3) พ้นื ทที่ างกายภาพที่เกีย่ วกบั วฒั นธรรมอาหารอยธุ ยาเมืองทา่ ตะวันออก
การถอดรหัสอาหารสะท้อนถึงระบบทางสังคมที่ลงลึกถึงโครงสร้างและความสัมพันธ์ทางสังคมของ
บริบทนั้น ๆ คณะผู้วิจัยจึงวิเคราะห์จาก 1) การใช้พื้นที่ที่เกี่ยวกับระบบของอาหาร ได้แก่ กระบวนการผลิต
วัตถุดิบ การปรุง และการทานอาหาร 2) ลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมของอยุธยา ซึ่งมีสังคม 2 ระดับ คือ
ระดับปกครอง และระดับถูกปกครอง ดังนั้นเพื่อให้เกิดการวิเคราะห์ ถอดรหัสที่ชัดเจนและครอบคลุม
คณะผวู้ จิ ยั จึงแบ่งการวเิ คราะห์พนื้ ท่ีและอาหารเป็น 2 ระดับคือ ระดบั ชาววงั และระดบั ชาวบา้ น ดงั ตอ่ ไปนี้

(1) แหล่งผลิตวัตถุดิบ ได้แก่ พื้นที่แหล่งผลิตวัตถุดิบในพระนคร จากการศึกษาพบว่าย่าน
การผลติ ในพระนคร เรียกวา่ ป่า ซึ่งจะนำไปวเิ คราะหใ์ นส่วนเดียวกบั ตลาดบกและปา่

(2) พื้นที่แลกเปลี่ยนวัตถุดิบ ได้แก่ ตลาด โดยในสมัยอยุธยาได้มีตลาด 2 ประเภทคือ
1) ตลาดน้ำ 2) ตลาดบกและปา่

(3) พน้ื ท่ีปรงุ ไดแ้ ก่ 1) ครวั แบบเรอื นชาวบา้ น 2) ครวั แบบเรอื นคหบดี
(4) พน้ื ทท่ี านอาหาร ได้แก่ 1) พน้ื ที่ทานอาหารในเรอื นชาวบา้ น 2) พน้ื ที่ทานอาหารในเรือน
คหบดี และ 3) พน้ื ทท่ี านอาหารในพระบรมมหาราชวัง
4) ลกั ษณะทางกายภาพของแตล่ ะพื้นที่
ลักษณะทางกายภาพพนื้ ท่แี ลกเปลยี่ นวัตถุดบิ หรอื ตลาด

P a g e | 139

ตลาด แบง่ เป็น 2 ประเภท คอื ตลาดบกและตลาดน้ำ: ตลาดบกในพระนครมที ้งั ส้ิน 64 แหง่ นอกพระ
นครหรอื นอกกำแพงเมือง 30 แหง่ ; ตลาดนำ้ รอบพระนคร 4 แหง่ ริมแมน่ ำ้ รอบพระนคร 21 แหง่ นอกจากน้ัน
มีย่านการผลิตรอบ ๆ พระนคร 4 ย่าน 52 ตำบล คิดเป็นในพระนครหรือในเกาะเมืองจะเห็นตลาดและป่าทกุ
75 ไร่ หรอื หากรวมตลาดน้ำดว้ ย 53 ไรต่ ่อตลาด แสดงใหเ้ หน็ ถึงภาพวิถีชวี ติ ของผู้คนในพระนคร

ตำแหน่งตลาดรวมกันในบริเวณดังนี้ 1) เป็นแยกการสัญจรมารวมกันในบริเวณนั้น ๆ เช่น บริเวณท่ี
แมน่ ้ำมาสบกัน ตลาดนำ้ วนบางกะจะ ตลาดหัวรอ 2) เส้นทางสัญจรหลักสามารถเชือ่ มต่อไปยังจุดต่าง ๆ ได้ท้ัง
บนบกและในน้ำ เช่น ถนนอิฐสายหลัก 3) อยู่ทิศทางที่ง่ายต่อการเข้าถึง เช่น บริเวณด้านเหนือของพระนคร
เป็นปา่ ผลติ ผลทางการเกษตรท่ีมาจากเมืองทางทิศเหนือ 4) อยู่ใกล้สถานทส่ี ำคัญ เช่น พระบรมมหาราชวัง วัด
ท่สี ำคัญ ๆ 5) อยู่ในยา่ นชุมชนท่เี ปน็ แหล่งผลิตและพกั อาศยั

P a g e | 140

ครัว แบ่งออกเป็น 1) ครัวแบบเรือนชาวบ้าน 2) ครัวแบบเรือนคหบดี ครัวแบบเรือนชาวบ้านปรุง
กลางลานบา้ น และใช้ครัวรว่ มกันหรือทำอาหารแล้วแบ่งปนั ในกลุ่มบ้านเดียวกัน เนื่องจากเรือนนอนมีพื้นท่ไี ม่
มากและปอ้ งกันเร่ืองไฟไหม้ ส่วนครัวแบบเรือนคหบดีอยบู่ นเรือน แยกออกมาจากเรือนนอนมีพนื้ ที่เป็นสัดเป็น
ส่วนและขนาดพื้นที่ตามจำนวนเจ้าของบ้าน ท้ังสองประเภทมีลักษณะที่เหมือนกันคือ อุปกรณ์ในการตั้งเตา
อุปกรณ์ในครัวที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ วิธีทำครัวและแม่ครัวต้องนั่งปรุงอาหารซึ่งสอดคล้องกับอาหารท่ี
สว่ นมากเป็นต้มโดยใช้หม้อดินเผา อยา่ งไรก็ตามไม่ได้มีหลักท่ีตายตวั ครัวแบบเรอื นชาวบ้านสามารถขึ้นมาบน
เรือนหากเรือนมีพื้นที่พอหรืออยู่ใต้ถุนที่ยกสูงที่สามารถทำครัวได้ หรือหากมีสำรับกับข้าวที่เป็นแบบผัด กวน
หรือที่ต้องใช้กระทะ แม่ครัวในเรือนคหบดีลงมาตั้งครัวไฟที่ใต้ถุนหรือลานบ้านได้ดังจะเหน็ ได้จากหลักฐานใน
ภาพจติ กรรมฝาผนังที่เขยี นในลักษณะนี้อยู่มาก อย่างไรกต็ ามลกั ษณะสำคัญของครวั ทุกประเภทคือการระบาย
อากาศ โดยผา่ นฝา คอสอง หน้าต่าง และหนา้ บัน

P a g e | 141

ผลที่คาดว่าจะได้รับ ได้แก่ 1. ข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการทางภูมิวัฒนธรรม ลักษณะทางกายภาพ และ
พื้นที่ที่เกี่ยวเนื่องกับวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออก 2. ผลการถอดรหัสภูมิปัญญาวัฒนธรรม
อาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออกทางด้านกายภาพ 3. ผลการออกแบบพื้นที่ที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว
เชิงสร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออก 4. แนวทางการพัฒนาทางกายภาพเพื่อ
ยกระดับวัฒนธรรมอาหารอยุธยาและรองรับการท่องเท่ียวเชิงสรา้ งสรรค์ด้านวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่า
แห่งตะวนั ออก

ผลผลิตที่สำคัญของโครงการ คือ การออกแบบพื้นที่ที่เกี่ยวเนื่องกับวัฒนธรรมอาหาร เพื่อส่งเสริม
บรรยากาศให้เกิดการเรียนรู้ เข้าใจถึงคุณค่าและรองรับกิจกรรมสร้างสรรค์ เป็นกระบวนการเพื่อนำไปสู่การ
สังเคราะห์แนวทางการพัฒนาทางกายภาพสู่การยกระดับวัฒนธรรมอาหารอยุธยาและรองรับการท่องเท่ียวการ
ท่องเทย่ี วเชิงสรา้ งสรรคด์ ้านวฒั นธรรม

การนำผลงานไปใชป้ ระโยชน์
1. ชุมชน ผู้ประกอบการทีเ่ กี่ยวกับการทอ่ งเที่ยว หน่วยงานท้องถิน่ ในจงั หวัดพระนครศรีอยุธยา และ
หน่วยงานที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว นำแนวทางการพัฒนากิจกรรมท่องเท่ียว รูปแบบการท่องเที่ยว การพัฒนา
ทางกายภาพที่รองรับกิจกรรมการท่องเที่ยวสร้างสรรคด์ ้านวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออกไป
พัฒนากิจกรรมท่องเที่ยวและพื้นที่ เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรร มอาหารร้านอาหาร
ตลาด แหล่งท่องเที่ยว และร้านขายของที่ระลึกประเภทอาหารในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สามารถนำ
รูปแบบกิจกรรมไปปรับปรุงกิจกรรมการท่องเที่ยวเดิม และปรับปรุงทางกายภาพเพื่อส่งเสริมการดำเนินงาน
ของธรุ กจิ ท่องเที่ยว
2. ผปู้ ระกอบการทเ่ี กยี่ วกบั การท่องเที่ยว หนว่ ยงานทีเ่ ก่ียวกบั การพฒั นาการทอ่ งเทยี่ ว เช่น กระทรวง
การท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หน่วยงานการศึกษา นำองค์ความรู้ในกระบวนการ
ถอดรหสั ภมู ิปญั ญาวัฒนธรรมอาหารอยธุ ยาเมืองท่าแหง่ ตะวนั ออกและการพฒั นาทางด้านกายภาพไปใช้ในการ
ยกระดบั การท่องเท่ยี วเชิงสร้างสรรค์ดา้ นวัฒนธรรมอาหารตอ่ ไป
อนึ่ง ผลผลิตของโครงการย่อยนำมาบูรณาการกำแผนการดำเนินงานของชุดโครงการ กล่าวคือ
การศึกษาและวิเคราะห์ศักยภาพ นำไปสู่การจัดทำรูปแบบกิจกรรมเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ด้าน
วัฒนธรรมอาหาร เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวเชิงอาหาร 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงอาหารแบบลึกซ้ึง
(gastronomes) กลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Foodies) กลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป (mass tourist) ตลอดจน
การพัฒนาชุมชนในเส้นทางการท่องเที่ยว ซึ่งเป้าหมายสูงสุดของโครงการคือ การสร้างแนวทางเพื่อการ
ยกระดับการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ด้านวัฒนธรรมอาหารอยุธยาเมืองท่าแห่งตะวันออก สามารถนำไป
ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน อีกทั้งยังเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ พร้อมกับการ
อนรุ กั ษ์และสบื สานทรัพยากรในท้องถิ่นและชุมชนสู่ความม่ันคง มั่งค่ัง ยัง่ ยืน บนพนื้ ฐานของความพอเพียงบน
ฐานวิถีชวี ติ ใหม่

P a g e | 142

• การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารไทยของชุมชนในเขตพัฒนาการ
ท่องเทีย่ วเมอื งรองชายฝัง่ ทะเลตะวันออก (ระยอง-จนั ทบรุ ี-ตราด)

จากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการท่องเที่ยว สำนักงานสภานโยบายการ
อดุ มศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) จงึ ไดก้ ำหนดนโยบายสอดคล้องกบั มาตรการของ
ระบบการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) รองรับการฟื้นฟูและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
และสังคมของประเทศ โดยด้านการท่องเที่ยวมีเป้าหมายมุ่งสู่การใช้ “การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหาร”
(Gastronomy Tourism) เป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจในยุค New Normal ซึ่งประกอบด้วย 1. การใช้วัตถุดิบท่ี
เป็นเอกลักษณ์ ประกอบด้วยพชื ผักสมนุ ไพรในทอ้ งถิน่ ท่ีรับประทานแลว้ ทำให้สุขภาพดี 2. เรื่องราวที่มีจุดเด่น
เรื่องรสชาติและความหลากหลายของอาหารในแต่ละภูมิภาคที่นำมาสร้างคุณค่า 3. สร้างรายได้ให้คนใน
ท้องถิ่น รวมถึงสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ผลิต ผู้จัดหาวัตถุดิบ ผู้แปรรูปวัตถุดิบ หาบเร่
แผงลอย ผคู้ ้ารายย่อย ไปจนถึงรา้ นอาหารขนาดใหญ่

คณะวิจัยได้ดำเนินการศึกษา 1) Gastronomy Story การพัฒนาองค์ความรู้ เรื่องราว และสร้าง
เนื้อหาจากข้อมูลวัฒนธรรมอาหารพื้นถิ่น 2) Gastronomy Product การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางด้านการ
ทอ่ งเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารพ้ืนถิ่น เชน่ ตำรับอาหารพ้ืนถ่ิน โปรแกรม การทอ่ งเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารท่ี
เปดิ โอกาสให้นักท่องเท่ยี วได้มีส่วนรว่ มตง้ั แต่การเก็บวตั ถดุ ิบจากธรรมชาติ การปรุงอาหาร การชมิ อาหาร และ
การซ้ือของที่ระลึกท่เี ป็นผลิตภัฑ์อาหารแปรรูป 3) Gastronomy Manpower การพัฒนาทนุ มนษุ ย์เพื่อรองรับ
การท่องเท่ียวเชงิ วัฒนธรรมอาหารไทยของชุมชน เช่น เชฟชุมชน ยวุ มัคคุเทศก์ชมุ ชน ผู้นำเท่ยี วชมุ ชนด้านการ
ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารชุมชน 4) Gastronomy Creative Marketing การพัฒนาการสือ่ สารการตลาด
และสื่อดิจิทัลที่นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อสร้างกระแสด้านการท่องเที่ยวเชิง
วฒั นธรรมอาหารไทยชมุ ชน55

แผนงานวิจัยกำหนดให้มีการประเมินและคัดเลือกชุมชนที่มีศักยภาพเพื่อต่อยอดการพัฒนาการ
ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารไทยของชุมชน สู่ความยั่งยืนและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในเขต
พัฒนาการท่องเท่ยี วเมืองรองชายฝั่งทะเลตะวนั ออก ประกอบด้วย

- อัตลักษณ์ด้านวัฒนธรรมและวิถีชีวิต ผ่านวิถีพืชและผลไม้จากธรรมชาติชาวชอง อร่อยสะหงาดสะ
เงย บ้านชา้ งทนู อำเภอบ่อไร่ จังหวดั ตราด

- อัตลักษณ์ด้านทรัพยากรท่องเที่ยว ผ่านวิถีอาหารจันทบูรบรบิ ูรณ์ด้วยสมุนไพรและขนมแปลก บ้าน
หนองบัว อำเภอเมือง จงั หวัดจนั ทบรุ ี

- อัตลักษณ์ด้านอาหาร ผ่านวิถีประมงพื้นบ้านที่ไม่เคยจากไปจากใจ บ้านแหลมยาง อำเภอแกลง
จังหวัดระยอง

- อัตลักษณ์ด้านกิจกรรมที่มีศักยภาพเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ผ่านวิถีอาหารเชื่อมโยง
วฒั นธรรม 3 แผน่ ดนิ บ้านคลองใหญ่ อำเภอคลองใหญ่ จงั หวัดตราด

นอกจากนี้คณะวิจัยยังได้สังเคราะห์องค์ความรู้เพื่อการการพัฒนาผลิตภัณฑ์และสร้างมูลค่าเพิ่ม
พฒั นาทนุ มนษุ ย์ และการส่ือสารการตลาดเชงิ สร้างสรรค์และนวตั กรรม เพือ่ รองรับการท่องเท่ยี วเชงิ นวัตกรรม
อาหารไทยของชุมชน ตลอดจนจัดทำแผนที่การบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารไทยของ
ชุมชนบนฐานรากคณุ คา่ และภูมปิ ัญญาสู่ความยงั่ ยืน โดยแบ่งงานออกเปน็ 3 โครงการย่อย ประกอบดว้ ย

55 เอกสารชุดโครงการวจิ ัยการพฒั นาการท่องเที่ยวเชิงวฒั นธรรมอาหารไทยของชุมชนในเขตพัฒนาการทอ่ งเท่ยี วเมืองรองชายฝัง่ ทะเลตะวนั ออก
(ระยอง-จันทบรุ -ี ตราด) บนรากฐานคุณค่าและภูมิปัญญาสู่ความย่ังยนื เพอ่ื ขบั เคลือ่ นเศรษฐกิจฐานราก. รศ. ดร.พรรณี สวนเพลง มหาวิทยาลยั สวน
ดุสิต และคณะ. หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพม่ิ ความสามารถในการแข่งขนั ของประเทศ.

P a g e | 143

1. Gastronomy Product เพ่อื สงั เคราะห์องค์ความรู้อาหารพ้นื ถนิ่ พัฒนาตำรับอาหารพ้ืนถ่ิน และ
พัฒนาของฝาก โดยมงุ่ พฒั นาผลติ ภณั ฑ์และสร้างมลู คา่ เพม่ิ การท่องเท่ียวเชงิ วฒั นธรรมอาหารไทยของชุมชนใน
เขตการท่องเที่ยวเมืองรองชายฝั่งทะเลตะวันออก จังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด ทำให้ได้องค์ความรู้ภูมิ
ปัญญาอาหารท้องถิ่นในด้านประวัติความเป็นมา วัตถุดิบ สารอาหารและคุณค่าทางโภชนาการ วิธีการปรุง
และรูปแบบการรับประทานจำนวน 7 ตำรับ ในรูปแบบของ e-book ผลิตภัณฑ์อาหารท้องถิ่นเพื่อเป็นของที่
ระลึกที่ได้รับการยอมรับจากผู้ทดสอบและผู้บริโภคซึ่งเผยแพร่สูตรหรือตำรับ รวมถึงเทคโนโลยีการผลิตใน
รปู แบบ e-book

2. Gastronomy Manpower การพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อรองรับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหาร
ไทยของชมุ ชนในเขตพฒั นาการท่องเทยี่ วเมืองรองชายฝ่งั ทะเลตะวนั ออก ได้แก่ การพฒั นาหลกั สตู รสุขาภิบาล
อาหารสำหรับผู้สัมผัสอาหารและผู้ประกอบกิจการด้านอาหาร หลักสูตรการประกอบอาหารพื้นถิ่น (การปรุง
อาหารและการจัดสำรับอาหารไทย และเทคนิคการถ่ายรูปอาหารเบื้องต้น) และหลักสูตรยุวมัคคุเทศก์หรือ
บุคลากรดา้ นการท่องเท่ียวเชงิ วัฒนธรรมอาหารไทย รวมทงั้ จดั การฝึกอบรมพฒั นาบุคลากรในชุมชนให้รองรับ
การท่องเทย่ี วเชิงวัฒนธรรมอาหารไทยของชุมชน ซึ่งได้รบั การตอบรบั อย่างดีเยี่ยม

P a g e | 144

3. Creative Marketing การสื่อสารการตลาดเชิงสร้างสรรค์และนวัตกรรมการท่องเที่ยววัฒนะร
รมอหารไทยของชุมชนในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองรองชายฝั่งทะเลตะวันออกบนรากฐานคุณค่าและภูมิ
ปัญญาสู่ความยั่งยืนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยการพัฒนาโปรแกรมการท่องเที่ยวเชิงพหุวัฒนธรรม
อาหาร เปดิ ตำนานอาหารพืน้ ถนิ่ ตลอดจนพฒั นาส่ือดจิ ิทัลและจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเชงิ สร้างสรรค์ด้าน
การทอ่ งเท่ียวเชิงวัฒนธรรมอาหารไทยของชุมชน

ผลผลิตท่ไี ดจ้ ากแผนงานวจิ ัย ไดแ้ ก่
1. ค่มู ือการประเมินศกั ยภาพชมุ ชนด้านอัตลักษณ์ทางการท่องเทยี่ วเชิงวฒั นธรรมอาหารไทย
2. ข้อมูลผลการประเมินศักยภาพของชุมชนที่มีความพร้อมในด้านอัตลักษ์ และทรัพยากรท้องถิ่น
ทางการทอ่ งเทย่ี วเชิงวฒั นธรรมอาหารไทยเพื่อนำไปใชต้ ่อยอดในการพฒั นาการท่องเทย่ี วเชิงวัฒนธรรมอาหาร
ของชมุ ชน (Gastronomy Tourism Village)
3. หมู่บ้านเพอื่ การท่องเที่ยววัฒนธรรมอาหารของชมุ ชนตน้ แบบอย่างน้อย 4 ชมุ ชน
4. ชุดข้อมูลผลการสังเคราะห์ข้อมูลการพัฒนาผลิตภัณฑ์และสร้างมูลค่าเพิ่มการท่องเที่ยวเชิง
วัฒนธรรมอาหารไทยของชุมชน การพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อรองรับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารไทยของ
ชุมชน และการสอ่ื สารตลาดเชงิ สร้างสรรค์และนวัตกรรมการท่องเท่ยี วเชิงวฒั นธรรมอาหารไทยของชุมชน
5. แผนการบริหารจัดการการท่องเท่ียวเชงิ วัฒนธรรมอาหารไทยของชุมชน (Gastronomy Tourism
Village Best Practices) บนรากฐานคุณค่าและภูมิปัญญาสู่ความยั่งยืน และแนวทางการบริหารจัดการกา
ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารไทยของชุมชน รวมถึงสร้างกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับชุมชนที่มีการ
จดั การทอ่ งเทยี่ วเชงิ วัฒนธรรมอาหารเพอื่ นำไปสกู่ ารพัฒนาร่วมกันภายหลังการแพร่ระบาของโควดิ -19

P a g e | 145

ขณะทผ่ี ลลัพธจ์ ากแผนงานวิจยั ประกอบดว้ ย
1. คู่มือการประเมินศกั ยภาพชมุ ชนด้านอัตลักษณ์ทางการท่องเที่ยวเชิงวฒั นธรรมอาหารไทย เป็นชุด
องค์ความรู้ที่ชุมชนได้พัฒนาเกณฑ์การประเมินการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารไทยชุมชน ซึ่งชุมชน
หน่วยงานภาครัฐ เช่น องค์การบริหารการจัดท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) สามารถใช้เป็นมาตรฐานประเมิน
ศักยภาพชมุ ชนด้านการท่องเท่ียวเชงิ วฒั นธรรมอาหารไทยได้ท่ัวประเทศ
2. ชุดข้อมูลผลการประเมินศักยภาพของชุมชนที่มคี วามพร้อมในด้านอัตลักษณ์ทางการท่องเที่ยวเชงิ
วัฒนธรรมอาหารไทย สามารถนำไปใช้ต่อยอดในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารของชุมชน
ต้นแบบ อีกทั้งนำไปใช้ประโยชน์และขยายผลให้ชุมชนเป้าหมายสามาถนำผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวเชิง
วัฒนธรรมอาหารไทยชุมชนให้กลายเป็น “แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารไทยชุมชนแห่งใหม่” (New
Destination)
3. หมู่บ้านเพื่อการท่องเที่ยววัฒนธรรมอาหารของชุมชนต้นแบบ ซึ่งจะเป็นต้นแบบของการพัฒนาที่
สามารถนำไปสู่การขยายผลในชุมชนอีก 30 ชุมชนที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาการจัดการ
ท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมอาหารไทยส่คู วามย่ังยนื
4. แผนการบริหารจดั การการท่องเทีย่ วเชิงวฒั นธรรมอาหารไทยของชุมชนบนรากฐานคุณค่าและภูมิ
ปัญญาสู่ความยั่งยืน และการขยายผลเป็นแผนและนโยบายการบริหารจัดการชุมชนที่สามารถนำไปใช้ได้กับ
ชุมชนอืน่ ๆ ทั่วประเทศ

• ความเป็นไทยของร้านอาหารตม้ ยำในประเทศมาเลเซีย

การประกอบธุรกิจรายย่อยหรือธุรกิจขนาดเล็กเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อฐานรากของการพัฒนา
เศรษฐกิจอย่างยั่งยืนของประเทศ ซึ่งเป็นแหล่งการจ้างงานและสร้างรายได้ที่สำคัญ การเป็นผู้ประกอบการ
ธุรกิจรายย่อยหรือธุรกิจขนาดเล็กจึงนับเป็นแรงขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยลดปัญหา
ความยากจนในระดับชาติ และเสรมิ สร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ดงั น้นั จงึ มีความจำเป็นใน
การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการส่งเสริมสนับสนุนการเป็นผู้ประกอบการย้ายถิ่นไปลงทุนดำเนิน
ธุรกิจในต่างประเทศ เนื่องจากผู้ประกอบการย้ายถิ่นเหล่านี้เป็นตัวแทนของชาติที่สร้างความเชื่อมโยงการ
พัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ และช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจให้กับประเทศ
ไทย

ผลงานวิจัยที่ผ่านมาพบว่าประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยจำนวนหนึ่งเข้าไป
ดำเนินกิจการธุรกิจร้านอาหารต้มยำในประเทศมาเลเซีย ซึ่งนักวิชาการด้านผู้ประกอบการย้ายถิ่นให้
ความสำคญั กับผูย้ า้ ยถ่ินในประเทศปลายทางในฐานะท่ีเป็นเจ้าของกิจการและดำเนนิ ธุรกิจด้วยตัวเขาเอง ทั้งน้ี
ธุรกิจร้านอาหารต้มยำของผู้ประกอบการย้ายถิ่นไทยในมาเลเซียเป็นแหล่งรายได้สำคัญหนึ่งที่สามารถนำเงิน
ส่งกลับประเทศไทยทั้งของผู้ประกอบการและ/หรือลูกจ้างในธุรกิจนี้ เพราะเป็นแรงงานข้ามชาติและ
ผูป้ ระกอบการย้ายถ่ิน อีกทง้ั ยังเป็นแหลง่ การจ้างแรงงานทสี่ ำคญั ของแรงงานในจงั หวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย
เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวเป็นศูนย์กลางความสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบการย้ายถิ่นในมาเลเซียกับแรงงานใน
พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย โดยมีการจา้ งงานไทยประมาณ 100,000-150,000 คน ธุรกิจร้านอาหาร
ต้มยำในประเทศมาเลเซียจึงเป็นกลไกสำคัญอย่างหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดน
ภาคใต้ และมคี วามสำคญั ในมิตกิ ารพัฒนาเพ่ือแก้ไขปัญหาความยากจนในพ้นื ที่จังหวดั ชายแดน

อาหารไทยได้รับความนิยมไปทั่วโลก ความสำเร็จของธุรกิจอาหารไทยมีคุณค่าต่อการแพร่กระจาย
ทางวัฒนธรรมไทยในต่างประเทศ อย่างไรก็ตามธุรกิจร้านอาหารไทยส่วนมากเปิดให้บริการในประเทศ

P a g e | 146


Click to View FlipBook Version