ประวัติศูนย์วัฒนธรรม
สันป่าตอง
อำเภอสันป่าตอง จังวัดเชียงใหม่
ประวัติศูนย์วัฒนธรรมสันป่าตอง
เนื่องจากช่วงปี พ.ศ. 2525 - 2530 มีบุคคลบางกลุ่มได้ทำการลักลอบขุดเจาะโบราณสถานต่าง ๆ หลายแห่ง
ทำให้เกิดความเสียหายแก่โบราณสถาน โบราณวัตถุของท้องถิ่น คณะครูโรงเรียนสันป่าตองวิทยาคมได้ตระหนักถึง
คุณค่าของศิลปวัฒนธรรมที่มีในท้องถิ่น จึงได้จัดตั้งศูนย์สืบค้นและอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2527
โดยมีจุดประสงค์ดังนี้
1. เพื่อเป็นศูนย์กลางการศึกษาค้นคว้า และรวบรวมข้อมูลทางศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่น
2. เพื่อเป็ฯการปลุกจิตสำนึกทางวัฒนธรรม และความรักความหวงแหนในท้องถิ่นของตน
3. เพื่อเป็นศูนย์กลางการส่งเสริมเผยแพร่ และอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่น
ต่อมาทางสำนักงานวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้ประกาศให้ศูนย์สืบค้นและอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นและได้แต่งตั้ง
ให้โรงเรียนสันป่าตองวิทยาคมเป็นศูนย์วัฒนธรรมอำเภอสันป่าตอง เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2531 นับเป็นศูนย์วัฒนธรรม
อำเภอ 1 ใน 20 แห่งแรกของประเทศ จึงเป็นศูนย์รวมศิลปวัตถุโบราณวัตถุ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่าง ๆ ของท้องถิ่น
ที่กระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่าง ๆ ให้อนุชนรุ่นหลังได้ใช้เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม
ในปีการศึกษา 2552 สมาคมผู้ปกครองและครูโรงเรียนสันป่าตองวิทยาคมได้มีมติเห็นชอบให้ก่อสร้างอาคาร
หอศูนย์วัฒนธรรมอำเภอสันป่าตอง เพื่อเป็นศูนย์กลางในการสืบสาน อนุรักษ์ เผยแพร่ วัฒนธรรมท้องถิ่น สิ้นทุนทรัพย์
ในการก่อสร้าง จำนวนทั้งสิ้น 855,209 บาท (แปดแสนห้าหมื่นห้าพันสองร้อยเก้าบาทถ้วน) เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2544
หมวดเหรียญกษาปณ์
ธนบัตรโบราณ
ศูนย์วัฒนธรรมสันป่าตอง
เหรียญกษาปณ์
เหรียญกษาปณ์เริ่มผลิตขึ้นใช้ในสยามครั้งแรก
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4
สตางค์แดง
จำนวน 2 เหรียญ
ใช้ในปี พ.ศ.2461 ด้านหน้าของสตางค์ รอบรูกลางจะเป็นรูปอุณาโลม หมายถึง
พระโลมา ระหว่างพระขนงของพระพุทธเจ้าหมายความว่าประเทศไทยนับถือพระพุทธศาสนา
และพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะมีอักษรคำว่าว่า“สยามรัฐ” กับ“สตางค์”ด้านหลังเป็น
รูปจักรทักษิณาวัตร
เหรียญ ½ สตางค์ พ.ศ. 2480
จำนวน 84 เหรียญ
ลักษณะ เหรียญกลมแบน ขอบเรียบ ตรงกลางมีรู/ไม่มีรู
ด้านหน้า เป็นรูปอุณาโลม ด้านซ้ายมีคำว่า "สยามรัฐ" ด้านขวาว่า "สตางค์"
เบื้องล่างว่า ½ สตางค์
เหรียญ 1 สตางค์
จำนวน 350 เหรียญ
ด้านหน้าเป็นภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ภูมิพลอดุลยเดชด้านหลังเป็นภาพของพระเจดีย์วัดพระธาตุหริภุญชัยประกาศ
ออกใช้เหรียญเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2530
เหรียญกษาปณ์1สตางค์รูทองแดง ตราอนุโลม-พระแสงจักร รัชกาล
ที่ 7 พ.ศ. 2472
เหรียญ 5 สตางค์
จำนวน 1 เหรียญ
เหรียญ 5 สตางค์เนื้อนิเกิล เป็นเหรียญกษาปณ์ ผลิตที่ออกใช้ใน 4 รัชกาล
ได้แก่ สมัยรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 8
เหรียญ 10 สตางค์
จำนวน 33 เหรียญ
รูปแบบของเหรียญ 10 สตางค์ที่ผลิต เปลี่ยนเป็นรูปแบบเหรียญที่ระลึก
ในพระราชพิธีกาญจนาภิเษกจึงไม่มีการผลิตเหรียญในรูปแบบปกติ
เหรียญกษาปณ์ 1 บาท
จำนวน 184 เหรียญ
เหรียญราคา 1 บาท พ.ศ. 2515 ด้านหน้าเป็นรูปในหลวงรัชกาล
ที่ 9 ด้านหลังจะเป็นพิธีแรกนาขวัญ (เหรียญแรกนาขวัญ ปี 2515)
หอยเบี้ย
จำนวน 118 เหรียญ
ในสมัยก่อน “หอยเบี้ย” นอกจากจะใช้แทนเงินตราหรือแลกเปลี่ยนสินค้าแล้ว
ยังถูกใช้เป็นเครื่องประดับที่มีค่าและในวัฒนธรรมไทยถูกนำมาใช้เป็นเครื่องราง
ของขลัง พิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่งประเทศที่นิยมใช้หอยเบี้ยแลกเปลี่ยนสินค้าแทนเงิน
ธนาบัตร 50 สตางค์
จำนวน 1 ฉบับ
มีพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล
อดุลยเดช เริ่มใช้เมื่อ พ.ศ. 2491
ธนาบัตร 1 บาท
จำนวน 33 ฉบับ
มีพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล
อดุลยเดช เริ่มใช้เมื่อ พ.ศ. 2491
ธนาบัตร 5 บาท
จำนวน 8 ฉบับ
มีพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เริ่มใช้เมื่อพ.ศ.2491 ประกาศออกใช้เมื่อวันที่ 16เมษายน2485
ธนาบัตร 10 บาท
จำนวน 3 ฉบับ
มีพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เริ่มใช้เมื่อ พ.ศ. 2491
ธนาบัตร 20 บาท
จำนวน 3 ฉบับ
มีพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เริ่มใช้เมื่อ พ.ศ. 2491
หมวดพับสาและใบลาน
ศูนย์วัฒนธรรมสันป่าตอง
โหวด จำนวน 1 ชนิด
โหวด เดิมเป็นของเล่นของคนอีสาน ใช้แกว่งเล่นเหมือน " สนู " (เครื่องเล่นประกอบว่าว)
ต่อมาได้ดัดแปลงมาเป็นเครื่องดนตรีของวงดนตรีพื้นเมือง ประเภทเครื่องเป่า ซึ่งสามารถเป่า
หรือแกว่งให้เกิดเสียงดังได้
ปั๊ บใบลานและปั๊ บสา
บันทึกในสมัยโบราณที่คนส่วนใหญ่นึกถึง คือ คัมภีร์ใบลานซึ่งทำขึ้น
จากใบลาน ซึ่งนอกจากใบลานแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่นิยมนำมาใช้จดบันทึก
คือ “พับสา” หรือ “ปั๊ บสา” ตามภาษาท้องถิ่นล้านนา สามารถพบเห็น
ได้ในภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะในกลุ่มเชื้อชาติพันธุ์ไทใหญ่มักจะนิยม
ใช้มาแต่อดีต ซึ่งพับสาจะเป็นเครื่องที่ใช้จดบันทึกเรื่องราวทางพุทธศาสนา
การเมือง การปกครอง พงศาวดาร องค์ความรู้ ภูมิปัญญา ตลอดจน
วรรณกรรม
ตาชั่งโบราณก่อน พ.ศ.2440 จำนวน 5 ชิ้น
วิธีของไทย, ของจีน และวิธีของฝรั่ง ซึ่งมีพิกัดอัตราไม่เท่ากัน
ซึ่งทำให้เป็นอุปสรรคต่อความเจริญในการค้าขาย ในปี พ.ศ.2542 พระบาท-
สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพระเจ้าอยู่หัว ท่านได้ทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ "พระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ.2542 " ขึ้น และทรงได้
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับกฤษฎีกา เล่มที่ 116 ตอนที่ 29 วันที่ 21
เมษายน 2542 ซึ่งมีผลให้ใชับังคับเป็นกฎหมายตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2542
ตาชั่งโบราณ อายุประมาณ 100 ปี ได้รับการบริจาคจากนายโอฬาร รื่นรมย์
ซึ่งปัจจุบันได้จัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ประจำตำบลพลงตาเอี่ยม อำเภอวังจันทร์
จังหวัดระยอง
ตาชั่งโบราณพร้อมกล่อง
แผ่นศิลาฤกษ์ จำนวน 1 ชิ้น
แผ่นดวงศิลาฤกษ์ ซึ่งสลักลงในแผ่นหินอ่อน ขนาดประมาณ "6*12"
หรือตามแต่เจ้าพิธีจะกำหนด เพราะว่ามีคติการทำที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งนอกจาก
ดวงฤกษ์แล้ว ก็อาจจะมีข้อความอย่างอื่นอีกด้วย หรือในบางคนลงยันต์ตรีนิ
สิงเหที่ด้านหลังด้วย เพื่อให้ขลังและศักดิ์สิทธิ์
ปั๊ บใบลาน ปั๊ บสา
ตาชั่ง
ตาชั่ง คือ เครื่องมือที่ใช้ในการวัดน้ำหนักของสิ่งของ ซึ่งจำเป็นในการแลกเปลี่ยน
ซื้อขายสิ่งของ โดยนำน้ำหนักมาตีเป็นราคาหรือประเมินกับสิ่งที่จะต้องการแลกด้วย
นับว่าเป็นเครื่องมือที่สะท้อนให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนซื้อขายระหว่างชุมชน แต่บางครั้ง
อาจเป็นการซื้อขายกันในระดับภูมิภาคด้วยซ้ำไป ซึ่งพ่อค้ามักพกตาชั่งติดตัวหรือขบวน
ค้าขาย ตาชั่งจะมีขนาดใหญ่หรือเล็ก ขึ้นอยู่กับสิ่งที่นำมาชั่ง
ไม้ขึงฝ้ายเมือง จำนวน 7 ชิ้น
ไม้เปี๋ย หรือ ไม้เป ซึ่งทำจากไม้เนื้อแข็ง ลักษณะรูปทรงไม้
เปียในประเทศไทยมี 2 แบบด้วยกัน ได้แก่
1. ไม้เปียแบบไขว้ มักจะเป็นแบบที่พบว่าใช้กันมากในหลายกลุ่มวัฒนธรรม
ของประเทศไทยเช่น ไทยวน ไทยลื้อ ไทพวน และภูไท หรือผู้ไทยเป็นต้น
โครงสร้างไม้เปียแบบนี้ ส่วนไม้ที่เข้าเดือยปิดหัวท้าย หรือส่วนบนส่วนล่าง
มักจะไขว้สลับทิศกัน และนิยมแกะสลักเป็นหยักเหลื่ยมหรือลวดลายสวยงาม
2. ไม้เปียแบบขนาน เป็นแบบที่พบในกลุ่มวัฒนธรรมไทครั่ง โครงสร้างส่วนไม้
ที่เข้าเดือยปิดหัวปิดท้ายหรือส่วนบนส่วนล่างจะเป็นแนวขนานกัน มักจะนิยมทำ
แบบเรียบ ๆ บางชิ้นทำจากไม้ไผ่ก็มี
ไม้เก็บเส้นฝ้าย จำนวน 12 ชิ้น
กระสวย เครื่องมือในการพุ่งเส้นดายสำหรับทอผ้า ทำด้วยไม้เนื้อแข็งเจาะ
รูตรงกลางลำกระสวยเพื่อใส่หลอดด้ายที่ทำจากไม้ไผ่ (ก๊อหลอด) ในปัจจุบัน
หลอดด้ายอาจใช้หลอดที่ทำด้วยเหล็กขนาดใกล้เคียงกับหลอดไม้ไผ่แต่เดิม
ภาชนะใส่ของทำด้วยกะลา จำนวน 2 ชนิด
ในสมัยอดีตมีการใช้กะลาในการเก็บของซึ่งปัจจุบันนี้
ก็ยังมีการใช้อยู่
ขันซี่ จำนวน 1 ชิ้น
ภาชนะเครื่องรักที่มีรูปทรงที่พัฒนามาจากกระบุงไม้ไผ่สานสำหรับใส่ของหลาย
ประเภทในพิธีกรรมและการไปทำบุญเรียกว่าขันโอ โดยมีรูปทรงของขันโอเหมือนกระบุง
ขนาดเล็กป้อม ๆ เตี้ย ๆ ทาด้วยยางรักเรียบ ด้านนอกสีดำด้านในสีแดง มีหูเล็ก ๆ สี่หู
สำหรับร้อยเชือกหาบปากขันโอมีถาดวางปิดไว้ก้นขันโอมีการเสริมปุ่มสี่ปุ่มด้วยการปั้ น
ยางรักให้หนา รองรับการถูไถได้ดีบางทีก็ใช้หอยเบี้ยเสริมความแข็งแรงของปุ่มรองก้น
แอ๊บหมากโบราณ จำนวน 2 ชนิด
แอ๊บหมากโบราณ เชี่ยนหมาก งานเขิน เก่า ๆ มีอายุงานผ่านการใช้จริง
หนังสือการบริหารส่งเสริมศูนย์วัฒนธรรม
อำเภอสันป่าตอง จำนวน 5 เล่ม
พระไตรปิฎกฉบับล้านนา จำนวน 45 เล่ม
สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคเหนือ
จำนวน 14 เล่ม
พยัญชนะวรรคล้านนา
ซากโบราณวัตถุของโบราณสถานเวียงท่ากาน
หมวดข้าวของ
เครื่องใช้ในครัวเรือน
ศูนย์วัฒนธรรมสันป่าตอง
แอ๊บเครื่องเขิน
จำนวน 4 ชิ้น
การกินหมากเคี้ยวหมากเป็นวัฒนธรรมของคนเอเชียโดยทั่วไป
ภาชนะของประกอบ การกินหมากภาษาไทยกลางเรียกว่า เชี่ยนหมาก
ชาวล้านนาเรียกว่า ขันหมาก
ขันไม้สาน จำนวน1 ชิ้น
ขันไม้หรือ ขันแอวอู กลึงไม้ลูกติ่งเป็นซี่ ๆ เรียงกันเป็นส่วนเอวของขัน
ปากขันเป็นรูปบัวหงายคั่นลายบัวสามชั้น ต่อจากส่วนเอว ปากขันกลึงเป็นขอบ
หนา ใช้สำหรับใส่ข้าวตอก ดอกไม้ และธูปเทียน
แอบหมาก
จำนวน 1 ชิ้น
กล่องเชี่ยนหมากพลู ใส่ยาเส้น ยาฉุน หรือยาขื่น
(ภาษาเหนือ) ผ่านกานใช้งานจริง มีอายุราว 60-80 ปี
พานไม้
จำนวน 2 ชิ้น
พานไม้ งานเก่าไม้สัก ชาดแดงเก่าหลุดลอกบ้าง
ครกตำหมาก (เหล็ก) และชิ้นส่วน
จำนวน 2 ชิ้น
ครกตำหมาก ทำมาจากเหล็ก
และไม้เป็นทรงกระบอกมีลวดลาย
มีรูกลวงตรงกลางสำหรับตำหมาก
สาก
จำนวน 7 ชิ้น
คนโบราณเปรียบเทียบเชิงสัญลักษณ์ในทำนองนี้ว่าสากนั้นขาดคู่
เพราะตำจนกระทั่งครกแตก คหบดีสมัยก่อนมีความเชื่อว่านำ “สากหม้ายครก”
นี้มาบูชาไว้ที่ร้านจะทำให้การค้าขายเจริญรุ่งเรือง
ช้อน
จำนวน1 คัน
ช้อนสังกะสีเคลือบสี
ในสมัยแต่ก่อน นิยมใช้กันทุกครัวเรือน
ถ้วยชามโบราณ
จำนวน 7 ใบ
เนื้อดินเผาเนื้อค่อนข้างละเอียด ภายในวาดลวดลาย
ศิลปะโบราณเอเชียตะวันออก
ถ้วยก๋าไก่
จำนวน 44 ใบ
การผลิตถ้วยตราไก่ของจังหวัดลำปาง เริ่มต้นอย่างจริงจัง เมื่อปี พ.ศ. 2503 เมื่อชาวจีน
2 คน คือ นายซิวกิม แซ่กวอก และนายซิมหยู แซ่ฉิน ได้ร่วมกันตั้งโรงงานทำถ้วยตราไก่แบบ
เมืองจีนขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นโรงงานทำถ้วยตราไก่แห่งแรกของลำปาง ตามประวัติกล่าวว่า เมื่อครั้ง
ที่ทั้งสองอยู่เมืองจีนเคยทำงานในโรงถ้วยชาม ซึ่งจะต้องทำงานในทุกขั้นตอนตั้งแต่การล้างดิน
ปั้ นถ้วย เคลือบ เขียนลายและนำเข้าเตาเผา เมื่อเดินทางเข้ามาอยู่ในประเทศไทยก็ได้ทำงาน
ในโรงงานเครื่องปั้ นดินเผาที่จังหวัดเชียงใหม่
เครื่องปิ้ นดินเผา พบที่บ้านสันกาวาฬ
จำนวน 9 ชิ้น
เครื่องปิ้ นดินเผา พบที่บ้านสันกอเกต
จำนวน 9 ชิ้น
กล้องยาสูบ
จำนวน 32 ชิ้น
กล้องยาสูบ (มูยา) เบ้ากลม รอบเบ้ามีการแกะสลักลวดลายต่าง ๆ
มีหลากหลายรูปแบบ แล้วแต่คนนิยม ส่วนก้านทำเป็นลายเส้นแนวตั้ง
สลับกับลายแนวนอน ในก้นเบ้ามีรูทะลุถึงด้ามเพื่อใช้สำหรับสูบยา
ไม้จะต๋า
จำนวน 9 ชิ้น
ไม้จะต๋า หรือใบสูติบัตรแบบล้านนาใช้จดบันทึกข้อมูลการเกิดลง
บนแผ่นไม้ โดยบันทึกด้วยตัวอักษรธรรมล้านนา หรือตัวเมืองล้านนา
ดาบเงิน
จำนวน 1 เล่ม
ดาบทำด้วยเงิน (ดาบแม่ครู) แม่ครูดาบ บ้านหลังตลาดสันป่าตอง ชื่อ แม่อุ๊ยต่อ สิทธิการ
อายุ 69 ปี นางผกาพรรณ สิทธิการ ได้มอบไว้ให้กับศูนย์วัฒนธรรม เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม
พ.ศ.2548