ชุมชนบ้านก่อใน
ใส่ใจสุขภาพจิต
...............
“ ไ ม่ บ่ อ ย นั ก ที่ คุ ณ จ ะ ส า ม า ร ถ เ ข้ า ถึ ง จิ ต ใ จ แ ล ะ อ า ร ม ณ์ ข อ ง ค น ไ ข้ จิ ต เ ว ช "
โ ด ย ผู้ เ ข้ า อ บ ร ม ก า ร พ ย า บ า ล เ ฉ พ า ะ ท า ง
ส า ข า ก า ร พ ย า บ า ล สุ ข ภ า พ จิ ต แ ล ะ จิ ต เ ว ช
H Y B R I D รุ่ น ที่ 2
โรคทางจิตเวช
โรคทางจิตเวช หมายถึง ความเจ็บป่วยท่ีเกิดขึ้นจากความผิดปกติของสารเคมีในสมอง หรือโรคท่ีมี
อาการเด่นในเร่ืองความรู้สึกนึกคิด การรับรู้ หรือพฤติกรรม มีลกั ษณะผดิ ไปจากคนโดยเฉล่ียที่เขาเป็นกัน และ
มีผลทาให้คนๆน้ันไม่สามารถใช้ชีวิต ทางาน หรือเรียนได้อย่างท่ีเคย ภาวะท่ีมีความผิดปกติต้านความคิด
อารมณ์ พฤตกิ รรมอยา่ งเฉยี บพลันหรือรนุ แรง จนอาจทาให้เกิดอนั ตรายต่อตวั ผู้ป่วย ผู้อน่ื และทรพั ยส์ นิ
สาเหตุ
ปจั จัยภายใน ความผิดปกตทิ างสมอง และระดบั สารเคมใี นสมอง ความผิดปกติทเี่ กิดข้ึนภายในสมอง
โดยเฉพาะอย่างย่ิง สารสื่อประสาทโดปามีน (Dopamine) ที่ทาหน้าที่ควบคุมกระบวนการคิดและการรับรู้ที่
นาไปส่กู ารเกดิ พฤตกิ รรมต่าง ๆ
- ความผิดปกติทางจิต โรคจิตอาจเกิดจากความผิดปกติทางจิตหรือทางบุคลิกภาพ เช่น ป่วยเป็นโรค
จิตเภท ทาให้มอี าการหลงผิดและประสาทหลอน เป็นตน้
- ความเจ็บป่วยทางร่างกาย เม่ือผู้ป่วยเจ็บป่วยด้วยโรคบางอย่าง อาจส่งผลให้เกิดอาการโรคจิตได้
เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ ภาวะน้าตาลในเลือดต่า โรคไขจ้ ับสั่นหรอื มาลาเรีย โรคอลั ไซเมอร์ โรคพารก์ ินสัน โรค
แพ้ภูมิตัวเอง โรคปลอกประสาทอักเสบ ซฟิ ลิ ิส การตดิ เชื้อเอชไอวแี ละกลุ่มอาการเอดส์ มีเนือ้ งอกในสมอง
- กรรมพันธ์ุ บางทฤษฎเี ชือ่ ว่าอาการโรคจติ มีแนวโนม้ ถา่ ยทอดทางพันธกุ รรมจากรุ่นสู่รนุ่ ได้
ปัจจัยภายนอก การใช้ยาหรือการได้รับสารเคมี เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การเสพยาเสพติด เช่น
โคเคน ยาบ้า (Amphetamine) ยาไอซ์ (Methamphetamine) ยาอี (MDMA: Ecstasy) ยาเค (Ketamine)
หรือกัญชา
อาการทางจติ เวช
ผูป้ ่วยโรคทางจิตเวชแต่ละคนอาจมีลักษณะท่าทางและอาการที่ปรากฏแตกต่างกันไป แต่อาการหลัก
ได้แก่
1. ประสาทหลอน ประสาทรับรู้ท้ัง 5 เปลี่ยนแปลงและผิดไปจากความเป็นจริง เช่น เห็นภาพหลอน
มองเห็นสีหรือรูปร่างผิดแผกไป ได้ยินเสียงที่คนอ่ืนไม่ได้ยิน รู้สกึ ถึงการสัมผัสทัง้ ท่ีไม่มีใครแตะตัว ได้กลิ่นที่คน
อื่นไม่ร้สู กึ และรับรถู้ ึงรสชาติทั้ง ๆ ทไี่ มม่ ีอะไรอยใู่ นปากในขณะนั้น เป็นต้น
2. หลงผดิ มคี วามคิดหรือความเช่ืออย่างแน่วแนใ่ นส่ิงที่ไม่เปน็ ความจริง เช่น หลงผดิ คิดวา่ ตนเอง
กาลังถูกปองร้ายหรือมีคนวางแผนฆา่ ตนเอง หลงผิดวา่ ตนเองเป็นบุคคลสาคญั ท่ีมีอานาจ หรือมพี ลังวเิ ศษ
3. ความคดิ สับสนวุ่นวาย หรอื มรี ูปแบบกระบวนการคิดท่ไี ม่เปน็ ลาดบั ซึ่งส่งผลให้มอี าการต่าง ๆ เช่น
พูดไม่คิด พูดออกมาในทันที พูดเร็ว พูดแล้วฟังไม่ได้ศัพท์ จัดเรียงลาดับคาในประโยคไม่ถูกต้อง ส่ือสารไม่
เขา้ ใจ พูดขาด ๆ หาย ๆ พูดไมต่ อ่ เน่ือง หยุดพูดเป็นระยะ เป็นต้น
4. ขาดการตระหนักรู้ ผู้ป่วยโรคจิตเวชมักไม่รับรู้ว่าอาการหลงผิดและประสาทหลอนท่ีเกิดข้ึนไม่ใช่
ความจริง ทาใหผ้ ปู้ ว่ ยเกดิ อาการอน่ื ๆ ที่เปน็ ปัญหาตามมา เช่น อาการต่นื ตระหนก ตกใจกลัว ทกุ ข์ทรมาน
นอกจากน้ี ผปู้ ่วยโรคจติ เวชอาจมีอาการอืน่ ๆเชน่
- ซมึ เศรา้ เก็บตัว
- แยกตัวจากเพ่ือนและครอบครัว
- นอนนานกวา่ ปกติ หรือนอนไม่พอ
- หวาดระแวง ขีส้ งสัย
- วิตกกงั วล กระวนกระวาย ไมม่ สี มาธิ
- อารมณ์แปรปรวน มีอาการซมึ เศร้ามาก หรอื ดีใจมากผิดปกติ
- ไมร่ กั ษาความสะอาด
- ไมส่ นใจทากิจกรรมใด ๆ อย่างทีเ่ คย
- มีความคดิ แปลก ๆ
- มีการเคลอ่ื นไหวรา่ งกายที่ช้ากว่าปกติ แปลก หรือผดิ ปกติ
- มีพฤติกรรมท่เี ป็นอันตรายตอ่ ตนเองหรอื ผู้อ่นื
- มีความคิดหรือพยายามฆา่ ตัวตาย
การรักษาโรคทางจิตเวช
1. การรักษาด้วยยา
การใช้ยาต้านอาการทางจิต (Antipsychotics) ต้องให้ตามคาส่ังแพทย์เท่านั้น แพทย์อาจให้ยาแบบ
รบั ประทานหรือแบบฉีด ยาต้านอาการทางจิตจะออกฤทธิ์ยับยั้งโดปามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทในสมอง เป็น
การช่วยลดการเกิดอาการประสาทหลอนและอาการหลงผิด ช่วยให้ผู้ป่วยคิดและเข้าใจส่ิงต่าง ๆ ได้ชัดเจน
และอยู่บนพ้ืนฐานของความเป็นจริงได้ดีย่ิงขึ้น โดยยาต้านอาการทางจิตมีอยู่หลายชนิด แพทย์จะเป็นผู้
พิจารณาว่าควรจะใช้ยาชนดิ ใด และจะใช้เป็นเวลานานเทา่ ใด
2. การบาบดั ทางจิต
การบาบัดทางจิตอาจช่วยคลายความตึงเครียดและความวิตกกังวลที่เกิดจากอาการโรคจิต เช่น การ
บาบัดด้วยการปรับความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioural Therapy: CBT) เป็นวิธีการดูแล
สนับสนุนให้ผู้ป่วยได้พูดคุย บอกเล่าถึงสิ่งท่ีพวกเขากาลังเผชิญจนทาให้เกิดความทุกข์ เพ่ือให้พวกเขาผ่อน
คลายและหาทางออกจากความทุกข์เหล่าน้ันได้ในที่สุด วิธีการนี้มักได้ผลดีกับผู้ป่วยท่ีรักษาด้วยยาเพียงอย่าง
เดยี วแล้วไมเ่ กิดประสิทธผิ ลมากเท่าที่ควร
การเข้าร่วมกลุ่มช่วยเหลือตนเอง (Self-Help Groups) นักบาบัดจะคอยดูแลสนบั สนุนให้ผู้ป่วยที่เคย
มอี าการโรคจิตไดพ้ ูดคุยแบ่งปันประสบการณ์ซง่ึ กนั และกัน เนอื่ งจากการได้แลกเปลย่ี นประสบการณก์ ับผู้ท่ีเคย
เผชญิ เหตกุ ารณ์คล้าย ๆ กนั
3. การรักษาด้วยไฟฟ้า วิธนี ใ้ี ชใ้ นผู้ป่วยทร่ี ักษาดว้ ยยาและการบาบัดทางจิตแล้วไมเ่ กิดประสทิ ธผิ ล
การป้องกันการเกิดอาการทางจิตเวช
1. หลกี เล่ียงการใชส้ ารเสพติดใหโ้ ทษทกุ ชนิด ทง้ั การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรอื การใชย้ าเสพติด
2. หลีกเลี่ยงการใช้ยาอย่างผดิ จดุ ประสงค์ หรือเกินปริมาณท่ีแพทย์กาหนด
3. ออกกาลังกายอย่างเหมาะสมสม่าเสมอ เพ่ือให้ร่างกายหลั่งสารเคมีในสมองเซโรโทนิน ซ่ึงช่วยใน
การกระตุน้ อารมณ์ผอ่ นคลายตา่ ง ๆ
4. เรยี นร้วู ิธีจัดการกบั ความเครยี ด สรา้ งความผอ่ นคลายให้แก่ร่างกายและจติ ใจ
5. หม่ันสังเกตอาการและความผิดปกตทิ ี่เกิดขึ้นกับตนเองหรือบุคคลใกล้ชิด ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
หากพบความผดิ ปกติหรอื มีข้อสงสัยใด ๆ ควรปรกึ ษาผเู้ ชี่ยวชาญหรือไปพบแพทย์ตรวจรักษา
ยาจิตเวช
ยารักษาโรคคอื อะไร
องค์กรอนามยั โลก (WHO) ได้ให้ความหมายว่า “ยา” คอื สารหรือผลิตภัณฑ์ท่ีมีวัตถุประสงค์
ในการใช้ใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงที่เปน็ ประโยชน์แก้ผู้รบั ประทานยา
ยาจติ เวชคืออะไร
ยาจิตเวช คือ ยาที่ใช้รักษาอาการทางจิต (อาการสับสน หลงผิด ประสาทหลอน
กระสบั กระส่าย ผู้ปว่ ยที่มอี าการก้าวรา้ ว ควบคุมตนเองไม่ได้)
ยาจะไปชว่ ยอะไรได้บา้ ง
- ปรับสมดลุ ของสารเคมีในสมองให้อย่ใู นภาวะสมดลุ
- อาการทางจิตสงบลง
- ลดอาการกระวนกระวาย หวาดระแวง หลงผิด
- ลดความเครียด ความวติ กกังวล และอาการซึมเศร้า
- ชว่ ยใหน้ อนหลับได้
ข้อควรรูเ้ กยี่ วกับยารกั ษาโรคจิตเวช
1. ยาจิตเวชไม่ได้ออกฤทธ์ิเร็วเหมอื นยาแก้ปวด อาจตอ้ งใชเ้ วลาเป็นสัปดาห์หรือเปน็ เดือนกว่าจะเห็น
ผลการรักษาว่าตอบสนองยาดหี รือไม่
2. ยาจติ เวชไม่ทาใหเ้ กิดอาการตดิ ยา สามารถรบั ประทานเปน็ ระยะเวลานานได้ ภายใตค้ าแนะนาของ
แพทย์
3. ยาจิตเวชมที ง้ั ชนิดเม็ด ชนิดน้า ชนดิ ฉีดท่ีมฤี ทธิส์ น้ั และชนดิ ฉดี ทม่ี ีฤทธ์นิ าน สามารถควบคมุ อาการ
ไดเ้ ป็นเดือน แพทยจ์ ะเปน็ ผู้พิจารณาการเลือกใช้ยาให้เหมาะกับอาการและโรคของผู้ปว่ ย
4. ยาจิตเวชอาจทาใหเ้ กิดผลข้างเคยี ง เช่น มีอาการน้าลายมาก ล้ินแขง็ มอื ส่นั ผู้ป่วยไม่ตอ้ งตกใจหรอื
กงั วลใจ อาจเกิดผลขา้ งเคยี งจากยา ควรปรึกษาแพทยท์ นั ที
การปฏิบตั ติ ัวของผู้ท่ไี ดร้ ับยาจิตเวช
1. เขา้ รับการรกั ษา ควรแจง้ ข้อมูลเหลา่ น้แี ก่แพทยผ์ ตู้ รวจรักษาให้ทราบเสมอ
- ประวัติการแพ้ยา หรืออาการไมส่ บายเมื่อได้รับยาชนิดใด
- ยาท่ีกาลงั ใชอ้ ยู่ รวมถึงอาหารพเิ ศษหรอื าหารเสริมใดๆ ท่ีกาลงั รบั ประทานอยู่
- กาลงั จะเข้ารับการรกั ษาฟนั หรือผ่าตดั
2. รับประทานยาตามแพทย์สั่งสมา่ เสมอ แมว้ า่ อาการจะทเุ ลาหรือมที า่ ทางหรอื มพี ฤติกรรมทีเ่ ปน็ ปกติ
แล้วกต็ าม เพ่ือป้องกันไมใ่ ห้อาการกาเรบิ
3. ไมค่ วรลดหรือเพิม่ ยา หรอื หยุดรบั ประทานยาเอง
4. ไมแ่ บ่งยาให้ผู้อ่ืนรบั ประทาน เนื่องจากเปน็ ยาเฉพาะบุคคลเทา่ นน้ั
5. งดสิง่ เสพตดิ มนึ เมาทุกชนดิ เชน่ เหลา้ เบียร์ ยาดอง กญั ชา ยาบา้ งดกาแฟ/ชา
6. พบแพทยต์ ามนดั หากมีอาการเปล่ยี นแปลง ควรแจง้ แพทย์ทราบทุกคร้ัง
7. ไม่ควรใชย้ าใดๆ โดยไม่ไดป้ รกึ ษาแพทย์หรอื เภสัชการก่อน
8. อ่านวธิ ีใชย้ าบนฉลากยาให้เข้าใจก่อนใชย้ าทุกครงั้
9. ใชย้ าตามขนาด วธิ ี และกาหนดระยะเวลาตามทีแ่ พทย์ส่ัง
10. หากมีอาการผิดปกติระหว่างใช้ยา เช่น มีผื่นคัน แดง หน้าบวม คล่ืนไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือ
หายใจลาบาก ควรกลับมาพบแพทยท์ นั ทพี รอ้ มกับนายาท่ีใช้มาดว้ ย
11. ยาเกือบทุกชนิดมีฤทธ์ิข้างเคยี งท่ีนอกเหนือจากฤทธ์ิสาคัญที่ต้องการ และอาจเกิดข้ึนกับคนแต่ละ
คนไม่เหมือนกัน หากผู้ใช้ยามีปัญหาของฤทธิ์ข้างเคียงที่เกิดขึ้นน้ัน ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ เพ่ือ
แก้ไขปัญหาดงั กล่าว
ปฏบิ ตั ติ ัวเมื่อเกดิ อาการขา้ งเคยี งของยา ดังนี้
ง่วงซึม ง่วงนอนมาก : ไม่ควรขับรถหรือทางาน อาจเกิดอันตรายได้ควรปรึกษาแพทย์ เพ่ือลดหรือ
เปลี่ยนยา
ปากแห้ง : ควรบ้วนปาก จบิ น้า เพ่อื ใหป้ ากชุม่ ชื่น
ท้องผูก : ควรรับประทานผัก ผลไม้ และด่ืมน้ามากๆ พยายายามเพิ่มการเคลื่อนไหวหรือออกกาลังกาย
ทกุ วัน
ล้นิ คับปาก น้าลายไหล : ดูแลเรื่องความสะอาด พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ใหห้ งุดหงิด เวลาส่ือสารกับ
ผูอ้ นื่ ควรพดู ช้าๆ เพือ่ ให้ผอู้ น่ื เข้าใจ
ผู้มีปัญหาสุขภาพจิตหรือภาวะจิตใจท่ีไม่เป็นสุข อาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติของจิตใจ พฤติกรรม
อารมณ์ บุคลิกภาพ จนเกิดเป็นโรคทางจิตเวช ซ่ึงส่งผลต่อการดาเนินชีวิต การทางาน การเรียน แต่ความ
ผดิ ปกติเหลา่ น้ี สามารถรักษาได้ดว้ ยยา ซ่งึ ยาจะช่วยให้ผปู้ ่วยสามารถใชช้ ีวติ อย่ใู นสงั คมได้อยา่ งมีคุณภาพ
กจิ กรรมใหค้ วามรู้แหลง่ ช่วยเหลือสนับสนนุ ในการดแู ลผ้ปู ว่ ยจติ เวชและการปฏิบตั ติ ัว
การปฏบิ ัตติ ัวของผู้ป่วย
- แนะนำให้ผปู้ ว่ ยมำพบแพทย์ตำมนดั
- แนะนำกำรรับประทำนยำตำมแผนกำรรกั ษำของแพทย์ รับประทำนยำอยำ่ งต่อเน่ืองไม่หยุดยำเอง
หรอื ไมป่ รบั เพ่ิม หรือลดยำเอง และในกรณที มี่ ยี ำฉีดประจำ ให้มำฉีดยำตำมวันนัดท่ี รพ.สต.กอ่ หรอื โรงพยำบำลวำ
รินชำรำบ
- ผู้ป่วยสำมำรถรบั ประทำนอำหำรได้ ตำมปกติ รบั ประทำนอำหำรทป่ี รงุ สุก สะอำด ให้ครบ 5 หมู่
- งดด่ืมชำ กำแฟ นำอดั ลม เครอื่ งด่ืมทมี่ แี อลกอฮอลท์ ุกชนิด รวมทังเหล้ำพืนบ้ำน เช่น กระแช่ สำโท
เหล้ำกลั่น เหล้ำยำดองสมุนไพรทุกชนิด และงดใช้สำรเสพติด และบุหรี่ ซง่ึ จะสง่ ผลใหป้ ระสทิ ธิภำพของยำจิตข
เวชลดลงทำใหผ้ ปู้ ว่ ยดอื ยำ และอำกำรทำงจติ กำเริบได้
- แนะนำให้มีกำรสอื่ สำรมำกขึนในครอบครวั และฝกึ กำรส่ือสำรทำงบวกของบุคคลในครอบครวั คือ กำร
ใชค้ ำพูด ทำ่ ทำงกริ ยิ ำ ที่ชว่ ยประคับประคองให้กำลังใจผปู้ ่วย
- ครอบครวั ต้องให้ควำมรัก เอำใจใส่ ดูแลผู้ปว่ ยอย่ำงใกล้ชิด เปดิ โอกำสให้ผ้ปู ่วยได้ระบำยควำมคบั ข้องใจ
ควำมทุกขใ์ จออกมำ และครอบครัวควรรับฟงั ดว้ ยควำมตังใจ จรงิ ใจ พรอ้ มจะเปน็ ท่ปี รึกษำโดยไม่ตำหนิผปู้ ่วย
- ครอบครวั ควรสนบั สนุนใหก้ ำลังใจชื่นชมผปู้ ว่ ย ในสิ่งที่ผู้ป่วยทำได้ สง่ เสริมใหผ้ ูป้ ว่ ยได้กลับไปทำงำน
ส่งเสรมิ ควำมรูส้ ึกมีคณุ ค่ำในตนเองให้กบั ผ้ปู ่วย
- ให้ญำตสิ งั เกตสญั ญำนเตือนอำกำรทำงจติ กำเริบ เช่น
1. ไมห่ ลบั ไมน่ อน คือผปู้ ่วยไม่ยอมนอน หรือหลบั ๆต่ืนๆ
2. เดินไปมำ เช่น นง่ั ไมต่ ิดที่ เดนิ ไปเดนิ มำ หรือมีพฤติกรรมแปลกๆ
3. พดู จำคนเดยี ว เชน่ พดู หรือยิม หวั เรำะคนเดยี ว
4. มีอำรมณ์หงดุ หงิด ฉนุ เฉียว อำรมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดเี ดย๋ี วร้ำย หงุดหงิดง่ำย
5. หวำดระแวง คอื มีอำกำรหวำดระแวง คดิ ว่ำมคี นไมห่ วังดีนินทำวำ่ ร้ำย มคี นคอยติดตำมจะทำร้ำย
เป็นต้น หำกพบวำ่ ผูป้ ่วยมีอำกำรอย่ำงใดอย่ำงหน่งึ ไม่ตอ้ งรอให้อำกำรถึงขันรุนแรงเพ่ือใหผ้ ู้ป่วยไดร้ ับกำรดูแล
อยำ่ งทนั กำร หำกเกิดอำกำรดงั กล่ำวครอบครวั ควรนำผปู้ ว่ ยมำพบแพทย์กอ่ นวันนดั หรือประสำนเจำ้ หน้ำทอี่ สม.
ในพืนท่ี ผใู้ หญบ่ ำ้ นและรพสต.เพอ่ื ชว่ ยเหลือ หรอื แจ้งสำยด่วนสุขภำพจิตเบอร์ 1323 กรณอี ำละวำดคล้มุ คล่ัง
โทรแจ้งสถำนตี ำรวจเบอร์ 191 เพื่อเข้ำควบคุมตวั ก่อนโทรประสำนรถฉุกเฉินเบอร1์ 669 เพ่ือให้เจ้ำหน้ำท่ี
สำธำรณสขุ มำรับและสง่ ตัวรกั ษำตอ่ โรงพยำบำลวำรนิ ชำรำบ
กิจกรรมให้ความรูเ้ ร่อื งการกดจุดคลายเครียดด้วยตัวเอง
ความเครียด เปน็ สภำวะของอำรมณ์ของคนที่ต้องเจอกับปัญหำต่ำงๆ เกิดควำมไม่สบำยใจ วิตกกังวล
รูส้ กึ กดดันหลำยครงั ทหี่ ลำยคนมักจะเครียดโดยที่ไมร่ ู้ตัวเพรำะคนเรำมกั จะแสดงปฏิกริ ิยำตอบสนองตอ่
ควำมเครยี ดไม่เหมือนกนั
เม่ือเกิดควำมเครียดเรำจะแสดงออกมำทำงด้ำนรำ่ งกำย จติ ใจ อำรมณ์ และพฤติกรรม บำงคนหงดุ หงิดง่ำย
บำงคนปว่ ยง่ำย บำงคนนอนไมห่ ลบั
กลำ่ วถึงควำมเครียดกับสขุ ภำพรำ่ งกำยมคี วำมสมั พันธ์กัน หำกมอี ำกำรเครียด ร่ำงกำยของเรำจะมีกำรหด
เกรง็ โดยเฉพำะเวลำเครียดจะปวดขมบั ทำ้ ยทอยและบ่ำส่งผลใหร้ ่ำงกำยของเรำรูส้ ึกไมส่ บำย
วนั นเี รำจะมำเผยวิธงี ำ่ ยๆกำจดั ควำมเครียด หำกเรำรวู้ ิธีจัดกำรและบรรเทำควำมเครียดต่ำงๆ เหลำ่ นันได้ อย่ำง
นอ้ ยก็ชว่ ยให้เรำพร้อมรบั มือกับควำมเครยี ดไดม้ ำกขนึ
การกดจุดคลายเครียดดว้ ยตนเอง (15 นำท)ี
วิธที ี่ทำงำ่ ยด้วยมือของเรำเอง
ท่าท่ี 1 ท่าเสยผม ใช้ปมุ่ มือนิวชี นวิ กลำง นวิ นำง กดไลไ่ ปตังแต่
1.1.บรเิ วณไรผม แตะแล้วกดเบำๆเสยดงึ รีดไปด้ำนหลงั ไปจนถึงชว่ งบรเิ วณทำ้ ยทอยและรดี ออกดำ้ นข้ำง
ทำประมำณ 5-10 ครัง
1.2.บรเิ วณขำ้ งขมบั แตะแล้วกดเบำๆเสยดงึ รีดไปทำงด้ำนหลัง ทำประมำณ 5-10 ครัง
(สังเกตบรเิ วณขมบั จะมีปมุ่ ตึงนูนเป็นคลน่ื )
ท่าเสยผม ช่วยบรรเทำควำมเครยี ดทำใหเ้ ลือดหมนุ เวยี นได้ดชี ่วยใหด้ วงตำแจ่มใสเพรำะกลำ้ มเนือบรเิ วณ
หนงั ศีรษะแนวกลำงและดำ้ นขอบจะรสู้ กึ ผ่อนคลำย
ทา่ ที่ 2 ทา่ กดรดี กระบอกตา เป็นทำ่ ทเี่ ก่ยี วกบั กระบอกตำโดยตรง
2.1. ใช้นวิ กดบริเวณร่องตำ 5 วนิ ำที
2.2. ปวดบริเวณหวั คิว 5 วนิ ำที
2.3. กดบรเิ วณหำงคิว 5 วนิ ำที
2.4. กดใต้ดวงตำห่ำง 1 นวิ 5 วินำที
2.5. ใช้นิวชบี ำดรดี เร่ิมทจี่ มกู ไปหำหำงตำบรเิ วณใต้ดวงตำห่ำง 1 นวิ 5 ครัง
ทา่ รีดกระบอกตา ชว่ ยทำให้เลือดหมุนเวยี นไดด้ ีดวงตำสำมำรถรับแสงไดม้ ำกขึน
ท่าท่ี 3 ท่าถูหู
แยกนิวมอื ชี - กลำง ออกจำกกัน แนบหูทัง 2 ข้ำงแล้วถูขึนลงระหว่ำงหู 1 รอบคอื 10 ครัง ทำครังละ 3-5 รอบ
ทา่ ถูหู ชว่ ยทำให้กำรได้ยินชดั เจนขนึ กระตุ้นระบบกำรหมุนเวยี นของเลอื ด
ทา่ ที่ 4 ทา่ รีดทา้ ยทอย
4.1. ใต้ฐำนกะโหลกกดเบำๆรีดลงมำท่ีบำ่ 5 วินำที
4.2. เลอื่ นลงมำอีก 1 นวิ อยู่ชว่ งเว้ำทคี่ อพอดี กดเบำๆรดี ลงมำที่บำ่ 5 วินำที
ท่ารีดท้ายทอย ชว่ ยผ่อนคลำยกล้ำมเนอื บรเิ วณท้ำยทอย ลดกำรปวดบรเิ วณกระบอกตำได้
ทา่ ท่ี 5 ทำ่ นวด บำ่ - ไหล่
เวลำเครยี ดบำ่ จะตึงลงถงึ หัวไหลท่ ำใหห้ ัวไหลย่ กขนึ ไดไ้ ม่สะดวก เวลำหมุนอำจมเี สียงกรอบแกรบ
5.1.ใช้มอื ขวำยกขนึ แล้วแตะท่หี ลังศีรษะของตนเอง
5.2.ใช้มอื ซำ้ ยวำงท่จี ุดตดั ของรอยพับแขน กดเบำๆ 5 วินำที แลว้ รีดลงเอว
5.3.ใช้มอื ซ้ำยนวิ ชี-กลำง-นำง กดทขี่ อบสะบกั บริเวณชว่ ง
หัวไหลจ่ ะมปี ่มุ เว้ำลงไปหำยใจเข้ำ-ออกลกึ ๆนับถึง 5 วนิ ำที จะรสู้ ึกหน่วงๆ แล้วดึงรดี เข้ำมำประมำณ 2 นวิ ทำ
5 ครงั
5.4.สลบั ข้ำงทำให้ครบทงั สองขำ้ ง
ทา่ นวดบ่า - ไหล่แก้อำกำรหัวไหล่ตงึ ชว่ ยผอ่ นคลำยกล้ำมเนอื ป้องกนั ไหล่ติด ปวดตึงบรเิ วณกล้ำมเนือบำ่ - ไหล่