The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Gypzy Publishing, 2020-07-02 06:24:51

Homo Deus A Brief History of Tomorrow

เซเปียนส์
แสดงให้เราเห็นว่าเรามาจากที่ใด



โฮโมดีอุส
แสดงให้เราเห็นว่าเราจะไปที่ใด





ยูวัล โนอาห์ แฮรารี มองภาพอนาคตอันใกล้
ซึ่งเราต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายต่างๆ ชุดใหม่

โฮโมดีอุส ส�ารวจโครงการต่างๆ บรรดาฝันดีและฝันร้าย
ซึ่งจะส่งผลกับคริสต์ศตวรรษที่ 21 และหลังจากนั้น

ตั้งแต่การเอาชนะความตาย ไปจนถึงการสร้างชีวิตเทียม


หนังสือเล่มนี้ยกประเด็นค�าถามพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
เราจะป้องกันโลกที่เปราะบางดวงนี้

จากอ�านาจการท�าลายล้างของเราเองได้อย่างไร?
และอนาคตของพวกเราจะเป็นเช่นใดแน่?

จากผู้เขียน เซเปียนส์
ยูวัล โนอาห์ แฮราร ี







Homo Deus


A Brief History of Tomorrow



โฮโมดีอุส

ประวัติย่อของวันพรุ่งน ้ ี

ยูวัล โนอาห์ แฮราร ี








“ผมต้องการกระตุ้นพวกเราทุกคน ไม่ว่าจะมีความเชื่อส่วนตนเป็นเช่นไร
ให้ตั้งค�าถามเกี่ยวกับเรื่องเล่าพื้นฐานของโลกของเรา
ให้เชื่อมโยงการพัฒนาในอดีตเข้ากับความกังวลใจในปัจจุบัน
และไม่กลัวที่จะพูดคุยในประเด็นที่เป็นที่ถกเถียงโต้แย้ง”



ดร.ยูวัล โนอาห์ แฮรารี ได้รับปริญญาเอกด้านประวัติศาสตร์
จากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด และปัจจุบันเป็นอาจารย์

อยู่ที่มหาวิทยาลัยฮีบรูในกรุงเยรูซาเลม
มีความเชี่ยวชาญเรื่องประวัติศาสตร์โลก
หนังสือ เซเปียนส์ และ โฮโมดีอุส ของเขา

สร้างปรากฏการณ์ระดับนานาชาติ

แด่ครูของผม เอส. เอ็น. โกเอ็นก้า (ค.ศ. 1924-2013)

ผู้สั่งสอนเรื่องส�าคัญในชีวิตให้กับผมด้วยความรัก

��������� ������������������������
Homo Deus A Brief History of Tomorrow
ąĜĊĔĈ ġüĐĕĎŋ ĠđĆĕĆĘ ğãĘąü
÷Ć üĖëĔą ëĘĊĊėĊĆĆûüŋ ûė÷ĕ éèüėĆĕĄĔąčùėø ĠþĈ
Ćĕåĕ ýĕú

7PKXGTUCN %QR[TKIJV %QPXGPVKQP as follows:
%QR[TKIJV j D[ ;WXCN 0QCJ *CTCTK
6JCK VTCPUNCVKQP EQR[TKIJV j D[ )[RU[ )TQWR 2WDNKUJKPI *QWUG .6&
#.. 4+)*65 4'5'48'&
� ข�อความและรูปภาพ�น�นังส�อเล�มนี� สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบั��ัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ. 2558
การคัดลอกส�วน�ด� �น�นังส�อเล�มนี��ปเ�ยแพร��ม�ว�า�นรูปแบบ�ดต�อง�ด�รับอนุ�าตจากเจ�าของลิขสิทธิ์ก�อน
ยกเว�นเพ�่อการอ�างอิง การวิจารณ� และประชาสัมพันธ�

ãňĐĄĜĈúĕèýĆĆöĕüěâĆĄãĐèčĖüĔâĎĐčĄě÷ĠĎŇèëĕøė
0CVKQPCN .KDTCT[ QH 6JCKNCPF %CVCNQIKPI KP 2WDNKECVKQP &CVC
แ�รารี� ยูวัล โนอา��.
โ�โมดีอุส ประวัติย�อของวันพรุ�งนี� � �omo Deus a brief history of tomorrow.--กรุงเทพฯ : ยิป�ี กรุ�ป� 2562.
576 �น�า
1. คริสต�ศตวรรษที่ 21. 2. วิทยาศาสตร�กับอารยธรรม. 3. อารยธรรมสมัย��ม�.
I. นำชัย ชีววิวรรธน�� �ู�แปล. II. ธิดา จงนิรามัยส�ิต� �ู�แปลร�วม. III. ช�่อเร�่อง.
909.83
ISBN 978-616-301-694-2

ýĆĆöĕûėâĕĆĐĖüĊąâĕĆ : คธาวุ�ิ เกนุ�ย
ýĆĆöĕûėâĕĆýĆėĎĕĆ : สุรชัย พิงชัยภูมิ
ÿĜňëŇĊąýĆĆöĕûėâĕĆýĆėĎĕĆ : วาสนา ชูรัตน�
úĘħþĆęâČĕĀłĕąøŇĕèþĆēğúċ : ศิริธาดา กองภา พัลลภ สามสี
âĐèýĆĆöĕûėâĕĆ : คณิตา สุตราม พรรณิกา ครโสภา ดารียา ครโสภา
üĔâċęâČĕĀŀâèĕüâĐèýĆĆöĕûėâĕĆ : วันวิสา เขตรดง ที�ทัศน� มณีฉาย
ğĈãĕâĐèýĆĆöĕûėâĕĆ : อรทัย ดีสวัสดิ์
āėčĜéüŋĐĔâČĆ : วนัชพร เขียวชอุ�ม สวภัทร เพ�ชรรัตน�
ĆĜþğĈŇĄ : ประเสริฐศักดิ์ ประดิษฐเกษร
ĐĐâĠýýþâ : Rabbithood Studio
ÿĜňĐĖüĊąâĕĆĀłĕąâĕĆøĈĕ÷ : นุชนันท� ทักษิณาบัณ�ิต
ÿĜňéĔ÷âĕĆĀłĕąâĕĆøĈĕ÷ : ชิตพล จันสด
ÿĜňéĔ÷âĕĆúĔħĊģþ : เวชพงษ� รัตนมาลี
éĔ÷āėĄāŋġ÷ą : บริษัท ยิป�ี กรุ�ป จำกัด เลขที่ 37/145 รามคำแ�ง 98
แขวง/เขตสะพานสูง กรุงเทพฯ 10240
โทร. 0 2728 0939 โทรสาร. 0 2728 0939 ต�อ 108
www.gypsygroup.net
āėĄāŋúĘħ : บริษัท วิชั่น พรีเพรส จำกัด โทร. 0 2147 3175-6
éĔ÷éĖĎüŇĕą : บริษัท ยิป�ี กรุ�ป จำกัด โทร. 0 2728 0939
www.facebook.com/gypsygroup.co.ltd
LINE ID : @gypzy

สน�จสั่ง���อ�นังส�อจำนวนมากเพ�่อสนับสนุนทางการศ�กษา สำนักพิมพ�ลดราคาพิเศษ ติดต�อ โทร. 0 2728 0939

ค�น�ส�นักพิมพ์









มนุษย์เราดารงอยู่บนโลกน้เป็นเวลานานก่อนท่จะเกิดประวัติศาสตร์ข้น

บรรพบุรุษท่ดูคล้ายกับมนุษย์ปัจจุบันมากปรากฏข้นบนโลกเม่อประมาณ 2.5



ล้านปีมาแล้ว ถ้าเทียบกับยุคสมัยของการก่อเกิดอารยธรรมโลก ถือว่าเป็น

ช่วงเวลาอันยาวนานท่เผ่าพันธุ์ของเราครอบครองโลกใบน้ แต่ทว่าหากเทียบ

กับอายุขัยของดาวเคราะห์ดวงนี้ เวลาของเรานั้นแสนสั้นเพียงชั่วกะพริบตา
แต่ถึงอย่างน้นมนุษย์ก็เป็นเพียงเผ่าพันธุ์เดียวในโลกใบน้ท่สามารถ



วิวัฒนาการแบบก้าวกระโดดไปได้เรื่อยๆ เราสามารถย้อนกลับไปไขปริศนา



ในอดีต และสรรค์สร้างนวัตกรรมเพ่ออานวยความสะดวกสบายให้ชีวิต
ถึงขนาดที่หาญกล้าท้าทายโชคชะตาในอนาคตเลยทีเดียว




หน่งในมนุษย์ท่ขบคิดเก่ยวกับการค้นหาอดีตและตั้งคาถามกับอนาคต
อยู่ตลอดเวลาอย่าง ยูวัล โนอาห์ แฮรารี ได้น�าเสนอองค์ความรู้ที่พยายาม
จะบอกเล่าว่ามนุษย์มาถึงจุดน้ได้อย่างไร เราอยู่กันอย่างไร และเราจะเดิน

ไปในทิศทางใด ผ่านหนังสือ 3 เล่มที่ได้รับการยกย่องว่า “ไม่ควรพลาด”


หากคุณต้องการตามทันโลกศตวรรษท่ 21 และอนาคตอันใกล้ท่กาลังหายใจ

รดต้นคอเรา

ส�านักพิมพ์ยิปซีได้นาเสนอหนังสือ 2 เล่มแรก น่นคือ ‘เซเปียนส์


ประวัติย่อมนุษยชาติ’ ที่แสดงให้เราเห็นว่าเรามาจากท่ใด เผ่าพันธุ์มนุษย์อย ู่
รอดมาจนถึงวันนี้ได้อย่างไร และ ‘21 บทเรียนส�าหรับศตวรรษที่ 21’ ที่พา
เราสารวจปัจจุบันด้วยการโยนคาถามสาคัญให้เราไปขบคิด สะท้อนวิกฤต



ที่เราต้องเผชิญและเอาตัวรอดในศตวรรษที่ 21 หนังสือทั้งสองเล่มไม่เพียง

สร้างปรากฏการณ์ด้านยอดขายไปท่วโลก แต่ยังปูทางให้เราเห็นถึงความ
เป็นไปได้ท่ว่า “มนุษย์กาลังก้าวข้ามขีดจากัดที่ก�าหนดโดยดีเอ็นเอของเรา




ไปสู่การมีอานาจท่จะเปล่ยนแปลงโลกท้งใบ ...มนุษย์กาลังเล่นบทบาทพระเจ้า





ที่ไม่ได้เพียงทอยลูกเต๋าขีดชะตา แต่ก�าลังวางกฎเกณฑ์เพื่อให้โลกใบนี้เดิน

ไปตามแนวทางที่เราต้องการ ซึ่งแนวคิดทั้งหมดนี้ปรากฏอยู่ใน ‘โฮโมดีอุส
ประวัติย่อของวันพรุ่งนี้’ นั่นเอง

‘โฮโมดีอุส’ พาเรามองไปในอนาคตท่เราต้องเผชิญหน้ากับความท้าทาย

ต่างๆ พาเราส�ารวจโครงการต่างๆ ซึ่งจะส่งผลกับคริสต์ศตวรรษที่ 21 และ

หลังจากน้น ต้งแต่การเอาชนะความตาย ความเป็นอมตะ อภิมนุษย์ ไปจนถึง


การสร้างชีวิตเทียม และใคร่ครวญเร่องท่ว่าสุดท้ายแล้วมนุษย์อาจกลาย




เป็นพระเจ้าเสียเอง รวมถึงคาถามสาคัญท่ว่า เราจะป้องกันโลกจากอานาจ

การทาลายล้างของเราเองได้อย่างไร และอนาคตของพวกเราจะเป็นเช่นใดแน่

นี่เป็นหนังสือส�าคัญอีกเล่มของแฮรารีที่ทุกท่านรอคอย





ขอเชิญผู้อ่านด่มดาไปกับเร่องราวของตัวตน จิตสานึก และเชาวน์









ปญญา ทองไปในเรองเลาของวทยาศาสตร ปรชญา และอนาคต ‘มนษยชาต ิ
ก�าลังมุ่งหน้าไปที่ใด’ นี่คือหนังสือที่จะท�าให้คุณไม่คาดคิด และจะท�าให้คุณ

คิดในแบบท่คุณไม่เคยคิดมาก่อน พรุ่งน้ในศตวรรษน้และพรุ่งน้ในศตวรรษ



ข้างหน้าของมนุษยชาติจะเป็นเช่นใด ไม่ว่าตัวตนและความเช่อของคุณจะ

เป็นเช่นไร เรามั่นใจว่า ‘โฮโมดีอุส ประวัติย่อของวันพรุ่งนี้’ จะเปลี่ยนแปลง
บางอย่างในตัวคุณ

เม่อคุณลืมตาต่นข้นมา บิดแขนขา และขย้ตา... คุณอาจพบว่าทุก



อย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ขอให้ทุกท่านโชคดีในวันพรุ่งนี้
ส�ำนักพิมพ์ยิปซี

ค�น�ผู้แปล







หนังสือ เซเปยนส ประวัติย่อมนุษยชาติ ของ ยูวัล โนอาห แฮรารี



ท�าสถิติหนังสือเบสต์เซลเลอร์ทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทย ขณะที่







เขยนค�าน�านี้ เซเปียนส์ ตดอยู่ในรายชอหนงสอขายด 20 อนดับแรก

ของ Readery มาครบปีพอดิบพอดี โดยไม่หลุดจากอันดับเลย ขณะท ่ ี

21 บทเรียนสาหรับศตวรรษท่ 21 ท่ทางสานักพิมพ์ยิปซีเลือกมาให้แปลเป็น



เล่มถัดมาก็ติดอยู่ในอันดับอย่างต่อเนื่องมาถึงครึ่งปีเช่นกัน
บัดนี้ โฮโมดีอุส ประวัติย่อของวันพรุ่งน หนังสือเล่มท่ 3 ของ



ผู้เขียนคนเดียวกันก็อยู่ในมือท่านแล้ว

ท่านท่เป็นแฟนหนังสือของแฮรารีคงพอทราบอยู่แล้วว่า เซเปียนส์


กล่าวถึงอดีตของมนุษย์ ขณะท 21 บทเรียนฯ วิเคราะห์ปัญหาใหญ่ระดับโลก
ท่มองเห็นกันอยู่ตรงหน้า ใน โฮโมดีอุส ศาสตราจารย์แฮรารีจะพาเรามองไป



ยังอนาคตท่ไกลออกไปพอสมควร ไกลพอท่หลายคนจะบอกว่า ไม่เช่อว่าส่งท ่ ี










เขียนถึงในหนังสอเล่มน้ทราวกับเป็น ‘ไซไฟ’ หรอนยายวทยาศาสตร จะเกด




ข้นจริง และเป็นแค่เพียงความฝันเฟื่องของนักประวัติศาสตร์คนหน่งเท่าน้น
แต่ก็คงเป็นดังที่ผู้เขียนย�้าอยู่เป็นระยะๆ ตลอดเล่ม นั่นก็คือเรื่องที่
กล่าวถึงน้ไม่จาเป็นต้องเกิดข้นจริง มันเป็นแค่เพียง ‘อนาคตทางเลือก’ แบบ



หนึ่งเท่านั้น และการศึกษาประวัติศาสตร์จะมีประโยชน์อะไรหากไม่สามารถ
น�ามาใช้ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้น ในแง่มุมหนึ่งหนังสือเล่มนี้จึง
ไม่ได้เป็น ‘คาพยากรณ์’ แบบเดียวกับพระคัมภีร์ในศาสนาต่างๆ แต่เป็น

‘ค�าเตือน’ และการชี้ให้เห็น ‘ความเป็นไปได้ในทางเลือกอื่นๆ’ ซึ่งเป็นเรื่อง


จ�าเป็นสาหรับมนุษยชาติท่กาลังจะก้าวข้ามปัญหาใหญ่ในอดีตอย่างโรคระบาด

ใหญ่ สงคราม และความอดอยาก ไปสู่ความเป็นอมตะ ความผาสุก และ
ความศักดิ์สิทธิ์ ที่ท�าให้มนุษย์ในอนาคตเป็นพระเจ้ามากเสียยิ่งกว่าพระเจ้า
ในเรื่องเล่า ต�านาน หรือเทพปกรณัมที่เคยได้ยินหรือได้อ่านกันมา

ผูแปลขอขอบคุณ คุณคธาวุฒิ เกนุย แหงส�านักพิมพยิปซีที่ไววางใจ





ให้พวกเราได้แปลหนังสือเล่มน้ ขอบคุณ คุณสุรชัย พิงชัยภูมิ บรรณาธิการ

บริหาร และกองบรรณาธิการทุกท่านท่ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจ ทางานภายใต้








ข้อจากดของเวลา ซงไม่ง่ายเลยกับหนังสอท่มเน้อหาครอบคลมความรู้



หลากหลายสาขาเป็นอย่างย่ง โดยเฉพาะเทคโนโลยีสมัยใหม่แบบต่างๆ



ขอบคุณ คุณวาสนา ชูรัตน์ และคุณอรทัย ดีสวัสด์ ท่ช่วยประสานงาน
อย่างเรียบร้อยดีย่ง และขอขอบคุณทีมงานของสานักพิมพ์ยิปซีทุกท่านท ี ่


ไม่อาจกล่าวนามได้หมดที่ท�าให้หนังสือเล่มนี้ส�าเร็จออกมาได้

สุดทาย ขอขอบคุณ คุณวราภรณ์ ชุมเกษียร รวมถึงบรรดาน้องแมว
ที่บ้าน และพ่อป๊อกกับน้องพาย ลูกสาวผู้น่ารัก ที่เป็นก�าลังใจให้เสมอมา
น�ำชัย ชีววิวรรธน์
ธิดำ จงนิรำมัยสถิต

สารบัญ




1 วาระใหม่ของมนุษย์ 13
ส่วนที่หนึ่ง: โฮโมเซเปียนส์ขึ้นครองโลก

2 แอนโทรโปซีน 107
3 ประกายชีวิตมนุษย์ 145
ส่วนที่สอง: โฮโมเซเปียนส์ให้ควำมหมำยแก่โลก

4 นักเล่าเรื่อง 215
5 คู่พิลึก 243
6 กติกาแห่งความทันสมัย 273

7 การปฏิวัติของมนุษยนิยม 299
ส่วนที่สำม: โฮโมเซเปียนส์สูญเสียกำรควบคุม
8 ระเบิดเวลาในห้องปฏิบัติการ 369
9 การแยกตัวครั้งใหญ่ 397

10 มหาสมุทรแห่งสติสัมปชัญญะ 451
11 ศาสนาข้อมูล 471



เชิงอรรถ 509
กิตติกรรมประกำศ 560
ที่มำภำพประกอบ 563

ดัชนี 566



1





The New Human Agenda

วาระใหม่ของมนุษย์












ในยามอรุณรุ่งแห่งสหัสวรรษท 3 มนุษยชาติตนขึ้น บดแขนขา และ
ถูตาไปมา ฝันร้ายน่าสะพรึงกลัวยังคงหลงเหลือค้างคาอยู่ในใจ “มีบางอย่าง


ติดอยู่กับเง่ยงท่ปลายลวด และมีเมฆรูปเห็ดใหญ่ยักษ์ โอ้ ท่แท้ก็เป็นแค่


ฝันร้าย” จากน้นก็เดินไปห้องน�า มนุษยชาติจะล้างหน้า ตรวจดรอยเห่ยวย่น



ในกระจก ชงกาแฟสักถ้วย และเปิดสมุดบันทึกประจ�าวันออกดู “มาดูกัน
หน่อยว่าวันนี้จะมีวาระอะไรบ้าง”




นานหลายพันปีแล้วท่คาตอบสาหรับคาถามน้ยังไม่เคยเปล่ยนแปลงไป


เลย โจทย์ปัญหาเดิมๆ 3 เรื่องครอบง�าผู้คนในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ในจีน
คนอินเดียในยุคกลาง และคนอียิปต์ยุคโบราณ ความอดอยาก โรคระบาด
ใหญ่ และสงครามยังคงอยู่ในอันดับต้นๆ ของรายการเสมอมา มนุษย์นับ
ชั่วรุ่นแล้วชั่วรุ่นเล่าเฝ้าสวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้า เทวดา และนักบุญทุกองค์


กับประดิษฐ์เคร่องมือ ระบบสถาบันและสังคมจานวนนับไม่ถ้วน แต่พวกเขาก ็
ยังคงล้มตายนับล้านๆ คนจากความอดอยาก โรคระบาด (epidemics) และ




ความรนแรง นกคดและศาสดาพยากรณ์จานวนมากสรปว่าความอดอยาก



โรคระบาด และสงครามเป็นส่วนหน่งในแผนการจักรวาลท่พระเจ้าทรงใส่
แทรกเข้ามา หรือไม่ก็เป็นลักษณะอันไม่สมบูรณ์แบบของพวกเราเอง และ
เราจะหลุดพ้นสิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้เลยจวบจนถึงวันสิ้นโลก
กระน้นในยามอรุณรุ่งแห่งสหัสวรรษท่ 3 มนุษยชาติต่นขึ้นพร้อม



กับการตระหนักรู้อย่างน่ามหัศจรรย์ใจย่ง คนส่วนใหญ่อาจยากนักท่จะ





คิดถึงเร่องน้ แต่ในไม่ก่ทศวรรษท่ผ่านมาน้ เราได้ควบคุมเร่องความอดอยาก




14 โฮโมดีอุส



โรคระบาด และสงครามได้แล้ว แน่นอนว่าปัญหาเหล่าน้ไม่ได้รับการแก้ไขจน
หายไปอย่างสมบูรณ์ แต่พวกมันก็เปลี่ยนรูปแบบไปจากเรื่องตามธรรมชาติ

ที่ไม่อาจเข้าใจและไม่อาจควบคุมได้ เราไม่จ�าเป็นต้องสวดอ้อนวอนเทพเจ้า

หรือนักบุญองค์ใดให้มาช่วยเหลือพวกเรา เรารู้ดีทีเดียวว่าจะต้องทาอย่างไร
บ้างเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความอดอยาก โรคระบาด และสงคราม และเราก็

มักจะท�าได้ส�าเร็จเสียด้วย

จริงอยู่ท่ว่ายังคงมีความล้มเหลวคร้งสาคัญๆ แต่เม่อใดก็ตามท่เผชิญ






หน้ากับความล้มเหลวทานองน้ เราจะไม่ยักไหล่แล้วกล่าวว่า “น่นแหละ โลก

ที่ไม่สมบูรณ์แบบของเราก็เป็นอย่างนี้แหละ” หรือ “พระเจ้าจะทรงช่วยเรา”






แทนท่จะทาเช่นน้น เม่อใดก็ตามท่เร่มควบคุมความอดอยาก โรคระบาด
หรือสงครามไม่ได้ เราก็จะรู้สึกได้ว่าต้องมีบางคนทาอะไรผิดพลาด เราต้ง ั

คณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบ และสัญญากับตัวเองว่าคราวหน้าเราจะ

ต้องทาได้ดีกว่าน้ อันท่จริงแล้วเราก็ทาเช่นน้นได้จริงๆ ภัยพิบัติทานองน







เกิดน้อยลงและน้อยลงเรื่อยๆ จริงๆ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ใน
ปัจจุบันมีคนตายจากการกินมากเกินไปมากเสียย่งกว่ากินน้อยเกินไป ม


คนแก่ตายมากกว่าเป็นโรคติดเชื้อตาย และมีคนที่ฆ่าตัวตายมากกว่าที่ตาย
จากการโดนทหาร ผู้ก่อการร้าย และอาชญากรฆ่ารวมกันเสียอีก ในตอน


ต้นครสต์ศตวรรษท 21 คนโดยทวไปมโอกาสตายจากการกนอาหารใน





แมคโดนัลด์มากเกินไปมากกว่าท่จะตายจากความขาดแคลน โรคอีโบลา

หรือการโจมตีโดยอัลกออิดะฮ์เสียอีก
ด้วยเหตุนี้เองแม้บรรดาประธานาธิบดี ซีอีโอ และนายพลจะยังคงมี

ตารางงานประจาวันท่เต็มไปด้วยวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและความขัดแย้ง

ทางการทหาร แต่ในระดับขนาดจักรวาลของประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติน้น


พวกเขาก็ถือได้ว่าเร่มเปิดตาข้นและมองออกไปยังเส้นขอบฟ้าใหม่ๆ หากเรา

ควบคุมความอดอยาก โรคระบาด และสงครามได้อย่างแท้จริง จะมีอะไร

ท่จะมาแทนท่พวกมันในฐานะวาระสูงสุดสาหรับมนุษย์ได้? ไม่ต่างอะไรไป


จากนักผจญเพลิงท่อยู่ในโลกท่ปราศจากไฟ มนุษยชาติในคริสต์ศตวรรษ


ที่ 21 จ�าเป็นต้องถามตัวเองด้วยคาถามท่ไม่เคยปรากฏมาก่อนว่าเราจะทา �



วาระใหม่ของมนุษย์ 15






อย่างไรกันต่อไปดี? ในโลกท่ทุกคนมีสุขภาพดี ม่งค่ง และเป็นหน่งเดียวกัน







ยงจะต้องมีเรองใดให้เราต้องเอาใจใส่และขบคดอก? คาถามน้จะกลาย







มาเป็นเร่องทเร่งด่วนมากข้นเป็นสองเท่าเม่อเรามีพลังอานาจอันยงใหญ่

แบบใหม่ที่เทคโนโลยีชีวภาพ (biotechnology) และเทคโนโลยีสารสนเทศ



(information technology) มอบให้ เราจะใช้พลังอานาจท้งหมดน้นอย่างไร?




ก่อนท่จะตอบคาถามน้ เราจาเป็นต้องกล่าวถึงเร่องความอดอยาก

โรคระบาด และสงครามก่อนสักเล็กน้อย สาหรับหลายๆ คนนั้นคากล่าวอ้าง


ท่ว่าเราควบคุมพวกมันได้แล้วถือว่าอุกอาจ ไร้เดียงสาอย่างท่สุด หรือไม่ก ็




อาจจะใจจืดใจดา ก็แล้วคนอีกนับพันๆ ล้านคนท่ยังต้องมีชีวิตอยู่อย่างขัดสน
จากรายได้น้อยกว่าวันละ 2 เหรียญล่ะ? ไหนจะวิกฤตการณ์โรคเอดส์ที่เกิด

ข้นในแอฟริกา กับสงครามปะทุรุนแรงในซีเรียและอิรักอีกล่ะ? การท่จะกล่าว

ถึงความกังวลใจเหล่านี้อย่างเหมาะสมได้ เราควรพิจารณาให้ละเอียดลงไป


อีกนิดถึงโลกในยุคต้นคริสต์ศตวรรษท่ 21 จากน้นจึงจะไปเร่มการสารวจ


วาระแห่งมนุษยชาติในอีกไม่กี่ทศวรรษที่จะมาถึง
The Biological Poverty Line
เส้นความยากจนทางชีววิทยา






เรามาเรมกนทเรองความอดอยากทเป็นศตรอันร้ายกาจทสดของมนษย-















ชาติมานานหลายพันปี กระท่งเม่อเร็วๆ น้เองท่คนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ท



ขอบปลายสดของเส้นความยากจนทางชีววทยา ซงใต้เส้นนลงไปผ้คนต้อง




จ�านนต่อภาวะทุพโภชนาการ (malnutrition) และความหิวโหย ความผิด


พลาดเพียงเล็กน้อยหรือแม้แต่โชคร้ายเพียงนิดเดียวก็อาจเป็นด่งคาสั่ง
ประหารชีวิตคนท้งครอบครัวหรือท้งหมู่บ้านได้เลยทีเดียว หากมีฝนตกหนัก


ท�าลายผลิตผลข้าวสาลี หรือมีโจรปล้นฝูงแพะของคุณไป คุณและคนที่คุณ

รักก็อาจจะอดอยากจนตายได้ โชคร้ายและความโง่เง่าท่ผสมรวมกันของ

คนหมู่มากอาจส่งผลให้เกิดความอดอยากคร้งใหญ่ หากความแห้งแล้งแสน

16 โฮโมดีอุส


สาหัสเข้าโจมตีอียิปต์โบราณหรืออินเดียในยุคกลาง ก็ไม่ถือเป็นเรื่องแปลก
ใดเลยที่ประชากรราว 5 หรือ 10 เปอร์เซ็นต์จะล้มตายลง อาหารกลายเป็น






ของหายาก การขนส่งก็เช่องช้าเกินไป ขณะท่การจะนาเข้าอาหารมาน้นก
แพงเกินกว่าจะจ่ายไหว และรัฐบาลก็อ่อนแอเกินกว่าจะช่วยเหลือใดๆ ได้

หากเปิดหนังสือประวัติศาสตร์สักเล่มดู คุณก็น่าจะเปิดไปพบเร่อง

สยองขวัญเก่ยวกับประชากรผู้อดอยากท่คลุ้มคลั่งจากความหิวโหย ในเดือน

เมษายน ค.ศ. 1694 เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสในเมืองโบเวส์ (Beauvais) อธิบาย
เกี่ยวกับผลกระทบของความอดอยากและราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้น โดยกล่าว






ว่าท่วท้งเมืองในตอนน้เต็มไปด้วย “วิญญาณยากจนจานวนนับไม่ถ้วนท

อ่อนระโหยจากความหิวและน่าเวทนาจวนเจียนตายจากความต้องการ
เพราะไม่มีท้งหน้าท่การงานหรืออาชีพใดๆ พวกเขาขาดเงินใช้ซ้อขนมปัง





พวกเขามองหาส่งท่จะมาประทังชีวิตไปอีกเพียงเล็กน้อยและแก้ความ



กระหายอยากของพวกเขาไปได้บ้าง พวกคนจนเหล่านต้องกนสงทสกปรก





อย่างแมวและหนังม้าท่ถลกออกกองท้งไว้กับมูล [ยังมีอีกบางคนท่กิน]




เลือดท่ไหลหล่งออกจากแม่วัวหรือพ่อวัวท่ถูกเชือด รวมไปถึงเศษเล็กเศษ

น้อยจากครัวท่ท้งไว้ตามข้างถนน มีคนจนอีกพวกที่ต้องกินพวกพืชมีพิษ


วัชพืช หรือรากไม้ ไม้ล้มลุก โดยน�ามาต้มในน�้า” 1



ฉากเหตุการณ์คล้ายคลึงกันเกิดข้นท่วฝร่งเศส อากาศเลวร้ายได้
ท�าลายผลผลิตไปทั่วอาณาจักรใน 2 ปีก่อนหน้านั้น จนเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ
ปี ค.ศ. 1694 ยุ้งฉางก็ว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์ คนรวยที่กักตุนอาหารอะไร

ก็ตามเอาไว้ต้งราคาไว้สูงลิบล่วและคนจนก็ตายลงเป็นจานวนมาก คน



ฝร่งเศสราว 2.8 ล้านคนหรือ 15 เปอร์เซ็นต์ของประชากรท้งหมดอด

อาหารจนตายระหว่างปี ค.ศ. 1692–1694 ขณะที่สุริยราชา พระเจ้าหลุยส์


ท่ 14 ยังคงสาราญพระทัยอยู่กับเหล่านางกานัลในพระราชวังแวร์ซาย ใน

ปีถัดมาคือปี ค.ศ. 1695 ทุพภิกขภัยเข้าโจมตีเอสโตเนีย (Estonia) สังหาร



ประชากรไปหน่งในห้า ในปี ค.ศ. 1696 ถึงคราของฟินแลนด์ท่ผู้คนราวหน่ง

ในส่ถึงหน่งในสามต้องเสียชีวิต สกอตแลนด์ต้องทนทุกข์จากความอดอยาก


วาระใหม่ของมนุษย์ 17





ยากแค้นอย่างหนักระหว่างปี ค.ศ. 1695–1698 บางพ้นท่สูญเสียคนในพ้นท ี ่
ไปมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ 2
ผู้อ่านส่วนใหญ่อาจรู้ว่าจะรู้สึกเช่นไรหากไม่ได้กินอาหารกลางวัน



หรือต้องอดอาหารในวันหยุดสาคัญทางศาสนา หรือต้องกินน�าปั่นผักไปสอง
สามวันในฐานะส่วนหนึ่งของอาหารอัศจรรย์แบบใหม่ แต่จะรู้สึกอย่างไรกัน
แน่เม่อไม่ได้กินอาหารนานหลายวันและคิดไม่ออกเลยว่าจะได้อาหารสัก

เศษเสี้ยวในมื้อต่อไปจากที่ใด? คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ไม่เคยประสบกับ


ความทุกข์ยากแสนสาหัสทานองน้ แต่อนิจจา บรรพบุรุษของเรากลับคุ้นเคย




กับเร่องพวกน้เป็นอย่างดี ในยามท่พวกเขาร้องคราครวญต่อพระผู้เป็นเจ้า

ว่า “ทรงโปรดช่วยให้พวกเราพ้นจากความอดอยากเถิด!” นั้น เรื่องนี้คือสิ่ง
ที่พวกเขาคิดอยู่ในใจ

ระหว่างช่วงเวลาร้อยปีท่ผ่านมา ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลย ี


เศรษฐกิจ และการเมืองทาให้เกิดตาข่ายนิรภัยท่แข็งแรงแยกมนุษยชาต ิ
ออกจากเส้นความยากจนทางชีววิทยา ภาวะข้าวยากหมากแพงในคนหมู่มาก
ยังคงโจมตีบางพ้นท่อยู่เป็นคร้งคราว แต่ในกรณีเหล่าน้ต้องถือเป็นข้อยกเว้น





และส่วนใหญ่แล้วก็มีสาเหตุมาจากการเมืองของมนุษย์มากกว่าท่จะเนื่องจาก
มหันตภัยทางธรรมชาติ ไม่มีภาวะข้าวยากหมากแพงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ

ในโลกอีกต่อไปแล้ว จะมีก็แต่ภาวะข้าวยากหมากแพงท่เป็นผลจากการเมือง
เท่านั้น หากผู้คนในซีเรีย ซูดาน และโซมาเลียต้องอดอยากจนตาย นั่นก็
เพราะนักการเมืองต้องการให้พวกเขาเป็นเช่นนั้น
ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกนี้ แม้อาจจะมีคนที่ตกงานและสูญเสียทุก


ส่งทุกอย่างไป เขาก็ยังไม่น่าจะตายจากความหิวโหยอยู่ดี แม้แผนประกันภัย
ของเอกชน หน่วยงานของรัฐ และองค์กรนอกภาครัฐหรือเอ็นจีโอ (NGOs)
จะช่วยให้เขาหายยากจนไม่ได้ แต่องค์กรเหล่าน้ก็อาจจุนเจือให้เขาได้





แคลอรต่อวนมากพออย่รอดต่อไป เมอมองแบบภาพรวมแล้ว เครอข่าย


การค้าระดับโลกเปล่ยนความแห้งแล้งและนาท่วมให้กลายเป็นโอกาสทาง





ธุรกิจ ทาให้เอาชนะการขาดแคลนอาหารได้อย่างรวดเร็วและไม่ส้นเปลือง
แม้กระท่งในยามเกิดสงคราม แผ่นดินไหว หรือคล่นสึนามิทาลายล้างไป




18 โฮโมดีอุส


ทั่วประเทศ ความช่วยเหลือจากนานาชาติก็มักช่วยป้องกันความอดอยากได้

ส�าเร็จ แม้ว่ามีคนนับร้อยๆ ล้านคนท่ยังคงหิวโหยอยู่แทบทุกวัน แต่ใน
ประเทศส่วนใหญ่มีคนเพียงหยิบมือที่อดอยากจนเสียชีวิต
แน่นอนว่าความยากจนเป็นสาเหตุทาให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพอ่นๆ



อีกมากมาย และภาวะทุพโภชนาการทาให้ค่าอายุขัยคาดหมาย (life expec-
tancy) สั้นลงแม้แต่ในประเทศที่ร�่ารวยที่สุดในโลกก็ตาม เช่น ในฝรั่งเศส
*

มีคน 6 ล้านคน (ราว 10 เปอร์เซ็นต์ของประชากร) ท่ต้องทนทุกข์จากความ



ไม่ม่นคงด้านโภชนาการ (nutritional insecurity) พวกเขาต่นข้นมาในตอน


เช้าโดยไม่รู้ว่าจะมีอะไรกินในตอนเท่ยงหรือไม่ บ่อยคร้งท่พวกเขาหลับไป

ทั้งที่หิว และโภชนาการที่พวกเขาได้รับนั้นก็ทั้งไม่สมดุลและไม่ดีต่อสุขภาพ
มีแป้ง น�้าตาล และเกลือปริมาณมาก แต่มีโปรตีนและวิตามินไม่เพียงพอ
3
กระนั้นความไม่มั่นคงด้านโภชนาการก็ไม่ใช่ความอดอยาก และฝรั่งเศสใน
ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 ไม่เหมือนฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1694 แม้แต่ในย่าน


ท่เส่อมโทรมท่สุดรอบๆ เมืองโบเวส์หรือปารีส ผู้คนก็ไม่ตายเพราะไม่มีอะไร

กินนานหลายสัปดาห์
การแปลงรูปคล้ายๆ กันเกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ อีกจ�านวนมาก แต่

ท่โดดเด่นท่สุดคือจีน นานหลายสหัสวรรษแล้วท่ความอดอยากยากแค้นคืบ











คลานไปทวทกระบอบการปกครองของจน ตงแตจกรพรรดเหลือง (Yellow


Emperor) ไปจนถึงคอมมิวนิสต์จีนแดง ไม่ก่ทศวรรษท่ผ่านมา ค�าว่าประเทศ


จนเป็นคาทมีนยถงการขาดแคลนอาหาร คนจีนนับสิบๆ ล้านคนอดอยาก




จนตายระหว่างการก้าวกระโดดไปข้างหน้าครั้งยิ่งใหญ่ (Great Leap For-


ward) ท่ก่อหายนะใหญ่ และผู้เช่ยวชาญก็ทานายซาๆ เป็นประจาว่า




**
ปัญหามีแต่แย่ลงทุกที ในปี ค.ศ. 1974 ในการประชุมวิชาการอาหารโลก



(World Food Conference) คร้งแรกท่โรม ผู้เข้าร่วมประชุมได้รับการ
* ค่าอายุขัยคาดหมาย (life expectancy) คือค่าอายุโดยเฉลี่ยของคนแต่ละคนที่จะมีชีวิตอยู่ได้ ในชีวิตจริงบางคนอาจอายุสั้น
หรือยาวกว่านี้ได้ตามแต่ปัจจัยที่มีอยู่จ�านวนมาก ค่านี้เปลี่ยนแปลงได้ตามเวลา–ผู้แปล
** The Great Leap Forward เป็นนโยบายเร่งรัดการพัฒนาเศรษฐกิจจีนของเหมาเจ๋อตง แต่ด้วยความผิดพลาดในระบบรายงาน
ของราชการ กลับท�าให้เศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตจากความอดอยากกว่า 45 ล้านคน–ผู้แปล

วาระใหม่ของมนุษย์ 19


เปิดเผยถึงภาพอนาคตที่ได้ท�านายไว้ สิ่งที่พวกเขาได้รับการบอกกล่าวก็คือ









เป็นไปไม่ไดเลยท่จีนจะเลยงปากท้องผคนของตนเองทมีเป็นพนล้านคน และ





ประเทศท่มีประชากรมากท่สุดในโลกกาลังด�าด่งสู่หายนะ อันท่จริงแล้วจีน

กลับกาลังมุ่งหน้าไปสู่ความน่าอัศจรรย์ใจท่สุดทางเศรษฐกิจในประวัติศาสตร์

ต่างหาก นับจากปี ค.ศ. 1974 เป็นต้นมา คนจีนหลายร้อยล้านคนได้รับการ
ยกฐานะจนพ้นจากความยากจน และแม้ว่าจะยังมีคนนับร้อยๆ ล้านคนท ่ ี
ยังคงต้องทนทุกข์จากความขาดแคลนสิ่งจ�าเป็นและภาวะทุพโภชนาการ แต่

เป็นคร้งแรกในประวัติศาสตร์จีนท่ถือว่าปลอดจากความอดอยากยากแค้น

แล้วในปัจจุบัน



อันท่จริงแล้วปัจจุบันน้ประเทศส่วนใหญ่มีปัญหาใหญ่เร่องการกินมาก
เกินควรมากกว่าความอดอยากเสียอีก ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 มารี อ็องตัว


แนตต์ (Marie Antoinette) ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ให้คาแนะนากับบรรดามวลชน



ผ้หิวโหยว่าหากพวกเขาไม่มขนมปังกควรจะหันไปกินเค้กแทน ปัจจบนคน


จนๆ ทาตามคาแนะนาดังกล่าวน้ตรงตามตัวอักษรทีเดียว ขณะท่พวกคนรวย





ท่อาศัยอยู่ในเบเวอร์ลีฮิลส์กินผักกาดหอมและเต้าหู้น่งใส่คีนวา (quinoa)


***
พวกคนจนๆ ในสลัมหรือชุมชนแออัดต่างสวาปามเค้กทวินกี (Twinkie)
ชีโตส แฮมเบอร์เกอร์ และพิซซ่า ในปี ค.ศ. 2014 มีคนมากกว่า 2,100



ล้านคนท่นาหนักเกินมาตรฐาน เทียบกับมีอยู่ 850 ล้านคนท่ต้องทนทุกข์



จากภาวะทุพโภชนาการ มีการคาดหมายกันว่าคร่งหน่งของมนุษยชาติจะม ี
4
น�้าหนกเกนมาตรฐานในปี ค.ศ. 2030 ในปี ค.ศ. 2010 ความอดอยาก


และภาวะทุพโภชนาการรวมกันแล้วฆ่าคนไปราว 1 ล้านคน ขณะที่โรคอ้วน
5
ฆ่าคนไป 3 ล้านคน
*** ไม้ล้มลุกจ�าพวกหนึ่งที่มีต้นก�าเนิดในแถบเทือกเขาแอนดีสในอเมริกาใต้ อยู่ในวงศ์เดียวกับผักโขมและปวยเล้ง นิยมสะกด
กันว่า ‘ควินัว’–ผู้แปล

20 โฮโมดีอุส


Invisible Armadas


กองเรือรบล่องหน



ภายหลังเกิดทุพภิกขภัย ศัตรูท่ย่งใหญ่ท่สุดเป็นรายท่สองของมนุษยชาต ิ





ก็คือโรคระบาดและโรคติดต่อ (infectious diseases) เมืองท่คึกคัก

จอแจเช่อมโยงกันด้วยกระแสอันไม่ขาดสายของพ่อค้าวาณิช เจ้าหน้าท ี ่



และผู้จาริกแสวงบุญ เป็นได้ท้งรากฐานสาหรับอารยธรรมของมนุษย์และ
แหล่งเพาะเชื้อในอุดมคติของเชื้อก่อโรคต่างๆ เพราะเหตุนี้ผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่



ในเอเธนส์สมัยโบราณหรือฟลอเรนซ์ในยคกลางกย่อมรู้ตวดว่าพวกเขาอาจ

จะป่วยและตายในสัปดาห์หน้าได้ หรือโรคระบาดใหญ่อาจจะปะทุข้นอย่าง

ปุบปับและท�าลายทุกคนในครอบครัวลงได้ในคราเดียว
โรคระบาดท�านองนี้ที่โด่งดังที่สุดคือกาฬโรคหรือแบล็กเดธ (Black
Death) ซึ่งเริ่มขึ้นในราวทศวรรษ 1330 ที่ไหนสักแห่งในเอเชียตะวันออก


หรือไม่ก็เอเชียกลาง เม่อแบคทีเรียเยอร์สิเนียเพสทิส (Yersinia pestis)




ท่อาศัยอยู่ในตัวหมัดเร่มติดเช้อในตัวคนท่โดนตัวหมัดกัด จากจุดต้งต้น

ท่ว่าน้โรคก็ระบาดราวกับข่ควบไปบนกองทัพหมัดและหนู แพร่กระจาย



อย่างรวดเร็วไปทั่วทวีปเอเชีย ยุโรป และแอฟริกาเหนือ โดยใช้เวลาแค่ไม่
ถึง 20 ปีก็ไปถึงชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก มีผู้คนราว 75–200 ล้านคน

*
เสียชีวิต ถือเป็นจานวนมากกว่าหน่งในส่ของยูเรเชีย (Eurasia) ในอังกฤษ


จาก 10 คนจะมี 4 คนที่เสียชีวิต และประชากรลดลงจากที่มีอยู่เป็นจ�านวน
มากในช่วงก่อนการระบาดของโรคที่ราว 3.7 ล้านคน เหลือแค่ 2.2 ล้านคน

หลังการระบาด ส่วนเมืองฟลอเรนซ์ก็สูญเสียคนท้องถ่นไป 50,000 คน
จากที่มีอยู่ 100,000 คน
6


เจ้าหน้าท่ผู้รับผิดชอบต่างหมดหนทางและทาอะไรไม่ได้เลยแม้แต่




น้อยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับภยพิบัตแบบนี ท่ทาได้กมีเพียงแค่การจดให้





* มหาทวีปท่รวมทวีปยุโรปและเอเชียเข้าด้วยกัน มักใช้เป็นชื่อเรียกตามภูมิศาสตร์โลกหลายร้อยล้านปีก่อนท่ยังไม่แยกทวีปยุโรป
และทวีปเอเชียออกจากกันแบบในปัจจุบัน–ผู้แปล

วาระใหม่ของมนุษย์ 21



มวลชนมาสวดมนต์และร่วมขบวนแห่กน พวกเขาคิดไม่ออกเลยว่าจะหยุด


การแพร่กระจายระบาดใหญ่ไปท่วของโรคน้ได้อย่างไร ไม่ต้องไปพูดถึงว่า
จะรักษาโรคน้ได้อย่างไร ก่อนเข้าสู่ยุคใหม่มนุษย์ยังกล่าวโทษโรคดังกล่าว

ว่ามีสาเหตุมาจากอากาศเสีย มารร้าย และเทพพิโรธ และไม่เคยจะสงสัย




เลยว่าอาจมีส่งท่เรียกว่าแบคทีเรียกับไวรัสอยู่ ผู้คนต่างพร้อมท่จะเช่อว่าม ี
เทวดาและนางฟ้า แต่พวกเขากลับไม่อาจจินตนาการได้ว่าตัวหมัดเล็กจ๋วหรือ

น�้าเพียงหยดเดียวอาจจะเต็มไปด้วยกองทัพวายร้ายนักล่าสังหารได้อย่างไร
แบล็กเดธไม่ได้เป็นแค่เหตุการณ์เด่ยวๆ และไม่ได้เป็นแม้กระทั่งโรค



ระบาดท่ร้ายแรงท่สุดในประวัติศาสตร์ ยังมีโรคระบาดใหญ่ท่ก่อความเสีย

หายหนักกว่าจู่โจมทวีปอเมริกา ทวีปออสเตรเลีย และหมู่เกาะแปซิฟิก โดย


เกิดข้นติดตามมาหลังการมาถึงของชาวยุโรปพวกแรก เหล่านักสารวจและ

ผู้ต้งรกรากไม่รู้ตัวเลยว่าพวกเขาได้นาเอาโรคติดเช้อชนิดใหม่ๆ ท่พวกคน




พ้นเมืองไม่เคยมีภูมิต้านทานมาก่อนติดตัวมาด้วย ส่งผลให้มีประชากร
พื้นเมืองมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ที่เสียชีวิต 7

ในวันท่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1520 มีกองเรือเล็กของสเปนท่ออกจาก

เกาะคิวบามุ่งสู่เม็กซิโก กองเรือบรรทุกทหาร 900 นายพร้อมม้า ปืน และ


ทาสแอฟริกันไม่ก่คน ในกลุ่มทาสน้มีคนหน่งคือฟรานซิสโก เดอ เอเกีย







(Francisco de Eguía) มสงของบรรทกไปกบตวทเป็นอนตรายมากยง





ฟรานซิสโกเองก็ไม่รู้ตัวว่าท่ามกลางเซลล์นับล้านล้านเซลล์ของเขามีระเบิด
เวลาชีวภาพเดินอยู่ มันคือไวรัสไข้ทรพิษหรือฝีดาษ (smallpox virus) หลัง



จากฟรานซิสโกข้นฝั่งท่เม็กซิโก ไวรัสก็เร่มแบ่งตัวเพ่มจานวนแบบทวีคูณใน



ร่างกายของเขา สุดท้ายแตกออกให้เห็นเป็นผ่นน่าเกลียดน่ากลัวไปตามผิวหนัง
ทั่วตัว ฟรานซิสโกป่วยนอนพักในเตียงของบ้านครอบครัวอเมริกันพื้นเมือง


รายหน่งในเมืองเซมปัวลัน (Cempoallan) เขาทาให้สมาชิกในครอบครัวน้น


ติดโรคไปด้วย แล้วจึงลามติดไปยังเพ่อนบ้าน ภายในเวลา 10 วัน เซมปัวลัน

ก็กลายเป็นสุสาน ผู้ล้ภัยแพร่กระจายโรคจากเซมปัวลันไปยังเมืองใกล้เคียง




เมืองแล้วเมืองเล่าท่ผู้คนล้มตายจากโรคระบาด ทาให้เกิดคล่นผู้ล้ภัยท


น่ากลัวซึ่งมีโรคติดตัวไปด้วยแพร่กระจายไปทั่วเม็กซิโกและไกลเกินกว่านั้น

22 โฮโมดีอุส


ชาวมายา (Maya) ในคาบสมุทรยูคาทัน (Yucatán Peninsula) เช่อ

ว่ามีมารอยู่ 3 ตนคือ เอ๊กเพตซ์ (Ekpetz) อูซานน์กัก (Uzannkak) และ

โซอากัก (Sojakak) ซึ่งจะโบยบินจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่งใน
ยามค�่าคืนและท�าให้ผู้คนติดโรคเจ็บป่วย ส่วนพวกแอซเท็กก็กล่าวโทษเทพ
เตซคาทลิโปกา (Tezcatlipoca) และซิเปโตเตก (Xipetotec) หรือบางทีก็



กล่าวโทษมนต์ดาของพวกคนขาว เม่อไปปรึกษาพวกพระและหมอก็ได้รับคา �

แนะนาให้สวดอ้อนวอน อาบนาเย็น ถูตัวด้วยยางมะตอย (bitumen) หรือ


*
ไม่ก็ป้ายผงที่ท�าจากแมลงปีกแข็งสีด�าบดตรงต�าแหน่งที่ปวด แต่ไม่มีอะไรที่
ช่วยได้เลย มีศพนับหม่นๆ ศพที่ปล่อยทิ้งให้เน่าเปื่อยอยู่ตามท้องถนน โดย




ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เพ่อนาไปฝัง มีหลายครอบครัวท่ตายยกครัวในเวลา















เพยงไม่กวน และผมีหนาทรับผดชอบกสงใหรอถอนบ้านกองทบเหนอซากศพ



เหล่านั้น แหล่งพักพิงบางแห่งประชากรเสียชีวิตไปถึงครึ่งหนึ่ง
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1520 โรคระบาดแพร่กระจายไปถึงหุบเขา
เม็กซิโก และในเดือนตุลาคม มันก็ผ่านเข้าสู่ประตูเมืองหลวงของแอซเท็ก
คือเตนอชติตลัน (Tenochtitlan) มหานครอันสง่างามที่มีคน 250,000 คน
อาศัยอยู่ ภายในเวลา 2 เดือน อย่างน้อยมีประชากรหนึ่งในสามที่เสียชีวิต
ไป รวมทั้งจักรพรรดิแอซเท็ก คูอิตลาฮวัค (Cuitláhuac) ในเดือนมีนาคม
ค.ศ. 1520 ตอนที่กองเรือของพวกสเปนเดินทางมาถึงนั้น เม็กซิโกคือบ้าน
ของคน 22 ล้านคน แต่เม่อถึงเดือนธันวาคม เหลือคนท่ยังมีชีวิตรอดอยู่


เพียง 14 ล้านคน ฝีดาษเป็นแค่เพียงการกวาดล้างรอบแรกเท่าน้น ขณะ





ท่เจ้านายใหม่ชาวสเปนวุ่นอยู่กับการท�าให้ตัวเองรารวยข้นและบังคับใช้งาน



คนพ้นเมือง ก็มีคล่นพิฆาตของโรคไข้หวัดใหญ่ โรคหัด และโรคติดต่ออ่นๆ
ตามเข้ามาโจมตีเม็กซิโกลูกแล้วลูกเล่า จนเมื่อถึงปี ค.ศ. 1580 ประชากรก็
ลดลงจนเหลือแค่เพียง 2 ล้านคน 8

สองศตวรรษต่อมาในวันท่ 18 มกราคม ค.ศ. 1778 กัปตันเจมส์ คุก

นักส�ารวจชาวอังกฤษเดินทางไปถึงฮาวาย หมู่เกาะฮาวายมีประชากรอยู่กัน


* ยางมะตอย (bitumen) หรือแอสฟัลต์ (asphalt) บางทีก็เรียกว่า ‘นามันดิน’ เป็นของเหลวก่งแข็ง เหนียวหนืด และมีสีดา–ผู้แปล



วาระใหม่ของมนุษย์ 23





อย่างหนาแน่นราวคร่งล้านคน โดยอยู่แยกโดดเด่ยวจากท้งทวีปยุโรปและ
อเมริกา จึงไม่เคยต้องพบเจอกับโรคภัยต่างๆ จากชาวยุโรปและอเมริกัน

กัปตันคุกและคนของเขานาเอาเช้อโรคไข้หวัดใหญ่ วัณโรค และซิฟิลิสไป


ยังฮาวาย นักท่องเท่ยวชาวยุโรปในยุคหลังยังเพ่มโรคไทฟอยด์และไข้ทรพิษ


เมื่อถึงปี ค.ศ. 1853 มีผู้เหลือรอดชีวิตเพียง 70,000 คนในฮาวาย 9
โรคระบาดยังคงสังหารผู้คนอีกหลายสิบล้านคนต่อไปจนถึงคริสต์

ศตวรรษท่ 20 ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1918 ทหารในสนามเพลาะทาง
ตอนเหนือของฝร่งเศสเร่มล้มตายจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ท่รุนแรงเป็นพิเศษ






ซ่งมีช่อเล่นว่า ‘ไข้หวัดใหญ่สเปน’ แนวหน้าดงกล่าวเป็นจุดปลายของ
เครือข่ายอุปทานโลก (global supply network) ที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด




ท่เคยเกิดข้นในโลกนับจวบกระท่งปัจจุบัน ผู้คนและอาวุธหล่งไหลไปยัง


อังกฤษ สหรัฐอเมริกา อินเดีย และออสเตรเลีย ไม่ว่าจะเป็นนามันจาก

ตะวันออกกลาง เมล็ดพืชและเน้อจากอาร์เจนตินา ยางจากมลายา (Malaya)
และทองแดงจากคองโก ต่างก็ได้รับไข้หวัดใหญ่สเปนเป็นการตอบแทน ภาย
ในเวลาเพียงแค่ไม่ก่เดือน ผู้คนราว 500 ล้านคนหรือราวหน่งในสามของ


ประชากรโลกล้วนติดเชื้อไวรัสโรคดังกล่าว ในอินเดียโรคนี้สังหารคนไป 5
เปอร์เซ็นต์ของประชากร (หรือ 15 ล้านคน) ในเกาะตาฮิติ คน 14 เปอร์เซ็นต์
ต้องตายไป ในซามัวอีก 20 เปอร์เซ็นต์ ในเหมืองทองแดงที่คองโก คนงาน
หนึ่งในห้าถึงแก่ชีวิต เมื่อนับจ�านวนรวมกัน โรคระบาดใหญ่ดังกล่าวฆ่าคน


ไประหว่าง 50–100 ล้านคนในเวลาไม่ถึงหน่งปี สงครามโลกคร้งท่ 1 ฆ่าคน

ไป 40 ล้านคนระหว่าง ค.ศ. 1914–1918 10
ควบคู่ไปกับสึนามิของโรคระบาดใหญ่ท่ถาโถมเข้าใส่มนุษยชาติทุกๆ

สองสามทศวรรษ ผู้คนต้องเผชิญหน้ากับคล่นลูกท่เล็กกว่าของโรคติดต่อท่มา



อย่างสมาเสมอ ซ่งฆ่าคนนับล้านคนทุกปี เด็กๆ ท่ขาดภูมิคุ้มกันจะไวต่อโรค








เหล่าน้มากเป็นพเศษ ด้วยเหตน้เองจึงมักจะเรียกโรคเหล่าน้ว่าเป็น ‘โรคของ

วัยเด็ก’ (childhood diseases) นับจวบกระทั่งต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 มี

เด็กๆ ราวหน่งในสามท่ตายก่อนจะได้เป็นผู้ใหญ่ อันเป็นผลเน่องมาจาก


การผสมผสานกันระหว่างภาวะทุพโภชนาการและโรคภัยไข้เจ็บ

24 โฮโมดีอุส



ในศตวรรษท่แล้วมนุษยชาติกลับเปราะบางกับโรคระบาดใหญ่มากข้น

ไปอีก ผลจากการผสมผสานท่เกิดจากประชากรท่เพ่มจานวนมากข้นและการ







เดนทางทดมากขน มหานครสมยใหมอยางโตเกยวหรอคนชาซา (Kinshasa)










*
เปิดโอกาสให้เชื้อโรคมีพื้นที่ล่าเหยื่อที่อุดมสมบูรณ์เกินกว่าฟลอเรนซ์ในยุค
กลางหรือเตนอชติตลันในปี ค.ศ. 1520 และเครือข่ายการขนส่งทั่วโลกใน
ทุกวันน้ก็มีประสิทธิภาพมากเกินกว่าในปี ค.ศ. 1918 มาก ไวรัสไข้หวัดใหญ่

สเปนสามารถเดินทางไปยังคองโกหรือตาฮิติได้ในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง ดัง
น้น เราจึงมีโอกาสท่จะต้องอยู่ในนรกโรคระบาดใหญ่แห่งใดแห่งหน่งหาก



ยังคงมีโรคระบาดร้ายแรงเกิดขึ้นซ�้าแล้วซ�้าเล่า

อย่างไรก็ตาม ท้งอุบัติการณ์ (incidence) และผลกระทบของโรค

ระบาดใหญ่ลดลงอย่างมากในช่วงสองสามทศวรรษท่ผ่านมา โดยเฉพาะ





อย่างย่งอัตราการเสียชีวิตของเด็กท่วโลกถือว่าตาท่สุดต้งแต่เคยมีมา คือม ี

เด็กน้อยกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ที่ตายก่อนโตเป็นผู้ใหญ่ ในประเทศพัฒนาแล้ว
อัตราต�่ากว่า 1 เปอร์เซ็นต์ด้วยซ�้าไป เรื่องมหัศจรรย์นี้เป็นผลมาจากความ
11
ส�าเร็จอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนของการแพทย์ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งช่วย
ให้เรามีการฉีดวัคซีน ยาปฏิชีวนะ สุขอนามัยที่ดีขึ้น และโครงสร้างพื้นฐาน
ด้านการแพทย์ที่ดีขึ้นมาก

ยกตัวอย่าง การรณรงค์ท่วโลกเร่องการฉีดวัคซีนไข้ทรพิษประสบ

ความส�าเร็จมากเสียจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1979 องค์การอนามัยโลกประกาศ







ใหมนุษยชาตมีชยเหนอโรคน และโรคไขทรพษถูกกาจดส้นไปแบบถอนราก




ถอนโคนแล้ว นับเป็นคร้งแรกท่มีการกาจัดโรคท่ก่อการระบาดใหญ่ในหมู่




มนุษย์ออกไปจนหมดสิ้นจากโลกใบนี้ ในปี ค.ศ. 1967 ยังคงมีคนติดเชื้อ


และเป็นโรคไข้ทรพิษอยู่ 15 ล้านคนและในจานวนน้มีอยู่ 2 ล้านคนท ่ ี
เสียชีวิต แต่ในปี ค.ศ. 2014 ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ติดเชื้อหรือเสียชีวิตจาก
โรคไข้ทรพิษ ชัยชนะท่สมบูรณ์แบบย่งน้ทาให้ทุกวันน้องค์การอนามัยโลก





หยุดฉีดวัคซีนโรคไข้ทรพิษแล้ว 12
* คินชาซา เป็นเมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก–ผู้แปล

วาระใหม่ของมนุษย์ 25


ทุกๆ สองสามปีเราจะได้รับสัญญาณเตือนการระบาดของโรคระบาด

ชนิดใหม่ๆ ท่มีศักยภาพสูง เช่น ซาร์ส (SARS) ในปี ค.ศ. 2002/3 ไข้หวัด
นก (bird flu) ในปี ค.ศ. 2005 ไข้หวัดหมู (swine flu) ในปี ค.ศ. 2009/10


และอีโบลา (Ebola) ในปี ค.ศ. 2014 กระน้นก็ยังต้องขอบคุณสาหรับ




มาตรการรับมือต่ออุบัติการณ์ต่างๆ เหล่าน้ท่มีประสิทธิภาพสูง จนทาให้มีเหย่อ
ผู้เคราะห์ร้ายท่โดยเปรียบเทียบแล้วต้องถือว่าเป็นจานวนน้อย เช่น กรณ ี


ของโรคซาร์สท่ในตอนต้นก่อให้เกิดความกลัวว่าจะเป็นแบล็กเดธสมัยใหม่

13
แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยความตายของคนไม่ถึง 1,000 คนทั่วโลก การแพร่
ระบาดของอีโบลาในเดือนกันยายน ค.ศ. 2014 องค์การอนามัยโลกกล่าว



ถึงโรคน้ว่าเป็น “ภัยฉุกเฉินด้านสาธารณสุขท่ร้ายแรงท่สุดท่เคยมีมาใน

ยุคสมัยใหม่” แต่กระน้นก็ตามพอถึงต้นปี ค.ศ. 2015 ก็ควบคุมโรค

14
ระบาดน้ได้ และในเดือนมกราคม ค.ศ. 2016 องค์การอนามัยโลกก็ประกาศว่า

หยุดการระบาดแล้ว มีคนติดเชื้อดังกล่าวไป 30,000 คน (ในจ�านวนนี้ตาย
ไป 11,000 คน) ท�าให้เศรษฐกจของแอฟริกาตะวันตกเสียหายไปอย่าง

มากมายมหาศาล และส่งคลื่นกระแทกของความกังวลใจไปทั่วโลก แต่มัน
ก็ไม่ได้แพร่กระจายไปเกินกว่าแอฟริกาตะวันตก และยอดรวมผู้เสียชีวิต
ก็ยังห่างไกลจากที่ไข้หวัดใหญ่สเปนหรือไข้ทรพิษเม็กซิโกเคยท�าไว้


แม้แต่โศกนาฏกรรมจากโรคเอดส์ท่ดูราวกับเป็นความล้มเหลวคร้ง

ย่งใหญ่ท่สุดทางการแพทย์ในสองสามทศวรรษท่ผ่านมาก็ยังอาจมองได้ว่า






มีสัญญาณของความก้าวหน้าเกิดข้น นับจากการระบาดใหญ่คร้งสาคัญท่เกิด
ขึ้นครั้งแรกในต้นทศวรรษที่ 1980 มีคนมากกว่า 30 ล้านคนที่ตายจากโรค
เอดส์ และมอกหลายสบล้านคนทต้องทนทกข์ทรมานออนแอลงจากความเสย










หายท้งทางกายภาพและจิตวิทยา การทาความเข้าใจและรักษาโรคระบาดใหม่
น้เป็นเร่องยาก เพราะเอดส์เป็นโรคท่มีลักษณะเฉพาะตัวไม่ตรงไปตรงมานัก






ขณะท่คนใดก็ตามท่ติดเช้อไวรัสโรคไข้ทรพิษจะตายในเวลาเพียงไม่ก่วัน แต่



ผู้ป่วยท่มีเช้อเอชไอวี (HIV) ในร่างกายอาจจะดูเป็นปกติอย่างสมบูรณ์แบบ
นานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน จึงท�าให้ติดต่อไปยังคนอื่นได้โดยไม่รู้ตัว
นอกจากนี้แล้วไวรัสเอชไอวีเองก็ไม่ได้ฆ่าผู้ติดเชื้อ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มัน

26 โฮโมดีอุส


ท�าลายระบบภูมิคุ้มกัน (immune system) ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับผลกระทบ








จากโรคอนๆ อีกเปนจานวนมาก โรคทตยภม (secondary diseases) เหล่า






น้เองท่เป็นตัวฆ่าเหย่อจากโรคเอดส์ท่แท้จริง ผลก็คือในตอนท่โรคเอดส์เร่ม



แพร่กระจายน้นก่อให้เกิดความยากลาบากเป็นพิเศษในการทาความเข้าใจ
ว่าก�าลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตอนที่ผู้ป่วย 2 รายเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
กรุงนิวยอร์กปี ค.ศ. 1981 เห็นได้ชัดเจนว่าคนหนึ่งนั้นก�าลังจะเสียชีวิตจาก

โรคปอดบวม ในขณะท่อีกคนจากโรคมะเร็ง ไม่มีหลักฐานใดเลยท่แสดงให้






เห็นวาแทจริงแลวทั้งคูเปนเหยื่อของไวรัสเอชไอวี โดยพวกเขาอาจจะติดเชื้อ
มานานหลายเดือนหรือแม้แต่หลายปีก่อนหน้านั้น 15
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะประสบกับความยากล�าบากเหล่านี้ หลังจากที่

ชุมชนการแพทย์เร่มตระหนักถึงโรคระบาดลึกลับชนิดน้ นักวิทยาศาสตร์ก็ใช้

เวลาแค่เพียง 2 ปีที่จะคัดแยกเชื้อออกมา เข้าใจวิธีการที่ไวรัสแพร่กระจาย
ตัว และหาวิธีที่มีประสิทธิภาพในการยับยั้งการแพร่กระจายของโรคระบาด



ชนิดน้ได้ ใช้เวลาอีกเพียง 10 ปีก็มียาชนิดใหม่หลายชนิดท่เปล่ยนให้โรคเอดส์
ที่เปนดั่งค�าพพากษาประหารชีวตเปลยนไปกลายเปนโรคเรอรง (อยางนอยก ็











ส�าหรับพวกคนรวยๆ ที่มีเงินพอจ่ายค่ารักษา) ลองคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น
16
หากโรคเอดส์ปะทุขึ้นในปี ค.ศ. 1581 แทนที่จะเป็นปี ค.ศ. 1981 มีความ


เป็นไปได้มากท่จะไม่มีใครเลยในยุคน้นหาสาเหตุท่ก่อให้เกิดโรคระบาด

จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งพบ หรือจะหยุดการระบาดได้อย่างไร (ไม่ต้อง
ไปพูดถึงว่ารักษาให้หายได้อย่างไร) ภายใต้สภาวะดังกล่าว เอดส์อาจจะฆ่า
เผ่าพันธุ์มนุษย์ไปได้เป็นสัดส่วนจานวนมาก โดยอาจจะเท่าๆ กับหรือแม้แต่

มากกว่าแบล็กเดธด้วยซ�้าไป
แม้จานวนรวมของผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์จะสูงจนน่ากลัว และแม้ว่าจะม ี

ผู้เสียชีวิตปีละนับล้านคนจากโรคติดเชื้อที่มีมานานแล้ว เช่น มาลาเรีย โรค
ระบาดใหญ่ก็ยังเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของมนุษย์ปัจจุบันน้อยกว่าเม่อ








สหสวรรษกอนเป็นอยางมาก ผ้คนส่วนใหญ่ตายจากความเจ็บปวยทไม่ไดเกด


จากการติดเช้อ เช่น มะเร็ง และโรคหัวใจ หรือไม่ก็แค่จากความชรา (มีหลัก

17
ฐานชัดเจนว่ามะเร็งและโรคหัวใจไม่ใช่โรคแบบใหม่อย่างแน่นอน สามารถ

วาระใหม่ของมนุษย์ 27


สืบย้อนกลับไปได้ถึงยุคโบราณ อย่างไรก็ตาม โดยสัมพัทธ์แล้วในยุคเก่า

ก่อนมีคนเพียงน้อยนิดที่มีอายุยืนยาวมากพอที่จะตายจากโรคเหล่านี้ได้)



คนจานวนมากกลัวว่าเร่องน้จะเป็นแค่เพียงชัยชนะช่วครู่ช่วยาม และ


ญาตินิรนามบางโรคของแบล็กเดธกาลังรอคอยเผยโฉมอยู่ท่วทุกมุมโลก




ไม่มีใครเลยท่จะรับประกันได้ว่าโรคระบาดใหญ่จะไม่กลับมาอีก แต่ก็ม ี
เหตุผลท่ดีพอจะทาให้เช่อได้ว่าสาหรับการงัดข้อระหว่างแพทย์และเช้อโรค





นั้น แพทย์จะท�าได้ดีกว่า โรคติดเชื้อชนิดใหม่ๆ ที่ปรากฏขึ้นส่วนใหญ่แล้ว
ก็เป็นผลลัพธ์จากการกลายพันธ์ในจีโนม (genome) ของเช้อโรค การกลาย
*




พันธุ์เหล่าน้ช่วยให้เช้อโรคกระโดดข้ามจากสัตว์มาสู่คนได้ ช่วยให้เอาชนะ
ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ได้ หรือช่วยให้ต้านทานยา เช่น ยาปฏิชีวนะได้
ทุกวันนี้การกลายพันธุ์แบบนี้ยังอาจจะเกิดขึ้นและอาจแพร่กระจายไปได้เร็ว
18

กว่าในอดีตอีกด้วย เน่องจากเป็นผลกระทบท่มนุษย์กระท�าต่อส่งแวดล้อม



กระน้นในการแข่งขันกับการแพทย์น้น ถึงท่สุดแล้วเช้อโรคก็ยังอาศัยการ



ช่วยเหลือของเงื้อมมือแห่งโชคที่สะเปะสะปะอยู่นั่นเอง
ในทางตรงกันข้าม แพทย์ไม่ได้เพียงแค่พึ่งพาโชคชะตา แต่ยังพึ่งพา
ส่งอ่นอีกด้วย แม้ว่าวิทยาศาสตร์จะเป็นหนี้ต่อการค้นพบโดยบังเอิญอยู่มาก


ก็ตาม แต่แพทย์ก็ไม่ได้แค่โยนสารเคมีชนิดต่างๆ ลงไปในหลอดทดลอง
แล้วหวังว่าจะมีโอกาสได้ยาชนิดใหม่บางอย่าง ในแต่ละปีท่ผ่านไปแพทย์



ได้รวบรวมความรู้ท่ดีมากข้นเร่อยๆ ซ่งพวกเขานามาใช้ออกแบบยาและวิธ ี



การรักษาท่มีประสิทธิภาพมากข้นเร่อยๆ ผลที่ตามมาก็คือแม้ว่าในปี ค.ศ.



2050 ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราจะยังคงต้องเผชิญหน้ากับเช้อโรคท่ปรับตัวได้


ดีข้นอีกมากมาย แต่การแพทย์ในปี ค.ศ. 2050 ก็น่าจะสามารถรับมือกบ


เชื้อโรคพวกนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าทุกวันนี้เช่นกัน 19
ในปี ค.ศ. 2015 แพทย์ประกาศการค้นพบยาปฏิชีวนะรูปแบบใหม่
เอยมชอ เทกโซแบกตน (teixobactin) ซงไม่มแบคทเรยชนดใดมความ












สามารถต้านทานมันได้ นักวิชาการบางคนเชื่อว่าเทกโซแบกตินอาจจะได้รับ
* จีโนม คือสารพันธุกรรมครบถ้วนบริบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่ง–ผู้แปล

28 โฮโมดีอุส




การพิสูจน์ว่าเป็นตัวตัดสินในการต่อสู้กับเช้อโรคพวกท่ต้านยาปฏิชีวนะได้
20

หลากหลายชนิดมากๆ นักวิทยาศาสตร์กาลังพัฒนาวิธีการรักษาแบบ
ใหม่ๆ ชนิดปฏิวัติวงการทีเดียว วิธีการเหล่านี้แตกต่างไปจากการแพทย์ใน


ยุคก่อนหน้าน้อย่างส้นเชิง เช่น มีห้องปฏิบัติการบางแห่งท่สร้างหุ่นยนต์นาโน


(nano-robot) ข้นใช้ในงานวิจัยแล้ว ไม่แน่ว่าสักวันหน่งพวกมันอาจจะ

*


เข้าไปแหวกว่ายอยู่ในกระแสเลือดของพวกเรา คอยจาแนกโรคและฆ่าเช้อ
โรคหรือเซลล์มะเร็ง จุลินทรีย์ (microorganisms) มีประสบการณ์สะสม
21
**










ยาวนาน 4,000 ล้านปในการตอสกบศตรทเป็นสงมชีวตแบบอนทรย แตกลับ







ไม่มีประสบการณ์แม้สักนิดเดียวเลยในการต่อสู้กับนักล่าไบโอนิก (bionic











***


predator) ด้วยเหตนจงน่าจะยากขนเป็นทวคณทจะววฒน์ตวเองไปจน
มีระบบปกป้องตัวเองที่มีประสิทธิภาพ



ดังน้น ขณะท่เราไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะมีการระบาดของอีโบลาคร้ง
ใหม่หรือจะมีสายพันธุ์ไข้หวัดใหญ่ท่ไม่เคยรู้จักแผ่กระจายข้ามโลกและฆ่าคน

เป็นล้านๆ คนอีกหรือไม่ เราก็ไม่ถือว่ามันเป็นภัยพิบัติตามธรรมชาติที่หลีก



เลยงไม่ได้อกต่อไปแล้ว แทนทจะเป็นเช่นนน เรากลบมองว่าเป็นความล้ม





เหลวของมนุษย์ที่ไม่อาจอภัยให้ได้และต้องมีหัวหน้าหน่วยงานต่างๆ ที่ต้อง
มารับผิดชอบ ในช่วงปลายฤดูร้อนปี ค.ศ. 2014 ดูราวกับโรคอีโบลาจะมีชัย


เหนือหน่วยงานสุขภาพของโลกจนเกิดเป็นสัปดาห์ท่น่าต่นตระหนกอยู่สอง

สามสัปดาห์ จึงมีการต้งคณะกรรมการข้นมาตรวจสอบอย่างเร่งด่วน รายงาน

เบื้องต้นที่ตีพิมพ์ในวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 2014 วิพากษ์วิจารณ์องค์การ

อนามัยโลกเร่องการตอบสนองต่อการระบาดของโรคว่าทาได้อย่างน่าผิดหวัง


ต�าหนิว่าการระบาดใหญ่ท่เกิดข้นน้นมาจากการคอร์รัปชันและความไร้



ประสิทธิภาพขององค์การอนามัยโลกสาขาแอฟริกา การวิพากษ์วิจารณ์ยัง





* หุ่นยนต์นาโน คือโครงสร้างบางอย่างท่ทาหน้าท่ได้อย่างจาเพาะและมีขนาดเล็กมาก คือเพียงแค่เศษหน่งส่วนพันล้านส่วน
ของเมตรเท่านั้น–ผู้แปล

** จุลินทรีย์ คือส่งมีชีวิตท่มีขนาดเล็กจนไม่อาจมองเห็นเซลล์เด่ยวๆ ของพวกมันได้ด้วยตาเปล่า เช่น แบคทีเรีย รา และ


ไวรัส–ผู้แปล
*** นักล่าหรือผู้ล่า (predator) หมายถึงสิ่งมีชีวิตที่คอยจับกินสิ่งมีชีวิตอื่น ส่วน ไบโอนิก (bionic) หมายถึงมีลักษณะผสม
ผสาน คือมีส่วนที่เป็นอินทรีย์ (organic) แบบที่พบในสิ่งมีชีวิตทั่วไป (มีโมเลกุลพื้นฐานประกอบด้วยอะตอมคาร์บอนเป็นแกน
กลาง) และส่วนที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ ไฟฟ้า หรือกลไกอื่นที่เป็นแบบอนินทรีย์ (inorganic)–ผู้แปล

วาระใหม่ของมนุษย์ 29




ยกระดับสูงข้นอีกในกลุ่มชุมชนนานาชาติในเร่องการไม่ตอบสนองให้เร็วพอ


และมีมาตรการออกบังคับใช้ไม่ดีพอ การวิพากษ์วิจารณ์ทานองน้มีสมมุติฐานว่า



มนุษยชาติมีความรู้และเคร่องไม้เคร่องมือท่ใช้ป้องกันโรคระบาดได้ แต่
กระน้นก็เกิดโรคระบาดท่เกินควบคุมข้นอันเป็นผลมาจากการไร้ความสามารถ







ของมนุษย์มากกว่าจะเป็นความพิโรธจากส่งศักด์สิทธ์ ในทานองเดียวกัน

ข้อเท็จจริงท่ว่าเอดส์ยังคงติดต่อและฆ่าคนนับล้านในแอฟริกาแถบใต้ทะเล


ทรายซาฮาราอีกนานหลายปีหลังจากท่แพทย์เข้าใจกลไกของมันแล้วก็ถูก
มองอย่างถูกต้องว่าเป็นผลจากความล้มเหลวของมนุษย์เอง มิใช่ผลจากโชคร้าย


ดังน้น ในการด้นรนต่อสู้กับหายนะจากธรรมชาติ เช่น เอดส์และ

อีโบลาน้น มนุษย์ยังรับมือกับระดับความรุนแรงดังกล่าวได้อยู่ แต่หาก

เป็นอันตรายท่ฝังลึกอยู่ในตัวของมนุษย์เองตามธรรมชาติเล่า? เทคโนโลย ี
ชีวภาพ (biotechnology) ท�าให้เราเอาชนะแบคทีเรียและไวรัสได้ แต่ใน

ขณะเดียวกันมันก็ก่อให้เกิดภัยคุกคามท่ไม่คาดฝันกับตัวมนุษย์เองด้วย



วิธีการแบบเดียวกันกับท่ทาให้แพทย์สามารถจาแนกและรักษาโรคใหม่ๆ
ได้อย่างรวดเร็วก็อาจจะท�าให้กองทัพและผู้ก่อการร้ายสามารถท�าวิศวกรรม

ตัดต่อให้เกิดโรคร้ายท่น่ากลัวมากข้นไปอีกและแม้แต่สร้างเช้อโรคท่ทาให้




เกิดวันส้นโลก ดังน้น หากจะมีโรคระบาดใหญ่สาคัญท่ยังคงทาอันตราย





มนุษยชาติในอนาคตต่อไปอีกได้ ก็น่าจะเป็นพวกที่มนุษย์เองสร้างขึ้น เพื่อ


ใช้งานตามจุดมุ่งหมายท่โหดเห้ยมไร้ความปรานี ยุคสมัยท่มนุษยชาติยืนเฝ้า




มองโรคระบาดใหญ่ท่เกิดข้นตามธรรมชาติอย่างส้นหวังอาจหมดไปแล้ว
จนแม้แต่เราเองก็อาจจะคิดถึงพวกมันเหมือนกัน
Breaking the Law of the Jungle

ท�ลายกฎของป า
ข่าวดีเร่องท่สามก็คือสงครามเองก็กาลังจะเลือนหายไปเช่นกัน ตลอดช่วง



ประวัติศาสตร์มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่ใจกับสงครามมากนักเพราะสงคราม

30 โฮโมดีอุส









มลกษณะเป็นเรองช่วครงชวคราวและเอาแน่เอานอนไม่ได้ ความสมพันธ์






ระหว่างประเทศดาเนินไปได้ด้วยกฎของป่า (Law of the Jungle) ท่กล่าวว่า
แม้ระบอบการปกครองสองแบบจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ สงครามก็ยังคง


เป็นทางเลือกแบบหน่งเสมอมา เช่น แม้ว่าเยอรมนีและฝร่งเศสจะอยู่ร่วมกัน
อย่างสงบในปี ค.ศ. 1913 แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าทั้งสองประเทศอาจจะเอามีดจ่อ

คอหอยอีกประเทศได้ตลอดเวลาในปี ค.ศ. 1914 เม่อใดก็ตามท่นักการเมือง

นายพล นักธุรกิจ และพลเมืองที่เป็นสามัญชนวางแผนอนาคต พวกเขาจะ




เผ่อพ้นท่ไว้ในกรณีที่เกิดสงครามด้วยเสมอ นับจากยุคหินไปจนถึงยุคไอนา



และจากอาร์กติกไปจนถึงซาฮารา ทุกคนบนโลกน้รู้ดีว่าประเทศเพ่อนบ้าน


อาจรุกลาดินแดนของประเทศ อาจเอาชนะกองทัพ อาจสังหารผู้คนของ

ประเทศพวกตนและยึดครองผืนแผ่นดินได้ตลอดเวลา

ระหว่างช่วงหลังของคริสต์ศตวรรษท่ 20 ในท่สุดกฎของป่าดังกล่าวก ็

โดนละเมิดหรือไม่ก็เพิกถอนไป พ้นท่ส่วนใหญ่มีบริเวณท่เกิดสงครามน้อยลง



มากกว่าเคย ขณะที่ความรุนแรงในสังคมมนุษย์ยุคเกษตรกรรมโบราณอาจ
ก่อให้เกิดการเสียชีวิตรวมแล้วราว 15 เปอร์เซ็นต์ แต่ความรุนแรงในคริสต์


ศตวรรษท่ 20 กลับทาให้เกิดการเสียชีวิตเพียงราว 5 เปอร์เซ็นต์เท่าน้น และ

ในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตทั่วโลกคิดแล้ว
22


เพียงราว 1 เปอร์เซ็นต์เท่าน้น ในปี ค.ศ. 2012 ท่วโลกมีผู้คนเสียชีวิต
ราว 56 ล้านคน ในจ�านวนนี้ 620,000 คนตายจากความรุนแรงที่เกิดจาก
มนุษย์ด้วยกัน (ตายจากสงคราม 120,000 คน และตายจากอาชญากรรม
อีก 500,000 คน) ในทางตรงกันข้าม มีคนฆ่าตัวตาย 800,000 คน และ

23



มีอีก 1.5 ล้านคนท่ตายจากโรคเบาหวาน ปัจจุบันน้นาตาลอันตรายเสีย
ยิ่งกว่าดินปืนเสียอีก






แต่ท่สาคัญย่งไปกว่าน้นอีกก็คือมีกลุ่มคนส่วนหน่งท่มีจานวนเพ่ม






มากขนเร่อยๆ ท่มองว่าสงครามเป็นแค่เพียงเรืองท่เกินกว่าจะเชอได้ว่าจะ




เกิดขึ้น นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เมื่อรัฐบาล บรรษัท และปัจเจก

ชนพจารณาถงอนาคตอันใกล้ จะมีคนจานวนมากเลยทไม่คิดว่าน่าจะเกิด




สงครามข้น อาวุธนิวเคลียร์เปล่ยนให้สงครามระหว่างมหาอานาจกลายเป็นการ




วาระใหม่ของมนุษย์ 31





ฆ่าตัวตายหมู่อันบ้าคล่ง และด้วยเหตุน้เองจึงบีบให้ชาติมหาอานาจส่วนใหญ่




บนโลกน้ต้องมองหาทางเลือกอ่นที่เอ้อต่อสันติภาพมากกว่ามาใชแก้สงคราม
ความขัดแย้ง ในขณะเดียวกันเศรษฐกิจโลกก็เปล่ยนรูปจากเศรษฐกิจท ่ ี




พ่งพาวัสดุไปเป็นเศรษฐกิจท่พ่งพาความรู้แทน แหล่งท่มาหลักของความ


ม่งค่งก่อนหน้าน้ได้แก่สินทรัพย์ที่เป็นวัตถุ อย่างเหมืองทอง ไร่ข้าวสาลี และ








บ่อนามัน แต่ทุกวันน้แหล่งท่มาหลักของความม่งค่งก็คือความรู้ และขณะ
ที่เราสามารถยึดครองผืนบ่อน�้ามันโดยอาศัยสงคราม เรากลับไม่สามารถได้
ความรู้มาด้วยวิธีการแบบน้ ดังน้น ความรู้จึงกลายมาเป็นทรัพยากรท่สาคัญ




ที่สุดทางเศรษฐกิจ ผลก�าไรที่ได้จากสงครามลดลง และสงครามก็กลายมา



เป็นเร่องท่จากัดบริเวณมากข้นเร่อยๆ โดยเกิดแค่ในบางส่วนของโลกเท่าน้น





เช่น แถบตะวันออกกลางและแอฟริกากลาง ท่ซ่งเศรษฐกิจยังคงเป็นแบบเก่า
ที่ยังต้องพึ่งพาวัตถุอยู่

ในปี ค.ศ. 1998 ก็ดูสมเหตุสมผลอยู่ส�าหรับรวันดา (Rwanda) ท่จะ
*
เข้ายึดครองและปล้นสะดมเหมืองโคลแทน (Coltan) อันอุดมของประเทศ


เพ่อนบ้านอย่างคองโก (Congo) เพราะสินแร่ชนิดน้เป็นท่ต้องการมากในการ


ผลิตโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป และคองโกก็มีโคลแทนสารอง

อยู่ 80 เปอร์เซ็นต์ของท้งหมดท่มีในโลกน้ รวันดาทารายได้ 240 ล้านเหรียญ




สหรัฐในแต่ละปีจากการปล้นสะดมโคลแทนดังกล่าว สาหรับประเทศยากจน


อย่างรวันดา เงินจานวนน้ถือว่ามหาศาลทีเดียว ในทางตรงกันข้าม ก็ไม่
24
สมเหตุสมผลหากจีนคิดจะรุกรานแคลิฟอร์เนียและเข้ายึดซิลิคอนแวลลีย์
เพราะแม้ว่าคนจีนจะมีชัยเหนือสนามรบได้ด้วยเหตุใดก็ตาม ก็จะไม่มีเหมือง








ซลคอนในซลคอนแวลลย์ให้ปล้นสะดม แทนทจะเป็นเช่นนน คนจนอาจ









จะทาเงนได้นบพนล้านดอลลาร์จากการร่วมมอกบยกษ์ใหญ่ไฮเทค เช่น
แอปเปลและไมโครซอฟต ผานการซื้อซอฟต์แวรและผลิตบรรดาผลิตภัณฑ ์





ต่างๆ ของบริษัทเหล่าน้ การท่รวันดาปล้นสะดมเอาโคลแทนท่เป็นของคองโก


* โคลแทน (Coltan) เป็นค�าย่อมาจาก โคลัมไบต์–แทนทาไลต์ (columbite–tantalite) ที่เป็นสินแร่โลหะสีด�าด้าน ในทาง
อุตสาหกรรมมักเรียกแค่ แทนทาไลต์ แทนทาลัมจากสินแร่นี้น�ามาใช้ผลิตแบตเตอรี่ส�าหรับรถยนต์ไฟฟ้า และตัวเก็บประจุ (ca-
pacitor) ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ได้–ผู้แปล

32 โฮโมดีอุส




มาได้ตลอดท้งปีมีมูลค่าเท่ากับแค่เพียงการทาการค้าอย่างสงบสุขเพียงวัน
เดียวในแบบของคนจีน
ผลที่ตามมาก็คือค�าว่า ‘สันติภาพ’ มีความหมายใหม่ในตัวขึ้นมา คน


รุ่นก่อนๆ เช่อว่าสันติภาพเป็นเพียงภาวะขาดสงครามไปช่วคราว แต่ทุกวันน ี ้
เราเช่อว่าสันติภาพคือภาวะท่สงครามไม่อาจเกิดข้นได้ ในปี ค.ศ. 1913 ยาม





ท่มีคนกล่าวว่าเกิดสันติภาพระหว่างฝร่งเศสและเยอรมนี พวกเขาหมายความ
ว่า “ยังไม่มีสงครามเกิดขึ้นในตอนนี้ระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนี แต่ใครจะ
ไปรู้ว่าปีหน้าจะเป็นยังไง” แต่ทุกวันน้เวลาที่เรากล่าวว่าเกิดสันติภาพระหว่าง



ฝร่งเศสและเยอรมนี เราหมายความว่าภายใต้สภาพแวดล้อมท่พอจะมอง
เห็นได้นั้น คิดไม่ออกเลยว่าจะเกิดสงครามระหว่างสองประเทศดังกล่าวได้





อย่างไร สันติภาพทานองน้ไม่ได้เกิดข้นแต่เฉพาะระหว่างฝร่งเศสกับเยอรมน
เท่านั้น แต่ระหว่างประเทศส่วนใหญ่ด้วย (แม้ว่าอาจจะไม่ใช่กับทุกประเทศ

ก็ตามท) ไม่มีฉากทัศน์ (scenario) แบบใดเลยท่แสดงว่าจะมีสงคราม


จริงจังเกิดข้นในปีหน้าระหว่างเยอรมนีกับโปแลนด์ ระหว่างอินโดนีเซียกับ
ฟิลิปปินส์ หรือระหว่างบราซิลกับอุรุกวัย

*

สันติภาพแบบใหม่น้ไม่ได้เป็นแค่เร่องเพ้อฝันของพวกฮิปปี้ (hippie)
แม้แต่รัฐบาลท่กระหายพลังงานและบรรษัทท่ละโมบโลภมากก็ยังคงเช่อถือใน



เรื่องนี้เช่นกัน หากบริษัทเมอร์เซเดสวางแผนกลยุทธ์การขายในยุโรปตะวัน

ออก ก็ย่อมไม่รวมเอาเร่องโอกาสท่เยอรมนีจะเข้ายึดครองโปแลนด์เอาไว้







ด้วย เม่อบรรษัทนาเข้าแรงงานราคาถูกจากฟิลปปินส์กไม่จาเป็นต้องกงวลใจ
เลยว่าอินโดนีเซียอาจจะบุกรุกรานฟิลิปปินส์ในปีหน้า เม่อรัฐบาลบราซิล


ประชุมอภิปรายกันเร่องงบประมาณปีหน้าก็ไม่เคยเกิดภาพเกินจินตนาการ
ท่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมบราซิลจะลุกข้นทุบโต๊ะและตะโกนว่า


“เด๋ยวก่อน! หากเราต้องการรุกคืบเข้ายึดครองอุรุกวัยล่ะ? พวกท่านยังไม่

ได้รวมเรื่องนี้ไว้เลย เราจะต้องจัดเงินต่างหากไว้สัก 5,000 ล้านเหรียญเอา

* ฮิปปี้ หมายถึงขบวนการของกลุ่มคนหนุ่มสาวในทศวรรษ 1960 ท่ต่อต้านสงครามและใช้ชีวิตอย่างเสรีไม่ติดกรอบคติทางสังคม


ค�าว่า hippie อาจจะมาจากคาว่า hipster บางทีก็เรียกกันว่าเป็นพวกบุปผาชน (Flower Children) เพราะชอบท่จะเสียบ
ดอกไม้และมอบดอกไม้ให้แก่คนทั่วไป ตามเนื้อเพลง San Francisco ที่ฮิตในช่วงนั้น–ผู้แปล

วาระใหม่ของมนุษย์ 33






ไว้ใช้สาหรับการยึดครองน้ด้วย” แน่นอนว่ามีสถานท่เพียงน้อยนิดท่รัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงกลาโหมจะยังคงกล่าวอะไรทานองน้ออกมา และยังมีภูมิภาค


บางแห่งที่สันติภาพใหม่ (New Peace) ยังไม่หยั่งรากลงไป ผมรู้เรื่องนี้ดี
มาก เพราะผมเองก็อาศัยอยู่ในหน่งในภูมิภาคดังกล่าว แต่ภูมิภาคเหล่าน ้ ี

ล้วนแล้วแต่เป็นข้อยกเว้น



แน่นอนว่าไม่มใครทจะม่นใจได้เลยว่าสนตภาพใหม่จะดารงอย่ไป






ช่วกาล ก็แบบเดียวกับท่อาวุธนิวเคลียร์ทาให้เกิดสันติภาพใหม่ข้นแต่แรก



ไม่แน่ว่าพัฒนาการด้านเทคโนโลยีในอนาคตอาจก่อให้เกิดสงครามในรูปแบบ
ใหม่เอี่ยมขึ้นก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามไซเบอร์ (cyber warfare) ที่



อาจจะทาให้เสียสมดุลของโลก โดยทาให้แม้ประเทศเล็กหรือผู้เล่นท่ไม่ใช่รัฐ


ชาติใดก็มีความสามารถจะต่อสู้กับชาติมหาอานาจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เม่อ
ตอนที่สหรัฐอเมริกาสู้รบกับอิรักในปี ค.ศ. 2003 นั้น ได้น�าพาเอาหายนะไป
ยังแบกแดด (Baghdad) และโมซูล (Mosul) แต่ไม่มีระเบิดแม้แต่ลูกเดียว

ท่หย่อนลงท่ลอสแอนเจลิสหรือชิคาโก อย่างไรก็ตาม ในอนาคตประเทศใดสัก

ประเทศหนึ่ง เช่น เกาหลีเหนือหรืออิหร่าน ก็อาจจะใช้ระเบิดตรรกะ (logic
bomb) ปิดระบบพลังงานในแคลิฟอร์เนีย ระเบิดโรงกล่นในเท็กซัส และ

ท�าให้รถไฟชนกันในมิชิแกน (‘ระเบิดตรรกะ’ คือรหัสซอฟต์แวร์ที่ประสงค์

ร้ายซ่งฝังไว้ในยามสงบสุขและส่งการได้จากระยะไกล มีโอกาสมากทีเดียวท ่ ี

เครือข่ายใช้ควบคุมโครงสร้างพื้นฐานส�าคัญๆ ในสหรัฐอเมริกาและประเทศ
อื่นๆ อีกมากมายจะมีรหัสท�านองนี้เต็มไปหมด)

อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรสับสนเร่องความสามารถกับแรงจูงใจ



แม้ว่าสงครามไซเบอร์จะทาให้เกิดวิธีการทาลายล้างแบบใหม่ๆ แต่ก็ไม่จาเป็น


เลยว่าจะไปเพ่มแรงจูงใจให้ใช้ส่งเหล่าน้ ใน 70 ปีท่ผ่านมาน้มนุษยชาต ิ




ไม่เพียงแต่แหกกฎของป่า แต่ยังแหกกฎของเชคอฟ (Chekhov Law)
ด้วยเช่นกัน อันตอน เชคอฟ (Anton Chekhov) เคยกล่าวค�าพูดที่โด่งดัง

ไว้ว่า ปืนทปรากฏในฉากแรกไม่แคล้วต้องใช้ยงในฉากท่สาม ตลอดช่วง



ประวัติศาสตร์ หากพระราชาหรือจักรพรรดิพระองค์ใดได้อาวุธใหม่บางอย่าง
มา ไม่ช้าก็เร็วพวกพระองค์ย่อมมีแนวโน้มจะทรงน�ามันมาใช้ อย่างไรก็ตาม

34 โฮโมดีอุส











นบจากป ค.ศ. 1945 เปนต้นมา มนษยชาตเรยนร้ทจะตานทานความตองการ


ใช้ในแบบนี้ ปืนที่ปรากฏในฉากแรกของสงครามเย็นจึงยังไม่เคยยิงออกไป


แต่ปัจจุบันน้เราคุ้นเคยดีกับการใช้ชีวิตอยู่ในโลกท่เต็มไปด้วยระเบิดท่ยัง











ไม่นามาทงและจรวดนาวถทยงไม่ปล่อยออกไป และกลายเป็นผ้เช่ยวชาญ




ในการแหกท้งกฎของป่าและกฎของเชคอฟ หากเม่อใดท่เราเป็นไปตามกฎ

เหล่าน้อีกคร้งก็ย่อมเป็นความผิดของพวกเราเอง หาได้เป็นชะตากรรมท ี ่

ไม่อาจหลีกเลี่ยงแต่อย่างใด



ถ้าเช่นน้นเร่องการก่อการร้ายล่ะ? แม้ว่ารัฐบาลกลางและชาต
มหาอ�านาจต่างๆ อาจเรียนรู้เรื่องข้อจ�ากัด แต่พวกผู้ก่อการร้ายก็อาจจะไม่



ประหว่นพร่นพรึงใจที่จะใช้อาวุธทาลายล้างแบบใหม่ แน่นอนว่าน่เป็นความ

เป็นไปได้ที่ชวนให้กังวลใจ อย่างไรก็ตาม การก่อการร้ายเป็นกลยุทธ์ที่มีจุด
อ่อนซึ่งผู้ที่เข้าไม่ถึงอ�านาจที่แท้จริงน�ามาใช้ อย่างน้อยที่สุดในอดีตที่ผ่านมา
การก่อการร้ายอาศัยการแพร่กระจายความกลัวแทนที่จะเป็นการท�าลายล้าง
ทางวัตถุอย่างมีนัยสาคัญ ผู้ก่อการร้ายมักไม่เข้มแข็งพอท่จะเอาชนะกองทัพ


ไม่สามารถยึดครองประเทศหรือทาลายเมืองท้งเมืองลงได้ ขณะที่ในปี




ค.ศ. 2010 โรคอ้วนและความเจ็บป่วยอ่นๆ ที่เก่ยวเน่องกันฆ่าคนไปราว



3 ล้านคน ผู้ก่อการร้ายฆ่าคนไปทั้งโลกรวม 7,697 คน โดยส่วนใหญ่แล้ว



25
อยู่ในประเทศกาลังพัฒนา ส�าหรับชาวอเมริกันหรือชาวยุโรปท่วไปแล้ว
โคคา-โคล่าคุกคามชีวิตมากกว่าอัลกออิดะฮ์เสียอีก


ถ้าอย่างน้นพวกผู้ก่อการร้ายครอบครองพาดหัวส่วนใหญ่และเปล่ยน
สถานการณ์ทางการเมืองท่วโลกได้อย่างไร? ก็โดยการกระตุ้นให้บรรดาศัตร ู

ตอบสนองอย่างเกินสมควร (overreact) โดยแก่นแท้แล้วการก่อการร้าย

เป็นรูปแบบหน่งของการแสดง ผู้ก่อการร้ายจัดฉากความรุนแรงท่น่ากลัว



และน่าต่นตาต่นใจ จนยึดครองจินตนาการของพวกเราเอาไว้และทาให้พวก


เรารู้สึกราวกับว่ากาลังล่นไถลกลับไปสู่ความโกลาหลในยุคกลาง ผลที่ตาม

มาก็คือบ่อยคร้งทีเดียวท่รัฐชาติต่างๆ จาต้องตอบสนองในโรงมหรสพการ





ก่อการร้ายด้วยการแสดงเร่องความม่นคงปลอดภัย โดยสอดประสานการ
แสดงแสนยานุภาพอันมโหฬาร เช่น การไล่ล่าหรือสังหารประชากรยกหมู่

วาระใหม่ของมนุษย์ 35






เหล่าหรอการรกรานประเทศอน ในกรณส่วนใหญ่แล้วการตอบสนองอย่าง

เกินสมควรต่อการก่อการร้ายมักน�าไปสู่ภัยคุกคามต่อความมั่นคงที่ยิ่งใหญ่
มากกว่าตัวการก่อการร้ายเดิมเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ก่อการร้ายก็เหมือนกับแมลงวันท่พยายามจะทาลายร้านเคร่องถ้วย






ชาม แมลงวนอ่อนแอเสียจนกระท่งไม่อาจจะขยับเขย้อนแม้แต่ถ้วยชาสัก
ใบ ดังนั้น มันจึงต้องมองหาวัวสักตัว แล้วบินเข้าไปในหูก่อนจะท�าเสียงหึ่ง
หั่ง วัวก็จะตกใจกลัวและโกรธขึ้ง เริ่มท�าลายข้าวของในร้านเครื่องถ้วยชาม





น่คือส่งท่เกิดข้นกับตะวันออกกลางในทศวรรษท่ผ่านมา พวกมูลฐานนิยม
อิสลาม (Islamic fundamentalist) ไม่อาจโค่นล้มซัดดัม ฮุสเซนได้ด้วย

ตัวเอง แต่แทนท่จะทาเช่นน้น พวกเขากลับไปย่วโมโหสหรัฐอเมริกาโดยการ



โจมตี 9/11 และสหรัฐอเมริกาก็ท�าลายตะวันออกกลางที่เป็นร้านเครื่องถ้วย
ชามส�าหรับผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ ทุกวันนี้พวกเขาเติบโตงอกงามขึ้นท่ามกลาง

ซากปรักหักพังน้น พวกผู้ก่อการร้ายอ่อนแอเกินกว่าจะลากพวกเรากลับไปยัง
ตะวันออกกลางและกลับสู่การสถาปนากฎของป่าขึ้นอีกครั้ง สุดท้ายแล้วแม้
พวกเขาจะกระตุ้นเราอย่างไรก็ตาม เรายังคงเป็นผู้เลือกจะตอบสนองอย่างไร
อยู่ดี หากมีการหันกลับมาใช้อานาจตามกฎของป่า ก็ไม่อาจจะโทษว่าเป็น

ความผิดของผู้ก่อการร้ายได้


ความอดอยาก โรคระบาด และสงครามจะยังคงคร่าชีวิตเหย่อนับล้านๆ คน

ในทศวรรษนี้ กระนั้นสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
ได้และเกินกว่าท่มนุษยชาติผู้ส้นหวังจะทาความเข้าใจหรือควบคุมได้อีก








ต่อไปแล้ว แทนท่จะเป็นเช่นน้น ส่งเหล่าน้กลายมาเป็นความท้าทายท่สามารถ
บริหารจัดการ ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้เป็นการดูแคลนความทุกข์ยากของคนนับ


ร้อยๆ ล้านคนท่ยังยากจนขัดสน คนนับล้านๆ คนท่ล้มตายด้วยโรคมาลาเรีย

เอดส์ และวัณโรค หรือคนนับล้านๆ คนท่ติดกับอยู่ในวงจรอุบาทว์ของความ
รุนแรงในซีเรีย คองโก หรืออัฟกานิสถาน สารในที่นี้ย่อมไม่ใช่การกล่าวว่า
ความอดอยาก โรคระบาด และสงครามหายไปจนหมดสิ้นแล้วจากผิวโลก



และเราควรจะเลิกกังวลเก่ยวกับเร่องพวกน้ได้ ตรงกันข้าม ตลอดช่วง

36 โฮโมดีอุส


ประวัติศาสตร์ ผู้คนรับรู้ถึงปัญหาที่ไม่อาจแก้ไขได้เหล่านี้ จึงไม่มีประเด็นที่


จะพยายามทาให้พวกมันหมดไปเสีย ผู้คนสวดภาวนาต่อพระเจ้าเพ่อให้เกิด
ส่งมหัศจรรย์ข้น แต่ตัวพวกเขาเองกลับไม่ได้พยายามอย่างเอาเป็นเอาตาย


ที่จะก�าจัดความยากจน โรคระบาด และสงครามเลย พวกคนที่เถียงว่าโลก
ในปี ค.ศ. 2016 ยังคงหิวโหย เจ็บป่วย และรุนแรงดังเช่นที่เป็นในปี ค.ศ.




1916 ตอกยามุมมองแบบสมยอมต่อโลกอันแสนเก่าแก่น้อย่างไม่เลิกรา พวก
เขาช้ให้เห็นนัยว่าแม้มนุษย์จะลงแรงความพยายามไปอย่างมากมายมหาศาล

ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 20 แต่กลับไม่ประสบความส�าเร็จใดๆ เลยทั้งสิ้น
และงานวิจัยทางการแพทย์ การปฏิรูปเศรษฐศาสตร์ (economic reform)
และความคิดริเร่มด้านสันติภาพต่างก็ล้วนแล้วแต่เปล่าประโยชน์ท้งส้น หาก






เป็นเช่นน้นจริง จะมีประโยชน์อะไรเล่าท่จะยังทุ่มลงทุนท้งเวลาและทรัพยากร
ของเราไปกับงานวิจัยทางการแพทย์ การปฏิรูปเศรษฐศาสตร์ หรือความคิด
ริเริ่มด้านสันติภาพต่อไปอีก?

การยอมรับความสาเร็จในอดีตของเราส่งสารแห่งความหวังและความ

รับผิดชอบ กระตุ้นให้กาลังใจเราให้ทุ่มเทความพยายามมากข้นไปอีกใน



อนาคต แม้จะมีความสาเร็จในคริสต์ศตวรรษท่ 20 แต่หากผู้คนยังคงต้องทน
ทุกข์จากความอดอยาก โรคระบาด และสงครามต่อไป เราก็คงไม่อาจกล่าว

โทษต่อธรรมชาติหรือพระเจ้าได้อีกแล้ว เรามีอ�านาจมากพอท่จะทาให้ส่งต่างๆ


ดีมากขึ้นและลดจ�านวนเหตุการณ์ที่จะก่อความทุกข์ยากให้น้อยลงไปได้อีก



กระน้นก็ตามการช่นชมความสาเร็จอย่างมากมายของพวกเราก็ยังส่ง

สารอีกแบบหน่งเอาไว้ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ประวัติศาสตร์ไม่อาจต้านทานต่อ
สุญญากาศได้ หากมีจานวนกรณีของความอดอยาก โรคระบาด และสงคราม



ลดลงเร่อยๆ ก็หมายถึงว่ามีบางอย่างท่ผูกพันอยู่กับตาแหน่งแห่งหนของวาระ

แห่งมนุษยชาติ เราควรคิดอย่างระมัดระวังมากข้นว่าจะเกิดอะไร มิฉะน้น


แม้เราอาจจะเอาชนะในสนามรบเดิมได้อย่างส้นเชิง แต่กลับไปติดอยู่ใน

แนวรบใหม่เอ่ยมโดยไม่รู้ตัว แล้วมีส่งใดท่จะมาแทนท่ความอดอยาก




โรคระบาด และสงคราม ในฐานะสุดยอดวาระแห่งมนุษยชาติในคริสต์
ศตวรรษที่ 21 บ้าง?

วาระใหม่ของมนุษย์ 37


หน่งในโครงการระดับศูนย์กลางน่าจะได้แก่การปกป้องมนุษยชาต ิ




และโลกท้งใบจากอันตรายท่มากับอานาจของพวกเรากันเอง เราควบคุมเร่อง

ความอดอยาก โรคระบาด และสงครามได้อยู่มือแล้ว ซึ่งก็ต้องขอบคุณเป็น

อย่างย่งต่อความเติบโตทางเศรษฐกิจอันน่ามหัศจรรย์ใจ ทาให้เรามีอาหาร

ยา พลังงาน และวัตถุดิบอย่างอุดมสมบูรณ์ กระนั้นความเติบโตที่ว่านี้เอง
ก็ท�าให้ระบบนิเวศของโลกเสียสมดลไปอย่างมากมายมหาศาล แต่





เราเพ่งจะเร่มสารวจตรวจสอบเร่องน้ได้ไม่นานเท่าน้น มนุษยชาติออกจะ




ยอมรับเร่องอันตรายน้ช้าไปสักหน่อย และตราบจนกระท่งปัจจุบันก็ลงมือ

ท�าอะไรไปน้อยมาก แม้จะมีการพูดคุยกันเก่ยวกับเร่องมลพิษ ภาวะโลก


ร้อน และการเปล่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมากมาย แต่ประเทศ

ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ยอมเสียสละทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างจริงจังเพ่อ

แก้ไขสภาวะดังกล่าวเลย เม่อถึงเวลาท่จะต้องเลือกระหว่างความเติบโต


ทางเศรษฐกิจกับเสถียรภาพของระบบนิเวศ นักการเมือง ซีอีโอ และ
ผู้ออกเสียงลงคะแนนเลือกต้งก็มักเลือกฝั่งความเติบโตแทบจะเสมอไป

อยู่นั่นเอง ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 เราจ�าเป็นต้องท�าได้ดีกว่านี้หากต้องการ
จะหนีให้พ้นจากหายนะครั้งใหญ่



ยังจะมีอะไรอีกบ้างท่มนุษยชาติต้องต่อสู้ด้นรนเพ่อตัวเอง? เราควร


จะพึงพอใจแล้วหรือไม่กับโชคดีท่เราสามารถควบคุมเร่องความอดอยาก โรค
ระบาด และสงครามไว้ได้อยู่หมัด และต้องทาเพียงปกป้องสมดุลนิเวศเอาไว้

ให้ได้? ก็อาจจะถือว่าเป็นการกระท�าที่ฉลาดที่สุดก็เป็นได้ แต่มนุษยชาติไม่





น่าจะทาเช่นน้น มนุษย์เรายากนักท่จะพึงพอใจกับส่งท่ตนเองมีอยู่ ปฏิกิริยา



ท่สามัญท่สุดของความคิดมนุษย์ต่อความสาเร็จไม่ใช่ความพึงพอใจ แต่เป็น


ความกระหายอยากท่จะทาได้มากย่งข้นไปอีก มนุษย์มีนิสัยมองหาส่งท่ดีกว่า





ใหญ่กว่า อร่อยกว่าอยู่ตลอดเวลา เม่อใดท่มนุษยชาติมีอานาจใหม่ท่ยิ่งใหญ่






มาก และเม่อภัยคุกคามจากความอดอยาก โรคระบาด และสงครามถูกกาจัด

ไปได้ในท่สุด เราจะทาเช่นใดต่อกันแน่? นักวิทยาศาสตร์ นักลงทุน นัก

การธนาคาร และประธานาธิบดีจะเอาเวลาทั้งวันไปท�าอะไร? เขียนบทกว ี
หรือ?

38 โฮโมดีอุส


ความส�าเร็จให้ดอกผลเป็นความทะเยอทะยาน และความส�าเร็จเมื่อ












เรวๆ นของพวกเรากกาลงจะผลกดนให้มนษยชาตในปัจจบนตงเป้าหมาย







ท่ท้าทายมากย่งข้นไปอีก การที่มีความม่งค่ง สุขภาพท่ดี และความสอด

ประสานทางสังคมในระดับที่เหนือกว่าที่เคยเป็นมา ประกอบกับการท�าลาย






สถตต่างๆ ในอดตและการให้คณค่าต่างๆ ของเราในปัจจบน เป้าหมาย
ต่อไปของมนุษยชาติน่าจะเป็นเรื่องความเป็นอมตะ (immortality) ความ






สข และอานาจศกด์สทธ (divinity) การทลดอัตราการเสียชวิตจากความ






อดอยากยากแค้น โรคภัยไข้เจ็บ และความรุนแรงได้น้นทาให้พวกเราใน

ปัจจุบันสามารถต้งเป้าหมายท่จะเอาชนะความแก่ชราและแม้แต่ความตาย





เองด้วยซา การท่คนไม่ต้องตกอยู่ในความทุกขเวทนาน่าสังเวชทาให้พวก


เราในปัจจุบันอาจจะต้งเป้าในการทาให้ผู้คนรู้สึกมีความสุขและมีความหวัง
และการยกระดับมนุษยชาติขึ้นจนอยู่เหนือสัตว์อื่นๆ ในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อ



ความอยู่รอดทาให้พวกเราในปัจจุบันอาจจะต้งเป้าหมายไปท่การอัปเกรด
มนุษย์ให้กลายไปเป็นเทพเจ้า และเปล่ยนโฮโมเซเปียนส์ (Homo sapiens)

ให้กลายไปเป็นโฮโมดีอุส (Homo deus)
The Last Days of Death
วันท้ายๆ ของความตาย







ในครสต์ศตวรรษท 21 มนษย์มแนวโน้มทจะช่วงชงความเป็นอมตะอย่าง

จริงจังได้ การต่อสู้ดิ้นรนกับความชราและความตายอาจจะเป็นแค่เพียงการ
ต่อสู้กับความอดอยากและโรคภัยไข้เจ็บอย่างเหมาะสมกับช่วงเวลา และ
แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนผ่านคุณค่าสูงสุดของวัฒนธรรมร่วมสมัย น่นคือการ

ให้คุณค่าในชีวิตมนุษย์ เราต่างได้รับการยาเตือนอยู่เสมอๆ ว่าชีวิตมนุษย์



เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในเอกภพ คนทุกคนตางกล่าวท�านองนี้ทั้งสิ้น ไมว่าครู

ท่โรงเรียน นักการเมืองในสภา นักกฎหมายในศาล และนักแสดงบนเวทีโรง



ละคร คาประกาศสทธิมนุษยชนสากล (Universal Declaration of Human

วาระใหม่ของมนุษย์ 39


Rights) ที่สหประชาชาติให้การรับรองในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่ง
อาจจะใกล้เคียงกับรัฐธรรมนูญแห่งโลก (global constitution) กล่าวไว้ว่า

‘สิทธิในชีวิต’ เป็นคุณค่าพื้นฐานที่สุดของมนุษยชาติ เนื่องจากเห็นได้ชัดว่า

ความตายเป็นการละเมิดต่อสิทธิดังกล่าวน้ ความตายจึงถือเป็นอาชญากรรม
ต่อมนุษยชาติ และเราควรจะเข้าร่วมในสงครามทุกรูปแบบที่ใช้ต่อต้านมัน

ตลอดช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ ศาสนาและคตินิยม (ideology) ไม่



ได้ยกย่องว่าตัวชีวิตเองเป็นส่งศักด์สิทธ์ ทว่ายกย่องส่งท่เหนือกว่าหรือไป






เกินกว่าส่งต่างๆ ทางโลก ส่งผลทาให้ผู้คนจาทนยอมรับเร่องความตายได้
อันท่จริงแล้วบ้างก็ถึงกับสยบยอมต่อยมทูต อย่างส้นเชิง เพราะศาสนา


*
คริสต์ อิสลาม และฮินดูต่างก็ยืนกรานว่าความหมายของการดารงอยู่ของ



พวกเราข้นกับชะตากรรมของพวกเราในชีวิตหลังความตาย (afterlife)
โดยศาสนาเหล่านี้มองว่าความตายเป็นส่วนที่ส�าคัญและเป็นแง่ดีในทางโลก
มนุษย์ตายก็เพราะพระเจ้าได้มีประกาศิตเอาไว้ และในห้วงเวลามรณะก็ถือ


ได้ว่าเป็นประสบการณ์อันศักด์สิทธ์ทางอภิปรัชญา (sacred metaphysi-




cal experience) ท่ปะทุข้นอย่างมีความหมาย เม่อมนุษย์สักคนกาลังสูด
ลมหายใจสุดท้ายเข้าไปนั้น ก็เป็นห้วงเวลาที่ต้องเรียกนักบวช แรบไบ หรือ
พ่อมดหมอผีมาเพ่อสวดอธิษฐานให้เกิดสมดุลแห่งชีวิต และโอบกอดเอา

บทบาทของคนผู้น้นในเอกภพเข้าไว้ ลองจินตนาการถึงศาสนาคริสต์ อิสลาม








และฮินดูในโลกท่ปราศจากความตาย ซ่งก็จะทาใหโลกนนไรซงสวรรค นรก



และการกลับชาติมาเกิดอีก
วิทยาศาสตร์สมัยใหม่และวัฒนธรรมสมัยใหม่มองเร่องชีวิตและความ




ตายแตกต่างกันอย่างส้นเชิง ผู้คนไม่เช่อว่าความตายเป็นเร่องลึกลับทาง


อภิปรัชญา และแน่นอนว่าไม่ได้มองว่าความตายเป็นด่งแหล่งกาเนิดท่มา



ของความหมายชีวิต แทนท่จะเป็นเช่นน้น ผู้คนในยุคใหม่มองความตาย
ว่าเป็นเพียงปัญหาทางเทคนิคที่เราอาจจะแก้ไขได้
* ในต้นฉบับใช้ว่า กริม รีปเพอร์ (Grim Reaper) ค�านี้ในเทพปกรณัมมีทั้งที่กล่าวว่าเป็นบุคลาธิษฐานของความตาย หรือไม่



ก็หมายถึงยมทูตท่เดินทางมารับคนตาย และมักเต็มไปด้วยเร่องราวของคนท่ต้องการต่อสู้ หรือไม่ก็หลอกล่อยมทูตเหล่าน้ เพ่อ


ไม่ให้โดนน�าตัวไป ในบางวัฒนธรรมยมทูตหรือความตายมีเพศเป็นชาย แต่บ้างก็มีเพศเป็นหญิง–ผู้แปล

40 โฮโมดีอุส


คนเราตายอย่างไรกันแน่? เทพนิยายในยุคกลางแสดงภาพความ


ตายไว้ในรูปภายใต้เส้อคลุมสีดามีส่วนผ้าคลุมศีรษะ ในมือถือเคียวด้ามยาว



ู่













คนเรามชวตอยโดยเฝ้ากงวลเรองโนนเรองนน วงรอกไปมาทนนทน ทนใดท ี ่






ยมทูตปรากฏกายขึ้นต่อหน้าเขา ใช้มือที่มีแต่โครงกระดูกจับไปที่ไหล่พร้อม
กับกล่าวว่า “มานี่!” เขาก็จะอ้อนวอนว่า “ไม่นะ ได้โปรดเถิด! ขอเวลาสัก
ปีหนึ่ง เดือนหนึ่ง หรือวันหนึ่ง!” แต่ร่างในชุดเสื้อคลุมก็จะส่งเสียงขู่ “ไม่!
เจ้าต้องมาเดี๋ยวนี้!” และนี่ก็คือค�าอธิบายว่าเราตายอย่างไร

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงน้นมนุษย์ไม่ได้ตายเพราะมีใครสักคน
ในชุดเสื้อคลุมสีด�ามาแตะที่ไหล่ หรือเพราะพระเจ้าทรงบัญญัติเอาไว้ หรือ

เพราะความตายเป็นส่วนส�าคัญยิ่งของแผนการจักรวาลอันยิ่งใหญ่บางอย่าง
มนุษย์ล้วนตายจากความบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ทางเทคนิคบางอย่าง หัวใจ






อาจหยุดเตนไม่สงเลอดไปเล้ยง เส้นเลือดแดงใหญ่อาจมไขมนไปสะสมจนอุด
ตัน เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปยังตับ เชื้อโรคเพิ่มจ�านวนในปอด แล้วอะไร


ท่เป็นสาเหตุสาหรับปัญหาทางเทคนิคท้งหมดเหล่าน้กันแน่? ก็ปัญหาทาง


เทคนิคอื่นๆ ไง การที่หัวใจหยุดเต้นไม่ส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนอื่นๆ ก็เพราะมี
ออกซิเจนไปหล่อเล้ยงกล้ามเน้อหัวใจไม่เพียงพอ เซลล์มะเร็งแพร่กระจาย






กเพราะความบงเอญทเกดการกลายพันธ์บางอย่างจนทาให้ค่มอการสร้าง







เซลล์ผิดปกติไป การท่มีเช้อโรคท่เดินทางไปอยู่ท่ปอดของผมก็เพราะว่าม ี



ใครสักคนจามในรถไฟใต้ดิน ไม่มีเรื่องราวอภิปรัชญาใดๆ มาเกี่ยวข้องเลย
ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาทางเทคนิคทั้งสิ้น
และปัญหาทางเทคนิคทุกปัญหาก็ล้วนแล้วแต่มีคาตอบทางเทคนิค เรา




ไม่จาเป็นต้องรอการมาคร้งท่สอง (Second Coming) เพ่อเอาชนะความตาย

*


แค่อาศัยคนเก่งๆ ในห้องปฏิบัติการไม่ก่คนก็อาจจะทาได้แล้ว หากความตาย


ในแบบด้งเดิมถือเป็นความชานาญการพิเศษของพวกนักบวชและนักเทววิทยา
* การมาครั้งที่สองเป็นความเชื่อของคริสต์ศาสนิกชนและชาวมุสลิม เรื่องการเสด็จมายังโลกมนุษย์อีกครั้งของพระเยซูในอนาคต





เปนความเชื่อที่มีตนเคามาจากขอความในพระวรสารในสารบบ (Canonical gospels) ในพระคัมภีรไบเบิลภาคพันธสัญญาใหม่
ซึ่งมีชื่ออื่นอีก เช่น พระวรสาร (โรมันคาทอลิก) หรือพระกิตติคุณ (โปรเตสแตนต์) ความเชื่อนี้ต่อมากลายมาเป็นส่วนหนึ่งของ
อวสานวิทยาหรือโลกาวินาศศาสตร์ (Eschatology) ที่ศึกษาเหตุการณ์ที่จะเป็นจุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์โลก หรือชะตากรรม
สุดท้ายของมนุษยชาติ ซึ่งมักหมายถึงการสิ้นสุดของทั้งจักรวาลด้วยเช่นกัน–ผู้แปล

วาระใหม่ของมนุษย์ 41


(theologian) บัดนี้วิศวกรก็ยึดครองความช�านาญนี้แทนเรียบร้อยแล้ว เรา

สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งด้วยการใช้เคมีบาบัด (chemotherapy) หรือหุ่นยนต์


นาโน เราสามารถกาจัดเช้อโรคในปอดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ หากหัวใจหยุดเต้น
เราก็กระตุ้นให้เต้นอีกครั้งด้วยยาและเครื่องกระตุ้นหัวใจไฟฟ้า และหากยัง
ไม่ได้ผลอีก เราก็อาจจะผ่าตัดเปล่ยนหัวใจดวงใหม่ได้ จริงอยู่ท่ว่าในปัจจุบัน





เรายังไม่มีคาตอบสาหรับปัญหาทางเทคนิคทุกรูปแบบ แต่น่ก็คือเหตุผลท ่ ี
ตรงไปตรงมามากที่สุดว่าเหตุใดเราจึงใช้เวลาและเงินทองมากมายเหลือเกิน
ไปกับการวิจัยเรื่องมะเร็ง เชื้อโรค พันธุศาสตร์ และนาโนเทคโนโลยี



แม้แต่คนธรรมดาท่วๆ ไปซ่งไม่ได้เก่ยวข้องอะไรเลยกับงานวิจัย

ทางวิทยาศาสตร์ก็ยังคุ้นเคยกับแนวคิดท่ว่าความตายเป็นแค่ปัญหาทาง
เทคนิค เมื่อหญิงสาวสักคนไปพบคุณหมอของเธอและถามว่า “คุณหมอคะ



ดฉันเป็นอะไรกันแน่?” หมอก็มแนวโน้มท่จะตอบว่า “อืม คุณติดไข้หวัด
ใหญ่น่ะ” หรือ “คุณเป็นวัณโรค” หรือ “คุณเป็นมะเร็ง” แต่หมอจะไม่กล่าว
อย่างเด็ดขาดว่า “คุณก�าลังจะตาย” และเราทุกคนต่างก็มองว่าไข้หวัดใหญ่

วัณโรค และมะเร็งต่างก็เป็นแค่ปัญหาทางเทคนิค ซ่งเราจะหาคาตอบทาง

เทคนิคได้ในสักวันหนึ่ง
แม้แต่เม่อมีคนตายจากเฮอร์ริเคน อุบัติเหตุรถยนต์ หรือสงคราม เราก ็


ยังมีแนวโน้มท่จะมองว่าเป็นความล้มเหลวทางเทคนิคท่สามารถป้องกันได้และ



ควรจะป้องกันด้วย หากเพียงแต่รัฐบาลเลือกนโยบายท่ดีกว่าน้ หากเทศบาล
ท�าหน้าที่ได้ดีกว่านี้ และหากผู้บัญชาการทหารเพียงแต่ตัดสินใจฉลาดกว่านี้

ความตายก็อาจจะเป็นเร่องหลีกเล่ยงได้ ความตายได้กลายมาเป็นเหตุผล

อย่างแทบจะอัตโนมัติส�าหรับใช้ในการฟองร้องคดีและการสืบสวนสอบสวน

“พวกเขาตายจากสาเหตุใด? ต้องมีใครบางคนลงมือในสถานท่สักแห่งเป็นแน่”

เห็นได้ชัดว่านักวิทยาศาสตร์ แพทย์ และนักวิชาการส่วนใหญ่ยังคง
มองว่าความฝันเรื่องความเป็นอมตะยังอยู่อีกไกล โดยกล่าวอ้างแต่เพียงว่า










พวกเขากาลงพยายามเอาชนะปญหาจาเพาะบางอยาง เรองนนบ้างเรองนี้บ้าง





แค่น้น กระน้นความแก่ชราและความตายก็หาได้เป็นผลลัพธ์ของส่งอ่นใด

เลยนอกจากปัญหาจาเพาะบางอย่าง จึงไม่ใช่เร่องเป็นไปไม่ได้ทีเดียวนักท ่ ี


42 โฮโมดีอุส




แพทย์และนักวิทยาศาสตร์จะหยดทาแล้วประกาศว่า “ตราบจนบัดนี และ



ไม่เหลืออะไรให้ทาอีกต่อไปแล้ว เราได้ชัยชนะเหนือวัณโรคและมะเร็ง

แต่เราจะสู้กับอัลไซเมอร์ต่อไปอีกอย่างไม่ถอย ยังคงมีคนท่เสียชีวิตจากโรค
ดังกล่าว” ค�าประกาศสิทธิมนุษยชนสากลไม่ได้กล่าวว่ามนุษย์ “มีสิทธิที่จะม ี
ชีวิตจนกระท่งอายุเก้าสิบปี” แต่มันระบุว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิท่จะมีชีวิต จบ


เพียงแค่นั้น สิทธิที่ว่านี้จึงไม่จ�ากัดวันสิ้นอายุขัยแต่อย่างใด


ผลคือมีนักวิทยาศาสตร์และนักคิดส่วนน้อย แต่ก็เพ่มจานวนมาก







ข้นเร่อยๆ ท่พูดอย่างเปิดอกมากข้นในทุกวันน้ว่าเป้าหมายท่เป็นด่งเรือธง


ของวิทยาศาสตร์สมยใหม่ก็คือการเอาชัยเหนอความตายและการทาให้

มนุษย์เป็นหนุ่มสาวไปชั่วนิรันดร์ ตัวอย่างที่ชัดเจนได้แก่ กรณีของออบรีย์
เดอ เกรย์ (Aubrey de Grey) แพทย์ทางชราภาพวิทยา (gerontologist)
และผู้รอบรู้ (polymath) กับนักประดิษฐ์ เรย์ เคิร์ซวีล (Ray Kurzweil)


(ผู้ชนะรางวัลเหรียญทองแห่งชาติสหรัฐฯ ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมปี

ค.ศ. 1999) ในปี ค.ศ. 2012 เคิร์ซวีลนัดหมายกับผู้อานวยการด้านวิศวกรรม
ของกเกิล และปีต่อมากูเกิลก็เปิดตัวบริษัทลูกช่อ คาลิโก (Calico) ซึ่ง


ประกาศว่าตั้งภารกิจไปที่ “การแก้ปัญหาเรื่องความตาย” ในปี ค.ศ. 2009
26











กเกลแต่งตงผ้เชอมนอย่างมากกบเรองความเป็นอมตะอกคนคอบิล แมรส





(Bill Maris) ให้มาเป็นประธานบริหารกองทุนช่อ กูเกิลเวนเจอร์ส (Google
Ventures) ในการให้สัมภาษณ์เดือนมกราคม ค.ศ. 2015 แมริสกล่าวว่า


“หากคุณถามผมวันน้ว่าจะอายุยืนถึง 500 ปีได้หรือไม่ คาตอบก็คือได้”

แมริสสนับสนุนคากล่าวอย่างหาญกล้าของเขาด้วยเงินก้อนโตจานวนมาก



กูเกิลเวนเจอร์สกาลังลงทุน 36 เปอร์เซ็นต์ของหลักทรัพย์ท่มีอยู่ในครอบ


ครองของบริษัทคือ 2 พันล้านดอลลาร์ไปกับสตาร์ตอัปวิทยาศาสตร์ชีวภาพ
ซ่งก็รวมท้งโครงการยืดชีวิตท่เปี่ยมความทะเยอทะยานหลายโครงการ







หากเปรียบเทียบโดยใช้อเมรกันฟตบอลเป็นตวอย่าง แมรสอธบายว่าการ



ต่อสู้กับความตายน้น “เราไม่ได้พยายามจะทาให้ได้ระยะเพ่มอีกแค่ไม่ก่หลา




แต่เราพยายามจะเอาชนะเกมให้ได้” ทาไม? แมริสกล่าวว่า ก็เพราะว่า

“มีชีวิตน่ะดีกว่าตายอยู่แล้ว” 27

วาระใหม่ของมนุษย์ 43


มีบริษัทดังๆ ในซิลิคอนแวลลีย์อ่นๆ ท่มีความฝันทานองน้เช่นกัน






ปีเตอร์ ธีล (Peter Thiel) ท่เป็นผู้ร่วมก่อต้งเพย์พาล (PayPal) เพิ่ง


สารภาพเม่อเร็วๆ น้ว่าเขาก็ต้งความหวังว่าอยากจะมีชีวิตอยู่ไปตลอดกาล

“ผมคิดว่าน่าจะมีวิธีการหลักๆ อยู่สามแบบในการจัดการ [กับความตาย]”
เขาอธิบาย “คุณอาจยอมรับมัน คุณอาจปฏิเสธมัน หรือคุณอาจจะสู้กับมัน

ผมคิดว่าสังคมของเราเต็มไปด้วยคนท่ปฏิเสธหรือไม่ก็ยอมรับความตายเป็น
ส่วนใหญ่ แต่ผมอยากจะสู้กับมันมากกว่า” คนจ�านวนมากน่าจะไม่ได้ใส่ใจ

กับค�ากล่าวทานองน้นักและมองราวกับเป็นความคิดเพ้อฝันของวัยรุ่น แต่





ธีลคือคนท่จริงจังมากกับเร่องน้ เขาเป็นหน่งในคนท่ประสบความสาเร็จ




สูงท่สุดและเป็นนักลงทุนท่ทรงอิทธิพลในซิลิคอนแวลลีย์ โดยมีทรัพย์สิน
ส่วนตัวราว 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ เขียนติดผนังไว้ได้เลยว่าไม่มีคน
28
สนใจเรื่องความเท่าเทียมอีกแล้ว เรื่องความเป็นอมตะเข้ามาแทนที่แล้ว


ข้นตอนการพัฒนาท่ยากเย็นในสาขาอย่างพันธุวิศวกรรม (genetic
engineering) เวชศาสตร์ฟื้นสภาพ (regenerative medicine) และนาโน





เทคโนโลยีโอบอุ้มคาท�านายท่มองโลกในแง่ดีมากข้นไปกว่าน้นอีก ผู้เช่ยวชาญ
บางคนเชื่อว่ามนุษย์จะเอาชนะความตายได้ในปี ค.ศ. 2200 แต่บ้างก็เชื่อว่า

ในปี ค.ศ. 2100 เคิร์ซวีลและเดอ เกรย์แสดงความม่นอกม่นใจมากไป

กว่าน้นอีก พวกเขายืนยันว่าใครก็ตามซึ่งมีร่างกายท่แข็งแรงสมบูรณ์และ


มีบัญชีธนาคารที่ดูดีในปี ค.ศ. 2050 จะสามารถได้รับยาเพิ่มความอมตะที่
โกงความตายไปได้คราวละทศวรรษทุกครั้งที่ฉีด ตามความคิดของเคิร์ซวีล










และเดอ เกรย ทกๆ ราว 10 ปเราจะตองตบเท้ากนเขาคลนิกเพอรบการรักษา

แบบหมดจดท้งตัวท่ไม่เพียงแต่กาจัดโรคภัยได้เท่าน้น แต่ยังจะฟื้นสภาพ



เนื้อเยื่อที่ก�าลังเสื่อมสลาย และอัปเกรดมือ ตา และสมอง ก่อนจะถึงเวลา
รักษารอบต่อไป แพทย์จะประดิษฐ์ยาใหม่ วิธีการอัปเกรดใหม่ๆ และ
อุปกรณ์ใหม่ๆ ออกมาเต็มไปหมด หากเคิร์ซวีลและเดอ เกรย์คิดถูก ก ็


อาจจะมีพวกท่เป็นอมตะบางคนเดินอยู่ข้างๆ คุณตามท้องถนนแล้วก็เป็นได้
ในกรณีที่บังเอิญคุณเดินอยู่ที่วอลล์สตรีตหรือฟิฟธ์อเวนิว

44 โฮโมดีอุส


ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาจะยังคงเป็นได้ก็แค่เพียง ‘เกือบอมตะ’


หาใช่อมตะเสียทีเดียว ส่งที่แตกต่างจากพระเจ้าก็คืออภิมนุษย์ในอนาคตจะ


ยังคงตายได้ในสงครามหรือด้วยอุบัติเหตุ และไม่มีส่งใดท่จะนาพวกเขากลับ




มาจากยมโลกได้ อย่างไรก็ตาม ส่งท่แตกต่างไปจากพวกท่ยังคงต้องตาย

อย่างเราๆ ก็คือชีวิตของพวกเขาไม่มีวันหมดอายุ ตราบใดท่ไม่มีระเบิดมา
ฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ หรือไม่มีรถบรรทุกแล่นมาทับ พวกเขาจะยังคงมีชีวิต
อยู่ต่อไปได้อย่างไม่จบส้น เร่องน้อาจทาให้พวกเขาเป็นกลุ่มคนท่มีความ





กังวลใจมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทุกๆ วันพวกเราที่เป็นพวกตายได้ต้อง
เส่ยงชวิตอยู่ตลอด เพราะเรารู้ว่าอาจจะจบชีวิตอย่างไรก็ได้ เราจึงออกไป


ปีนเขาหิมาลัย ว่ายน�้าในทะเล และท�าเรื่องอันตรายอีกมากมายหลายอย่าง
เช่น การข้ามถนนหรือออกไปกินข้าวนอกบ้าน แต่หากคุณเช่อว่าคุณ

สามารถมีชีวิตอยู่ได้ไปตลอดกาล คุณก็อาจต้องบ้าทีเดียวท่จะเอาความ

เป็นนิรันดร์มาพนันแบบนั้น

ดังน้น จะดีกว่าหรือไม่หากเราจะเร่มต้นกันท่เป้าหมายท่ถ่อมตัวลงอีก













หนอย เชน การมีอายุขัยเฉลยเพมขนอกเทาตว? ในครสตศตวรรษท 20 เรา





แทบจะเพิ่มอายุขัยเฉลี่ยจาก 40 ปีไปเป็น 70 ปี ดังนั้น ในคริสต์ศตวรรษ


ท 21 อย่างน้อยเรากควรจะเพมอกครงให้ได้เป็น 150 ปี แม้ว่าอายเท่าน ้ ี







จะน้อยกว่าเป็นอมตะไปมาก แต่ก็ยังจะปฏิวัติสังคมมนุษย์อยู่ดี โดยแรก
เริ่มนั้นคงจะแปลงรูปโครงสร้างครอบครัว การแต่งงาน และความสัมพันธ์
ระหว่างเด็กกับผู้ปกครองไปก่อน ทุกวันน้ผู้คนยังคงคาดหวังว่าเม่อแต่งงาน


“จวบจนความตายจะมาแยกเราจากกัน” และชีวิตส่วนใหญ่วนเวียนไปกับ
การมีลูกและเลี้ยงลูก คราวนี้ลองจินตนาการว่าหากคนเรามีอายุขัยเฉลี่ยอยู่

ท่ 150 ปี แต่งงานตอนอายุ 40 ปีก็จะเหลือชีวิตอีก 110 ปี จะยังคาด
หวังให้การแต่งงานยืนยาวถึง 110 ปีจริงๆ หรือ? แม้แต่พวกมูลฐานนิยม
คาทอลิก (Catholic fundamentalist) ก็อาจถึงกับชะงักเมื่อนึกถึงเรื่องนี้
ดังนั้น แนวโน้มปัจจุบันที่มีการแต่งงานใหม่ซ�้าๆ ก็น่าจะพบบ่อยขึ้น ผู้หญิง
จะมีลูกสัก 2 คนตอนอายุสัก 40 กว่าปี เมื่ออายุถึง 120 ปี พวกเธอก็จะมี
ความจ�าเพียงรางเลือนมากเกี่ยวกับช่วงที่พวกเธอเลี้ยงพวกเขาขึ้นมา เพราะ

วาระใหม่ของมนุษย์ 45



ถือเป็นส่วนเส้ยวเพียงเล็กน้อยในชีวิตอันยืนยาวของพวกเธอ ยากจะบอก
ได้ว่าความสัมพันธ์แบบผู้ปกครองกับเด็กจะพัฒนาไปในรูปแบบใดภายใต้

สภาวะแวดล้อมเช่นนั้น
หากจะพิจารณาเร่องอาชีพการงาน ปัจจุบันน้เรามีสมมุติฐานว่าคุณ


จะต้องเรียนรู้เรื่องอาชีพในช่วงวัยรุ่นและช่วงอายุ 20 กว่าปี จากนั้นก็จะใช้

ช่วงเวลาท่เหลือในชีวิตอยู่กับแนวทางการท�างานตามท่เรียนมา เห็นได้ชัดเจน

ว่าแม้จะอายุ 40 กว่าปีหรือ 50 กว่าปี คุณก็ยังเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ แต่ชีวิต


โดยท่วๆ ไปแล้วก็แบ่งออกเป็นช่วงการเรียนรู้ ตามมาด้วยช่วงการทางาน
แต่หากคุณมีอายุได้ถึง 150 ปี วิธีการแบบนี้ก็ใช้ไม่ได้อีกต่อไป โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในโลกที่โดนเขย่าอยู่เสมอด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ผู้คนจะมีชีวิตการ
ท�างานที่ยืดยาวขึ้นอีกมาก และจะต้องปรับเปลี่ยนตัวเองซ�้าแล้วซ�้าเล่าแม้แต่

เมื่ออายุ 90 ปี
ในขณะเดียวกันผู้คนไม่ได้เกษียณตอนอายุ 65 ปีและจะไม่หลีกทางให้
กับคนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดและแรงบันดาลใจใหม่ๆ นักฟิสิกส์ มักซ์ พลังค์

(Max Planck) ได้กล่าวคาพูดท่มีช่อเสียงไว้ว่าวิทยาศาสตร์ก้าวหน้าได้





ทุกคร้งท่มีการจัดงานศพ เขาหมายความว่ามีแต่การท่คนรุ่นหน่งตายจากไป



เท่าน้น ทฤษฎีใหม่ๆ ถึงจะมีโอกาสหย่งรากแทนท่รากเดิมได้ เร่องน้เป็นจริง




ไม่แต่เฉพาะกับเร่องทางวิทยาศาสตร์ ลองหยุดคิดสักนิดเก่ยวกับท่ทางานของ



พวกคุณเอง ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ นักหนังสือพิมพ์ พ่อครัวแม่ครัว หรือ
นักฟุตบอล คุณจะรู้สึกอย่างไรหากเจ้านายของคุณอายุ 120 ปี แนวคิดต่างๆ
ของเขาเกิดข้นต้งแต่สมัยราชินีวิกตอเรียยังทรงครองราชย์ และมีแนวโน้มว่า


เขาจะยังเป็นเจ้านายคุณต่อไปอีก 20-30 ปี?

ในแวดวงการเมือง ผลลัพธ์ท่ได้อาจจะยิ่งน่าขนลุกมากข้นไปอีก คุณ

จะว่าอย่างไรหากปูตินยังคงอยู่ไปอีกนาน 90 ปี? คิดอีกที หากผู้คนมีอายุ
ได้ถึง 150 ปี ในปี ค.ศ. 2016 สตาลินก็น่าจะยังปกครองมอสโกอยู่อย่าง
แข็งขันในอายุ 138 ปี ประธานเหมาก็จะยังอยู่ในวัยกลางคนที่อายุ 123 ปี
และเจ้าหญิงเอลิซาเบธก็ยังคงต้องอดทนรอสืบทอดอานาจจากกษัตริย์จอร์จ


46 โฮโมดีอุส






ท่ 6 ทอายุ 121 ปี ส่วนโอรสคือเจ้าชายชาร์ลส์ก็จะยังไม่ได้สบราชสมบัต ิ
จนกว่าจะถึงปี ค.ศ. 2076
คราวนี้กลับมาสู่โลกของความจริง ยังไกลเกินกว่าจะแน่ใจได้จริงว่า
ค�าท�านายของเคิร์ซวีลและเดอ เกรย์จะเป็นจริงในปี ค.ศ. 2050 หรือ 2100
มุมมองแบบส่วนตัวของผมเองก็คือความหวังที่จะได้ความเป็นหนุ่มเป็นสาว

แบบนิรันดร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 ยังคงเป็นเรื่องยากเป็นไปได้ และใคร
ก็ตามที่เชื่อถือเรื่องเหล่านี้อย่างจริงๆ จังๆ คงจะต้องผิดหวังและขมขื่นเป็น
แน่ ไม่ง่ายเลยที่จะอยู่โดยรู้ตัวว่าคุณจะต้องตายสักวัน และจะยิ่งยากขึ้นไป

อีกที่จะเชื่อถือในความเป็นอมตะแต่ต้องพบกับผลการพิสูจน์ว่าเป็นไปไม่ได้
แม้ว่าค่าอายุขัยเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในศตวรรษที่แล้ว แต่ไม่มี

อะไรมารับประกันได้เลยว่าจะยืดอายุขัยไปแบบน้ได้อีกจนสามารถสรุป
ว่าเราสามารถเพิ่มได้อีกเท่าตัวเป็น 150 ปีในศตวรรษนี้ ในปี ค.ศ. 1900


อายุขัยเฉล่ยของท้งโลกไม่สูงไปกว่า 40 ปี เพราะคนจานวนมากตายเสีย

ตั้งแต่เด็ก ทั้งจากภาวะทุพโภชนาการ โรคติดเชื้อ และความรุนแรง กระนั้น
คนท่รอดพ้นจากความอดอยาก โรคระบาด และสงครามมาได้ก็มักจะมีอาย ุ

ยืนยาวไปจนถึงอายุ 70 ปีหรือ 80 ปีซ่งเป็นช่วงอายุตามธรรมชาติของ

โฮโมเซเปียนส์ ตรงกันข้ามกับความเชื่อทั่วไป อายุ 70 กว่าปีไม่ได้ถือเป็น


เร่องแปลกประหลาดหรือหายากตามธรรมชาติในศตวรรษก่อนเลย กาลิเลโอ
เสียชีวิตตอนอายุ 77 ปี ไอแซก นิวตันตอน 84 ปี และไมเคิลแองเจโล











มอายยนยาวจนถงวยสกงอมทอาย 88 ปี โดยไม่ต้องอาศยยาปฏชวนะ




การฉีดวัคซีน หรือการเปล่ยนถ่ายอวัยวะ (organ transplant) อันท่จริงแล้ว

บางครั้งแม้แต่ชิมแปนซีในป่าก็อายุถึง 60 กว่าปีได้ 29
ในความเป็นจริงแล้วยาสมัยใหม่ไม่ได้ยืดอายุขัยชีวิตตามธรรมชาต ิ
ออกไปมากนัก ความสาเร็จย่งใหญ่ของมันก็คือการช่วยชีวิตพวกเราไม่ให้


ตายก่อนวัยอันสมควรต่างหาก และช่วยให้เราสามารถมีความสุขสนุกสนาน


ได้เต็มท่กับช่วงปีต่างๆ ของเรา แม้ว่าปัจจุบันหากเราเอาชนะมะเร็ง เบาหวาน


และโรคร้ายจอมสังหารสาคัญอ่นๆ ก็จะหมายความเพียงแค่ว่าคนเกือบ
ทุกคนจะอยู่ได้จนอายุ 90 ปี แต่ก็ยังสามารถท�าให้อายุถึง 150 ปีได้ ไม่ต้อง


Click to View FlipBook Version