ประวัติศาสตร์รถถังโลก
THE WORLD’S GREATEST
TANKS
AN ILLUSTRATED HISTORY
ประวัติศาสตร์รถถังโลก
ประวัติศาสตร์รถถังโลก
THE WORLD’S GREATEST
TANKS
AN ILLUSTRATED HISTORY
ไมเคิล อี.แฮสกิว
สรศักดิ์ สุบงกช
THE WORLD’S GREATEST
TANKS
AN ILLUSTRATED HISTORY
ประวัติศาสตรรถถังโลก
ไมเคิล อี.แฮสกิว: เขียน
สรศักดิ์ สุบงกช: แปล
All right reserved
Copyright 2014 Amber Books Ltd, London
c
Copyright in the Thai translation year of publication
c
Thai edition 2018 Gypsy Group Co.,Ltd
c
Thai Translation, Gypsy Publishing Co.,Ltd
This book is pulished trough an arrangement with Bridge Communications Co.,Ltd.
Tel. 66 2645 4424 Email: [email protected]
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ. 2558
ขอมูลทางบรรณานุกรมของสำนักหอสมุดแหงชาติ
National Library of Thailand Cataloging in Publication Data
ไมเคิล อี.แฮสกิว
THE WORLD’S GREATEST TANKS AN ILLUSTRATED HISTORY ประวัติศาสตรรถถังโลก.-- กรุงเทพฯ : ยิปซี กรุป, 2561.
220 หนา.
1.รถถัง. I. ชื่อเรื่อง., II. สรศักดิ์ สุบงกช ผูแปล.
358.1883
ISBN 978-616-301-637-9
บรรณาธิการอำนวยการ: คธาวุฒิ เกนุย
บรรณาธิการบริหาร: สุรชัย พิงชัยภูมิ
ผูชวยบรรณาธิการบริหาร: วาสนา ชูรัตน
บรรณาธิการ: ธรรธร วีระสุรีย
กองบรรณาธิการ: คณิตา สุตราม พรรณิกา ครโสภา ดารียา ครโสภา สวภัทร เพ็ชรรัตน วนัชพร เขียวชอุม
เลขากองบรรณาธิการ: อรทัย ดีสวัสดิ์
พิสูจนอักษร: ชมพร ไชยลอม
ศิลปกรรม: คีย ริชเนสส
ผูอำนวยการฝายการตลาด: นุชนันท ทักษิณาบัณฑิต
ผูจัดการฝายการตลาด: ชิตพล จันสด
ผูจัดการทั่วไป: เวชพงษ รัตนมาลี
จัดพิมพโดย: บริษัท ยิปซี กรุป จำกัด เลขที่ 37/145 รามคำแหง 98 แขวง/เขตสะพานสูง กรุงเทพฯ 10240
โทร. 0 2728 0939 โทรสาร. 0 2728 0939 ตอ 108 www.gypsygroup.net
พิมพที่: บริษัท วิชั่น พรีเพรส จำกัด โทร. 0 2882 9981-2
จัดจำหนาย: บริษัท ยิปซี กรุป จำกัด โทร. 0 2728 0939 www.facebook.com/gypsygroup.co.ltd
สารบัญ
บทน�ำ 6 รถถังหลัก Centurion A41 (1945) 136
รถถังหลัก T-54/55 (1947) 1 4 0
จำกสงครำมโลกครั้งที่ 1 สู่สงครำมโลกครั้งที่ 2 8 รถถังเบำ AMX-13 (1952) 144
รถถัง Mark V Male (1917) 1 0 รถถังกลำง M-48 Patton (1952) 148
รถถัง Sturmpanzerwagen A7V (1918) 14 รถถังสะเทินน�้ำสะเทินบก PT-76 (1952) 152
รถถัง BT-5 (1932) 1 8 รถถังหลัก M-60 Patton (1960) 156
รถถังเบำ Type 95 Kyugo (1934) 2 2 รถถังหลัก T-62 (1961) 1 6 0
รถถังหนัก T-35 (1935) 2 6 รถถังหลัก Chieftain Mk5 (1963) 164
รถถังเบำ Panzer II Ausf F (1936) 3 0 รถถังหลัก Leopard 1 (1965) 168
รถถังหนัก Char B1 bis (1937) 3 4 รถถังหลัก Stridsvagn 103B (1967) 172
รถถังเบำ Panzer 38(t) (1938) 3 8 ยำนเกรำะลำดตระเวน FV107 Scimitar (1970) 176
รถถังทหำรรำบ Mk III Valentine (1939) 42 รถถังหลัก T-72 (1971) 1 8 0
รถถังกลำง Panzer III Ausf F (1940) 46 รถถังหลัก Merkava (1977) 184
รถถังหนัก KV-1A (1940) 5 0 รถถังหลัก Leopard 2 (1979) 188
รถถังกลำง Panzer lV Ausf F1 (1941) 54 ยำนรบทหำรรำบ M2 Bradlay (1981) 192
รถถังทหำรม้ำ MK Vl Crusader I (1941) 58 รถถังหลัก Challenger 1 (1982) 196
รถถังหนัก เชอร์ชิลล์ Mk IV (1941) 6 2 รถถังหลัก M1A1 Abrams (1985) 200
รถถังเบำ M3A3 Stuart (1941) 6 6 รถถังหลัก AMX-56 Leclerc (1991) 204
รถถังกลำง M3A3 General Lee (1941) 70 รถถังหลัก T-90 (1992) 2 0 8
รถถังเบำ T-70 (1942 ) 7 4 รถถังหลัก M1A2 Abrams (1996) 212
รถถังกลำง T-34 Model 1943 (1942) 78 รถถังหลัก Challenger 2 (1998) 216
รถถังหนัก Panzer VI Tiger Ausf E (1942) 82
รถถังกลำง M4A4 Sherman (1942) 8 6
รถถังกลำง Panzer V Panther Ausf D (1943) 90
รถถังหนัก KV-85 (1943) 9 4
ยำนรบ เชอร์ชิลล์ AVRE (1943) 9 8
รถถังกลำง T-34/85 (1944) 102
รถถังท�ำลำยทุ่นระเบิด Sherman Crab (1944) 106
รถถังกลำง Sherman VC Firefly (1944) 110
รถถังทหำรม้ำ ครอมเวลล์ Mk VIII (1944) 114
รถถังหนัก Tiger II “คิงไทเกอร์” (1944) 118
รถถังพิฆำต Jagdpanzer VI (1944) 122
รถถังเบำ M24 Chaffee (1944) 126
หลังสงครำมโลกครั้งที่ 2 ถึงปัจจุบัน 130
รถถังหนัก IS-3 (1945) 1 3 2
ประวัติศาสตร์รถถังโลก
บทน�า
ด้วยพละก�ำลังมหำศำลและควำมคล่องตัวสูง รถถังจึงมีศักยภำพเต็มเปี่ยมในกำรครองยุทธบริเวณ -
ี
ึ
ื
ี
อันเป็นศักยภำพท่ยังคงมีในสงครำมท่เกิดข้นมำตลอดเกือบร้อยปี และเม่อเทคโนโลยีด้ำนรถถังได้
พัฒนำไป ขีดควำมสำมำรถก็ยิ่งทวี
ี
ั
ถึงแม้ว่าต้นก�าเนิดจะย้อนไปได้ถึงลีโอนาร์โด ดา วินชี หรือไกล แต่รถถังหลายแบบในสงครามโลกคร้งท่ 1 ก็คือต้นแบบของยาน
ี
ถึงยุคทหารฟาแลงซ์ของชาวกรีกโบราณ รถถังยังเป็นอาวุธท่ทัน เกราะเพื่อใช้ท�าสงครามในอนาคต
สมัยอยู่จนถึงปัจจุบัน ด้วยเทคโนโลยีล�้าสมัยตามหลักนิยมของ ระหว่างสงครามโลกคร้งท่ 1 และ 2 เจ.เอฟ.ซี. ฟูลเลอร์
ี
ั
�
ี
ั
ื
ี
การทาสงครามภาคพ้นดิน เป็นท่ชนชมและครนคร้ามจากขด (J.F.C. Fuller) นายทหารและนักยุทธศาสตร์ชาวอังกฤษ คือ
ื
่
่
ี
ความสามารถด้านการบุกตะลุยทาลายล้าง รถถังจึงเป็น ต้นคิดด้านรถถังและส่วนประกอบท่เก่ยวข้อง พัฒนาไปอย่าง
�
ี
ยุทโธปกรณ์ที่อยู่ในใจของนักวางแผนด้านการทหารทั่วโลก ช้าๆ ในกองทัพของชาติต่างๆ และพัฒนาอย่างรวดเร็วใน
ิ
ิ
จากจุดเร่มต้น แนวความคิดด้านสงครามยานเกราะคือส่ง สงครามโลกครั้งที่ 2 มีนักรบผู้เปี่ยมด้วยเกียรติประวัติเช่นไฮนซ์
ท่มากระตุ้นให้เกิดนวัตกรรม ผู้ริเร่มแนวความคิดเก่ยวกับยานลา กูเดเรียน, แอร์วิน รอมเมิล, จอร์จ เอส. แพ็ตตัน และจอร์จ ี
ิ
ี
�
ี
ยักษ์ท่บุกตะลุยผ่านแนวหลุมเพลาะราวกับมังกรพ่นไฟใน ชูคอฟ คือผู้น�าทัพที่เห็นศักยภาพของยานเกราะในการชิงความ
ี
�
ุ
�
ั
�
่
้
ี
สงครามโลกครงท 1 ทาไดแควางพนฐานของอาวธอานาจทาลาย ได้เปรียบอย่างรวดเร็วจากจุดอ่อนของข้าศึก เสมือนใช้ม้าเหล็ก
่
ื
้
้
ี
�
ึ
ั
ล้างสูงท่กาลังจะเกิดข้นในอนาคตเท่าน้น แม้จะดูเทอะทะล้าสมัย ท�าสงคราม
ยำนรบทหำรรำบ M2/M3 ใช้เวลำพัฒนำอยู่หลำยปีและถูกวิพำกษ์จำก ควำมก้ำวหน้ำด้ำนยำนเกรำะ
รำคำท่แพงล่วและเกรำะท่ค่อนข้ำงบำง แต่มันก็ได้พิสูจน์ว่ำเป็นรถ สงครามโลกคร้งท่ 2 คือสนามทดลองอันกว้างใหญ่ของพลา
ิ
ี
ี
ั
ี
ั
สำยพำนล�ำเลียงพลช้นเลิศในกำรยุทธกับรถถังแบบต่ำงๆ ของอิรัก นุภาพ ความคล่องตัวและเกราะอันทันสมัย ท้งฝ่ายสัมพันธมิตร
ั
ระหว่ำงยุทธกำรพำยุทะเลทรำยและยุทธกำรอิรักเสรี
6
บทน�า
ระหว่ำงกำรเร่งฟื้นฟูก�ำลังรบของนำซีในช่วงทศวรรษ 1930 ทหำร
เยอรมันเตรียมรถถัง PzKpfw II รอกำรขนส่ง รถถังแบบนี้และแบบอื่น
ี
ี
ื
ของเยอรมันคือหัวหอกในกำรท�ำสงครำมสำยฟ้ำแลบ ท่กินพ้นท่เกือบ
ทั้งยุโรปในช่วงต้นสงครำมโลกครั้งที่ 2
�
ี
�
และฝ่ายอักษะได้ใช้รถถังท่ทรงพลังเป็นจานวนมาก จนทาให้เกิด
ั
ั
สงครามรถถังคร้งใหญ่หลายคร้ง เช่นในสมรภูมิเคิสก์, อาร์รากูร์,
เอล อาลาเมน และยุทธการตอกลิ่ม (Battle of the Bulge) อัน
เป็นท่รู้จักท่วไปในหมู่นักประวัติศาสตร์และทหารผ่านศึกท่ยังจา
ี
ี
ั
�
ได้ถึงวันคืนแห่งการสู้รบด้วยรถถังอย่าง ไทเกอร์ (Tiger), พันเธอร์
(Panther), T-34 และเชอร์แมน (Sherman)
ในช่วงต้นสงครามเย็น รถถังได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ
ี
่
ี
ี
เสรภาพและการกดข สหภาพโซเวยตได้ส่งออกรถถงประสทธ ิ
ิ
ั
ภาพสูงจานวนมากไปยังประเทศในกลุ่มกติกาสัญญาวอร์ซอและ
�
ประเทศอื่นๆ ที่ต้องการ ขณะที่สหรัฐฯ และอังกฤษเป็นผู้น�าใน
ื
การพัฒนายานเกราะเพ่อใช้ต้านทานกองทัพยานเกราะจากค่าย
ื
ิ
คอมมิวนิสต์ สงครามภาคพ้นดินในศตวรรษท่ 20 จึงเป็นส่งท ่ ี
ี
ี
ขาดรถถังไม่ได้ จนเป็นท่รู้กันว่าการรบทางบกจะประสบความ
�
สาเร็จไม่ได้หากปราศจากรถถังและทหารราบลาเลียงพลในรถ
�
หุ้มเกราะ สงครามสนามเพลาะจึงหมดสิ้นไปโดยปริยาย
ในช่วงต้นปี 1918 จอมพลเพาล์ ฟอน ฮินเด็นบูร์ก (Paul von
Hindenburg) แห่งจักรวรรดิเยอรมันได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “รถถัง
ู
ได้พัฒนาให้มประสิทธิภาพสงจนบุกข้ามแนวหลุมเพลาะได้สบาย
ี
ี
ข่มขวัญทหารของเราจนกระเจิดกระเจิง” ประเทศโลกท่สาม และสุดท้ายคือช่วงสงครามปลดปล่อย ต่อ
ต้านความอยุติธรรมจากการกดขี่
บุกตะลุยอย่ำงเฉียบคม ด้วยอ�ำนำจกำรยิงอันรุนแรง รถถังยงคงมพัฒนาการด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ในด้านการ
ี
ั
ความพ่ายแพ้หมดรูปของรถัง T-54/55, T-62 และ T-72 ของ ควบคุมการยิง, ระบบอาวุธ, การมองภาพด้วยความร้อน, เกราะ
ฝ่ายอิรัก ต่อรถถัง M1A1 เอบรัมส์ (Abrams), แชลเลนเจอร์ วัสดุคอมโพสิตและการควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ สามารถตรวจ
(Challenger) และยานรบอันทันสมัยอื่นๆ ของฝ่ายสัมพันธมิตร จับเป้าได้หลายเป้าพร้อมกัน ทั้งยังป้องกันตัวเองได้จากกระสุน
ื
�
ที่ยังผลให้ซัดดาม ฮุสเซนต้องถอยทัพจากคูเวตในปี 1991 ตาม ของยานเกราะอันร้ายแรง เพ่อให้พลประจารถได้รับความ
ด้วยการถูกโค่นอ�านาจในปี 2003 ท�าให้ศักยภาพของรถถังโดด ปลอดภัยสูงสุดในสนามรบสมัยใหม่
ึ
ื
เด่นข้นในฐานะเคร่องกาหนดผลลัพธ์ของสงครามภาคพ้นดินใน จากการต่อสู้ระหว่างรถถังกับรถถัง สู่การรบในเขตเมืองและ
�
ื
ชั่วข้ามคืน ต่อต้านการก่อการร้าย รถถังได้ถูกปรับเปล่ยนไปตามบทบาท
ี
รถถังหนักกว่า 50 ตัน ติดปืนใหญ่กระสุน 120 มม. หรือใหญ่ และหน้าท่ต่างๆ เผชิญหน้ากับอาวุธเช่นระเบิดแสวงเคร่อง หรือ
ื
ี
ั
ั
ั
กว่านี้ ได้กลายเป็นดาวเด่นของสนามรบไปแล้ว จากครั้งแรกคือ เผชิญกบยทโธปกรณ์อนทนสมยของฝ่ายตรงข้ามในทะเลทราย
ั
ุ
ช่วงเวลาของการ “ยันกัน” ด้วยก�าลังทางทหารอันร้อนระอุของ รถถังมีพัฒนาการอย่างต่อเน่องมาตลอด และยังคงเป็น
ื
�
สงครามเย็น ตามด้วยยุคของการทาสงครามตัวแทนในกลุ่ม ยุทโธปกรณ์ที่มีอิทธิพลต่อผู้น�าหน่วยรบภาคพื้นดินถึงปัจจุบัน
7
ประวัติศาสตร์รถถังโลก
8
จากสงครามโลกครั้งที่ 1
สู่สงครามโลกครั้งที่ 2
ระหว่างสงครามโลกทั้งสองครั้งในช่วงเวลายี่สิบกว่าปี
รถถังได้รับการพัฒนาไปมาก มันเป็นตัวเปลี่ยนเกมในสงครามยุคใหม่
น�าอ�านาจการยิงรุนแรง, ความคล่องตัวสูงและเกราะป้องกันอันแข็งแกร่งมาสู่สนามรบ
พร้อมกันนั้นก็ใช้อาวุธและเกราะหนักขึ้น, เร็วและคล่องตัวมากขึ้นในการสู้รบ
ในยุทธบริเวณนั้นยานเกราะคือตัวบุกทะลวงที่ส�าคัญ
หรือพูดให้เจาะจงลงไปได้ว่า รถถังคือปัจจัยส�าคัญในการสู้รบต่างๆ ในศตวรรษที่ 20
และเป็นยุทโธปกรณ์ส�าคัญที่สร้างประวัติศาสตร์
รถถังหนัก Tiger I ขณะแล่นบนถนนดิน เป็นรถถังเยอรมันที่ท�ำลำยรถถังฝ่ำยสัมพันธมิตรได้มำก แต่มีจุดอ่อนคือ
ควำมเร็วต�่ำและขำดควำมคล่องตัว
9
ประวัติศาสตร์รถถังโลก
รถถัง Mark V Male (1917)
Mark V ของประเทศอังกฤษ ผลิตขึ้นในช่วงปลำยปี 1917 มีกำรปรับปรุงมำแล้วมำกมำยในรุ่นก่อนๆ
โดยเฉพำะ Mark I ที่เคยสร้ำงประวัติศำสตร์มำแล้วในสมรภูมิเมืองซอมม์เมื่อปี 1916 Mark V Male
นอกจำกจะประจ�ำกำรในช่วงปลำยสงครำมโลกครั้งที่ 1 แล้วยังประจ�ำกำรต่อมำในช่วงหลังสงครำม
ั
ี
ั
ในช่วงปลายสงครามโลกคร้งท่ 1 มีรถถังรุ่นย่อยๆ ท้งหมด 9 รุ่น ถังที่ทันสมัยกว่ารุ่นก่อนๆ คือ Mark IV
ของ Mark I ประจาการอยู่ในหลายสนามรบของแนวรบด้าน Mark V Mal เข้าประจ�าการในช่วงปลายสงครามของกองทัพ
�
ตะวันตก ในจานวนน้มี Mark V Male รวมอยู่ด้วย เดิมถูก อังกฤษ, ฝรั่งเศส, แคนาดาและสหรัฐอเมริกา มีบทบาทในการ
ี
�
ออกแบบให้เป็นยานรบทหารราบ แต่ในท่สุดก็นาคุณลักษณะ รบจริงน้อยมาก ส่วนใหญ่ใช้ในศึกเลอ อาเมล (Battle of Le
�
ี
หลายๆ อย่างของรถถังรุ่นก่อนๆ มาผสมผสานจนกลายเป็นรถ
ห้องพลขับ
Mark V เป็นรถถังคันแรกของโลกที่ใช้พลขับ
คนเดียว กระปุกเกียร์แบบโรตารีของวิลสัน
พลปืนอยู่ด้านขวาของผู้ขับข่ในส่วนข้างหน้า
ี
ของรถถัง
10
Mark V Male
ึ
ี
ั
Hamel) ในช่วงฤดูร้อนปี 1918 แตกต่างจากรุ่นก่อนๆ ตรงท ช่วโมง ซ่งถือว่าทันสมัยท่สุดแล้วของฝ่ายสัมพันธมิตรช่วงปลาย
ี
่
ื
สามารถลุยข้ามสนามเพลาะและหลุมบุคคลได้ง่ายด้วยความยาว สงคราม ก็ยังมีอยู่หลายจุดท่ได้รับการปรับปรุง อาทิ เคร่องยนต์
ี
ตลอดคัน 4.11 เมตร เพื่อเปิดทางให้ทหารราบบุกผ่านแนวลวด เบนซินริคาร์โด 6 สูบ 150 แรงม้า ออกแบบโดยแฮร์รี ริคาร์โด
็
้
์
หนามที่เคยเป็นอุปสรรคส�าคัญ (Harry Ricardo) ใหเปนเครื่องยนตเฉพาะรถถังแบบแรกของโลก
ควำมก้ำวหน้ำด้ำนเทคโนโลยี
แม้ว่าน�้าหนักของรถถังที่มากถึง 29 ตัน ท�าให้พิสัยท�าการของ มุมมองด้ำนหลังของรถถัง Mark V Mal แสดงให้เห็นป้อมปืนใหญ่ขนำด
6 ปอนด์ ต�ำแหน่งสำยพำนวำงตลอดแนวบน/ล่ำง และไม้หมอนที่ช่วย
Mark V Mal ใกล้แค่ 72 กม. และใช้งานต่อเนองได้เพยง 10 กำรเคลื่อนที่ในบริเวณดินโคลน
ื
่
ี
ไม้หมอน
ี
�
ทาหน้าท่คล้ายไม้หมอนรองรางรถไฟ ประกอบติดหลัง
รถถัง Mark V ไว้ด้วยโซ่ ใช้พาดลงในแอ่งโคลนให้รถ
ถังแล่นทับเคลื่อนผ่านไปได้ไม่ติดหล่ม
เกรำะ
เกราะของ Mark V หนา 6 - 14
ื
มม. เพ่อป้องกันปืนเล็กยาว แต่
ป้องกันกระสุนปืนใหญ่และ
กระสุนเครื่องยิงลูกระเบิดของ
ฝ่ายเยอรมันไม่ได้
เครื่องยนต์
เครื่องยนต์เบนซิน ริคาร์โดของ
Mark V ให้พลังขับเคลื่อน 150
แรงม้า ท�าความเร็วได้มากกว่า
Mark IV เป็นเครื่องยนต์เฉพาะ
ี
สาหรับรถถังแบบแรกท่ถูกสร้าง
�
ขึ้น
11
ประวัติศาสตร์รถถังโลก
ื
ื
�
ี
ถึงมุมส่ำยจะจ�ำกัด แต่ปืนใช้กระสุน 6 ปอนด์ 2 กระบอก ด้ำนข้ำงของ เคร่องยนต์ใหม่น้ทาความเร็วสูงสุดได้ 7.4 กม./ชม. ติดเคร่อง
Mark V Mal ก็ให้พลังกำรยิงที่รุนแรง ในขณะที่ตัวรถซึ่งถูกปรับปรุงแล้ว ด้วยการใช้ทหารส่นายหมุนคันโยก ทหารอีกหน่งนายเปิด
ี
ึ
ื
ี
ื
ท�ำให้เคล่อนท่ผ่ำนพ้นท่วิบำกของสนำมรบได้ง่ำยข้น ควำมคล่องตัวท ี ่
ี
ึ
เพิ่มขึ้นนี้ท�ำให้ทหำรรำบรุกไปพร้อมรถถังได้ดีขึ้น สวิทช์แม็กนีโตสตาร์ท ติดเครื่องได้ยากในอากาศหนาวจัด โดย
ต้องอุ่นแต่ละกระบอกสูบและเผาหัวเทียนเสียก่อน
่
การเพมกระปุกเกียร์แบบโรตารีของวิลสันเข้าไปทาให้ไม่ต้อง
ิ
�
ี
ใช้พลขับคนท่สองเพ่อเล้ยวรถ และมีไม้หมอนติดรถไว้ช่วยข้าม
ี
ื
คุณลักษณะ
หลุม, แนวหลุมเพลาะหรือดินโคลน ในขณะท่รถถังรุ่นก่อนๆ
ี
สัดส่วน ยาว: 8.5m (27ft) อาจต้องจอดทิ้งไว้เมื่อพบอุปสรรคท�านองนี้
กว้าง: 4.11m อ�านาจการยิงของ Mark V Mal ถูกปรับปรุงให้รุนแรงขึ้นด้วย
สูง: 2.64m (8ft 7in) ปืนใหญ่ป้อมข้างขนาด 6 ปอนด์ (57 มม.) สองกระบอก กับปืน
กลฮ็อทช์คิสส์ (Hotchkiss) Mk 1 ขนาด 7.7 มม. สี่กระบอก ส่วน
น�้ำหนัก 29.5 tonnes (29 tons) Mark V Female จะเบากว่าเล็กน้อยและมีอาวุธเพียงปืนกลวิค
เครื่องยนต์ เบนซิน Ricardo 6 สูบ 110kW (150hp) เคอร์ส (Vickers) ขนาด 7.7 มม. สี่กระบอก ปืนทั้งหมดติดตั้งอยู่
ควำมเร็ว 7.4km/h (5mph) หลังโล่ทรงกลมให้ปืนหมุนได้ 60-90 องศา เปลี่ยนจากเดิมที่ยิง
ื
ุ
อำวุธ อาวธหลัก: ปนใหญ 6pdr (57mm/2.34in) จากช่องของ Mark IV หรือรุ่นก่อนๆ พลประจ�ารถมี 8 นาย คือ
่
2 กระบอก ผู้บังคับรถ, พลขับ, พลปืนใหญ่รถถัง 2 นาย และพลปืนกล 4
อาวธรอง: ปืนกล Hotchkiss 7.7mm นาย
ุ
(0.303in) 4 กระบอก รถถังสองรุ่นท่แตกรุ่นออกไปของ Mark V ท่ถูกใช้ในช่วงปลาย
ี
ี
เกรำะ 6-14mm (0.24-0.55in) สงครามแทบไม่ได้ออกรบเลย Mark V มีตัวรถที่ยาวขึ้นเพื่อให้
พิสัยท�ำกำร 72km (45 miles) ข้ามแนวสนามเพลาะได้ง่ายขึ้น ในขณะที่ Mark V มีความยาว
พลประจ�ำรถ 8 นาย และความกว้างเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนตามกัน Mark V จ�านวน 400
คัน ผลิตขึ้นตลอดสงคราม โดยแบ่งเป็นแบบ Male และ Female
12
Mark V Male
อย่างละครึ่ง รวม Mark V ผลิตออกมาทั้งสิ้น 600 คัน ระหว่าง หลายหลักนิยมใหม่ที่น�ามาใช้คือให้ทหารราบเคลื่อนที่ไปพร้อม
ี
ั
และหลังสงคราม แต่มีเพียง 25 คันเท่าน้นท่เสร็จสมบูรณ์ใช้ รถถังแทนที่จะเดินตาม
งานได้ พลตรี เจ.เอฟ.ซี. ฟูลเลอร์ หนึ่งในกลุ่มผู้บุกเบิกด้านสงคราม
รถถังตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ให้ข้อคิดเห็นว่าการรบที่เลอ
ศึกเลอ อำเมล อาเมล คือความส�าเร็จครั้งส�าคัญด้านการรุกรบอย่างรวดเร็วใน
�
ื
เม่อกองทัพออสเตรเลียกับอเมริกันโจมตีกองกาลังส่วนหน้าของ เวลาอันสั้น อันเป็นหัวใจส�าคัญของการรบด้วยรถถัง
เยอรมันท่บริเวณเลอ อาเมล ในวันท่ 4 กรกฎาคม 1918 ท้งสอง
ี
ี
ั
กองทัพใช้รถถัง Mark V จากกองพลน้อยที่ 5 ของกองทัพรถถัง ระหว่ำงสงครำมโลกครั้งที่ 1 และ 2
ื
ี
ั
อังกฤษ จ�านวน 60 คัน สนับสนุนโดยยานเกราะล�าเลียง 4 คัน หลังสงครามโลกคร้งท่ 1 Mark V ยังคงผลิตต่อมาเพ่อใช้ใน
ั
�
สามารถยึดที่มั่นได้ในเวลาเพียง 93 นาที จนท�าให้ชาร์ลส์ บีน กองทัพอังกฤษ ศึกรถถังคร้งสาคัญคือการยุทธทางตอนเหนือ
ี
(Charles Bean) นักประวัติศาสตร์ออสเตรเลียนตั้งข้อสังเกตกับ ของรัสเซีย ท่ฝ่ายรัสเซียขาวใช้ระหว่างสงครามกลางเมืองรัสเซีย
ั
ี
ั
ยุทธการคร้งน้ “จะกลายเป็นต้นแบบของการโจมตีคร้งต่อไปของ ในช่วงปี 1917-1922 Mark V ยังคงประจาการอยู่ในกองทัพแดง
�
ทหารราบอังกฤษ” ของสหภาพโซเวียตจนถึงทศวรรษ 1930 และบางส่วนสันนิษฐาน
่
ในยทธการทใช้ Mark V ทงแบบ Mal และ Female ฝ่าย ว่าประจ�าการมาจนถึงปลายปี 1941 มีข้อมูลที่ไม่ยืนยันอยู่หนึ่ง
ี
ั
้
ุ
สัมพันธมิตรได้พัฒนายุทธวิธีให้รบร่วมกับยานเกราะ และนามา ชิ้นระบุว่า Mark V ที่ฝ่ายเยอรมันยึดได้ถูกน�ามาใช้ป้องกันกรุง
�
ื
ี
ใช้เพ่อให้รุกรบได้รวดเร็วในทุกแนวรบท่ใช้ยานเกราะ หน่งใน เบอร์ลินในปี 1945
ึ
Mark V ในบทบำทเชิงรุก
จากชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรในศึกเลอ อาเมล ทหารออสเตรเลียนนายหนึ่งได้ตั้งข้อสังเกตว่าการใช้ Mark V ในสนามรบนั้นไม่
ได้ลดทอนอ�านาจการยิงของทหารราบลงเลย แต่กลับท�าให้รบด้วยความมั่นใจยิ่งขึ้น ยิ่งกว่านั้นยังช่วยให้ทหารมีจิตใจรุกรบมากขึ้น
ด้วย
ุ
ั
ั
ั
่
่
ี
็
�
ั
้
ี
่
่
่
แมวาการรบรวมระหวางทหารราบและรถถงทเลอ อาเมล จะประสานงานกนไดไมดนก แตกมสวนสาคญในการจบกมเชลยทหาร
่
ั
ี
่
้
เยอรมันได้มาก เมื่อกองพันทหารราบถูกตรึงไว้ด้วยม่านกระสุนปืนกลจากฝ่ายเยอรมัน Mark V ก็บุกฝ่าเข้าไปบดขยี้ได้โดยง่าย ใน
�
หมู่บ้านแห่งหน่งของอาเมลสามารถยิงทาลายท่ม่นในอาคารของฝ่ายเยอรมันได้ดี รวมท้งทาลายท่ม่นในถนนสายแคบๆ ได้ด้วย
ั
ี
ั
ั
ี
�
ึ
ปืนกล
Mark V จึงเป็นปัจจัยส�าคัญของ
ชัยชนะครั้งน้น ฝ่ายสัมพันธมิตรเสีย
ั
รถถังไป 5 คัน พลประจ�ารถบาดเจ็บ
และเสียชีวิต 13 นาย
ภาพขวา ทหารอังกฤษผู้ไม่คุ้น
�
เคยกับรถถัง Mark V Male กาลัง
ตรวจสอบอาวุธชนิดใหม่นี้ ระหว่าง
ช่วงพักในแนวรบด้านตะวันตก รถถัง
อีกคันห่างออกไปทางด้านหลังนั้นยัง
ติดหล่มอยู่
13
ประวัติศาสตร์รถถังโลก
รถถัง Sturmpanzerwagen A7V
(1918)
เมื่อกองทัพรถถังอังกฤษมำถึงแนวรบของสงครำมโลกครั้งที่ 1 ในปี 1916 ฝ่ำยเยอรมันก็เร่งก้ำวตำม
ี
ึ
ให้ทันในด้ำนเทคโนโลยีแขนงน้ซ่งเป็นอุปสรรคส�ำคัญในสงครำมสนำมเพลำะ แต่กว่ำ A7V จะเข้ำประจ�ำ
กำรได้ก็ล่วงเข้ำปี 1918 และมีเพียงจ�ำนวนน้อย
ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1916 ทหารราบเยอรมันในแนวรบเมืองซ็อมม์ อำวุธ
(Somme) ต้องเผชิญกับอาวุธใหม่อานุภาพร้ายแรง คือยานรบ อาวุธหลักของ A7V คือปืนใหญ่ 57 มม. L/12 Maxim-Nor-
�
ั
denfelt แบบแรงถอยช่วงส้น ใช้กระสุน 57 มม.จานวน 500
ื
หุ้มเกราะแบบแรกของอังกฤษท่ต่อมามีช่อเรียกเป็นสากลว่า “รถ นัด เก็บในส่วนที่อยู่ของพลประจ�ารถ
ี
ถัง” ที่อุบัติขึ้นเพื่อเปลี่ยนหลักนิยมเดิม ที่ทหารต้องยิงจากหลุม
ี
�
บุคคลของตนแล้วมีการบุกฝ่าแนวรบเข้าทาลายท่ม่นท่ามกลาง
ั
ห่ากระสุนปืนเล็กและปืนใหญ่
�
บรรดาผู้นาทัพฝ่ายเยอรมันจึงตระหนักอย่างรวดเร็วถึงภัย
คุกคามจากรถถัง และในวันที่ 13 พฤศจิกายน 1916 เพียงไม่กี่
สัปดาห์หลังการเผยโฉมของรถถังอังกฤษในยุทธภูมิซ็อมม์ จึงเร่ม
ิ
ิ
สร้างรถถังข้นบ้าง ท้งทการวจัยและพัฒนาด้านยานเกราะของ
ั
ึ
่
ี
�
เยอรมันน้นมีมาแต่ปี 1911 มีคณะกรรมการออกแบบนาโดย
ั
เกรำะ
เกราะของ A7V หนา 20-30 มม. เพื่อ
ความปลอดภัยของพลประจ�ารถทั้ง 18
�
ี
นาย หากใช้เกราะหนากว่าน้จะทาให้รถ
ี
ถังหนักข้นจนเคล่อนท่ช้าลง โดยเฉพาะ
ื
ึ
ในแนวรบด้านตะวันตก
Sturmpanzerwagen A7V รถถังประจ�ำกำรแบบแรกของกองทัพเยอรมัน
ิ
ู
เข้ำส่กำรส้รบครงแรกในยทธกำรมคำเอลในฤดใบไม้ผลปี 1918 มีจด
ุ
ุ
ิ
้
ั
ู
ู
บกพร่องให้เห็นได้ไม่นำนหลังจำกเข้ำประจ�ำกำร เป็นสิ่งส�ำคัญที่ท�ำให้
ึ
วิศวกรยำนยนต์เยอรมันได้เรียนรู้บทเรียนอันมีค่ำ ซ่งจะส่งผลอย่ำง
ส�ำคัญต่อกำรสร้ำงรถถังและยำนเกรำะในอนำคต
14
Sturmpanzerwagen A7V
ร้อยเอกโยเซฟ โฟลล์เมอร์ (Joseph Vollmer) ผู้เป็นวิศวกรคน กล่องสี่เหลี่ยมครอบสำยพำน
ี
ิ
ี
ั
ี
้
สาคัญแห่งกองทัพบกเยอรมัน แต่ผลงานท่ปรากฏคือ Sturm- ในความพยายามจะไล่ตามนวัตกรรมด้านรถถงให้ได้น ทมวศวกร
�
ึ
ั
่
panzerwagen A7V นยงไม่ได้เข้าส่สนามรบ จนกระทงถงช่วง เยอรมันจงได้ประดิษฐ์รถถงหนก 35.8 ตน รถแทรกเตอร์ที่ครอบ
ั
ั
ั
ึ
้
ั
ู
ี
ื
ื
ี
วิกฤติคือระหว่างยุทธการมิคาเอล (Michael Offensive) อันถือ ด้วยกล่องเหล็กน้แล่นได้ดีบนพ้นราบ แต่กลับเสียเปรียบในพ้นท ี ่
ั
ิ
เป็นการรุกใหญ่คร้งสุดท้ายของฝ่ายเยอรมันระหว่างสงครามโลก เป็นหลุมเป็นบ่อของแนวรบด้านตะวันตกต้งแต่เร่มใช้งาน ผู้
ั
�
ครั้งที่ 1 ในวันที่ 21 มีนาคม 1918 บังคับการกับพลขับอีกสองนายน่งอยู่ในส่วนยกกลางลาตัว ทาให้
ั
�
กำรบังคับรถ
�
ผู้บังคับรถและพลขับสองนายมีตาแหน่ง เครื่องยนต์
ื
ั
น่งบนป้อมปืนยกกลางตัวรถถัง เป็น เคร่องยนต์คู่ ไดม์เลอร์
็
�
ี
ตาแหน่งท่มองเหนได้ชดบนตวถังท่ใหญ่ เบนซ์ 4 สูบ ติดกลางล�า
ี
ั
ั
�
ื
มหึมา แต่ละเคร่องให้กาลัง
74.6 กิโลวัตต์ หรือ 100
แรงม้า ท่ 1800 รอบ/
ี
นาที
15
ประวัติศาสตร์รถถังโลก
ึ
มีส่วนสูงเพิ่มรวม 3.5 เมตร ท้องรถสูงจากพื้น 40 มม. จึงบุก มีปืนกลหลำยกระบอกกับปืนใหญ่หน่งกระบอก รถถัง A7V ของเยอรมัน
ข้ามสนามเพลาะหรือพื้นที่วิบากและเนินลูกเล็กๆ ได้ยาก รถถัง จึงเป็นอำวุธที่ข้ำศึกครั่นคร้ำม แม้จะยิงได้ไม่แม่นนักและควำมสูงเด่นก็
ท�ำให้ตกเป็นเป้ำกระสุนปืนใหญ่ได้ง่ำยด้วย
คุณลักษณะ
รุ่น A7V จะเล้ยวด้วยการหมุนพวงมาลัยและคันโยก มีแป้น
ี
สัดส่วน ยาว: 8m (26ft 3in) เหยียบคลัทช์คู่เพื่อส่งหรือหยุดก�าลังเครื่องยนต์
กว้าง: 3.2m (10ft 6in) เกราะหนา 20-30 มม. ของ A7V ปกป้องพลประจ�ารถได้ดี
สูง: 3.5m (11ft 6in) กว่ารถถังอังกฤษ แต่ความเร็วตาและตัวรถสูงมากจนกลายเป็น
�
่
ี
น�้ำหนัก 32.5 tonnes (31.9 tons) เป้าปืนใหญ่ได้ชัด มีอานาจการยิงท่รุนแรงในบางสภาพแวดล้อม
�
เครื่องยนต์ Daimler-Benz 165204 เครื่องยนต์คู่ 4 จากปืนใหญ่กระสุน 57 มม. มักซิม-นอร์เดนเฟลท์ (Maxim-Nor-
�
ื
ื
สูบเรียง กาลังขับเคล่อนเคร่องละ 74.6kW denfelt) ท่มีมุมเบนลากล้องน้อย กับปืนกล MG08/15 ขนาด
ี
�
(100hp) ที่ 1800rpm 7.92 มม. 6 กระบอก ภายในรถท่คับแคบเป็นท่อยู่ของพลประจา
�
ี
ี
ควำมเร็ว 8kmh (5mph) รถทั้ง 18 นาย คือผู้บังคับรถ, พลขับ, พลปืนกล, พลปืนใหญ่รถ
อำวุธ อาวุธหลัก: ปืนใหญ่ 57mm (2.24in) L/12 ถังและพลบรรจุกับพลกระสุน
Maxim-Nordenfelt แรงถอยช่วงส้น ใช้ A7V ที่ถูกออกแบบมาให้เป็นยานอเนกประสงค์นี้ มีรุ่นย่อย
ั
กระสุน 500 นัด 1 กระบอก 4 รุ่นคือ Überlandwagen รถล�าเลียงสัมภาระเปิดโล่ง ขณะที่รุ่น
อาวุธรอง: ปืนกล 7.92mm (0.31in) A7V/U เป็นรถสายพานติดปืนคู่ 57 มม. ส่วนรุ่น A7V/U2 ใช้
ุ
MG08/15 ใช้กระสน 18,000 นด 6
ั
ี
กระบอก สายพานแคบลง และรุ่น A7V/U3 เป็นแบบ “Female” ท่ติดเฉพาะ
เกรำะ 20-30 มม. ปืนกล มีเพียง Überlandwagen กับ A7V/U เท่านั้นที่ถูกสร้างขึ้น
�
ี
�
พิสัยท�ำกำร ทางเรียบ: 80km (50 miles) ประจาการจริง Überlandwagen คือรถถังแบบเดียวท่สาเร็จใช้
งานได้เพียง 75 คัน ส่วน A7V/U ส�าเร็จแค่คันต้นแบบ ไม่ได้เข้า
ทางวิบาก: 30km (18 miles) ประจ�าการ
พลประจ�ำรถ 18 นาย มีรถถัง A7V เพียง 20 คันเท่านั้นเข้าประจ�าการในช่วงปลาย
16
Sturmpanzerwagen A7V
ิ
ั
สงครามโลกครั้งที่ 1 จุดบกพร่องอันมากมายท�าให้มันมีจ�านวน กนภายใต้การนาของร้อยโทแฟรงค์ มทเชลล์ (Frank Mitchell)
�
�
�
ี
น้อยจนไม่ทันกับจานวนรถถังอังกฤษท่เข้าประจาการกว่า 7,700 รถถังคันหน้าสุดของอังกฤษเป็นแบบ Male ติดปืนใหญ่ 6 ปอนด์
คัน แม้ฝ่ายเยอรมันจะพัฒนารถถังต่อมาอีกหลายแบบจนถึง ส่วนอีกสองคันเป็นแบบ Female ติดปืนกล ในช่วงต้นของการสู้
ปลายปี 1918 แต่ก็ไม่มีแบบใดเลยท่เข้าประจาการได้ก่อนการ รบน้น Mark IV แบบ Female สองคันถูกยิงเสียหายต้องออกจาก
ี
ั
�
สงบศึก การรบไป
มิทเชลล์ยังสู้ต่อจนทาลายรถถังเยอรมันคันแรกช่อ นิกเซอ
ื
�
ศึกรถถัง (Nixe) ของร้อยตรีวิลเฮล์ม บิลท์ซ (Wilhelm Biltz) ผู้รอดจาก
ึ
ี
การรบด้วยรถถังต่อรถถังท่ถูกบันทึกไว้เป็นครั้งแรก เกิดข้น สงครามมาเป็นนักเคมีและนักเขียนผู้มีชื่อเสียง นิกเซอเสียหาย
ระหว่างฝ่ายเยอรมันบุกเข้ายึดหมู่บ้านวิลาเฌอ-เบรอต็องโนซ์ จากการระดมยงของรถถงองกฤษทงสามคน พลประจารถฝ่าย
ั
ิ
้
ั
�
ั
ั
ี
(Villers-Bretonneux) ทางภาคเหนือของฝร่งเศส ในวันท่ 24 เยอรมันห้านายเสียชีวิตขณะหลบหนีออกจากตัวรถ ส่วน Mark
ั
ิ
ี
ั
เมษายน 1918 เมอฝ่ายเยอรมันรกด้วยกาลงทหารราบพร้อม IV ของมิทเชลล์กเสยหายหนักเช่นกนจากกระสนเครองยงลูก
ั
�
ื
่
่
ื
็
ุ
ุ
�
A7V จานวน 15 คัน เข้าสู่เมืองอาเมียงส์ (Amiens) ของเบลเยียม ระเบิดของฝ่ายเยอรมันจนต้องสละรถ ส่วนอีกสองคันท่เสียหาย
ี
�
รถถังเยอรมันสามคันเผชิญหน้ากับรถถัง Mark IV ในจานวนเท่า นั้นต่อมาได้รับการกู้ซ่อมเรียบร้อย
A7V ในสมรภูมิ วิลาเฌอ-เบรอต็องโนซ์ เม่อ 24 เมษายน 1918 รถถัง A7V หน่ง ึ
ื
คันถูกยิงเสียหาย สองคันล่าถอยไปท่ามกลางการระดมยิง ส่วน
ั
ุ
ู
ควนและฝุ่นคล้งตลบอยู่รอบ A7V ของเยอรมัน ขณะเข้าส้รบ ของอังกฤษเสียหาย Mark IV หนึ่งคัน และ Whippet สี่คัน
ั
ึ
บริเวณโรงนาร้างแห่งหน่งในฝร่งเศส ระหว่างการรุกคร้งใหญ่ของ Sturmpanzerwagen A7V ท่ยังเหลืออยู่คันเดียวน้ช่อ
ั
ี
ี
ื
ี
ั
ั
ี
้
ั
ื
ฝ่ายเยอรมันในสงครามโลกคร้งท่ 1 รถถัง A7V ถูกออกแบบและ Mephisto ปัจจบนตงแสดงอย่ทพพธภณฑ์ควนส์แลนด์เมอง
ี
่
ู
ิ
ุ
ั
ิ
ั
้
่
�
ี
่
ั
่
่
ิ
ี
ี
ี
ู
้
้
ผลตอยางเรงรบ มเพยง 20 คนเทานนทประจาการไดในฤดใบไม บริสเบน ออสเตรเลีย และเชื่อกันว่าเป็นหนึ่งในรถถังเยอรมัน
ผลิปี 1918 จนถึงวันสงบศึกในปีเดียวกัน ทเคยเขาสรบกบรถถงขององกฤษมาแลวในวลาเฌอ-เบรอตอง
้
ู
้
็
ั
ั
่
ิ
้
ั
ี
ี
ั
ี
การยุทธระหว่างรถถังท่ได้รับการบันทึกไว้เป็นคร้งแรกท่เมือง โนซ์
17
ประวัติศาสตร์รถถังโลก
รถถัง BT-5 (1932)
ี
BT-5 คือรถถังในซีรีส์ BT ของสหภำพโซเวียตในรุ่นท่ปรับปรุงอำวุธหลักแล้ว ท้งรุ่นที่เป็นรถถังเบำหรือ
ั
รถถังทหำรม้ำน้เข้ำสู่สำยกำรผลิตช่วงปลำยปี 1932 ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่ำเหนือกว่ำรถถังร่วมสมัย
ี
อื่นๆต่อมำจนสิ้นทศวรรษ
ื
เม่อพิจารณาถึงโครงร่างของ BT-5 จะพบว่ามันคล้ายคลึงกับรถ
ถัง T-34 อันลือลั่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเย็น ป้อมปืน
BT-5 ได้รับการปรับปรุงขนานใหญ่ในด้านการออกแบบ
ความจริงคือรถถัง BT หรือ Bystrokhodny เป็นรถต้นแบบของ ป้อมปืน เม่อเทียบกับรนกอนคอ BT-2 ปอมปืนท่ใหญ่กว่า
ุ่
ื
่
้
ี
ื
ั
�
ื
T-34 สุดยอดรถถังตลอดกาล ซ่งช่อเต็มของมันมีความหมายว่า และเป็นทรงกระบอกทาให้หมุนได้ง่าย ท้งยังเก็บกระสุน
ึ
่
ี
ี
ื
“รถถงความเรวสง” และมขดความสามารถสมชอระหว่างช่วง ได้ดีและมีทัศนวิสัยที่ดีขึ้น
ั
็
ู
เวลาการผลิตตั้งแต่ปี 1930 ถึง 1941
อำวุธหลัก
อาวุธหลักของรถถังเบา BT-5
คือปืนใหญ่ขนาด 45 มม. ที่
เพ่มขนาดจากเดิมคือ 37 มม.
ิ
ื
ี
ซ่งถือว่าใหญ่ท่สุดแล้วเม่อ
ึ
เทียบกับรถถังเบาของข้าศึก
ระบบกันสะเทือนของคริสต ี
นวัตกรรมระบบกันสะเทือน
�
ของคริสตี ทาให้รถถังเบา
�
ั
BT-5 ทาความเร็วได้ดีท้งบน
ทางเรียบและทางวิบาก โดย
ครสตเป็นนกออกแบบรถถง ั
ี
ั
ิ
ึ
่
ชาวอเมรกันซงงานของเขา
ิ
ถูกรัฐบาลสหรัฐฯ ปฏิเสธ
18
BT-5
วอลเทอร์ คริสตี ถังที่ผลิตใช้งานคือ BT-2 เริ่มผลิตที่โรงงานคาร์คอฟ (Kharkov
นับว่าแปลกท่ต้นกาเนิดของ BT และ T-34 มาจากนักแข่งรถและ Komintern Locomotive) ในยูเครนช่วงต้นปี 1932 แล้วต่อจาก
�
ี
ช่างยนต์ชาวอเมริกันชื่อวอลเทอร์ คริสตี (Walter Christie) หลัง นั้นก็ผลิตรถถังรุ่นนี้ออกมาอีก 600 คัน BT-2 ติดปืนขนาด 37
จากกรมสรรพาวุธของกองทัพบกสหรัฐฯ ปฏิเสธจะผลตรถถังต้น มม. รุ่น 30 และรุ่น M5 ใช้เครื่องยนต์เบนซินให้พลังขับเคลื่อน
ิ
แบบของคริสตมากกว่าหนงครง ฝ่ายโซเวยตกซอพิมพ์เขยวนน 400 แรงม้า อาวุธรองคือปืนกล DT ขนาด 7.62 มม. หน่ง
ึ
ี
็
้
ื
้
ั
ี
ั
้
่
ี
ึ
กับต้นแบบท่ไม่มีป้อมปืนสองคันนากลับไปประเทศตน ในฐานะ กระบอก น�้าหนักรวมคือ 10 ตัน และเกราะหนา 6-13 มม.
ี
�
�
ี
“รถแทรกเตอร์ใช้งานทางเกษตรกรรม” BT-2 คือรถถังประจาการรุ่นแรกท่แสดงให้เห็นถึงอัจฉริยภาพ
ฝ่ายโซเวียตกระตือรือร้นมากในการปรับปรุงและดัดแปลงรถ ของวอลเทอร์ คริสตี และนวัตกรรมช้นโดดเด่นคือระบบกัน
ิ
ต้นแบบของคริสตี ด้วยการออกแบบตั้งแต่ BT-1 ถึง BT-4 รถ สะเทือนใช้ล้อกดสายพานหุ้มขอบยางติดขดสปริง ล้อยางตันนี้
เกรำะลำดเอียง
ิ
ในทศวรรษ 1930 ฝ่ายโซเวียตเร่ม
พัฒนารถถังท่มีเกราะลาดเอียง เพ่อ
ี
ื
การป้องกนได้ดขนจากความลาดของ
ั
ี
้
ึ
เกราะ BT-5 จึงคล้ายกับรถถัง T-34 รุ่น
ต่อมา สำยพำนถอดเปลี่ยนได้
รถถังเบา BT-5 รุ่นแรกๆ พลประจ�ารถ
สามารถถอดสายพานออกได้เร็ว เพ่อ
ื
เปล่ยนรถถังไปใช้งานในรูปรถใช้ล้อ
ี
ปกติได้ เมื่อพบเส้นทางที่มีสภาพดีพอ
19
ประวัติศาสตร์รถถังโลก
ประวัติศาสตร์รถถังโลก
ี
�
ดูดซับแรงสะเทือนจากเส้นทางวิบากได้ดีและทาให้รถถังทาความ รถถังเบำรุ่นย่อยท่แตกจำกรุ่นหลักคือ BT-7A ติดปืนใหญ่วิถีโค้ง 76.2
�
เร็วได้สูง บนถนนเรียบนั้นระบบกันสะเทือนของคริสตียังช่วยให้ มม. หนึ่งกระบอก มีไม่กี่คันเท่ำนั้นที่ได้เข้ำประจ�ำกำรจริง จุดเด่นคือมี
ปืนกลร่วมแกนและปืนกลต่อสู้อำกำศยำนบนป้อมปืน
ิ
รถถังสามารถว่งได้เช่นรถใช้ล้อปกติด้วยการถอดสายพานออก
ิ
แต่นวัตกรรมช้นน้กลับใช้การได้ไม่ดีนักในสภาพทุ่งนาอันกว้าง
ี
ใหญ่ของสหภาพโซเวียต ภายหลังจึงถูกยกเลิกไป
คุณลักษณะ
ยุคของ BT-5
สัดส่วน ยาว: 5.58m (18ft 4in) กองทัพแดงได้แสดงความต้องการปรับปรุง BT-2 ไว้ในช่วงก่อน
กว้าง: 2.23m (7ft 4in) สิ้นปี 1932 ผลคือได้ BT-5 ติดป้อมปืนทรงกระบอกขนาดใหญ่
สูง: 2.25m (7ft 5in) ขึ้น ติดปืนใหญ่ขนาด 45 มม. รุ่น 32 ที่ทรงพลังขึ้น กับปืนกล
น�้ำหนัก 11.5 tonnes (11.3 tons) DT ร่วมแกน ขนาด 7.62 มม. ปรับปรุงระบบสื่อสารด้วยการติด
เครื่องยนต์ เบนซิน M5 ขนาด 12 สูบ ดัดแปลงจาก ตั้งวิทยุ ป้อมปืนที่ใหญ่ขึ้นท�าให้พลประจ�ารถทั้งสามเคลื่อนไหว
ื
ื
เคร่องยนต์เคร่องบิน American Liberty ได้คล่องตัวและสามารถเก็บกระสุนขนาด 45 มม.ได้มากถึง 115
298kW (400hp) นัด เมื่อเทียบกับจ�านวน 96 นัดของกระสุน 37 มม. ใน BT-2
ควำมเร็ว 72km/h (45mph) เดิม แม้ว่า BT-5 จะหนัก 11.3 ตัน แต่ลักษณะของเกราะยังคง
อำวุธ อาวุธหลัก: ปืนใหญ่ 45mm (1.8in) Model 32 เดิม
ู
ื
่
ี
ี
้
้
ิ
ื
่
อาวุธรอง: ปืนกล DT 7.62mm (0.3in) เครองยนต์ M5 แบบ 12 สบนมพืนฐานมาจากเครองบน
เกรำะ 6-13mm (0.24-0.51in) American Liberty ที่ถูกดัดแปลงให้ใช้กับยานเกราะ ท�าให้รถถัง
พิสัยท�ำกำร ทางเรียบ: 200km (120 miles) เบานี้แล่นได้ด้วยความเร็วสูงสุด 72 กม./ชม. บนทางเรียบ ที่ถึง
้
่
ทางวิบาก: 90km (56 miles) จะนาประทับใจแต่ยังถือว่าชากว่า BT-2 ซึ่งท�าความเร็วสูงสุดได ้
ถึง 100 กม./ชม. BT-5 มีพิสัยท�าการ 200 กม. ที่ถือว่าน้อยกว่า
พลประจ�ำรถ 3 นาย BT-2 อยู่หน่งในสาม แต่การออกแบบโดยรวมท่ดีกว่าและใช้
ึ
ี
20
BT-5
ื
อาวุธหลักขนาดหนักกว่า ท�าให้ชดเชยได้ในด้านอ�านาจการยิง BT-5 ขบวนรถถังตำมทำงพ้นดินในสหภำพโซเวียต ในช่วงทศวรรษท ี ่
ื
ี
BT-5 ยังถูกผลิตต่อมาจนถึงปี 1934 ก่อนถูกแทนท่ด้วย BT-7 1930 BT-5 และรถถังอ่นๆ ของ BT Series เป็นผู้บุกเบิกรถถังขนำดกลำง
ั
ี
ื
ื
T-34 ท่เล่องช่อในสงครำมโลกคร้งท่ 2 ควำมคล้ำยคลึงกันในกำร
ี
ึ
ั
และมี BT-5 หลายรุ่นย่อยได้ถูกสร้างข้นเช่นกัน รวมท้งรุ่น 1933 ออกแบบเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด
ที่มีฝาป้อมปืนคู่กับกระโปรงข้างที่ใหญ่ขึ้น BT-5 คันต้นแบบใน
รุ่นเป็นรถพ่นไฟ BT-5A ที่เป็นปืนใหญ่อัตตาจรขนาด 76.2 มม. ผ่ำนกำรทดสอบจำกสนำมรบ
ี
ี
และ BT-5PKh มีท่อหายใจเพ่อช่วยการลุยนา รวม BT-5 ท้งหมด การปะทะในสงครามกับญ่ปุ่นท่โนมอนฮัน (Nomonhan) หรือ
ั
�
ื
้
1884 คันที่ถูกผลิตขึ้น คาลคินโกลในภาษารัสเซีย (Khalkhin Gol) เมื่อปี 1939 ถือเป็น
สงครามของ BT-5 ครั้งส�าคัญที่สุด ยุทธวิธีที่เหนือกว่าของจอม
พลจอร์จี ชูคอฟ (Georgi Zhukov) และประสิทธิภาพของ BT-5
รถถัง BT ในศึกเมืองโนมอนฮัน และ BT-7 คือปัจจัยส�าคัญในชัยชนะของฝ่ายโซเวียต
ระหว่างสงครามกลางเมืองสเปนในปี 1936-1939 กองพัน
แม้ว่า BT-5 และ BT-7 ท่กองทัพแดงใช้ระหว่างเดือน รถถัง BT-5 ของกองกาลังสาธารณรัฐ สามารถต่อกรได้อย่าง
ี
�
ั
ี
่
ุ
ี
่
ุ
พฤษภาคม - กนยายน 1939 ในการยทธกบฝ่ายญป่นทโน เท่าเทยมกนกบรถถงเยอรมนและอตาลของฝ่ายชาตนยม
ั
ั
ั
ี
ั
ั
ิ
ิ
ี
ิ
็
ู
มอนฮนจะมความเรวสง แตจดออนดานเกราะทบางนนทาให ้ กองทัพประชาชนของจีนใช้ BT-5 เข้าสู้รบกับญ่ปุ่นระหว่าง
ั
ี
่
่
ี
ั
้
ุ
้
�
่
ี
มันค่อนข้างไม่ปลอดภัย ฝ่ายญ่ปุ่นทาลายรถถังของโซเวียตไป
�
ี
ี
มากด้วยปืนต่อสู้รถถัง และหน่วยล่าสังหารรถถังท่คืบคลาน สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 และฝ่ายโซเวียตใช้รถถังแบบเดียวกัน
เข้าไปใกล้แล้วเผาด้วยระเบิดขวดโมโลทอฟ ค็อคเทล (Molotov นี้ระหว่างสงครามฤดูหนาวกับฟินแลนด์
ั
่
ี
้
่
ี
ิ
ื
ี
�
ื
cocktails) หรือวัตถุระเบิดอ่นๆ แต่ฝ่ายญ่ปุ่นก็ยังคงยาเกรง เมอเร่มสงครามโลกครงท 2 ฝ่ายโซเวยตใช้ BT-5 ในการ
ต่ออานุภาพของปืนขนาด 45 มม. ของรถถัง BT ที่สามารถ รุกรานโปแลนด์ และในศึกเพื่อป้องกันมาตุภูมิจากนาซีเยอรมัน
ี
ิ
ั
ทะลุทะลวงเกราะรถถังญ่ปุ่นได้ทุกแบบ ย่งกว่าน้นการตีวงโอบ ผู้รุกราน BT-5 จ�านวนหนึ่งยังถูกใช้งานตลอดมาจนสิ้นสงคราม
ล้อมของจอมพลจอร์จี ชูคอฟ ที่ส่งกองก�าลังรถถังไปโอบปีก ด้วย
คือยุทธวิธีที่ท�าให้ฝ่ายโซเวียตมีชัยในศึกโนมอนฮันครั้งนั้น
21
ประวัติศาสตร์รถถังโลก
รถถังเบา Type 95 Kyugo
(1934)
ื
ั
่
ื
ั
ุ
ั
ี
่
ื
่
ิ
เมอกองทพบกญป่นต้องกำรรถถงเบำหรอรถถงทหำรม้ำเพอสนบสนนภำรกจของทหำรรำบ ผลทได้
ี
ั
่
ุ
ี
คือ Type 95 ท่ใช้งำนได้ดี ก่อนจะเผชิญกับอ�ำนำจกำรยิงท่เหนือกว่ำและเกรำะท่หนำกว่ำของรถถัง
ี
ี
ฝ่ำยโซเวียต อเมริกันและอังกฤษ
�
ี
กองทัพกวางตุ้งของญ่ปุ่นทาสงครามในจีนนานสามปี ในเวลา
ั
ั
่
ื
ี
ั
ี
ั
เดยวกบทรถถงต้นแบบเพอสนบสนุนทหารราบหรือรถถงทหาร
่
ม้าเพิ่งจะถูกผลิตขึ้นเพื่อสนับสนุนการรบในทวีปเอเชีย สู้รบกับ ป้อมปืน
ี
ื
กองทัพบกจีนและรับมือกับภัยคุกคามต่อเน่องจากสหภาพ ป้อมปืนของ Type 95 ท่ใช้
คุณลักษณะในการออกแบบ
โซเวียต บรรดาผู้น�าหน่วยทหารของญี่ปุ่นจ�าต้องรอการทดสอบ รถถังของญ่ปุ่นในทศวรรษ
ี
ในสนามและค�าสั่งผลิต จนถึงปี 1936 รถถังเบา Type 95 รุ่นใช้ 1930 คือมีรูปร่างแปลกและ
�
งานคันแรกก็เคลื่อนออกจากโรงงาน ค่อนข้างแคบ ทาให้ผู้บังคับ
�
ต้องบอกทิศทางให้พลประจา
มีชื่อว่าฮา-โงะ, เค-โงะ หรือเคียวโงะ Type 95 เดิมถูกผลิต รถและเป็นผู้ใช้ปืนขนาด 37
โดยบริษัทมิตซูบิชิ (Mitsubishi Heavy Industries) แล้วต่อมาได้ มม.
เครื่องยนต์
เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบ ระบายความ
ร้อนด้วยอากาศ มิตซูบิชิ NVD 6120
ื
ให้พลังขับเคล่อน 120 แรงม้า ติดท้าย
รถถัง
22
Type 95 Kyugo Light Tank
รถถังเบา Type 95 Kyugo เปลี่ยนเป็นฮิตาชิ (Hitachi Industries), และโคฮูระ (Kokura Ar- มาตรฐานได้ประจาการอยู่ตลอดสงคราม ท้งในรูปรถถังสนับสนุน
�
ั
�
ั
ั
ิ
ื
ั
่
ี
�
่
้
ั
ิ
(1934) senal), โคเบะไซโคโช (Kobe Seikosho) และซางามิ (Sagami การรบของทหารราบ หรอตังนงในทกาบงสาหรบภารกจต้งรบท ่ ี
Arsenal) ที่แต่ละบริษัทได้ผลิตรถถังออกมาเป็นจ�านวนมาก แต่ ซ่อนพรางไว้ให้ปรากฏแค่เพียงป้อมปืนท่ใช้ปืนหลักขนาด 37 มม.
ี
ยังมีข้อถกเถียงกันในด้านความยาวนานของการผลิต Type 95
ว่ามีอยู่จนถึงปี 1943 หรือจนกระทั่งสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่ง มุมมองด้ำนหน้ำของรถถังเบำ Type 95 แสดงให้เห็นป้อมปืนขนำดเล็ก
ุ
ั
ี
้
่
เชอกนว่ารถถงร่นนถกผลตขนรวม 2300 คน Type 95 ร่น เยื้องมำทำงซ้ำย รวมทั้งช่องมองของพลขับทำงขวำมือของตัวรถ
ั
ื
ู
ึ
ุ
ั
้
ิ
อำวุธหลัก
รถถังเบา Type 95 เดิมใช้ปืน Type 94
ขนาด 37 มม. แต่มีประสิทธิภาพการ
ยิงยังไม่เพียงพอจึงเปล่ยนมาใช้ปืน
ี
Type 98 ในขนาด 37 มม. เท่าเดิม แต่
มีความเร็วต้นกระสุนมากขึ้น
เกรำะ
เกราะของ Type 95 บางเพียง 6-14
ั
ี
มม. ทแทบป้องกนตัวเองไม่ได้เลย
่
จากปืนใหญ่รถถังของข้าศึก จุดอ่อน
น้ปรากฏชัดในการรบกับรถถังโซเวียต
ี
ท่แมนจูเรีย และตลอดสงครามโลก
ี
ครั้งที่ 2
ระบบกันสะเทือน
Type 95 ใช้ระบบกนสะเทอน
ั
ื
แบบกระเดื่องมุมฉาก กับล้อกด
ั
สายพานหุ้มยางตันท้งซ้ายขวา
ล้อขับสายพานอยู่ข้างหน้าและ
้
ลอปรับสายพานดานหลังพรอม
้
้
ลูกรอกรองรับสายพานคู่ท้งสอง
ั
ด้าน
23
ประวัติศาสตร์รถถังโลก
Type 95 ต่ออานาจการยิงของข้าศึก ขณะท่เกราะหนา 6-14 มม.
ี
�
ใช้ปืนใหญ่ Type 94 ขนาด 37 มม. ทหารม้ายานเกราะจ�านวน
้
ั
ั
ี
็
ุ
้
ั
้
มากใหความเหนวาอาวธทงหลกและรองนนเหมาะสมดแลว แต ่
่
้
ไม่นานหลังจาก Type 95 เข้าสู่สายการผลิต ปืนใหญ่ได้ถูก
ปรับปรุงเป็น Type 98 ขนาด 37 มม. แต่ความเร็วต้นกระสุนแรง
ขึ้น
เคียวโงะท�าความเร็วทางเรียบได้ 45 กม./ชม. และประกอบ
ด้วยวิธียิงหมุดยึดแผ่นโลหะ ป้อมปืนที่แคบท�าให้ผู้บังคับรถต้อง
ทาทงบรรจ, เล็ง และยงปืนใหญ่เองนอกจากหน้าท่ตามปกต ิ
้
ั
ุ
ิ
ี
�
ั
ป้อมปืนติดต้งค่อนมาทางซ้าย และติดปืนกล Type 97 ขนาด
7.7 มม. หันไปด้านหลังที่ต�าแหน่ง 5 นาฬิกา เพื่อให้มีพื้นที่การ
ยิงกว้างขึ้น โดยเฉพาะกับทหารราบของข้าศึก แต่ในทางปฏิบัติ
ควำมสูงเด่นของ Type 95 นั้นมองเห็นได้ชัดจำกด้ำนท้ำย ท�ำให้ตกเป็น แล้วได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร
เป้ำได้ง่ำยระหว่ำงกำรรบ อำวุธท่ร้ำยแรงกว่ำและปืนต่อสู้รถถังกระสุน
ี
แรงสูงของข้ำศึกคือสิ่งที่ท�ำลำย Type 95 ได้ง่ำยๆ Type 95 วางต�าแหน่งพลขับอยู่ด้านหน้าทางขวา ในขณะที่
พลปืนกลนั่งซ้ายและใช้อาวุธรองคือปืนกล Type 97 กับกระสุน
ผู้น�ำหน่วยรบแสดงควำมกังขำ 2,970 นัด สามารถบรรทุกกระสุนระเบิดแรงสูงและกระสุนเจาะ
เม่อรถถังรุ่นน้เข้าสู่สายการผลิต นายทหารช้นผู้ใหญ่ในเหล่าราบ เกราะส�าหรับปืนใหญ่ได้รวม 119 นัด
ื
ี
ั
ี
ของกองทัพบกญ่ปุ่นต่างต้งคาถามถึงความเปราะบางของเกราะ
ั
�
ระบบกันสะเทือนด้อยประสิทธิภำพ
Type 95 ใช้เครื่องยนต์ดีเซลของมิตซูบิชิ NVD 6120 ให้ก�าลังขับ
คุณลักษณะ
เคลื่อน 120 แรงม้า เกียร์กระปุกถอยหลัง 1 ระดับ เดินหน้า 4
ั
ั
�
สัดส่วน ยาว: 4.38m (14ft 4in) ระดับ พลประจารถท้งสามต้องทนแรงส่นสะเทือนอย่างมาก
กว้าง: 2.06m (6ft 9in) ระหว่างแล่นในเส้นทางวิบากแถบชนบทของจีน ภายในที่บุแผ่น
ใยหินไว้น้นพอช่วยดูดซับแรงกระแทกได้บ้าง พร้อมเป็นฉนวน
ั
สูง: 2.18m (7ft 2in)
กันความร้อนในตัวรถส�าหรับภูมิอากาศเขตร้อน
น�้ำหนัก 7.4 tonnes (7.2 tons)
ู
เครื่องยนต์ Mitsubishi NVD 6120 ดเซล 6 สบ ระบาย รูปแบบที่จ�ำกัด
ี
ความร้อนด้วยอากาศ 89kW (120hp) รุ่นที่แตกออกไปจาก Type 95 ที่โดดเด่นที่สุดคือรถถังสะเทินน�้า
ควำมเร็ว 45km/h (28mph) บนทางเรียบ สะเทินบก Type 95 Ka-Mi ซึ่งประจ�าการในกองก�าลังยกพลขึ้น
อำวุธ อาวุธหลัก: ปืนใหญ่ 37mm (1.45in) Type บกของจกรพรรดนาวญปนทงในรปแบบรุกและตงรบ Type 2 ใช ้
่
ุ
ี
้
้
ั
ั
ู
่
ั
ี
ิ
ั
98
ั
ึ
้
ี
้
�
พลประจารถคนทสเพอปลดทนหลงจากขนหาดแลว การทดลอง
่
่
ื
ุ
่
ี
่
อาวุธรอง: ปืนกล Type 97 ขนาด 7.7mm ใช้ปืนใหญ่ 57 มม. ในรุ่น Ke-Ri ต้องถูกยกเลิกอย่างรวดเร็ว ขณะ
(0.303in) 2 กระบอก
เกรำะ 6-14mm (0.24-0.55in) ที่รถถัง Ke-Nu ประมาณ 100 คัน ใช้ป้อมปืนของรถถัง Type 97
กับปืนขนาด 57 มม. ได้ถูกผลิตขึ้น รถถังพิฆาต Ho-Ru ถูกสร้าง
พิสัยท�ำกำร 250km (156 miles) ได้แค่ต้นแบบ ในขณะที่ปืนใหญ่อัตตาจร Ho-To ใช้ปืนใหญ่วิถี
พลประจ�ำรถ 3 นาย
24
Type 95 Kyugo Light Tank
พลประจ�ำรถขณะบ�ำรุงรักษำรถถังเบำ Type 95 ระหว่ำงช่วงพักกำรสู้รบ
ในจีน เข้ำประจ�ำกำรในปี 1936 มีวัตถุประสงค์สนับสนุนทหำรรำบ แต่
Type 95 กับสงครำมในแปซิฟิก ต้องล้มเหลวเมื่อเผชิญกับรถถังของข้ำศึกที่ประสิทธิภำพสูงกว่ำ
ี
แม้ว่ารถถังเบา Type 95 จะมีส่วนในชัยชนะของญ่ปุ่นต่อ
คาบสมุทรมาลายา และการยึดครองสิงคโปร์ของอังกฤษ แต่ โค้งขนาด 120 มม. นั้นไปได้ไกลแค่อยู่ในพิมพ์เขียว ไม่มีโอกาส
ื
ั
การรบด้วยรถถังต่อรถถังในแปซิฟิกน้นมีน้อยมาก และเม่อ ได้รับการผลิต
เกิดขึ้น Type 95 ก็เป็นฝ่ายปราชัยเสียทุกครั้ง
การรบระหว่าง M3 สตวร์ต (Stuart) ของฝ่ายอเมริกันกับ ช่วงเวลำอันน่ำผิดหวัง
Type 95 มีขึ้นในฟิลิปปินส์เมื่อ 22 ธันวาคม 1941 โดยยัง ปี 1939 เม่อกองทัพกวางตุ้งปะทะกับฝ่ายโซเวียตในแมนจูเรีย
ื
ั
สรุปผลการรบไม่ได้ แต่ก็ประมาณได้ว่าสตวร์ตน้นมีเกราะหนา รถถัง Type 95 ประสบความสาเร็จในการรบน้อยมาก ฝ่ายญ่ปุ่น
�
ี
กว่า Type 95 และได้เปรียบเมื่อเผชิญหน้ากัน ค้นพบในเวลาไม่นานว่าปืนขนาด 45 มม. ของ BT-5 และ BT-7
ในการรบครั้งหนึ่งของแปซิฟิก Type 95 เจ็ดคันตั้งมั่นอยู่
�
ใกล้ชายหาดเกาะทาราวา (Tarawa) เพื่อรับมือกับการยกพล ของฝ่ายโซเวียต สามารถทาลายรถถังของฝ่ายตนได้จากระยะ
ื
ข้นบกโดยนาวิกโยธินสหรัฐฯ เม่อเดือนพฤศจิกายน 1943 ใน ไกล ตรงข้ามกับปืนขนาด 37 มม. ของ Type 95 ที่ต้องเข้าไป
การรบช่วงส้นๆ ท่จุดน้นรถถัง M4 เชอร์แมน ของฝ่ายอเมริกัน ใกล้กว่า จึงท�าลายรถถังโซเวียตได้
ั
ั
ี
คันหน่งถูก Type 95 ยิงด้วยปืน 37 มม. แต่ไม่เข้า แล้วยิงตอบ ข้อเท็จจริงคือ Type 95 น้นล้าสมัยไปแล้วต้งแต่เร่ม
ั
ั
ึ
ิ
ด้วยปืนขนาด 75 มม. ถูก Type 95 คันนั้นระเบิด Type 95 สงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่มีทางเทียบได้เลยกับรถถังโซเวียตหลาย
ื
ั
ต้องตกเป็นเหย่อของรถถังสตวร์ตและเชอร์แมน รวมท้งปืน แบบที่ปรับปรุงแล้ว หรือรถถังกลาง M3 สตวร์ต, M4 เชอร์แมน
ต่อสู้รถถังขนาด 37 มม. และบาซูกา ทั้งในเกาะไซปัน, เกาะ และ “มาทิลดา” ของอังกฤษ
กวม, เกาะเพเลลิวและโอกินาวา
25
ประวัติศาสตร์รถถังโลก
รถถังหนัก T-35 (1935)
ี
T-35 ของโซเวียตคือรถถังแบบเดียวท่มีห้ำป้อมปืน และประจ�ำกำรในหลำยประเทศ แต่ส�ำหรับสหภำพ
โซเวียตแล้วมันเป็นรถถังที่ประสบปัญหำหนักๆ มำกมำย จนท�ำให้ใช้งำนได้แค่กำรสวนสนำมในกรุง
มอสโกเท่ำนั้น
ั
รถถังหนัก T-35 คือความผิดหวังคร้งใหญ่ในช่วงระหว่าง
ั
สงครามโลกท้งสองคร้ง ของสานักแผนแบบยุทโธปกรณ์แห่ง ป้อมปืนหลัก
ั
�
โซเวียต (OKMO) ได้รับอิทธิพลจากรถถังกลาง T-28 รุ่นก่อนซึ่ง ป้อมปืนหลักของรถถังหนัก T-35 คล้ายคลึงกับรถถังเบา
T-28 เช่นเดียวกับปืนใหญ่ขนาด 76.2 มม. ในรุ่นผลิตใช้
ื
่
ิ
ั
ได้รบอิทธพลต่อเนองมาจากรถถงวิคเคอร์สแบบหลายป้อมปืน งานนั้นป้อมหลักเสริมเกราะหนาขึ้นเป็น 25 มม.
ั
ที่ไม่เคยไปไกลว่าการเป็นแค่รถต้นแบบ T-35 คือรถถังห้าป้อม
ปืนแบบเดียวเท่านั้นที่ได้รับการผลิตเข้าประจ�าการ
อำวุธ
อาวุธหลักของ T-35 คือปืนใหญ่ 76.2
มม. ในทั้งห้าป้อม (ขวา) สองป้อมเล็ก
ใช้ปืนขนาด 45 มม. กับปืนกลขนาด
7.62 มม. ขณะท่สองป้อมเล็กกว่าติด
ี
ปืนกลขนาด 7.62 มม.
26
T-35
T-35 ถูกออกแบบในปี 1930 และรถต้นแบบคันแรกได้ปรากฏ หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 T-35 จ�านวน 61 คันที่ถูกผลิตใช้งาน
โฉมในอีกสองปีต่อมา เป็นไปได้ที่ทีมนักออกแบบเยอรมันจะมี จริงเคลื่อนออกจากสายการผลิตระหว่างปี 1933-1938 และใช้
้
�
ี
ส่วนร่วมด้วยในช่วงเริ่มต้น ประมาณปลายทศวรรษ 1920 ขณะ เวลาผลิตนานกว่ารถถังรุ่นก่อนๆ ด้วยนาหนักท่มากถึง 44.2 ตัน
ท่เยอรมันพัฒนารถถังสาหรับกองทัพบกของตนอย่างลับๆ ใน กับความยาวที่เพิ่มขึ้นท�าให้รถถังรุ่นนี้บังคับเลี้ยวได้ยาก
�
ี
มุมมองด้ำนบนของรถถังหนัก T-35
ท�ำให้เห็นกำรวำงตัวของป้อมปืนท้ง ั
ห้ำ แม้จะดูเหมือนติดอำวุธร้ำยแรง
มำกมำย แต่ในควำมเป็นจริงคือมัน
แทบไม่มีประโยชน์เลย
เกรำะ เครื่องยนต์
เกราะ T-35 หนา 11-30 มม. และเปลี่ยนแปลง รถถังหนัก T-35 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน
ั
ไปหลายคร้งระหว่างการผลิต ตามปกติแล้ว มิคูลิน M-17M 12 สูบ ให้พลังขับ
เกราะส่วนหนาท่สุดคือด้านหน้า เกราะข้างหนา เคล่อน 500 แรงม้า นักวิจารณ์ด้านการ
ี
ื
ื
10 มม. มีแผ่นโลหะข้างเพ่อป้องกันสายพาน, ทหารให้ความเห็นว่าเป็นเคร่องยนต์ท ี ่
ื
ล้อและระบบกันสะเทือนจากอาวุธต่อสู้รถถัง
กาลังน้อยเกินไป สาหรับยานยนต์ท ่ ี
�
�
หนักถึง 49.6 ตัน
27
ประวัติศาสตร์รถถังโลก
รถถัง T-28 ส่วนปืนใหญ่อีกสองกระบอกที่ติดในป้อมปืนคู่แนว
ทแยงด้านหลังซ้ายและหน้าขวา มีทั้งปืนขนาด 37 มม. ในคัน
ต้นแบบที่ต่อมาได้ถูกเปลี่ยนเป็นปืนขนาด 45 มม. ในรุ่นต่อมา
กับปืนกลร่วมแกน 7.62 มม. ส่วนป้อมปืนเล็กคู่นั้นแต่ละป้อม
ติดปืนกล 7.62 มม. ป้อมละกระบอก
ที่นั่งพลประจ�ำรถแออัด
ถึงจะมีขนาดใหญ่มหึมาแต่ภายใน T-35 กลับคับแคบ พลประจา
�
รถ 11 หรือ 12 นายต้องอยู่กันอย่างแออัด ทาให้ด้อย
�
ประสิทธิภาพในปฏิบัติการระหว่างการรบ พลประจารถหน่งหรือ
ึ
�
สองนายเป็นอย่างน้อยไม่สามารถยัดตัวเองอยู่ในรถได้ ผู้บังคับ
รถมีตาแหน่งอยู่ท่ป้อมปืนหลักทางขวาของปืน ในขณะท่ผู้บังคับ
�
ี
ี
�
ี
�
ี
ี
ปืนหลักของ T-35 ขนำด 76.2 มม. ท่ไม่เพียงพอส�ำหรับกำรต่อสู้ระหว่ำง รถผู้ช่วยทาหน้าท่ยิงปืน 45 มม. ท่ป้อมหน้าหมายเลข 2 และทา
รถถังด้วยกัน หน้าที่อื่นๆ ในรถ ช่างเครื่องท�าหน้าที่ทั้งเป็นพลขับรองและนั่ง
อำวุธ อยู่ใกล้กับเครื่องยนต์ พลประจ�ารถอีกนายซึ่งจริงๆ แล้วเป็นพล
T-35 ใช้ปืนใหญ่ KT obr. 1937/32 ขนาด 76.2 มม. แล้วต่อมา ขับรองจะท�าหน้าที่ยิงปืนกล 7.62 มม. ที่ป้อมหน้าหมายเลข 3
จึงเปล่ยนเป็นปืนใหญ่ KT-28 ท่คล้ายคลึงกับปืนใหญ่รองของ และคอยช่วยเหลือช่างเครื่องหลักในการขับเคลื่อน T-35
ี
ี
ผู้บังคับของรถในป้อมปืนหลักน่งอยู่ข้างขวาของปืนใหญ่
ั
76.2 มม. และเป็นพลยิงไปพร้อมกัน ขณะที่ผู้บังคับรถในป้อม
คุณลักษณะ หมายเลข 2 นั่งด้านขวาของปืนใหญ่ 45 มม. และท�าหน้าที่พล
บรรจุ ผู้บังคับรถในป้อมหลังหมายเลข 4 ยิงปืนใหญ่ 45 มม.
สัดส่วน ยาว: 9.72m (31ft 10in) กระบอกท่สอง และน่งด้านซ้ายของปืน พลขับรองน่งในป้อม
ี
ั
ั
กว้าง: 3.2m (10ft 6in) หมายเลข 4 และเป็นพลบรรจุ ผู้บังคับรถป้อมหมายเลข 5 ยิง
สูง: 3.43m (11ft 3in) ปืนกล 7.62 มม. กระบอกหลัง พลวิทยุนั่งในป้อมปืนหลักและ
น�้ำหนัก 45 tonnes (42.2 tons) ช่วยการบรรจุกระสุนปืนใหญ่ 76.2 มม. ส่วนด้านนอกรถถังนั้น
เครื่องยนต์ เบนซิน Mikulin M-17M 12 สูบ 370kW พลขับหลักรับผิดชอบด้านระบบส่งกาลังและเกียร์ และมีหลาย
�
(500hp) ครั้งที่ช่างเครื่องจักรกลต้องเข้ามาดูแลเครื่องยนต์
ควำมเร็ว 30km/h (18.64mph)
อำวุธ อาวุธหลัก: ปืนใหญ่ KT-28 ขนาด 76.2 เกรำะและกำรผลิต
76.2mm (3in) เกราะของ T-35 หนา 11-30 มม. แล้วถูกเพิ่มขึ้นเป็น 50 มม.
อาวุธรอง: ปืน 20 K 45mm (1.8in) 2 ในปี 1936 ตามด้วยการปรับปรุงย่อยๆ หลายครั้ง การสร้างได้
กระบอก; ปืนกล DT 7.62mm (0.3in) 5-6 รับการเชื่อมและตรึงด้วยหมุด และในปี 1938 มีเกราะรูปกรวย
กระบอก ที่มีชุดเกราะหน้า 25 มม. ซึ่งบางคันมีขนาด 10 มม. มีกระโปรง
เกรำะ 11-30mm (0.43-1.2in) ข้างหุ้มเกราะส�าหรับการป้องกันอาวุธเพิ่มเติม
พิสัยท�ำกำร 150km (93.21 miles) การผลิต T-35 ได้รับอนุมัติเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 1933 และ
พลประจ�ำรถ 11-12 นาย มีการปรับปรุงเล็กน้อยตลอดห้าปีของการผลิตซ่งเป็นไปอย่าง
ึ
28
T-35
เชื่องช้าและสิ้นเปลือง จ�านวนจ�ากัดเพียง 61 คันของ T-35 นั้น รถถัง T-35 มหึมำหนัก 42.2 ตัน คันนี้บังคับเลี้ยวยำก ในขณะที่ป้อมปืน
ื
ถือว่าเล็กน้อยมากเม่อเทียบกับยานเกราะของโซเวียตแบบอ่นๆ ทั้งห้ำและตัวรถที่ยำวท�ำให้ตกเป็นเป้ำปืนของข้ำศึกได้ง่ำย
ื
ี
�
ท่มีจานวนมหาศาล มีรุ่นย่อยท่แตกออกไปหลายรุ่น เช่น T-35B,
ี
ประสิทธิภำพต�่ำ รถถังต้นแบบใช้เครื่องยนต์ต่างกัน และ SU-7 ที่ใช้เป็นต้นแบบ
เพื่อติดปืนใหญ่ 254 มม. อีกหลายแบบ
ในท่สุดรถถังหนัก T-35 ก็ได้แสดงให้เห็นชัดว่าไม่สามารถ
ี
รับมือกองทัพรถถังเยอรมันท่บุกแนวรับของรัสเซียเม่อวัน
ี
ื
ี
ท่ 22 มิถุนายน 1941 บางทีกองบัญชาการกองทัพแดงอาจ มีไว้เพื่อสวนสนำมเท่ำนั้น
ี
�
จะได้คิดก็ได้ว่าก่อนการเกิดสงครามท่กลายมาเป็น “มหา ตามท่เคยปรากฏว่า T-35 เคยประจาการในกองทัพแดงช่วง
ี
ั
ั
ิ
ู
ี
้
ู
่
ื
ุ
สงครามเพอมาตภม” รถถงแบบนไม่เคยเข้าส่สงครามฤด ู สงครามฤดูหนาวระหว่างปี 1939-1940 กับกองทัพฟินแลนด์น้น
ู
�
ั
หนาวกับฟินแลนด์ระหว่างปี 1939-1940 และหลักฐานท ่ ี ไม่จริง ข้อมลจริงคือ T-35 มีประจาการในกองพลน้อยรถถังหนก
ปรากฏว่ามันถูกใช้งานในสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นแทบไม่มี อิสระที่ 5 ที่กรุงมอสโก และบทบาทหลักของมันคือใช้เพื่อสวน
เลย สนามในจัตุรัสแดงให้ตัวแทนชาติต่างๆ ได้ดูเท่านั้น เพื่อให้เกิด
ประวัติการประจ�าการของ T-35 แสดงให้เห็นว่าทุกรุ่น ภาพว่ากองทัพโซเวียตมีความเข้มแข็งเกรียงไกร
เดิมถูกบรรจุลงกองพันรถถังหนักอิสระท่ 5 เพ่อป้องกันกรุง แม้จะมีภาพปรากฏว่า T-35 คันหน่งถูกฝ่ายเยอรมันยึดได้
ี
ื
ึ
มอสโก และจากปี 1935 มาจนถึงปี 1940 หน้าที่หลักของ
ั
ี
ื
หน่วยน้คือเพ่อสวนสนามในจัตุรัสแดงเท่าน้น นัก ระหว่างยุทธการบาร์บารอสซา (Operation Barbarossa) ในปี
ประวัติศาสตร์หลายคนให้ความเห็นว่าในฤดูร้อนปี 1940 1941 ก็ตาม ประวัติการรบของ T-35 ยังคลุมเครือมาก T-35
ี
ั
ึ
ี
�
T-35 ได้ถูกบรรจุประจาการในกรมรถถังท่ 67 และ 68 ส่วนหน่งท่เข้าสู้รบกับเยอรมันจริงน้นประสบปัญหาอย่างหนัก
ี
�
ของกองพลรถถังท่ 34 ด้วยจุดมุ่งหมายเพ่อใช้ในการยุทธ กับอาวุธท่เบากว่าและความคล่องตัวน้อยกว่า อันเกิดจากนา
ื
้
ี
น้อยมาก หนักท่มากเกินและมีจานวนมากท่ขัดข้องจนเสียหายใช้การไม่ได้
�
ี
ี
29
ประวัติศาสตร์รถถังโลก
รถถังเบา Panzer II Ausf F (1936)
พันเซอร์ Kampfwagen II, PzKpfw II เดิมถูกพัฒนำขึ้นระหว่ำงกำรผลิตรถถังเยอรมันรุ่นหนักกว่ำและ
มีอ�ำนำจกำรยิงสูงกว่ำ แต่ในเวลำต่อมำได้กลำยเป็นก�ำลังหลักของกองทัพยำนเกรำะเยอรมันไป ใน
กำรท�ำสงครำมกับโปแลนด์และฝรั่งเศส
ิ
ึ
ื
PzKpfw II เร่มคิดสร้างข้นในปี 1934 แล้วการพัฒนากองทัพ Maschinenfabrik Augsburg-Nürnberg ในช่อแฝงว่า “รถ
เยอรมันก็ต้องหยุดชะงักไปเพราะสนธิสัญญาแวร์ซายในปีนั้น แทรกเตอร์เพื่ออุตสาหกรรม 100”
ี
ี
รัฐบาลเยอรมันจึงได้มอบสัญญาการผลต PzKpfw II ให้กับบริษท PzKpfw II ท่เดิมถูกสร้างไว้ใช้ฝึกน้ ต่อมาได้กลายเป็นกอง
ั
ิ
อำวุธหลัก
อาวุธหลักของ PzKpfw II คือปืนกล 20
มม. อันเน่องจากการทดลองใช้อาวุธหนัก
ื
กว่าน้ถูกห้าม และรถถังแบบน้ถูกใช้ใน
ี
ี
ภารกิจลาดตระเวนเป็นส่วนใหญ่ในช่วง
ต้นสงครามโลกครั้งที่ 2
30
Panzer II Ausf F
ก�าลังรถถังหลักของกองพลยานเกราะของเยอรมัน มีรถถังแบบ เกรำะและอำวุธ
�
ี
น้กว่าพันคันประจาการในช่วงระหว่าง 10 พฤษภาคม - 22 PzKpfw II รุ่นแรกคือ Ausf A ที่ปรากฏโฉมในปี 1935 นั้นใช้ปืน
ั
มิถุนายน 1940 ในการยุทธกับฝร่งเศส แต่ต่อมาได้กลายเป็น ใหญ่ KwK 30 ขนาด 20 มม. แบบเดียวกับที่ใช้ติดเครื่องบินขับ
อาวุธท่ล้าสมัยไปเม่อมีพันเซอร์ PzKpfw III และ PzKpfw IV ไล่ของกองทัพอากาศเยอรมัน (Luftwaffe) เพื่อโจมตีภาคพื้นดิน
ื
ี
รถถัง PzKpfw II นี้มีบทบาทส�าคัญในชัยชนะช่วงต้นๆ ของฝ่าย อาวุธรองคือปืนกล MG 34 ขนาด 7.92 มม. ร่วมแกน บรรทุก
เยอรมันในโปแลนด์และระหว่างยุทธการบาร์บารอสซากับสหภาพ
โซเวียต ภำพด้ำนหน้ำของ PzKpfw II แสดงให้เห็นป้อมปืนที่ตั้งชิดด้ำนซ้ำยตัว
รถ ใช้เครื่องยนต์วำงท้ำยเพื่อเฉลี่ยน�้ำหนักให้กระจำยไปทั่วตัวรถ
เกรำะ
เกราะของ PzKpfw II เดิมหนา 11-
30 มม. แต่จากประสบการณ์ใน
สงครามกลางเมืองสเปนและจาก
ปืนใหญ่รถถังของฝ่ายสัมพันธมิตร
ท่ยิงได้หนักหน่วงรุนแรงกว่า ทาให้
ี
�
ต้องใช้เกราะหนาข้นในรุ่นต่อๆ มา
ึ
เครื่องยนต์
เครื่องยนต์เดิมของ PzKpfw II
คือเครื่องยนต์เบนซิน 97 kW
ขนาด 130 แรงม้า ท่มีกาลัง
�
ี
น้อยจนต่อมาต้องเปล่ยนเป็น
ี
ื
เคร่องยนต์เบนซินไมย์บัค 6
�
ี
ึ
ิ
สูบ ท่ให้กาลังขับเคล่อนเพ่มข้น
ื
เป็น 140 แรงม้า
ระบบกันสะเทือน
รุ่น D และ E ของ PzKpfw II นี้
ใช้ระบบกันสะเทือนทอร์ช่นบาร์
ั
ี
แต่ใน Ausf F ได้เปล่ยนมาใช้
แบบขดสปริงแทน
31
ประวัติศาสตร์รถถังโลก
กระสุนปืนขนาด 20 มม. ได้ 180 นัด และกระสุนปืนกลร่วมแกน
1,425 นัด เคยทดลองให้ใช้ปืนใหญ่ 37 มม. และ 50 มม.
ั
ื
ึ
�
แต่ต้องยกเลิกเม่อพบว่าปืนใหญ่ข้นน้นไม่จาเป็น การทดสอบ
�
และใช้งานจริงระหว่างสงครามกลางเมืองสเปนทาให้รู้ว่าต้อง
ใช้เกราะหนาข้น และเคร่องยนต์ท่แรงข้นเพ่อประสิทธิภาพ
ึ
ี
ึ
ื
ื
สูงสุด
เกราะรถถังในช่วงแรกหนา 14 มม. ท่ด้านหน้า ด้านหลังและ
ี
่
ั
้
้
้
ดานขาง และ 10 มม. ทดานบนและลางของตวรถ Ausf B เกราะ
่
ี
หน้าถูกเพิ่มความหนาขึ้นเล็กน้อยและน�้าหนักรวมของ PzKpfw
II นั้นคือ 7.8 ตัน ใช้เครื่องยนต์เบนซินไมย์บัค (Maybach) 6 สูบ
ุ
�
ี
ั
้
ั
้
�
ื
ให้กาลงขับเคล่อน 140 แรงมา แทนร่นเดมท่ใหกาลง 130 แรงม้า
ิ
PzKpfw รุ่นต่อมาอีกหลายรุ่นใช้เกราะหนาข้นและมีระบบกัน
ึ
สะเทือนที่ดีขึ้นเพื่อการขับเคลื่อนในพื้นที่วิบาก ในขณะที่ความ
เร็วบนทางเรียบของ Ausf D และ Ausf E ท�าได้ 55 กม./ชม.
ส่วน Ausf F ที่เข้าสู่แนวรบเป็นครั้งแรกในปี 1940 ใช้เกราะหนา
ขึ้นเป็น 35 มม. และเกราะข้างหนา 20 มม. ท�าให้น�้าหนักรวม
ื
ี
ื
มุมมองด้ำนหลังของ PzKpfw II แสดงพ้นค่อนข้ำงสูงท่ช่วยในกำรเคล่อน
ย้ำยข้ำมภูมิประเทศ รถถัง Ausf F เข้ำกันได้ดีกับผู้บังคับรถ เพิ่มเป็น 9.8 ตัน แลกด้วยความเร็วที่น้อยลง แต่ด้วยรถถังของ
ฝ่ายสัมพันธมิตรที่มีพลานุภาพสูงกว่า จึงต้องเพิ่มความหนาให้
เกราะของ PzKpfw II เมื่อบทบาทของมันเพิ่มเป็นลาดตระเวน
คุณลักษณะ และเป็นส่วนบัญชาการ Ausf F ใช้ระบบกันสะเทือนแบบขดสปริง
แทนระบบทอร์ชั่นบาร์ของรุ่น D และ E
สัดส่วน ยาว: 4.64m (15ft 3in) ป้อมปืนของรถถังรุ่นน้วางตาแหน่งไว้กลางลาตัวค่อนมาทาง
ี
�
�
กว้าง: 2.30m (7ft 6.5in) ซ้ายโดยพลขับน่งอยู่หน้าสุด และตรวจการณ์ได้จากช่องเล็ก
ั
สูง: 2.02m (6ft 7.5in) สเหลยมทางด้านหน้า โดยผ้บังคับรถและพลปืนนงอยู่ในป้อม
ู
่
ั
่
ี
่
ี
น�้ำหนัก 9.5 tonnes (9.3 tons) ปืน
เครื่องยนต์ Maybach เบนซิน 6 สูบ 104kW (140hp
ควำมเร็ว 55km/h (34mph) ควำมคล่องตัวสูง
ั
อำวุธ อาวุธหลัก: ปืนใหญ่ KWK 30 ขนาด PzKpfw II เข้าสู่สนามรบท้งด้านตะวันออกและตะวันตก
ี
�
20mm (0.79in) ความเร็วและเกราะท่บางทาให้แชสซี (chassis) คือโครงหรือช่วง
ื
�
อาวุธรอง: ปืนกล MG 34 ขนาด 7.92mm ล่างถูกนาไปใช้เป็นพ้นฐานของยุทธยานยนต์อีกหลายรุ่น รวม
(0.31in) ทั้งปืนต่อสู้รถถังอัตตาจรมาร์เดอร์ 1 และ 2 (Marder I และ II)
ี
เกรำะ 35mm (1.37in) ท่ด้านหน้า; 20mm และปืนใหญ่อัตตาจร Wespe ปืนใหญ่วิถีโค้งขนาด 105 มม. ที่
ี
(0.79in) ท่ด้านข้าง; 14.5mm (0.57in) ใช้อยู่จนถึงปี 1944
ด้านหลัง; 5mm (0.19in) ที่ท้องรถ รุ่นท่แตกออกไปอีกรุ่นท่น่าสนใจของรถถังติดเคร่องพ่นไฟคู่
ี
ื
ี
พิสัยท�ำกำร 200km (125 miles) PzKpfw II คือฟลัมม์พันเซอร์ 2 (Flammpanzer II) ที่ถูกผลิตขึ้น
พลประจ�ำรถ 3 นาย อย่างน้อย 100 คัน แล้วเข้าประจาการในปี 1942 ส่วนรุ่นสะเทิน
�
้
�
นาสะเทินบกท่ถูกพัฒนาไว้สาหรับการยกพลขึ้นบกของประเทศ
�
ี
32
Panzer II Ausf F
ี
ื
�
ี
อังกฤษในปี 1940 ใช้เพลาขับใบพัดต่อจากเคร่องยนต์ท่สามารถ R35 ท่ใช้ปืนใหญ่ขนาด 75 มม., 47 มม. และ 37 มม. ตามลาดับ
ท�าความเร็วในน�้าได้ 10 กม./ชม. แต่รถถัง PzKpfw II ก็มีความเร็วและความคล่องตัวที่สูงกว่าเป็น
ข้อชดเชย
คุณลักษณะทำงยุทธกำร ข้อได้เปรียบจริงๆ ของ PzKpfw II ในช่วงต้นสงครามคือความ
ระหว่างช่วงเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 2 PzKpfw II คือส่วนผสมอัน คล่องตัว ประสานการรบได้ดีกับก�าลังสนับสนุนทางอากาศ ปืน
ี
ึ
ื
�
ลงตัวระหว่างความเร็วและอานาจการยิง เพ่อการรุกรบอย่าง ใหญ่และยุทธวิธีด้านยานเกราะท่พัฒนาข้นโดยพลเอกไฮนซ์
รวดเร็วของฝ่ายเยอรมันในสงครามสายฟ้าแลบ (Blitzkrieg) แต่ กูเดเรียน (Heinz Guderian) ผู้เป็นต้นความคิดด้าน “สงคราม
ั
ั
ั
ึ
ั
ึ
ุ
อาวธหลกของมนยงนบว่าด้อยกว่ายานเกราะของข้าศกโดย สายฟ้าแลบ” PzKpfw II ถูกผลิตข้นในช่วงระหว่างปี 1935-1943
เฉพาะรถถังฝรั่งเศสเช่น ชาร์ B1-bis, โซมัว S-35 และเรอโนลต์ โดยมีประจ�าการทั้งหมดเกือบ 1,900 คัน
ควำมส�ำเร็จของกองทัพรถถังเยอรมัน
ในช่วงต้นสงครำม
ื
เม่อหัวหอกกองกาลังยานเกราะเยอรมันบุกทะลวงลึกเข้าโปแลนด์ มามากขึ้น PzKpfw II ก็ยังประจ�าการอยู่ แต่ในบทบาทของการ
�
ั
�
ช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1939 ตามด้วยรุกเข้าสู่ดินแดนฝร่งเศสในฤด ตรวจการณ์หน้า, เป็นกองกาลังส่วนหน้าและสนับสนุนการรบของ
ู
ใบไม้ผลิของปี 1940 PzKpfw II คือรถถังหลักในการรุกรบ ติดปืน ทหารราบอย่างใกล้ชิด ถูกผลิตขึ้นในระหว่างปี 1935-1943 และ
ึ
ี
ใหญ่ 20 มม. ท่ใช้กระสุนใหญ่ข้นจากรถหุ้มเกราะเยอรมันรุ่นก่อน รุ่นสุดท้ายคือ Ausf F นั้นผลิตในปี 1940 และระหว่างเดือนมีนาคม
ี
ี
ท่ติดแค่ปืนกล เป็นรถถังท่เบาและคล่องตัวมากในพ้นท่ทุ่งโล่งอัน 1941 - ธันวาคม 1942 Ausf F ถูกผลิตขึ้นรวม 524 คัน
ี
ื
เหมาะสมกับภารกิจลาดตระเวน ตามหลักนิยมในขณะน้นเน้น ในภาพด้านล่างนี้คือหมู่รถถัง PzKpfw II ขณะก�าลังรุกคืบไป
ั
การรุกรบด้วยความรวดเร็วแบบสายฟ้าแลบ อย่างช้าๆ ในทุ่งโล่งช่วงสัปดาห์ต้นๆ ของสงครามโลกครั้งที่ 2
แม้รถถังที่หนักกว่าและมีอ�านาจการยิงสูงกว่าได้ถูกผลิตตาม
33
ประวัติศาสตร์รถถังโลก
รถถังหนัก Char B1 bis (1937)
โรงงำนผลิตรถยนต์ใหญ่หลำยแห่งในฝรั่งเศสรวมทั้งเรอโนลต์ (Renault) ล้วนมีส่วนในกำรผลิตรถถัง
หนัก ชำร์ B1 ให้กองทัพบกฝรั่งเศสมำแล้ว โดยชำร์ B1 bis คือรุ่นล่ำสุดของรถถังชำร์ B1 ที่เข้ำประจ�ำ
กำรในปี 1937 และเป็นหนึ่งในรถถังที่ทรงพลำนุภำพที่สุด
กำรสื่อสำร
พลประจ�ารถทั้งสี่นายของ Char B1 bis มีต�าแหน่งวางตัวกระจายกัน
ั
็
่
ั
ไปทวตวรถโดยผ้บงคบรถนงในป้อมปืนเลก การสอสารโดยเฉพาะ
่
ั
่
ื
ั
ู
ั
อำวุธ ระหว่างการสู้รบจะค่อนข้างล�าบาก ไม่คล่องตัว
Char B1 bis เป็นรถถังหนักท่มีอาวุธร้าย
ี
ุ
ี
ุ
แรงท่สดในบรรดารถถังร่วมสมัยยค
1940 โดยผู้บังคับรถเป็นผู้ใช้ปืนหลัก
ขนาด 47 มม. ในขณะที่ปืนใหญ่วิถีโค้ง
75 มม. ติดตั้งอยู่กับตัวรถ จัดเป็นรถถัง
ี
ี
ท่ตอบสนองต่อการบังคับเล้ยวได้ฉับไว
อันเป็นความได้เปรียบท่มาชดเชยนา ้ �
ี
หนักมหาศาลและการหันป้อมปืนได้ช้า
34