The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pannika, 2020-10-01 05:07:04

ฟรอยด์ บิดาแห่งจิตวิเคราะห์ FREUD THE MAN

ฟรอยด์: บิดาแห่งจิตวิเคราะห์
FREUD: THE MAN, THE SCIENTIST, AND THE BIRTH OF PSYCHOANALYSIS
รูธ เชพพาร์ด: เขียน
พฤฒิ กาฬสุวรรณ: แปล
ราคา 265 บาท
ALL RIGHTS RESERVED.
Text and Design © Carlton Books Ltd 2012, 2019
Thai translation right © 2020 by Gypsy Publishing Co., Ltd.

© ข้อความและรูปภาพในหนังสือเล่มนี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ. 2558
การคัดลอกส่วนใดๆ ในหนังสือเล่มนี้ไปเผยแพร่ไม่ว่าในรูปแบบใดต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน
ยกเว้นเพื่อการอ้างอิง การวิจารณ์ และประชาสัมพันธ์

ข้อมูลทางบรรณานุกรมของสำานักหอสมุดแห่งชาติ
National Library of Thailand Cataloging in Publication Data
เชพพาร์ด, รูธ.
ฟรอยด์: บิดาแห่งจิตวิเคราะห์ = Freud: the man, the scientist, and the birth of psychoanalysis.
--กรุงเทพฯ : ยิปซี กรุ๊ป, 2563.
176 หน้า.-- (บุคคลสำาคัญ).
1. ฟรอยด์, ซิกมุนด์, ค.ศ. 1856-1939. I. พฤฒิ กาฬสุวรรณ, ผู้แปล. II. ชื่อเรื่อง.
150.1952092
ISBN 978-616-301-726-0
บรรณาธิการอำานวยการ : คธาวุฒิ เกนุ้ย
บรรณาธิการบริหาร : สุรชัย พิงชัยภูมิ
ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร : วาสนา ชูรัตน์
บรรณาธิการเล่ม : จารุวรรณ นพรัมภา
กองบรรณาธิการ : คณิตา สุตราม พรรณิกา ครโสภา นันทนา วุฒิ
หัวหน้าฝ่ายพิสูจน์อักษร : สวภัทร เพ็ชรรัตน์
ฝ่ายพิสูจน์อักษร : วนัชพร เขียวชอุ่ม สุธารัตน์ วรรณถาวร
รูปเล่ม : Evolution Art
ออกแบบปก : Wrong Design
ผู้อำานวยการฝ่ายการตลาด : นุชนันท์ ทักษิณาบัณฑิต
ผู้จัดการฝ่ายการตลาด : ชิตพล จันสด
ผู้จัดการทั่วไป : เวชพงษ์ รัตนมาลี
จัดพิมพ์โดย : บริษัท ยิปซี กรุ๊ป จำากัด เลขที่ 37/145 รามคำาแหง 98
แขวง/เขตสะพานสูง กรุงเทพฯ 10240
โทร. 0 2728 0939 โทรสาร. 0 2728 0939 ต่อ 108
พิมพ์ที่ : บริษัท วิชั่น พรีเพรส จำากัด โทร. 0 2147 3175-6
จัดจำาหน่าย : บริษัท ยิปซี กรุ๊ป จำากัด โทร. 0 2728 0939
www.gypsygroup.net
www.facebook.com/gypsygroup.co.ltd
LINE ID: @gypzy

สนใจสั่งซื้อหนังสือจำานวนมากเพื่อสนับสนุนทางการศึกษา สำานักพิมพ์ลดราคาพิเศษ ติดต่อ โทร. 0 2728 0939

ฟรอยด์



บิดาแห่งจิตวิเคราะห์




























รธ เชพพาร์ด: เขียน
พฤฒิ กาฬสุวรรณ: แปล



คำานำาสำานักพิมพ์







ผู้ชายที่มีชื่อเสียงเกือบทุกคนน่าผิดหวัง หรือน่าเบื่อหน่าย

หรือเป็นทั้งสองอย่าง ฟรอยด์ไม่เป็นแบบนั้นเลย เขามีรัศมี


เปล่งออกมา ไม่ใช่ด้วยชื่อเสียง แต่ด้วยความยิ่งใหญ่


ความระลึกถึงฟรอยด์ โดยเวอร์จิเนีย วล์ฟ







ชีวิตของซิกมุนด์ ฟรอยด์เต็มไปด้วยเร่องราว ฟรอยด์กับความเจ็บป่วยอันยาวนานท้งทาง

เหตุการณ์ และรายละเอียดต่างๆ มากมาย จาก ร่างกายและจิตใจ จากแพทย์ผู้ทาหน้าท่รักษาคนไข้

วัยเยาว์จนกระท่งวาระสุดท้ายของชีวิต นอกจาก กลับต้องกลายเป็นผู้ป่วยเสียเอง






หนังสือเล่มน้จะทาให้ได้รู้จักกับฟรอยด์ในฐานะแพทย์ ฟรอยด์กับการเป็นยิวท่ต้องล้ภัยช่วงบ่นปลาย

นักวิทยาศาสตร์ ผู้คิดค้นทฤษฎีจิตวิเคราะห์ท่เป็น ของชีวิต จากออสเตรียเมืองท่เขาเกิดและเติบโต


ท่ยอมรับในระดับสากล และเป็นท่รู้จักในแวดวง มากว่าค่อนชีวิตสู่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในช่วง

จิตวิทยาแล้ว หนังสือเล่มน้ยังทาให้ได้รู้จักฟรอยด์ สงครามจากกล่มต่อต้านและกวาดล้างชาวยวของ





ในฐานะบุตรชายคนโตผู้เป็นท่รักของครอบครัว นาซี



สามีของผู้หญิงท่ตนรัก และผู้ชายซ่งเป็นหัวหน้า หนังสือเล่มน้ฉายภาพของฟรอยด์ เสมือน
ครอบครัว ผู้อ่านได้เดินทางเติบโตไปพร้อมๆ กับแต่ละช่วงชีวิต
ฟรอยด์ในวัยเด็กเกิดมาพร้อมกับสถานะอา ของฟรอยด์ ได้ร่วมติดตาม ร่วมรู้สึกไปกับเหตุการณ์
ซึ่งมีหลานอายุไล่เลี่ยกันเป็นเพื่อนเล่น ต่างๆ ท่เกิดข้น และได้ร่วมยินดีไปกับความสาเร็จและ






ฟรอยด์ในวัยหนุ่มเติบโตมาพร้อมกับความ การได้รบการยอมรับ ท้งในด้านผลงานและช่อเสียง
คาดหวังของตัวเขาเองและครอบครัวถึงความก้าวหน้า จะเห็นได้ว่าตลอดชีวิตของฟรอยด์ ฟรอยด์ขยันและ
และความส�าเร็จในอนาคต ทางานหนักเสมอมาแม้ว่าจะพบเจอกับอปสรรคและ


ฟรอยด์กับความรักท่ต้องห่างไกลกับคู่หม้น ความขัดแย้งมากมาย จึงไม่แปลกเลยท่ในท้ายท่สุด




เขาเขียนจดหมายกว่า 900 ฉบับหาคนรัก และรอ ผลงานของเขาจะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
คอยถึง 4 ปีก่อนที่จะได้แต่งงานและเริ่มต้นชีวิตคู่ และเป็นที่จดจ�ามาจนถึงทุกวันนี้
ฟรอยด์กับบทบาทการเป็นแพทย์ นักวิทยา


ศาสตร์ และนักวิจัย ผู้ซ่งอยากประสบความสาเร็จ

เขาต้องเผชญกับอุปสรรคและความขัดแย้งมากมาย ส�ำนักพิมพ์ยิปซี
ทางความคิดท่ส่งผลให้มิตรภาพระหว่างเขากับคน สิงหำคม 2563

ที่เขาเคารพรักต้องจบลง

คำานำาผู้แปล









วประวัติของผู้คนเป็นราวกับนวนิยายเร่อง ก่อกาเนิดสมาคมนักจิตวิเคราะห์ท่เป็นแหล่งรวม

ชี หน่งท่ประกอบด้วยรสชาติท่หลากหลายตาม และเพาะบ่มเหล่าบุคลากรรุ่นหลังท่มีช่อเสียงและ







แต่บุคคลไป ฟรอยด์ ผู้นับเป็นสัญลักษณ์แห่งยุคสมัย ทาคณประโยชน์ต่อโลกอกมากมาย ในด้านผลงาน

ผู้เป็นไอคอนของจิตวิทยา เฉกเช่นไอน์สไตน์ส�าหรับ วิชาการได้ฝากงานทรงคุณค่าท่มีผลกระทบต่อชีวิต


ฟิสิกส์ และชาร์ลส์ ดาร์วินส�าหรับทฤษฎีวิวัฒนาการ ผ้คน โดยต่อมาผ่านการพสจน์ทดลองเชงประจักษ์




ได้ถูกนาเสนอโดยรูธ เชพพาร์ดด้วยสาบัดสานวนท ตามครรลองขององค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แม้ยัง



กระชับและน่าติดตาม พร้อมภาพประกอบ หลักฐาน มีหลากหลายแนวคิดโดยเฉพาะในระดับปลีกย่อย

ร่วมสมัย อาทิ เอกสารและจดหมายส�าคัญๆ ราวกับ ก็ได้ถูกแก้ไขปรับปรุงเร่อยมาล้อไปตามความเจริญ



ได้พาผู้อ่านไปนั่งอยู่ในพิพิธภัณฑ์บ้านเลขท 19 ถนน ก้าวหน้าของเทคโนโลยีท่ขยายศักยภาพในการตรวจ






แบร์กกัซเซอ กรุงเวียนนา บ้านท่เป็นจุดเร่มต้นของ สอบความถูกต้องน้นได้แม่นยาชัดเจนย่งข้น กาลเวลา




ตานานมากมายของฟรอยด์และได้พักอาศัยอยู่กว่า และเทคโนโลยีอีกเช่นกันท่ได้ตอกยามโนทัศน์ที่ปราด





ค่อนชีวิต ฟรอยด์ยืนอยู่ในตาแหน่งท่สูงส่งในทาง เปร่องลายุคสมัยของฟรอยด์ ในด้านของชีวิตส่วนตัว
ภูมิปัญญาในสายตาอนุชนรุ่นหลังและเป็นแสงสว่าง น้น ตามท่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้นว่าแม้นฟรอยด์จะ



ผู้ช้ทางสู่การเข้าถึงจิตอันยากแท้หย่งถึงของมนุษย์ เป็นหน่งในบุคคลท่ปราดเปร่องท่สุดคนหน่งในรอบ






อย่างไรเสีย น่นก็เป็นภาพลักษณ์หนึ่งท่ผู้คนได้ให้ สหัสวรรษ แต่เราจะได้เห็นถึงส่วนความเป็นมนุษย์



คุณค่าแก่ฟรอยด์ในภายหลังช่วงเวลาแห่งชีวิตของ มีรักใคร่ หึงหวง ชิงชัง เย่ยงมนุษย์สามัญท่วไป หลาย



ฟรอยด์ท่ได้ล่วงพ้นไปนานแล้ว ฟรอยด์เป็นเพียง โอกาสท่ผลงานท่ฟรอยด์ได้ทุ่มเทสรรค์สร้างข้นมา



บุรุษผู้ย่งใหญ่ก็จริง แต่ก็หาใช่เทพเจ้าท่มิอาจผิด ไม่เป็นท่ยอมรับ ส่งผลร้ายแรงถึงขนาดกีดกันออกจาก


พล้ง ปราดเปร่องและทรงพลานุภาพไปในทุกบทบาท วงวิชาการ หรือด้วยความคิดเห็นต่อแนวคิดท่แตก



ฟรอยด์มีชีวิตอยู่ในยุคท่การเมืองการปกครองมีความ ต่างนามาสู่การพังทลายของมิตรภาพระหว่างบุคคล



ผันผวนในยุโรปกลาง เขาเจริญเติบโตในหน้าท่การ เร่องราวเหล่าน้ช่วยตกแต่งละครชีวิตของฟรอยด์ให้


งานและภูมิปัญญาร่วมสมัยกับยุคทองของจักรวรรด ดูมีสีสันข้น ท้งยังเห็นบริบทของการนาพาสัจธรรม




ออสเตรีย-ฮังการีท่มีนครเวียนนาเป็นศูนย์กลางแห่ง ทางวิทยาศาสตร์แหวกผ่านหมอกม่านแห่งทัศนคต ิ


วิทยาการแห่งหน่งของยุโรปในห้วงเวลาน้น ก่อกาเนิด และความขัดแย้ง สถาปนาตัวตนเป็นทฤษฎีหลักของ


และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คนมากมายท้งในด้าน วงการในปัจจุบัน


ศาสตร์และศิลปะ (ไม่เว้นแม้แต่ฮิตเลอร์ในวัยหนุ่ม โดยส่วนตัวผู้แปลซ่งมีภูมิหลังเป็นนักฟิสิกส์
ผู้เคยใฝ่ฝันท่จะได้เป็นจิตรกรใหญ่แห่งกรุงเวียนนา) รู้จักฟรอยด์ผ่านการกล่าวถึงในหลากหลายส่อของ





ฟรอยด์ได้รับอิทธิพลโดยตรงจากสภาพแวดล้อมท วัฒนธรรมกระแสหลัก แต่ก็เร่มเคยได้อ่านชีวประวัต ิ
รุ่มรวยอารยธรรมของเมืองน ในทางหน่งยังเป็นผู้ และผลงานของฟรอยด์จริงๆ เม่อสนใจอ่านหนังสือ






จุดไฟแห่งความต่นตัวในวิทยาการด้านจิตวิเคราะห์ เก่ยวกับจิตวิทยาหลังจากประทับใจในเร่องราวปราด







เปร่องลาลึกในภาพยนตร์สยองขวัญ The Silence อีกด้วยความมุ่งหมายหน่งของฟรอยด์ท่ไม่ได้สร้าง
of the Lambs ทั้งนี้ชีวประวัติซิกมุนด์ ฟรอยด์ก่อน วิชาการด้านจิตวิเคราะห์เพ่อใช้งานแค่เพียงในกลุ่ม

หน้าน้นับว่าแทบจะหาได้ยากที่จะมีภาพประกอบ ผู้ป่วยจิตเวชเท่าน้น ยังต้องการสร้างข้นมาเพื่อให้






มากมายราวก�าลังนั่งดูสารคดี ทั้งยังอ่านง่าย แม้อาจ ทกผู้ทกคนสามารถนามาใช้ประโยชน์ในการเข้าใจ


จะหลีกเล่ยงไม่ได้ท่จะต้องใช้ศัพท์เฉพาะทางการ ตนเองและผู้อ่นในระดับจิตใจอย่างเป็นวิทยาศาสตร์

แพทย์บ้าง แต่ก็ได้อธิบายออกมาให้บุคคลท่วไป

พอเข้าใจได้ ผู้แปลจึงหวังในประโยชน์แก่ผู้อ่าน ท้ง ั พฤฒิ กำฬสุวรรณ
ในด้านเปิดโลกทัศน์ด้านจิตวิทยาและวิทยาศาสตร์
การแพทย์ และในด้านความบันเทิงไปพร้อมๆ กัน

สารบัญ






บทน�า 13



1. โลกก่อนยคสมัยของฟรอยด์ 14

2. วัยเด็กของฟรอยด์ 20



3. เข้าโรงเรียนแพทย์ 30


4. ฟรอยด์ ณ ปารีส 36


5. โคเคน 42


6. ชวิตแต่งงานและครอบครัว 48


7. จดเริมต้นของจิตวิเคราะห์ 56


8. การวิเคราะห์ความฝน 64


9. ความเก็บกดของจิตไร้ส�านึก 76




10. ทฤษฎีเกียวกับเรืองเพศของฟรอยด์ 82



11. เมือหมอต้องมาเปนผ้ปวย 88

12. ชวงเวลาสงคราม 98


13. การจากไปของลูกสาว 110



14. อีโก้ ซเปอร์อีโก้ และอิด 120


15. แรงขับแห่งชวิตและความตาย 128



16. หนีภัยนาซ 134

17. การลี้ภัยในลอนดอน 146


18. ฟรอยด์และศาสนา 154



19. ความเจ็บปวยและการได้รับความชวยเหลือให้กระท�าอัตวินิบาตกรรม 162

่ ่
20. สิงทีฟรอยด์ได้ทิ้งไว้ให้ 170


เกียวกับการแปล 176

คำานำาฉบับภาษาอังกฤษ









นังสือเล่มน้มีเอกลักษณ์ตรงท่ได้เขียนให้ ปัญหาสุขภาพ การเงิน และความสัมพันธ์กับเพ่อนฝูง

ห รู้สึกราวกับว่ากาลังยืนอยู่ในห้องท�างานหรือ ผู้ซึ่งเติบโตข้นมาด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า




ห้องตรวจของฟรอยด์เหมือนอย่างท่เป็นในปี 1939 ท่จะค้นพบ ‘ความลับแห่งจิตใจ’ และผู้เหลือไว้แต่
เมื่อฟรอยด์จากไป บนชั้นหนังสือเต็มไปด้วยหนังสือ เพียงมรดกท่สืบเนื่องมาถึงยุคปัจจุบัน โครงสร้างของ



ท่ฟรอยด์อ่านไม่ว่าจะเป็นด้านวิทยาศาสตร์ ศิลปะ หนงสือประกอบด้วยเร่องราวในหลายมติและหลาย



วรรณกรรม ประวัติศาสตร์ โบราณคดี และจิตวิทยา ระดับ เน้อหาหลักๆ มีภาพและคาอธิบายประกอบ

โบราณวัตถุท่ฟรอยด์รักต้งวางอยู่ในตู้กระจกและ ซ่งจะให้ข้อมูลในหลากหลายระดับ ท้งประวัติโดย














ทุกพ้นท ไม่เพียงแสดงถึงนัยสาคัญของ ‘อดีตกาล’ ท ย่อของ ‘ตวละครสาคญ’ (นกจตวทยา เพอนร่วมงาน





ปรากฏในงานของเขาเท่าน้น แต่ยังยืนยันความสนใจ คนไข้ เพื่อนฝูง) จะถูกน�าเสนอใน ‘กล่องข้อความ’


ในด้านศิลปวัฒนธรรมอีกด้วย ภาพของบุคคลท่เขา แยกออกมา หรือสาเนาเอกสารสาคญๆ ทเก็บไว้อย่าง








รักถูกแขวนไว้บนผนังและช้นวาง เป็นภาพของอดีต เฉพาะเจาะจงเพ่อให้ดึงออกมาดูได้ ส่งที่น่าสนใจท่สุด




ครและเพอนร่วมงาน อีกท้งหญิงผู้ร่วมทางเดินชีวิต เห็นจะเป็นลายมือของฟรอยด์ในบทความสาหรับ

กับเขา เรียงรายไปตามผนังยังมีโซฟายาวที่คนไข้นับ วิทยุบีบีซี (BBC) ในปี 1938 ซึ่งฟรอยด์ได้สรุปรวม



ร้อยเคยได้เล่าเร่องราว ความฝัน และความทรงจา ชีวตและผลงานของตนไว้ใน 120 คา ในฐานะงาน







นับพันภายใต้ระเบียบวิธี free association หนังสือ เขยนทกระชับเพยงพอท่ชาวทวตเตอร์ในยคสมัยใหม่

เล่มนี้ ‘ฟรอยด์’ สร้างบรรยากาศผ่านภาพประกอบ เห็นแล้วจะชื่นชม
มากมายและนาไปสู่คาตอบของคาถามส�าคัญของ ฟรอยด์ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก





ผู้ศึกษาชีวประวัติของฟรอยด์ท่ว่า “แล้วฟรอยด์ไป ในไม่ก่ปีท่ผ่านมา การวิจารณ์มักใช้คาว่า ‘ฟรอยด์’


เอาความคิดเหล่านี้มาจากไหน” เพ่อแยกความแตกต่างระหว่าง ‘ตัวบุคคล’ ออก







เพ่อการศึกษาให้ลึกข้นไปอีก ผู้เขียนได้รับ จาก ‘งาน’ ของเขา ข้อวิจารณ์ซงพ่งเป้าไปที่ตวบคคล



สิทธิพิเศษในการเข้าถึงท่เก็บจดหมาย ภาพถ่าย และ เป็นข้อวจารณ์อนเป็นปกตต่อฟรอยด์ แสดงให้เหน




เอกสารมากมายจากพิพิธภัณฑ์ของฟรอยด์ เอกสาร ว่าแนวคิดของฟรอยด์น้นไม่มีอะไรมากไปกว่าผลจาก


และรูปถ่ายเหล่าน้เพ่มสีสันให้กับหนังสือ สร้าง ‘บุคลิกภาพทางจิตประสาท’ ด้วยเร่องราวท่เป็นท ่ ี



ชวประวติทเป็น ‘รูปภาพ’ ทาให้เรองราวของฟรอยด์ นิยมและอ่านง่าย หนังสือเล่มนี้จะเปิดรูปลักษณ์ใหม่






กลับมามีชีวิตข้นอีกคร้ง อาจไม่ใช่เร่องแปลกอะไร ของฟรอยด์ต่อหลายๆ คน แสดงให้เห็นถึง ‘ฟรอยด์





เม่อผู้เขียนแท้จริงแล้วเป็นผู้เขียนส่อบรรยายใน ในฐานะมนุษย์’ ภายใต้บริบทของห้วงเวลา ผลงาน

นิทรรศการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาต ภายใต้ ผองเพื่อน ผู้ร่วมงาน และครอบครัวของเขา มีอะไร
บริบทของการเปล่ยนแปลงทางการเมืองในยุโรป มากมายให้ได้ค้นหาและชื่นชม พร้อมภาพประกอบ

การเปล่ยนผ่านสู่ยุคอุตสาหกรรม ความก้าวหน้าด้าน เรื่องราวชีวิตของฟรอยด์

ชีววิทยา การแพทย์ และจิตเวช เราจะได้เห็นฟรอยด์

ในฐานะนกวิจยทกาลงคดไม่ตกกับวชาชพของตน ไอแวน วอร์ด, ผู้อ�ำนวยกำรด้ำนกำรศึกษำ








ในฐานะชายผู้มีความรัก ผู้เคยผิดพลาด (และได้เขียน และแคโรล ไซเกิล ผู้อ�ำนวยกำร
เกี่ยวกับความผิดพลาดเหล่านั้น) ผู้ต้องวิตกกังวลกับ พิพิธภัณฑ์ฟรอยด์, ลอนดอน





บทนำา




ใ นบทสนทนาท่วไปในชีวิตประจาวันของเรา ม โดยไม่จาเพาะแต่ผู้ป่วยทางจิต ต่อมาฟรอยด์ได้รับ











หลายคราด้วยกันท่ศัพท์แสงท่บัญญัติข้นโดย การยกย่องให้เป็นหน่งในปัญญาชนผู้ปราดเปร่อง
ซิกมุนด์ ฟรอยด์ นักจิตวิเคราะห์ชาวออสเตรียยังถูก ที่สุดแห่งศตวรรษที่ 19 และ 20 โดยงานของเขามี

นามาใช้ประกอบบทสนทนา ไม่ว่าจะเป็นในสานวน มากมายนับต้งแต่งานวิชาการทางวิทยาศาสตร์และ



ภาษาอังกฤษมีประโยค อาท “น่นคือฟรอยเดียน ประสาทวิทยาในวัยหนุ่ม หรือหนังสือส่วนใหญ่ท่ว่า



สลิปหรือเปล่า” (Freudian slip-การพล้งปาก ด้วยจิตวิเคราะห์ ครอบคลุมไปถึงงานเขียนเชิงศาสนา
1
เน่องจากความปรารถนาภายใน) หรือ “คุณกาลัง สังคม ศิลปะ และวัฒนธรรม



2
เก็บกดอารมณ์ของคุณอยู่” หรือ “ตาน่อีโก้สูง ซิกมุนด์ ฟรอยด์ นักวิทยาศาสตร์ พ่อและ

3
สุดๆ” แม้นอิทธิพลของแนวคิดของฟรอยด์ได้ส่ง สาม ผู้บุกเบิกศาสตร์แห่งจิตวิเคราะห์ ผู้สร้างและ



ผลกระจายไปทวท้งวัฒนธรรมและแนวคิดของโลก ผู้น�าของประชาคมโลกในการวิเคราะห์ข้างต้น ย้อน













ตะวนตก กระนนแลวตวตนของฟรอยดเองกเปนทถก ไปสู่ชีวิตวัยเด็กของฟรอยด์ท่เร่มต้นจากครอบครัวท ่ ี

เข้าใจผิดอยู่ราไป เขาถูกนาไปล้อเลียนในลักษณะของ มีโครงสร้างสลับซับซ้อน การเรียนแพทย์ท่ท้ายสุด



ชายลามกผู้ลุ่มหลงกับเซ็กซ์ มือหน่งถือซิการ์ ข้างๆ ก็นาไปสู่การสร้างงานด้านจิตวิเคราะห์ในหนทาง


มีคนไข้ผู้ดูจะหูเบาและอ่อนแออยู่บนโซฟาให้รักษา ของตัวเอง เราจะไปศึกษาแนวความคิดและทฤษฎ ี
ตลอดกว่าเจ็ดทศวรรษหลังการจากไปของ หลักๆ ของเขา ซึ่งตัวเขาเองได้พัฒนาปรับปรุงอย่าง


ฟรอยด์ หลากหลายทฤษฎีของเขาได้ถูกต้งคาถาม ต่อเนื่องจนถึงช่วงบั้นปลายชีวิต แม้นกระทั่งจวบจน




บางมการปรบเปลยนแกไขตามกาลเวลา บางกตกไป วันสุดท้ายของชีวิตท่ถูกคุกคามด้วยโรคมะเร็ง การ






จวบจนปัจจุบันมีน้อยคนนักท่จะเข้าถึงและต่นตา รวบรวมหลากหลายงานในรูปของทฤษฎีต่างๆ และ

ต่นใจในงานของเขา ในวันน้นของจิตแพทย์หนุ่ม บันทึกเคสการรักษา บ้างก็เป็นจดหมายและบันทึก


เขาเพียงปรารถนาจะสร้างแนวทางการรักษาคนไข้ ประจ�าวัน โดยส่วนหนึ่งหยิบมาจากหลักฐานที่เขียน






ของเขาด้วยวิธีท่ดีขนแม้จะต้องฝ่าฟันคาวิจารณ์ ด้วยลายมือของฟรอยด์ จะนาพาเราใกล้ชดชายผ้น ้ ี

อันหนักหน่วงโดยล�าพัง เพื่อออกมาเป็นศาสตร์ใหม่ มากข้น ประกอบกับรูปถ่ายของฟรอยด์ ครอบครัว


แห่งยุคสมัยในท่สุด หลายคนอาจจะเคยได้ยินได้ฟัง เพื่อนร่วมงาน และลูกศิษย์ลูกหา ก็คงจะช่วยในการ



อะไรเก่ยวกับฟรอยด์จากเพียงเร่องของปมอีดิปุส เข้าถึงเบ้องลึกในชีวิตและผลงานแห่ง ‘นักสารวจจิต’


หรือทฤษฎีว่าด้วยเพศอ่นๆ ส่วนใหญ่ของทฤษฎ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด




ยังเป็นท่ถกเถียงอยู่ มีคนจานวนน้อยมากท่เข้าถึง
ผลงานมากมายและกว้างขวางท่ชายผู้ย่งใหญ่ผู้น ้ ี


ได้สรรค์สร้างกว่าหกทศวรรษ ช่วงทศวรรษ 1890

ฟรอยด์พยายามท่จะสร้างหลักจิตวิทยาแนวใหม่ รูปหน้ำ 11: ฟรอยด์กับโต๊ะท�างานในบ้านพักชั่วคราวที่ถนน

ท่จะสามารถปะติดปะต่อลักษณะทางจิตของผู้คน เอลส์เวิร์ธ ลอนดอน (Elsworth Road)

รูปหน้ำ 12: ฟรอยด์มักจะเขียนงานเก่ยวกับทฤษฎและ


1 “Was that a Freudian slip?” หนังสือใหม่โดยใช้เวลาส้นๆ ตอนกลางดึก หลังจากใช้เวลาท้ง ั



2 “you’re repressing your emotions” วันไปกับการวิเคราะห์และจดบันทึกเกยวกบคนไข้และการ
3 “He has such a big ego” ตอบจดหมาย
13


โลกก่อนยคสมัยของฟรอยด์



ซิ กมุนด์ ฟรอยด์เกิดเม่อวันท 6 พฤษภาคม พบว่าการปฏิวัติหลังสงครามนโปเลียนได้กระจายตัว





1856 ท่แคว้นโมราเวีย (Moravia) ช่วงท่อยู่ ทั่วยุโรปอยู่หลายปี


ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออสเตรีย โดยใน ในปี 1848 การปฏิวัติในสมาพันธรัฐเยอรมัน
ช่วงเวลาดังกล่าวมีการเปล่ยนแปลงเกิดข้นมากมาย นามาสู่การรวมรัฐเยอรมัน สมาพันธ์ถูกสลายตัวใน





ในปี 1806 จักรวรรดิโรมันอันศักด์สิทธ์ได้ล่มสลาย เวลาอันสั้นและมีการก่อตั้งขึ้นใหม่ในปี 1850 ฉะนั้น


ลงด้วยน�้ามือของนโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon ในช่วงเวลาท่ฟรอยด์เกิด ท้งออสเตรียและปรัสเซีย

Bonaparte; 1769-1821) ด้วยสายพระเนตรของ ต่างก็ก�าลังแก่งแย่งท่จะถือสิทธ์ปกครองแผ่นดิน


จักรพรรดิฟรานซิสท 2 (Francis II; 1768-1835) เยอรมันท้งหมด และผลคือปรัสเซียชนะในสงคราม


ท่ทรงคาดการณ์ไว้ว่านโปเลียนจะเส่อมอานาจลง ออสโตร-ปรัสเซียนซ่งเกดขึ้นในปี 1866 เม่อสมาพนธ์








พระองค์จึงทรงต้งตนเป็นจักรพรรดิผู้ครองออสเตรีย สลายตัวก็ทาให้เกิดสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือข้น








จักรวรรดิได้ถือกาเนิดข้นท่ามกลางความคุกรุ่นของ และรฐเยอรมนอิสระทางใต้จานวนมาก ซ่งต่อมา
สงครามนโปเลียน และกลายเป็นมหาอานาจของ ภายหลงรฐเหล่านรวมเป็นชาตเยอรมน ในปีต่อมา







ยุโรป โดยชาติออสเตรียและปรัสเซียเป็นผู้มีอิทธิพล จักรวรรดิออสเตรียและราชอาณาจักรฮังการีได้
หลักในกลุ่มสมาพันธรัฐเยอรมันซ่งเกิดข้นหลังการ ประกาศอธิปไตยร่วมในนามของออสโตร-ฮังกาเรียน



ประชุมท่เวียนนาปี 1815 ท่ามกลางความพยายาม และปกครองโดยฟรันซ์ โยเซฟท 1 (Franz Joseph I;



ในการถ่วงดุลอานาจในยุโรปของชาติมหาอานาจ 1830-1916)

กองทัพปรัสเซียมีชัยเหนือกองทัพออสเตรียในสมรภูมิซาโดวา ตัดสินสงครามออสโตร-ปรัสเซียน ซ่งจะมีการเซ็นสัญญาสงบศึก


(Battle of Sadowa) หรือท่รู้จักกันในนาม เคอนิชเกรทซ์ ใน 3 สัปดาห์ต่อมา
(Königgrätz) ในเดือนกรกฎาคม 1866 หน่งในเหตุการณ์

14

การแพทย์เป็นหน่งในศาสตร์ท่พัฒนาเร็วเกิน


กว่าใครจะคาดคิดในช่วงศตวรรษที่ 19 การจ�าแนก




และรกษาความป่วยไข้ทางจตเป็นหนงในศาสตร์ท ่ ี
พัฒนาอย่างรวดเร็ว ความสนใจในการศึกษาทางจิต

และพฤติกรรมน้นมีมายาวนาน นับย้อนหลังไปถึงยุค
โบราณมีหลักฐานการรักษาทางจิตเวชต้งแต่ศตวรรษ



ท 8 ในสถานพยาบาลของอิสลาม แม้โรงพยาบาล

สาหรับผู้ป่วยจิตเวชจะมีมาหลายศตวรรษ แต่การ

ดาเนินการอย่างเป็นกิจจะลักษณะในการรักษาผู้ป่วย

ทางจตนนเรมมามมากในศตวรรษท 18 และ 19







เท่าน้น เป็นผลมาจากการมีผู้ป่วยทางจิตเพ่มข้น



มากมายในช่วงเวลาดังกล่าว ซ่งอาจจะพอคาดได้


ว่าเกิดจากหลากหลายสาเหตุ อาท ความกดดันใน
การต่อสู้ต่อต้านรัฐบาลกลางท่แฟรงก์เฟิร์ตในปี 1848 การ ครอบครัว อันเป็นผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม



ปฏิวัติในเดือนมีนาคมท่กรุงเวียนนานามาซ่งการลุกฮือต่อต้าน






ท่วเยอรมน จนกระท่งเดือนพฤษภาคมมีสมัชชาแห่งชาต ิ ประกอบกับสภาพสังคมในขณะน้นท่ไม่เปิดกว้าง










ทแฟรงก์เฟิร์ตข้น นับเป็นคร้งแรกท่มีรัฐสภาท่มาจากการ สาหรับผู้มีพฤติกรรมท่ผิดปกติน และเลือกท่จะ

เลือกตั้งโดยอิสระจากทั่วเยอรมนี เนรเทศคนเหล่าน้นไปสู่สถานพยาบาลสาหรับผู้ป่วย


จิตเวชโดยเฉพาะมากขึ้น

เช่นเดียวกับการเปล่ยนแปลงทางการเมือง การ


ปฏิวัติอุตสาหกรรมท่เร่มต้นจากสหราชอาณาจักร



ขยายวงกว้างทวยุโรปในช่วงศตวรรษท 19 ส่งผล

ต่อด้านสังคมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และวัฒนธรรม
อย่างกว้างขวาง มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลย ี

อย่างมโหฬาร ไม่ว่าจะเป็นกาเนิดเคร่องจักรไอนา





เคร่องจกรกล การพัฒนาถนนหนทาง รางรถไฟ


และการขนส่งทางนา ล้วนปฏิวัติความเป็นอยู่ของ
ผ้คน แต่กหาใช่ว่าทกผ้ทกคนจะได้ประโยชน์จาก





การพัฒนาน ในเมืองเล็กๆ ห่างไกลในแคว้นโมราเวีย


ครอบครัวของฟรอยด์ประสบปัญหาทางการเงินอย่าง

หนัก เป็นผลเน่องจากความเจริญน อีกท้งยังถูก



รังเกียจจากกลุ่มต่อต้านชาวยิวในฐานะเป็นส่วนหน่ง ึ
ของชุมชนชาวยิว การรังเกียจเดียดฉันท์ชาวยิวน ี ้ จักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟท 1 แห่งออสเตรีย กษัตริย์แห่งโบฮีเมีย


ต่อมาได้สร้างปัญหาไปตลอดชีวิตของฟรอยด์จน กษัตริย์แห่งโครเอเชีย และกษัตริย์แห่งฮังการี (Apostolic








กระท่งช่วงบ้นปลายท่ต้องหลบล้หนีภัยจากพวกนาซ ี King of Hungary) ทรงปกครองอยกวา 68 ป โดยทรงครองราชย ์
ภายหลังการสละราชสมบัติของพระปิตุลา (ลุง) และการ
ในยามชราและเจ็บป่วย สละสิทธิ์ของพระราชบิดา
15









หลายสถานพยาบาลมขนาดใหญ่มากและไม่ ท 19 ทผู้ป่วยทางจตมากมายได้รบการรกษาผ่าน
ว่าท่ใดก็เต็มไปด้วยผู้ป่วยจากปัญหาทางจิต รวมถึง การบ�าบัดจิตใจ แต่ก็ยังเป็นที่โต้แย้งโดยเหล่าแพทย์








ผ้มปัญหาทางสงคมและเศรษฐกจ ส่วนใหญ่มความ ในช่วงเวลาน้น เน่องจากผู้ป่วยทางจิตล้วนมีปัญหา


สกปรกน่าขยะแขยงและเป็นท่ชวนให้หดหู่ บ้างก็ม ในทางกายภาพประกอบด้วย และการรักษาในทาง
การกักขังหน่วงเหน่ยวผู้ป่วย หรือขนาดนาไปเดิน การแพทย์ยังคงเป็นสิ่งที่จ�าเป็น





พาเหรดออกแสดงให้ฝูงชนชม จวบจนช่วงเปล่ยน คาว่า ‘จตเวช’ (psychiatry) เรมถกนามา




ผ่านไปยังศตวรรษที่ 19 การรักษาในสถานพยาบาล ใช้ในปี 1808 ทดแทนคาเดิมว่า ‘alienism’ โดย




มีการพัฒนาขึ้นมาบ้าง ในปารีสช่วงทศวรรษ 1790 ศาสตร์น้ได้ถูกพัฒนาข้นเม่อสถานพยาบาลทางจิต



ฟิลิปป์ ปีเนล์ (Philppe Pinel; 1745-1826) ได้น�า น้นมีจานวนมากข้น นาไปสู่พัฒนาการคร้งใหญ่ใน



การเปลยนแปลงคร้งใหญ่มาส่สถานพยาบาลผ้ป่วย การรกษาความป่วยไข้ทางจต ประเทศเยอรมนเป็น







1


จิตเวชชายบิแซ็ตร์ (Bicêtre) โดยการปลดโซ่ตรวน ท่ยอมรับในฐานะผู้นาโลกด้านจิตเวชในศตวรรษท ่ ี
ให้ที่พักที่ได้คุณภาพแก่ผู้ป่วย ให้งานง่ายๆ กับผู้ป่วย 19 มหาวิทยาลัยต่างๆ แข่งขันกันผลิตนักจิตเวชเพื่อ


ได้รับผิดชอบ ปีเนล์เรยกส่งน้ว่า ‘การบาบัดจิตใจ’ พัฒนาการรักษาและเข้าถึงความเจ็บป่วยทางจิตน ้ ี



เขาใช้เวลาพูดคุยกับผู้ป่วยร่วมหลายช่วโมง บันทึก ให้มากขึ้น

รายละเอียดลงบนประวัติผู้ป่วยทงหมด เขาปฏิเสธ มีการพัฒนาทฤษฎีทางจิตเวชและวิธีการรักษา

วิธีการรักษา เช่น การถ่ายเลือด (bleeding), ท�าให้ มากมายถูกพัฒนาข้นเพ่อเยียวยาความเจ็บป่วยทาง


อาเจียน (purging) และการรักษาโดยการท�าให้เกิด จิต เช่น เมสเมอริสม์ (Mesmerism) ซึ่งเป็นจุดเริ่ม
แผลพุพอง (blistering) จนช่วงกลางๆ ของศตวรรษ ต้นของการรักษาด้วยการสะกดจิต คิดค้นโดยฟรันซ์
อันทอน เมสเมอร์ (Franz Anton Mesmer; 1734-

1 สถานพยาบาลบิแซ็ตร์ต้งอยู่ในชุมชนเขตชานเมืองทางตอนใต้ของ


กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส สร้างขึ้นในปี 1634 1815) แพทย์ชาวออสเตรีย โดยเร่มจากความเช่อ
16

ลึกลงไปในจิตใจของข้าพเจ้า...ยังคงมีตัวตนของ



เด็กน้อยผู้มีความสุขจากไฟรแบร์กด�ารงอยู่



ซกมนด์ ฟรอยด์










































รูปหน้ำ 16: รูปสถานพยาบาลผู้ป่วยจิตเวชในสเปน (ช่วง รูปบน: เมสเมอร์ได้พัฒนาวิธีการรักษาโดยใช้แท่งเหล็กย่น

ปี 1812-1819) โดยฟรานซิสโก เดอ โกยา ในเวลาดังกล่าว จากอ่างให้สัมผัสส่วนบาดเจ็บของผู้ป่วย โดยของเหลวจากอ่าง
สถานพยาบาลด้านจิตเวชยังเป็นเร่องให้ต้องถกเถียงกันใน จะถูกถ่ายไปยังจุดนั้นโดยใช้มือ

สังคมสเปน รูปวาดนี้มีจุดมุ่งหมายที่จะตีแผ่ให้เห็นถึงสภาพ
การรักษาในเวลานั้น












17










ท่ว่าของเหลวท่มีคุณสมบัติทางแม่เหล็กน้นไหลวน ในปี 1841 และได้ข้อสรปว่าผ้ทถกกระทาการ

อยู่ในร่างกายของสัตว์ โดยสารเหล่าน้สามารถถูก เมสเมอริสม์จะมีลักษณะทางกายภาพท่เปล่ยนไป



รบกวนด้วยกระแสของสารแม่เหล็กจากร่างกายสัตว์ เบรดเร่มทดลองโดยใช้วิธีของเขาเองชื่อว่า ‘rational



ตัวอ่นได้ด้วย เขาเรียกส่งน้ว่า ‘สภาพแม่เหล็กของ Mesmerism’ หรือ ‘เมสเมอริสม์อย่างมีเหตุมีผล’

สัตว์’ (animal magnetism) และเชื่อว่าการหายไป นาไปสู่การพัฒนาศาสตร์ของการสะกดจิตบาบัด โดย



หรือการไหลท่ติดขัดนามาซ่งความป่วยไข้ การสัมผัส อาศัยพื้นฐานของสรีรวิทยาร่วมกับจิตวิทยา การถูก

พวกตัวนาไฟฟ้าน่าจะเป็นวิธีหน่งในการรักษา ต่อมา สะกดจิตสามารถทาให้เกิดข้นได้เมอเพ่งมองวัตถ ุ







ก็ได้กลายเป็นทฤษฎีท่ถูกนามาใช้อย่างกว้างขวาง น่งๆ เป็นเวลานาน เบรดไม่เช่อว่าการถูกสะกดจิต



โดยเทคนิคบางอย่างยังถูกเก็บไว้เป็นความลับอย แต่ เกิดจากพลังใดๆ ของผู้ให้การรักษาหรือจินตนาการ
ู่
ก็มีผู้คนจ�านวนมากที่ไม่เชื่อและเรียกทฤษฎีนี้ว่าเป็น ของผู้รักษา งานของเขามีอิทธิพลต่องานต่อๆ มาของ


ทฤษฎีลวงโลก ต่อมากรรมาธิการหลวงของฝร่งเศส วงการแพทย์ฝร่งเศส อย่างเช่นงานของนักประสาท

ได้ศึกษาการรักษาน้โดยพระราชโองการของพระเจ้า วิทยา ฌอง มาร์แต็ง ชาร์โคต์ (Jean Martin Charcot;
หลุยส์ที่ 16 (Louis XVI; 1754-1793) ในปี 1784 1825-1893)

ได้ความว่าไม่มีหลักฐานใดๆ ยืนยันการมีอยู่ของ เวียนนาซ่งเป็นเมืองท่ฟรอยด์อาศัยเกือบตลอด

ของไหลแม่เหล็ก ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เมสเมอร์ได้ ชีวิตและได้เกิดการค้นพบด้านจิตท่สาคัญมากมาย


อ้างว่าค้นพบน้นมาจากจินตนาการหรอไมก็ดวยการ เดิมทีท่น่ข้นช่อในด้านเป็นแหล่งรวมความก้าวหน้า












ใช้กลเม็ดบางอย่างท้งส้น หน่งในลูกศิษย์ของเขาช่อ ทางการแพทย์โดยเฉพาะด้านจิตเวช นาร์เรินทอร์ม

แอบเบ ฟาเรีย (Abbé Faria; 1746-1819) ได้ศึกษา (Narrenturm) เป็นอาคารในเวียนนาท่นับได้ว่า

งานของเมสเมอรตอ และทาการทดลองเพอแสดงให เป็นแหล่งพักพิงสาหรับผู้ป่วยทางจิตที่เก่าแก่ท่สุด











เห็นว่าอาการเคล้มหรือปรากฏการณ์ใดๆ ท่เป็นผล ในยุโรป สร้างข้นในปี 1784 หลังจากพบว่าพ่น้อง



จากเทคนิคของเมสเมอร์น้นล้วนเกิดจากการกล่อม คาปชน (Capuchin) ทป่วยทางจตได้ถกกกขงใน






ให้คล้อยตาม (power of suggestion) ห้องใต้ดิน ท่ต้งนาร์เรินทอร์มอยู่ติดกับโรงพยาบาล


ศัลยแพทย์ชาวสกอต เจมส์ เบรด (James Braid; เวียนนา (Vienna General Hospital) อันเก่าแก่

1795-1860) ได้สังเกตการณ์การทาเมสเมอริสม์ สามารถรองรับผู้ป่วยทางจิตได้ถึง 200-250 คน ห้อง
วิลเลียม เจมส์ (William James; 1842-1910)
เจมส์ศึกษาด้านแพทยศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด แต่ไม่เคยได้รักษาคนไข้
ในวัยหนุ่มเขาป่วยด้วยโรคประสาทชนิดอ่อนเพลียง่าย (neurasthenia) จึง


ได้เดินทางมาเยอรมนีเพ่อหาทางรักษา และน่นทาให้เขาสนใจในจิตวิทยา


และปรัชญา เขาทางานด้านวิชาการตลอดชีวิตในฮาร์เวิร์ดโดยมีงานสอนใน
วิชาสรีรวิทยา กายวิภาคศาสตร์ จิตวิทยา และปรัชญา เขาได้รับต�าแหน่ง
ประธานสาขาจิตวิทยาในปี 1889 ด้วยความท่รู้จักกับบุคคลอย่างเฮอร์มันน์

เฮล์มโฮลทซ์ (Hermann Helmholtz) และปิแอร์ ฌาเนต์ (Pierre Janet)


ทาให้เขาสามารถพัฒนาคอร์สเก่ยวกับจิตวิทยาในเชิงวิทยาศาสตร์ท่ฮาร์เวิร์ด

และได้เริ่มสอนการทดลองทางจิตวิทยาในปี 1875 นักเรียนของเขาที่เด่นๆ
ได้แก่ แกรนวิลล์ สแตนลีย์ ฮอลล์ (Granville Stanley Hall) และธีโอดอร์

รูสเวลต์ (Theodore Roosevelt) เขาเป็นผู้เสนอให้ก่อต้งสาขาวิชาจิตวิทยาการ


หน้าท และเขยนหนงสือสาคญๆ เก่ยวกบจิตวทยา จตวทยาการศกษา และปรชญา











18


ตึกนาร์เรินทอร์มในเวียนนา สร้างข้น
ในปี 1784 ตั้งอยู่ใกล้ๆ โรงพยาบาล



กรงเวยนนา การสร้างตกแยกออก

มาจากการพยาบาลด้านอ่นแสดง


ถึงแนวคิดท่ให้ความสาคัญมากข้น

เกี่ยวกับการป่วยทางจิต








ต่างๆ จะมีกระด่งติดไว้เพ่อควบคุมคนไข้ หลังจากน้น จิตเวชท่มีการศึกษาผ่านการทดลองน้นถูกพัฒนาข้น





ในทศวรรษต่อมาท่น่ก็กลายเป็นสถานพยาบาลท่ล้า ราวปี 1879 เมื่อวิลเฮล์ม วุนดท์ (Wilhelm Wundt;


หลังไปเมื่อมีความก้าวหน้าใหม่ๆ ในการรักษาผู้ป่วย 1832-1920) ได้ก่อต้งห้องทดลองสาหรับการวิจัย

จิตเวชในเวลาน้น มีคลินิกเฉพาะทางมากมายเกิดข้น ทางจิตเวชในเมืองไลพ์ซิก ในแล็บน้ได้มีการจ�าแนก





ในเวยนนาชวงปลายศตวรรษท 18 คลนกจตเวชแหง ความผดปกตทางจตและพฤตกรรมต่างๆ เชอมโยง











แรกในออสเตรียเกิดข้นท่เวียนนาในปี 1870 เวียนนา กับบริเวณสมองส่วนที่ได้รับความเสียหาย





นนมสถานพยาบาลท่หลากหลาย โดยยังหลากหลาย ในเวลาต่อมาฟรอยด์ได้ก้าวเข้าสู่ศาสตร์ท ่ ี

ท้งในการรักษาในทุกความเจ็บป่วยทางจิตทุกแขนง ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยการค้นพบท ่ ี



อย่างไรกด จตเวชในแบบฉบบเวยนนานนม่งเน้นไป น่าต่นเต้นในฐานะนักวิทยาศาสตร์ผู้พิถีพิถันและ








ท่อาการทางกายภาพและพยาธิวิทยา โดยจะไม่ค่อย แพทย์ผู้ผ่านการฝึกอย่างด เขาได้สร้างสาขาใหม่ของ





สนใจสาเหตุที่แท้จริงของความป่วยทางจิต วิทยาศาสตร์และจิตเวชท่ไม่ได้ทาหน้าท่เพียงเพ่อ
ค�าว่า ‘จิตวิทยา’ (psychology) ถูกน�ามาใช้ อธิบายและบรรเทาความป่วยของจิต แต่ได้รังสรรค์






ในช่วงกลางศตวรรษท 19 แรกเร่มน้นเป็นท่รู้จักใน ศาสตร์ใหม่ท่สาคัญและลุ่มลึกในการเข้าถึงสภาพ

ฐานะ ‘ปรัชญาของจิต’ คาน้น้นแท้จริงวิวัฒน์จากการ ภายในจิตใจของบุคคลปกติท่ไม่ได้ป่วยไข้ทางจิตด้วย








แทนทการศึกษาเชงจตวญญาณด้วยแพทยศาสตร์

วิลเฮล์ม วุนดท์ (Wilhelm Wundt; 1832-1920)
วิลเฮล์ม วุนดท์ แพทย์ นักจิตวิทยา นักกายวิภาค และนักปรัชญาชาวเยอรมัน
เป็นท่ยอมรับในฐานะบิดาแห่งจิตวิทยาการทดลอง วุนดท์เคยเป็นผู้ช่วยของ

เฮอร์มันน์ ฟอน เฮล์มโฮลทซ์ ท�าให้งานของวุนดท์ตั้งอยู่บนฐานของระบบ
ประสาทรับความรู้สึก ทั้งยังได้รับอิทธิพลจากกุสตาฟ เธโอดอร์ เฟชเนอร์
(Gustav Theodor Fechner) ผู้บุกเบิกด้านจิตวิทยาการทดลอง ในปี 1874
ได้ตีพิมพ์ หลักการทางจิตสรีรวิทยา (Principles of Physiological
Psychology) ซึ่งต่อมาถือว่าเป็นหนึ่งในงานที่ส�าคัญที่สุดในด้านจิตวิทยา

เขาเป็นผู้ก่อต้งห้องปฏิบัติการแรกๆ ด้านงานวิจัยทางจิตวิทยาใน
มหาวิทยาลัยไลพ์ซิก (Universität of Leipzig) ในปี 1879 ด้วยผลงาน

ของวุนดท์ทาให้วิชาจิตวิทยาสามารถแตกแขนงออกมาเป็นสาขาใหม่ใน
วิทยาศาสตร์ได้
19

วัยเด็กของฟรอยด์








รอยด์รู้ตัวต้งแต่วัยเด็กแล้วว่าวันหน่งเขาจะ โดดเด่นในวงสังคมออสเตรียจะกลายเป็นความสับสน

ฟกลายเป็นบุรุษผู้ย่งใหญ่ ฟรอยด์เป็นลูกคนโต ยุ่งยากต่ออนาคตจากการต่อต้านชาวยิว

ของยาค็อบ (Jakob; 1815-1896) กับอมาเลีย ซิกิสมุนด์ ชโลโม ฟรอยด์ (Sigismund



(Amalia; 1835-1930) เขาเป็นท่คาดหวังอย่างย่ง Schlomo Freud) เกิดวันท 6 พฤษภาคม 1856

โดยครอบครัว ในหลายโอกาสความปรารถนาใดๆ ในเมืองไฟรแบร์ก เขตโมราเวีย ในช่วงการปกครอง

ของลูกชายคนโตดูจะสาคัญเหนือกว่าของลูกลาดับ โดยราชวงศ์ฮับส์บวร์ก (Haus von Habsburg) ของ





อ่นๆ อีกท้งในช่วงกลางของศตวรรษท 19 น้นนับ ออสเตรีย ซ่งปัจจุบันคือเมืองพรีบอร์ (Pribor) ภายใต้








ได้ว่าเป็นช่วงเวลาหน่งท่น่าต่นใจ ดูเหมือนจะม สาธารณรัฐเช็ก ช่อชโลโมของฟรอยด์เป็นช่อของคุณปู่
ความเป็นไปได้มากมายท่คนหนุ่มสามารถแสวงหา ผู้เสียชีวิตก่อนฟรอยด์เกิดไม่กี่เดือน ในครอบครัวจะ



ความสาเร็จท้งในงานทางดานวทยาศาสตรและศลปะ เรียกฟรอยด์ว่า ‘ซิกิ’ (Sigi) และกร่อนช่อหน้าเขา





ฟรอยด์เองก็มีความคาดหวังในความก้าวหน้าน้เช่น กลายเป็นซิกมุนด์ในปี 1877

เดียวกันกับครอบครัวของเขา ฟรอยด์เกิดมาพร้อมกับ ตระกูลยาค็อบนับถือยิวนิกายออร์โธด็อกซ์
ส่วนของถุงนาครา (หรือพังผืดท่เหลืออยู่บนศีรษะ) ในหน่งศตวรรษก่อนหน้าได้หนีการกวาดล้างชาวยิว






ซ่งมีความเช่อว่าทารกท่เกิดมาในลักษณะดังกล่าวจะ ไปทางทิศตะวันออกแล้วพ�านักที่ลิทัวเนีย ต่อมาก็ได้



เพียบพร้อมทั้งความสุขและชื่อเสียงในภายภาคหน้า หนีกลับมาออสเตรียเยอรมันอีกคร้งในศตวรรษท 19







1
ความเชอม่นในตวฟรอยดยงหนักแน่นขนเมอวนหนง ทางกาลิเซีย (Galicia) พ่อของฟรอยด์เป็นพ่อค้า











แม่ของเขาได้รับการทายทักจากหญิงชราท่านหน่ง โดยสินค้าส่วนใหญ่เป็นพวกขนสัตว์ ในช่วงปลาย
ในร้านขนมว่าเธอได้ให้ก�าเนิดบุตรชายผู้ประเสริฐล�้า ทศวรรษ 1850 ไฟรแบร์กอยู่ในช่วงตกตาอย่างหนัก



แก่โลก เม่อฟรอยด์อายุเพียง 11-12 ขวบ กวีใน อัตราว่างงานสูงมาก ไม่เพียงส่งผลเสียต่อธุรกิจ










รานอาหารทานหนงถงกบแตงโคลงเยนยอวาวนหนง ของยาค็อบเท่าน้น กลุ่มชาตินิยมเช็กยังได้ก่อต้งข้น





ชายผู้นี้จะเติบโตขึ้นมาเป็นรัฐมนตรี ฟรอยด์ ณ เวลา

น้นก็คล้อยตามเห็นด้วยกับความเป็นไปได้ในข้อน้แม้ 1 กาลิเซีย (Galicia) ราชอาณาจักรกาลิเซีย หรือออสเตรียโปแลนด์

เป็นอาณาจักรภายใต้การปกครองของฮับส์บวร์ก ในปี 1804 ได้
เขาจะตระหนักรู้ได้ในภายหลังว่าการเป็นยิวผู้มีความ กลายเป็นเมืองแห่งจักรวรรดิออสเตรีย

บ้านเกิดของฟรอยด์ ท่เมืองพรีบอร์
ไฟรแบร์ก ในปี 1931 ได้มีการทาป้าย

เพอราลกถงฟรอยด์ตรงบ้านท่เขาเกิด







และฟรอยด์ก็ได้เขียนจดหมายเพ่อเป็น


การขอบคุณหน่วยงานท่เก่ยวข้องในการ
ร�าลึกถึงเขา
20

และนาไปสู่การปฏิวัติในปี 1848-1849 มีการกล่าวโทษชุมชน

ชาวยิวของเมืองซ่งส่วนใหญ่พูดภาษาเยอรมันและได้รับการ

ศึกษาแบบเยอรมันว่าเป็นต้นเหตุของความโกลาหลทาง
เศรษฐกิจ ยาค็อบได้ตระหนักในทันทีว่าจะส่งผลร้ายต่ออนาคต
ของครอบครัวในไฟรแบร์ก เลยโยกย้ายครอบครัวไปไลพ์ซิก
เป็นเวลาหนึ่งปีและจึงย้ายไปตั้งรกรากถาวรต่อมาในเวียนนา















อนทจรงนนฟรอยด์ไมไดเกดในครอบครวเดยวทประกอบ
ด้วยเพียงพ่อแม่และลูกๆ พ่อของเขาอายุมากกว่าแม่ถึง 20 ปี
เคยผ่านการแต่งงานมาก่อนและมีลูกชายติดมาซ่งโตเป็น

ผู้ใหญ่แล้วชื่อ เอมานูเอล (Emanuel) และฟิลิปป์ (Philipp)

ท้งสองต่างมีครอบครัวแล้วและอาศัยบริเวณใกล้ๆ กับครอบครัว
ของฟรอยด์ อมาเลีย แม่ของฟรอยด์อายุน้อยกว่าเอมานูเอล
และยังคงเป็นเพียงสาวรุ่นเมื่อครั้งแต่งงานกับยาค็อบ ฟรอยด์




เกดมาก็กลายเป็นคณอา ด้วยจอห์นซงอายมากกว่าฟรอยด์

หน่งปีเป็นหลานโดยเป็นลูกของเอมานูเอล ท้งสองอาหลานเป็น


เพ่อนเล่นกันเสมอจวบจนเอมานูเอลย้ายครอบครัวไปอังกฤษ






















รูปบน: ฟรอยด์อายุ 7 ขวบ นั่งอยู่บนโต๊ะ แม้เพียงอายุเท่านี้ รูปล่ำง: ภาพมุมบนของเวียนนาในปี 1860 ครอบครัว
ครอบครัวให้ความสาคัญกับการศึกษาของฟรอยด์เป็นอันดับ ฟรอยด์ย้ายมาอยู่ย่านชาวยิวในปี 1859 ฟรอยด์มีท้งส่วน





แรก โดยเหล่าพ่น้องถูกห้ามไม่ให้รบกวนการเรียนของเขา ท่ชอบและไม่ชอบเก่ยวกับเมือง ส่วนหน่งก็เพราะกลุ่ม

เด็ดขาด เหยียดยิวที่มีอยู่ชุกชุมในเมือง
21



เม่อฟรอยด์ยังอายุแค่ 3 ขวบ เฉกเช่นเด็กท่วไป รูปล่ำง: ฟิลิปป์ ฟรอยด์ (1835-1911) อาศัยอยู่ละแวก
เดียวกับฟรอยด์ในวัยเด็ก ฟรอยด์เคยสับสนในความสัมพันธ์
ความสัมพันธ์ของทั้งสองจะเป็นแบบรักๆ ชังๆ และ ระหว่างพี่ชายผู้นี้กับอมาเลีย แม่ของตน
เม่อมีการต่อยตีเกิดข้น คนตัวเล็กกว่าอย่างฟรอยด์


รูปหน้ำ 23: เอมานูเอล ฟรอยด์ (1833-1914) และแบร์ธา

ก็จะต่อสู้สุดกาลัง ต่อมาภายหลังฟรอยด์ได้วิเคราะห์ ลูกสาวของเขา เอมานูเอลมีลูกชายคนโตช่อ จอห์น ซ่งเกิด




ว่าการมีมิตรภาพท่ผันผวนอยู่เป็นนิจ โดยเฉพาะ ปี 1855 และเป็นเพ่อนเล่นกับฟรอยด์จวบจนท้งครอบครัว

ย้ายไปอยู่เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ



ระหว่างชายท่มีอายุใกล้เคียงกันน้นน่าจะมีพ้นฐาน
จากความเป็นเพ่อนท่ข้นๆ ลงๆ กับหลานในวัยเด็ก





เขารู้สึกว่าเพ่อนรักและศัตรูท่เขาเกลียดชังส่งผลต่อ
อารมณ์ความรู้สึกของเขามาก ในหลายโอกาสก็พบว่า




สถานะเพอนและศัตรูน้นกลับปรากฏอย่ในคนคนเดียว
ท่ต่างวาระกัน ฟรอยด์ได้กล่าวกับสหายของเขา

วิลเฮล์ม ฟลีสส์ (Wilhelm Fliess; 1858-1928)

(บทท 7) ว่าในมิตรภาพของเขาท้งหมด ความสัมพันธ์




กับหลานและน้องชายน้น “ท้งตึงเครียดและกวน
ประสาท”

คาดว่าคงเป็นความสับสนเอาการเม่อฟรอยด์
ในวัยเยาว์น้นมีจอห์นซ่งท้งแข็งแรงกว่าและแก่กว่า




เป็นหลาน อีกท้งจอห์นยังเรียกพ่อของฟรอยด์ว่า


‘ปู่’ เม่อฟรอยด์โตข้นเป็นวัยรุ่น เอมานูเอลเคยยากับ



ฟรอยด์ว่าบ้านของเขาท่แท้แล้วมีคนอยู่ด้วยกัน 3 รุ่น
ฟรอยด์ได้วิเคราะห์ตัวเองในวัย 40 (บทท 11) ว่า


ขณะเกิดนับเป็นครั้งแรกสุดที่มนุษย์ได้ประสบกับ
ความรู้สึกวิตกกังวล จึงกลายเป็นทั้งต้นก�าเนิด
และรูปแบบตั้งต้นของผลเนื่องจากความวิตกกังวล

ซกมนด์ ฟรอยด์







22

ได้ยอมรับว่าเขามีความริษยาในตัวน้องชายอยู่เหมือน
กัน ด้วยความที่ความรักและความเอาใจใส่จากแม่
นั้นถูกถ่ายเทให้น้อง ส่วนการตายของจูเลียสมีผลต่อ
ความรู้สึกของเขาในลักษณะการต�าหนิตัวเอง

น้องสาวคนแรกของฟรอยด์คืออันนาเกิดเม่อ

เขาอายุได้ 2 ขวบคร่ง ตามด้วยโรซา (Rosa), มาร ี

(Marie) หรือมิตซ (Mitzi), อดอล์ฟิน (Adolfine)
หรือดอล์ฟี (Dolfi) และพอลล่า (Paula) ส่วนคน
สุดท้อง อเล็กซานเดอร์ (Alexander) เด็กกว่าฟรอยด์
ถึง 10 ปี
ในช่วงท่อันนาเกิดมาน้น พ่เล้ยงเด็กสูงวัย




ชาวเช็กของครอบครัวถูกเลิกจ้างด้วยข้อหาลักขโมย

ฟรอยด์โดยส่วนตัวน้นเป็นท่รักใคร่ของพ่เล้ยงผู้น ี ้





พ่เล้ยงคุยกับเขาเป็นภาษาเช็กและยังพาเขาไปเข้า



น่นนาไปสู่ความสับสนเก่ยวกับพลวัตในครอบครัว โบสถ์คาทอลิกบ่อยๆ เป็นผู้ทาให้เขารู้จักความเช่อใน



ในวัยเด็กเขาเคยคิดเลยเถิดถึงข้นว่าฟิลิปป์ พ่ชาย นรก-สวรรค์ กลับมาจากโบสถ์เขาก็ยังกลับมาเทศนา


ต่างมารดาน้นมีความสัมพันธ์กับแม่ของเขาและทาให ้ ธรรมให้ที่บ้านต่อ พี่เลี้ยงคนนี้เป็นเหมือนพ่อแม่ของ


เกิดอันนา น้องสาวของเขาออกมา ซ่งเม่อพิจารณา ฟรอยด์ ผู้ทาให้ฟรอยด์ได้ตระหนักในศักยภาพของ








ว่าด้วยอมาเลียและฟิลิปป์ต่างก็มีอายุไล่เล่ยกัน ตัวเอง การเลิกจ้างพ่เล้ยงผู้น้เป็นความทรงจาท่เจ็บ

ก็เป็นไปได้ท่จะทาให้เด็กคิดไปเช่นน้น ส่งเหล่าน้ยังช ้ ี ปวดอันหนึ่ง ซึ่งเขาเคยได้ระลึกให้ฟังถึงความทรงจ�า








ให้เห็นว่าองค์ประกอบของครอบครัวสามารถทาให้ นในการวเคราะห์ฝันของตนเองในอกหลายปีต่อมา


เด็กๆ สับสนได้ อย่างไรก็ด ไม่มีหลักฐานว่าความเข้าใจ อีกทั้งยังมีการยืนยันข้อเท็จจริงจากแม่ของเขาด้วย
ที่เตลิดเปิดเปิงข้อนี้ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง
ตอนที่ฟรอยด์เกิด อมาเลียมีอายุเพียง 21 ปี

เธอมีช่อเดิมว่า อมาเลีย นาธานซอห์น (Amalia
Nathansohn) เกิดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ
กาลิเซียในปี 1835 เธอเคยใช้ชีวิตในช่วงวัยเด็กทั้งที่
โอเดสซา (Odessa) และเวียนนา ซึ่งเป็นที่ที่เธอได้
2
เห็นการปฏิวัติปี 1848 หลังจากให้กาเนิดฟรอยด์ เธอ

และยาค็อบยังมีลูกด้วยกันอีก 7 คนในช่วงเวลาไม่นาน
ลูกคนถัดมาช่อว่า จูเลียส เสียชีวิตเม่ออายุได้ 8 เดือน


ซึ่งตอนนั้นฟรอยด์มีอายุได้ 19 เดือน ต่อมาฟรอยด์
โบสถ์ยิวในเวียนนาราวทศวรรษที่ 1860 แม้จะไม่ใช่ผู้ฝักใฝ่ใน
ศาสนายิว แต่ฟรอยด์ก็ถือว่าตนเองเป็นชาวยิวโดยแท้ ท้งยัง

โอเดสซา (Odessa) เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสามของ รู้สึกอ่อนไหวกับอะไรท่ไปเก่ยวข้องกับการต่อต้านชาวยิวซ่งม
2 ี ี ึ ี
ประเทศยูเครน และเป็นศูนย์กลางการท่องเท่ยวท่สำาคัญบนชายฝั่ง ให้เห็นดาษดื่นในช่วงศตวรรษที่ 19 ของนครเวียนนา


ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลดำา
23

รูปซ้ำย: ฟรอยด์และพ่อ ฟรอยด์ได้บรรยายถึงรูปลักษณ์ของ
ตนเองว่าราวกับถอดแบบออกมาจากพ่อเลยทีเดียว ในด้าน
จิตใจบางส่วนเช่นกัน ยาค็อบ ฟรอยด์ อายุ 41 ปีเมื่อฟรอยด์
เกิด เป็นพ่อที่ใจดี เป็นที่รักใคร่ และใจกว้าง





ครอบครัวฟรอยด์ได้ย้ายออกจากไฟรแบร์ก
เมื่อเขาอายุได้ 3 ขวบ การต้องเดินทางจากบ้านเป็น


จุดเร่มต้นหน่งของอาการวิตกจริตเม่อเขาต้องเดิน



ทางด้วยตวเอง เขาได้วนจฉยในภายหลงว่าความ





วิตกจริตน้นอาจเช่อมโยงกับประสบการณ์การเห็น


แม่ของตัวเองเปลอยขณะโดยสารรถไฟข้ามคนจาก


ไลพ์ซกไปเวียนนาเม่อคร้งยงเป็นเด็ก แม้ว่าต่อมา


เขาจะสามารถข่มความกลัวการเดินทางน้ไปได้แล้ว




ก็ตาม แต่ความวตกจริตยังคงอยู่ทุกเม่อท่เขาต้อง

จับรถไฟ โดยเขาจะไปถึงสถานีก่อนเวลาหน่งช่วโมง


เสมอ การต้องจากบ้านในวัยเยาว์ท่เต็มไปด้วยความสุข
รูปล่ำง: ครอบครวฟรอยด์ในปี 1878 แถวหลงจากซ้าย




พอลล่า, อันนา, ฟรอยด์, เอมานูเอล, โรซา, มารี และซีมอน มักจะเป็นส่งท่ยากเย็นเสมอ เขายังคงระลึกถึงเมือง
นาธานซอห์น แถวหน้าจากซ้าย ดอล์ฟี, บุคคลซ่งระบุไม่ได้ เล็กๆ และภาพชนบทด้วยความรู้สึกดีโดยตลอด ณ

ว่าคือใคร, อมาเลีย, อเล็กซานเดอร์, บุคคลซ่งระบุไม่ได้ ช่วงเวลาเดยวกันท่ยาค็อบได้โยกย้ายครอบครัวไป



ว่าคือใคร และยาค็อบ
















24






ตึกโดมในสวนปราเทอร์ (Prater Park) สาหรับจัดงานเวียนนา น้นจึงทาได้เพียงบางส่วนด้วยแหล่งท่อยู่อาศัยไม่เอ้อ
เวิลด์แฟร์ ปี 1873 มีคาขวัญว่า วัฒนธรรมและการศึกษา 3


(Kultur und Erziehung) อานวย เช่น การไม่มีครัวตามหลักการของศาสนายิว





ครอบครวทกาลงเตบโตขนนตอมากตองการการขยบ











ทางตะวันออก พ่ชายต่างมารดาท้งสองก็ได้ย้ายไป ขยาย จึงได้ย้ายไปอยู่แฟลตบนถนนไคเซอร์ โยเซฟ
แมนเชสเตอร์ ทาให้ฟรอยด์ต้องเสียเพ่อนเล่นอย่าง สตราสเซอ (Kaiser Josefstrasse) ซ่งมีท้งห้องน่ง ั




จอห์นไป เล่น ห้องอาหาร ครัว 3 ห้องนอน และห้องยาวแคบ

เม่อฟรอยด์อายุได้ 16 ปี มีเพียงคร้งเดียว แยกออกจากตัวแฟลต ไม่มีห้องอาบน�้า โดยจะอาบ

เท่าน้นท่เขาได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด ใน กันวันเว้นวันในอ่างไม้ขนาดใหญ่ในห้องครัว ห้องยาว






ตอนน้นเขาไปพกอาศยกบครอบครวฟลุสส์ (Fluss) แคบเป็นของฟรอยด์ไปจนกระท่งทางานและเรียนใน




ซ่งเป็นสหายรักของบ้านฟรอยด์ ปรากฏว่าฟรอยด์ โรงพยาบาลเวียนนา ไม่เหมือนห้องนอนอ่นๆ ท่ใช้




ไปตกหลุมรักกีเซลา (Gisela) ลูกสาวบ้านดังกล่าว เทียนให้แสงสว่าง ห้องน้จะใช้ตะเกียงนามันซ่งส่อง



ซ่งเด็กกว่าเขาเล็กน้อยอย่างรวดเร็ว ฟรอยด์น้นม สว่างดีกว่าเม่อเขาต้องอ่านหนังสือ ในช่วงวัยรุ่นเขา




ความขวยเขินมากเสียจนไม่กล้าพูดด้วย เขาชอบ จะทานม้อคาในห้องตวเองเพ่อจะได้ไม่เสียเวลาจาก






หลบไปเดินเล่นในป่า ในใจก็นึกเสียดายว่าคงจะด การอ่านหนังสือ ท้งพ่อและแม่ล้วนให้ความสาคัญ

ถ้าพ่อแม่ยังคงอยู่ไฟรแบร์ก เขาจะได้เติบโตเป็น กับการเรียนของลูกชาย คร้งหนึ่งฟรอยด์ถูกรบกวน

หนุ่มบ้านนอกและได้แต่งงานกับกีเซลา ด้วยเสียงเปียโนจากน้องสาว เปียโนก็ต้องถูกย้าย
ช่วงต้นของชีวิตในเวียนนา ยาค็อบและ ออกจากแฟลตตามค�าขอของฟรอยด์ แม้ดนตรี



ครอบครวค่อนข้างลาบาก เวลาน้นท้งครอบครัว จะเป็นที่โปรดปรานของแม่ก็ตาม

อาศัยในอพาร์ตเมนต์เล็กๆ บนถนนเฟฟเฟอร์กัซเซอ



3 ตามกฎของชาวยิวจะมีกฎท่เก่ยวข้องกับอาหารท่ชาวยิวได้รับ
(Pfeffergasse) ย่านเลโอโพลด์ชตัดท์ (Leopoldstädt) อนุญาตให้กินและวิธีการเตรียมอาหารเหล่าน้น อาหารท่ถกบริโภค




ซ่งเป็นย่านท่ชาวยิวเวียนนาอยู่อาศัยอย่างแออัด การ ถอว่าเป็นโคเชอร์ (kosher) มีข้อกาหนดในการแยกเนอสตว์และ







ปฏิบัติตามแบบแผนประเพณียิวนิกายออร์โธด็อกซ์ ผลิตภัณฑ์นมออกจากกัน ดังน้น ห้องครัวโคเชอร์อาจมีลักษณะ
ซาซ้อน 2 ชุดหม้อ 2 ชุดจาน และบางคร้งแม้แต่มี 2 เตาอบ



หรือ 2 อ่างล้างจาน
25

ซิกมุนด์ ฟรอยด์ อายุ 16 ปี กับแม่ เธอยังคงรักลูกชายแม้จะ
โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เธอได้เปรียบเทียบว่า “ฟรอยด์เป็นดั่งทอง
ของฉัน” (mein goldener Sigi) ฟรอยด์ได้เล่าให้ฟังต่อมา
ว่าการเป็นลูกรักของแม่ทาให้เขาเป็นผู้มีความม่นใจในการท ี ่


จะประสบความส�าเร็จ
พอควร คอยตรวจตราส่งท่เหมาะท่ควรให้น้องๆ อ่าน



และให้ค�าแนะน�าถึงการวางตัว



ท่โรงเรียนฟรอยด์มีเพ่อนซ้ช่อ เอดวร์ด ซิลแบร์

ชไตน์ (Eduard Silberstein; 1856-1925) โดยทั้ง
สองสนิทสนมกันมากในช่วงวัยรุ่นจนวัยย่สิบกว่า


ท้งสองเรียนภาษาสเปนด้วยตัวเองร่วมกัน และได้

ต้งสมาคมวิชาการ ‘แปลกๆ’ ช่อว่า Academia

Castallana มีการส่งจดหมายหากันเป็นภาษาสเปน
โดยใช้ช่อลับและเล่นมุกชวนหัวกัน ท้งสองสนิทกัน


จนกระทั่งฟรอยด์ได้เจอภรรยาในอนาคตของเขา
ปี 1873 ฟรอยด์จบการศึกษาระดับมัธยม

(Matura-ใบรับรองการจบการศึกษา) ด้วยผลดเด่น
เม่ออาย 17 ปี พ่อเขาสัญญาว่าจะให้เดินทางไป


อังกฤษเป็นรางวัล ฟรอยด์จึงได้เดินทางไปเย่ยม


แรกเริ่มแม่เป็นคนสอนสิ่งต่างๆ ให้กับฟรอยด์ พ่ชายต่างมารดาเม่ออาย 19 ปี และอังกฤษเป็น



ต่อมาพ่อกเป็นผู้ให้การศึกษาก่อนท่เขาจะต้องไป ประเทศที่เป็นที่หลงใหลของเขาเสมอมาตลอดชีวิต

อยู่โรงเรียนประจา เม่ออาย 9 ขวบ เขาสอบผ่าน พ่อแม่ของฟรอยด์ต่างเติบโตตามขนบของ






เพ่อไปเรยนยงโรงเรียนได้เร็วกว่าเพ่อนรุ่นราวคราว ยิวแบบด้งเดิม ฟรอยด์ได้รับการขริบหนังหุ้มปลาย


เดียวกัน 1 ปี ในปี 1865 ฟรอยด์เข้าเรียนที่โรงเรียน อวัยวะเพศต้งแต่ยังแบเบาะ และยังมีความรู้ใน

Leopoldstädter Kommunal-Realgymnasium ขนบและเทศกาลของยิวท้งหมด ครอบครัวเข้าร่วม



4
หลังจากเรียนได้ 2 ปีเขาก็กลายเป็นท่หน่งของห้อง ท้งในพิธีเซเดอร์ (Seder) ก่อนวันปัสกา (Passover)
5



ฟรอยด์เล่าให้ฟังว่าเขาช่นชอบการเป็นอภิสิทธ์ชน ของชาวยิว ตามด้วยเทศกาลอีสเตอร์และคริสต์มาส

ในโรงเรียน และไม่ค่อยต้องตอบคาถามมากมายใน ในอัตชีวประวัติของฟรอยด์ตีพิมพ์ในปี 1924 ระบ ุ
ห้องเรียน เวลาท่เขาใช้ส่วนใหญ่ในตอนน้นมีเพียง ว่าเขายังคงนับถือยิวอยู่ เพ่อนพ้องส่วนใหญ่ก ็




การอ่านและการเรียนหนังสือ มักจะเป็นคนยิว เขาจึงรู้สึกคับข้องใจอยู่บ้างเม่อ

ฟรอยด์มีพรสวรรค์เป็นอย่างมากด้านภาษาท้ง เห็นพฤติการณ์ต่อต้านชาวยิวแม้เพียงเล็กน้อย ซ่ง ึ

ภาษาละติน กรีก ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี สเปน และ เขาเคยได้พานพบมาทงสิ้นนบตงแต่เยาว์วยใน






ฮีบร เขาชอบภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ โดยเฉพาะ




งานเขียนของเชกสเปียร์ซ่งเขาเคยได้อ่านต้งแต่อาย ุ 4 เป็นงานฉลองพิธีกรรมท่เป็นจุดเร่มต้นของวันหยุดเทศกาลปัสกา
ของชาวยิว
8 ขวบ ในทางหนึ่งเขายังช่วยเหลือเหล่าน้องสาวใน 5 Passover หรือปัสกา (Pesach) ในภาษาฮีบรู เป็นวันหยุดที่สำาคัญ




เร่องเรียนเขียนอ่าน เขาดูจะเป็นพ่ชายท่ใช้อานาจ ของชาวยิว มีขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ
26


เวียนนา แต่กระน้นเขาเคยกล่าวกับออสการ์ ฟิสเตอร์ สนใจภาวะการเงินของครอบครัว ในฐานะชาวยิวแห่ง



(Oskar Pfister; 1873-1956) พระนิกายลูเธอรัน กรุงเวียนนา อาชีพทางเลือกของคนกลุ่มน ได้แก่
6







ว่าเขาเป็นยวทไม่เชอการมอย่ของพระเจ้า ฟรอยด์ นักอุตสาหกรรม นักธุรกิจ นักกฎหมาย และแพทย์

เคยได้รับคัมภีร์ไบเบิลเขียนเป็นภาษาฮีบรูโดยพ่อของ จากอทธิพลของเพอนร่นพในโรงเรยนฟรอยด์ค่อยๆ






เขาในวันเกิดอายุ 35 ปี ฟรอยด์ได้อ่านไบเบิลตั้งแต่ อยากที่จะศึกษาด้านกฎหมาย แต่ต่อมาก่อนจบการ





เด็ก ในภายหลังก็ได้เล่าว่ามีอิทธิพลต่อเขาอย่างมาก ศกษากได้เปลยนใจ งานของชาร์ลส์ ดาร์วนเป็นที ่


อันท่จริงยังคงเป็นท่สงสัยว่าในความหมายของฟรอยด์ โจษจันมาก ณ เวลาน้น และฟรอยด์ก็เป็นหน่งใน


หมายถึงอิทธิพลในเชิงศาสนา จริยธรรม หรือในเชิง ผู้หลงใหลช่นชม งานเหล่าน้ได้เปิดให้เขาเข้าใจโลก



ประวัติศาสตร์ (อ่านเพิ่มเติมในบทที่ 18) อย่างถึงแก่นมากข้น ฟรอยด์ยอมรับว่าท่จริงแล้ว

แม้นในช่วงชีวิตวัยรุ่นของเขาน้น ครอบครัว เขาก็ไม่ได้อยากจะเป็นหมอ แต่เขาเพียงสนใจใคร่รู้

ไม่ได้ร�่ารวยมากมาย แต่พ่อก็ยังยืนยันเสมอว่าจะให้ เกี่ยวกับมนุษย์ สุดท้ายก่อนจบออกจากโรงเรียนเขา
ฟรอยด์ได้เลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองโดยไม่ต้อง ได้เลือกเรยนแพทย์หลังได้ฟังบทความของเกอเธ่ว่า

ด้วยธรรมชาติ
6 โปรเตสแตนต์สายมาร์ติน ลูเธอร์-ผู้แปล
























อพาร์ตเมนต์ที่ฟรอยด์เคยอาศัยในเวียนนา


27

28

ค�ำอธิบำยประกอบจดหมำย หน้ำ 28-29:
ผลการเรียนหรือใบจบการศึกษาระดับ
Matura ในปี 1873 ของฟรอยด์ แสดง
ให้เห็นถึงวิชาและผลการเรียนระดับดีเด่น
ในทุกวิชา
























29

เข้าโรงเรียนแพทย์






1
รอยด์เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเวียนนาในปี 1873 ตริเอสเต (Trieste) การให้ทุนน้เป็นผลจากคุณภาพ


ฟเมื่ออายุได้ 17 ปี ความเปิดกว้างทางวิชาการ งานท่ดีของฟรอยด์ โดยงานวิจัยนี้เกี่ยวข้องกับอวัยวะ


ในมหาวิทยาลัยทาให้เขาสามารถไขว่คว้าตามความ เพศของปลาไหล ฟรอยด์ต้องผ่าปลาไหลถึง 400












สนใจทกว้างขวางของเขาได้ เขายอมรบว่าเขาชอบ ตว และได้เป็นผ้ค้นพบอวยวะหนงซงสนนษฐานว่า



มากกว่าท่จะจมจ่อมอยู่กับเฉพาะสาขาท่สาคัญต่อ อาจเป็นลูกอัณฑะท่ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยัง


การจบแพทย์ แม้ว่าน่นจะทาให้ต้องใช้เวลาเกินไป ปราศจากซ่งหลักฐานท่ชัดเจน ฟรอยด์ไม่พอใจเอา




กว่าที่จ�าเป็นถึง 3 ปี มากๆ กับข้อสรุปท่ไม่ลงตัวน ช่วงท่เขาเดินทางไป



ใน 3 เทอมแรกฟรอยด์เลือกเรียนหลากหลาย ตริเอสเตในหน้าร้อน เขาจึงไปจดจ่ออยู่กับการเรียน
สาขาท่แตกต่างกันไป และในช่วงหน้าร้อนของปี ชีววิทยาโดยเน้นหนักด้านสัตววิทยา

1875 กเรมเรยนสาขาแตกแขนงออกไปอก แทนท ฤดูใบไม้ร่วง ปี 1876 ฟรอยด์ได้รับการตอบรับ








จะเรียนสัตววิทยาสาหรับนักศึกษาแพทย์ เขากลับ ให้เข้าร่วมสถาบันสรีรวิทยาในฐานะ famulus หรือ






ไปลงเรยนสตววทยาโดยตรง ทงยงได้ลงเรียนใน นักศึกษาวิจัย สถาบันน้มีแอนสท์ บรูคเกอ (Ernst


วิชาท่เกินจาเป็นอย่างย่งอย่างฟิสิกส์ ปรัชญา และ Brücke; 1819-1892) ซึ่งต่อมาสามารถนับได้ว่าคือ



สรีรวิทยา ปีต่อมาก็เรียนลึกลงไปอีกในรายวิชา ครูคนสาคัญท่สุดในชีวิตของฟรอยด์ ฟรอยด์ได้เข้าฟัง

ชีววิทยาท่ต้องเรียน 10 ช่วโมงต่อสัปดาห์ ในห้อง บรรยายด้านสรีรวิทยาของบรูคเกอต้งแต่เทอมแรก



ปฏิบัติการสัตววิทยาของศาสตราจารย์คาร์ล เคลาส์ ฟรอยด์จ�าได้ว่าหลังจาก 3 ปีที่มหาวิทยาลัย เขารู้สึก
(Karl Claus; 1835-1899) ควบคู่ไปกับการลงเรียน ว่าในท้ายท่สุดเขาก็ได้พบกับความพึงพอใจจากการ

สรีรวิทยา กายวิภาคศาสตร์ และปรัชญา ได้ร่วมแล็บของบรูคเกอ เขายังให้ความนับถือกับทั้ง

มีนาคม 1876 เขาได้เร่มต้นงานวิจัยแรกในชีวิต บรูคเกอและผู้ช่วย ซิกมุนด์ เอกซ์เนอร์ (Sigmund
โดยคาร์ล เคลาส์ได้ให้เงินวิจัยในการศึกษาท่ศูนย์ Exner; 1846-1926) และแอนสท์ ฟอน ไฟลเชิล

ปฏิบัติการด้านสัตววิทยาของมหาวิทยาลัย ท่เมือง มาร์คโซว์ (Ernst von Fleischl-Marxow; 1846-

1891)
บรูคเกอเป็นคนเคร่งเครียดและเคร่งขรึม แม้
จะเป็นคนมีเหตุผลและเคร่งครัด แต่ก็รู้จักเห็นอก
เห็นใจลูกศิษย์ลูกหา ให้ความยอมรับในแนวคิด เป็น
ผู้ให้กาลังใจและสนับสนุนในความสามารถ ต่อให้

บางคร้งเขาไม่ได้เห็นด้วยกับลูกศิษย์เสียทุกคร้งไป


ปี 1840 บรูคเกอและเอมิล ดู บัวส์ เรย์มงด์ (Emil
du Bois-Reymond; 1818-1896) ร่วมกับเฮอร์มันน์
เฮล์มโฮลทซ์ (Hermann Helmholtz; 1821-1894)


1 ตริเอสเต (Trieste) เป็นเมืองท่าท่ต้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ
มหาวิทยาลัยเวียนนาในศตวรรษที่ 19
ประเทศอิตาลี
30

โยเซฟ บรอยเออร์
(Joseph Breuer; 1842-1925)

ฟรอยด์ได้รู้จักกับบรอยเออร์
ต้งแต่เม่อคร้งท่อยู่ในแล็บของ




บรูคเกอ โดยบรอยเออร์เปน

หมอผู้โด่งดังในเวียนนา
โดยทาการวิจัยเก่ยวกับ


สรีรวิทยาของระบบหายใจ

และหลอดคร่งวงกลม
(semicircular canal) ในหู
บรอยเออร์เป็นบุคคลสาคัญในชีวิต


ของฟรอยด์ เป็นท่ช่นชมของฟรอยด์ท้งในด้านภูมิปัญญา



ู้
ความร ความเข้าอกเข้าใจ และคอยให้คาปรึกษาอยู่เสมอ
ท้งยังช่วยในการตัดสินใจคร้งสาคัญในชีวิตของฟรอยด์



บรอยเออร์มักจะให้ฟรอยด์ติดตามไปดูการรักษาของ รูปบน: ซิกมุนด์ เอกซ์เนอร์ (Sigmund Exner; 1846-1926)

เขาในวอร์ด และยังได้ส่งคนไข้ไปให้เมื่อฟรอยด์มีคลินิก นักสรีรวิทยาชาวออสเตรีย เขาได้ทางานกับบรูคเกอที่เวียนนา

ของตนเอง ต่อมาเม่อฟรอยด์ประสบปัญหาทางการเงิน กับเฮล์มโฮลทซ์ท่ไฮเดลแบร์ก ต่อมาได้เป็นผู้ช่วยของบรูคเกอ

ในสถาบันสรีรวิทยา และสืบทอดต�าแหน่งศาสตราจารย์และ
อย่างหนักก็เป็นผู้ให้ฟรอยด์ได้หยิบยืมเงินอยู่เสมอๆ ใน ผู้อ�านวยการสถาบันจากบรูคเกอในปี 1891


ทศวรรษ 1890 ความเป็นเพ่อนของท้งสองจืดจางลงเม่อ ื
ฟรอยด์ได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับเรื่องเพศ
รูปล่ำง: ภาพสเก็ตช์ของไขสันหลังปลาปากกลมโบราณ
โดยฟรอยด์ จะเห็นถึงรายละเอียดในงานวิทยาศาสตร์ช้นแรก






และคารล ลดวก (Carl Ludwig; 1816-1895) ไดกอตง ของฟรอยด์ แสดงถึงเซลล์ท่เขาต้องศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์



โรงเรียนการแพทย์ของเฮล์มโฮลทซ์ หลักการในการ อยู่วันละหลายชั่วโมง










ศกษาสงมชวตตางๆ เรมจากทนและไดสงอทธพลตอ









ความคดของนกสรรวทยาและเหลาครผประสาทวชา










วิทยาศาสตร์ในเยอรมน ส่วนสาคัญของสรีรวิทยา
ในแบบฉบับของบรูคเกอคือบทบาทของแรงทาง


กายภาพในส่งมีชีวิต เขาสนใจในเร่องของวิวัฒนาการ


ท่เช่อว่า คน สัตว์ พืชน้นล้วนแตกแขนงจากส่งเดียวกัน



โดยความแตกต่างของสิ่งเหล่าน้เป็นผลมาจากการ
พัฒนา แม้ว่าทฤษฎีของดาร์วินยังเป็นที่ถกเถียงกัน

อยู่มาก แต่บรูคเกอยังคงเดินหน้าศึกษาความเช่อม

โยงระหว่างส่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ทางพันธุกรรม
ระหว่างสปีชีส์ และความคล้ายคลึงท่ซ่อนเร้นอยู่ใน

ความหลากหลายภายนอกของสปีชีส์ต่างๆ
ฟรอยด์ได้รับหน้าท่ในการศึกษาจุลกายวิภาค

ศาสตร์ของเซลล์ท่พบในไขสันหลังของปลาปากกลม

โบราณซ่งมีขนาดใหญ่และยังไม่มีการจาแนกชนิด



เขาประสบความสาเร็จในการระบุได้ว่าเป็นเซลล์ของ

ปมประสาทท่เป็นจุดเช่อมต่อระหว่างวิวัฒนาการของ

31

ระบบประสาทของสัตว์ชั้นสูงและสัตว์ชั้นต�่า การค้น รูปวาดโดยฟรอยด์ในผลงานวิจัยยาว 86 หน้า เรื่องไขสันหลัง
ของปลาปากกลมโบราณ รายละเอียดของภาพแสดงถึงความ



พบน้เป็นการค้นพบท่สาคัญ ด้วยก่อนหน้าเช่อว่าไม่ม ี เอาใจใส่อย่างสูงและความหลงใหลในการทางานในห้อง





จุดเช่อมของวิวัฒนาการของสัตว์ช้นสูงและสัตว์ช้นตา ่ � ปฏิบัติการ



น ความสาเร็จของฟรอยด์เกิดจากการศึกษาและแปล พัฒนาทางความคิดและเส้นทางอาชีพของฟรอยด์นา �
ผลอย่างพิถีพิถัน ในงานวิจัยขนาด 86 หน้านี้มีความ มาสู่ความตื่นตาตื่นใจต่อบรูคเกอ ทั้งที่จริงแล้วหลัก
ล�้าหน้าทั้งในเชิงเนื้อหาและการน�าเสนอ การท่ฟรอยด์นามาใช้พัฒนาทฤษฎีทางสรีรวิทยา



งานวิจัยช้นต่อมาว่าด้วยระบบประสาทของกุ้ง ของเขาน้น เป็นท่รับรู้กันว่าได้รับอิทธิพลมาจาก









นาจืด โดยศึกษาท้งท่ยังมีชีวิตด้วยกล้องจุลทรรศน์ บรูคเกอน่นเอง ความยากข้อหน่งท่ฟรอยด์ประสบ




ชนิดใหม่ซ่งเป็นเทคนิคท่ค่อนข้างท้าทาย แม้งานน ในงานคือการท่ต้องนาหลักการเหล่าน้มาใช้กับ




ดูจะออกไปในเชิงกายวิภาค แต่เขาก็ได้ให้ข้อเสนอ ปรากฏการณ์เก่ยวข้องกับจิตใจ ขณะท่ทางานอยู่



แนะในเอกสารงานวจยว่างานนดาเนนการด้วยหวง กับบรูคเกอน้น เขาได้รู้จักกับโยเซฟ บรอยเออร์









ว่าจะเป็นจุดเร่มต้นในการเข้าใจการทางานของระบบ (Joseph Breuer; 1842-1925) ซึ่งเป็นคนหนึ่งที่มี

ประสาท แนวความคิดของเขาเก่ยวกับเซลล์ประสาท อิทธิพลยิ่งต่ออนาคตของฟรอยด์



และกระบวนการทางานของมันแทบจะนาเขาไปสู่ ในช่วงการทาวิจัยฟรอยด์ศึกษาแพทย์ควบคู่






การค้นพบทฤษฎีท่เก่ยวข้องกับกลไกการทางานของ ไปด้วย ดเหมอนว่าฟรอยด์จะไม่ค่อยประทับใจนก

ทั้งระบบประสาทในองค์รวม แต่ฟรอยด์ไม่กล้าที่จะ ในการเรียนจากเหล่าผู้สอนซ่งมีความโดดเด่นและ



ดาเนินการเพ่อบรรลุผลสุดท้าย ถือได้ว่าเขาได้เสีย เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ แต่ก็มีคลาสหน่งท่เขาสนใจ


โอกาสในฐานะผู้ค้นพบทางวิทยาศาสตร์คร้งสาคัญ เป็นพิเศษ น่นคือคลาสจิตเวชของเธโอดอร์ ไมย์เนิร์ท



ยงมีเหตการณ์พลาดโอกาสเช่นนเกดขนกับฟรอยด์ (Theodore Meynert; 1833-1892)











อีกในภายหลัง สาหรับเร่องระบบประสาทน ต่อมา การเรียนมความจาเป็นต้องหยุดลงในช่วง










ไมกปทฤษฎเซลลประสาทกถกหยบยกขนมาอธบาย ส้นๆ ระหว่างปี 1879-1880 เพราะเขาต้องไปรับ





เป็นคร้งแรกโดยไฮน์ริช ฟอน วาลไดเยอร์ ฮาร์ทซ์ ใช้ชาติในกองทัพ ซึ่งไม่ได้เป็นสิ่งยากล�าบาก เพราะ
(Heinrich von Waldeyer-Hartz; 1836-1921) ฟรอยด์เพียงต้องกลับมาอยู่บ้านและไม่มีภาระหน้าท ี ่




ขณะยังศึกษาอยู่น้นฟรอยด์ได้พัฒนาเทคนิค อ่นใดนอกจากทางานในโรงพยาบาล แต่งานน้ก ็



ใหม่ๆ มากมายเพ่อการศึกษาทางสรีรวิทยา การ น่าเบอเอาการ ฟรอยด์จึงแก้ด้วยการแปลหนงสือของ

32

นักปรัชญาชาวอังกฤษ จอห์น สจวร์ต มิลล์ (John
Stuart Mill; 1806-1873) จากภาษาอังกฤษเป็น
ภาษาเยอรมัน

แม้ว่าฟรอยด์จะมีความสนใจท่หลากหลายใน

การเรียนท่มหาวิทยาลัยเวียนนา แต่ก็สามารถผ่าน
การสอบจบในปี 1881 ด้วยผลการเรียนดีเลิศ เขา



บอกว่าน่เป็นผลของความจาอันดีเลิศมากไปกว่า
การเตรียมตัวและทบทวนอย่างต่อเนื่อง


ฟรอยด์กลบไปทางานให้บรคเกอ โดยทางาน


เต็มเวลาเป็นเวลา 15 เดือน ในฐานะผู้สอนแล็บ เขา
ทาการทดลองทางเคมีบ้าง แต่ไม่ได้ประสบผลสาเร็จ



นัก โดยภาพรวมปี 1882 นับเป็นปีท่เขาประสบความ



สาเร็จทางการงานน้อยท่สุด ณ เวลาน้นหากยังคง
ทางานในสายงานผู้สอนแล็บจะมีโอกาสได้เล่อนข้น



สู่ระดับศาสตราจารย์ด้านสรีรวิทยาในท้ายท่สุด แต่

ก็ดูเหมือนไม่มีโอกาสสาหรับความก้าวหน้าใดๆ เขา

จึงได้ออกจากสถาบันตอนกลางปี 1882
แม้พ่อจะให้อสระในการเลอกงานททาโดยไม่





ได้เอาเร่องทางวัตถุมาเป็นตัวตัดสิน แต่บรูคเกอเอง

ได้แนะนาให้ละท้งอาชีพท่ต้องทาวิจัยเพียงอย่างเดียว




เพราะด้วยสภาพทางการเงินในครอบครัว เขาควรไป
เรียนหมอเพื่อจะมีรายได้มาเจือจุน ฟรอยด์พยายาม











หลบหหลับตากบเหตผลข้อนและม่งมนกับงานวจย







ทตนรก เขาหลกเลยงทจะเรยนแพทย์เพราะความ


ไม่ชอบ แต่ก็ทาอย่างน้ได้ไม่นาน ด้วยจานนกับเหตุผล



ของบรูคเกอในเร่องการเงิน แม้ฟรอยด์จะไม่ได้เป็น

คนใช้จ่ายอะไรมากมาย แต่ก็ยังคงเป็นภาระกับพ่อ
ผู้ซึ่งแก่เฒ่าลงทุกวันและไม่ได้ร�่ารวย และยังมีลูกอีก รูปบน: มาร์ธา แบร์ไนยส์ รูปบนสุด: ศาลากลางเมือง

6 คน บ่อยครั้งที่ฟรอยด์ต้องหยิบยืมจากเพื่อนๆ แต่ ปี 1884 สองปีหลังจากรู้จัก โอลมุตซ์ (Olmütz) ซ่ง
และได้หม้นหมายกับฟรอยด์ ฟรอยด์ต้องไปทางานเป็น



เขาก็จ่ายคืนโดยเร็วเสมอ ถ้ายังคงทางานกับบรูคเกอ เวลาหน่งเดือนช่วงเป็นทหาร




ต่อ เช่อได้ว่าคงต้องหาแหล่งรายได้อ่นมาประคับ กองหนุนท่เมืองเล็กๆ ใน
โอลมุตซ์ แคว้นโมราเวียใน
ประคองชีวิต และแน่นอนว่าจะไม่มีทางมากพอให้ ปี 1886

เขาได้แต่งงานหรือสร้างครอบครัว ซ่งฟรอยด์ก็ไม่เคย
คิดถึงเรื่องสร้างครอบครัวมาก่อนจนกระทั่งปี 1882

ท่เขาได้พบและตกหลุมรักมาร์ธา แบร์ไนยส์ (Martha
33

Bernays; 1861-1951) แอนสท์ บรูคเกอ


สุดท้ายเขาก็ยอมตามคาแนะนาของบรูคเกอ (Ernst Brücke; 1819-1892)
โดยเริ่มต้นในฐานะหมอเรซิเดนต์ 3 ปีในโรงพยาบาล


เวียนนา ต่อมาก็ได้เล่อนข้นเป็นหมอ Sekundararzt บรูคเกอเป็นแพทย์และ
นักสรีรวิทยาชาวเยอรมัน
(แพทย์จบใหม่หรือ junior doctors-ผู้แปล) ได้ ผู้ตีพิมพ์งานกว่า 143
ทางานในหลากหลายแผนก ฟรอยด์อาศัยและเรียนร ู้ บทความ เข้ามาอยู่ท ี ่

เวียนนาปี 1848 สถาบัน



งานในโรงพยาบาลอีก 3 ปี โดยได้รับความรู้ในด้าน ท่เขาได้ต้งข้นกลายเป็น
การรักษาจากหลากหลายสาขา ส่วนหลักของโรงเรียนการ
แพทย์ของเฮล์มโฮลทซ์
ช่วง 2 เดอนแรกฟรอยด์ต้องไปอย่ในแผนก ซึ่งสร้างเหล่านักสรีรวิทยา


ช่อดังมากมายในยุคต่อมา




ศัลยศาสตร์ซ่งเป็นงานท่เหน่อยล้าทางร่างกาย ต่อมา ฟรอยด์ได้วิชาความรู้มากมาย

ได้ตาแหน่งแพทย์ฝึกหัดกับคาร์ล วิลเฮล์ม เฮอร์มันน์ จากการบรรยายและการทางานกับบรูคเกอ และได้ ่ ี

พัฒนาวิชาจิตวิเคราะห์ของตนเองโดยใช้หลักการท
นอธนาเกล (Carl Wilhelm Hermann Nothnagel; ได้รับการถ่ายทอดจากบรูคเกอ เชอได้ว่าบรคเกอเอง






1841-1905) ในภาคอายุรศาสตร์ โดยได้รับการ คงจะท่งมากเม่อได้เห็นหน่งในศิษย์รักสามารถเจริญ
ก้าวหน้าจากการท�างานอย่างหนักในแล็บของเขา

ช่วยเหลือจากเธโอดอร์ ไมย์เนิร์ทเป็นผู้แนะนาให้

นอธนาเกลน้นอยากให้ลูกศิษย์มีความทุ่มเทและ ด้านน้มากนักในเวียนนา ฟรอยด์คิดว่าจะดีกับท้งงาน




ทางานวันละหลายๆ ช่วโมง เขาเป็นท่เคารพนับถือ และการเงนของเขา เขาวางแผนท่จะเป็นอาจารย์



ของเหล่าลูกศิษย์และคนไข้ ฟรอยด์เคารพนับถือ มหาวิทยาลัยด้านโรคระบบประสาท และจะไปปารีส
นอธนาเกลเช่นกัน แต่ไม่ได้สนใจในการรักษาหรือ เพื่อเรียนกับฌอง มาร์แต็ง ชาร์โคต์
ศึกษาอาการความเจ็บป่วยของคนไข้ของเขา ปีใหม่ปี 1884 ฟรอยด์ย้ายไปยังสาขาวิชา

ภายใน 6 เดือนคร่งฟรอยด์กได้ตาแหน่งแพทย์ โรคระบบประสาทหรือ Nervenabteilung แม้ว่าเคส


จบใหม่ในคลินิกของเธโอดอร์ ไมย์เนิร์ท เขาคิดว่า ทางระบบประสาทจะมีเข้ามาที่นี่ไม่บ่อยนัก หัวหน้า

ไมย์เนิร์ทเป็นนักสรีรวิทยาสมองท่เก่งท่สุด แต่อาจ สาขา ฟรันซ์ โชลซ์ (Franz Scholz) ตั้งเป้าที่จะลด





ไม่เป็นท่เช่อถือมากนักในสาขาจิตเวช เขาอยู่กับ จานวนผู้ป่วยในให้น้อยท่สุดเท่าท่เป็นไปได้ก็เพื่อลด

ไมย์เนิร์ทได้ 5 เดือน ได้รับประสบการณ์ทางจิตเวช ค่าใช้จ่าย คนไข้ต้องถูกปล่อยให้หิว ใช้ยาราคาถูก

จากในวอร์ดทั้งหญิงและชาย และอ่านหนังสืออย่าง ท่สุด และหอผู้ป่วยก็ถูกปล่อยให้สกปรก ไม่มีแก๊ส
หนักเพื่อจะรักษาได้แม่นย�าตามหลักการทางทฤษฎี ให้ใช้ เมื่อหมอออกตรวจต้องใช้ตะเกียงแทน ฤดูร้อน




ฟรอยด์ยังคงทางานวิจัยเก่ยวกับระบบ ปีน้นในขณะท่หัวหน้าสาขากาลังลาพักร้อนมีการ


ประสาทส่วนกลางของมนษย์ระหว่างเป็นแพทย์ ระบาดของอหิวาตกโรค และต้องมีการเรียกแพทย์

ฝึกหัด ได้เขียนงานวิจัยเก่ยวกับก้านสมองส่วนท้าย มาช่วย ฟรอยด์เป็นหมอท่เหลืออยู่เพียงคนเดียวใน




(medulla oblongata) ไมย์เนิร์ทเร่มรู้สึกว่าตัว สาขา เขาทาหน้าท่หัวหน้าสาขาและมีการใช้จ่าย



เองอาจจะแก่เกินไปทจะตดตามความก้าวหน้าด้าน อย่างเป็นท่พอใจแม้ภายหลังจะโดนตาหนิจากโชลซ์




วิชาการ จึงแนะนาให้ฟรอยด์เต็มท่กับการศึกษา ว่าใช้จ่ายเกินตัว
กายวิภาคของสมองและได้มอบหมายงานสอนของ ความตึงเครียดระหว่างฟรอยด์และหัวหน้ามีมา
เขาแก่ฟรอยด์ ฟรอยด์ปฏิเสธและเลือกท่จะศึกษา อย่างต่อเนอง ทาให้ฟรอยด์ถูกให้ย้ายสาขาในเดือน





เฉพาะโรคระบบประสาทด้วยยังไม่มีผู้เช่ยวชาญ กุมภาพันธ์ ปี 1885 แม้ว่าฟรอยด์จะร้องขออย่างไร
34



แต่ก็ถูกย้ายไปสาขาจักษุวิทยาอยู่ดี จนกระทั่งเดือน ศึกษาได้ 6 เดือน ฟรอยด์มุ่งม่นกับทุนน้มากด้วย

มิถุนายนก็ถูกย้ายไปสาขาตจวิทยา (เกี่ยวกับผิวหนัง) หวังว่าจะทาให้เขาได้เดินทางไปศึกษากับชาร์โคต์





ซ่งเป็นหน่งสัปดาห์ก่อนเขาจะรับตาแหน่งรักษาการ ท่ปารีส ฟรอยด์พยายามอย่างหนักในการทาให้ตัว




ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งนอกกรุงเวียนนา เองได้รบเลอกจากการโหวต ทงอาศัยความดความ



ควบคู่ไปกับงานด้านคลินิก ฟรอยด์ยังคงตีพิมพ์ ชอบเก่าก่อนมาโน้มน้าวทุกคนท่มีอิทธิพลเพ่อชักจูง
งานวิจัยท่เก่ยวข้องกับระบบประสาท ในปี 1885 แม้ คณาจารย์ท่านอ่น ทางคณะได้มีการประชุมและไม่




เขาต้องถูกย้ายไปย้ายมาตามสาขาต่างๆ เขาก็ยังได้ ประสบความสาเร็จในการตดสินใจว่าใครควรได้รับ

รับการบรรจุเป็นอาจารย์ด้านพยาธิวิทยาประสาท ทุน จึงมีการส่งเรื่องให้อนุกรรมการ 3 ท่าน ซึ่งแต่ละ
โดยพิจารณาจากผลงานตีพิมพ์ การสอบสัมภาษณ์ ท่านจะเป็นผู้ให้ข้อมูลเก่ยวกับผู้สมัครแต่ละคน โดยม ี


และการบรรยายสาธารณะ ตาแหน่งดังกล่าวเรียก ผู้สมัคร 3 คน ฟรอยด์อยู่ในภาวะกระวนกระวายใจย่ง



ว่า Privatdocent ซ่งมีค่าตอบแทนท่สูง นับเป็น ด้วยเชื่อว่าจะไม่ได้รับทุน แต่ด้วยผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ

ก้าวแรกในการทางานมหาวิทยาลัยและเป็นความ ฟรอยด์คือบรูคเกอ ผู้ท่ขอร้องอ้อนวอนให้ฟรอยด์


หวังแก่ฟรอยด์ในการใช้การรักษาทางการแพทย์ ชนะทุน ในที่สุดฟรอยด์จึงได้อาลางานโรงพยาบาล


เพ่อให้สามารถเล้ยงดูครอบครัวได้ และปี 1885 น และประสบการณ์ด้านการแพทย์อย่างถาวรในปลาย



เองท่ฟรอยด์ได้สมัครทุนการศึกษาต่างประเทศเป็น เดือนสิงหาคม ปี 1885 เพื่อมุ่งตรงสู่ปารีส

เงิน 600 คึลเดิน (gulden) ซ่งอนุญาตให้ลาไป
2




2 600 คึลเดิน ประมาณ 7,500 บาท คึลเดินเป็นสกุลเงินท่ใช้กันใน โรงพยาบาลกรุงเวียนนา ท่ซ่งฟรอยด์


ประเทศเนเธอร์แลนด์มาตั้งแต่ศตวรรษท่ 17 จนกระท่งถึงปี 2002 ได้เร่มต้นงานแพทย์ฝึกหัดในเดือน



ได้เปลี่ยนเป็นสกุลยูโร ตุลาคม 1882 ในการท่จะส่งสม
ประสบการณ์ด้านคลินิกเพ่อจะได้

ท�าการรักษาตามบ้านต่อไป










35

ฟรอยด์ ณ ปารีส







ลาคม 1885 ฟรอยด์ได้ทุนเพ่อการเดินทาง ชาร์โคต์ได้ต้งคลินิกประสาทวิทยาเป็นแห่งแรก

ตุ ไปยังโรงพยาบาลซัลเปตรีแยร์ (Salpêtrière) ในยุโรปเมื่อปี 1882 เขาเป็นที่รู้จักในนาม ‘บิดาแห่ง






ในกรุงปารีส ช่วงปลายศตวรรษท 18 ท่นี ประสาทวิทยายุคใหม่’ ซ่งศึกษาเร่องความเส่อมแข็ง




คือโรงพยาบาลท่ใหญ่ท่สุดในโลก สามารถรองรับ ของเนื้อเยื่อและโรคพาร์กินสัน แต่เขาเป็นที่รู้จักกัน








คนไข้ได้นบหมนคน รวมทงนกโทษซงส่วนใหญ่เป็น เป็นอย่างดีจากโรคฮิสทีเรียและการสะกดจิต
โสเภณีตามท้องถนนปารีสอีกราว 300 คน การปฏิวัต ิ

ไปสู่การรักษาผู้ป่วยทางจิตข้นรุนแรงด้วยมนุษยธรรม






เริ่มทดลองน�ามาใช้โดยฟิลิปป์ ปีเนล์ เมื่อเขาย้ายมา โรงพยาบาลซลเปตรแยร์ เดมเป็นโรงงานดนปืน จากนน
กลายมาเป็นที่พักพิงของผู้ยากไร้ ผู้ป่วยโรคลมชัก อาชญากร


จากบิแซ็ตร์ในปี 1795 ซ่งเป็นช่วงท่ฌอง มาร์แต็ง โรคจิต และบรรดาผู้ป่วยทางจิต พระเจ้าหลุยส์ท 14 ทรงสร้าง








ชาร์โคต์ทางานและสอนอยู่ท่น โรงพยาบาล โรงพยาบาลท่โรงงานน้ราวกลางศตวรรษท 16 และสร้างสถาน


รับรองพระธุดงค์ (La Hospice de la Salpêtrière) ขึ้นมา

ซัลเปตรีแยร์เป็นท่ยอมรับระดับโลกในด้านจิตเวช ภายหลังในศตวรรษเดียวกัน
















36

ปารีสเป็นผู้ให้ชีวิตใหม่แก่ข้าพเจ้า




ซกมนด์ ฟรอยด์






















จนกระท่งศตวรรษท 17 ฮิสทีเรียถูกจัดให้เป็น
ความป่วยที่เกิดข้นกับเพศหญิง โดยสาเหตุมาจาก

ปัญหาในมดลูก ในศตวรรษท 19 ถูกจัดเป็นความ




ผิดปกติท่เก่ยวข้องกับเพศ ชาร์โคต์ได้ศึกษากับคนไข้



อย่างใกล้ชิดเพ่อท่จะสามารถบ่งช้และหาลักษณะ
เฉพาะของความผิดปกติน การศึกษาของเขานาไป



สู่ความเข้าใจฮิสทีเรียในมุมมองใหม่ๆ สามารถบ่งช ้ ี
ได้ 4 ระดับขั้นของการเป็นฮิสทีเรีย รวมไปถึงอาการ
เล็กน้อยอื่นๆ ก็จัดอยู่ใน 4 ระดับขั้นนี้ด้วย เขาจัดให้ รปบนซ้ำย: ผู้ป่วยโรคฮิสทีเรียในปี 1887 ท่โรงพยาบาล


ฮิสทีเรียเป็นความผิดปกติในระบบประสาท ใน ซัลเปตรีแยร์ ถูกท�าการสะกดจิตหมู่โดยใช้เสียง
บางรายมีการแสดงอาการส่งต่อทางกรรมพันธุ์
ชาร์โคต์ได้ศึกษาความเจ็บป่วยในระบบ รูปบนขวำ: ฌอง มาร์แต็ง ชาร์โคต์ (1825-1893) ให้ความ
สนใจกับความเจ็บป่วยของคนไข้หญิงในโรงพยาบาลซัลเป





ประสาทจากผ้เคยประสบกบการบาดเจบร้ายแรง ตรีแยร์ต้งแต่ยังเป็นหมอหนุ่มๆ ต่อมาเม่อมีตาแหน่งท่สูงข้น







ในการศึกษาอาการอ่อนแรงจากฮิสทีเรียท่จะปรากฏ ก็ได้ทางานในหน่วยท่เก่ยวข้องกับโรคระบบประสาทของ
โรงพยาบาล เขาเคยกล่าวว่าเขาอาจไม่ได้มีความเป็นนักคิด


หลงจากเกดความเครยดได้มการสร้างความอมพาต แต่เขาจะเป็นนักสังเกตการณ์มากกว่า เขาใช้เวลาอย่างมาก



เทียมโดยนาการสะกดจิตมาใช้ในโรงพยาบาล ผู้ป่วย ในการสังเกตอาการและรูปแบบร่วมในหมู่คนไข้ของเขา

มากพอให้เขาสามารถจ�าแนกชนิดของมันได้
จะถูกให้เพ่งไปยังแสงสว่างๆ จนกว่าจะเกิดการเกร็ง
ตัวของกล้ามเน้อ จึงปิดตาคนไข้เพ่อให้เข้าสู่ภวังค์


แล้วก็ออกแรงกดตรงด้านบนของศีรษะให้เกิดการ


ละเมอข้น ซ่งช่วงน้ผู้สะกดจิตสามารถส่อสารกับ


37


ผู้ถูกสะกดจิตได้ ชาร์โคต์ประสบความสาเร็จในการ
แสดงให้เห็นว่าอาการอ่อนแรงจากฮิสทีเรียอาจมีผล
มาจากปัจจัยทางจิตวิทยา ภาวะอัมพาตเทียมนี้เป็น



ส่งเดียวกับภาวะอัมพาตท่เกิดข้นจริงกับผู้ป่วย น่น

อาจจะหมายความว่าไม่ว่าฮิสทีเรียจะมีสาเหตุจาก

อะไรก็ตามก็อาจรักษาและทาให้หายได้ด้วยการปรับ
ท่จิต ชาร์โคต์สรุปว่าผู้ป่วยฮิสทีเรียเท่าน้นท่ถูกสะกด








จตได และจากช่อเสยงของเขาในการใชการสะกดจิต

ทาให้วิธีการน้ถูกบรรจุเป็นส่วนหน่งในกระบวนการ


ทางการแพทย์ นอกจากจะพิสูจน์เก่ยวกับการมีอยู่

จริงของฮิสทีเรียแล้ว เขายังพบว่าโรคน้สามารถเกิด

กับผู้ชายได้อีกด้วย
ฟรอยด์กลายเป็นนกเรยนของซลเปตรแยร์




และเป็นหน่งในนักศึกษาต่างชาตจานวนมากของโรง









พยาบาลในเวลาน้น เขาได้ร้จกชาร์โคต์มากข้นเมอ
เขาเสนอตัวท่จะแปลงานสอนของชาร์โคต์เป็นภาษา

เยอรมัน หลังจากได้ยินชาร์โคต์บ่นว่าไม่สามารถ
ติดต่อคนแปลก่อนหน้าได้และต้องการหาคนมาแปล
ผลงานเล่มใหม่
ฟรอยด์ประทับใจเป็นท่สุดในงานด้านฮิสทีเรีย

ของชาร์โคต์ เม่อเขาได้เห็นการทางานของชาร์โคต์



ฟรอยด์แทบจะท้งความสนใจเดิมด้านกายวิภาค
และการวิจัย โดยมีงานด้านจิตวิทยาและงานคลินิก
มาแทนท ต่อมาภายหลงฟรอยด์ยอมรับว่าแม้




แนวคดบางอย่างของชาร์โคต์จะตกไปหรือไม่เป็น

ท่ยอมรับ แต่ก็ไม่อาจเมินเฉยต่อความสาคัญของ


แนวคิดเหล่าน้นได้ ชาร์โคต์ยังคงเป็นต้นแบบของ

ฟรอยด์เสมอท้งในฐานะนักวิทยาศาสตร์และแพทย์

รูปซ้ำย: แพทย์คนหน่งของชาร์โคต์กาลังถ่ายภาพผู้ป่วย

ฮิสทีเรียในปี 1883
38


รูปบน: ภาพบรรยากาศการสอนเร่องฮิสทีเรียโดยชาร์โคต์

ท่ซัลเปตรีแยร์ มีบลองช์ วิทท์แมน (Blance Wittman)
คนไข้ของชาร์โคต์ ถูกนามาสาธิตในการบรรยายท่เป็นท่รู้จัก



มากท่สุด โดยในภาพเธอถูกประคองโดยโยเซฟ บาแบงสก ี

(Joseph Babinski) ลูกศิษย์ของชาร์โคต์ ฟรอยด์มีภาพพิมพ์
ของรูปนี้ติดอยู่เหนือโซฟาคนไข้ของตนด้วย
39


ถึงแม้ว่าในเวลาต่อมาเขาจะไม่ได้เห็นด้วยกับทุก วิทยาซ่งเป็นภาควิชาใหม่ ก่อนกลับมาถึงเวียนนา
ทฤษฎีของชาร์โคต์ ปี 1893 ชาร์โคต์ได้เสียชีวิต ฟรอยด์ใช้เวลาหลายสัปดาห์ในกรุงเบอร์ลิน โดย







กะทันหันด้วยวัย 68 ปี ฟรอยด์ได้เขียนถึงการจากไป อาศยอย่ทคลนิกของอดอลฟ์ บากนสก (Adolf
ของชาร์โคต์ด้วยความรักใคร่สรรเสริญในคุณภาพ Baginsky; 1843-1918) เพ่อจะเรียนรู้เก่ยวกับ


ความเป็นครูและนักบรรยาย รวมท้งความสามารถ โรคเด็ก



ในการจุดประกายคนรุ่นหลัง และนาไปสู่การสร้าง เม่อกลับมาถึงเวียนนาในเดือนตุลาคมปี 1886


กลุ่มแพทย์และผู้ช่วยท่เต็มใจจะอยู่และทางานกับ ฟรอยด์ได้น�าเสนอต่อสมาคมแพทย์ (Gesellschaft


เขา ฟรอยด์จบประโยคสุดท้ายว่า แม้ความคิดท้งหมด der Ärzte) ของกรุงเวียนนาในส่งท่เขาได้เรียนรู้


ของชาร์โคต์อาจจะยังไม่สมบูรณ์ และแม้ว่าเขาจะ จากชาร์โคต์ โดยได้อ่านงานวิจัยเก่ยวกับโรคฮิสทีเรีย
ประเมินปัจจัยทางพันธุกรรมมากเกินไปในการก่อ ในผู้ชาย การสนับสนุนวิธีการของชาร์โคต์อย่าง



ให้เกิดความเจ็บป่วยทางประสาท แต่น่นไม่ได้ทาให้ กระตือรือร้นกลับพบกับการต้อนรับท่เย็นชาจาก


เกียรติยศของชาร์โคต์ด้อยค่าลงไปเลย สมาคม จากข้อคิดเห็นท่ว่าไม่ได้นาเสนออะไรใหม่

ก่อนท่ฟรอยด์จะออกจากปารีส เขาได้รับข้อ และการสะกดจิตยังมีข้อน่ากังขาอยู่มาก ฟรอยด์

เสนอตาแหน่งในสถาบันโรคเด็กแห่งแรกของกรุง ถูกเธโอดอร์ ไมย์เนิร์ท (บทท 3) พูดจาเชิงท้าทาย



เวียนนา โดยสถาบันน้มีความทันสมัยในเวลาน้น ว่าเห็นจะไม่มีทางได้พบชายท่เป็นโรคฮิสทีเรียใน



แม็กซ์ คาสโซวิตซ์ (Max Kassovitz) ขอให้ฟรอยด์ เวียนนาอย่างท่ฟรอยด์ศึกษาพบที่ปารีสเป็นแน่






ทาหน้าท่เป็นท้งผู้อานวยการของภาควิชาประสาท ฟรอยด์รู้สึกได้ถึงการถูกปิดก้นในการทางาน แม้การ
40




ค้นพบของเขาจะถกต้องเหมาะสม แต่แพทย์อาวโส มีท่ให้บรรยายอยู่ราวหน่งปีในการสอนทางคลินิก แต่


ในแผนกก็ยังคงไม่ยอมให้เขาร่วมงานด้วย ต่อมา ยังได้บรรยายในสาขากายวิภาคศาสตร์ในห้องท่มีคน
ฟรอยด์ได้พบชายผู้มีอาการ ‘ชาคร่งซีกแบบฮิสทีเรีย’ ฟังพอควร ฟรอยด์เล่าว่าหลังต้องออกจากแล็บ เขา






นอกโรงพยาบาลและได้นาเสนอต่อสมาคม ซงเป็น กถอนตวออกจากวงวิชาการและไม่สมาคมกบกล่ม









เรองน่าชนชม แต่ฟรอยด์ยงคงร้สกได้ถงการไม่เป็น คนเหล่านั้นอีกเลย

ที่ยอมรับ

ไม่ช้าหลังการนาเสนอของฟรอยด์ ช่วงปลาย
ปี 1886 เขาก็ถูกตัดออกจากห้องแล็บสรีรวิทยา

สมองโดยไมย์เนิร์ท ความสัมพันธ์ระหว่างท้งสอง รูปหน้ำ 40 และรูปล่ำง: ท่ปารีสฟรอยด์ใช้โคเคนในการกระตุ้น


จึงเร่มตึงเครียดข้นภายหลังจากงานวิจัยของฟรอยด์ และช่วยปรับอารมณ์ และทาให้รู้สึกผ่อนคลาย ชาร์โคต์ได้






ได้รับการตีพิมพ์ และดูจะด้วยเหตุผลน้มากกว่า ทาการทดลองกับสารเสพติดด้วย รูปท่ยุ่งเหยิงน้เป็นฝีมือ
ของชาร์โคต์หลังการเสพกัญชา ต่อมาเขาได้สรุปว่ากัญชา
อ่นใดในการให้ฟรอยด์ออกจากแล็บ ฟรอยด์ไม่ได้ มีส่วนท�าให้เกิดอาการแบบเดียวกับฮิสทีเรีย
































41

โคเคน






1884 ระหว่างการศึกษาวิจัยทางคลินิกท ่ ี

ปีโรงพยาบาลเวียนนา ฟรอยด์ได้รับโคเคนจาก
1
บริษัทเคมีภัณฑ์แมร์ค (Merck) ให้ศึกษาความเป็น
ไปได้ในการนามาใช้ทางการแพทย์ โคเคนเป็นสาร

สกัดอัลคาลอยด์ในใบของต้นโคคา ซ่งชาวอเมริกาใต้

มีการน�าใบของต้นโคคามาเคี้ยวกันนับเป็นพันปีแล้ว
ท้งยังรู้ดีในสรรพคุณการบรรเทาปวด การเป็นสาร

กระตุ้น และลดความหิว โคเคนถูกสกัดครั้งแรกโดย

นักเคมีเยอรมันในปี 1855 และถูกนามาใช้ทางการ


แพทย์ต่อมาในโลกตะวันตก ตอนท่ฟรอยด์เร่มศึกษา
สารตัวนี้นั้น มันยังคงไม่เป็นที่รู้จักมากนัก

ด้วยความพยายามที่จะสร้างเน้อสร้างตัว


โดยเร็วเพ่อจะได้แต่งงานกับคู่หม้นให้ได้เร็วข้น

ฟรอยด์พยายามค้นหาวิธีหรือยาตัวใหม่เพ่อสร้างช่อ



จากการเห็นหมอชาวเยอรมันได้เร่มลองใช้โคเคน
2
กับทหารแคว้นบาวาเรีย ฟรอยด์เก็บสารตัวอย่าง

โคเคนไว้ด้วยความหวังว่าจะนามาใช้ประโยชน์กับ
ผู้ป่วย โดยคิดว่าไม่น่าจะมีใครท่กาลังคิดใช้งานใน


ลักษณะเดียวกัน อุปสรรคแรกที่ฟรอยด์พบคือราคา


ยาซ่งแพงเกินกว่าท่คาดไว้มาก ฟรอยด์ซ้อมาเพียง


รูปบน: คาร์ล โคลเลอร์ (Karl Koller; 1857-1944) เป็น 1 กรัมและพยายามจ่ายคืนเม่อเขาพร้อม เขาได้

ผู้มีช่อเสียงในด้านการรักษาทางจักษุวิทยาสืบเน่องจากการ ทดลองใช้กับตัวเองและบันทึกไว้ว่า ‘ให้อาการเคลิ้ม




ค้นพบท่ไปเก่ยวข้องกับการใช้โคเคน ท้งยังได้รับฉายาว่า

‘โคคา โคลเลอร์’ จากความเกี่ยวข้องกับโคเคนของเขา ระดับปกติ’ ฟรอยด์ศึกษาผลลัพธ์กับผู้ป่วยคนอ่นท ี ่
มีโรคหัวใจและระบบประสาทอ่อนเพลีย (nervous
รปหน้ำ 43: โฆษณาไวน์ผสมโทนิกฝร่งเศสทาจากใบโคคา exhaustion) เขาพบว่าโคเคนสามารถช่วยลดความ




จากปี 1890 คุณสมบัติท่ก่อให้เกิดการเสพติดของโคเคน



ไม่เป็นท่รับรู้อยู่หลายปี โดยได้ถูกใช้เป็นส่วนผสมของท้งยา ผิดปกติในกระเพาะและอาการไอเร้อรัง จากการใช้







และนาโทนิกช่วงระหว่างปลายศตวรรษท 19 และต้นศตวรรษ สารในปรมาณน้อยกบตนเองยงช่วยรกษาอาการ

ที่ 20
ซึมเศร้าและอาหารไม่ย่อยได้อย่างเห็นผล ฟรอยด์



เร่มท่จะต่นเต้นกับตัวยาใหม่น้โดยเช่อว่าจะสามารถ






1 บริษัทเคมีและเภสัชกรรมท่เก่าแก่ท่สุดในโลก ก่อต้งข้นในปี 1668

มีสำานักงานใหญ่ในดาร์มสตัดท์ (Darmstadt) ประเทศเยอรมนี ช่วยเหลือผู้ป่วยได้อีกมากมาย เขาได้แบ่งให้เพ่อน
2 Bavaria เป็นแคว้นที่ตั้งอยู่ในบริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ

เยอรมนี ผู้ร่วมงาน และน้องสาวทดลองใช้ แม้กระท่งมาร์ธา
คู่หมั้นของฟรอยด์ก็ให้ลองเอาไปใช้อยู่เสมอๆ เพื่อน
42


Click to View FlipBook Version