The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Gypzy Publishing, 2020-10-02 00:55:58

ฮอว์กิง นักฟิสิกส์แห่งศตวรรษที่ 21 HAWKING THE MAN

ฮอว์กิง: นักฟิสิกส์แห่งศตวรรษที่ 21
HAWKING: THE MAN, THE GENIUS, AND THE THEORY OF EVERYTHING

โจเอล เลวี: เขียน
บุรินทร์ กำ�จัดภัย: แปล
ร�ค� 260 บ�ท

ALL RIGHTS RESERVED.
Text © Joel Levy 2018
Design © André Deutsch Limited 2018
Thai translation right © 2020 by Gypsy Publishing Co., Ltd.
© ข้อความและรูปภาพในหนังสือเล่มนี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ. 2558
การคัดลอกส่วนใดๆ ในหนังสือเล่มนี้ไปเผยแพร่ไม่ว่าในรูปแบบใดต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน
ยกเว้นเพื่อการอ้างอิง การวิจารณ์ และประชาสัมพันธ์
ข้อมูลท�งบรรณ�นุกรมของสำ�นักหอสมุดแห่งช�ติ
National Library of Thailand Cataloging in Publication Data
เลวี โจเอล.
ฮอว์กิง: นักฟิสิกส์แห่งศตวรรษที่ 21 = Hawking: the man, the genius, and the theory of everything.--
กรุงเทพฯ : ยิปซี กรุ๊ป, 2563.
164 หน้า.-- (บุคคลสำาคัญ).
1. ฮอว์กิง, สตีเฟน, ค.ศ. 1942-2018. I. บุรินทร์ กำาจัดภัย, ผู้แปล. II. ชื่อเรื่อง.
925.3
ISBN 978-616-301-728-4
บรรณ�ธิก�รอำ�นวยก�ร : คธาวุฒิ เกนุ้ย
บรรณ�ธิก�รบริห�ร : สุรชัย พิงชัยภูมิ
ผู้ช่วยบรรณ�ธิก�รบริห�ร : วาสนา ชูรัตน์
บรรณ�ธิก�รเล่ม : สินีนาถ เศรษฐพิศาล
กองบรรณ�ธิก�ร : คณิตา สุตราม พรรณิกา ครโสภา นันทนา วุฒิ
หัวหน้�ฝ่�ยพิสูจน์อักษร : สวภัทร เพ็ชรรัตน์
ฝ่�ยพิสูจน์อักษร : วนัชพร เขียวชอุ่ม สุธารัตน์ วรรณถาวร
พิสูจน์อักษร : กันยารัตน์ ทานะเวช
รูปเล่ม : Evolution Art
ออกแบบปก : Wrong design
ผู้อำ�นวยก�รฝ่�ยก�รตล�ด : นุชนันท์ ทักษิณาบัณฑิต
ผู้จัดก�รฝ่�ยก�รตล�ด : ชิตพล จันสด
ผู้จัดก�รทั่วไป : เวชพงษ์ รัตนมาลี
จัดพิมพ์โดย : บริษัท ยิปซี กรุ๊ป จำากัด เลขที่ 37/145 รามคำาแหง 98
แขวง/เขตสะพานสูง กรุงเทพฯ 10240
โทร. 0 2728 0939 โทรสาร. 0 2728 0939 ต่อ 108
พิมพ์ที่ : บริษัท วิชั่น พรีเพรส จำากัด โทร. 0 2147 3175-6
จัดจำ�หน่�ย : บริษัท ยิปซี กรุ๊ป จำากัด โทร. 0 2728 0939
www.gypsygroup.net
www.facebook.com/gypsygroup.co.ltd
LINE ID: @gypzy
สนใจสั่งซื้อหนังสือจำานวนมากเพื่อสนับสนุนทางการศึกษา สำานักพิมพ์ลดราคาพิเศษ ติดต่อ โทร. 0 2728 0939

ฮอว์กิง



นักฟสิกส์แห่งศตวรรษที 21
































โจเอล เลวี: เขียน

บรินทร์ ก�ำจัดภัย: แปล




ค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์












14 มีนาคม นอกจากเป็นวันพาย (Pi Day - มีข้นเพ่อราลึกถึงความสาคัญทางคณิตศาสตร์






เน่องจากเป็นวันท่ตรงกับตัวเลขซ่งมีนัยสาคัญสามตัวแรกอันเป็นท่มาของค่าพาย (π) คือ 3.14 )
แล้วยังเป็นวันเกิดของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์ทฤษฎีแห่งศตวรรษที่ 20 ล�าพังแค่การเกิด
ของไอน์สไตน์ตรงกับวันพายก็ถือเป็นความพ้องพานท่น่าอัศจรรย์นัก แต่แล้วเช้าวันท่ 14 มีนาคม


2018 ก็เกิดเหตุการณ์ให้โลกต้องครุ่นคิดถึงความสอดคล้องอย่างบังเอิญท่หาเหตุผลได้ยากย่งกว่า




สมการอันซับซ้อนในสูตรคณิตศาสตร์ เพราะวันน้เป็นวันลาโลกของบุคคลสาคัญในต้นศตวรรษท ี ่
21 เขาผู้นั้นคือ สตีเฟน ฮอว์กิง นักจักรวาลวิทยาเจ้าของทฤษฎีเกี่ยวกับกาลอวกาศผู้เล่าประวัติ
ย่อของกาลเวลา

ผลงานของฮอว์กิงก็เช่นเดียวกับเร่องราวชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา หนังสือ ฮอว์กิง:








นกฟิสกส์แห่งศตวรรษท 21 เขียนโดยโจเอล เลวเล่มนเป็นชีวประวัตอย่างย่อพร้อมภาพประกอบ


สวยงามท่สานักพิมพ์ยิปซีคัดสรรมานาเสนอแก่ผู้อ่าน โดยเล่าถึงฮอว์กิงต้งแต่ชีวิตวัยเด็กท ่ ี


ไม่ธรรมดาจนถึงการประสบความส�าเร็จในฐานะนักวิทยาศาสตร์ผู้เปลี่ยนแปลงโลก
เชิญผู้อ่านเปิดหน้าถัดไปเพ่อสัมผัสกับเร่องราวของอัฉริยะบุคคลผู้ไม่ธรรมดาในวงการ


วิทยาศาสตร์ฟิสิกส์
ด้วยมิตรภาพ
ส�านักพิมพ์ยิปซี


ค�ำน�ำโดยผ้แปล






ผู้แปลเป็นมือสมัครเล่นและมือใหม่ในวงการแปล นี่เป็นครั้งที่สองที่ผู้แปลได้ท�างานแปลหนังสือ


และก็ยังคงเป็นหนังสือท่เก่ยวข้องกับชีวประวัติของคนคนเดียวกันคือ ศาสตราจารย์สตีเฟน
ฮอว์กิง หลังจากท่ผู้แปลได้แปลหนังสือเล่มแรกคือหนังสือ ประวัติย่อของตัวผม (My Brief

History เขียนโดย Stephen Hawking สนพ. มติชน 2558) ร่วมกับคุณนรา สุภัคโรจน์ นักแปล







ช้นนาของประเทศ คร้งน้หนังสือท่แปลเป็นชีวประวัติของฮอว์กิงท่ผู้อ่นเป็นคนเขียนไม่ใช่ตัวเขาเอง

เน้อหาส่วนใหญ่คล้ายๆ กัน หากแต่คร้งน้เป็นมุมมองภาพรวมจากผู้เขียนคือโจเอล เลวี (Joel levy)


ซึ่งเป็นตัวแทนของคนทั่วไปมองเส้นเวลาและเหตุการณ์ในชีวิตของสตีเฟน ฮอว์กิง หาใช่เขามอง
ตัวเองดังเช่นใน ประวัติย่อของตัวผม

ในการแปลหนังสือเล่มน้ ผู้แปลเองได้ท่องไปในห้วงชีวิตของฮอว์กิงในสายตาของคนนอกคือ
ผู้เขียน (โจเอล เลวี) หนังสือเล่มน้จึงปราศจากการแสดงความรู้สึกของตัวฮอว์กิงเองในทุกช่วง






อายุ หากแต่เป็นการส่อสารออกมายังผู้เขียนด้วยคาให้สัมภาษณ์หรอในทางอ่นๆ ขณะทาการแปล



ตัวผู้แปลเองเหมือนได้ย้อนกลับไปในวันเวลาระหว่างปี 2551-2552 คร้งท่เคยทางานท่ DAMTP

เคมบริดจ์ ผู้แปลได้พบกับฮอว์กิงและได้สัมผัสประสบการณ์อันมีค่ายิ่งทางวัฒนธรรม ความคิด




วิชาการ และเทศกาลต่างๆ ท่น่น ผู้แปลไม่อายและภูมิใจท่ได้พูดช่อมหาวิทยาลัยนเรศวรและ


ประเทศไทยให้เขาฟัง ในสัมมนาท่ผ้แปลต้องนาเสนอต่อหน้าเขาและเหล่าศาสตราจารย์ทน่น






ผู้แปลรู้สึกเป็นพระคุณท่ศูนย์ CTC ของฮอว์กิงได้ให้ทุนค่าครองชีพบางส่วนท่น่นกับผู้แปล ผู้แปล

จึงได้รับโอกาสแห่งช่วงเวลาอันแสนวิเศษและเต็มไปด้วยเวทมนตร์ทางวิชาการนี้


ไม่ใช่เร่องง่ายเลยในการส่อสารองค์ความรู้ทางฟิสิกส์ช้นสูงสู่ประชาชนท่วไปท่แม้จะมีความ























สนใจฟสกส์อยกตาม ดวยเงอนไขทวาจะตองสอออกมาใหถกตองไมผิดเพยนไปจากตรรกะแนวคด


และต้องเข้าใจได้ไม่ยาก ความพยายามของฮอว์กงตลอดชวชวตของเขาจงเป็นความม่งมนต่อ









ปัญหาอันท้าทายยิ่งที่จะสื่อสารวิทยาศาสตร์ วิทยาการเชิงคณิตศาสตร์ และเรื่องราวที่เหนือไป
จากโลกประจ�าวันสู่ประชาชน ในหนังสือเล่มนี้ผู้อ่านจะได้ทราบมุมมองที่กว้างขึ้นในหลายๆ มิติ
ชีวิตของฮอว์กิงและมรดกทางความคิดและแรงบันดาลใจที่เขาทิ้งเอาไว้ให้พวกเรา


ไม่ใช่เร่องง่ายเลยเช่นกันในการแปลหนังสือเล่มน้ ฉะน้นแม้จะเป็นเพียงผู้แปล แต่ก็จะ

ฉวยโอกาสมอบคุณความดีจากการแปลหนังสือนี้ให้กับความรักจากครอบครัวของผู้แปล ให้กับ



มหาวิทยาลัยนเรศวร สถาบนการศึกษาท่ผ้แปลได้ทางานนานถง 24 ปี และให้กับสตเฟน ฮอว์กง




แรงบันดาลใจส�าคัญของผู้แปลในอาชีพนักฟิสิกส์ทฤษฎี
บุรินทร์ ก�าจัดภัย
10 กันยายน 2563
วิทยาลัยเพื่อการค้นคว้าระดับรากฐาน “สถาบันส�านักเรียนท่าโพธิ์ฯ”
มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก
และโครงการจัดตั้งศูนย์วิจัยฟิสิกส์ทฤษฎีและปรัชญาธรรมชาติ
มหาวิทยาลัยมหิดล นครสวรรค์



สำรบัญ










บทน�ำ 10



บทที 1 ไอน์สไตน์จอมขี้เกียจ 12


บทที 2 ค�ำพิพำกษำและกำรรอลงอำญำ 22

บทที 3 กำรปฏิวัติหลุมด�ำ 46

บทที 4 สงครำมหลุมด�ำ 64


บทที 5 ประวัติย่อของเวลำ 86


บทที 6 เดียวดำยบนยอดสูง 100

บทที 7 นักวิทยำศำสตร์คนดัง 106


บทที 8 กำรออกแบบอันยิงใหญ่ 122

บทที 9 บนเวทีและในจอเงิน 136


บทที 10 เหลือไว้ 146


อภิธำนศัพท์ 160

เครดิตภำพ 163

บทน�ำ




การถึงแก่กรรมของฮอว์กิงในเดือนมีนาคม 2018 ของปัญญาชนในรุ่นเขา ในยุคท่ผู้คนละเลยความรู้




ทาให้เราประจักษ์ถึงเร่องราวใกล้ตัวอันน่าเหลือเช่อ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาได้นาเสนอแนวคิดท ่ ี




ท่สุดเร่องหน่งในศตวรรษท่ผ่านมา การค้นพบทาง ซับซ้อนและท้าทายเช่นวิทยาศาสตร์ภูมิปัญญาช้น









วิทยาศาสตร์ท่พรมแดนของอวกาศและเวลา ความ สงทกระชับเข้าใจง่ายอย่างสมบรณ์แบบต่อสอและ




โรแมนติกซ่งต้องฝ่าฟันอุปสรรคอันยากท่จะเอาชนะได้ สาธารณชน ภาพลักษณ์ของเขาท่สาธารณชนรับรู้
และความมุ่งม่นอย่างหาญกล้าเม่อเผชิญกับความ น้นก้าวข้ามมาตรฐานของมนุษย์ปุถุชนธรรมดาไปสู่



ทุกข์ยาก หากเร่องราวน้ฟังดูเหมือนจะนาไปสร้างหนัง การเป็นแม่แบบ ร่างกายที่ใช้การไม่ได้และน�้าเสียงที่





ดีๆ สักเร่องได้ก็ไม่ใช่ส่งท่ต้องกังวล เพราะมันถูกนาไป สังเคราะห์จากคอมพิวเตอร์ แทบไม่ต่างอะไรกับการ


สร้างเป็นภาพยนตร์แล้วถึง 2 เรื่องจนกระทั่งตอนนี้ เหลือแต่ส่วนสมองในถังใหญ่ สติปัญญาท่มีอิสระ




เร่องราวชีวิตของฮอว์กิงดลบันดาลจินตนาการ หลุดพ้นจากร่างกายท้งหมด แต่การนาเสนอเช่นน้โดย




และสร้างความช่นชมท่ตราตรึงใจผู้คนนับล้านท่ว ตีความและมุมมองจากชีวิตภายนอกของตัวฮอว์กิง



โลก เขาพิมพ์หนังสือที่ขายดีเป็นปรากฏการณ์ ได้มี เองย่อมทาให้ความจริงเก่ยวกับความสาเร็จทาง

โอกาสพบประมุขแห่งศาสนจักรและประธานาธิบด วิทยาศาสตร์และชีวิตส่วนตัวของเขาอาจบิดเบือน

หลายท่านและปรากฏตัวในงานคอนเสิร์ตหลายงาน ไป ซ่งเป็นความเสียหายและล้มเหลวของการท่เรา


ราวกับเป็นดาราเพลงร็อก เขาได้เดินทางไปท่วโลก จินตนาการไปเช่นน้น การไม่ยอมให้ความเจ็บป่วย

ได้ประสบการณ์รับรู้ถึงความโน้มถ่วงเป็นศูนย์และ นิยามตัวตนของเขา การไม่ยอมให้ความเดียวดาย


ได้เดินทางไปกับเท่ยวบินบอลลูนอากาศร้อน เขาเป็น หยุดเขาไว้ได้ คือเร่องราวท่สร้างพลังใจโดยไม่มีข้อ




แขกรับเชิญในรายการโทรทัศน์ท่ได้รับความนิยมท่สุด โต้แย้ง แม้เขาอาจจะไม่ใช่นักจักรวาลวิทยาท่ย่งใหญ่

ในโลกและได้รับการสวมบทบาทบนจอเงินโดยดารา ที่สุดหลังยุคของไอน์สไตน์ หรือแม้เขาจะไม่ได้ยืนอยู่
ภาพยนตร์ ฮอว์กิงได้รางวัลและเกียรติยศมากมาย ระดับแนวหน้าของเหล่านักฟิสิกส์สมัยใหม่ เรื่องราว




ชนดท่หยุดไม่อยู่ ซ่งมีหลายระดับต้งแต่เคร่องราช ท่เขาได้ศึกษาในชีวิตการทางานของเขาก็น่าต่นเต้น








อสรยาภรณอัศวนของบริเตน (Britain’s Order และติดตรึงใจ

of the Companions of Honour) และเคร่อง หนังสือเล่มน้ต้องการแสดงให้เห็นว่าใครก็ตาม






อสรยาภรณสงสุดแหงสหรฐอเมริกา เหรยญอสรภาพ สามารถร่วมผจญภัยทางปัญญากับส่งท่ฮอว์กิงได้






ของประธานาธิบดี (US Presidential Medal of ลงมือศึกษาไว้ อย่างน้อยก็ในระดับหน่ง มันอธิบาย

Freedom) เหรียญรางวัลอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert ภูมิหลังทางวิทยาศาสตร์ของเขาและพยายามท่จะ


Einstein Medal) รางวลสาหรบการเขยนหนงสอ ทาให้ความสลับซับซ้อนในทฤษฎีต่างๆ ของเขาน้น






(the Aventis Book Prize) และเหรียญรางวัล the เข้าถึงและเข้าใจได้โดยไม่ต้องใช้สูตรคณิตศาสตร์
Pius XI Medal ของบัณฑิตยสภาวิทยาศาสตร์แห่ง ฮอว์กิงจาได้ว่าเขาเคยถูกเตือนว่าทุกๆ สมการที ่

ส�านักวาติกัน (Pontifical Academy of Sciences) เขาใส่ไว้ในหนังสือควรมีผู้สนใจอ่าน ผมจึงเดินตาม

ภายหลังความสาเร็จท่หยุดไม่อยู่ของหนังสือ แนวทางการเขียนเช่นน้และหลีกเล่ยงสมการแทบ



ประวัติย่อของกาลเวลา (A Brief History of Time) ทุกสมการ ยกเว้นก็แต่สมการท่ปรากฏในคาจารึก


ท่เผยแพร่ในปี 1988 ฮอว์กิงกลายเป็นไอคอน บนหลุมศพของเขา

10

11


บทที 1




ไอน์สไตน์จอมขี้เกียจ



กำรมำแทนกำลิเลโอ:

ครอบครัวและวัยเยำว์







สตีเฟน วิลเลียม ฮอว์กิง เกิดเม่อวันท่ 8 มกราคม 1942 ซ่งเป็นเวลาครบ 300 ปี


ของการถึงแก่กรรมของกาลิเลโอ ซ่งสตีเฟนเองมักพูดถึงเร่องน้ พ่อและแม่ของเขาคือ




แฟรงก์และอิซอเบล แม้ท้งคู่จะสาเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด กระน้น

เขาก็ไม่ได้เกิดจากครอบครัวท่รารวยอะไร


อิซอเบล (Isobel) เป็นลูกสาวของนายแพทย์ชาว
สกอตและครอบครัวของเธอเก็บหอมรอมริบเพ่อ


รวบรวมเงินส่งเธอเรียนมหาวิทยาลัยในยุคท่ผู้คนมอง


ว่าการเรียนมหาวิทยาลัยไม่ใช่เร่องปกตินักสาหรับ
ผู้หญิง ส่วนแฟรงก์ (Frank Hawking) พ่อของเขา
มาจากยอร์กเชอร์ (Yorkshire) มณฑลทางตอนเหนือ


ของอังกฤษ (ซ่งข้นช่อในเร่องของการเป็นคนพูดจา


ขวานผ่าซาก) เขาศึกษาด้านเวชศาสตร์เขตร้อนและ
ก�าลังกลายเป็นนักวิจัยชั้นน�าซึ่งหน้าที่การงานมักจะ
พาให้เขาต้องเดินทางไปต่างประเทศ
พ่อแม่ของสตีเฟนพบกันขณะท้งคู่ทางานท่สถาบัน



วจยทางการแพทย์ทางตอนเหนอของลอนดอน ทง ั ้



สองแต่งงานกันในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 บ้าน


ของครอบครัวน้อยู่ท่ไฮเกต (Highgate) ชานเมือง
ตอนเหนือของลอนดอน แต่เพราะอันตรายจากการ
ทิ้งระเบิดของฝ่ายเยอรมัน ท�าให้อิซอเบลซึ่งท้องแก่
จากการตงครรภ์ทารกน้อยสตเฟนต้องย้ายไปอยู่ท ่ ี



ออกซฟอร์ด ก่อนคลอดไม่กี่วันเธอได้ไปร้านหนังสือ


และซ้อแผนท่ดาว ซ่งในเวลาต่อมาเธอถือว่ามันคือ

ลางบอกถึงอนาคตท่จะเกิดข้น และแล้วในวันท่ 8




มกราคม 1942 อิซอเบลได้ให้กาเนิดลูกคนแรก -
สตีเฟน วิลเลียม ฮอว์กิง (Stephen William
Hawking)
แฟรงก์ ฮอว์กิงอุ้มลูกชาย ทารกสตีเฟน วิลเลียม ในปี 1942
ภาพน้ถ่ายขณะท่ครอบครัวอาศัยอยู่ท่ลอนดอนทางตอนเหนือ



14



เด็กชายสตีเฟนกาลังเล่นอยู่บนเรือ แม้ตอนน้นพอจะรู้แล้วว่า
มความผดปกตทางรางกาย แตอาการปวยยงไมปรากฏออกมา








หลังสตีเฟนเกิด อิซอเบลได้ย้ายกลับไปไฮเกตท ี ่


ซ่งครอบครัวน้ได้อาศัยอยู่ต่อไปอีกแปดปีและมีลูก
อีกสองคน (แมรี่เกิดในปี 1943 และฟิลิปปาเกิดใน
ปี 1946) ต่อมาในปี 1955 เธอและสามีก็มีลูกคนที่สี่
ด้วยการรับเอ็ดเวิร์ดเป็นบุตรบุญธรรม ขณะอาศัย

อยู่ท่ไฮเกต สตีเฟนเข้าเรียนท่ไบรอนเฮาส์ (Byron

House) ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ถือปรัชญาการศึกษาแบบ

ก้าวหน้า สตีเฟนได้ตาหนิปรัชญาการศึกษาแนว


น้ว่ามันทาให้เขาประสบความยากลาบากในการ


เรียนรู้ท่จะอ่านออกเขียนได้ ปี 1950 แฟรงก์ได้รับ









ตาแหน่งหวหน้าส่วนปรสตวทยาทสถาบนวจยการ
แพทย์แห่งชาติในเซนต์อัลบันส์ (St Albans) เมืองที่

มีความเจริญเมืองหน่งอยู่ออกไปทางตอนเหนือของ
ลอนดอน และครอบครัวนี้ก็ได้ย้ายไปที่นั่น

ท่เซนต์อัลบันส์ครอบครัวฮอว์กิงถูกมองว่าไม่
ค่อยเหมือนชาวบ้านชาวช่องกับเขาเท่าไร รถยนต์



ของครอบครัวน้เป็นแท็กซ่ลอนดอนท่ดัดแปลงนา

กลับมาใช้ใหม่ และบ้านของครอบครัวก็เป็นบ้าน ภาษาของชาวฮอว์กิง
หลังใหญ่พังๆ ซึ่งเริ่มทรุดโทรมโดยไม่มีการซ่อมแซม
ใดๆ หนังสือจ�านวนมากกองพะเนินเป็นหอคอยช่วย แฟรงก์ ฮอว์กิงพูดติดอ่างตะกุกตะกักและคน
บังรอยแตกบางส่วนและเป็นฉนวนกันลมเย็นท่พัด อื่นๆ ในครอบครัวนี้ก็ขึ้นชื่อในการรัวค�าพรั่งพรู



เขามา ตัวแฟรงก ฮอวกงเองไมไดใสใจเร่องในละแวก เพื่อนๆ ของสตีเฟนตั้งสมมติฐานว่าครอบครัวนี้






บ้านเท่าใดนักเพราะเขามักจะหายไปเป็นระยะเวลา ฉลาดจัดถึงขนาดความคิดของพวกเขาทะลัก






นานๆ เพ่อเดินทางไปประเทศเขตร้อน เป็นท่รู้กัน ล้นออกมาจนปากพดได้ไม่ทน ส่งท่เหนได้


ว่าบ้านครอบครัวฮอว์กิงแต่ละคนจะน่งรอบๆ โต๊ะ อันหน่งก็คือสตีเฟนและคนในครอบครัวมักตัด


อาหารในความเงียบและจดจ่อกับการอ่านหนังสือ หรือย่อคาและวลีต่างๆ เสียจนได้ภาษาอังกฤษ






และคนบ้านน้ได้ช่อว่าเป็นพวกพูดรัวเร็วและต่อเน่อง แปลกแปร่งบิดเบ้ยวซ่งเพ่อนๆ เรียกกันว่าเป็น
ราวยิงปืนกล (ดูข้อความในกรอบ) ‘ภาษาของชาวฮอว์กิง’ (Hawkingese)
15



วันละชวโมง: โรงเรียนและมหำวิทยำลัย





หลังจากท่ครอบครัวฮอว์กิงย้ายไปอาศัยท่เซนต์อัลบันส์เด็กชายสตีเฟนวัย 8 ขวบก็ได้เข้า






เรียนช่วงส้นๆ ท่โรงเรียนมัธยมสาหรับเด็กหญิง (ซ่งท่จริงแล้วเป็นช้นเรียนแบบสหศึกษา


แม้ว่าช่อจะไม่สอดคล้องกับความจริง) ท่ซ่งทรงผมกระเซิงของเขาได้อยู่ในสายตาของ



เด็กหญิงคนหน่งซ่งอยู่ในช้นเรียนติดกัน เด็กหญิงอายุ 7 ขวบคนน้คือ เจน ไวลด์ (Jane



Wilde) ผู้ซ่งต่อมาได้กลายเป็นภรรยาของเขา
ในที่สุดสตีเฟนก็ได้ย้ายไปเรียนท่โรงเรียนเซนต์

อัลบันส์ที่ซึ่งเขาเป็นนักเรียนผู้ใฝ่รู้ แม้ว่าเขาดูเหมือน

จะฉลาดปราดเปร่อง แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก และ

เขาเองก็อยู่ในระดับท่ห่างไกลจากอันดับหน่งของ

ห้องเสมอ เพ่อนร่วมช้นต่างเรียกเขาว่า ‘ไอน์สไตน์


จอมขี้เกียจ’



อย่างไรก็ด สตเฟนอ่านหนงสอมากจงเป็นการ





หาความร้ด้วยตวเองและพฒนาความหลงใหลใน

วิทยาศาสตร์ข้น เขาก็เหมือนเดกๆ ท่วไปท่มกจะ






ต้งคาถามเก่ยวกับสาเหตุของปรากฏการณ์ธรรมชาต ิ

และที่ต่างกับผู้ใหญ่คนอื่นๆ ก็คือนิสัยการตั้งค�าถาม
แบบเด็กๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ธรรมชาตินี้ไม่เคยหาย
ไปจากตัวเขา และในภายหลังสตีเฟนบอกว่านิสัย

แบบน้เองท่เป็นพลังขับเคล่อนอาชีพนักวิทยาศาสตร์


ของเขา ตอนน้นเขาเร่มท่จะเผยนิสัยอวดดีและทะนง




ในความรู้ของตน ซ่งต่อมาได้กลายเป็นบุคลิกอันหน่ง ึ


ของเขา เช่น มีเพ่อนท่เคยเรียนโรงเรียนเดียวกันช่อ


ไมเคิล เชิร์ช (Michael Church) จาได้ว่าสตีเฟนเผลอ
ปล่อยไก่ออกมาในการโต้วาทีทางปรัชญา
ความสามารถท่โดดเด่นอันหน่งของสตีเฟนใน




ช่วงวัยเรียนคือเขามีส่วนในการสร้างเคร่องคานวณ



อเล็กทรอนกส์โดยเป็นการทาโครงงานระดบนกเรียน


นักเรียนชาย สตีเฟน ฮอว์กิง เช่นเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ เคร่องน้ช่อว่า LUCE (ย่อมาจาก Logical Uniselector




ท่มีช่อเสียงคนอ่นๆ คือฮอว์กิงไม่ได้เรียนเก่งมาต้งแต่ต้นเม่อ




สมัยเรียนในโรงเรียน สาเหตุหลักๆ ก็คือเขารู้สึกว่าการเรียน Computing Engine) โดยประกอบจากเศษชิ้นส่วน
การสอนตามรูปแบบปกตินั้นไม่น่าสนใจ เล็กๆ น้อยๆ ของอุปกรณ์ต่างๆ เช่น นาฬิกาเก่าและ
16

แผงวงจรไฟฟ้าในโทรศัพท์ที่น�ากลับมาใช้ซ�้า สตีเฟน เคมบริดจ์ และเดอรัม มีธรรมเนียมการแบ่งเหล่า
และเพื่อนๆ ท�าโครงงานนี้ในปี 1957-1958 และถึง คณาจารย์และนักศึกษาออกเป็นวิทยาลัยต่างๆ ซ่ง ึ









กับทาให้พวกเขาได้ลงข่าวในหนังสือพิมพ์ท้องถ่น เป็นองค์กรสาหรบจดหาทพกและมบทบาทต่อ
ส่สิบปีต่อมาฮอว์กิงก็เป็นผู้มีบทบาทหลักในการสร้าง กิจกรรมทางสังคมในหมู่นักศึกษาและนักวิชาการ

COSMOS ซ่งเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ท่ใช้ประมวลผล ของวิทยาลัย รวมถึงการมีห้องสมุดและสอนเสริมใน


และวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลเพ่อใช้งานกับการวิจัย วิชาต่างๆ-ผู้แปล) ในเดือนตุลาคม 1959 สตีเฟนได้


ทางจักรวาลวิทยา ดาราศาสตร์ฟิสิกส์ และฟิสิกส์ เข้าสังกัดวิทยาลัยยูนิเวอร์ซิต้คอลเลจ (University

อนุภาคโดยเฉพาะ College) แห่งออกซฟอร์ด ซ่งเป็นโรงเรียนเก่าของ



หลงเรยนสาเรจชนมธยม พอของสตเฟนอยากให พ่อ กระนั้นก็ตามเขาก็ยังไม่ยอมตั้งใจเรียนอย่างเต็ม









เขาเรียนแพทย์ แต่สตีเฟนนั้นสนใจวิชาวิทยาศาสตร์ ท่ ในสมัยน้นการเป็นคนเรียนเก่งเป็นเร่องท่ดูไม่เจ๋ง









สาขาต่างๆ ท่บรสทธกว่า กระนนพ่อของเขาก และเส่ยงกับการถูกล้อเลียนว่าเป็นเกรย์แมน (grey


เป็นผู้เลือกวิทยาลัยให้ (มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด man - คนที่เอาแต่เรียน น่าเบื่อ และไม่รู้จักชีวิตที่
เป็นไปได้ไหมที่เราจะบอกได้ว่า
ใครสักคนจะกลายเป็นอัจฉริยะ

มีการเปรียบเทียบหน่งเก่ยวกับชีวประวัติในวัยเยาว์ของ

ไอแซก นิวตัน (Isaac Newton), อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert
Einstein) และสตีเฟน ฮอว์กิง ว่ามีความคล้ายกันในหลายๆ
อย่าง ทั้งสามไม่ใช่คนเรียนเก่งในโรงเรียน อย่างน้อยก็ในตอน
แรก บางทีอาจเป็นได้ว่าอัจฉริยภาพของพวกเขายังไม่ปรากฏ

ดังเช่นในกรณีของฮอว์กิงและไอน์สไตน์ท่ชีวิตในโรงเรียนถูก
มองว่าเป็นเด็กข้เกียจและอวดดี ท้งสามชอบสอนคนอ่นโดย



นิสัยของตนเอง มักจะช่างฝันและละความสนใจจากบทเรียน

ได้ง่ายๆ แต่เม่อได้รับแรงบันดาลใจ พวกเขาก็สามารถเป็น

ท่หน่งของห้องได้อย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่นในกรณีของ





สตเฟน แม้เขาจะเรยนอย่ในระดบกลางๆ ของโรงเรยนมา

หลายปี แต่ก็ได้ทุนไปเรียนออกซฟอร์ดเร็วกว่าระยะเวลา
ปกติถึงหนึ่งปี ยิ่งไปกว่านั้น ในวัยเด็กนักวิทยาศาสตร์ทั้งสาม
ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์สัญชาติเยอรมัน ผู้ลือชื่อ

จะสนุกกับการสร้างแบบจาลองของเล่นหรือซ่อมแซมของเล่น จากการพัฒนาทฤษฎีสัมพัทธภาพ
หรืออุปกรณ์กลไกต่างๆ
17





แท้จริง เป็นคาพูดเชิงเหยียดหยามสาหรับพวกเด็ก ช่วโมงโดยประมาณเท่าน้น ซ่งก็เท่ากบแค่วันละหน่ง





เรียน–ผู้แปล) สตีเฟนระวังเร่องน้มากจึงสนใจเรียน ช่วโมง แต่เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับตาแหน่งคนคัดท้าย



แค่เพอให้สอบผ่าน ในตอนหลังเขาได้คานวณว่าเวลา เรือแข่งของชมรมพายเรือของวิทยาลัยยูนิเวอร์ซิต ้ ี






สามปีทออกซฟอร์ด เขาอ่านหนังสือเพียงหน่งพัน คอลเลจมากกว่าทจะสนใจให้เวลากับการอ่านหนังสอ































ชมรมพายเรือมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดในปี 1962 ฮอว์กิง
ยืนโพสท่าอย่างโดดเด่นตรงด้านขวาของภาพ ชูผ้าเช็ดหน้า

สูงๆ กอร์ดอน แบร์ร่ เพ่อนของเขาถูกต้งกลับหัวลงล่างอยู่


ตรงกลางภาพ








18


หนังสือพิมพ์ของเมืองเคมบริดจ์บันทึกผลการแข่งขันท่น่า

ผิดหวังของทีมชมรมพายเรือของออกซฟอร์ด (ซ่งมีสตีเฟน









ในนน) ในการแขงขนกบเคมบรดจ ชวงเวลานฮอวกงดจะสนใจ




กับการแข่งพายเรือมากกว่าสนใจเล่าเรียน

















































19


ช่วงเวลาท่ออกซฟอร์ดน่เองท่ความไม่เสถียรใน ราวเหตุการณ์ที่เขาเล่า คะแนนของเขาคาบเกี่ยวอยู่


การเคล่อนไหวร่างกายของสตีเฟนเพ่มข้นและเร่ม ระหว่างปริญญาเกียรตินิยมอันดับหน่งและอันดับ





แสดงอาการออกมา เขาซ่งเป็นคนสูงโย่งและเก้งก้าง สอง (วิธีคิดและแนวทางในการให้ปริญญาเกียรตินิยม


แต่ตอนนเขากลายเป็นคนท่อาจได้รับอันตรายจาก แบบอังกฤษแตกต่างจากวิธีของไทยซ่งใช้ระบบการ







ความซุ่มซ่าม คร้งหน่งเขาพลาดตกบันไดท่วิทยาลัย ศึกษาแบบอเมริกัน-ผู้แปล) เม่อต้องเข้าสัมภาษณ์
ศีรษะกระแทกอย่างแรงและจ�าอะไรไม่ได้ไปชั่วขณะ กับคณะกรรมการเพื่อตัดสินว่าจะได้เกียรตินิยม


กอร์ดอน แบร์ร่ (Gordon Berry) เพ่อนของเขาจ�าได้ อันดับหน่งหรืออันดับสอง เขาบอกกับคณะกรรมการ


ว่าเพ่อให้ม่นใจว่าสมองของเขาไม่ได้รับความเสียหาย ว่าเขามีแผนท่จะเรียนต่อเพ่อทาวิจัยและบอกไปว่าถ้า




อย่างถาวร สตีเฟนจึงเข้ารับการทดสอบไอคิว ปรากฏ เขาได้เกียรตินิยมอันดับหน่งเขาจะไปเคมบริดจ์ แต่ถ้า

ว่าเขาได้ระดับไอคิวสูงลิ่ว ได้เกียรตินิยมอันดับสองเขาจะเรียนต่อท่ออกซฟอร์ด


เม่อถึงเวลาสอบไล่จบการศึกษา สตีเฟนพยายาม ด้วยความท่อยากขจัดตัวเจ้าปัญหา คณะกรรมการจึง


กลบเกล่อนความล้มเหลวของตนในการเรียน (โดย ตกลงให้เขาได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง สตีเฟนกาลังเข้า


เฉพาะส่วนท่เป็นภาคปฏิบัติ) ด้วยการเลือกตอบ สู่ก้าวแรกในอาชีพนักวิทยาศาสตร์ท่จะเขย่าฐานราก



เฉพาะคาถามท่เป็นภาคฟิสิกส์ทฤษฎี ถ้าถือตามเร่อง ของวิชาฟิสิกส์


















รปบน: สตีเฟนและเพ่อนๆ กาลังเดินกลับวิทยาลัยจากโรงเก็บเรือ รูปหน้า 21: ฮอว์กิง (ที่สามจากซ้าย นั่งบนเก้าอี้มีพนักแขน)


ของวิทยาลัยยูนิเวอร์ซิต้คอลเลจในปี 1961 ฮอว์กิงอยู่ด้านซ้าย และสมาชิกฝีพายที่เขาเป็นคนคัดท้ายจนได้ชัยชนะในการแข่ง

ในภาพ สวมหมวกสานทรงโบเทอร์ เรือครั้งหนึ่งในปี 1960
20

อยู่บนดาวดวงอื่น



แม้ว่าจะขาดทักษะและศักยภาพ แต่ความปราดเปร่องท่น่าท่ง ึ













ของฮอวกงกเป็นทประจกษแกเหล่าอาจารย์ทปรกษาและเพอนๆ

นักศึกษา ดีเรค เพาว์นีย์ (Derek Powney) เพ่อนนักศึกษาฟิสิกส์


ท่ออกซฟอร์ดซ่งเรียนมาด้วยกันจาเร่องราวท่เผยให้เห็นถึงความ







ปราดเปร่องน้ในตอนเรียนช้นปีสอง นักศึกษาส่คนได้รับการบ้าน
เป็นโจทย์ฟิสิกส์ที่ยากและหินมาก 13 ข้อ แม้นักเรียนสามคนได้
ใช้ความพยายามหนึ่งสัปดาห์ในการตะลุยท�า แต่ก็ท�าได้แค่สอง
ข้อ ส่วนฮอว์กิงไม่สนใจที่จะท�าสักข้อ ในเช้าวันที่มีชั่วโมงติว คน
อื่นๆ บังคับให้ฮอว์กิงที่ไม่ค่อยเต็มใจที่จะลุกตื่นไปกินอาหารเช้า
และเปล่ยนเส้อผ้า กระน้นเขาก็ยังปฏิเสธท่จะเข้าเลกเชอร์ในตอน




เช้า เมื่อเพื่อนร่วมชั้นสามคนกลับมาที่วิทยาลัยในสามชั่วโมงต่อ


มา พวกเขาถามเล่นๆ ว่าเขาท�าโจทย์เสร็จแล้วกี่ข้อ เขาตอบว่า ฮอว์กิง (ขวา) กับเพ่อนๆ กอร์ดอน แบร์ร่ (ซ้าย)
และดีเรค เพาว์นีย์ (กลาง)
“ผมพอมีเวลาท�าโจทย์ไปได้สิบข้อ” ตรงนี้เองที่พวกเพื่อนๆ จึง

ได้ตระหนักว่าถ้าเป็นเร่องความปราดเปร่องแล้วละก็ ฮอว์กิงน้น


อยู่บนดาวดวงอื่น
21


บทที 2



ค�ำพิพำกษำ


และกำรรอลงอำญำ



เลือกเรียนจักรวำลวิทยำ:



เรียนต่อทีเคมบริดจ์และเริมท�ำปริญญำเอก





มันเป็นตอนเรียนช้นปีสามท่ออกซฟอร์ด สตีเฟนต้องเจอกับทางเลือกระหว่างศึกษา

เฉพาะทางด้านจักรวาลวิทยาหรือด้านฟิสิกส์รากฐาน เขาเร่มคิดการใหญ่

เขาเลอกทจะเรยนต่อทางจักรวาลวิทยาซงเป็นการ ปรญญาเอกท่เคมบรดจ์ภายใต้การให้คาแนะนาของ










ศึกษาเอกภพและฟิสิกส์ที่อธิบายหัวข้อ เช่น การก่อ ฮอยล์ เม่อแน่ใจว่าได้เกียรตินิยมอันดับหน่งจากออกซ-








ตัวของดาวฤกษ์และวิวัฒนาการของดาราจักรต่างๆ ฟอร์ดแล้ว ฮอว์กิงมาเข้าสังกดวทยาลยทรนิตฮอลล์


และปรากฏการณ์ผิดธรรมดา เช่น หลุมด�า จักรวาล แห่งเคมบริดจ์ซึ่งเป็นอะไรท่ลาบากและเหน็ดเหน่อย




วิทยาก็ยังเป็นคาถามสาคัญท่สุดทางวิทยาศาสตร์คือ ความเครียดท่เพ่มข้นด้วยปัญหาในการเคล่อนไหว





ค�าถามที่ว่าเอกภพมาจากที่ใด ซาร้ายยังพบกับช่วงวันหยุดท่แสนเครียดในเปอร์เซีย



ฮอว์กิงได้เรียนวิชาในภาคเรียนฤดูร้อนกับชยันต์ (อิหร่านในปัจจุบัน) ซ่งฮอว์กิงป่วยหนักขณะท่ต้องติด

นาร์ลิการ์ (Jayant Narlikar) ซ่งเป็นนักศึกษาปริญญา อยู่ในภัยพิบัติจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นช่วงเวลานั้น

เอกของเฟรด ฮอยล์ (Fred Hoyle) นักจักรวาลวิทยา ถ้าว่ากันในประเด็นวิชาการ ความท้าทายหลัก


ชาวบริติชผู้ยิ่งใหญ่มาตั้งแต่ยุคก่อนหน้า วิชาที่เรียน ท่เขามีในตอนน้นคือการหาหัวข้อวิจัยปริญญาเอก




น้จุดไฟแห่งความมุ่งหมายให้ฮอว์กิงต้องการมาทา ความหลงใหลท่ฮอว์กิงรอคอยด้วยคาถามประเด็น
ถูกจัดให้ไปเป็นนักศึกษาของเซียมา


อุปสรรคกวนใจยังไม่ดีข้นแต่อย่างใดเม่อสตีเฟนไปถึงเคมบริดจ์


เร่องท่เขาต้องผิดหวังก็คือฮอยล์มีนักศึกษาวิจัยปริญญาเอกเต็ม
โควต้าแล้ว ดังนั้น สตีเฟนจึงถูกจัดให้ไปสังกัดกับอาจารย์ที่เขา
ไม่เคยได้ยินช่อแทน อาจารย์คนน้นคือ เดนนิส เซียมา (Dennis



Sciama) ซ่งในตอนน้นเซียมาเป็นอาจารย์ในสาขาคณิตศาสตร์

และเป็นหน่งในผู้ท่เห็นด้วยกับจักรวาลวิทยาและทฤษฎีภาวะ


คงตัวตามส�านักคิดของฮอยล์ (ดูหน้า 26-27) อันที่จริงแล้วสิ่ง
ท่เกิดข้นน้นกลับกลายเป็นความโชคดีของสตีเฟน เพราะฮอยล์



เดินทางบ่อยมากและแทบไม่มีเวลาให้นักศึกษาปริญญาเอกของ
เขา แต่เซียมาคือครูผู้มีพรสวรรค์ทางการสอนซึ่งมีชื่อเสียงมาก
เดนนิส เซียมา การเป็นคนมีความหวังดีและ ในการดูแลให้ค�าปรึกษากับนักศึกษาปริญญาเอก ยิ่งไปกว่านั้น

เห็นใจผู้อนของเขาจะช่วยสตีเฟนให้ออกจาก คือความสนใจของเซียมาตรงกันพอดีกับความกระหายอยาก

ความเศร้าและทาให้เขาได้เดนบนเส้นทางส่ ู



ความยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ ของฮอว์กิงในการสารวจปัญหาระดับรากฐานในประเด็นทาง
จักรวาลวิทยา
24

นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ชาว


อนเดย ชยนต์ นาร์ลการ์


ในช่วงวัยท่อยู่ในฐานะ

นักศึกษาปริญญาเอกและ
นักวิจัยโพสต์ดอกเตอร์
(หลังปริญญาเอก) เขาเป็น

ศิษย์ท่เรียนกับเฟรด ฮอยล์


และได้กลายเป็นเพอน
กับฮอว์กิง













ใหญ่ๆ เก่ยวกับเอกภพทาให้เขาสนใจวิชาจักรวาล จากนามธรรมสู่การจับต้องได้

วิทยาโดยท่วไป โดยเฉพาะทฤษฎีสัมพัทธภาพของ


ไอน์สไตน์เป็นการเฉพาะ เขารู้ดีว่าฟิสิกส์รากฐาน ทศวรรษท่ 1960 น้นพิสูจน์ได้ว่าเป็นช่วงเวลา




หรือฟิสิกส์อนุภาคซ่งเป็นหน่งในสาขาหลักของฟิสิกส์ ท่น่าต่นเต้นสาหรับสาขาวิชาจักรวาลวิทยา จน





ทฤษฎีท่เขาอาจได้เข้าไปศึกษาน้นน่าสนใจน้อยกว่า กระท่งตอนน้ ท่ผ่านมาทฤษฎีสัมพัทธภาพเป็น


สาหรับเขา เขารู้สึกว่าการเป็นนักฟิสิกส์อนุภาคน้น หัวข้อศึกษาค้นคว้าของนักคณิตศาสตร์มาโดย




เหมือนการเป็นนักพฤกษศาสตร์หรือนักสัตววิทยา ตลอด ไม่มใครคิดว่ามันจะเก่ยวข้องกับฟิสกส์

ที่ท�างานมากกว่าการจ�าแนกประเภทใน ‘สวนสัตว์’ ประยุกต์เท่าใดนัก อย่างไรก็ดี การถือกาเนิด

ของอนภาคแปลกๆ ใหม่ๆ โดยไม่ได้ประโยชน์จาก ข้นของสาขาวิชาดาราศาสตร์วิทยุในทศวรรษ

การหาทฤษฎีที่เป็นพื้นฐานอันมีนิยามชัดเจน 1950 ได้เปิดโลกใบใหม่ของปรากฏการณ์ทาง
ในทางตรงข้ามฮอวกงกลับเหนว่าทฤษฎีสมพทธภาพ ดาราศาสตร์ เช่น พัลซาร์ (Pulsar) และกุญแจ









น้นต้งอยู่บนพ้นฐานของทฤษฎีท่นิยามไว้ชัดเจน ดอกสาคัญในการทาความเข้าใจพัลซาร์ก็คือ



ด้วยสมการท่ค้นพบโดยไอน์สไตน์และมีวิสัยลู่ทางท ่ ี ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ในช่วงเวลาเดียวกันนักฟิสิกส์
โดดเด่น เพราะสมการต่างๆ นั้นช่างท้าทายตรงที่ยัง อาทิ จอห์น วีลเลอร์ (John Wheeler) ก�าลัง


ไม่เคยมีใครเข้าไปศึกษาตัวทฤษฎีและการตีความใน สานต่องานค้นคว้าภาคทฤษฎีเก่ยวกับหลุมดา


เชิงจักรวาลวิทยามาก่อน อย่างไรก็ดี การตั้งธงที่จะ ท่ทาไว้โดยโรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์ (Robert

ศึกษาสัมพัทธภาพน้นนามาซ่งปัญหาในตัวมันเอง Oppenheimer) และคนอ่นๆ ทฤษฎีอันดูเป็นส่ง ิ




ด้วยเช่นกัน น่นเพราะคณิตศาสตร์ของมันซับซ้อน นามธรรมจากฟิสิกส์เชิงคณิตศาสตร์กาลังได้รับ







อย่างเหลือร้าย ฮอว์กิงขาดพ้นฐานท่จาเป็น เขาจึง การยนยนอยางน่าตนใจจากผลการสงเกตการณ ์






เร่มเดินทางเข้าลอนดอนเพ่อเข้าไปฟังการบรรยาย ทางดาราศาสตร์ ส่งน้ทาให้วิชาจักรวาลวิทยาอัน


วิชาทฤษฎีสัมพัทธภาพ เข้าถึงและเข้าใจได้ยากดูน่าสนใจขึ้นอย่างมาก
25

ฮอยล์และแนวคิดภำวะคงตัว






เฟรด ฮอยล์คือนักวิชาการช้นแนวหน้าในวงการดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยาของ

สหราชอาณาจักรหลังยุคสงคราม เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์คนดังผู้ค้นพบแนวคิดสาคัญ



ย่งเก่ยวกับกระบวนการก่อตัวของดาวฤกษ์และการสังเคราะห์ธาตุต่างๆ เป็นท่ทราบ
กันดีว่าฮอยล์น้นเป็นผู้สนับสนุนคนสาคัญของทฤษฎีภาวะคงตัวในวิชาจักรวาลวิทยา







หลังสงครามโลกคร้งท่ 2 ฮอยล์มีช่อปรากฏใน หลกฐานเกยวกบการขยายตวของเอกภพ เช่น






ตาราเรียนแล้ว ด้วยการสร้างทฤษฎีท่อธิบายการ การค้นพบเรดชฟต์โดยฮบเบิล (ดูหน้า 40) ชกนา �


สังเคราะห์นิวเคลียสของธาตุในดาวฤกษ์ กระบวนการ ให้หลายคนเสนอว่าเอกภพต้องมีจุดเริ่มต้นจาก
ที่ธาตุต่างๆ ถูกหล่อหลอม (นั่นคือนิวเคลียสของธาตุ บริเวณขนาดเล็กและระเบิดออกจนมีขนาดมหึมา
ถูกสังเคราะห์ขึ้น) ผ่านกระบวนการนิวเคลียร์ฟิวชัน เช่นปัจจุบัน ในปี 1945 ฮอยล์ได้เริ่มจัดรายการวิทยุ




ภายในดาวฤกษ์ ผลงานน้ทาให้เกิดคากล่าวท่รู้จัก ออกอากาศในบรรยากาศแบบเป็นกันเองด้วยการ
กันดีว่า “เราทุกคนล้วนสร้างมาจากฝุ่นละอองดาว” พูดคุยกันข้างเตาผิงในบ้าน โดยในรายการเขาจะ




ซ่งได้ช่วยตอบคาถามสาคัญอันหน่งท่ว่า “เรามาจาก พดแนะนาแนวคดเรองราวทลกซงทางดาราศาสตร์












ไหน” ตอนน้ฮอยล์เปล่ยนความสนใจของเขามายัง ฟิสิกส์ให้กับคนท่วไป ในการออกอากาศคร้งแรกๆ




ค�าถามที่ว่า “ทั้งหมดนี้มันเริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร” ฮอยล์ได้บัญญัติศัพท์ท่แสดงถึงการไม่ยอมรับทฤษฎ ี



กาเนิดจักรวาลซ่งมีท่มาจากการระเบิดออกน้ว่า

‘บิ๊กแบง’ (the Big Bang)
เขาไม่ชอบทฤษฎีบ๊กแบงและการตีความเก่ยว



กับตัวมันท่ว่าเอกภพน้นมีความมหัศจรรย์คล้ายถูก


เสกให้อุบัติข้นมาจากความไม่มีอะไร ฮอยล์สนับสนุน
แนวคิดทางเลือกอีกแนวหน่งซ่งพัฒนาโดยทอมัส



โกลด์ (Thomas Gold) เพ่อนร่วมงานของเขา ซ่ง ึ
เสนอว่าอันท่จริงแล้วเอกภพมีอยู่มาแต่เดิมเช่นน้น



โดยตลอดและจะเปนเชนนนตลอดไป ดวยการไดรวม






งานกับโกลด์และแฮร์มันน์ บอนดี (Hermann Bondi)

ทาให้ฮอยล์ได้พัฒนาทฤษฎีท่แสดงให้เห็นว่าเอกภพ


ดูเหมือนจะขยายตัวเพราะมีการสร้างและกาเนิดใหม่




ของดาราจักรข้นอย่างต่อเน่องเพ่อแทนท่ดาราจักร


ท่เส่อมสลายไป การสร้างดาราจักรกาเนิดใหม่และ

การดับสูญของดาราจักรเก่าอยู่ในสมดุลกันจนเป็น
ภาวะคงตัว (ไม่ข้นหรือแปรผันตามเวลา-ผู้แปล) และ







แนวคดนเรมเปนทรจกกนในชอ ‘ทฤษฎภาวะคงตว’










26

คู่ปรับของฮอยล์คือนักดาราศาสตร์วิทยุ มาร์ติน

ไรล์ (Martin Ryle) ซึ่งได้ท�าการส�ารวจแหล่งก�าเนิด


คล่นวิทยุจานวนมากในดาราจักรต่างๆ ท่วเอกภพ



ในแบบจาลองของฮอยล์ท่มีการสร้างดาราจักรใหม่
ขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเวลานั้น ดาราจักรต่างๆ ซึ่งมีแหล่ง
ก�าเนิดคลื่นวิทยุอยู่นั้นถูกผลิตขึ้นด้วยอัตราคงที่และ

ควรกระจายตัวอย่างสม�าเสมอท่วเอกภพ อย่างไร

ก็ตาม แบบจ�าลองบิ๊กแบงคาดการณ์ว่าแหล่งก�าเนิด

คล่นวิทยุเหล่านี้ถูกสร้างข้นหลังเกิดเอกภพไม่นาน

เท่าใด พวกมันน่าจะเก่าแก่และอยู่ไกลออกไปมาก
ในปี 1955 ไรล์ได้ประกาศผลการสังเกตการณ์แหล่ง
ก�าเนิดคลื่นวิทยุ ‘เคมบริดจ์เซอร์เวย์’ (Cambridge

survey) ซงสนบสนุนแบบจาลองบ๊กแบงอย่างชดเจน






แต่ชัยชนะน้อยู่ได้ไม่นานเม่อพบข้อผิดพลาดในการ รูปหน้า 26: เฟรด ฮอยล์ นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ชาวบริติชชั้น

สังเกตการณ์ “ผมลังเลเล็กน้อยท่จะกล่าวว่าทฤษฎ แนวหน้าในยุคหลังสงคราม เขาเป็นนักส่อสารวิทยาศาสตร์



บ๊กแบงอยู่ในความมืดมน” ฮอยล์โอ้อวด แต่ไรล์จะ และยังเป็นนักทฤษฎีผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดอีกด้วย

เป็นผู้หัวเราะทีหลังดังกว่า กระทั่งปี 1961 หลังจาก รูปบน: มาร์ติน ไรล์ คู่ปรับของฮอยล์ ถ่ายภาพน้หน้าแถวหน่ง







สงเกตการณ์ซาๆ การสารวจของเคมบรดจ์เซอร์เวย์ ของชุดกล้องโทรทรรศน์วิทยุที่จุดไฟให้กับวงการจักรวาลวิทยา



คร้งท่ส่ดูเหมือนจะสนับสนุนแนวคิดของไรล์ ฮอยล์ โดยถือเป็นการเปิดหน้าต่างบานใหม่สู่เอกภพ
ปฏิเสธท่จะยอมรับความพ่ายแพ้ และยืนยันในปี




1999 ว่าทฤษฎีบ๊กแบงคือ “เร่องมดเท็จคร้งใหญ่ท ่ ี
ไม่มีหลักฐานอะไรเลย”
ฮอยล์ผู้ขวางโลก
ฮอยล์เป็นทจดจาว่าเขามทศนะขวางโลก เขาปลดเกษยณ






ตัวเองจากอาชีพทางวิชาการในปี 1972 โดยอ้างว่ามีเรื่อง
การเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยวมากเกินไป แต่เขาก็ยังคงสนับสนุน




แนวคดท่เห็นต่าง เขาได้สนบสนุนแนวคดแพนสเปอร์เมีย

(Panspermia - ทฤษฎีท่ว่าชีวิตบนโลกเกิดจากไวรัสอวกาศ
ท่มากับดาวหาง) เขาเถียงว่าสโตนเฮนจ์ (Stonehenge)

ถูกสร้างข้นเพ่อการทานายการเกิดสุริยุปราคา เขาโจมต ี



แนวคิดแบบดาร์วิน (Darwinism) และสนับสนุนแนวคิดที่ ชวโมเลกลกระจดกระจายในอวกาศตามทฤษฎ ี



ว่าสิ่งมีชีวิตได้รับการออกแบบโดยสติปัญญาชั้นสูง (ทฤษฎี แพนสเปอร์เมีย โลกเราได้รับการเพาะพันธุ์ชีวิต
ที่มีผู้สร้าง) โดยสารอินทรีย์ที่มาจากนอกโลก
27


ตกใจนิดหน่อย: พบว่ำเปนโรค ALS





ภาคเรียนแรกของสตีเฟนท่เคมบริดจ์และการพยายามมองหาหัวข้อวิจัยดูจะเป็นเร่อง
ไม่น่ากังวลเท่ากับปัญหาในการเคล่อนไหวและบังคับร่างกายให้ทางานประสานกันซ่ง



กาลังแย่ลงเร่อยๆ




เขาพบว่ามันยากข้นมากท่จะทากิจวัตรต่างๆ เช่น ส่งการ (motor neuron disease, MND) แบบ



การผูกเชือกรองเท้า แม้กระท่งการพูดก็ทาได้ไม่ชัด หนึ่งที่รู้จักกันในสหรัฐอเมริกาว่าโรคลู เกห์ริก (Lou






และเขาเร่มซุ่มซ่ามมากข้นเร่อยๆ เม่อกลับไปบ้าน Gehrig’s disease) ซึ่งตั้งตามช่อนักเบสบอลชาว



ท่เซนต์อัลบันส์ในช่วงคริสต์มาส พ่อได้พาเขาไปหา อเมริกันผู้เสียชีวิตด้วยโรคน้เม่อปี 1941 ความหวัง



หมอและเขาถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลบาร์โธโลมิว ในตอนแรกว่าอาการของสตเฟนจะทรงตวนนไม่ใช่



ท่ลอนดอน ในเดือนมกราคม 1963 หลังจากวัน อีกต่อไปแล้วและอาการท่แสดงออกมามีแต่จะแย่
ครบรอบวันเกิดของเขาได้ไม่นาน ฮอว์กิงได้ตระเวน ลง ขณะท่คณะแพทย์ไม่ทราบได้เลยว่าอาการของ

เดินทางไปทาการตรวจทดสอบทางประสาทวิทยา เขาจะทรุดลงเร็วแค่ไหน พวกเขาจึงต้องคาดการณ์





ต้องเจ็บปวดจากการถูกฉีดของเหลวกัมมันตรังสีเข้า ภาวะของโรคตามความเป็นจรงซงเลวร้ายทสุดไว้ว่า

กระดูกสันหลังเพื่อตรวจสแกน สตีเฟนอาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกเพียงสองปี ก็อย่างท ี ่

ผลการวินิจฉัยทางการแพทย์เป็นท่น่าใจหาย เขาพูดแบบเก็บความรู้สึก ฮอว์กิงมักพูดฟื้นความหลัง

สตีเฟนเป็นโรคกล้ามเน้ออ่อนแรง (amyotrophic ว่า “การได้รู้ว่าผมเป็นโรคที่รักษาไม่ได้และจะท�าให้
lateral sclerosis, ALS) เป็นโรคของเซลล์ประสาท ผมตายภายในไม่กี่ปีเป็นเรื่องน่าตกใจนิดหน่อย”
ALS

ALS เป็นอาการท่รักษาให้หายหรือบาบัดไม่ได้ โวลันทารีเส่อมสภาพ (voluntary muscle





อาการน้เกิดจากการท่เซลล์ประสาทในไขสันหลังและ กล้ามเนอทเราควบคมส่งการได้-ผู้แปล) จึงทาให้











สมองซงควบคมกจกรรมการทางานของกล้ามเนอ มัดกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องลีบฝ่อ กล้ามเนื้ออัตโนมัติ


เส้นประสาทปกติ เส้นประสาททีเป็น ALS ที่ท�างานได้เอง เช่น หัวใจจะไม่ได้รับผลร้ายนี้ และ


สมองก็ไม่ได้รับผลร้ายเช่นกัน แต่อาการน้มักทาให้

เซลล์ประสาท เซลล์ประสาท

ปกติ ทีเป็น ALS ผู้ป่วยเสียชีวิตในระยะเวลาไม่นาน เพราะภายใน



กล้ามเนือ ้ เวลาไม่ก่ปีระบบกล้ามเน้อท่ควบคุมการหายใจ
กล้ามเนือทีฝ่อ



จะทางานล้มเหลวและนาไปส่อาการปอดอักเสบ


และไม่สามารถหายใจได้เอง ก่อนอาการน้จะเกิดข้น


ผู้ป่วยจะสูญเสียความสามารถในการพูด กิน หรือ
เคล่อนไหวร่างกายได้ แม้ว่ากล้ามเน้ออวัยวะ


ภายในและระบบสืบพันธุ์จะไม่ได้รับผลกระทบ
ก็ตาม
28

รูปซ้าย: นักเบสบอลชาวอเมริกันชื่อดัง ลู เกห์ริก ผู้ป่วยเป็น



ALS กาลังเช็ดนาตาในพิธีท่จัดเพ่อให้เกียรติแก่เขาท่แยงก ี



สเตเดียมในนิวยอร์ก ปี 1939
รูปขวา: ภาพสแกนสมองของผู้ป่วย ALS เห็นได้ว่าโรคนี้มีผล

ต่อกล้ามเน้อโวลันทารีท่ควบคุมเซลล์ประสาทในสมองและ

ส่วนที่เหลือทั้งหมดของระบบประสาท

























ฮอว์กิงและ ALS



เป็นท่เข้าใจได้ว่าเขามสภาพเช่นท่ภรรยาใน
อนาคตของเขาพรรณนาไว้ว่าเป็น “ความหดหู่ลึก สตีเฟน ฮอว์กิงมีชีวิตอยู่ต่อมาอีกกว่า 50 ปีกับ
สุดห้วง… เกลียดการพบเจอผู้คน หล่อเลี้ยงจิตใจได้ อาการของโรคท่ส่งผลให้ร่างกายเส่อมลงและ


ด้วยเพลงโอเปราของวากเนอร์ครบชุดทีละหลายๆ รักษาไม่ได้ ซ่งโดยปกติแล้วผู้เป็นโรคน้จะต้อง











ชวโมง” ฮอวกงเกบตวอยในหองทเคมบรดจ ฟงเพลง ตายภายในสองปี แพทย์ก็อธิบายไม่ได้ว่าเขาม ี








อ่านนิยายวิทยาศาสตร์ และต้องต่อสู้กับฝันร้าย ชีวิตอยู่ต่อมาได้อย่างไร แต่คาดว่าโรคน้คงข้น

เขาจึงไม่ค่อยสนใจการเรียนปริญญาเอกซ่งก็ไปได้ อยู่กับสภาพเฉพาะของแต่ละคน โดยปกติแล้ว



ไม่ดีนักแล้ว แฟรงก์ ฮอว์กิงได้ขอร้องอาจารย์ท่ปรึกษา ALS ร้ายแรงถึงชีวิตเพราะมันทาให้กล้ามเน้อ
ของสตีเฟนให้ช่วยแนะน�าเขาในหัวข้อวิทยานิพนธ์ที่ ระบบหายใจทางานล้มเหลว แต่ในกรณีของ


เขาสามารถทาเสรจได้โดยใช้เวลาไม่นาน แต่เซยมา ฮอว์กิง อาการท่ปรากฏออกมาน้นยังคงเหลือ









ซ่งมองเห็นศักยภาพและความมุ่งม่นอันเหลือเช่อของ ฟังก์ช่นการทางานอ่นของอวัยวะท่พอจะทาให้







สตีเฟนท่จะค้นคว้าในหัวข้อฐานรากบริสทธได้ตอบ เขามีชีวิตต่อไปได้ ย่งไปกว่าน้นเขาได้รับการดูแล



ปฏิเสธอย่างรอบคอบต่อค�าขอร้องนี้ อย่างใกล้ชิด ได้รับการสนับสนุนช้นเย่ยมและ

ลดความเสี่ยงจากการท�าให้ปอดติดเชื้อได้
29


ท่ำทำงแปลกๆ แต่ปรำดเปรือง:

กำรได้พบกับเจน





ท่ามกลางความตกใจกับผลการวินิจฉัยโรค ดวงไฟสว่างเพียงหน่งเดียวในชีวิตของฮอว์กิง





คือห้วงภวังค์รักท่กาลังเบ่งบานกับสาวช่อเจน ไวลด์ สาวน้อยท่เขาได้พบคร้งแรกในงาน




เล้ยงส่งท้ายปี 1962 เม่อตอนท่เขาและเธอต่างก็อาศัยอยู่ท่เมืองเซนต์อัลบันส์


เขาสบตาเธอเม่อสองสามเดือนก่อนขณะท่เธอแอบ ของตัวเอง” น่เป็นเร่องก่อนท่จะทราบผลตรวจโรค



มองเขาจากอีกฟากหน่งของถนน เจนได้กล่าวถึง ของสตีเฟนซ่งเจนได้ทราบในภายหลังขณะท่เธอ



ความรู้สึกของเธอต่อเขาลงในหนังสือ Travelling เรียนอยู่ท่ลอนดอน หน่งสัปดาห์ถัดมาเจนเจอเขาโดย


to Infinity: My Life With Stephen ซึ่งเป็นบันทึก บังเอิญท่ชานชาลาสถานีรถไฟ เขาชวนเธอไปงานเล้ยง







ความทรงจาของเธอท่วางจาหน่ายในปี 2007 ว่า ท่เคมบริดจ์และเธอก็ไปดูโอเปรากับเขาท่ลอนดอน
“ชายหนุ่มผู้มีท่าเดินแปลกๆ” “คอตก ใบหน้าซ่อน แต่เขาแทบจะไม่กล่าวถึงความเจ็บป่วยของตนเลย

จากโลกด้วยผมสีนาตาลยุ่งเหยิง” เพ่อนคนหน่งบอก แล้วเธอกต้องพบกบอาการสะดดล้มของเขา และ






ว่าเขา “ท่าทางดูแปลกๆ แต่ฉลาดปราดเปร่อง” และ นั่นเอง “เมื่อการเดินของเขาไม่มั่นคง ความคิดเห็น




เจนก็ได้พบว่าตนนั้น “ถูกดึงดูดเข้าหาบุคลิกแปลกๆ ของเขาจึงกลายเป็นพลังและท้าทายย่งข้น” น่คือ

ของเขาท่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันและมีความเป็นตัว ลางบอกเหตุในการใช้ชีวิตคู่ของทั้งสองที่จะตามมา







เจนและสตีเฟน รับบทโดยเฟลิซิตี โจนส์ (Felicity Jones) และเอดดี เรดเมน (Eddie Redmayne) ที่งานเลี้ยงเมย์บอล
ในเคมบริดจ์ ภาพยนตร์ปี 2014 ที่สร้างจากบันทึกความทรงจ�าของเจน


30

เจน ไวลด์ (Jane Wilde)



เจนเด็กสาวในเมืองเซนต์อัลบันส์ซ่งเคยเรียน
โรงเรียนเดียวกับสตีเฟนในช้นเล็กกว่า ตอนท ่ ี


ทงสองพบกน เจนมาเรยนเอกภาษาท่วทยาลัย





เวสต์ฟิลด์แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอนแล้ว ความ
เชอทางศาสนาของเธอขัดแย้งกับสตีเฟนซ่งไม่เช่อ




ในพระเจ้า และช่วงแรกเธอทั้งรู้สึกถูกดึงดูดและ
ต่อต้านกับความทะนงตนในความรู้ของเขา ความท ่ ี

เป็นคนมองโลกในแง่ดีและความซ่อใสไร้เดียงสา
ของเจนทาให้สตีเฟนท้งสบายใจและดลใจให้เขา


อยากใช้ชีวิตอยู่ด้วย ภายหลังเขาขอบคุณนาจิต






นาใจของเธอท่ทาให้เขาพบกับความกล้าหาญ
เผชิญหน้ากับความจริงในผลการวินิจฉัยโรคของ

เขา ชีวิตแต่งงานของท้งสองและความรับผิดชอบ


ต่างๆ ท้งหมดท่ตามมาพร้อมๆ กับชีวิตคู่ทาให้

เจนต้องพักอาชีพทางวิชาการของเธอไว้ก่อน แต่
ในปี 1981 เธอก็สาเร็จปริญญาเอกสาขากวีนิพนธ์

สเปนยุคกลาง เธอหลงใหลดนตรีและโดยเฉพาะ
อย่างยิ่งเธอชอบร้องเพลงในวงประสานเสียง


คู่บ่าวสาว สตีเฟนและเจน เจนพยายามหลีกเล่ยงท่จะรับรู้
ข้อมลเกยวกบการวนจฉยโรคของสตเฟน แม้ว่าเขาจะเรมม ี










อาการหนักขึ้นแล้ว
ความขมขนจากอาการป่วยส่อเค้าว่าจะทาให้ ภายหลังว่าเธอตกหลุมรักเขาเสียแล้ว และสตีเฟน



ความสมพนธ์ของเขากบเจนทกาลงเบ่งบานต้อง กดูเหมอนว่าตระหนกดถงคณค่าและความผกพน















จบลง ขณะก�าลังเล่นโครเกต์ (croquet - กีฬาชนิด ของพวกเขา หลังจากใช้เวลารักษาระยะห่างกันใน

หน่ง มีวิธีการเล่นคล้ายๆ กอล์ฟ วิธีเล่นคือตีบอล ช่วงฤดูร้อน ตุลาคมปีน้นเองเขาจึงกระซิบขอเธอ



บนพ้นหญ้าให้ว่งลอดห่วงเหล็กรูปโค้งท่ตรึงอยู่บน แต่งงาน วางแผนจัดงานแต่งและแผนการใช้ชีวิต

พ้นหญ้าด้วยไม้ตียาว ตรงปลายไม้เป็นแท่งทึบทรง ร่วมกันในอนาคต แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่ก็ท�าให้เขา

กระบอก-ผู้แปล) บริเวณลานของวิทยาลัยท่เคมบริดจ์ เปลยนทศนคตไป ตอนน้เขามกาลงใจมุมานะตะลย












เขาทาให้เธอขายหน้า “แทบไม่ยินดียินร้ายท่จะ งานปริญญาเอกและเร่มท่จะฉวยคว้าประเด็นเก่ยว



ผกมตรและไมปกปดความไมพอใจ ราวกบวาเขาจงใจ กับความลึกซึ้งของจักรวาลไว้ได้







ไม่ให้ฉันไปยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก” แต่เจนได้สารภาพใน
31


ท�ำควำมร้จักกับหลุมด�ำ







การเลือกทาหัวข้อปริญญาเอกในแนวทางท่ทรงค่าท่สุดแนวหน่งในวิชาจักรวาลวิทยา –
สัมพัทธภาพ ความโน้มถ่วงและเส้นใยของอวกาศและเวลา และวงจรชีวิตของเอกภพ

– สตีเฟน ฮอว์กิงได้เผยถึงความมุ่งม่นทางปัญญาอันย่งใหญ่

เป็นการเข้าคู่กันพอดีในความกล้าหาญทางปัญญา เดนนิส เซียมา อาจารย์ท่ปรึกษาของฮอว์กิง





ของคนสองคน อันจะได้เห็นผ่านเร่องราวท่เขาได้ ได้จัดสรรให้เกิดการพบปะคร้งสาคัญซ่งจะส่งผลสืบ


ต่อกรกับเจ้าพ่อแห่งวงการจักรวาลวิทยาของบริเตน เน่องยาวนานในอาชีพของฮอว์กิง นั่นคือเซียมาทา �

แม้ว่าเขาจะเป็นแค่เพียงนักศึกษาปริญญาเอกช้นปี ให้สตีเฟนได้พบและรู้จักกับนักคณิตศาสตร์ผู้ปราด
ที่สอง (ดูข้อความในกรอบหน้า 33) เปร่องนามว่า โรเจอร์ เพนโรส (Roger Penrose)



































รูปบน: โรเจอร์ เพนโรส ถ่ายในปี 1980 เพนโรสเคยเป็นนัก รูปหน้า 33: แผนภาพเพนโรส (A Penrose diagram):


คณิตศาสตร์ผู้ท่ได้รับการชักชวนจากเดนนิส เซียมาให้เร่ม วิธีการแสดงกาลอวกาศท้งหมดในเอกภพโดยแทนค่าบน

ท�างานทางจักรวาลวิทยา แผนภาพสองมิติ




32




ตัวเพนโรสน้นมีหลายส่งท่เหมือนกันกับฮอว์กิง ต�าแหน่งอนันต์
เวลา ไทมไลก์
กล่าวคือพ่อของเพนโรสเป็นศาสตราจารย์ทาง (ดังเวลา)

วิทยาศาสตร์ชีวภาพและเขาได้ขัดขืนต่อแรงกดดัน อนาคต ต�าแหน่งอนันต์
ไลตไลก์
อันห่างไกล (ดังแสง) ่

ท่จะให้เขาเดินตามรอยเท้าในอาชีพของพ่อ ในยุค


ทศวรรษท่ 1950 เพนโรสเร่มพยายามวางแนวทาง
กาลอวกาศ รังสีโฟตอน กาลอวกาศ ต�าแหน่งอนันต์
สเปซไลก์
ใหม่ในการศึกษาจักรวาลวิทยาไว้บ้างแล้ว โดยการ อันห่างไกล อันห่างไกล (ดังอวกาศ)

ใช้วิธีการทางคณิตศาสตร์อันทรงพลังหลายๆ วิธีใน
อดีต



การตอบคาถามเก่ยวกับสัมพัทธภาพ ตอนท่ได้พบกับ อันห่างไกล
ฮอว์กิง เขาก�าลังประยุกต์ใช้คณิตศาสตร์สาขาหนึ่งที่
ชื่อว่าวิชาทอพอโลยี (Topology) ในการได้มาซึ่งบท อวกาศ
พิสูจน์ทางคณิตศาสตร์อันน่าทึ่งเกี่ยวกับหลุมด�า



การต่อกรกับฮอยล์

ฮอว์กิงได้สร้างมิตรภาพของเขากับชยันต์ นาร์ลิการ์ เมื่อฮอยล์พูดสัมมนาจบ ฮอว์กิงก็โงนเงนลุกยืนขึ้น







ซึ่งเป็นศิษย์ของเฟรด ฮอยล์ หลักสูตรช่วงฤดูร้อน และพดว่าการคานวณของฮอยล์อนหนงน้นมีข้อ

ได้สร้างความสนใจในจักรวาลวิทยาแก่เขา ห้อง ผิดพลาด ฮอยล์ซ่งไม่ทราบมาก่อนเลยว่านักศึกษา







ทางานของท้งสองทเคมบริดจ์อยู่ใกล้ๆ กันและ ปริญญาเอกท่ไม่สาคัญคนน้ คนท่เขาจ�าแทบจะ


นาร์ลิการ์ก็ใจกว้างพอให้ฮอว์กิงได้เห็นร่างบทความ ไม่ได้ว่าเป็นใครน้นได้เคยอ่านและวิเคราะห์งาน



วิจัยที่เขาและฮอยล์เขียนร่วมกัน ช้นน้มาก่อนแล้ว เขาถึงกับตะลึง ย่งไปกว่าน้น







บทความน้พยายามท่จะปรับแต่งขยายความทฤษฎ คาตอบของฮอว์กิงต่อคาถามท่โต้กลับมาว่าเขารู้





สัมพัทธภาพท่วไปเพ่อทาให้สอดคล้องกันกับทฤษฎ ได้อย่างไรว่าผลการคานวณน้ผิด ซ่งฮอว์กิงได้ตอบ


ภาวะคงตัวของฮอยล์ (ดูหน้า 26-27) แม้ว่าจะม ว่า “ผมคานวณมันแล้ว” ส่งน้สาหรับฮอยล์และ





หลักฐานโต้แย้งทฤษฎีของฮอยล์ออกมาอยู่เร่อยๆ ผู้ฟังในห้องประชุมดูราวกับว่าฮอว์กิงกาลังบอกว่า


ฮอว์กิงคิดวิเคราะห์ส่วนท่เป็นคณิตศาสตร์ใน เขาได้ทาการคานวณคณิตศาสตร์อันซับซ้อนสด





บทความน้นและได้ข้อสรุปว่าผลลัพธ์ไม่เป็นไปตาม หินด้วยการคิดในใจระหว่างที่มีการสัมมนาอยู่ สิ่ง


ที่ฮอยล์ต้องการ น้ถือเป็นความบังอาจและไร้ความย้งคิดอย่างแรง





ในเดอนมถนายน 1964 ก่อนการตพมพ์บทความ ในยุคทศวรรษ 1960 ท่สังคมวิชาการบริเตนยังม ี





ช้นน้ ฮอยล์ได้พูดสัมมนาเร่องน้ท่ราชสมาคมแห่ง ความสุภาพและความเคารพต่อกัน ฮอว์กิงได้เริ่ม

ลอนดอน ซ่งฮอว์กิงเป็นผู้ร่วมเข้าฟังคนหน่ง และ สร้างชื่อเสียงแล้วในวงวิชาการรุ่นใหญ่


33

กระดาษร่างงานวิจัยด้วยลายมือขยุกขยิกของฮอว์กิง (บน)
และร่างบทความวิจัยกับโรเจอร์ เพนโรส (ล่าง) เอกสารนี้อยู่




ในช่วงท่ท้งสองคนกาลังทางานวิจัยเร่องภาวะเอกฐานของ

จักรวาล


ยุคก่อนงานของเพนโรส หลุมดาหรือภาวะเอก



ฐานนนถกมองว่าเป็นผลพวงในเชิงสมมตฐานทน่า



ฉงนอันได้จากวิธีบางวิธีในการแก้สมการสนามของ
ไอน์สไตน์ (สมการคณิตศาสตร์ท่ใช้อธิบายทฤษฎ ี

สัมพัทธภาพทั่วไป)
เคยมีความเช่อว่าถ้าดาวฤกษ์จะยุบตัวลงเป็น


ภาวะเอกฐานน้นจะต้องเกิดข้นภายใต้เง่อนไขท ี ่





สมมตฐานให้มขนและเป็นไปได้ในตวแปรช่วงแคบๆ


เท่านั้น เพนโรสได้ขยายขอบเขตกรณีแวดล้อมที่เป็น

ไปได้น้และพิสูจน์ด้วยคณิตศาสตร์ว่าหลุมดาอาจไม่

เพียงแค่เป็นมากกว่าความน่าสนใจในกรณีสมมติฐาน

เท่านน แต่เล่ยงไม่ได้เลยท่จะต้องมหลมดาอยู่จรง







และย่งไปกว่าน้นการมีตัวตนของหลุมดาอาจเป็น



เรื่องธรรมดาๆ ส�าหรับเอกภพที่เราอยู่
ด้วยวิชาทอพอโลยี ฮอว์กิงได้พบโดยบังเอิญเข้า
กับสาขาของคณิตศาสตร์ท่เฉพาะตัวและเหมาะกับ

การนึกมโนภาพในใจได้ ซ่งเขาจาเป็นต้องยอมรับ




วิธีน้ เพราะความพิการจากัดเขาให้ไม่อาจทาวิจัย

โดยการเขียนสมการได้ (ดูหน้า 48-49) เขาก�าลังจะ

ใช้งานของเพนโรสเป็นจดก้าวกระโดดออกไปเพ่อ


แสดงว่าแนวคิดภาวะเอกฐานอาจเป็นกุญแจสาคัญ
ของหลุมด�า และยิ่งไปกว่านั้นอาจใช้ได้กับจุดก�าเนิด
ของเอกภพอีกด้วย
34

หลุมด�าคืออะไร





หลุมดาเป็นช่อท่ต้งให้กับตาแหน่งท่สสารและ นี้เรียกว่า ขอบฟ้าเหตุการณ์ (the event horizon)




พลังงานกระจุกตัวและมีความหนาแน่นมากๆ ใน อะไรกตามแม้แต่แสงทเดนทางข้ามเข้าไปในขอบฟ้า



บริเวณท่แรงดึงดูดของความโน้มถ่วงมีค่าท่วมท้น เหตุการณ์ไม่อาจกลับออกมาได้และย่อมถูกตัดขาด



มหาศาลจนบดอัดตัวเองเป็นบอลทรงกลมทอดแน่น จากเอกภพภายนอกโดยส้นเชิง เพราะว่าแสงหลุด







ข้นเร่อยๆ ซ่งก็ย่งจะทาให้ความโน้มถ่วงเพ่มข้นไป รอดออกมาไม่ได้ โดยแสงไม่อาจสะท้อนหรือวิ่งผ่าน


เรื่อยๆ มีการหดยุบตัวลงจนจุดรัศมีเป็นศูนย์ ดังนั้น เข้าและออกจากขอบฟ้าเหตุการณ์ได้ มันจึงมืดมิด

จึงทาให้ความหนาแน่นมีค่าเป็นอนันต์ซ่งเรียกว่า อย่างที่สุดจนได้ชื่อว่า ‘หลุมด�า’

ภาวะเอกฐาน (a singularity) บริเวณโดยรอบ



ภาวะเอกฐานน้คือบริเวณท่ความโน้มถ่วงเข้มมาก ภาพหลุมดาจากจินตนาการของศิลปิน หลุมดาได้ดูดเอาสสาร




เสียจนสสารใดท่หลุดรอดออกไปได้จะต้องว่งไปด้วย รอบๆ จากดาวฤกษ์ซ่งถูกแรงโน้มถ่วงของมันฉีกออกจนสสาร
เหล่านี้กลายเป็นจานหมุนรอบๆ หลุมด�า
ความเร็วมากกว่าความเร็วแสง ขอบเขตของบริเวณ























35

มาเข้าใจกันว่ากาลอวกาศคืออะไร

ไอน์สไตน์แสดงให้เห็นด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพเอา ชาวอเมริกัน ผู้บัญญัติคาว่าหลุมด�าได้ให้ข้อสรุปว่า



ไว้ว่าอวกาศ (เช่น ความกว้าง ความยาว ความสูง “กาลอวกาศบอกสสารว่าจะเคล่อนท่ไปอย่างไร

-ผู้แปล) และเวลาน้นไม่เป็นอิสระต่อกัน หากแต่ สสารบอกกาลอวกาศว่าจะต้องโค้งตัวในสภาพ



ต้องข้นต่อกัน และบอกด้วยเวลา ท่จริงแล้วเวลา อย่างไร” การอุปมายอดนิยมท่ช่วยให้นึกภาพได้ว่า




น้นคือมิติท่ส่จากมิติสามมิติท่เราทราบกันอยู่แล้ว กาลอวกาศเป็นอย่างไรคือการเปรียบกาลอวกาศ

(ความกว้าง ความยาว ความสูง) ดังนั้นจึงเป็นท่รู้กัน เป็นแผ่นยางเสมือนกาลอวกาศสี่มิติ วัตถุต่างๆ ที่
ว่าจะเรียกมิติทั้งสี่ว่า ‘อวกาศและเวลา’ หรือเรียก วางบนแผ่นยางนี้เปรียบได้กับสสารและพลังงาน



ง่ายๆ ว่า ‘กาลอวกาศ’ (spacetime) เพื่ออธิบาย ดังน้น ลูกโบว์ล่งท่วางบนแผ่นยางจะทาให้แผ่น



ถึงโครงสร้างของเอกภพ (ระบบพิกัด-ผู้แปล) ให้ ยางบุ๋มโค้งลงไปเหมือนกับท่มวลของสสารหรอ






รดกุมขน สัมพทธภาพทวไปบอกเราว่าสสารและ พลังงานทาให้กาลอวกาศโค้งงอได้ ย่งลูกโบว์ล่ง



พลังงาน (ซึ่งก็คือสิ่งเดียวกันแต่เปรียบเสมือนเป็น ขนาดใหญ่ขึ้นเท่าใด การยุบโค้งลงไปของแผ่นยาง



ด้านตรงข้ามของเหรียญอันเดียวกัน) ทาให้โครงสร้าง ก็ย่งมีมากข้น ในทานองเดียวกนวัตถุขนาดใหญ่


ของกาลอวกาศบิดเบี้ยวและโค้งงอ กล่าวคือสสาร เช่นดาวฤกษ์ย่อมมีผลให้กาลอวกาศโค้งได้มากกว่า

และพลังงานได้เปล่ยนสภาพของเรขาคณิต และ วัตถุที่เล็กกว่าเช่นดาวเคราะห์ การยุบเป็นหลุมลง



เรขาคณิตน่เองท่เรารู้จักกันในช่อว่าความโน้มถ่วง ไปของกาลอวกาศบางคร้งก็เรียกว่าบ่อความโน้ม

(gravity) ในทางกลับกัน ความโน้มถ่วงเป็นตัว ถ่วง (gravity well) ภาวะเอกฐานก็คือบริเวณท่บ่อ





กาหนดว่าสสารและพลังงานน้นจะเคล่อนท่อย่างไร ความโน้มถ่วงมีความลึกเป็นอนันต์ กล่าวอีกอย่างก ็
จอห์น วีลเลอร์ (John Wheeler) นักฟิสิกส์ คือภาวะเอกฐานคือรูในโครงสร้างของกาลอวกาศ











36

ขอบฟ้าเหตุการณ์




ขอบฟ้าเหตุการณ์ของหลุมดาน้นไม่ใช่วัตถุแต่เป็น มาได้หรือหลังจากผ่านจุดท่ไม่อาจกลับออกมาได้




สถานท่ การอุปมาซ่งรู้จักกันดีท่สุดอันหน่งคือให้ ว่าต่างกันอย่างไร เพราะมันดูไม่แตกต่างกันเลย ใน





นึกถึงเรือในแม่นาที่กาลังมุ่งหน้าไปยังเหวนาตก เม่อ ทานองเดียวกันใครที่ข้ามขอบฟ้าเหตุการณ์ไปจะไม่











เรือเข้าไปใกล้กับนาตก กระแสนาจะแรงข้นเร่อยๆ อาจสงเกตหรอรู้ตวเลยว่าเขาได้ข้ามเขตอะไรไป และ






จนถึงบริเวณท่นาแรงมากจนเกินกาลังสูงสุดของ สาหรับผู้สังเกตน้เขาจะไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่าง

เครื่องยนต์เรือ และเมื่อเรือได้หลุดเลยจุดนี้เข้าไปซึ่ง ข้างในและข้างนอกขอบฟ้าเหตุการณ์ ทว่าเม่อเขาได้





กคอจดทไม่อาจกลบออกมาได้อกแล้ว ไม่มีทางใดท ข้ามผ่านมันไปแล้ว เขาจะไม่อาจหนีหลุดจากความ




กัปตันเรือจะทาได้เลยในการช่วยไม่ให้เรือร่วงลงไป โน้มถ่วงของหลุมดาออกไปได้อีกและต้องจมลงไปสู่


ในเหวนาตก ตวกัปตันน้นไม่อาจสังเกตความแตก ภาวะเอกฐานอย่างไม่มีทางเลี่ยงรอดไปได้




ต่างของผืนนาในช่วงก่อนเข้าสู่จุดที่ไม่อาจกลับออก


รูปหน้า 36: ภาพหลุมด�าสองหลุมอันเป็นบ่อความโน้มถ่วงที่

ลึกไม่มีก้นหลุมในโครงสร้างของกาลอวกาศ หลุมดาสองหลุมน ี ้
ชนกันและก่อก�าเนิดคลื่นโน้มถ่วงแผ่ออกมา
รูปบน: การอุปมาขอบฟ้าเหตุการณ์รอบหลุมด�า โดยหลุมด�า

เปรียบด่งเหวนาตกและขอบฟ้าเหตุการณ์คือตาแหน่งหรือ





ถ้าจะกล่าวให้ถกก็คอเส้นแนวในแม่นานท่เรอไม่อาจแล่น






กลับออกมาได้อีก
37


ประวัติย่อของแนวคิดเอกภพทีขยำยตัว






ในการทาวิจัยข้นปริญญาเอก สตีเฟน ฮอว์กิงได้เข้าไปศึกษาจักรวาลวิทยาของเอกภพ



ท่กาลังขยายตัวและลักษณะการกาเนิดแบบต่างๆ ที่เป็นไปได้ของเอกภพ แต่เราทราบ


ได้อย่างไรว่าเอกภพนนกาลงขยายตว และเหล่านักจักรวาลวิทยาร่นก่อนหน้าฮอว์กงม ี





แนวคิดอะไรบ้างเก่ยวกับประเด็นก�าเนิดจักรวาล


ในจักรวาลวิทยายุคโบราณและยุคกลาง ผู้คนเชื่อว่า เรขาคณิตกับความเช่อนี้ในการคาดคะเนค่าระยะ
โลกเป็นศูนย์กลางจักรวาล หุ้มครอบด้วยทรงกลม ห่างระหว่างโลกกับดวงจันทร์และระหว่างโลกกับ
หลายช้นท่มีศูนย์กลางร่วมกันและมีเทหวัตถุบน ดวงอาทิตย์ เช่น ในศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช


ท้องฟ้า (เช่น ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ ฮิปปาร์คัสได้คานวณว่าระยะห่างระหว่างโลกและ

ต่างๆ) อยู่รายล้อมรอบทรงกลมน้ ทรงกลมน้ยังครอบ ดวงจันทร์มีค่าเป็น 59 เท่าของรัศมีของโลก ตัวเลข








ด้วยทรงกลมช้นนอกท่มีดาวฤกษ์ต่างๆ เรียงรายอยู่ นใกล้เคยงมากกบค่าท่คะเนได้ในยุคปัจจบัน ทว่า


แม้ว่าลักษณะท้งหมดของแบบจาลองน้จะไม่เป็น การคะเนระยะห่างระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ของ



ท่ประจักษ์ด้วยหลักฐาน แต่ชาวกรีกโบราณก็ได้ใช้ ฮิปปาร์คัสน้นแม่นยาน้อยกว่า แต่ก็เป็นท่รู้กันโดย





















ภาพวาดแนวแฟนซีของฮิปปาร์คัส (Hipparchus) กาลังส่องดาวอยู่บนดาดฟ้าในเมืองอเล็กซานเดรีย (Alexandria) ยุคโบราณ
อันที่จริงแล้วในยุคนั้นยังไม่มีกล้องโทรทรรศน์ดังเช่นในภาพ


38

เฮอร์เชลและวัฏจักรชีวิต
ของดาราจักร

ในยุครอยต่อของศตวรรษที่ 18 ถึง 19 นักดารา

ศาสตร์ลูกครึ่งอังกฤษ-เยอรมัน วิลเลียม เฮอร์เชล
(William Herschel) ได้สร้างกล้องโทรทรรศน์ที่

มีกาลังขยายสูงท่สุดในโลกตอนน้นและได้ใช้ส่องด ู



อวกาศลกเขาไปกว่าท่ใครเคยทามาก่อน เขาได้เห็น






เทหวัตถุหลายๆ ช้นท่เขาได้อธิบายว่าวัตถุเหล่าน้น
เป็นเกาะเอกภพ (ดาราจักรอื่นๆ) และเป็นหนึ่งใน
กลุ่มคนแรกๆ ที่คาดเดาว่าดาราจักรอาจมีวัฏจักร
ชีวิต เฮอร์เชลกล่าวว่าทางช้างเผือกของเราเองก ็
ไม่อาจด�ารงอยู่ได้นิจนิรันดร์ และชีวิตในอดีตของ
มันก็ไม่อาจรับรองได้ว่าเก่าแก่เป็นอนันต์




กลองโทรทรรศนชนดสะทอนแสงทเฮอรเชลออกแบบดวย






ตนเองและมีส่วนในการสร้างข้น ด้วยการใช้อุปกรณ์เช่น
กล้องนี้ เขาจึงได้ค้นพบดาวยูเรนัส
นักดาราศาสตร์ยุคโบราณและยุคกลางว่าระบบสุริยะ ราวหนงศตวรรษถัดมาไอน์สไตน์ได้พัฒนาแนว


จะต้องมีเส้นผ่าศูนย์กลางเป็นระดับล้านกิโลเมตร คิดใหม่เกี่ยวกับเอกภพ เขาได้แสดงให้เห็นว่าอวกาศ


กาลิเลโอคือหน่งในบรรดานักวิทยาศาสตร์คน และกาลเวลาน้นมีความเป็นสัมพัทธ์และมีรูปทรง
แรกๆ ท่ตระหนักว่าเอกภพอาจใหญ่และกว้างไกล เรขาคณิตแบบโค้ง (ดูหน้า 36) และความโน้มถ่วง

กว่าอาณาบริเวณของระบบสุริยะ เขาตระหนักถึง คือการแสดงให้เห็นความโค้งนี้ คาอธิบายทาง

ความเป็นจริงท่ว่าดาวฤกษ์ต่างๆ อาจไม่ได้วางตัว คณิตศาสตร์ของทฤษฎีน้ปรากฏในสมการสนามของ




แนวจานในเปลือกหรือทรงกลมท่ครอบไว้ด้วยระยะ ไอน์สไตน์ (ซ่งมีหลายสมการ-ผู้แปล) ผลลัพธ์ของ


ห่างคงท่จากโลก หากแต่มันอาจเป็นแหล่งกาเนิด สมการเหล่าน้สอดคล้องกับเอกภพท่ขยายตัว ไม่ใช่






แสงท่อยู่ในระยะห่างท่ต่างกันออกไปและอยู่ไกล เอกภพคงท่สถิตน่ง ในตอนน้นไอน์สไตน์คิดว่าน่คือ


ออกไปมากๆ การเกิดข้นของกล้องโทรทรรศน์และ ข้อผิดพลาด และเพ่อปรับสมดุลความโน้มถ่วง เขา






การเป็นอิสระจากแนวคิดท่ว่าโลกคอศนย์กลางของ จึงได้เพ่มพจน์หนึ่งเข้าไปในการคานวณ พจน์น้มี


เอกภพทาให้เหล่านักดาราศาสตร์เรมพฒนาแนวคด ช่อว่าค่าคงท่จักรวาล (Cosmological constant)







เกี่ยวกับห้วงอวกาศ ซึ่งในที่สุดจะให้ผลเฉลยเอกภพสถิตออกมา
39

สมการสนามของไอน์สไตน์ เขียนรวบรัดออกมาในรูปสมการเทนเซอร์ (tensor) เพียงหนึ่งสมการ สมการนี้พรรณนาว่าความ



โน้มถ่วงเป็นผลจากความโค้งของกาลอวกาศได้อย่างไร (อันท่จริงแล้วสมการน้บอกเราว่าสสารทาให้อวกาศโค้งได้อย่างไร
-ผู้แปล)

ถ้าไอน์สไตน์ไม่พร้อมที่จะต่อสู้กับผลการตีความ สมผลอยู่หลายประการ นั่นรวมถึงการขยายตัวออก
ในทฤษฎีของตัวเอง คนอ่นๆ ก็พร้อมจะคว้ามันไว้ และการหดตัวของเอกภพ ห้าปีถัดมา ฌอร์ฌ เลอ














ป 1922 นกฟสกสชาวรสเซย อเลกซนเดอร ฟรดมนน แม็ทร์ (Georges Lemaître) ผู้เป็นทั้งนักบวชและ


(Alexander Friedmann) เป็นคนแรกท่แสดงให้เห็น นักฟิสิกส์ชาวเบลเยียมได้ศึกษาสมการสนามน้และ



ว่าสมการสนามของไอน์สไตน์มผลเฉลยทสมเหต แสดงผลเฉลยท่สอดคล้องกับการสังเกตการณ์ของ


เรดชิฟต์

เอ็ดวิน ฮับเบิล (Edwin Hubble) นักดาราศาสตร์ ปรากฏการณ์ท่ความยาวคล่นของแสงซ่งเดินทางมา




ชาวอเมริกัน ได้อนุมานความเร็วของดาราจักร จากวัตถุท่กาลังถอยห่างออกไปน้นถูกเล่อนไปทาง



ต่างๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไปโดยท�าการวัดค่าเรดชิฟต์ ด้านสีแดงของแถบสเปกตรัมแสง ปรากฏการณ์น้เป็น

ของดาราจักรเหล่าน้น เรดชิฟต์ (Redshift) คือ เหตุการณ์ทานองเดียวกันกับปรากฏการณ์ดอปเปลอร์



(Doppler effect) ซ่งเสียงไซเรนท่ได้ยินจะทุ้มลง




เม่อรถพยาบาลเคล่อนท่ผ่านเราและว่งไกลออกไป
ในกรณีนี้เมื่อแหล่งก�าเนิดเสียงเคลื่อนที่ผ่านเลยจาก










คณไป คลนเสียงจะถูกยดออก เสยงทมความยาวคลน
มากข้นหมายถึงเสียงท่ทุ้มลง ส่งเดียวกันน้เกิดกับ




คลื่นแสง เมื่อแหล่งก�าเนิดแสงถอยห่างออกไป คลื่น
แสงจะถูกยืดออก เมื่อเทียบกับผู้สังเกตที่อยู่นิ่ง เขา

จะเห็นว่าแสงน้นถูกทาให้เล่อนไปทางสีแดง โดยการ




ความยาวคล่นและสีของแสงท่เดินทางระหว่างดาราจักรจะ วัดว่าแสงถูกเล่อนไปทางสีแดงมากเท่าใด ฮับเบิลก ็





ข้นกับการเคล่อนท่สัมพัทธ์: แสงจากดาราจักรท่เคล่อนท ่ ี




ถอยห่างเราออกไปจะเล่อนไปทางสีแดงของสเปกตรัมดังท ่ ี สามารถหาความเร็วในการเคล่อนท่ถอยห่างออกไป
ปรากฏกลางภาพ ของดาราจักรได้
40

เอ็ดวิน ฮับเบิล (ดูข้อความในกรอบ) และได้สรุปว่า


เอกภพกาลังขยายตัวออก อีกท้งอวกาศและเวลา
นั้นมีจุดเริ่มต้น ในปี 1931 เลอแม็ทร์ตีพิมพ์ผลงาน


เก่ยวกับทฤษฎีของเขาในเวอร์ช่นภาษาอังกฤษ โดย

เขาได้บรรยายจุดเร่มต้นของเอกภพในลักษณะของ
‘สมมติฐานว่าด้วยอะตอมแรกเร่ม’ (hypothesis

of the primeval atom) หรือ ‘ไข่จักรวาล’

(Cosmic Egg) เลอแม็ทร์กล่าวเก่ยวกับไข่จักรวาล


ว่า “ระเบิดออกในขณะท่เอกภพได้ถูกสร้างข้น”

(เลอแม็ทร์เป็นนักบวชคริสต์ ท่เขาพูดว่าสร้างข้น



หมายถึงขณะท่พระเจ้าได้สร้างเอกภพข้น-ผู้แปล) หนังสือโดยเลอแม็ทร์ในเวอร์ช่นภาษาอังกฤษ The Primeval



และเขาได้อธบายการเกดขนของเวลาและอวกาศ Atom หนงในหลายๆ ชอทเขาตงให้สาหรบภาวะเอกฐาน












ว่าคือ “ปัจจุบันที่ปราศจากวันวาน” ของจักรวาล

ค่าคงท่ฮับเบิล
เอ็ดวิน ฮับเบิลคือนักดาราศาสตร์ผู้เรืองนามช่วง
ยุคต้นศตวรรษที่ 20 ในปี 1925 เขาได้ใช้ดาวฤกษ์



จาพวกหน่งท่เรารู้ค่าความสว่างในการพิสูจน์ว่า

บางดวงน้นอยู่เลยนอกเขตดาราจักรของเราออก
ไปได้อย่างชาญฉลาด น่คือหน่งในการพิสูจน์แบบ




ฟันธงช้นแรกๆ ว่าเอกภพมอาณาเขตไกลออกไป
นอกดาราจักรทางช้างเผือกของเรา และเป็นหน่ง


ในการพสูจน์ว่ายังมีดาราจักรอนๆ อีกในเอกภพ


ส่ปีต่อมาฮับเบิลเสนอผลการสารวจท่ใช้เวลานาน




นบทศวรรษคือผลการวดค่าเรดชิฟต์ของดาราจกร




ท่อยู่ห่างไกล โดยเขาได้แสดงว่าพวกมันท้งหมด




กาลังเคล่อนท่ห่างออกไปจากเรา และย่งห่างไกล



ออกไปเท่าใด พวกมันก็ย่งเคล่อนท่เร็วข้นเท่าน้น


การมีสหสัมพันธ์กันเช่นน้รู้จกในช่อว่า กฎของ



ฮับเบิล (Hubble’s law) ซึ่งสั่นคลอนการตีความ
เอ็ดวิน ฮับเบิลก�าลังมองผ่านเลนส์ชิ้นส่วน eyepiece ของ และความเข้าใจของเราเก่ยวกับเอกภพ มันช้ให้


กล้องโทรทรรศน์ขนาด 254 เซนติเมตร (หรือขนาด 100


น้ว) ท่หอสังเกตการณ์เมาท์วิลสัน (Mount Wilson เห็นว่าเอกภพกาลังขยายตัวและบอกเป็นนัยว่ามัน




Observatory) ที่ลอสแอนเจลิส ในปี 1937 ย่อมมีจุดเร่มต้น และท้งหมดน้ได้ยืนยันทฤษฎีของ
ฟรีดมันน์และเลอแม็ทร์
41


ภำวะเอกฐำนนั้นหลีกเลียงไม่ได้:

ปริญญำเอกของฮอว์กิง







สตีเฟน ฮอว์กิงนางานเก่ยวกับหลุมดาท่ศึกษาโดยเพนโรสไปใช้ในการสร้างความคืบหน้า

คร้งใหญ่ในสาขาคณิตศาสตร์ของทฤษฎีสัมพัทธภาพและการกาเนิดของเอกภพ


แสงที่หลงเหลือจากการสร้าง
1



ตอนท่ฮอว์กิงกาลังทาวิทยานิพนธ์อยู่น้นยัง

ไม่มีหลักฐานโดยตรงยืนยันแนวคิดบ๊กแบง แต่

ในปีเดียวกันกับท่เขาได้เสนอวิทยานิพนธ์ นัก

ดาราศาสตร์วิทยุสองคนในสหรัฐอเมริกา อาร์โน
เพนเซียส (Arno Penzias) และโรเบิร์ต วิลสัน
(Robert Wilson) ได้พบสัญญาณรบกวนแปลกๆ
กับกล้องโทรทรรศน์วิทยุของพวกเขา ด้วยการ เสางวงรับสัญญาณฮอล์มเดล (Holmdel Horn Antenna) ท ่ ี
ห้องปฏิบัติการเบลล์เทเลโฟน (Bell Telephone Laboratories)
ตรวจสอบท่ต้องอดทนและพากเพียร ท้งคู่ได้ ท่ซ่งเพนเซียสและวิลสันตรวจพบแสงท่หลงเหลือจากบ๊กแบง







พิสูจน์ว่าเบ้องหลังของสัญญาณรบกวนน้ไม่ได้ ได้

มาจากตาแหน่งบนโลก และยังแสดงให้เห็นว่า











สัญญาณพวกน้มีร่องรอยของความร้อนจางๆ ความสาเรจอนเหลอเช่ออยู่ในบททสและบทสดท้าย



ท่กระจายตวท่วท้งเอกภพ แม้ในปัจจบันความ ของวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเขา ซ่งปรากฏใน




ร้อนนี้จะมีอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิศูนย์สัมบูรณ์ บรรทัดแรกของบทคัดย่อวิทยานิพนธ์ ‘การตีความ

(Absolute zero - หน่วยเคลวิน-ผู้แปล) เพียง และผลสืบเน่องบางประการของการขยายตัวของ



ไม่กองศา แต่มนกได้พสจน์ว่าหลายพนล้านปีท ่ ี เอกภพจะได้รับการตรวจสอบ’





แล้ว ตอนท่เอกภพมีขนาดเล็กกว่าน้มาก มันต้อง รายละเอียดในหน้า 38-41 ได้ระบุหลักฐานมาก

มีอุณหภูมิเป็นหลายๆ ล้านองศา สิ่งที่เพนเซียส พอว่าเอกภพผ่านการขยายตัวมาก่อนและจะยังคง

และวิลสันได้ตรวจพบคือความร้อนท่หลงเหลือ ขยายตัวต่อไป ตอนที่ฮอว์กิงก�าลังเขียนวิทยานิพนธ์




จากเหตุการณ์บ๊กแบง บางคร้งเรียกว่าแสงท ่ ี น้นก็มีมูลฐานทางทฤษฎีอยู่บ้างแล้วท่จะทาให้






หลงเหลือจากการสร้าง (afterglow of creation) เช่อเร่องการขยายตัวน้ ผลเฉลยท่ง่ายท่สุดของ



ในปี 1978 ท้งคู่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ สมการสนามของไอน์สไตน์ได้ใช้ส่งท่เรียกว่ามาตรวัด



จากการค้นพบนี้ โรเบรตสน-วอล์กเกอร์ (Robertson-Walker metric)
โดย metric หมายถึงวิธีในการวัดขนาดของกาล
อวกาศ ด้วยมาตรวัดน้อวกาศสามารถแปรขนาดได้


1 ถือก�าเนิด-ผู้แปล ตามเวลาและขยายขนาดเม่อเวลาเดินไปข้างหน้า
42


Click to View FlipBook Version