140
พส.9
แผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี 5
รหัสวิชา 20100-1002 วชิ าวสั ดชุ า่ งอตุ สาหกรรม ท 2ป0น2 เวลารวม 6 ชม.
ชอื่ หน่วย..บทที่ 5 วสั ดเุ ชือ้ เพลิง วสั ดุหล่อล่นื ละวัสดหุ ลอ่ เยน็ สัปดาห์ 10-12/18
เรือ่ ง วสั ดเุ ช้ือเพลิง วสั ดหุ ลอ่ ล่นื ละวสั ดุหล่อเยน็ จานวน 4 ชม.
1. สาระสาคญั
ความเจรญิ ของมนุษยม์ ากข้ึน ก็ได้จากการนาเอาเช้ือเพลิง ประเภทต่างๆ มาใช้เพื่อการพัฒนาชีวิตความ
เป็นอยขู่ องสงั คม เพือ่ นาเช้อื เพลิงมาใชก้ ันมากๆ ถ้าไม่รู้จักประหยัดในการใช้หรือหาเชื้อเพลิงใหม่ๆ เพื่อนามาเป็น
เชอื้ เพลงิ สารองในอนาคตกจ็ ะคอ่ ยๆหมดไป ดว้ ยเหตุน้ีนักศึกษาจึงจาเปน็ ต้องศกึ ษาหรอื พัฒนาเชื้อเพลิงให้ใช้อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ
วัสดุหลอ่ ลนื่ มหี ลายชนิด ผู้เป็นช่างจะต้องรู้จักคุณสมบัติของวัสดุหล่อลื่นแต่ละชนิด และเลือกนามาใช้ให้
ถกู ตอ้ ง เพือ่ ยกอายุการใชง้ านของเครื่องจักรกล เครื่องยนต์ต่างๆ จึงมีการออกแบบค้นวัสดุที่จะมาทาการหล่อลื่น
วสั ดุขนึ้ มาซึ่งมหี ลายชนิดอกี ดว้ ย
การใช้เคร่อื งมอื เครอ่ื งจกั รในการทางานจาทาให้เกดิ ความร้อนเราจาเปน็ ต้องมีสารหล่อเย็นซึ่งสารหล่อเย็น
ไดห้ ลายชนดิ ผูเ้ ป็นช่างจาเป็นต้องรู้จักรคุณสมบัติของวัสดุหล่อเย็น แต่ละชนิดและเลือกนาไปใช้งานให้เหมาะสม
เพ่ือยืดอายุการใชง้ านของเครื่องมอื เครอื่ งจักร สามารถทาให้ได้งานอย่างมีประสทิ ธิภาพต่อไป
2. สมรรถนะประจาหน่วย
1. บอกชนิดของวัสดเุ ช้ือเพลิงได้
2. บอกสมบัติและการนาไปใชง้ านของวัสดเุ ชือ้ เพลิงได้
3. อธิบายการเก็บรักษาวสั ดเุ ชื้อเพลิงได้
4.บอกหลกั การหลอ่ ลน่ื ได้
5.บอกหนา้ ทีข่ องวสั ดุหล่อลน่ื ได้
6.จาแนกชนดิ ของวสั ดหุ ล่อล่นื ได้
7.บอกหลกั การใช้วัสดหุ ลอ่ เยน็ ได้
8.บอกความจาเปน็ ของการหล่อเย็นได้
9.อธบิ ายวิธเี ลอื กใชว้ สั ดหุ ลอ่ เย็นได้
10.บอกชนิดของวสั ดุหล่อเย็นได้
11.อธบิ ายการใชน้ ้ามันตดั หรอื นา้ มันล้วนๆได้
12.บอกคุณสมบัตขิ องวัสดุหล่อเย็นท่ีดไี ด้
13.บอกการนาไปใชง้ านของวสั ดหุ ล่อเยน็ ได้
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
นักเรียนมีความรคู้ วามเขา้ ใจขบวนการเรียนการสอนวัสดเุ ชอื้ เพลงิ วัสดหุ ล่อล่ืนละวสั ดหุ ลอ่ เยน็ ไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง
141
4. สาระการเรยี นรู้
เชื้อเพลงเปน็ ทรยั กากรทมี่ ีความสาคัญทมี่ ีส่วนในการพฒั นาประเภทเปน็ อย่างมาก เนอื่ งจากประเทศไทยเปน็
ประเทศท่กี าลงั พัฒนา มกี ารขยายตวั ทางเศรษฐกจิ และสังคมอยา่ งรวดเร็วมกี ารนาเชื้อเพลงมาใชง้ านต่าง ๆ มากขนึ้
เชน่ ในงานอุตสาหกรรม การขนส่งคมนาคม และนามาใชใ้ นกิกรรมอ่ืน ๆ เชื้อเพลงิ เป็นทรพั ยากรทีม่ ีค่า และมอี ยู่
อยา่ งจากดั การนามาใชง้ านจึงตอ้ งประหยดั และใหเ้ กิดประโยชน์สูงสดุ
วัสดหุ ลอ่ ลน่ื หมายถงึ วสั ดทุ ผี่ ลิตขนึ้ มาเพอื่ จดุ ประสงค์ในการลดความฝดื และการสึกหรอ ทาใหเ้ คร่ืองมือ
– เครอ่ื งจกั รกล ทางานได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ สว่ นวัตถุประสงค์รองลงมา คอื ช่วยระบายความรอ้ นและชะลา้ งสง่ิ
สกปรกออกจากบรเิ วณผิวสมั ผสั ท่ตี ้องการหล่อลนื่ ลักษณะงานของเครื่องมือเคร่ืองจักรท่ตี ้องใช้วัสดหุ ลอ่ ลนื่ เชน่
แบร่ิง (Bearing) เฟือง (Gears) ชนิดต่าง ๆ ช้ินสว่ นเคร่อื งจกั รทม่ี กี ารเคลื่อนทต่ี อ้ งมวี สั ดุหล่อลื่นบรเิ วณผิวสมั ผสั
5.การออกแบบการจัดการเรยี นรู้
การจัดการเรยี นรูโ้ ดยกระบวนการกลมุ่ (Group Process)
6. กจิ กรรมการเรยี นรู้
6.1 ขั้นนา
เป็นการสรา้ งบรรยากาศและสมาธขิ องผู้เรียนใหม้ ีความพร้อมในการเรียนการสอน การจัดสถานท่ี การแบง่ นักเรยี น
ออกเป็นกล่มุ ยอ่ ย แนะนาวธิ ดี าเนินการสอน กติกาหรือกฎเกณฑ์การทางาน ระยะเวลาการทางาน
6.2 ขั้นสอน
เปน็ ขั้นที่ครลู งมอื สอนโดยใหน้ กั เรียนลงมอื ปฏิบัติกจิ กรรมเปน็ กลมุ่ ๆ เพอ่ื ใหเ้ กิดประสบการณ์ตรง โดยที่กจิ กรรมต่าง
ๆ จะต้องคดั เลอื กให้เหมาะสมกบั เนอ้ื เรอ่ื งในบทเรียน เช่นกจิ กรรม เกมและเพลง บทบาทสมมติ สถานการณจ์ าลอง
การอภิปรายกลมุ่ เปน็ ต้น
6.3 ขนั้ สรปุ
นกั เรยี นสรปุ รวบรวมความคดิ ใหเ้ ปน็ หมวดหมู่ โดยครกู ระตนุ้ ใหแ้ นวทางและหาขอ้ สรปุ จากน้นั นาข้อสรปุ ทคี่ น้ พบ
จากเนื้อหาวชิ าท่เี รียนไปประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ ข้ากบั ตนเองและนาหลกั การทไ่ี ดไ้ ปใชเ้ พอื่ การปรับปรงุ ตนเอง ประยกุ ต์ใช้ให้
เข้ากบั คนอน่ื ประยุกตเ์ พอื่ แกป้ ญั หาและสรา้ งสรรค์สิ่งทีเ่ กิดประโยชนต์ ่อสังคม ชุมชน และดารงชีวิตประจาวันเช่น
การปรบั ปรงุ บคุ ลิกภาพ เกิดความเห็นอกเหน็ ใจ เคารพสิทธขิ องผอู้ ื่น แก้ปญั หา ประดิษฐส์ ่ิงใหม่ เปน็ ต้น
8. คุณธรรม จริยธรรมประจาหนว่ ย
นกั เรยี นมคี วามรับผดิ ชอบตอ่ งานทีไ่ ด้รบั ทาใหง้ านสาเรจ็ ลุลว่ ง และมคี วามตรงตอ่ เสลาการการเขา้ เรียนตาม
เวลาท่กี าหนด
9. สื่อและแหลง่ การเรยี นรู้
พาวเวอรพ์ ้อยท์ เร่ือง วัสดุเชอ้ื เพลงิ วสั ดหุ ลอ่ ลืน่ ละวสั ดหุ ลอ่ เยน็
ใบความรู้ เร่อื ง วสั ดุเชอื้ เพลงิ วัสดุหล่อล่นื ละวสั ดหุ ล่อเยน็
วิดโี อ เรือ่ ง วสั ดเุ ช้อื เพลิง วัสดหุ ลอ่ ลน่ื ละวสั ดหุ ล่อเยน็
10. การวดั ผลและประเมินผล
แบบทดสอบทา้ ยบทเรยี น เร่ือง .วัสดเุ ชอื้ เพลงิ วัสดหุ ลอ่ ลนื่ ละวัสดหุ ล่อเยน็
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น เรื่อง วัสดุเช้อื เพลงิ วสั ดหุ ล่อลนื่ ละวัสดหุ ล่อเย็น
142
แบบทดสอบหลังเรียน เร่อื ง วัสดเุ ชอื้ เพลงิ วัสดหุ ลอ่ ลื่นละวสั ดหุ ล่อเยน็
11. หลักฐานการเรียนรู้
7.1 เอกสารประกอบการสอนฯ บทท1่ี วัสดุอุตสาหกรรม
7.2 แบบฝกึ หดั ที่ 1
7.3 เฉลยแบบฝกึ หัดท่ี 1
7.4 แบบทดสอบ
7.5 เฉลยแบบทดสอบ
12. เอกสารอ้างอิง
9.1 หนงั สือเรยี น วัสดชุ ่างอตุ สาหกรรม สานักพิมพเ์ อมพันธ์ จากดั
9.2 หนังสือเรียน วสั ดุชา่ งอตุ สาหกรรม สานกั พมิ พจ์ ิครวัฒน์
9.3 หนงั สือเรยี น วสั ดชุ ่างอุตสาหกรรม สานกั พิมพแ์ วน่ แก้ว แอด็ ดเู ทนเม้นท์ จากัด
9.4 หนงั สอื เรียน วัสดุช่างอุตสาหกรรม สานกั พมิ พศ์ นู ยส์ ง่ เสรมิ อาชวี ะ
พส.11
บันทกึ หลังการจัดการเรียนรู้
รหสั วชิ า...........................ชอ่ื วชิ า.........................................................................................ระดบั ชน้ั ปวช. ปวส.
สาขางาน..............................................................................................สัปดาหท์ ่.ี .........วนั ทส่ี อน..............................................
หน่วยท่ี............ช่ือหนว่ ย......................................................................................................................จานวน................ชั่วโมง
จานวนผูเ้ รยี น..........................คน มาเรยี น........................คน ขาดเรียน.........คน ลาปุวย.........คน ลากิจ..........คน
1. ผลการจัดการเรียนรู้
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
143
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…………
……………….…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
2. ปญั หาและอปุ สรรค
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………………
……………….…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…………
3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………………
……………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………
ลงชือ่ .......................................................ครูผู้สอน
(............................................................)
........../................/............
ความเหน็ ................................................................................. ความเหน็ .................................................................................
................................................................................................ ................................................................................................
ลงชื่อ...............................................หวั หนา้ แผนกวชิ า ลงช่อื ............................................รองผูอ้ านวยการฝาุ ยวชิ าการ
(............................................................) (นางสาวนศิ ากร เจรญิ ด)ี
............/................../............
............/................../............
ความเหน็ ผอู้ านวยการ.................................................................................
....................................................................................................................
ลงชื่อ...........................................
(นางสาวสมุ ีนา แดงใจ)
ผู้อานวยการวทิ ยาลยั การอาชีพนครปฐม
............/................../............
พส.12
ใบความรู้ (Information Sheets)
รหัสวิชา…20100 – 1002….วิชา………………วัสดุชา่ งอตุ สาหกรรม………………………………
ช่ือหน่วย บทท่ี 4 อทิ ธพิ ลของธาตุท่มี ตี ่อโลหะผสม
เรื่อง อิทธพิ ลของธาตุทีม่ ีต่อโลหะผสม จานวนช่ัวโมงสอน........6........
จุดประสงค์การเรียนรู้ รายการเรยี นรู้
144
- จดุ ประสงค์ท่วั ไป 1. บอกชนิดของวสั ดเุ ช้ือเพลิงได้
นกั เรยี นมีความรคู้ วามเขา้ ใจขบวนการเรียนการสอน 2. บอกสมบตั ิและการนาไปใช้งานของวัสดเุ ช้ือเพลิงได้
และมาตรฐานเหลก็ อุตสาหกรรม กรรมวธิ ีการผลิตเหลก็ 3. อธิบายการเก็บรกั ษาวัสดเุ ชื้อเพลงิ ได้
โลหะ 4.บอกหลกั การหล่อล่นื ได้
- จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 5.บอกหน้าทข่ี องวสั ดหุ ลอ่ ล่นื ได้
1 ชนดิ ของวสั ดุเชอ้ื เพลงิ 6.จาแนกชนดิ ของวสั ดหุ ลอ่ ลื่นได้
2. สมบตั แิ ละการนาไปใชง้ านของวสั ดเุ ชอ้ื เพลงิ 7.บอกหลกั การใชว้ สั ดหุ ลอ่ เยน็ ได้
3 การเกบ็ รักษาวัสดเุ ช้ือเพลงิ 8.บอกความจาเปน็ ของการหล่อเย็นได้
4 หลกั การหลอ่ ลื่น 9.อธิบายวธิ ีเลือกใช้วัสดหุ ลอ่ เย็นได้
5 หน้าท่ีของวัสดหุ ล่อล่ืน 10.บอกชนิดของวสั ดุหล่อเย็นได้
6 ชนดิ ของวัสดุหลอ่ ลืน่ 11.อธบิ ายการใชน้ า้ มนั ตดั หรอื นา้ มันล้วนๆได้
7 หลกั การใช้วัสดุหล่อเย็น 12.บอกคณุ สมบตั ขิ องวสั ดหุ ลอ่ เย็นทด่ี ีได้
8 ความจาเปน็ ของการหลอ่ เยน็ 13.บอกการนาไปใชง้ านของวสั ดุหล่อเยน็ ได้
9 เลือกใชว้ สั ดหุ ล่อเย็น
10 ชนิดของวสั ดุหลอ่ เยน็
11 น้ามันตัดหรือน้ามนั ล้วนๆ
12 คณุ สมบตั ขิ องวสั ดหุ ลอ่ เยน็ ทด่ี ี
13 การนาไปใชง้ านของวสั ดหุ ลอ่ เย็น
เน้อื หาสาระ
เชือ้ เพลงเปน็ ทรัยกากรทม่ี ีความสาคัญทม่ี ีส่วนในการพฒั นาประเภทเปน็ อย่างมาก เนือ่ งจาก
ประเทศไทยเป็นประเทศทกี่ าลังพฒั นา มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสงั คมอยา่ งรวดเรว็ มีการนาเชื้อเพลงมาใช้
งานตา่ ง ๆ มากขึน้ เชน่ ในงานอตุ สาหกรรม การขนสง่ คมนาคม และนามาใชใ้ นกกิ รรมอ่นื ๆ เชือ้ เพลิงเป็น
ทรัพยากรทม่ี ีคา่ และมีอยู่อยา่ งจากดั การนามาใชง้ านจงึ ตอ้ งประหยัด และใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ
8.1 ความหมายของเชอ้ื เพลงิ
เชือ้ เพลงิ หมายถงึ วสั ดุทมี่ ีองคป์ ระกอบของธาตคุ าร์บอน และไฮโดรเจน เช้ือเพลงิ เมอ่ื เผาไหมจ้ ะ
ทาปฏกิ ริ ิยาทางเคมกี บั ออกซเิ จนทาใหเ้ กิดพลงั งานสามารถนาไปใช้ประโยชนไ์ ด้ เช้อื เพลงิ บางอยา่ งสามารถ
นามาใช้งานไดท้ นั ที บางอย่างตอ้ งนาไปผ่านกระบวนการแปรสภาพก่อนจงึ จะสามารถนามาใชป้ ระโยชนไ์ ด้
8.2 ประเภทของเชือ้ เพลงิ
เชอ้ื เพลงิ ที่นามาใช้กันอยู่ทั่วไปทงั้ เพอื่ การคมนาคม การอตุ สาหกรรมและการนามาใช้ในกจิ กรรมอ่ืน
ๆ สามารถแยกตามลกั ษณะได้ 3 ชนดิ คอื ของแข็ง ของเหลว และกา๊ ซ
เชอื้ เพลิงท่ีเป็นของแขง็ (Solid Fuel)
เช้ือเพลงิ ทเ่ี ป็นของแข็งสามารถแบง่ ออกไดด้ งั นี้
1. ถา่ นไม้ (Charcoal)
2. ถ่านหิน (Coal)
เชอ้ื เพลิงทีเ่ ป็นของเหลว (Liquid Fuel)
เชือ้ เพลิงทเ่ี ของเหลวสามารถแบ่งออกไดด้ งั น้ี
145
1. นา้ มนั เบนซิน (Gasoline Oill)
2. น้ามันก๊าด (Kerosene Oil)
3. น้ามันดเี ซล (Diesel Oil)
4. นา้ มันเตา (Heavy Fuel or Furnace Oil)
เชอื้ เพลงิ ท่เี ปน็ กา๊ ซ (Gas Fuel)
เชือ้ เพลงิ ทเี่ ปน็ ก๊าซสามารถแบง่ ออกได้ดงั นี้
1. ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas)
2. กา๊ ซอะเซทลิ ีน (Acetylene Gas)
3. กา๊ ซเตาสงู (Blast Furnace Gas)
เช้ือเพลิงทีเ่ ป็นของแข็ง (Solid Fuel)
เปน็ เช้ือเพลงิ ทมี่ ีสถานะเปน็ ของแขง็ ทอี่ ณุ หภมู ิปกติ ประกอบด้วยธาตทุ ่ีสาคัญ คอื คารบ์ อนไฮโดรเจน
ไนโตรเจน และกามะถัน เมอ่ื ทาปฏกิ ริ ิยาเคมีกบั ออกซิเจนจะเกดิ การเผาไหมใ้ หพ้ ลงั งานความรอ้ น
นักวิทยาศาสตรส์ ันนิษฐานวา่ มนุษย์รจู้ ัดการนาเชอ้ื เพลิงแข็งมาใชง้ านก่อนเชื้อเพลงิ อย่างยงิ่ เพราะเป็นเชื้อเพลิง
ท่นี ามาใช้งานได้ทนั ที ไมต่ ้องนามาผา่ นกรรมวิธีในการปรบั ปรงุ หรือแปรสภาพกอ่ นใช้งานเช้ือเพลิงแขง็ มีหลาย
ชนดิ
เปน็ เช้อื เพลงิ ทมี่ ีสถานะเป็นของแขง็ ทีอ่ ุณหภมู ปิ กติ ไดแ้ ก่
1. ถา่ นไมห้ รอื พืช เป็นเชือ้ เพลิงทไ่ี ดม้ าจากไมย้ ืนต้นและซากพืชท่ีแหง้ ไม่ว่าจะเป็นใบ ลาตน้
ราก เชน่ ไมเ้ บญจพรรณ ไม้โกงกาง ต้นสะแก นามาใชไ้ ดท้ ันทีไมต่ ้องนาไปผา่ นขยวนการใน
การแปรรปู เชน่ งานอตุ สาหกรรมยอ้ มผ้า หงุ ต้มอาหาร
2. ถ่านหนิ (Coal) นกั วทิ ยาศาสตร์สนั นิษฐานวา่ เกิดจากซากพืช พนั ธ์ุไมต้ ่าง ๆ ตายทับถมกัน
ในบริเวณนั้น ภายใต้อุณหภมู ิและความกดดนั เป็นระยะเวลานบั ลา้ นปี เกิดการจบั ตัวเป็น
ของแข็ง สามารถนามาจุดติดไฟใหพ้ ลังงานความร้อนได้ ถา่ นหินมหี ลายชนดิ คอื
พีต (Peat) เกดิ จากซากพืชพวกตะไคร่ มอสส์ และพรรณไมอ้ ื่น ๆ มคี ารบ์ อนประมาณ 60% มคี วามชื้น
สูง เมอ่ื แห้งจะตดิ ไฟไดด้ ี
ลิกไนต์ (Lignite) เปน็ ถ่านหนิ มสี นี า้ ตาลดา เน้ือแขง็ มีคารบ์ อนประมาณ 55-65% เมอ่ื นามาเผาไหมจ้ ะ
ให้ความร้อนประมาณ 8,300 BTU4/ปอนด์ พบท่ี ต. คลองขนาน อ. เมอื ง จ. กระบ่ี และ อ. แมเ่ มาะ จ. ลาปาง
ซ่ึงนามาใชเ้ ป็นเชอ้ื เพลงิ ในการผลิตกระแสไฟฟาู ที่โรงจัดกรแมเ่ มาะ จ. ลาปาง
บทิ มู ินัส (Bituminous) มสี นี ้าตาลดา มีคาร์บอนประมาณ 80-90% เมื่อนามาเผาไหม้จะให้ความรอ้ น
ประมาณ 10,500 BTU / ปอนด์ พบที่ ต. ดงดา อ. ล้ี จ. ลาพูน และ ต. แมต่ ่นื อ. แม่ระมาด จ. ตาก
แอนทราไซต์ (Anthracite) เปน็ ถา่ นหนิ สีดา เสอื้ แข็งวาว มีคาร์บอนประมาณ 86% ขน้ึ ไป ตดิ ไฟยาก
เมื่อตดิ ไฟแลว้ ใหเ้ ปลวไฟสีนา้ เงนิ ไมม่ ีควัน ใหค้ า่ ความรอ้ นสูงสดุ ท่สี ุดในบรรดาถ่านหนิ คอื ประมาณ 15,500
BTU/ปอนด์ พบท่ี ต. นาดว้ ง จ. เลย
3. ถ่านโค้ก (Coke) เนือ่ งจากถ้านาถา่ นหนิ ไปใชเ้ ปน็ เช้ือเพลงิ จะเกดิ ปัญหากับสภาพแวดลอ้ ม
เน่อื งจากจะเกดิ กา๊ ซซลั เฟอร์ไดออกไซดจ์ ากการเผาไหม้ จึงมกี ารแกป้ ญั หาโดยการผลติ ถา่ น
โคก้ ขึ้นมาใช้งานแทนถา่ นหิน ถ่านโค้กทาได้โดยการนาถา่ นหนิ มาเผาใหร้ อ้ นในเตาทปี่ ดิ มดิ ชดิ
เมอ่ื ถา่ นหินเดร้ บั ความรอ้ นจะคายกา๊ ซเชือ้ เพลงิ ออกมา เรียกว่า โพรดิวเซอรก์ า๊ ซ
(Producer Gas) และจะคายกา๊ ซซลั เฟอรไ์ ดออกไซด์ออกมาดว้ ย ถ่านหนิ ทอ่ี ยู่ภายในเตา
จะนาไปทาให้เยน็ ตัวลง เรียกว่า ถา่ นโคก้ มีลกั ษณะเปน็ ก้อนสเี ทา มรี พู รุน นาไปเปน็
เชื้อเพลิงได้โดยไม่ทาให้สภาพแวดลอ้ ม เป็นพิษ
146
4. หนิ น้ามนั (Oil Shale) มีลักษณะคลา้ ยหนิ ดนิ ดานสนี ้าตาล มีอนิ ทรยี สารท่ี เรียกวา่ เค
โรเจน (Kerogen) เปน็ สารน้ามนั แทรกอยใู่ นเนอื้ นาไปจุดติดไฟไดค้ ลา้ ยถา่ นหิน และ
สามารถนามากล่นั เป็นเชอื้ เพลงิ เหลวได้ แตต่ ้องใช้ค่าใชจ้ า่ ยสงู มาก ยงั ไม่ค้มุ กบั การลงทนุ
พบท่ี อ. แมส่ อด อ. ระมาด อ. อุ้มผาง จ. ตาก
5. วสั ดุเหลือจากการเกษตร เช่น แกลบ กะลามะพร้าว เปลอื กถ่วั ซังข้าโพด ข้เี ล่อื ยเมอ่ื
นามาอัดให้เป็นแท่งจะสามารถใหพ้ ลงั งานความรอ้ นไดส้ ูงมาก ซง่ึ สามารถนามาใช้งานเปน็
เชอ้ื เพลิงหุงตม้ ในครัวเรอื นได้เปน็ อยา่ งดี
เชือ้ เพลงิ ท่ีเปน็ ของเหลว
เชือ้ เพลิงทเี่ หลวไดจ้ ากนา้ มันดบิ หรือนา้ มนั ปโิ ตรเลยี ม นา้ มนั ดิบเกดิ จากซากพืช ซากสัตว์ทตี่ ายทบั ถมกนั
เปน็ เวลาลา้ น ๆ ปี มีชน้ั หินปกคลุมช้นั นา้ มันดบิ อยู่ น้ามนั ดบิ เป็นสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนหลายชนิดรวมกัน
โดยมีองคป์ ระกอบทว่ั ๆ ไป ดงั นี้คือ คารบ์ อน 83-87% ไฮโดรเจน 11-15% ออกซิเจน 5% กามะถัน
6% ไนโตรเจน 0.05% ในการนานา้ มนั ดิบหรือน้ามันปิโตรเลยี มมาใช้ต้องมาผ่านกรรมวธิ กี ารกลนั่
การกลัน่ หมายถึง การแปรสภาพนา้ มันดิบใหเ้ ปน็ ผลิตภัณฑส์ าเร็จรูป เช่น แกส๊ หงุ ตม้ นา้ มันเบนซนิ
นา้ มนั เครือ่ งบิน นา้ มนั ก๊าด นา้ มันดีเซล นา้ มันเตาและน้ามันหลอ่ ลน่ื เคมภี ัณฑต์ ่าง ๆ
ในกระบวนการกลนุ่ น้ามนั ปโิ ตรเลยี ม อาศัยหลักการของจุดเดอื ดที่ไมเ่ ทา่ กบั ของผลิตภณั ฑแ์ ต่ละชนดิ
แยกผลติ ภณั ฑ์นน้ั ๆ ออกจากกนั จากนั้นนามากรองแปรสภาพใหเ้ หมาะสมกับการใช้งาน บางทีกเ็ ตมิ สารอน่ื ๆ
ลงไปอกี เพอื่ คุณภาพของผลิตภัณฑท์ ก่ี ล่นั ได้
ในการแยกผลิตภัณฑ์เร่มิ จากจดุ เดอื ดตา่ ไปหาจดุ เดอื ดสงู ดงั นี้
- อุณหภมู ิ 30-700C ได้ก๊าซหงุ ตม้
- อุณหภูมิ 40-2000C ได้น้ามนั เบนซนิ
- อณุ หภมู ิ 150-3000C ไดน้ า้ มนั กา๊ ซ
- อณุ หภูมิ 300-3500C ไดน้ ้ามนั ดเี ซล
- อณุ หภมู ิ 3500C ขน้ึ ไปได้น้ามนั เตา
ทเ่ี หลอื เปน็ ยางมะตอยหรอื ขผ้ี ง้ึ
เราสามารถพจิ าณาแผนผังกระบวนการกลั่นน้ามันปโิ ตรเลียมได้ดังนี้
แผนผังกระบวนการกลั่นนา้ มันปิโตรเลยี ม
147
1. น้ามันเบนซิน (Gasolines)
นา้ มนั เบนซนิ เปน็ เช้ือเพลิงสาหรบั เครอ่ื งยนตเ์ บนซนิ ไดจ้ ากการกล่ันนา้ มันดบิ ในโรงกลั่นนา้ มนั และอาจ
ผสมสารเพมิ่ คุณภาพ เพ่อื ใหเ้ หมาะสมกบั การใชง้ าน เชน่ สารเพิ่มคา่ ออกเทน สารเคมปี อู งกนั สนิม สารเคมชี ่วย
ทาความสะอาดคารบ์ ูเรเตอร์ ซงึ่ น้ามนั เบนซนิ ทผี่ ลติ ขน้ึ แต่ละบรษิ ทั จะมีการผสมสารเคมเี พม่ิ คุณภาพแตกตา่ งกนั
ซงึ่ เปน็ ความลบั ทางการค้า
คณุ สมบัตทิ ่ัวไปของน้ามันเบนซนิ
มคี า่ ออกเทนนัมเบอร์สงู ไมท่ าใหเ้ กิดอาการนอ็ กในขณะเผาไหม้
มอี ตั ราการระเหยท่ดี ี ระเหยเปน็ ไอทอ่ี ณุ หภูมปิ กติ
เกบ็ ไว้ไดน้ านไม่สลายหรอื แปรสภาพ
ไมม่ ียางหรือกามะพันในนา้ มัน เพราะจะทาใหเ้ กิดการกัดกรอ่ นในเครอ่ื งยนต์ และอดุ ตัน
ค่าออกเทน คือ คา่ ความความตา้ นทานการจดุ ระเบดิ ของน้ามันเบนซิน ก่อนเวลากาหนดของเครอ่ื งยนต์
การทางานของเครื่องยนตเ์ บนซนิ น้ัน คารบ์ เู รเตอรจ์ ะทาหน้าทผี่ สมน้ามันกบั อากาศแล้วส่งไปในกระบอกสูบ และหวั
เทยี นจะจุดประกายไฟฟาู ใหส้ ว่ นผสมในกระบอกสบู จดุ ระเบดิ ขนึ้ แตบ่ างสว่ นของเชือ้ เพลงิ เกดิ การจุดระเบิดเอง
เน่อื งจากความร้อนและกาลงั อัดก็จะเกิดอาการนอ็ กขน้ึ ซ่งึ สามารถไดย้ ินอยา่ งชัดเจนในขณะทเี่ รง่ เครื่องยนตอ์ ย่าง
กะทนั หนั น้ามันทม่ี ีค่าออกเทนสงู จะมคี วามต้านทานการนอ็ กของเครื่องยนตส์ ูง การอกแบบเครือ่ งยนต์เบนซินทง้ั ของ
รถยนตแ์ ละจักรยายนต์แตล่ ะร่นุ มีความแตกตา่ งกนั จงึ ตอ้ งใช้นา้ มันเบนซนิ ท่มี ีคา่ ออกเทนแตกตา่ งกนั โดยศกึ ษาได้
จากคู่มอื การใช้รถแต่ละรนุ่
ตั้งแตว่ ันที่ 1 พฤษภาคม 2541 รัฐบาลกาหนดใหน้ า้ มนั เบนซนิ ทมี่ จี าหนา่ ยในประเทศไทยจะต้องเป็น
น้ามันทีไ่ ม่ผสมสารตะกั่วในน้ามนั และเรียกช่อื น้ามันตามคา่ ออกเทน คอื
นา้ มันเบนซิน ออกเทน 87 สเี ขียว
นา้ มนั เบนซิน ออกเทน 91 สีแดง
น้ามนั เบนซนิ ออกเทน 95 สีเหลือง
หมายเหตุ การเตมิ น้ามันทีม่ คี ่าออกเทนสงู เกินความตอ้ งการของเครื่องยนต์ ไม่มผี ลตอ่ ความแรงของเครอื่ งยนต์
148
กาลงั อดั ของเครือ่ งยนต์
กาลงั อดั หมายถงึ อตั ราส่วนของปริมาณของห้องเผาไหม้ ขณะที่ลกู สบู เคล่อื นท่ีลงถงึ ศูนยต์ าย
ลา่ ง เทยี บกบั หอ้ งเผาไหมข้ ณะทล่ี ูกสบู เคลอื่ นท่ถี ึงศนู ย์ตายบน เครอื่ งยนตท์ มี่ ีกาลงั อัดสงู จะทาให้เครื่องยนตม์ ีกาลงั
สูงด้วย แต่เครอ่ื งยนตม์ โี อกาสเกิดการนอ็ กได้ ฉะนัน้ ถา้ เครื่องยนตม์ อี ัตราสว่ นกาลงั อัดสงู ก็ตอ้ งใช้นา้ มันท่มี คี ่าออกเท
นสูง
อัตราการระเหย
นา้ มนั เบนซนิ ทดี่ ตี อ้ งสามารถระเหยไดด้ ใี นขณะอากาศเยน็ ซึง่ ทาให้เครือ่ งยนตต์ ดิ งา่ ย แตถ่ ้า
น้ามันเบนซนิ ระเหยงา่ ยเกนิ ไป ซึ่งมกั เกดิ ข้ึนขณะทอ่ี ากาศรอ้ นอาจจะทาให้เครอ่ื งยนต์กระตุกหรือดบั เนื่องจากน้ามนั
กลายเป็นไอภายในระบบการไหลของนา้ มนั เชอ้ื เพลงิ
น้ามันเครือ่ งบิน (Aviation Fuels)
นา้ มนั เชื้อเพลิงท่ีใช้กบั เครื่องบนิ มี 2 ประเภทตามลักษณะเคร่อื งยนต์ คอื
1. นา้ มนั เบนซินเคร่ืองบินใบพดั (Aviation Gasoline)
ระบบเครอื่ งยนตเ์ ครื่องบินใบพดั มลี กั ษณะคลา้ ยคลงึ กับเครอ่ื งยนต์เบนซนิ ทใี่ ช้กบั
ยานพาหนะ ฉะนั้นนา้ มนั เช้ือเพลิงที่ใชก้ บั เครื่องบินใบพดั จงึ มีองคป์ ระกอบที่เหมอื นกบั นา้ มนั เบนซนิ แตต่ อ้ งมคี วาม
สะอาดบรสิ ทุ ธเิ์ ปน็ พิเศษ น้ามันเบนซนิ เคร่อื งบินใบพัดมีคา่ ออกเทนสงู กวา่ น้ามันเบนซินปกติ เพอื่ เหมาะสมกับการ
ใชง้ าน
2. น้ามนั เครอ่ื งบินไอพ่น (Jet Fuels)
เคร่อื งยนต์เคร่อื งบนิ ไอพ่น มหี ลักการทางานแตกต่างจากเครอื่ งยนตเ์ คร่ืองบินใบพดั โดยสิ้นเชงิ นา้ มนั เชอ้ื เพลงิ
ท่ใี ชก้ บั เครอื่ งบนิ ไอพน่ มีองค์ประกอบใกลเ้ คียงกบั นา้ มนั กา๊ ดมาก ภายในเครอื่ งยนตไ์ อพน่ น้ามนั จะถูกฉีดเป็นฝอย
สนั ดาปเปน็ แกส๊ ร้อน ไปหมนุ ใบพดั เทอรไ์ บน์ในการขบั เคลอ่ื นนา้ มันเครอ่ื งบนิ ไอพ่นยงั แบง่ ออกเป็น 2 กรด คอื
นา้ มันเครือ่ งบนิ ไอพน่ ทหาร (JP-4) ใช้ในกิจกรรมการทหาร ได้แก่ เครื่องบินรบ เครอ่ื งบนิ ขบั ไล่ ซง่ึ
ต้องการอตั ราเรง่ และความเร็วสูง จะมีองคป์ ระกอบของไฮโดรคาร์บอนเบาทรี่ ะเหยอยมู่ าก ทาใหเ้ ครอ่ื งบนิ สามารถ
เร่งอัตราความเรว็ ได้สูงและเรว็
น้ามนั เครอื่ งบนิ ไอพ่นพาณิชย์ (JP-1) ใชใ้ นการบินพาณิชย์ เคร่อื งบนิ มีความเร็วไมส่ ูง เช่นเดยี วกบั
เครื่องบินใบพดั น้ามันเครอื่ งบินไอพ่นตอ้ งการความบรสิ ุทธิส์ งู และมคี ุณสมบัตอิ น่ื ๆ ทเ่ี หมาะสมต่อการใชง้ านใน
สภาพวะที่ความกดดนั และอุณหภมู เิ ปลี่ยนแปลงในชว่ งกว้างมาก
149
3. น้ามนั กา๊ ด (Kerosene)
น้ามันก๊าดเปน็ ท่รี จู้ ักกันมานาน เป็นเชอื้ เพลิงที่ให้แสงสวา่ งตามครวั เรือน ในปัจจบุ ันการนานา้ มนั กา๊ ดมาใชเ้ พอ่ื
แสงสว่าง มีปรมิ าณลดลงตามความเติบโตของการใชก้ ระแสไฟฟาู อยา่ งไรก็ดนี ้ามนั กา๊ ดก็ยงั มีบทบาทสาคัญในแงท่ ่ี
เป็นเชอื้ เพลิงทส่ี ะอาด มกี ามะถันตา่ ซง่ึ เปน็ ท่นี ิยมในอุตสาหกรรมบางประเภท เชน่ โรงงานกระเบอื้ ง อุตสาหกรรม
อาหารเบื้องตน้
ในกรณีท่ใี ชน้ า้ มนั ชนิดอ่ืนเปน็ เช้ือเพลิงจดุ ตะเกียงจะพบวา่ มีคณุ สมบตั ไิ มเ่ หมาะ เช่น การใช้น้ามันโซลา่ จะ
ก่อใหเ้ กดิ ควนั และเปลืองไส้ตะเกยี ง ส่วนการใช้เบนซนิ จะมอี ัตราการระเหยเร็วมาก อาจเกิดอนั ตรายจากสารใน
นา้ มนั เบนซนิ หรือเกดิ การระเบิดรนุ แรง
สขี องนา้ มนั ก๊าด
นา้ มนั ก๊าดโดยปกตทิ จ่ี ะได้จากกระบวนการกลั่นนา้ มันจะปราศจากสี แตท่ างผผู้ ลติ ไดเ้ ติมสนี า้ เงินลงไป เพอ่ื เป็น
การปูองกนั การนานา้ มนั ไปปลอมปนกับน้ามันโซล่าหรอื เบนซนิ เนือ่ งจากมีราคาถกู กวา่
4. น้ามันดเี ซล (Diesel Fuel)
นา้ มนั ดีเซลเป็นผลติ ภณั ฑ์เชอ้ื เพลงิ ทไ่ี ดจ้ ากากรกลั่นน้ามันดิบ สามารถนามาใช้เปน็ เชอื้ เพลิงสาหรับเครือ่ งยนต์
ดเี ซล เคร่ืองยนต์ดีเซลหลกั การทางานแตกตา่ งจากเครือ่ งยนต์เบนซิน การจดุ ระเบดิ ของเครอื่ งยนต์ดีเซลใช้ความรอ้ น
ซึ่งเกดิ ขึ้นจากการอัดอากาศภายในกระบอกสบู จากน้ันหวั ฉดี จะฉีดน้ามนั เปน็ ละอองเขา้ ไปในกระบอกสบู จะเกิดการ
จดุ ระเบดิ ขึน้
ลกั ษณะการทางานของเคร่ืองยนตด์ เี ซล
ค่าซีเทน
ค่าซเี ทนของน้ามันดีเซลจะบง่ บอกถึงคณุ ภาพของการจดุ ระเบิดของนา้ มัน คา่ ซีเทนของน้ามันยิง่ สงู จะยิง่ จดุ
ระเบดิ ไดง้ ่าย เครื่องยนตห์ มุนรอบไดเ้ รว็ โดยไมส่ ะดุด และไมเ่ กิดควันขาว ถ้าค่าซีเทนของนา้ มนั สงู เกินไปจะทาให้
เกิดการเผาไหม้ไมส่ มบูรณแ์ ละเกดิ ควนั ได้
นา้ มันดเี ซลแบ่งออกไป 2 ประเภท คอื
1.นา้ มันดเี ซลหมนุ เรว็ (Automotive Diesel Oil) เปน็ น้ามันทม่ี ีคา่ ซเี ทนอยา่ งต่า 47 นาไปใช้เป็นเชือ้ เพลงิ
กับเครอ่ื งยนตด์ เี ซล ทม่ี คี วามเร็วรอบเกนิ 1,000 รอบตอ่ นาที
150
2.น้ามันดีเซลหมนุ ช้า (Industrial Diesel Oil) เปน็ น้ามันทีม่ คี ่าซเี ทนอย่างต่า 45 นาไปใชเ้ ป็นเชื้อเพลิงกับ
เครื่องยนต์ดเี ซล ทม่ี ีความเร็วรอบต่ากวา่ 1,000 รอบตอ่ นาที
คณุ สมบตั ทิ ั่วไปของนา้ มันดีเซล
1. เม่อื เผาไหม้หมดไมค่ วรมีกากเหลอื
2. ระเหยได้ดีพอสมควร
3. มีความหนืดพอเหมาะ
4. มีค่าซีเทนนมั เบอร์ไม่ตา่ กวา่ 45
5. ไมก่ ักกรอ่ นหรือทาใหห้ อ้ งสบู เกดิ การสกึ หรอ
สีของนา้ มันดีเซล
โดยธรรมชาตินา้ มันดเี ซลมสี ชี าออ่ น แต่บางครง้ั สอี าจจะเปล่ียนไปบ้าง เนอ่ื งจากการเลอื กใชน้ ามันดบิ จาก
แหลง่ ตา่ งกนั ในกระบวนการกล่ัน ซง่ึ อาจใหน้ ้ามันดเี ซลมสี อี ่อนหรอื เขม้ ไป แต่คุณสมบตั ใิ นการเผาไหม้ยงั คงเดมิ
ในกรณที ี่สีของนา้ มันดเี ซลเปล่ยี นแปลงไปมาก เชน่ เป็นสเี ขยี วหรอื สดี าคล้า ควรสงสัยการปลอมปนโดย
น้ามันก๊าด (สีน้าเงนิ ) หรอื นา้ มนั เตาหรอื นา้ มนั เครื่องใช้แล้ว (สีดา)
5. น้ามนั เตา (Fuel Oils)
น้ามันเตาเป็นผลิตภณั ฑเ์ ชื้อเพลงิ ทม่ี ีองคป์ ระกอบหนกั ได้จากตอนล่างของหอกล่ันอันเปน็ ส่วนทเี่ หลือตกคา้ งอยู่
และไมส่ ามารถระเหยในหอกลัน่ บรรยากาศ แม้ว่านา้ มนั เตาจะเป็นพวกกากน้ามัน (Residual Fuel) เหลือจากการ
กลนั่ และมสี ิ่งตกคา้ งตา่ ง ๆ ปนอยู่มากกต็ าม น้ามนั เตากย็ ังเปน็ ประโยชนอ์ ย่างมหาศาลตอ่ อตุ สาหกรรมการผลิต
กระแสฟูา และการคมนาคมขนส่งเนือ่ งจากเป็นนา้ มนั เชื้อเพลงิ ท่มี ีราคาถูกที่สุด
เช้ือเพลิงกา๊ ซ (Gas Fuel)
เชือ้ เพลงิ กา๊ ซ หมายถึง กา๊ ซทุกชนิดท่ที าปฏกิ ริ ยิ ากบั ออกซเิ จน แล้วเกิดการเผาไหมท้ าให้ได้
พลังงานความร้อนทสี่ ามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ได้ เชือ้ เพลงิ ก๊าซส่วนใหญเ่ ปน็ สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนเช้ือเพลงิ
กา๊ ซทส่ี าคญั คือ
1. ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas)
เปน็ เช้อื เพลิงทเี่ กดิ ขนึ้ โดยธรรมชาติอยเู่ หนอื นา้ มนั ดบิ แบ่งออกได้ 2 ชนดิ
1.1 กา๊ ซธรรมชาตแิ หง้ (Dry Natural Gas) ประกอบด้วยก๊าซมเี ทน มีสถานะเปน็ ไอท่ี
อุณหภมู แิ ละความดนั บรรยากาศ นาไปใช้เปน็ เชอื้ เพลงิ ในโรงงานอตุ สาหกรรม โรงานผลิตกระแสไฟฟูา
นอกจากน้ยี งั เปน็ วัตถดุ บิ ในโรงานอุตสาหกรรมปยุ๋ ยเู รยี
1.2 ก๊าซธรรมชาติช้ืน (Wet Natural Gas) ประกอบดว้ ยโพรเทนและบวิ เทนก๊าซชนดิ นจ้ี ะ
นาไปใช้ประโยชน์เป็นเชือ้ เพลงิ สาหรบเครอื่ งยนต์ เปน็ เช้อื เพลิงหงุ ต้มในครวั เรอื น
เราสามารถพจิ ารณาผลผลิตของกา๊ ซธรรมชาตไิ ด้ดัง
แผนภมู แิ สดงผลผลติ ชองก๊าซธรรมชาติ
151
2. กา๊ ซทไ่ี ดจ้ ากการกล่ันน้ามันดบิ (Liquid Petroleum Gas)
เป็นก๊าซท่ไี ดม้ าจากการกลนั่ นา้ มนั ดิบ เรียกย่อว่า กา๊ ซ L.P.G. โดยทั่วไปจะถกู จดั เก็บอยู่ใน
ของเหลวบรรจุในถังเหลก็ ขนาดตา่ ง ๆ กันเพ่ือนาไปใช้เปน็ เชื้อเพลงิ สาหรับหุงต้ม นอกจากนีย้ ังใช้ในโรงงาน
อุตสาหกรรม เปน็ เชอ้ื เพลงิ แทนถ่านหนิ หรือนา้ มันซ่งึ มรี าคาแพงกวา่ อกี ดว้ ย
3. โพรดวิ เซอร์กา๊ ซ (Producer Gas)
เป็นก๊าซเชอื้ เพลงิ ทผ่ี ลติ ไดจ้ ากการใช้ถา่ นหนิ คณุ ภาพสงู นามาใส่ในเตาปิดมิดชดิ แลว้ ให้อากาศ
รอ้ นไหลผา่ นถา่ นหินในเตา อากาศรอ้ นจะทาปฏกิ ริ ยิ ากบั คารบ์ อนในถ่านหินแลว้ ใหโ้ พรดวิ เซอร์ก๊าซออกมา ซ่ึง
นาไปใช้ในอตุ สาหกรรมตา่ ง ๆ เช่น ทาปูนซีเมนต์ ทาแกว้ ทาเซรามกิ เป็นต้น
4. กา๊ ซชวี ภาพ (Bio-Gas)
เปน็ กา๊ ซทเ่ี กิดจากการหมักและการย่อยสลายของสารอนิ ทรยี ์ เช่น มลู สัตวต์ า่ ง ๆ และวัสดุ
เหลือใชจ้ ากการเกษตร วชั พชื ตา่ ง ๆ ก๊าซท่ไี ดจ้ ากการหมกั คอื กา๊ ซมีเทน ซ่ึงสามารถนาไปประยกุ ตท์ าเป็น
เชอ้ื เพลงิ ในการหงุ ตม้ ในครวั เรือนได้
5. กา๊ ซอะเซทลิ ีน (Acetylene Gas)
152
กา๊ ซอะเซทลิ ีน (C2H4) ได้จากการนาเอานา้ หยดลงบนก้อนแคลเซยี มคาร์ไบด์ นาไปใช้
ประโยชนเ์ ปน็ เชือ้ เพลิงใชส้ าหรบั งานเชื่อมประสานโลหะ ใช้เปน็ เชอื้ เพลงิ ให้แสงสวา่ ง และยังนามาใชป้ ระโยชน์
ในการบ่มผลไมด้ ้วย
8.3 การเกบ็ รกั ษาวัสดเุ ชอ้ื เพลงิ
ในการเกบ็ รกั ษาวสั ดุเช้ือเพลงิ ถอื วา่ มคี วามสาคัญมากในการนาไปใชง้ าน สามารถพิจารณาได้ดังน้ี
8.3.1 การเก็บรกั ษาวสั ดุเชื้อเพลงิ เป็นของแข็ง
ในการเกบ็ รกั ษาถา่ นหนิ มีหลกั เกณฑท์ ่สี าคญั คือ
1. อยา่ กองถา่ นหินใหก้ องโตเกินไป
2. อยา่ กองถา่ นหนิ สูงมากจนเกนิ ไปเพราะจะทาให้ความรอ้ นหนอี อกได้ยาก
3. อยา่ กองถ่านหนิ ใกลส้ ่ิงทรี่ ้อน เช่น ปลอ่ งไฟ เปน็ ต้น
4. ถา้ จะเกบ็ ถา่ นหินเปน็ เวลานาน ๆ ควรอดั ผวิ รอบกองถา่ นหนิ ให้แนน่ กนั อากาศเข้าไป หรือ
อาจจะใชน้ ้ามนั ดบิ ปกปิดผวิ
5. หมน่ั ตรวจอณุ หภมู ขิ องถ่านหินอยเู่ สมอ พยายามอยา่ งใหร้ อ้ นเกนิ 500C
6. ถ่านหินท่ขี ุดไดใ้ หม่ ๆ ตอ้ งตากทง้ิ ไว้ 2-3 สปั ดาห์
8.3.2 การเก็บรกั ษาวสั ดเุ ช้ือเพลงิ ท่เี ปน็ ของเหลว
ในการเกบ็ รกั ษาวัสดเุ ชอ้ื เพลงิ ที่เป็นของเหลว มีหลกั เกณฑท์ ส่ี าคัญคือ
1. ตอ้ งบรรจอุ ยู่ในถงั เก็บทมี่ ดิ ชิด
2. สถานทเี่ กบ็ วสั ดเุ ชื้อเพลิงตอ้ งเปน็ ที่โลง่ และตอ้ งไม่ติดกบั ทอ่ี ยอู่ าศัย
3. ควรมีอุปกรณใ์ นการดบั เพลงิ สาหรบดบั น้ามนั โดยเฉพาะอยใู่ กล้ ๆ ท่ีเก็บน้นั
4. สถานทต่ี งั้ ถงั เก็บวสั ดุเช้ือเพลงิ หา้ มไม่ใหม้ กี ารสมุ ไฟเขา้ ใกลโ้ ดยมีระยะอยา่ งน้อย 50 เมตร
5. มีสญั ญาณบอกเหตเุ ตอื นภยั ไว้ใกล้ ๆ ทีเ่ กบ็ วสั ดเุ ช้อื เพลิง
6. ควรมีเคร่ืองหมายบอกให้รวู้ า่ เป็นทเี กบ็ เชอื้ เพลงิ ไวไฟ
8.3.3 การเกบ็ รักษาวัสดเุ ชือ้ เพลงิ ทเี่ ป็นก๊าซ
ในการเกบ็ รกั ษาวสั ดุเชื้อเพลงิ ทเ่ี ปน็ ก๊าซ มหี ลกั เกณฑท์ ่ีสาคญั คอื
1. ตอ้ งเกบ็ ใหห้ า่ งจากความรอ้ นและเปลวไฟ
2. สถานท่ีเกบ็ วัสดเุ ชอื้ เพลิงต้องเป็นท่ีโล่ง และอากาศถา่ ยเทไดด้ ี
3. บรเิ วณทเ่ี กบ็ ตอ้ งมปี าู ยเตือน ห้ามสบู บหุ รี่ หรอื สมุ ไฟ เป็นตน้
4. ควรเกบ็ ถงั เช้ือเพลงิ แยกจากถงั ออกซิเจน
5. ต้องหมัน่ ตรวจเช็คตามข้อตอ่ ทอ่ และวาลว์ เปดิ -ปิด อยเู่ สมอ
6. ตอ้ งมกี ารปอู งกนั ไม่ใหม้ สี ง่ิ ของมาชนหรอื กระแทกถังเกบ็ วาล์วเพราะจะทาใหช้ ารุดเสยี หาย
ได้
7. ควรมีอปุ กรณด์ งั เพลงิ สาหรบดบั ก๊าซไว้ใกล้ ๆ บรเิ วณท่เี ก็บเชอ้ื เพลงิ
วสั ดุหลอ่ ลนื่ หมายถงึ วสั ดุทผ่ี ลติ ขึ้นมาเพอ่ื จดุ ประสงคใ์ นการลดความฝดื และการสึกหรอ ทาให้
เครือ่ งมอื – เครอ่ื งจกั รกล ทางานได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ส่วนวตั ถปุ ระสงคร์ องลงมา คือช่วยระบายความร้อน
และชะลา้ งสงิ่ สกปรกออกจากบรเิ วณผิวสมั ผสั ท่ตี ้องการหลอ่ ล่นื ลกั ษณะงานของเครอ่ื งมอื เครือ่ งจกั รท่ีต้องใชว้ สั ดุ
หลอ่ ลนื่ เช่น แบรงิ่ (Bearing) เฟือง (Gears) ชนิดต่าง ๆ ช้นิ สว่ นเครอื่ งจักรท่มี กี ารเคลื่อนที่ตอ้ งมีวสั ดหุ ล่อลื่น
บริเวณผวิ สมั ผสั ดงั แสดงในรปู
153
9.1 แรงเสียดทานหรอื ความฝดื
แรงเสยี ดทาน
แรงเสียดทานหรอื ความฝืด คอื แรงซ่ึงตอ่ ต้านการเครอ่ื งทข่ี องผิวหน้าหนงึ่ บนอีกผิวหนา้ หนง่ึ ใน
เครื่องจักรกล พลงั งานที่ต้องเสียไปเพือ่ เอาชนะความฝดื ทาให้ประสทิ ธภิ าพของเครอ่ื งจกั รต่าลง และพลงั งานท่ี
สญู เสยี ไปอยูใ่ นรูปของความร้อนทอ่ี าจจะเป็นอันตรายและผลเสียต่อเครอ่ื งจกั รได้ แรงเสยี ดทานเกิดจากความ
ขรขุ ระของผิวหนา้ ทมี่ าสมั ผสั กนั และการหลอมตัวตดิ กนั เปน็ จดุ ๆ ผิวหนา้ ของโลหะทแ่ี มจ้ ะไดร้ ับการขดั มันมา
อย่างดีเมื่อนามาสอ่ งดดู ว้ ยกลอ้ งขยายกาลังสงู จะเหน็ ว่าประกอบไปด้วยยอดแหลมและหลมุ ลกึ อกี มากมาย ดงั น้ัน
เมอ่ื ผวิ หนา้ หนง่ึ ถูกนามาสัมผัสกบั อีกผิวหน้าหน่งึ บรเิ วณทสี่ ัมผัสกนั จรงิ ๆ น้นั จึงเปน็ จุดเลก็ ๆ ทย่ี อดแหลมไป
แตะกับผวิ ตรงขา้ ม จดุ ทเ่ี ล็กมาก ๆ เหลา่ นต้ี อ้ งรบั น้าหนกั ทก่ี ดหน้าสมั ผสั ทงั้ 2 เขา้ ดว้ ยกัน และแรงกดทีส่ งู มาก
น้กี ็ทาใหจ้ ุดสัมผสั เหลา่ นนั้ หลอมติดกนั ได้ แรงเสียดทานของการเสียดสรี ะหว่างผิวหน้าเชน่ นจี้ งึ เปน็ แรงทีต่ อ้ งใช้ใน
การหกั และฉีกจดุ เชอื่ มตดิ ให้ขาดจากกัน นอกจากนนั้ แล้วในขณะทีก่ าลงั เคล่ือนที่ ยอดสงู ๆ ก็ยังสามารถกีดขวาง
ซง่ึ กันและกนั เช่น ชนกนั แตกหกั หรอื ต้องครูดไถไปบนอกี ผิวหนา้ หน่งึ ทแี่ ขง็ นอ้ ยกว่าดว้ ยแรงเสยี ดทานจงึ ขน้ึ อยู่
กบั นา้ หนักหรอื โหลดซงึ่ กาหนดพื้นทร่ี วมทหี่ ลอมตดิ กัน และชนดิ ของสารทเี่ ปน็ หน้าสัมผสั ว่ามีความแขง็ เพยี งใด
ยากตอ่ การฉกี หกั หรือครดู ไถเพียงใด
การหล่อลื่น
วิธีการของนา้ มันหลอ่ ลนื่ ในการลดแรงเสียดทานกค็ ือการพยายามปอู งกันและลดการสมั ผสั ของยอด
แหลมระหว่างหน้าสมั ผสั ใหเ้ หลอื นอ้ ยทสี่ ดุ โดยเข้าไปแทรกอยรู่ ะหว่างผิวหนา้ ทงั้ สองน้ัน การหลอ่ ลน่ื สามารถ
แบ่งไดเ้ ป็น 3 ลักษณะใหญ่ ๆ คอื
1. Hydrodynamic Lubrication
2. Boundary Lubrication
3. Elasto-Hydrodynamic Lubrication
154
Hydrodynamic Lubrication หมายถงึ ลักษณะของการหลอ่ ล่นื ท่ีมีฟลิ ม์ นา้ มนั ไหลอยู่ระหว่างหน้าสัมผสั
และแยกหน้าสัมผสั คูน่ ้ันออกจากกันโดยเดด็ ขาด
เพอื่ ทจี่ ะเข้าใจการทางานของน้ามันหลอ่ ล่นื นัน้ จาเป็นต้องทราบถงึ คุณสมบตั ิของของเหลวอยา่ ง
หน่ึง คอื Viscosity หรือความหนืด ความหนดื หมายถงึ ความต้านทานต่อการไหลของของเหลวทีเ่ กดิ ข้ึนจาก
แรงเสียดทานระหว่างโมเลกลุ ของของเหลวเองในขณะท่ขี องเหลวน้ันเคลื่อนตัว ความหนดื นจี้ ะลดลงเม่ืออุณหภมู ิ
ของของเหลวสูงขึ้น
เมอื่ แทง่ วตั ถุชนิ้ หนงึ่ ทมี่ ขี นาดพอเหมาะเร่ิมเคลอื่ นทไ่ี ปบนทร่ี าบ สว่ นหนา้ ของแทง่ วัตถุจะพบ
กบั น้ามัน และเพราะวา่ น้ามันมีความหนดื ท่ตี า้ นทานการไหล แทง่ วัตถกุ จ็ ะไมส่ ามารถผลกั น้ามนั ไปได้หมด แต่
ชนั้ นา้ มนั บาง ๆ จะยังคงอยบู่ นพน้ื ใต้แทง่ นีท้ าให้แท่งน้ยี กตัวจากพ้นื ไดบ้ า้ ง เมอ่ื แทง่ น้ีเคล่อื นทเี่ รว็ ข้นึ น้ามนั กจ็ ะ
เขา้ ไปขา้ งใต้ไดม้ ากข้นึ อกี ยกให้แท่งสงู ข้ึนจนกระท่ังสมดลุ ย์ คือนา้ มันท่ีไหลเขา้ ไปใต้แท่งนเ้ี ท่ากบั นา้ มันท่ไี หล
ออกมา และแทง่ ก็จะไมล่ อยตวั สูงขนึ้ ไปอกี ฟลิ ม์ นา้ มนั ภายใตแ้ ทง่ วตั ถุนต้ี อ้ งรบั แรงกด คอื นา้ หนักของแท่งวตั ถุ
ทีย่ กขึ้น ฟลิ ์มน้ามนั นจี้ ะยงั คงอยู่ไดก้ ต็ ่อเม่อื แทง่ วตั ถุเคลื่อนท่ไี ปตลอดเวลา และนี่คอื การทางานของ
Hydrodynamic Lubrication
ในการหล่อล่นื Journal Bearing ก็เชน่ กัน เม่ือหยุดน่ิงเพลาจะนอนอยู่ทีก่ ้นแบรง่ิ และสัมผสั กับ
แบริ่งขณะทเี่ พลาเร่มิ หมนุ นา้ มนั จะถกู ลากพาเขา้ ไปใตเ้ พลาและหน้าสมั ผสั เรม่ิ แยกออกจากกัน จนกระทั่งเม่ือ
เพลาหมนุ เรว็ ข้ึนก็จะลอยสงู ข้นึ จนกระทงั่ สมดลุ ย์ คือ ฟลิ ์มนา้ มนั สามารถยกเพลาข้ึนไดท้ ัง้ หมด
ฟลิ ์มนา้ มันประกอบไปด้วยชัน้ ของโมเลกลุ นา้ มันซอ้ น ๆ กัน และเคลอ่ื นที่ไปทางเดียวกัน แตล่ ะชั้น
ก็มีความเร็วไมเ่ ท่ากัน ชน้ั ที่ตดิ อย่กู บั หนา้ สัมผสั ทอ่ี ย่นู ง่ิ กไ็ มเ่ คล่อื นที่ และชั้นบนสดุ ทต่ี ิดกบั ผวิ หน้าทเ่ี คล่อื นทก่ี จ็ ะ
เคล่ือนทเี่ ร็วทส่ี ดุ สว่ นชน้ั กลาง ๆ กจ็ ะเคลอ่ื นทเี่ ร็วขน้ึ ถา้ อยู่ใกล้กบั ชนั้ บนสดุ มากข้ึน การทช่ี ้นั โมเลกลุ ของน้ามัน
ต้องไถลไปบนชั้นอืน่ ๆ ทีม่ ีความเร็วไมเ่ ท่ากนั จงึ เกดิ เป็นแรงตา้ นการเคลอื่ นที่ แรงเสยี ดทานอันเกดิ จากผิวหน้า
ไถลไปแห้ง ๆ บนอีกผวิ หน้าหนงึ่ กห็ ายไป แต่มีแรงต้านจากการเฉอื นฟลิ ม์ น้ามนั นีม้ าแทน ซง่ึ จะนอ้ ยกวา่ แรงเสียด
ทานแห้งมากมายหลายเทา่ ตัวนกั
ปัจจัยในการเกดิ การหลอ่ ลน่ื แบบ Hydrodynamic Lubrication จงึ ประกอบไปด้วย
1. ผวิ หนา้ ทง้ั สองตอ้ งมชี อ่ งวา่ งทจี่ ะใหน้ า้ มันเคล่อื นทเี่ ขา้ ไปได้
2. ผิวหนา้ ทั้งสองต้องมกี ารเคลือ่ นท่ีเรว็ เพียงพอทล่ี ากนา้ มันเข้าไปได้ในปรมิ าณทมี่ ากพอ
3. ปรมิ าณนา้ มันตอ้ งมเี พียงพอทจี่ ะอยเู่ ตม็ ช่องวา่ ง และเข้ามาแทนที่สว่ นทีไ่ หลออกไป
4. น้ามันตอ้ งมคี วามหนืดสูงพอทสี่ ร้างฟลิ ม์ นา้ มนั ขนาดหนา ๆ ได้
สงิ่ ที่ควรทราบอกี ประการหนง่ึ คือ พลงั งานทต่ี อ้ งใชใ้ นการเฉอื นฟลิ ์มนา้ มนั ถงึ แมจ้ ะนอ้ ยกจ็ ะเกิด
เปน็ ความร้อนทาให้อุณหภูมิของน้ามันสงู ขึ้น และสง่ ผลใหน้ ้ามันมีความหนืดลดลงดงั ท่ไี ด้กลา่ วมาแลว้ และอาจมี
ผลกระทบตอ่ สภาพการหลอ่ ลื่นอย่างสมบรู ณไ์ ด้
Boundary Lubricatoin คือการหลอ่ ลืน่ ท่ีฟลิ ม์ น้ามันไมส่ ามารถจะเกิดขึน้ และแยกหน้าสมั ผสั ออก
จากกันไดเ้ ด็ดขาด และการสมั ผสั กันระหวา่ งยอดแหลมของ 2 ผิวหน้าเป็นสิ่งทหี่ ลกี เลย่ี งไม่ได้ เปน็ ผลจากการที่
ปจั จยั ตา่ ง ๆ ของการเกดิ Hydrodynamic Lubrication มีไม่ครบถ้วน เช่น บางครง้ั ความเร็วของหน้าสมั ผสั
ตา่ เกนิ ไป หรือแรงกดสงู มากจนกระทั่งน้ามนั ทีม่ คี วามหนืดสงู ก็ยังไม่สามารถ แยกและปูองกนั การสมั ผสั ของ
ผวิ หนา้ ทัง้ คู่ได้ หรอื มีการเคลือ่ นท่ีทม่ี กี ารหยุดและไปบอ่ ย ๆ และกลับทศิ ทางการเคล่ือนทไ่ี ปมาทาให้ฟิลม์ นา้ มนั
สลายตัว
แรงเสยี ดทานเมอื่ มกี ารหลอ่ ล่ืนแบบ Boundary Lub. จึงถกู กาหนดจากทัง้ ลกั ษณะของหนา้ สมั ผสั
และลกั ษณะของน้ามันหล่อลนื่ นอกเหนอื จากความหนดื ของนา้ มันแต่เพียงอย่างเดยี ว แรงเสียดทานนจี้ ะสงู กว่า
การหลอ่ ลน่ื ชนิด Hydrodynamic
155
ความรุนแรงของสภาวะท่ตี ้องการการหลอ่ ล่นื Boundary Lub. มรี ะดบั ต่าง ๆ กนั และคณุ สมบัติ
ของน้ามนั หล่อลนื่ ทจี่ ะต้องรบั ภาระตา่ ง ๆ กนั น้กี ็ต่างกนั ไปตามชนดิ และความสามารถของสารเพ่มิ คุณภาพใน
น้ามัน ในภาวะท่ีโหลดไมส่ งู มากนกั สารเพมิ่ คุณภาพจาพวกไขกส็ ามารถใช้ได้ โดยทีจ่ ะเข้าจบั ติดผิวโลหะไดด้ ีเมื่อ
ถกู ครดู ไถกย็ ังปอู งกันไม่ใหผ้ ิวหน้าโลหะทงั้ สองสมั ผสั กัน แต่เม่อื โหลดสูงมากขนึ้ และอณุ หภมู ิทผี่ ิวหนา้ สมั ผสั สูงขน้ึ
สารจาพวกไขที่ไม่แขง็ แรงพอและก็เสอ่ื มประสทิ ธิภาพการจบั ติดกบั โลหะ จงึ มีความตอ้ งการสารเพิ่มคณุ ภาพ
ประเภททจี่ ะเขา้ ทาปฏกิ ริ ยิ าเคมกี บั ผวิ โลหะ ณ จดุ ที่รบั โหลดสงู ๆ นั้น เปล่ียนเนอื้ โลหะเปน็ สารประกอบใหมท่ ่ี
น่มุ กว่าเดมิ เคลอื บอยบู่ าง ๆ เป็นผลทาใหผ้ วิ หน้าทงั้ สองไถลเสยี ดสผี า่ นกันไปไดโ้ ดยมแี รงเสียดทานนอ้ ยลง สาร
เพ่มิ คุณภาพประเภทนไ้ี ดแ้ ก่ สารลดการสกึ หรอและสารรับแรงกดสงู
Elasto- Hydrodynamic Lubrication การหลอ่ ล่ืนแบบ EHD หมายถงึ การทผ่ี ิวหนา้ สมั ผสั
ยุบตวั ช่ัวคราว เนื่องจากต้องรบั แรงกดและน้าหนักสูงมากเป็นพเิ ศษบนพื้นท่เี ล็ก ๆ การยบุ ตวั ทาให้พื้นทท่ี ี่รบั
นา้ หนักขยายตวั มากขึน้ บวกกับความหนดื ของนา้ มันหลอ่ ล่ืนในเวลาเดียวกนั กเ็ พม่ิ ขึ้นมากเพราะอยู่ภายใต้ความ
กดดนั สูง ทาใหค้ วามสามารถในการรบั นา้ หนกั ของนา้ มนั สงู ข้นึ ในพน้ื ทท่ี ่ยี ุบตัวลงนั้นเกดิ เปน็ ฟลิ ์มนา้ มันทสี่ มบรู ณ์
สามารถแยกหนา้ สมั ผสั ออกจากกันได้โดยเดด็ ขาด
การหล่อล่ืนแบบ EHD น้พี บได้ในการหลอ่ ลนื่ ของลกู ปืนและเกียร์ ซง่ึ มกั จะมผี วิ หน้าโค้งทาให้พ้นื ท่ี
ท่ตี อ้ งรบั นา้ หนกั มีขนาดเล็ก ๆ เท่านั้น ด้วยแรงกดและพื้นทีเ่ ท่านีฟ้ ลิ ์มน้ามนั ไมน่ ่าจะรบั น้าหนกั ได้ แต่ปรากฏว่า
ผวิ หน้าเกิดยบุ ตัวขยายพื้นท่รี บั นา้ หนกั และเพิ่มความหนืดนา้ มนั หลอ่ ลืน่ ได้
การสกึ หรอ (Wear)
การสกึ หรอ หมายถงึ การต้องสูญเสียเนอ้ื สารจานวนหนึง่ ออกไปจากช้ินวตั ถุโดยไมป่ รารถนา
สาเหตุของการสกึ หรอมหี ลายประการ และมักจะเกดิ จากหลายสาเหตพุ รอ้ ม ๆ กัน การสกึ หรอสามารถแบ่งได้
ตามสาเหตเุ ปน็ 4 ประเภทใหญ่ ๆ คอื
- การสกึ หรอแบบ Adhesive เกิดจากการทผ่ี วิ โลหะมาเสียดสกี นั และยอดแหลมทแ่ี หลม
ติดกนั ถกู กระแทกให้แตกหักอนั เปน็ ขบวนการเกดิ แรงเสียดทานน่นั เอง นา้ มันหลอ่ ล่นื ปอู งกันและลดการสกึ หรอ
ประเภทนี้โดยการทาหน้าทีล่ ดการสมั ผสั กนั ระหว่างผิวสมั ผสั ได้ อันเป็นการลดแรงเสียดทานไปในตัว การสกึ หรอ
ประเภทนมี้ ักเกดิ จากการหยุดและไปของผวิ หนา้ สมั ผัสกอ่ นท่ฟี ิล์มน้ามันจะเกิดข้ึน หรือความลม้ เหลวอ่นื ๆ ของ
ฟลิ ์มนา้ มันทจี่ ะแยกหน้าสมั ผัสออก
- การสกึ หรอแบบ Abrasive เกดิ จากการทมี่ ีช้นิ สว่ นของแขง็ ขนาดเลก็ หลุดเขาไปในบริเวณ
ผิวสัมผัส และครดู ไถไปบนผิวหนา้ ท่ีอาจจะอ่อนกวา่ ชิ้นส่วนของแขง็ นอี้ าจจะเปน็ ช้นิ ส่วนแปลกปลอมมาจาก
ภายนอก หรือเศษที่แตกหักมาจากการสึกหรอนนั่ เอง ดงั นัน้ ปัจจยั ในการสกึ หรอแบบ Abrasive คอื อนุภาค
ของแข็งทีม่ ขี นาดใหญก่ ว่าความหนาของฟลิ ม์ นา้ มันและมีความแข็งกว่าผิวหน้าสมั ผสั น้ามันหล่อลน่ื สามารถทา
หน้าท่ีชะลา้ งหรอื พดั พาเอาอนุภาคของแข็งทเี่ ป็นอนั ตรายตอ่ ผวิ หน้าน้ีไปได้เป็นการลดการสกึ หรอโดยทอ่ี ปุ กรณ์
ของระบบหล่อลื่น เช่น ชีลและไสก้ รอง มสี ่วนสาคัญกบั หนา้ ท่นี ้ีมาก
- การสกึ กร่อน (Corrosive) หมายถงึ การทเ่ี นื้อสารถูกสารอ่ืนเข้ากดั กร่อนทาปฏิกริ ยิ าเคมี เช่น
จากในบรรยากาศทวั่ ๆ ไป จากสารทเ่ี กิดจากน้ามันหล่อลนื่ ท่เี สอื่ มสภาพกลายเป็นกรด หรือจากไอกรดกามะถนั
จากน้ามนั เช้อื เพลิงทใ่ี ช้เผาไหม้และอื่น ๆ น้ามนั หลอ่ ล่ืนชว่ ยลดการสกึ กรอ่ นได้ 2 วิธี คอื การทาตัวเป็นฟิลม์
เคลอื บผิวหน้าปอู งกันไม่ใหเ้ กิดปฏิกริ ยิ ากับออ๊ คซเิ จน และการท่นี า้ มันหลอ่ ลนื่ มสี ารเคมที หี่ ยุดย้ังหรอื ชิงเข้าทา
ปฏกิ ริ ยิ ากบั สารทเี่ ปน็ อนั ตรายน้นั เสียก่อน
- Fatique Wear เกดิ จากความเสยี หายภายใตผ้ วิ หน้าอันเปน็ ผลมาจากการทผ่ี วิ หน้าถกู แรง
กระทาซ้า ๆ กันเปน็ เวลานาน และเกิดจากการลา้ ของเน้ือสารน้นั อาการท่ีพบได้น้นั มักจะเปน็ รู หรอื การแตกท่ี
156
เกดิ โดยฉับพลนั ไมส่ ามารถคาดการณ์ได้ สาหรบั การสกึ หรอประเภทนีย้ งั ไม่สามารถชีช้ ดั ถงึ ความสามารถของ
น้ามันหลอ่ ลื่นวา่ มสี ว่ นช่วยลดหรอื ปอู งกันไดป้ ระการใด
หลกั การของนา้ มนั หลอ่ ลืน่ ในการลดแรงเสียดทานและการสกึ หรอจะเปน็ ความรเู้ บอื้ งต้นในการ
ออกแบบ การเลือกใช้ และความสามารถในการใช้งานจริงของน้ามนั หลอ่ ลนื่ โดยทค่ี วรตระหนกั ว่า
น้ามันหลอ่ ลนื่ ยงั มหี น้าที่อ่ืน ๆ อกี และบางครัง้ อาจจะสาคญั ไม่ยง่ิ หยอ่ นกวา่ หน้าทหี่ ลกั 2 ประการนี้ก็ได้ เช่น
ในงานตดั โลหะ การระบายความร้อนอาจเป็นหนา้ ทท่ี สี่ าคญั ท่สี ุด
9.2 ชนดิ ของวสั ดุหลอ่ ลื่น
วสั ดหุ ลอ่ ลืน่ แบง่ ตามสถานะในการใช้งานได้ 3 ชนิด คอื
1. วสั ดุหลอ่ ลน่ื ชนิดของเหลว ท่พี บและใช้กันท่วั ๆ ไปคือ นา้ มันชนดิ ต่าง เช่น นา้ มนั พชื
นา้ มนั สตั ว์ และนา้ มันที่ไดจ้ ากการกล่นั น้ามนั ดบิ หรือน้ามนั ปิโตเลยี ม มอี ย่หู ลายชนดิ และเป็นเกรดต่าง ๆ ตาม
ความหนืด ความหนืดถกู กาหนดคา่ มาตรฐานโดยสมาคมวิศวกรรมยายยนต์ (Soeiety of Automotive
Engineers)
มีช่อื ยอ่ วา่ SAE โดยกาหนดค่าไวเ้ ปน็ เบอร์ (NO.) ดังนี้
เบอร์ NO. การใชง้ าน
No. 10 ความหนดื น้อยมากใชส้ าหรบั หลอ่ ลื่นชน้ิ ส่วนทีห่ มนุ รอบสูง ๆ รับภาระนอ้ ย เช่น จกั ร
เย็บผา้
No.20W/5 ความหนดื อยู่ในชว่ ง 20-50 เป็นน้ามนั หลอ่ ล่ืนชนิดพิเศษ (ผสมสารประเภทโพลิ
0 เมอร)์ ณ อุณหภมู ิต่ามีความหนดื เท่ากบั No.20 ถ้าอณุ หภูมิปกตจิ ะมคี วามหนืดเทา่ กบั
เบอร์ 50
มคี วามหนืดปานกลาง ใช้ในการหลอ่ ล่นื เครอ่ื งจกั รทว่ั ไป
No.30 ความหนืดปานกลาง ใชส้ าหรบั เครอ่ื งยนต์ดเี ซลทั่วไป
No.40 ความหนืดสูงใช้หลอ่ ชุดเฟอื งทดของเครื่องจักรใหญท่ ร่ี บั ภาระมากหรือใช้กับเฟืองทา้ ย
No.90 รถยนต
No.140
หมายเหตุ
- มาตรฐาน SAE แบง่ ความหนืดออกเปน็ 10 เกรดคือ 0W, 5W, 10W, 15W, 20W, 20, 30,
40, 50 เกรดท่ีมี W ตอ่ ทา้ ย หมายถงึ ต้องผา่ นการทดสอบค่าแรงเสียดทานและงา่ ยตอ่ การปม๊ั ที่ ณ
อณุ หภูมิตา่ สว่ นเกรด No.90 ,140 ผลิตเพื่อใชส้ าหรบั หล่อลนื่ ชุดเฟืองเป็นสว่ นใหญ่
- การเลือกใชน้ า้ มนั หล่อลื่นยงั มีอีกมาก การเลอื กควรพิจารณาจากคมู่ ือเครอ่ื งจักร/เครือ่ งยนต์ ที่
บรษิ ทั ผผู้ ลิตจะเป็นผู้แนะนามาให้
คณุ สมบัติน้ามันหลอ่ ลื่นทด่ี ี
- ใหก้ ารหลอ่ ลื่นหรือลดแรงเสยี ดทานไดม้ ากท่ีสดุ
157
- ระบายความรอ้ นได้ดี
- ไมเ่ ป็นสนิม
- ความหนดื ไมเ่ ปล่ียนแปลงทีอ่ ุณหภูมสิ ูง
- จุดวาบไฟสงู
- อุณหภมู หิ ยดุ ไหลต่าทสี่ ุด
-
2. วตั ถหุ ล่อลน่ื ประเภทก่งึ เหลว ได้แก่ประเภท จาระบี เหมาะสาหรบั ใช้ในการหลอ่ ล่ืนในทที่ ่ี
นา้ มันไม่สามารถหลอ่ ล่ืนไดอ้ ยา่ งสมบรู ณ์ เช่น ตลับลูกปนื บางชนดิ เฟืองเปิด ฯลฯ การใช้จาระบอี าจมปี ญั หา
คอื เรือ่ งการกระเด็นออก ฝนุ เจอื ปนลงในจาระบี ซง่ึ ทาใหก้ ารหล่อลน่ื มปี ระสิทธภิ าพลดลง แต่ข้อดีของจาระบกี ็
คอื จะจบั ตดิ กบั ชน้ิ ส่วนไดด้ ี ไหลตวั ได้ยากเม่อื เทียบกบั นา้ มนั จงึ ทาให้ใช้ได้เปน็ เวลานาน ๆ
จาระบมี ีโดยท่ัว ๆ ไปเป็นสารประกอบของน้ามันหลอ่ ลนื่ พ้นื ฐานสารอุ้มนา้ มนั และสารเพิ่มคุณภาพ
นา้ มนั ท้ัง 3 อย่างนามาประกอบกนั มีลักษณะเปน็ กง่ึ ของเหลวทเี่ รยี กวา่ จาระบี
- นา้ มันหลอ่ ลื่นพื้นฐานทใี่ ช้ทาจาระบีไดแ้ ก่ น้ามนั แร่ นา้ มนั สงั เคราะห์ โดยทว่ั ไปแลว้ จะใช้เปน็
น้ามันแร่ ส่วนนา้ มนั สงั เคราะหจ์ ะใช้ในอณุ หภูมิสงู และมรี าแพง
- สารเพมิ่ คุณภาพ ซ่งึ เป็นสารเพิ่มคณุ ภาพทางด้านปูองกันสนิม สารรบั แรงกดสูง สารขับนา้ สาร
เกาะเหนียว เป็นตน้
- สารอ้มุ น้ามัน เป็นสารทผี่ ลทางดา้ นอุณหภูมิการใช้งานของของจาระบี สว่ นใหญจ่ ะเป็นสบู่ ซงึ่
ผลิตง่าย คุณภาพดี ราคาถกู สว่ นชนดิ อน่ื ไดแ้ ก่ สารอนนิ ทรยี ์ ได้แก่ พวกดินเหนยี ว, เบนโทไนท์ หรอื
สารอนิ ทรยี ์ ได้แก่ โปลยี เู รยี เป็นตน้
ชนิดและคุณสมบัตกิ ารใช้งานของจาระบี
ชนดิ ของจาระบีจะแยกตามสารอมุ้ นา้ มนั ซ่งึ มชี นดิ และคุณสมบตั กิ ารใชง้ านตามตาราง
3. วสั ดหุ ล่อลื่นชนิดของแขง็ ไดแ้ ก่ ผงกราไฟท์ โบลปิ ดนิ ั่ม ส่วนใหญจ่ ะใช้รว่ มกบั จาระบี ทา
ใหค้ ณุ สมบตั ทิ างด้านการเกาะตดิ ผิวเพม่ิ ข้ึน และทนอณุ หภูมไิ ดส้ ูงขน้ึ เชน่ งานหลอ่ ลืน่ ชดุ เฟอื งขนาดใหญ่ ๆ
เป็นต้น
9.3 ความหมายของวัสดหุ ล่อเยน็
158
วสั ดหุ ลอ่ เย็น หมายถงึ วสั ดทุ ผี่ ลิตขนึ้ มาเพื่อจุดประสงค์หลกั คือ ระบายความรอ้ นทเี่ กดิ ขนึ้
ระหว่างการผลติ ด้วยเครื่องมือตดั เชน่ งานกลงึ โลหะ งานตดั งานเจยี รไน งานกดั สว่ นจุดประสงค์รอง คอื
หล่อลนื่ และชะลา้ งสง่ิ สกปรก ปอู งกนั สนิม ส่วนใหญค่ อื นา้ มันหลอ่ เยน็
ชนิดและการใชง้ านของวสั ดหุ ลอ่ เย็น
วสั ดหุ ลอ่ เยน็ แบง่ ชนิดตามการใช้งานได้ 2 ชนิด คือ
1.ชนิดผสมกับนา้ มชี ือ่ เรยี กโดยทั่วไปวา่ น้ามันสบทู่ าจากสารสังเคราะหห์ รือนา้ มันแร่ ผสมกบั ตวั ทาลายและสาร
เพิม่ คุณภาพ เชน่ การปูองกันสนมิ สารปอู งกนั การเกิดฟอง สารฆ่าเชอ้ื จุลนิ ทรยี ์ ใช้สาหรบั งานตดั เฉอื นโดย
ทั่ว ๆ ไป เชน่ งานกลงึ ตดั เจาะ ใส กัด เป็นต้น วิธกี ารผสมกับน้าควรใช้นา้ สะอาดใสล่ งในอ่างหรือภาชนะผสม
ตามอัตราส่วนโดยทว่ั ไปจะประมาณ 3-5% แล้วจงึ คอ่ ย ๆ เทนา้ มันสบ่ตู ามอัตราสว่ นลงในน้า
ข้อควรระวัง อย่าเทน้าลงในนา้ มนั สบจู่ ะทาให้สารละลายไมร่ วมตัวกันเปน็ เนอ้ื เดยี วกันโดยสมบรู ณ์ การอยตู่ วั ของ
สารละลายไมด่ พี อ
1. ชนิดนา้ มันลว้ น ๆ น้ามนั ชนิดน้ีจะใช้ในกรณีหล่อเยน็ วสั ดทุ ี่มีความเหนียวหรือแขง็ มาก ๆ
โดยท่ัวไปจะเป็นน้ามันเรก่ ลั่นอยา่ งดผี สมกบั น้ามันจากพืชหรือสตั ว์ เพอ่ื ชว่ ยการหล่อล่นื สาร
ชว่ ยเพ่ิมคณุ ภาพในการช่วยรับแรงกด การเลอื กใช้ควรคานงึ ถึงชนดิ ของโลหะเพราะสารช่วย
เพ่ิมคุณภาพบางชนดิ อาจทาใหม้ ขี องโลหะเปลย่ี นไปโดยดูคมู่ ือการใช้ตามทบี่ ริษทั ผผู้ ลติ กาหนด
ขอ้ ควรระวัง และการเก็บรักษาวัสดุหลอ่ ลน่ื /หล่อเยน็
- หลีกเล่ียงการสมั ผสั กบั ผิวหนงั เพราะสัมผสั บ่อย ๆ หรอื นาน ๆ อาจก่อใหเ้ กิดมะเร็ว
ผิวหนงั ได้
- หลกี เลี่ยงการสูดดมเข้าสปู่ อด อาจก่อใหเ้ กิดการวิงเวียนปวดศรีษะ คลนื่ ไส้ อาเจยี น
ออนเพลีย งว่ งนอน หรอื ข้ันรุนแรงอาจเกิดอาการขาดออกซเิ จนทาใหเ้ สยี ชีวิตได้
- การเกบ็ นา้ มันควรเกบ็ ไว้ในทรี่ ม่ ทสี่ ามารถปอู งกันแดด และฝนและระบายอากาศไดด้ ี
ถา้ อากาศอบอ้าวอาจทาให้นา้ มันเส่อื มคุณภาพลงได้
- หลีกเลี่ยงการล้างมอื โดยใช้นา้ มนั ก๊าดหรอื เบนซินควรใชส้ บแู่ ทน
- หลีกเลี่ยงการดดู น้ามันโดยสายยางโดยใช้ปากดูด
- เครื่องจักรกลควรมฝี าครอบกันสารหล่อลน่ื หรอื หล่อเย็นกระเดน็ ขณะเครอ่ื งจกั รทางน
159
คาถาม
แบบฝกึ หดั ครั้งท่ี 1
คาสง่ั ให้เตมิ คาหรอื ข้อความลงในชอ่ งว่างใหถ้ กู ต้อง
1. วสั ดุเช้ือเพลิง หรอื เชอ้ื เพลงิ หมายถึง
2. เช้ือเพลิงแบง่ ออกเปน็ กี่ ชนดิ มอี ะไรบา้ ง
3. กระบวนการกลน่ั นา้ มันดิบหรอื น้ามยั ปโิ ตรเลยี ม ออกมาเป็นผลิตภณั ฑ์ อาศัยหลักการ
4. การกลน่ั นา้ มนั หมายถึง
5. คา่ ออกเทน คอื
6. สีของน้ามันก๊าดท่ไี ดจ้ ากการกล่ัน คือ
7. บอกคุณสมบัตขิ องน้ามันดเี ซลที่ดี มา 3 ข้อ
8. บอกคณุ สมบตั ิทวั่ ไปของน้ามันเบนซิน มา 3 ข้อ
9. กา๊ ซชวี ภาพ คอื
10. บอกการเกบ็ รกั ษาวสั ดเุ ชอื้ เพลงิ ท่ีเป็นก๊าซ มา 3 ข้อ
เฉลยคาถาม
เฉลยแบบฝึกหัด ครงั้ ท่ี 1
1. วสั ดุทม่ี อี งคป์ ระกอบของธาตุคาร์บอน และไฮโดรเจน เชอ้ื เพลงิ เมอื่ เผาไหมจ้ ะทาปฏกิ ริ ิยาทางเคมีกบั
ออกซเิ จนทาให้เกิดพลงั งานสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้
2. เชื้อเพลิงแบง่ ออกได้ 3 ชนิด คอื
- ของแข็ง
- ของเหลว
- ก๊าซ
3. อาศัยหลกั การของจดุ เดอื ดทีไ่ มเ่ ท่ากบั ของผลติ ภัณฑแ์ ตล่ ะชนดิ แยกผลติ ภัณฑ์นนั้ ๆ ออกจากกนั
4. การกลัน่ หมายถึง การแปรสภาพนา้ มันดบิ ใหเ้ ป็นผลิตภัณฑส์ าเรจ็ รูป เช่น แกส๊ หงุ ต้ม นา้ มนั เบนซิน
น้ามันเครือ่ งบิน นา้ มนั ก๊าด นา้ มันดีเซล น้ามนั เตาและนา้ มันหลอ่ ล่ืน เคมีภัณฑต์ า่ ง ๆ
5. คา่ ความความต้านทานการจุดระเบดิ ของนา้ มันเบนซนิ
6. ปราศจากสี
7. เลือกคาตอบได้ 3 ขอ้ ดังนี้ (อาจารยผ์ ูต้ รวจพจิ ารณา)
1) เม่อื เผาไหมห้ มดไม่ควรมีกากเหลอื
2) ระเหยได้ดพี อสมควร
3) มคี วามหนืดพอเหมาะ
4) มคี ่าซเี ทนนมั เบอร์ไมต่ ่ากวา่ 45
5) ไม่กักกรอ่ นหรือทาให้ห้องสบู เกดิ การสกึ หรอ
8. เลือกคาตอบได้ 3 ขอ้ ดงั น้ี (อาจารยผ์ ้ตู รวจพจิ ารณา)
1) มีคา่ ออกเทนนัมเบอร์สงู ไมท่ าใหเ้ กดิ อาการน็อกในขณะเผาไหม้
2) มีอตั ราการระเหยทด่ี ี ระเหยเป็นไอทอ่ี ณุ หภูมปิ กติ
3) เกบ็ ไวไ้ ด้นานไมส่ ลายหรือแปรสภาพ
4) ไม่มียางหรอื กามะถันในน้ามนั เพราะจะทาใหเ้ กิดการกัดกรอ่ นในเครอ่ื งยนต์ และอุดตนั
9. เป็นก๊าซทีเ่ กิดจากการหมักและการย่อยสลายของสารอินทรยี ์ เชน่ มลู สตั ว์ต่าง ๆ และวสั ดุเหลือใช้จาก
การเกษตร วชั พืชต่าง ๆ ก๊าซทไี่ ด้จากการหมกั คอื กา๊ ซมเี ทน
160
10. เลือกคาตอบได้ 3 ขอ้ ดงั นี้ (อาจารยผ์ ู้ตรวจพจิ ารณา)
1) ตอ้ งเกบ็ ใหห้ า่ งจากความรอ้ นและเปลวไฟ
2) สถานท่ีเกบ็ วสั ดเุ ชือ้ เพลงิ ต้องเปน็ ท่ีโลง่ และอากาศถา่ ยเทไดด้ ี
3) บริเวณทเ่ี กบ็ ตอ้ งมปี ูายเตอื น ห้ามสบู บหุ รี่ หรอื สุมไฟ เป็นตน้
4) ควรเกบ็ ถังเชือ้ เพลิงแยกจากถงั ออกซเิ จน
5) ตอ้ งหมั่นตรวจเช็คตามขอ้ ตอ่ ท่อและวาล์วเปิด-ปดิ อยู่เสมอ
6) ตอ้ งมกี ารปูองกันไมใ่ หม้ สี งิ่ ของมาชนหรอื กระแทกถังเกบ็ วาล์ว เพราะจะทาใหช้ ารุดเสยี หายได้
7) ควรมีอุปกรณด์ งั เพลงิ สาหรบดับกา๊ ซไว้ใกล้ ๆ บริเวณทเี่ ก็บเช้อื เพลงิ
แบบฝกึ หดั คร้งั ท่ี 2
ความหมายของวสั ดหุ ลอ่ ลน่ื คอื
1.สารหลอ่ ล่ืนแบง่ เป็น…….ชนิด คือ
2.คุณสมบตั ทิ ด่ี ขี องสารหลอ่ ล่นื คือ
3.เฟืองทดเครอื่ งกลงึ ควรหลอ่ ลนื่ ดว้ ยนา้ มนั
4.ความหมายของวสั ดุหลอ่ เย็น คือ
5.สารหลอ่ เย็นแบง่ เป็น……..ชนิด คอื
6.วสั ดหุ ลอ่ เยน็ ชนดิ ผสมนา้ ใชส้ าหรบั
7.สารหลอ่ เยน็ ชนิดน้ามนั ล้วนใชส้ าหรับ
8.วธิ กี ารผสมนา้ มนั หลอ่ เยน็ ชนิดผสมนา้ คอื
9ข้อควรระวงั / การเกบ็ รักษาวัสดหุ ลอ่ ลืน่ และหล่อเยน็ คือ
เฉลยคาถาม
เฉลยแบบฝกึ หัด คร้ังท่ี 2
1.ความหมายของวสั ดุหล่อล่ืน คอื วสั ดทุ ีผ่ ลติ ขนึ้ มาเพอื่ ลดความฝืดในเครอ่ื งมือ-เครอ่ื งจกั ร และชว่ ยระบาย
ความร้อนและส่ิงสกปรกออกจากผิวสมั ผัส
2.สารหลอ่ ลน่ื แบง่ เป็น…3….ชนิด คอื
2.1 ของแข็ง
2.2 ของเหลว
2.3 กง่ึ เหลว
3.คุณสมบัตทิ ่ีดีของสารหลอ่ ล่ืนคอื
1. ลดแรงเสียดทาน
2. ระบายความรอ้ น
3. ขจดั ส่ิงสกปรก
4. ป้องกันสนิ ม
5. คณุ สมบตั ไิ มเ่ ปลยี่ นเมอื่ อุณหภูมเิ ปล่ยี นแปลง
4.เฟืองทดเครื่องกลงึ ควรหล่อลน่ื ด้วยนา้ มนั No. 30
5.ความหมายของวสั ดุหลอ่ เยน็ คือ วสั ดทุ ผ่ี ลติ ขน้ึ มาเพอ่ื ชว่ ยระบายความรอ้ นที่เกิดจากเคร่อื งมือตัด
6.สารหลอ่ เยน็ แบ่งเปน็ …2…..ชนดิ คือ
1. น้ามนั ผสมนา้
2. นา้ มันลว้ น
161
7.วัสดหุ ล่อเยน็ ชนิดผสมน้าใชส้ าหรับ
8.งานตัดเฉือนดว้ ยเครอ่ื งมอื ตัดท่วั ๆ ไป เชน่ งานเจาะ / กลงึ / ไส เปน็ ตน้
9.สารหลอ่ เยน็ ชนดิ นา้ มันล้วนใช้สาหรบั วัสดทุ ี่มีความแข็งสงู
10.วิธีการผสมน้ามันหลอ่ เยน็ ชนดิ ผสมน้า คือ เตรยี มภาชนะใสน่ า้ สะอาดเทนา้ มันลงในน้าประมาณ 3-5%
กวนให้เขา้ กนั ดี ระวงั อย่าเทนา้ ลงในน้ามัน จะทาให้น้ามนั ไม่รวมตวั กนั เปน็ เน้อื เดยี ว
11.ขอ้ ควรระวงั / การเกบ็ รกั ษาวสั ดหุ ลอ่ ลืน่ และหลอ่ เยน็ คือ
a. เก็บไว้ที่รม่ ระบายอากาศไดด้ ี
b. ไม่ลา้ งมอื ด้วยน้ามัน
c. มฝี าครอบเครื่องจกั รกันสารหล่อลนื่ กระเด็น
d. หลกี เล่ยี งการสมั ผสั นา้ มันกบั ผวิ หนัง ทาใหเ้ ป็นมะเรง็ ผวิ หนงั
e. ห้ามสูดดมน้ามัน เพราะเปน็ อันตรายตอ่ ปอดโดยตรง
เอกสารอา้ งองิ
........................................................................................................................................ ............................................
....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .......................................................
162
พส.15
ใบมอบหมายงาน (Assignment Sheets)
รหสั วชิ า……20100 - 1002…..………….วชิ า……วสั ดชุ า่ งอุตสาหกรรม……………………
ชอื่ หนว่ ย บทท่ี 5 วสั ดุเชอ้ื เพลงิ วัสดุหลอ่ ลืน่ ละวัสดหุ ลอ่ เย็น
เรื่อง วัสดุเช้ือเพลงิ วัสดหุ ลอ่ ล่ืนละวัสดหุ ลอ่ เย็นจานวนช่ัวโมงสอน..........6............
จดุ ประสงคก์ ารมอบงาน
1. บอกชนดิ ของวัสดเุ ชอ้ื เพลงิ ได้
2. บอกสมบตั แิ ละการนาไปใชง้ านของวัสดเุ ชอื้ เพลงิ ได้
3. อธบิ ายการเก็บรกั ษาวัสดุเช้ือเพลิงได้
4.บอกหลกั การหล่อลนื่ ได้
5.บอกหนา้ ท่ีของวสั ดุหลอ่ ล่ืนได้
6.จาแนกชนดิ ของวัสดหุ ลอ่ ล่ืนได้
7.บอกหลกั การใชว้ สั ดหุ ล่อเยน็ ได้
8.บอกความจาเป็นของการหลอ่ เยน็ ได้
9.อธิบายวธิ เี ลอื กใช้วสั ดหุ ลอ่ เยน็ ได้
10.บอกชนิดของวสั ดุหลอ่ เยน็ ได้
11.อธิบายการใชน้ ้ามนั ตดั หรือนา้ มนั ลว้ นๆได้
12.บอกคณุ สมบัตขิ องวสั ดหุ ล่อเยน็ ทีด่ ไี ด้
13.บอกการนาไปใชง้ านของวสั ดหุ ล่อเย็นได้
แนวทางการปฏิบตั ิงาน
ศกึ ษาเน้อื หาจากใบงานและหนังสืออา้ งองิ วัสดชุ า่ งอตุ สาหกรรม
แหลง่ คน้ ควา้
1.หนงั สอื วัสดุชา่ งอุตสาหกรรม
2.ชดุ แบบทดสอบ
3.สอ่ื รูปภาพและ Power Point
คาถาม/ปัญหา ครง้ั ท่ี 1
คาสั่ง ให้เตมิ คาหรอื ข้อความลงในชอ่ งว่างใหถ้ ูกตอ้ ง
1. วัสดุเช้ือเพลงิ หรอื เช้ือเพลงิ หมายถึง……………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………
2. เชื้อเพลิงแบง่ ออกเปน็ กี่ ชนดิ มีอะไรบา้ ง …………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………
3. กระบวนการกลั่นน้ามันดิบหรอื นา้ มยั ปโิ ตรเลียม ออกมาเป็นผลติ ภณั ฑ์ อาศยั หลกั การ………………
……………………………………………………………………………………………………
4. การกลน่ั น้ามนั หมายถึง……………………………………………………………………….
5. คา่ ออกเทน คอื …………………………………………………………………………………..
163
6. สีของน้ามนั กา๊ ดทีไ่ ดจ้ ากการกลนั่ คอื ………………………………………………………………...
7. บอกคุณสมบตั ขิ องน้ามนั ดเี ซลท่ดี ี มา 3 ข้อ……………………………………………………….......
……………………………………………………………………………………………………
8. บอกคณุ สมบัตทิ ัว่ ไปของน้ามนั เบนซิน มา 3 ข้อ……………………………………………………..
9. ก๊าซชีวภาพ คอื ……………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………
10. บอกการเกบ็ รกั ษาวสั ดุเชอื้ เพลงิ ทเ่ี ป็นก๊าซ มา 3 ขอ้ …………………………………………………
………………………………………………………………………………………………….......
คาถาม/ปัญหา คร้ังท่ี 2
1.ความหมายของวสั ดหุ ล่อล่นื คือ .......................……………………………………………………….
2.สารหลอ่ ลน่ื แบง่ เปน็ …….ชนิด คอื ……………………………………………………………………..
3.คณุ สมบัตทิ ีด่ ขี องสารหลอ่ ลนื่ คอื
1. …………………………………………………………………………………………………..
2. …………………………………………………………………………………………………..
3. …………………………………………………………………………………………………..
4.เฟอื งทดเครื่องกลงึ ควรหล่อลน่ื ดว้ ยนา้ มัน…………………………………………………………………
5.ความหมายของวสั ดหุ ลอ่ เย็น คือ…………………………………………………………………………..
6.สารหลอ่ เย็นแบ่งเป็น……..ชนิด คือ……………………………………………………………………..
7.วสั ดหุ ลอ่ เยน็ ชนิดผสมน้าใชส้ าหรับ………………………………………………………………………
8.สารหลอ่ เย็นชนดิ น้ามนั ล้วนใช้สาหรับ…………………………………………………………………
9.วธิ กี ารผสมนา้ มนั หลอ่ เย็นชนดิ ผสมนา้ คือ……………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………..................................................................................................
10.ข้อควรระวงั / การเกบ็ รกั ษาวสั ดหุ ลอ่ ลน่ื และหลอ่ เย็น คอื
1………………………………………………………………………………………………
2………………………………………………………………………………………………
กาหนดเวลาทางาน
1..ให้ทาแบบฝกึ หัดหลงั ครอู ธบิ ายในเน้ือหาเสรจ็ และใหเ้ วลานกั เรียนศึกษาคน้ คว้าจากข้อมลู ทใี่ ห้ ประมาณ 1 ชม.
หมายเหตุ ควรมีภาพประกอบแสดงการปฏิบัติงานในแต่ละขน้ั
164
พส.16
ใบกจิ กรรมที่.......4.........
รหสั วชิ า 20100-1002 วชิ า วสั ดชุ า่ งอุตสาหกรรม ท-ป-น…2-0-2…สอนครง้ั ที่ 3
หนว่ ยท่ี.. บทที่ 5 วสั ดุเช้อื เพลิง วสั ดหุ ลอ่ ลื่นละวัสดหุ ลอ่ เยน็ เวลา..2.ชม.
ชอ่ื กิจกรรม.................แบบทดสอบหลงั เรียน....................เวลา........2......ชม.
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1. บอกชนิดของวัสดเุ ชอ้ื เพลิงได้
2. บอกสมบตั แิ ละการนาไปใช้งานของวัสดเุ ช้อื เพลิงได้
3. อธิบายการเก็บรักษาวสั ดุเชื้อเพลิงได้
4.บอกหลกั การหลอ่ ลน่ื ได้
5.บอกหนา้ ทีข่ องวสั ดหุ ล่อลน่ื ได้
6.จาแนกชนิดของวสั ดหุ ล่อลืน่ ได้
7.บอกหลกั การใชว้ สั ดหุ ลอ่ เยน็ ได้
8.บอกความจาเป็นของการหลอ่ เย็นได้
9.อธิบายวิธีเลอื กใชว้ ัสดหุ ลอ่ เย็นได้
10.บอกชนิดของวสั ดุหล่อเย็นได้
11.อธบิ ายการใชน้ า้ มนั ตัดหรือนา้ มนั ลว้ นๆได้
12.บอกคุณสมบตั ิของวัสดหุ ลอ่ เยน็ ท่ดี ีได้
13.บอกการนาไปใช้งานของวสั ดุหล่อเยน็ ได้
วัสด/ุ อุปกรณ์
1.หนงั สือวัสดชุ า่ งอตุ สาหกรรม
2.ชุดแบบทดสอบหลงั เรียน
คาส่งั
1. ใหน้ กั เรยี นตอบคาถามตอ่ ไปน้ีให้ถกู ตอ้ ง
2. ..................................................................................................................................................................
การประเมนิ ผล
1ขั้นดีเยยี่ ม แบบทดสอบหลงั เรยี น แบบฝกึ หัดและใบปฏบิ ตั ิงาน เกณฑผ์ ่านรอ้ ยละ 100 ได้ 5
คะแนน
2ข้นั ดี แบบทดสอบหลงั เรยี น แบบฝกึ หัดและใบปฏิบัติงาน เกณฑ์ผ่านไมต่ ่ากวา่ ร้อยละ 80 ได้ 4 คะแนน
3ขัน้ ปานกลาง แบบทดสอบหลงั เรียน แบบฝกึ หดั และใบปฏบิ ตั ิงาน เกณฑผ์ า่ นไม่ตา่ กว่าร้อยละ 70 ได้ 3 คะแนน
165
4ข้นั พอใช้ แบบทดสอบหลังเรียน แบบฝกึ หัดและใบปฏบิ ัตงิ าน เกณฑผ์ ่านไม่ต่ากว่าร้อยละ 60 ได้ 2 คะแนน
5ขน้ั ปรับปรงุ แบบทดสอบหลังเรยี น แบบฝกึ หัดและใบปฏิบัตงิ าน เกณฑผ์ ่านไม่ตา่ กวา่ ร้อยละ 50 ได้ 1
คะแนน
แบบทดสอบหลังเรียน
วิชา วัสดุอตุ สาหกรรม 2100-1002
เร่อื ง วัสดเุ ช้ือเพลงิ วัสดหุ ลอ่ ล่ืนละวัสดหุ ลอ่ เย็น
คาส่ัง ให้เลือกคาตอบท่ถี กู ต้องทส่ี ดุ เพียงคาตอบเดยี ว
1. ขอ้ ใดต่อไปนคี้ ือเชอื้ เพลงิ เหลว
ก. หินน้ามัน ข. มเี ทน
ค. LPG ง. นา้ มนั ก๊าด
2. คา่ ออกเทน เป็นคา่ การกาหนดคุณสมบตั ิของเช้ือเพลิงชนิดใด
ก. น้ามนั เบนซนิ ข. นา้ มนั ดีเซล
ค. นา้ มันก๊าด ง. น้ามนั เตา
3. การกลนั่ นา้ มันดบิ หรอื น้ามันปโิ ตเลียมเป็นผลติ ภัณฑช์ นิดใดใชอ้ ุณหภูมติ ่าทสี่ ุด
ก. น้ามนั เบนซนิ ข. น้ามนั กา๊ ด
ค. ก๊าซหงุ ต้ม ง. นา้ มันดีเซล
4. ขอ้ ใดคือคณุ สมบตั ิท่ัวไปของน้ามนั เบนซนิ
ก. มีอัตราการระเหยตา่ ระเหยเปน็ ไอทอี่ ุณหภมู สิ งู
ข. มีความหนดื สูง
ค. มีค่าซีเทนนมั เบอรไ์ ม่ต่ากว่า 45
ง. เก็บไวไ้ ดน้ านไมส่ ลาย หรอื แปรสภาพ
5. ข้อใดคือข้อดขี องนา้ มนั เบนซนิ ที่มีค่าออกเทนสงู
ก. ชว่ ยใหค้ า่ ตา้ นทานการจุดระเบดิ สงู ข. ชว่ ยให้ประหยดั น้ามัน
ค. ชว่ ยใหก้ ารทางานของลกู สบู ดขี ้นึ ง. ชว่ ยปูองกันอนั ตรายจากสารตะกวั่ ตอ่ สขุ สภาพ
6. ก๊าซธรรมชาติ มเี ทน ไดจ้ าก
ก. การกลน่ั นา้ มัน ข. การขุดน้ามนั
ค. ไดจ้ ากมลู สัตว์ ง. ไดจ้ ากท่อไอเสีย
7. ข้อใดคือการเกบ็ รกั ษาวัสดเุ ช้ือเพลิงทเ่ี ปน็ ของเหลว
ก. ต้องบรรจอุ ย่ใู นถังเก็บทมี่ ดิ ชดิ
ข. ควรเกบ็ แยกออกจากกงั ออกซเิ จน
ค. สถานทีเ่ กบ็ วสั ดุเชอื้ เพลงิ ตอ้ งเป็นที่โลง่ และตอ้ งไมต่ ดิ กับทอ่ี ยอู่ าศัย
ง. ควรมเี ครอื่ งหมายบอกใหร้ ู้ว่าเปน็ ทเี่ กบ็ เชื้อเพลงิ ไวไฟ
8. นา้ มนั ดเี ซลหมนุ เร็ว คือ
ก. เป็นน้ามนั ท่ีมคี ่าซเี ทนอย่างตา่ 47 ข. เปน็ นา้ มันทม่ี คี ่าซีเทนอยา่ งต่า 45
ค. เปน็ น้ามันทมี่ คี า่ ซีเทนอย่างต่า 37 ง. เปน็ น้ามนั ที่มีค่าซเี ทนอย่างต่า 35
9. ซเี ทน หมายถงึ
ก. เปน็ ตัวช่วยในการจุดระเบิดของนา้ มันดเี ซล ข. เปน็ ตัวชว่ ยให้เกิดการเผาไหมส้ มบรู ณด์ ีขน้ึ
ค. ช่วยเพมิ่ ความหนืดของน้ามันดีเซล ง. เป็นตวั ชว่ ยลงการสกึ หรอของเคร่อื งยนต์
10. ก๊าซที่ได้จากการกลนั่ นา้ มนั ดบิ คอื
ก. กา๊ ซ LPG ข. ก๊าซมีเทน
166
ค. ก๊าซอะเซทิลนี ง. โพรดกิ เซอรก์ า๊ ซ
167
เฉลย แบบทดสอบหลงั เรยี น
1. ก 6. ค
2. ข 7. ข
3. ค 8. ก
4. ง 9. ก
5. ก 10. ก