The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ebookprachin, 2020-05-20 03:53:18

มหาราช 7 พระองค์

มหาราช

Keywords: พระราชประวัติ,มหาราช

โครงการประวตั ศิ าสตรช์ าตไิ ทย และบญุ คณุ ของพระมหากษตั รยิ ์ไทย
เรอ่ื ง

พระราชประวตั ขิ อง ''มหาราช'' ชาวสยาม

โดย
ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อาเภอศรมี โหสถ

คานา

การเรียนรปู้ ระวัตศิ าสตรช์ าติไทยก่อใหเ้ กดิ ความภาคภมู ใิ จในความเปน็ ชาติไทย ได้เรยี นรู้ความหมาย
ความเปน็ มา และความสาคัญของสถาบันหลกั ของชาติ ศาสนา และพระมหากษตั ริย์ ความเป็นมาของชาติไทย และ
บญุ คุณของพระมหากษัตริย์ไทย ประวัติศาสตร์เปน็ ส่ิงท่ีน่าสนใจ น่าคน้ หา และเป็นสิง่ ท่ีบอกเรื่องราวตา่ ง ๆ ท่เี กดิ ขน้ึ
ในประวตั ิศาสตร์วา่ เกิดเหตกุ ารณใ์ ดข้ึนบา้ ง ซง่ึ ข้อมลู ท่ีผูจ้ ดั ทานามาเผยแพรน่ เี้ กยี่ วกับประวตั ิศาสตรไ์ ทย ประเทศไทย
ถอื เป็นประเทศหนึง่ ทีป่ ระวตั ิศาสตรอ์ ันยาวนานหลายรอ้ ยปีมีเหตกุ ารณ์มากมายท่ีเกิดข้ึน หนงั สอื ฉบับนี้ จดั ทาขึน้ เพ่ือ
ใช้เป็นสือ่ สาหรับใหผ้ ูท้ สี่ นใจท่ัวไปสามารถศึกษาค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับเร่ืองประวตั ศิ าสตรช์ าติไทย และบุญคณุ ของ
พระมหากษัตริยไ์ ทย

ผ้จู ดั ทาหวงั เป็นอยา่ งยง่ิ ว่าผู้ที่ไดเ้ ขา้ มาอา่ นจะสามารถเข้าใจไดม้ ากหรือน้อยน้ัน อยู่ที่การเข้าใจของ
แต่ละคน หากเกดิ ขอ้ ผิดพลาดประการใดขออภยั มา ณ ทน่ี ี้ดว้ ย

กศน.อาเภอศรมี โหสถ

สารบญั หนา้
1
เรอื่ ง 6
๑. พ่อขุนรามคาแหงมหาราช 8
๒. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช 12
๓. สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช 19
๔. สมเด็จพระเจา้ ตากสนิ มหาราช 24
๕. พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช 27
๖.พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช
๗.พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ ัวภูมิพลอดลุ ยเดช มหาราช

1

พระราชประวตั ขิ อง ''มหาราช'' ชาวสยาม

๑. พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช

พระมหากษัตริย์ผ้ทู รงสรา้ งความเจริญรงุ่ เรอื ง ให้แก่อาณาจักรสุโขทัย ทรงขยายอาณาจักรให้กว้างขวาง
ปกครองประชาราษฎร์ ให้ได้รับความสุข ยตุ ธิ รรมเสมือน “พ่อปกครองลูก” ทรงสง่ เสรมิ การคา้ โดยเสรี ทรงรเิ รมิ่
ประดิษฐ์อักษรไทยขน้ึ ใชเ้ อง เม่อื ปี พ.ศ.๑๘๒๖ นับเปน็ ตน้ กาเนดิ อักษรไทยท่ีใชก้ นั มาจนทกุ วนั นี้ และทรงรับเอา
พระพทุ ธศาสนาจากลงั กาเขา้ มา เปน็ ศาสนาประจาชาติไทย

ประวตั พิ อ่ ขนุ รามคาแหงมหาราช

พ่อขุนรามคาแหงมหาราชเป็นพระราชโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ปฐมกษัตริย์ แห่งกรุงสุโขทัย พ่อขุนศรี
อินทราทิตย์ มีพระมเหสีคือ พระนางเสือง มีพระราชโอรสสามพระองค์ พระราชธิดาสองพระองค์ พระราชโอรส องค์
ใหญ่สิ้นพระชนม์ต้ังแต่ยังเยาว์ องค์กลางมี พระนามว่า บานเมือง และพระราชโอรสองค์ท่ีสาม คือ พ่อขุนรามคาแหง
มหาราช เมือ่ พระชนั ษาได้ ๑๙ ปี ได้ชนช้างชนะขนุ สามชนเจ้าเมืองฉอด พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ จึงพระราชทานนามว่า
"พระรามคาแหง" เม่ือสิ้นรัชสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และพ่อขุนบานเมืองแล้ว พระองค์ได้ครองกรุงสุโขทัย ต่อมา
เป็น พระมหากษัตริย์รัชกาลท่ี ๓ แห่งราชวงศ์พระร่วงสันนิษฐานว่าพระองค์ สิ้นพระชนม์ในราวปี พ.ศ.๑๘๖๐ รวม
เวลาท่ที รงครองราชย์ประมาณ ๔๐ ปี

พ่อขุนรามคาแหงมหาราช ทรงรวมเป็นพระมหากษัตริย์ท่ีทรงอัจฉริยภาพทั้งด้านการปกครอง เศรษฐกิจ
ศาสนาและศิลปวทิ ยาตา่ งๆ ที่สาคญั ยง่ิ คือพระองค์ได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเม่ือ ประมาณ พ.ศ. ๑๘๒๖ ซ่ึงเป็นต้น
กาเนดิ ของอักษรไทยทีใ่ ชอ้ ยู่ในปัจจบุ ัน

2

พระเจา้ รามคาแหงมหาราช

เมื่อแรกตั้งอาณาจักรสุโขทัยน้ัน อาณาเขตยังไม่กว้างขวางเท่าใดนัก เขตแดนทางทิศใต้จดเพียงเมือง
ปากนา้ โพ ใต้จากปากน้าโพลงมายังคงเป็นอาณาเขตของขอมอันได้แก่เมืองละโว้ ทางฝ่ายตะวันตกจดเพียงเขาบันทัด
ทางเหนือมีเขตแดนติดต่อกับประเทศลานนาท่ีภูเขาเขื่อน ส่วนทางตะวันออกก็จดอยู่เพียงเขาบันทัดที่กั้นแม่น้าสักกับ
แมน่ ้านา่ น

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ทรงครองราชย์อยู่นั้น พระเจ้าศรีอินทราทิตย์ก็ได้กระทาสงครามเพ่ือขยายเขตแดน
ของไทยออกไปอีกในทางโอกาสท่ีเหมาะสม ดังที่มีข้อความปรากฏอยู่ในศิลาจารึกว่า พระองค์ได้เสด็จยกกองทัพไปดี
เมืองฉอด ได้ทาการรบพุ่งตลุมบอนกันเป็นสามารถถึงขนาดท่ีพระเจ้าศรีอินทราทิตย์ ได้ทรงกระทายุทธหัตถีกับขุน
สามชนเข้าเมืองฉอด แต่พระองค์เสียทีแก่ขุนสามชน แลในครั้งน้ีเองท่ีเจ้ารามราชโอรสองค์เล็กของพระองค์ได้เริ่มมี
บทบาทสาคญั ดว้ ยการทท่ี รงถลันเข้าชว่ ยโดยไสชา้ งทรงเข้าแก้พระราชบิดาไว้ทันท่วงที แล้วยังได้รบพุ่งตีทัพขุนสามชน
เข้าเมอื งฉอดแตกพ่ายกระจายไป

พระเจ้าศรีอินทราทิตย์ พระราชบิดาจึงถวายพระนามโอรสองค์เล็กน้ีว่า “เจ้ารามคาแหง”พระเจ้าศรีอินทรา
ทิตย์ ทรงครองอาณาจักรสุโขทัยอยู่จนถึงประมาณปี 1881 จึงเสด็จสวรรคต พระองค์มีพระโอรสพระองค์ด้วยกัน
โอรสองค์ใหญ่พระนามไม่ปรากฎเพราะได้ส้ินพระชนม์เสียตั้งแต่เยาว์วัย องค์กลางทรงพระนามว่า “ขุนบาล
เมือง” องค์เล็กทรงพระนามว่า “เจ้าราม” และต่อมาได้รับพระราชทานใหม่ว่า “เจ้ารามคาแหง” หลังจากตีทัพขุน
สามชนเจา้ เมอื งฉอดแตกพ่ายไป

เม่ือพระเจ้าศรีอินทราทิตย์เสด็จสวรรคตแล้วโอรสองค์กลางขุนบาลเมือง ได้ข้ึนครองราชสมบัติสืบต่อมาอีก
ประมาณ 9 ปี กเ็ สด็จสวรรคต พระราชอนชุ า คอื เจา้ รามคาแหง จึงได้เสวยราชย์สืบต่อมา ทรงพระนามว่า พระเจ้า
รามคาแหง

พระเจ้ารามคาแหง จะมีพระนามเดิมว่าอย่างไรไม่ปรากฏชัดแต่สมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพ พระบิดา
แห่งประวัติศาสตร์ ได้ทรงสันนิษฐานว่า คงจะเรียกกันว่า “เจ้าราม” แลเมื่อเจ้ารามมีพระชนมายุได้ ๑๙ ชรรษา ได้
ตามสมเด็จพระราชบิดาไปทาศึกกับขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดและได้ทรงแสดงความเก่งกล้าในทาสไสช้างทรงเข้าแก้เอา
พระราชบิดาไว้ได้ท้ังตีทัพขุนสามชนแตกพ่ายไปแล้วพระราชบิดาจึงถวายพระนามเสียใหม่ว่า “เจ้ารามคาแหง”

พระเจ้ารามคาแหง ทรงเป็นมหาราชองค์ที่สองของชาวไทย และทรงเป็นมหาราชพระองค์เดียวในสมัยสุโขทัย
พระองค์ทรงเป็นอัจฉริยกษัตริย์ทรงชานาญท้ังในด้านการรบ การปกครอง และการศาสนา พระองค์ทรงขยาย
อาณาจักรสโุ ขทัยออกไปไดก้ วา้ งใหญ่ไพศาลด้วยวเิ ทโศบายอันแยบยลสุขุมคัมภีรภาพทั้งทรงปกครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน
ด้วยความยุติธรรมได้รับความร่มเย็นเป็นสุขกันท่ัวหน้า ซ่ึงข้าพเจ้าจะได้กล่าวถึงพระราชกรณียกิจของพระองค์เป็น
อันดบั ไปดังต่อไปนี้

3

การขยายอาณาจกั ร

เม่ือพระเจ้ารามคาแหง เสดจ็ เถลงิ ถวลั ราชสมบัติสืบตอ่ จากพอ่ ขนุ บาลเมอื งนัน้ อาณาจักรสุโขทัยนับว่าตกอยู่ใน
ระหว่างอันตรายรอบด้าน และยากทาการขยายอาณาจักรออกไปได้ เพราะทางเหนือก็ติดต่อกับแคว้นลานนา อันเป็น
เช้อื สายไทยด้วยกันมีพระยาเม็งรายเป็นเจ้าเมืองเงินยางและพระยางาเมือง เป็นเจ้าเมืองพะเยาและทั้งพระยาเม็งราย
และพระยางาเมือง ขณะน้ันต่างก็มีกาลังอานาจแข็งแกร่งท้ังคู่ ทางตะวันออกนั้นเล่าก็ติดต่อกับดินแดนของขอม ซึ่งมี
ชาวไทยเข้าไปต้ังภูมิลาเนาอยู่มาก ตะวันตกของอาณาจักรสุโขทัยก็จดเขตแดนมอญและพม่า ส่วนทางใต้ก็ถูกเมือง
ละโว้ของขอมกระหนาบอยู่

ด้วยเหตุนี้พระเจ้ารามคาแหงจึงต้องดาเนินวิเทโศบายในการแผ่อาณาจักรอย่างแยบยล และสุขุมที่สุดเพื่อ
หลีกเลย่ี งการฆ่าฟนั ระหวา่ งคนไทยด้วยกันเอง คือแทนที่จะขยายอาณาเขตไปทางเหนือ หรือตะวันออกซ่ึงมีคนต้ังหลัก
แหลง่ อยมู่ าก พระองค์กลบั ทรงตัดสนิ พระทัยขยายอาณาเขตลงไปทางใต้อันเป็นดินแดนของขอม และทางทิศตะวันตก
อันเป็นดินแดนของมอญ เพื่อให้คนไทยในแคว้นลานนาได้ประจักษ์ในบุญญาธิการ และได้เห็นความแข็งแกร่งของ
กองทัพไทยแหง่ อาณาจกั รสโุ ขทัยเสยี กอ่ น แลว้ ไทยในแคว้นลานนาก็อาจจะมารวมเขา้ ด้วยตอ่ ภายหลังไดโ้ ดยไมย่ าก

แตแ่ มจ้ ะได้ตกลงพระทยั ดังนั้น พระเจา้ รามคาแหงก็ยังคงทรงวิตกอยู่ในข้อท่ีว่าถ้าแม้ว่าพระองค์กรีฑาทัพขยาย
อาณาเขตลงไปสู้รบกับพวกขอมทางใต้แล้วพระองค์อาจจะถูกศัตรูรุกรานลงมาจากทางเหนือก็ได้ บังเอิญในปี พ.ศ.
๑๘๒๙ กษัตรยิ ใ์ นราชวงศ์หงวนไดส้ ่งฑตู เข้ามาขอทาไมตรีกับไทย พระองค์จึงยอมรับเป็นไมตรีกับจีน เพ่ือป้องกันมิให้
กองทัพจีนยกมารุกรานเมื่อพระองค์ยกทพั ไปรบเขมร พรอ้ มกนั นั้นกไ็ ด้ทรงพยายามสร้างความสนิทสนมกับไทยลานนา
เช่นได้เสดจ็ ด้วยพระองค์เองไปช่วยพระยาเม็งราย สร้างราชธานีท่ีนครเชียงใหม่เป็นต้น แหละเมื่อเห็นว่าสัมพันธไมตรี
ทางเหนือม่นั คงแลว้ พระองค์จึงไดเ้ ร่ิมขยายอาณาจกั รสโุ ขทัยลงไปทางใต้ตามลาดับ คือ ใน พ.ศ. ๑๘๒๓ ทรงตีได้เมือง
นครศรีธรรมราช และเมืองตา่ งๆ ในแหลมลายตู ลอดรวมไปถึงเมอื งยะโฮร์ และเกาะสิงคโปรใ์ นปจั จบุ ันนี้

ใน พ.ศ. ๑๘๔๒ ตีได้ประเทศเขมร (กัมพูชา) ส่วนทางทิศตะวันตกท่ีมีอาณาเขตจดเมืองมอญน้ันเล่าพระเจ้า
รามคาแหงก็ได้ดาเนนิ การอย่างสุขุมรอบคอบเช่นเมื่อได้เกิดความขึ้นว่า มะกะโท อามาตย์เช้ือสายมอญ ซ่ึงมีสติปัญญา
เฉลียวฉลาดและได้มารับราชการใกล้ชิดพระองค์ได้กระทาความผิดช้ันอุกฤติโทษ โดยลักพาเอาพระธิดาของพระองค์
หนีกลบั ไปเมืองมอญ แทนที่พระองค์จะยกทัพตามไปชิงเอาตัวพระราชธิดาคืนมา พระองค์กลับทรงเฉยเสียด้วยได้ทรง
คาดการณ์ไกล ทรงมั่นพระทัยว่า มะกะโท ผู้น้ีคงจะคิดไปหาโอกาสตั้งตัวเป็นใหญ่ในเมืองมอญ ซ่ึงถ้าเมื่อมะกะโทได้
เป็นใหญใ่ นเมอื งมอญกเ็ ปรยี บเสมือนพระองค์ไดม้ อญมาไวใ้ นอมุ้ พระหตั ถ์ โดยไม่ตอ้ งรบราฆ่าฟันกันให้เสียเลือดเน้ือ ซ่ึง
ต่อมาการณ์ก็ได้เป็นไปตามท่ีได้ทรงคาดหมายไว้ คือมะกะโท ได้เป็นใหญ่ครอบครองอาณาจักรมอญทั้งหมด แลได้เข้า
สามภิ ักดต์ิ อ่ อาณาจักรสโุ ขทัย โดยพระเจ้ารามคาแหงมิต้องทาการรบพ่งุ ประการใดพระองค์ได้เสด็จไปทาพิธีราชภิเษก
ใหม้ ะกะโท และพระราชทานนามใหใ้ หม่วา่ “พระเจา้ ฟ้ารัว่ ”

4

ด้วยวิเทโศบายอันชาญฉลาด สุขุมคัมภีรภาพของพระองค์น้ีเอง จึงเป็นผลให้อาณาจักรไทยในสมัยพระเจ้า
รามคาแหงแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง ปรากฏ ตามหลักศิลาจารึกว่าทางทิศใต้จดแหลมมลายูทิศตะวันตกได้หัว
เมืองมอญทั้งหมด ได้จดเขตแดนหงสาวดี จดอ่าวเบงคอล ทิศตะวันออกเฉียงใต้ประเทศเขมร มีเขตต้ังแต่สันขวาน
โบราณไปจดทะเลจีน ทิศตะวนั ออกเฉียงเหนือได้เมืองนา่ น เมอื งหลวงพระบางท้ังเวียงคาฝั่งซ้ายแม่น้าโขง ทิศเหนือมี
อาณาเขตจดเมืองลาปาง กล่าวไดว้ ่าเป็นคร้ังตัง้ แตต่ ้งั อาณาจกั รไทยท่ีได้แผ่นขยายอาณาเขตไปได้กว้างขวางถงึ เพยี งนน้ั

การทานุบารงุ บ้านเมอื ง

เม่ือได้ทรงขยายอาณาเขตของอาณาจักรสุโขทัยออกไปอย่างกว้างขวางดังกล่าวแล้วพระเจ้ารามคาแหง ยังได้
ทรงทานุบารุงบ้านเมืองอีกเป็นอันมาก เช่นได้ทรงสนับสนุนในทางการค้าพานิช เลิกด่านเก็บภาษีอากรและ
จังกอบ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนไปมาค้าขายกันได้โดยสะดวกได้ยิ่งข้ึน ได้ส่งเสริมการทาอุตสาหกรรมทาเครื่องถ้วย
ชาม ถึงกับได้เสด็จไปดูการทาถ้วยชามในประเทศจีนถึงสองครั้ง แล้วนาเอาช่างป่ันถ้วยชามชาวจีนเข้ามาด้วยเป็นอัน
มาก เพื่อจะได้ให้ฝึกสอนคนไทยให้รู้จักวิธีทาถ้วยชามเคร่ืองเคลือบดินเผาต่างๆ ซึ่งปรากฏว่าได้เจริญรุ่งเรืองมากใน
ระยะน้นั

ในด้านทางศาลก็ให้ความยุติธรรมแก่อาณาประชาราษฎรโดยท่ัวถึงกันไม่เลือกหน้าทรงเอาพระทัยใส่ในทุกข์สุข
ของอาณาประชาราษฎร์ถึงกับส่งั ให้เจา้ พนกั งานแขวนกระด่งิ ขนาดใหญ่ไวท้ ป่ี ระตูพระราชวังด้านหน้าแม้ใครมีทุกข์ร้อน
ประการใดจะขอให้ทรงระงับดับเข็ญแล้วก็ให้ล่ันกระด่ิงร้องทุกข์ได้ทุกเวลา ในขณะพิจารณาสอบสวนและตัดสิน
คดี พระองค์ก็เสด็จออกฟังและตัดสินด้วยพระองค์เองไปตามความยุติธรรม แสดงความเมตตาแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน
เสมือนบิดากับบุตรทรงชักนาให้ศาสนาประกอบการบุญกุศล ศรัทธาในพระพุทธศาสนา พระองค์เองทรงเป็นอัคร
ศาสนูปถัมภกได้ทรงสร้างแท่นมนังศศิลาไว้ที่ดงตาล สาหรับให้พระสงฆ์แสดงธรรมและบางคร้ังก็ใช้เป็นท่ีประทับว่า
ราชการแผ่นดิน

การปกครอง

ลักษณะการปกครองในสมัยของพระเจ้ารามคาแหงหรือราษฎรมักเรียกกันติดปากว่าพ่อขุนรามคาแหง
นั้น พระองค์ได้ทรงถือเสมือนหนึ่งว่าพระองค์เป็นบิดาของราษฎรท้ังหลาย ทรงให้คาแนะนาส่ังสอน ใกล้ชิด
เช่นเดียวกับบิดาจะพึงมีต่อบุตร โปรดการสมาคมกับไพร่บ้านพลเมืองไม่เลือกช้ันวรรณะ ถ้าแม้ว่าใครจะถวายทูล
ร้องทุกข์ประการใดแล้ว ก็อนุญาตให้เข้าเฝ้าใกล้ชิดได้ไม่เลือกหน้าในทุกวันพระมักเสด็จ ออกประทับยังพระแท่นศิลา
อาสน์ ทาการสง่ั สอนประชาชนให้ตัง้ อยใู่ นศลี ธรรม

ในด้านการปกครองเพื่อความปลอดภัยและมั่นคงของประเทศนั้นพระองค์ทรงถือว่าชายฉกรรจ์ท่ีมีอาการ
ครบ ๓๒ ทุกคนเป็นทหารของประเทศ พระเจา้ แผน่ ดินทรงดารงตาแหน่งจอมทัพ ข้าราชการก็มีตาแหน่งลดหลั่นเป็น
นายพล นายร้อย นายสิบ ถดั ลงมาตามลาดับ

5

ในด้านการปกครองภายใน จัดเป็นส่วนภมู ิภาคแบง่ เป็นหัวเมืองช้ันใน ช้ันนอกและเมืองประเทศราชสาหรับ
หัวเมืองช้ันใน มีพระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ปกครองโดยตรง มีเมืองสุโขทัยเป็นราชธานี เมืองศรีสัชนาลัย (สวรรคโลก)
เป็นเมืองอุปราช มีเมืองทุ่งยั้งบางยม สองแคว (พิษณุโลก) เมืองสระหลวง (พิจิตร) เมืองพระบาง(นครสวรรค์)
และเมืองตากเปน็ เมอื งรายรอบ

สาหรับหวั เมืองชน้ั นอกน้นั เรียกวา่ เมืองพระยามหานคร ให้ขุนนางผู้ใหญ่ที่ไว้วางพระราชหฤทัยไปปกครอง
มีเมืองใหญ่บ้างเล็กบ้าง เวลามีศึกสงครามก็ให้เกณฑ์พลในหัวเมืองข้ึนของตนไปช่วยทาการรบป้องกันเมือง หัวเมือง
ชั้นนอกในสมัยนั้น ได้แก่ เมืองสรรคบุรี อู่ทอง ราชบุรี เพชรบุรี ตะนาวศรี เพชรบูรณ์ แลเมืองศรีเทพ

ส่วนเมืองประเทศราชน้ัน เป็นเมืองท่ีอยู่ชายพระราชอาณาเขตมักมีคนต่างด้าวชาวเมืองเดิมปะปนอยู่มาก
จึงได้ต้ังให้เจ้านายของเขานั้นจัดการปกครองกันเอง แต่ต้องถวายดอกไม้เงินดอกไม้ทองทุกปี แลเมื่อเกิดศึกสงคราม
จะต้องถล่มทหารมาช่วย เมืองประเทศราชเหล่านี้ ได้แก่ เมืองนครศรีธรรมราช มะละกา ยะโฮร์ ทะวาย
เมาะตะมะ หงสาวดี นา่ น หลวงพระบาง เวียงจนั ทร์ และเวยี งคา

การวรรณคดี

นอกจากจะได้ทรงขยายอาณาเขตของไทย ทางปกครองทานุบารุงบ้านเมือง และจัดระบบการปกครองท่ีเป็น
ระเบยี บเรียบร้อยดังกล่าวแล้ว พระเจ้ารามคาแหงยังได้ทรงสร้างส่ิงท่ีคนไทยจะลืมเสียมิได้อีกอย่างหน่ึง ส่ิงนั้น ได้แก่
การประดษิ ฐ์อกั ษรไทยข้นึ อันเปน็ รากฐานของหนังสือไทยท่ีเราไดใ้ ช้กันอย่ใู นทุกวนั น้ี

ตามหลักฐานปรากฏว่าพระองค์ได้ทรงคิดอักษรไทยขึ้นใช้เม่ือปี พ.ศ. ๑๗๒๖ กล่าวกันว่าได้ดัดแปลงมาจาก
อกั ษรคฤนถอ์ ันเป็นอักษรที่ใช้กนั อยใู่ นอนิ เดยี ฝ่ายใต้

ตัวอักษรไทยซึ่งพระเจ้ารามคาแหงคิดขึ้นใช้ในสมัยน้ันตัวพยัญชนะ สระและวรรณยุกต์จึงอยู่เรียงในบรรทัด
เดียวกันหมด ดังจะดูได้จากแผ่นศิลาจารึกในสมัยพระเจ้ารามคาแหง ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพิพิธภัณฑ์สถาน
แห่งชาติ ต่อมาจึงได้มีผู้ค่อยคิดดัดแปลงให้วัฒนาในทางดี และสะดวกในการเขียนมากข้ึน เป็นลาดับ จนกระทั่งถึง
อกั ษรไทยทเี่ ราไดใ้ ช้กันอยใู่ นทกุ วนั น้ี

การศาสนา

ในสมัยพระเจ้ารามคาแหงนั้น ปรากฏว่าศาสนาพุทธได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมากเพราะพระองค์ทรงเล่ือมใสศรัทธา
อย่างมาก เช่นเม่ือมีคนไทยเดินทางไปยังเกาะลังกา เพ่ือบวชเรียนตามลัทธิลังกาวงศ์ คือถือคติอย่างหินยาน
มีพระไตรปิฎกเป็นภาษามคธ แล้วเข้ามาต้ังเผยแพร่พระพุทธศาสนาอยู่ท่ีเมืองนครธรรมราชน้ัน พระเจ้ารามคาแหง
ยังได้เสร็จไปพบด้วยพระองค์เองแล้วนิมนต์พระภิกษุนั้นข้ึนมาต้ังให้เป็นสังฆราชกรุงสุโขทัย และได้บวชในคนไทย
ที่เลื่อมใสศรัทธาต่อมาตามลาดับ ต่อมาพระเจ้ารามคาแหงได้ทาไมตรีกับลังกาและได้พระพุทธสิหิงค์มาจากลังกา
แลนับแต่นั้นมาคนไทยจึงไดน้ บั ถือลทั ธลิ ังกาวงศ์สืบมา

6

๒. สมเด็จพระนารายณม์ หาราช

พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาสามารถ ในการปกครองประเทศ ทาให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง ทรงติดต่อ
เจรญิ พระราชไมตรกี ับนานาประเทศ ทรงตดิ ตอ่ การคา้ กบั ชาวต่างชาติ และเม่ือมีเหตุการณ์ร้ายแรงข้ึน ก็ทรงแก้ไขด้วย
ความเฉลียวฉลาด ทรงพระปรีชาในด้านกวี และทรงส่งเสริมการกวี จนเป็นเหตุให้เกิดมีกวีท่ีมีชื่อเสียงหลายคน
มีวรรณคดีเกดิ ขนึ้ หลายเล่ม นับเปน็ ยคุ ทองแห่งวรรณคดีไทย

พระราชประวตั ิ

สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราชเป็นพระราชโอรสในพระเจ้าปราสาททอง และพระนางศิริธิดา ต่อมาภายหลังถูก
ยกเป็นพระราชเทวี ซึ่งเป็นพระขนิษฐาต่างมารดาของพระเจ้าปราสาททอง[1] เสด็จพระบรมราชสมภพ เมื่อวันจันทร์
เดือนย่ี ปวี อก พ.ศ.๒๑๗๕ และทรงมพี ระขนิษฐารว่ มพระมารดาคือ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าศรีสุวรรณ กรม
หลวงโยธาทิพ หรือพระราชกัลยาณี พระนมอยู่พระองคห์ นง่ึ คอื เจา้ แมว่ ดั ดุสิต ซ่ึงเป็นญาติห่างๆ ของพระเจ้าปราสาท
ทองเชน่ กนั

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงเป็นพระอนุชาในสมเด็จเจ้าฟ้าไชย และยังทรงมีพระอนุชาต่างพระมารดา
อีก ไดแ้ ก่ เจา้ ฟา้ อภัยทศ เจ้าฟ้าน้อย พระไตรภูวนาทิตยวงศ์ พระองค์ทอง พระอนิ ทราชา

ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเล่าว่าเมื่อแรกเสด็จพระบรมราชสมภพน้ัน พระญาติเห็นพระโอรสมีส่ีกร
พระราชบิดาจึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า "พระนารายณ์ราชกุมาร" ส่วนในคาให้การชาวกรุงเก่าและคาให้การ
ขุนหลวงหาวัด เล่าว่าเม่ือเพลิงไหม้พระที่น่ังมังคลาภิเษก พระโอรสเสด็จไปช่วยดับเพลิง ผู้คนเห็นเป็นสี่กร จึงพากัน
ขนานพระนามวา่ พระนารายณ์

พระราชประวัติของสมเด็จพระนารายณ์นั้นเกี่ยวกับเร่ืองปาฏิหารย์อยู่มาก แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของ
พราหมณ์ เม่ือเทียบกับกษัตริย์องค์ก่อนๆ ด้วยเหตุน้ีเองพระราชประวัติของพระองค์จึงกล่าวถึงปาฏิหารย์มหัศจรรย์

7

ตามลาดับ คือ เมื่อพระนารายณ์ทรงมพี ระชนม์ได้ 5 พรรษา ขณะเลน่ น้า พระองคท์ รงถูกอสนีบาต พวกพ่ีเล้ียง นางนม
สลบหมดสนิ้ แต่พระองค์ไม่เป็นไรแม้แต่น้อยเม่ือพระนารายณ์ทรงมีพระชนม์ได้ ๙ พรรษา พระองค์ทรงถูกอสนีบาตท่ี
พระราชวังบางปะอิน แต่พระองค์ก็ปลอดภัยดี สมเด็จพระนารายณ์ทรงรับการศึกษาจากพระโหราธิบดี ซ่ึงเป็น
ข้าราชการระดับสูงในพระราชวัง และพระอาจารย์พรหม พระพิมลธรรม รวมท้ังสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์และ
พระสงฆท์ ม่ี สี มณศักดร์ิ ะดบั สงู ในพระนคร

8

๓. สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช

พระมหากษัตริย์ผู้ทรงกอบกู้เอกราชของชาตไิ ทย ภายหลงั ท่เี สียกรงุ ศรีอยุธยาคร้งั ที่ ๑ ในรัชสมัยของพระองค์
ทรงทาการศกึ สงคราม และเอาชนะขา้ ศึกหลายคร้งั ครั้งทีส่ าคญั ท่ีสดุ คือ ใน พ.ศ. ๒๑๓๕ พระมหาอปุ ราชาของพม่าได้
ยกทพั มาตีไทย พระองค์ทรงชนชา้ งกระทายุทธหตั ถี และทรงฟนั พระมหาอุปราชาสน้ิ พระชนมบ์ นคอช้าง ต้ังแต่นั้นมา
พมา่ กเ็ กรงกลัว เลิกยกทัพมารกุ รานไทยอีก

พระราชประวตั ิ

สมเด็จพระนเรศวรมหาราชหรือท่ีชาวบ้านท่ัวไปในคร้ังนั้นเรียกว่า พระองค์ดา เป็นพระราชโอรสในสมเด็จ
พระมหาธรรมราชาและพระวิสุทธิกษัตริย์ (พระราชธิดาของสมเด็จพระศรีสุริโยทัยและสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ)
เสด็จพระราชสมภพเม่ือ พ.ศ. ๒๐๙๘ ท่ีพระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลกทรงมีพระเชษฐภคิณีคือ พระสุพรรณ
กัลยา ทรงมีพระอนุชาคือ สมเด็จพระเอกาทศรถ (องค์ขาว) และทรงเป็นพระราชนัดดาของสมเด็จพระศรีสุริโยทัย
ตลอดระยะเวลาในทรงพระเยาว์ของพระนเรศวรทรงใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก จนกระทั่งเม่ือพระ
เจ้าบเุ รงนองยกทพั มาตเี มอื งพิษณุโลก สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาธริ าชเจ้าเมืองพิษณุโลกยอมอ่อนน้อมต่อแห่งหงสาวดี
และทาให้พษิ ณุโลกต้องแปรสภาพเปน็ เมืองประเทศราชหงสาวดีไมข่ นึ้ ต่อกรุงศรอี ยธุ ยา พระเจ้าบุเรงนองได้ทรงขอพระ
นเรศวรไปเป็นองค์ประกนั ท่ีหงสาวดี ทาใหพ้ ระองคต์ ้องจากบ้านเกดิ เมอื งนอนตงั้ แต่มีพระชนม์มายเุ พียง ๙ พรรษา

9

พระองค์ทรงเป็นผู้ท่ีมีน้าพระทัยเป็นนักรบมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ มีความกล้าหาญเด็ดเด่ียวมีน้าพระทัยกว้างขวางสม
กับที่เปน็ เชอ้ื สายของสมเด็จพระศรีสุริโยทัย แม้พระนเรศวรจะถูกนาไปเป็นตัวประกันถึงหงสาวดี แต่ตลอดระยะเวลา
พระองค์มิได้ทรงหวั่นไหว คร้ังท่ีอยู่ในเมืองหงสาวดีก็ได้แสดงความปรีชาสามารถให้ปรากฏหลายต่อหลายครั้ง ทาให้
พระเจา้ บุเรงนองกษัตริย์ของหงสาวดรี สู้ กึ หวาดหว่นั เกรงวา่ ต่อไปภายหนา้ อาจรวบรวมแผ่นดนิ อยุธยาได้

หลงั จากทพี่ ระเจ้าบเุ รงนองตีกรุงศรีอยธุ ยาแตก เม่ือ พ.ศ. ๒๑๑๒ มะเส็งศก วันอาทิตย์ เดือน ๙ แรม ๑๑ ค่า
และได้สถาปนาสมเดจ็ พระมหาธรรมราชาครองกรุงศรอี ยุธยาในฐานะประเทศราชของหงสาวดีต่อไป หลังจากนั้น พระ
นเรศวรได้หนีกลับมาไทยโดยที่บุเรงนองยินยอมด้วยอันเน่ืองมาจากพระสุพรรณกัลยาได้ขอไว้ หลังจากท่ีพระองค์ดา
กลับมากรุงศรีอยุธยา สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาได้ทรงพระราชทานนามให้ว่า "พระนเรศวร" และโปรดเกล้าฯ ให้เป็น
พระมหาอุปราชไปปกครองเมืองพิษณุโลก ทรงปกครองเมืองอย่างดีและทรงเริ่มเตรียมการที่จะกอบกู้เอกราชของ
กรุงศรอี ยธุ ยา

การท่ีได้เสด็จไปประทับอยู่หงสาวดี ๘ ปีน้ัน ก็เป็นประโยชน์ยิ่งเพราะทรงทราบทั้งภาษาและนิสัยใจคอ
ตลอดจนล่วงรู้ความสามารถของพม่า เป็นทุนสาหรับคิดอ่านต่อสู้ เม่ือพระเจ้าหงสาวดีตีกรุงศรีอยุธยาได้น้ัน อ้างว่า
ข้าราชการในกรงุ เกลียดชังสมเด็จพระมหาธรรมราชา จงึ ตอ้ งถอนขา้ ราชการเมอื งเหนือท่ีเคยใช้สอยลงมารับราชการใน
กรงุ มากด้วยกัน จานวนขา้ ราชการทางเมืองเหนือจงึ บกพร่อง ต้องหาตัวต้ังข้ึนใหม่[5] พระนเรศวรทรงทรงขวนขวายหา
คนสาหรับทรงใช้สอยโดยฝึกทหารที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันตามวิธียุทธ์ของพระองค์ท้ังสิ้น จึงเป็นกาลั งของพระ
นเรศวรในเวลาต่อมา และความคาดคิดของพระเจ้าบุเรงนองแห่งหงสาวดีก็กาลังจะกลายเป็นความจริงเมื่อ พระ
นเรศวรทรงคิดที่จะกอบกู้อิสรภาพข้ึนในแผ่นดินอันเป็นเมืองที่พระองค์ทรงพระราชสมภพ เมื่อปี พ.ศ. ๒๑๑๓
พระยาละแวกหรือสมเด็จพระบรมราชา กษัตริย์เขมร ซ่ึงเคยเป็นเมืองข้ึนของไทยมาก่อน ต้ังแต่ครั้งสมเด็จพระ
รามาธิบดีท่ี ๑ เห็นไทยบอบซ้าจากการทาสงครามกับพม่า ได้ถือโอกาสยกกาลังเข้ามาซ้าเติมกรุงศรีอยุธยา โดยยก
กองทัพมีกาลงั ๒๐,๐๐๐ คนเข้ามาทางเมอื งนครนายก เมื่อเข้ามาถึงกรุงศรีอยุธยาแล้วได้ตั้งทัพอยู่ท่ีตาบลบ้านกระทุ่ม
แล้วเคล่ือนพลเข้าประชิดพระนคร โดยได้เข้ามายืนช้างบัญชาการรบอยู่ในวัดสามพิหาร และวางกาลังพลรายเรียงเข้า
มาถึงวัดโรงฆอ้ ง ต่อไปถงึ วดั กุฎีทอง และนากาลังพล ๕,๐๐๐ คน ชา้ ง ๓๐ เชือก เข้ายึดแนวหน้าวัดพระเมรุราชิการาม
พร้อมกับให้ทหารลงเรือ ๕๐ ลาแล่นเข้ามาปล้นพระนครตรงมุมเจ้าสนุก สมเด็จพระมหาธรรมราชาเสด็จออก
บัญชาการรบป้องกันพระนครเป็นสามารถ กองทัพเขมรพยายามยกพลเข้าปล้นพระนครอยู่ ๓ วัน แต่ไม่สาเร็จจึงยก
กองทัพกลับไปและได้กวาดต้อนผู้คนชาวบ้านนาและนครนายกไปยังประเทศเขมรเป็นจานวนมาก ต่อมาเมื่อปี
พ.ศ. ๒๑๑๗ ในขณะท่ีกองทัพไทยในบังคับบัญชาของสมเด็จพระธรรมราชาธิราชกับพระนเรศ ยกกองทัพไปช่วยพระ
เจ้าหงสาวดี ไปตีเมืองศรีสัตนาคนหุต พระยาละแวก ถือโอกาสยกกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีกโดยยกมาทางเรือ การ
ศึกคร้ังน้ีโชคดีเป็นของไทย กล่าวคือขณะท่ีกองทัพไทยยกไปถึงหนองบัวลาภู เมืองอุดรธานี สมเด็จพระนเรศวรทรง
ประชวรเป็นไขท้ รพิษ พระเจ้าหงสาวดีโปรดให้กองทพั ไทยยกกลับกรงุ ศรีอยธุ ยา กองทัพไทยกลับมาได้ทันเวลาท่ีกรุงศรี
อยุธยาถูกโจมตีจากกองทัพเรือเขมร ซ่ึงขึ้นมาถึงกรุงศรีอยุธยาเมื่อเดือนอ้าย พ.ศ. ๒๑๑๘ และได้ตั้งทัพชุมนุมพลอยู่ที่
ตาบลขนอนบางตะนาว และลอบแฝงเข้ามาอยู่ในวัดพนัญเชิง และใช้เรือ ๓ ลาเข้าทาการปล้นชาวเมืองท่ีตาบลนาย
ก่ายไทยใช้ปืนใหญ่ยิงไปยังป้อมค่ายนายก่าย ถูกข้าศึกล้มตายเป็นอันมาก แล้วให้ทหารเรือเอาเรือไปท้าทายให้ข้าศึก

10

ออกมารบพุ่ง จากนั้นก็ล่อหลอกให้ข้าศึกรุกไล่เข้ามาในพ้ืนท่ีการยิงหวังผลของปืนใหญ่ เม่ือพร้อมแล้วก็ระดมยิงปืน
ใหญถ่ กู ทหารเขมรแตกพ่ายกลบั ไป

ในปี พ.ศ. ๒๑๒๑ พระยาจนี จนั ตุ ขนุ นางจีนของกมั พูชา รับอาสาพระสัฎฐามาปล้นเมืองเพชรบุรี แต่ต้องพ่าย
แพ้ตีเข้าเมืองไม่ได้จะกลับกัมพูชาก็เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษ จึงพาสมัครพรรค พวกมาสวามิภักดิ์อยู่กับคนไทย โดย
สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาทรงชุบเล้ียงไว้ ต่อมาไม่นานก็ลงเรือสาเภาหนีออกไป เวลาน้ันสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมี
พระชนมายุได้ ๒๔ พรรษา ตระหนักในพระทัยดีว่า พระยาจีนจันตุเป็นผู้สืบข่าวไปให้เขมร พระองค์จึงเสด็จลงเรือ
กราบกันยารับตามไป เสด็จไปด้วยอีกลาหน่ึงตามไปทันกันเม่ือใกล้จะออกปากน้า พระยาจีนจันตุยิงปีนต่อสู้ สมเด็จ
พระนเรศวรจึงเรง่ เรอื พระทน่ี ่งั ข้ึนหนา้ เรือลาอ่ืนประทับยืนทรงยิงพระแสงปืนนกสับท่ีหน้ากันยาไล่กระช้ันชิดเข้าไปจน
ขา้ ศึกยงิ มา ถูกรางพระแสงปืนแตกอยู่กับพระหัตถ์ก็ไม่ยอมหลบ พระเอกาทศรถเกรงจะเป็นอันตราย จึงตรัสสั่งให้เรือ
ท่ที รงเข้าไปบงั เรอื สมเด็จพระเชษฐาก็พอดีกับเรือที่ทรงเข้าไป บังเรือสมเด็จพระเชษฐาก็พอดีกับเรือสาเภาของพระยา
จีนจันตุได้ลมแล่นออกทะเลไป เน่ืองจากเรือรบไทยเป็นเรือเล็กสู้คล่ืนลมไม่ไหวจาต้องถอยขบวนกลับขึ้นมาตามลาน้า
พบกับสมเด็จพระมหาธรรมราชาที่คุมกาลังทหารลงเรือหนุนตามมาที่เมืองพระประแดง ทรงกราบทูลเหตุการณ์ที่
เกดิ ข้นึ ใหท้ รงทราบ แลว้ เคล่ือนขบวนกลับสู่พระนคร พระปรีชาสามารถในการรบเป็นท่ีประจักษ์หลายครั้งหลายคราว
ครั้นย่ิงนานวันความกล้าแกร่งของพระนเรศวรยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ความสามมารถในการเป็นผู้นาปรากฏให้เห็น
อย่างชดั เจน จนกระทัง่ ได้รับความนบั ถอื ยกยอ่ งโดยทั่วไป

แต่การทาสงครามกับเขมรก็ยังไม่จบสิ้น ท้ังน้ีเพราะเขมรยังคงเชื่อว่าสยามยังอ่อนแอสามารถที่จะเข้ามาปล้น
ชิงได้อยู่ พ.ศ. ๒๑๒๓ กษัตริย์กัมพูชาได้ให้พระทศราชาและพระสุรินทร์ราชาคุมกาลังประมาณ ๕,๐๐๐ ประกอบไป
ดว้ ยชา้ ง ม้า ลาดตระเวนเข้ามาในหัวเมืองด้านตะวันออก แล้วเคลื่อนต่อเข้ามายังเมืองสระบุรีและเมืองอ่ืนๆ หมายจะ
ปล้นทรัพย์จับผู้คนไปเป็นเชลย ประจวบเหมาะกับพระนเรศวรเสด็จลงมาประทับอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาพอดี เม่ือทรง
ทราบขา่ วศกึ ก็ทรงทลู ขอกาลงั ทหารประจาพระนคร ๓,๐๐๐ คน ท้ังท่ีมีกาลังพลน้อยกว่าเขมรแต่สมเด็จพระนเรศวรก็
สามารถวางกลศกึ หลอกลอ่ กระทัง่ สามารถโจมตีทัพของเขมรให้แตกหนีกลับไปได้ในที่สุด ฝ่ายพระทศโยธา และพระสุ
รินทราชาเห็นทัพหน้าแตกยับเยิน ไม่ทราบแน่ว่ากองทัพไทยมีกาลังมากน้อยเพียงใด ก็รีบถอยหนีกลับไปทาง
นครราชสีมา ก็ไดถ้ กู ทัพไทยที่ดกั ทางคอยอยกู่ อ่ นแล้ว เข้าโจมตซี ้าเตมิ อีก กองทัพเขมรทัง้ หมดจึงรีบถอยหนีกลับไปกรุง
กัมพูชา การรบคร้ังนี้ทาให้สมเด็จพระนเรศวรเป็นท่ีเคารพยาเกรงแก่บรรดาแม่ทัพนายกอง และบรรดาทหารทั้งปวง
เป็นท่ยี ิ่ง กิตตศิ พั ท์อนั นเี้ ป็นท่ีเล่ืองลือไปถึงกรุงหงสาวดี และผลจากการรบคร้ังนี้ทาให้เขมรไม่กล้าลอบมาโจมตีไทยถึง
พระนครอกี เลย

เม่ือพระเจ้าบุเรงนองแห่งหงสาวดีสิ้นพระชนม์ ทางหงสวดีจึงมีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ โดยนันทบุเรงได้
ขึ้นครองราชสมบัตสิ ืบตอ่ จากพระเจ้าบุเรงนอง พระนเรศวรในขณะน้นั ก็ได้คมุ ทัพและเครื่องราชบรรณาการไปถวายแก่
หงสาวดตี ามราชประเพณที ่มี มี า คือเม่ือหงสาวดีมีการผลัดเปลยี่ นกษัตริย์ ประเทศราชจะต้องปฏิบตั ิเช่นน้ี

ทางด้านเจ้าฟา้ เมอื งคงั ซ่งึ เปน็ เมืองออกของหงสาวดีแข็งเมือง ไม่ยอมส่งราชบรรณาการไปถวายพระเจ้านันท
บุเรง ดังน้ันทางหงสาวดีจึงจัดกองทัพข้ึน ๓ กอง มีพระมหาอุปราชราชโอรสของพระเจ้านันทบุเรง พระสังขฑัตโอรส
เจ้าเมืองตองอู สว่ นทพั ที่ ๓ คือกองทัพของพระนเรศวร แห่งกรุงศรีอยุธยาให้ยกไปปราบปรามเมืองคัง กองทัพของพระ

11

มหาอุปราชบกุ เข้าโจมตีเมืองคงั กอ่ น แตป่ รากฏว่าตีไมส่ าเร็จ ต่อมาจึงเป็นหนา้ ท่ขี องกองทัพพระสังขฑัต แต่การโจมตีก็
ตอ้ งผิดหวงั ลา่ ถอยกลับมาอีกเชน่ กนั ดงั น้ันจงึ เป็นคราวท่ีพระนเรศวรจะเข้าโจมตเี มอื งคงั บา้ ง พระนเรศวรทรงพิจารณา
เหน็ ว่าเมืองคงั ต้ังอยบู่ นท่สี งู พระองค์จงึ วางแผนการยุทธจดั ทัพใหม่ แบ่งกาลังสว่ นหนึง่ เข้าโจมตดี า้ นหน้า กาลังส่วนน้ีมี
ไมม่ ากนัก แต่กาลงั สว่ นใหญข่ องพระองค์เปลย่ี นทศิ ทางโอบเข้าตีด้านหลัง ประกอบกับพระองค์ทรงรู้ทางลับที่จะบุกเข้
สูเ่ มอื งคงั อกี ด้วย จึงสามารถโจมตีเมอื งคงั แตกโดยไม่ยาก พระนเรศวรจับเจ้าฟ้าเมืองคังไปถวายพระเจ้านันทบุเรงท่ีหง
สาวดเี ป็นผลสาเร็จ ชยั ชนะในการตีเมอื งคังครงั้ นั้นทาใหฝ้ ่ายพม่าเริม่ รวู้ า่ ฝีมือทัพอยุธยา มคี วามเกง่ กล้าสามารถน่าเกรง
ขามย่ิงกวา่ แตก่ ่อน โดยเฉพาะพระสังขฑัต และพระมหาอุปราชารู้สึกมีความละอายมากในการทาศึกคร้ังนี้ นอกจากน้ี
แลว้ ต่อมาพวกเขมรยกทัพมากวาดต้อนผู้คนในเมืองนครราชสีมาและหัวเมืองชั้นใน ก็ถูกกองทัพของพระนเรศวรโจมตี
แตกกระเจิงและเลิกทัพถอยกลับไป ความเก่งกล้าสามารถของพระนเรศวรมีมากข้ึนเพียงไร ความหวาดระแวงของหง
สาวดีก็เพ่ิมทวีมากขึ้นเย่ียงน้ัน พระเจ้านันบุเรงเริ่มไม่ไว้วางพระทัยพระนเรศวร คอยจับจ้องดูความเปล่ียนแปลง และ
ความสามารถของยอดนกั รบพระองคน์ ี้อยตู่ ลอดเวลา คิดวา่ หากมีโอกาสเม่ือใดก็จะกาจดั ตดั ไฟแต่ต้นลม

12

๔.สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรืออีกพระนามหนึ่งว่า พระเจ้ากรุงธนบุรี พระองค์ทรงกอบกู้เอกราชของ
ชาติไทย ภายหลังเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2310 และสร้างกรุงธนบุรีเป็นราชธานีใหม่ของไทย
ทรงปราบปรามผู้ก่อต้ังชุมนุมต่างๆ จนราบคาบ และรวบรวมประเทศชาติเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน และทรงกระทา
สงครามจนไดร้ บั ชัยชนะ ขยายอาณาเขตประเทศออกไปอย่างกว้างขวาง

พระราชประวตั ิสมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระราชสมภพ เม่ือวันอาทิตย์ เดือน ๕ ข้ึน ๑๕ ค่า ปีขาล ฉศก จุลศักราช
๑๐๙๖ ตรงกับวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๒๗๗ ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรี
อยุธยา มีพระนามเดิมว่า สิน พระราชบิดาเป็นชาวจีนช่ือนายไหฮอง หรือ หยง แซ่แต้ เป็นนายอากรบ่อนเบ้ีย มี
บรรดาศักด์ิเป็นขุนพัฒน์ พระราชชนนีชื่อนางนกเอ้ียง (ภายหลังได้รับการสถาปนาเป็น กรมพระเทพามาตย์) ต้ัง
บา้ นเรอื นอยใู่ กล้กับจวนเจ้าพระยาจักรที ่ีสมุหนายก

เม่ือยังทรงพระเยาว์เจ้าพระยาจักรีได้ขอสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไปเล้ียงเป็น บุตรบุญธรรม และได้ต้ัง
ชื่อพระองค์ท่านว่า สิน พอนายสินอายุได้ ๙ ขวบ เจ้าพระยาจักรีก็นาไปฝากให้เล่าเรียนหนังสืออยู่ในสานักของพระ
อาจารย์ทองดี วัดโกษาวาส ครั้นอายุได้ ๑๓ ปี เจ้าพระยาจักรีได้นานายสินเข้าถวายตัวรับราชการเป็นมหาดเล็กใน
สมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั บรมโกศ ตามประเพณขี องการรบั ราชการในสมัยนัน้ ในระหว่างรับราชการเป็นมหาดเล็กนายสินได้
พยายามศึกษาหาความร้ทู างดา้ นภาษาต่าง ประเทศหลายภาษา มีภาษาจีน ภาษาญวน และภาษาแขก จนสามารถพูด
ได้สามภาษาอยา่ งชานิชานาญครั้นนายสินอายุได้ ๒๑ ปี

13

เจ้าพระยาจักรีได้ประกอบการอุปสมบทนายสินเป็นพระภิกษุสงฆ์อยู่ในสานัก อาจารย์ทองดี ณ วัดโกษาวาส
(ปัจจุบัน คอื วดั เชงิ ท่า) อุปสมบทอยู่ ๓ พรรษา แลว้ กล็ าสิกขาบทกลับมาเข้ารับราชการตามเดิม เนื่องจากนายสินเป็น
ผู้ฉลาดรอบรู้ขนบธรรมเนียมราชกิจต่าง ๆ โดยมาก จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นายสินเป็น
มหาดเล็กรายงาน ดว้ ยราชการทงั้ หลายในกรมมหาดไทย และกรมวงั ศาลหลวง

พ.ศ. ๒๐๑๓ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคต สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอุทุมพรเสด็จเสวยราชสมบัติ
ได้ ๓ เดือนเศษ ก็ถวายสิริราชสมบัติแก่สมเด็จพระบรมราชาท่ี 3 และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายสิน
มหาดเล็กรายงานเป็นข้าหลวงเชญิ ท้องตราพระราชสีหข์ ้ึนไปชาระความหัว เมอื งฝ่ายเหนือ ซ่ึงนายสินได้ปฏิบัติราชการ
ดว้ ยความวิรยิ ะอุตสาหะและมีความดคี วามชอบมาก จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองตาก
ช่วยราชการอยู่กับพระยาตาก คร้ันเมื่อพระยาตากถึงแก่กรรมลงก็ทรงโปรดเกล้า ฯ ให้เล่ือนหลวงยกกระบัตร (สิน)
เปน็ พระยาตาก ปกครองเมืองตากแทน

พ.ศ. ๒๓๐๘ พระยาตาก (สนิ ) ไดร้ ับพระกรณุ าโปรดเกล้า ฯ ให้เข้ามาช่วยราชการสงครามเพื่อป้องกันพม่าใน
กรงุ ศรอี ยุธยา พระยาตาก (สนิ ) มฝี มี ือการรบปอ้ งกันพระนครอย่างเข้มแข็งมีความดีความชอบมาก จึงได้รับพระกรุณา
โปรดเกลา้ ฯ ให้เล่ือนตาแหน่งขึ้นเป็น พระยาวชิรปราการ (สิน) สาเร็จราชการเมืองกาแพงเพชรแทนเจ้าเมืองเดิมที่ถึง
แก่กรรมพ.ศ. ๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในเดือนเมษายน พระยาตากก็สามารถกอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนได้
แล้วก็คิดจะปฏิสังขรณ์กรุงศรีอยุธยาข้ึนเป็นราชธานีใหม่ แต่เมื่อได้ตรวจความเสียหายแล้วเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาได้รับ
ความเสียหายเป็น อนั มากยากทจ่ี ะบูรณะให้เหมอื นดังเดมิ ได้ และประกอบกับร้ีพลของเจ้าตากมีไม่พอท่ีจะรักษากรุงศรี
อยุธยาที่เป็นเมือง ใหญ่ได้ จึงเลือกเมืองธนบุรีเป็นราชธานี และได้อพยพผู้คนลงมาต้ังมั่นที่เมืองธนบุรี

เจ้าตากทรงทาพิธีปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ครองกรุงธนบุรี เมื่อวันพุธ เดือนอ้าย แรม ๔ ค่า จุลศักราช
๑๑๓๐ ปชี วด สมั ฤทธิศก ตรงกับวันท่ี ๒๘ เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๓๑๑ ขณะมีพระชนมายุได้ ๓๔ พรรษา ทรงนามว่า
สมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ หรือ สมเด็จพระบรมราชาท่ี ๔ แต่ประชาชนทั่วไปยังนิยมขนานพระนามพระองค์ว่า สมเด็จ
พระเจ้ากรุงธนบุรี หรอื สมเดจ็ พระเจ้าตากสินมหาราชสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงมีพระราชโอรสและพระราช
ธิดากับสมเด็จพระอัครมเหษี กรมหลวงบาทบริจา และกรมบริจาภักดีศรีสุดารักษ์ รวมทั้งพระสนมต่าง ๆ รวมทั้งสิน
๒๙ พระองค์

สมเด็จพระเจ้าตากสนิ มหาราช เสด็จสวรรคต เมื่อวันเสาร์ เดือน 5 แรม 9 ค่า จ.ศ. 1144 ปีขาล ตรงกับวันที่
6 เมษายน 2325 พระชนมายุ 48 พรรษา รวมสริ ริ าชสมบตั ิ 15 ปี

14

พระราชกรณียกจิ

ดา้ นการปกครอง
ยังคงใช้ระบบการปกครองแบบกรุงศรีอยุธยา ส่วนด้านกฎหมาย เมื่อคร้ังกรุงแตก กฎหมายบ้านเมืองกระจัด

กระจายหายสญู ไปมาก จงึ โปรดให้ทาการสืบเสาะคน้ หามารวบรวมไวไ้ ด้ประมาณ 1 ใน 10 และโปรดให้ชาระกฎหมาย
เหล่านั้น ฉบับใดยังเหมาะแก่กาลสมัยก็โปรดให้คงไว้ และเป็นการแก้ไขเพื่อให้ราษฎรได้รับผลประโยชน์มากขึ้น เช่น
โปรดให้แก้ไขกฎหมายว่าด้วยการพนัน ให้อานาจการตัดสินลงโทษขึ้นแก่ศาลแทนนายตราสิทธิขาด และยังห้ามนาย
ตรา นายบ่อนออกเงินทดรองให้ผู้เล่น เกาะกุม ผูกมัด จาจอง เร่งรัดผู้เล่น กฎหมายพิกัดภาษีอากรเกือบไม่มี เพราะ
ผลประโยชน์แผ่นดินได้จากการค้าสาเภามากพอแล้ว กฎหมายว่าด้วยการจุกช่องล้อมวง ก็ยังไม่ตราขึ้น เปิดโอกาสให้
ราษฎรได้เฝ้าตามรายทาง โดยไม่ต้องมีพนักงานตารวจแม่นปืนคอยยิงราษฎร ซึ่งแม้แต่ชาวต่างประเทศก็ยังช่ืนชมใน
พระราชอธั ยาศัยน้ี ใน ชัน้ ศาล กไ็ มโ่ ปรดให้อรรถคดีค่งั ค้าง แม้ยามศึก หากคู่ความไม่ได้เข้ากองทัพหรือประจาราชการ
ต่างเมือง ก็โปรดให้ดาเนินการพิจารณาคดีไปตามปกติ ท้ังในการฟ้องร้อง ยังโปรดให้โจทย์หาหมอความแต่งฟ้องได้
เช่นเดียวกับปัจจุบันอีกด้วย วิธีพิจารณาคดีในสมัยนั้นสะท้อนให้เห็นได้แจ่มชัด ในบทละครรามเกียรต์ิตอนท้าวมาลีว
ราชพพิ ากษาความ พระราชนพิ นธ์ในสมเด็จพระเจา้ ตากสินกรุงธนบรุ ี

ดา้ นการทหาร
ทรงรวบรวมคนไทยที่แบ่งเป็นก๊กเป็นเหลา่ 5 ก๊ก และปราบปรามก๊กต่าง ๆ ทาสงครามกับพม่า ขยายพระราช

อาณาเขตไปยังหลวงพระบาง เวยี งจนั ทน์ และกมั พชู า

ดา้ นเศรษฐกจิ
เนอื่ งในสมยั กรุงธนบุรี เป็นระยะเวลาที่สร้างบา้ นเมืองกันใหม่ การคา้ เจริญรุง่ เรอื งทัง้ ของหลวงและของราษฎร

สมเดจ็ พระเจ้าตากสินมหาราชทรงทานบุ ารงุ การค้าขายทางเรอื อย่างเต็มที่ ทรงแต่งสาเภาหลวงออกไปค้าขายทางด้าน
ตะวันออกไปถึงเมืองจีน ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือถึงอินเดียตอนใต้ ผลประโยชน์ท่ีได้รับจากการค้าของหลวงช่วย
บรรเทาภาระภาษีของราษฎรไปได้มากสมเด็จ พระเจ้าตากสิน ฯ ทรงส่งเสริมการนาสินค้าพื้นเมืองไปขายทางเรือ
ซ่ึงอานวยผลประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่องานสร้างชาติ ทาให้ราษฎรมีงานทา มีรายได้ ทั้งยังฝึกให้คนไทยเช่ียวชาญ
การค้าขาย ป้องกนั มิให้การคา้ ตกไปอยู่ในมือต่างชาติ

ด้านการคมนาคม
ใน ยามว่างจากศึกสงคราม จะโปรดให้ตัดถนนและขุดคลองมากขึ้น เพื่อประโยชน์ในทางค้าขาย ทรงยกเลิก

ความคิดแนวเก่าที่ว่าหากถนนหนทาง การคมนาคมมีมากแล้ว จะเป็นการอานวยความสะดวกให้ข้าศึกศัตรู และพวก
ก่อการจลาจล แตก่ ลับทรงเห็นประโยชน์ในทางคา้ ขายมากกว่า ดงั นน้ั ในฤดูหนาวหากว่างจากศึกสงคราม ก็จะโปรดให้
ตัดถนน และขุดคลอง จะเห็นได้จากแนวถนนเก่า ๆ ในเขตธนบุรี ซ่ึงมีอยู่มากสาย ส่วนการขุดชาระคลองมักมี
วัตถุประสงคเ์ บื้องต้นเพ่อื ประโยชน์ทางยทุ ธศาสตร์ เชน่ คลองท่าขามจากนครศรธี รรมราชไปออกทะเล เป็นต้น

15

ดา้ นศลิ ปกรรม
ใน สมยั นี้ แมส้ มเดจ็ พระเจ้าตากสินกรุงธนบุรีจะมีการงานศึกสงครามแทบจะมิได้ว่างเว้นก็ ตาม แต่ก็ทรงหา

โอกาสฟ้ืนฟู และบารงุ ศลิ ปกรรมไทย โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง ทางด้านนาฏดุรยิ างค์ และวรรณกรรม ดา้ นนาฏดุริยางค์โปรด
ใหฟ้ นื้ ฟูอย่างเต็มที่ เพ่ือสร้างบรรยากาศที่รื่นเริงครึกคร้ืนเหมือนครั้งกรุงเก่านับเป็นวิธี บารุงขวัญที่ใกล้ตัวราษฎรท่ีสุด
พระราชทานโอกาสให้ประชาชนทั่วไป เปิดการสอนและออกโรงเล่นได้โดยอิสระ เครื่องแต่งกายไม่ว่าจะเป็นเคร่ืองต้น
เครื่องทรงกแ็ ตง่ กันไดต้ ามลกั ษณะ เรอ่ื ง แม้สมเดจ็ พระเจ้ากรุงธนบุรีเองก็คงจะทรงสนพระทัยในกิจการด้านนี้มิใช่น้อย
ด้วยมักจะโปรดให้มลี ะครและการละเลน่ อย่างมโหฬารในงานสมโภชอยู่เนอื ง ๆ

สมเด็จพระเจ้าตากสนิ กรงุ ธนบุรี ทรงพระราชนิพนธ์บทละครรามเกียรต์ิไว้ ๔ เล่ม สมุดไทยแบ่งเป็นตอนไว้ ๔
ตอน คือ

เลม่ 1 ตอนพระมงกุฎ
เลม่ 2 ตอนหนุมานเกย้ี ววานรนิ จนท้าวมาลีวราชมา
เล่ม 3 ตอนท้าวมาลีวราชพพิ ากษา จนทศกรรฐเ์ ข้าเมือง
เลม่ 4 ตอนทศกรรฐ์ตัง้ พธิ ีทรายกรด, พระลักษณต์ อ้ งหอกกบลิ พัสตร์ จนผกู ผมทศกรรฐก์ บั นางมณโฑ

การที่พระมหากษัตริย์ทรงใฝ่พระทัยในกวีนิพนธ์ถึงกับพระราชนิพนธ์ทั้ง ๆ ที่แทบจะมิได้ว่างเว้นจากราชการ
ทัพเช่นนี้ เท่ากับเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ที่มีความสามารถทางกวีนิพนธ์ในยุคน้ันสร้าง สรรค์งานข้ึนมาได้บ้าง แม้
เหตุการณ์ของบ้านเมืองจะยังมิได้คืนสู่สภาพปกติสุขดีนัก และสมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี ก็ทรงให้ความอุปถัมภ์
กวีในราชสานกั เปน็ อยา่ งดี

ดา้ นการชา่ ง
โปรดให้รวบรวมชา่ งฝมี อื และให้ฝึกงานชา่ งทุกแผนกเท่าที่มีครูสอน เช่น ช่างต่อเรือ ช่างก่อสร้าง ช่างรัก ช่าง

ประดับ ช่างเขียน เป็นต้น สาหรับงานช่างต่อเรือได้รับความนิยมมากท่ีสุด เพราะเป็นยุคที่มีการต่อเรือรบ และเรือ
สาเภาค้าขายเป็นจานวนมากมาย ช่างสมัยกรุงธนบุรีนี้อาจจะไม่มีเวลาทันสร้างผลงานดีเด่นเฉพาะสมัย แต่ก็ได้เป็นผู้
สบื ทอดศิลปกรรมแบบอยธุ ยาไปส่แู บบรัตนโกสนิ ทร์

ด้านการศกึ ษา
ในสมัยนั้นวัดเป็นแหลง่ ท่ใี ห้การศึกษา จงึ โปรดใหบ้ ารุงการศกึ ษาตามวัดต่างๆ และโปรดให้ตั้งหอหนังสือหลวง

ขน้ึ เชน่ เดียวกนั กับสมยั กรุงศรีอยธุ ยา ซงึ่ คงจะเทยี บไดก้ ับหอพระสมุดในระยะหลัง ส่วนตารับตาราที่กระจัดกระจายไป
เม่ือคราวกรุงแตก ก็โปรดให้สืบเสาะหามาจาลองไว้เป็นแบบฉบับ สาหรับผู้สนใจอาศัยคัดลอกกันต่อ ๆ ไป และท่ีแต่ง
ใหม่ก็มี

16

ด้านการศาสนา
โปรด ให้ปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่าง ๆ ที่รกร้างปรักหักพังตั้งแต่คร้ังพม่าเข้าเผาผลาญทาลายและกวาดต้อน

ทรพั ยส์ ิน ไปพม่า แล้วโปรดใหอ้ าราธนาพระภิกษุสงฆ์เข้าจาวัดต่าง ๆ ส่วนพระไตรปิฎกยังเหลือตกค้างอยู่ท่ีใด ก็โปรด
ให้คดั ลอกสรา้ งเป็นฉบับหลวง แล้วส่งคืนกลับไปทเี่ ดมิ เร่ืองสังฆมณฑล โปรดใหด้ าเนนิ ตามธรรมเนียมการปกครองคณะ
สงฆ์ท่ีมีมาแต่ก่อน โดยแยกเป็นฝ่ายคันถธุระและฝ่ายวิปัสสนาธุระฝ่ายคันถธุระดาเนินการศึกษาพระปริยัติธรรมให้
เจริญ ส่งเสริมการสอนภาษาบาลี เพ่ือช่วยการอ่านพระไตรปิฎกฝ่ายวิปัสนาธุระ โปรดให้กวดขันการปฏิบัติพระธรรม
วนิ ยั เปน็ ขัน้ ๆ ไปตามภูมิปฏิบัตสิ ่วน ลัทธอิ นื่ ๆ ในช้ันต้นสมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี พระราชทานเสรีภาพในการ
นับถือศาสนา แต่ต่อมาข้าหลวงที่เข้ารีต ได้พยายามห้ามปรามชาวไทยปฏิบัติพิธีการทางศาสนา เช่น พิธีถือ
น้าพระพิพัฒน์สัตยา ความขัดแย้งมีมากขึ้นเรื่อย ถึงกับจับพวกบาทหลวงกุมขังก็มี ในท่ีสุดพระองค์จาต้องขอให้
บาทหลวงไปจากพระราชอาณาเขต แล้วห้ามชาวไทยนับถือศาสนาครสิ ต์ ตัง้ แต่วนั ท่ี ๑ ธนั วาคม พ.ศ.๒๓๒๒

ด้านการศกึ สงคราม
ขณะ ท่ีพระยาตากได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เล่ือนตาแหน่งขึ้นเป็นพระยาวชิรปราการ (สิน) สาเร็จ

ราชการเมอื งกาแพงเพชรแทนเจ้าเมอื งเดมิ ท่ีถึงแก่กรรม แตก่ ย็ งั มิได้ไปครองเมืองกาแพงเพชร เพราะต้องต่อสู้กับข้าศึก
ในการป้องกันพระนครเม่ือพระยาวชิรปราการ (สิน) เล็งเห็นว่าถึงแม้จะอยู่ช่วยรักษาพระนครต่อไป ก็คงไม่ก่อให้เกิด
ประโยชน์อันใด พม่าก็ต้ังล้อมพระนครกระช้ันเข้ามาทุกขณะจนถึงคูพระนครแล้ว กรุงศรีอยุธยาคงไม่พ้นเง้ือมมือพม่า
เป็นแน่แท้ ไพร่ฟ้าข้าทหารในพระนครก็อิดโรยลงมาก เนื่องจากขัดสนเสบียงอาหาร ทหารไม่มีกาลังใจจะสู้รบ ดังน้ัน
พระยาวชิรปราการ (สิน) จึงตัดสินใจร่วมกับพระยาพิชัยอาสา พระเชียงเงิน หลวงพรหมเสนา หลวงราชเสน่หา ขุน
อภัยภักดี และพรรคพวก รวม ๕๐๐ คน ยกกาลังออกจากค่ายวัดพิชัย ตีฝ่าพม่าไปทางทิศตะวันออก เวลาค่าในวัน
เสาร์ เดอื นยี่ ข้นึ ๔ ค่า ปีจอ พ.ศ. ๒๓๐๙ ตรงกบั วันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๓๐๙ ทัพพม่าได้ส่งทหารไล่ติดตามพระยาว
ชริ ปราการ (สนิ ) และพรรคพวกมาทนั กนั ในวันรุ่งข้นึ ท่ี บา้ นโพธิส์ งั หาร พระยาวชิรปราการ (สนิ ) ได้นาพลทหารไทยจีน
เข้ารบกับทหารพม่าเป็นสามารถจนทหารพม่าแตกพ่ายไป และยังได้ยึดเครื่องศาสตราวุธอีกเป็นจานวนมาก แล้วออก
เดินทางไปต้งั พักท่บี ้านพรานนก เพอ่ื หาเสบียงอาหาร ระหว่างท่ที หารพระยาวชริ ปราการ (สิน) หาเสบียงอาหารอยู่น้ัน
ได้พบทัพพม่าจานวนพลข่ีม้าประมาณ ๓๐ ม้า พลเดินเท้าประมาณ ๒,๐๐๐ คน ยกทัพมาจากบางคาง แขวงเมือง
ปราจีนบุรี เพื่อเข้ารวมพลเข้าตีกรุงศรีอยุธยาในโอกาสต่อไป ทหารพระยาวชิรปราการ (สิน) จึงหนีกลับมาที่
บ้านพรานนก โดยมีทหารพม่าไล่ติดตามมาอย่างกระช้ันชิดและชะล่าใจ พระยาวชิรปราการ (สิน) จึงให้ทหารซ่ึ งเป็น
พลเดินเท้าแยกออกเป็นปีกกาเข้าตีโอบพวกพม่าท้ังสองข้าง ส่วนพระยาวชิรปราการ (สิน) กับทหารอีก 4 คน ก็ขี่ม้า
ตรงเขา้ ไล่ฟนั ทหารม้าพม่าซง่ึ นาทพั มาอย่างไม่ทนั รู้ตวั ก็แตกรน่ ไป ถึงพลเดินเท้า พวกทหารพระยาวชิรปราการได้ทีเข้า
รุกไล่ฆ่าฟันทหารพม่าจนแตกพ่ายไป การชนะในครั้งนี้ช่วยสร้างขวัญและกาลังใจให้ทหารพระยาวชิรปราการ (สิน)
เป็นอยา่ งมากในโอกาสสรู้ บกบั พมา่ ในโอกาสต่อไป

17

พวกราษฎรท่ีหลบซ่อนเร้นพม่าอยู่ได้ทราบกิตติศัพท์การรบชนะของพระยาวชิรปราการ (สิน) ต่อทหารพม่า
ตา่ งกม็ าขอเขา้ เป็นพวก และได้เป็นกาลังสาคัญในการเกลี้ยกล่อมผู้ท่ีต้ังตัวเป็นหัวหน้า นายซ่องต่าง ๆ มาอ่อนน้อมขุน
ชานาญไพรสนฑ์ และนายกองชา้ งเมืองนครนายก มีจิตสวามิภักด์ิได้นาเสบียงอาหารและช้างม้ามาให้เป็นกาลังเพิ่มข้ึน
ส่วนนายซ่องใหญ่ซึ่งมีค่ายคูยังทะนงตนไม่ยอมอ่อนน้อม พระยาวชิรปราการ (สิน) ก็คุมทหารไปปราบจนได้ชัยชนะ
แลว้ จึงยกทัพผา่ นเมืองนครนายกข้ามลานา้ เมือง ปราจีนบรุ ีไปต้งั พักทชี่ ายดงศรมี หาโพธิข์ า้ งฟากตะวันตก

ทหารพม่าเม่ือแตกพ่ายไปจากบ้านพรานนกแล้วก็กลับไปรายงานนายทัพที่ตั้งค่าย ณ ปากน้าเจ้าโล้
เมืองฉะเชิงเทรา ซึ่งกองทัพพม่ากองสุดท้ายที่รวบรวมกาลังกันท้ังทัพบกทัพเรือไปรอดัก พระยาวชิรปราการ (สิน)
อยู่ ณ ท่ีน้ัน และตามทัพพระยาวชิรปราการ (สิน) ทันกันท่ีชายทุ่ง พระยาวชิรปราการ (สิน) เห็นว่าจะต่อสู้กับข้าศึก
ซงึ่ ๆ หน้าไม่ได้ อีกทั้งมีกาลังน้อยกว่ายากท่ีจะเอาชัยชนะแก่พม่าได้ จึงเลือกเอาชัยภูมิพงแขมเป็นกาบังแทนแนวค่าย
และแอบต้ังปืนใหญ่น้อยรายไว้หมายเฉพาะทางท่ีจะล่อพม่าเดินเข้ามา แล้วพระยาวชิรปราการ (สิน) ก็นาทหาร
ประมาณ ๑๐๐ คนเศษ คอยรบพม่าท่ีท้องทุ่ง ครั้นเม่ือรบกันสักพักหน่ึงก็แกล้งทาเป็นถอยหนีไปทางช่องพงแขมที่ตั้ง
ปืน ใหญเ่ ตรยี มไว้ ทหารพมา่ หลงกลอุบายรุกไล่ตามเข้าไปก็ถูกทหารไทยระดมยิงและตีกระหนาบเข้ามา ทางด้านหน้า
ขวา และซ้าย จนทหารพม่าไม่มีทางจะต่อสู้ได้ต่อไปทาให้ทหารพม่าล้มตายเป็นจานวนมาก ท่ีรอดตายต่างถอยหนี
อย่างไม่เป็นกระบวนก็ถูกพระยาวชิรปราการ (สิน) นาทหารไล่ติดตามฆ่าฟันล้มตายอีก นับต้ังแต่นั้นมาทหารพม่าก็ไม่
กลา้ จะตดิ ตามพระยาวชิรปราการ (สิน) อีกตอ่ ไป

เมื่อพระยาวชิรปราการ (สิน) ได้ชัยชนะพม่าแล้วได้ยกทัพผ่านบ้านทองหลาง พานทอง บางปลาสร้อย
บ้านนาเกลือ เขตเมืองชลบุรี ต่างก็มีผู้คนเข้าร่วมสมทบมากข้ึนจนมีร้ีพลเป็นกองทัพ จากน้ันพระยาวชิรปราการ (สิน)
ก็เดินทางไปเมืองระยอง โดยหมายจะเอาเมืองระยองเป็นที่ต้ังมั่นต่อไป ครั้นถึงเมืองระยอง พระยาระยองช่ือบุญ เห็น
กาลังพลของพระยาวชิรปราการมีจานวนมากมายที่จะต้านทานได้จึงพากันออกมา ต้อนรับ พระยาวชิรปราการ (สิน)
จึงตั้งค่ายท่ีชานเมืองระยอง ขณะน้ันมีพวกกรมการเมืองระยองหลายคนแข็งข้อคิดจะสู้รบ จึงได้ยกกาลังเข้าปล้นค่าย
ในคืนวันที่สองท่ีหยุดพัก แต่พระยาวชิรปราการ (สิน) รู้ตัวก่อน จึงได้ดับไฟในค่ายเสียและมิให้โห่ร้องหรือยิงปืนตอบ
รอจนพวกกรมการเมืองเข้ามาได้ระยะทางปืน พระยาวชิรปราการ (สิน) ก็ส่ังยิงปืนไปยังพวกที่จะแหกค่ายด้านวัดเนิน
พวกท่ีตามหลงั มาต่างก็ตกใจและถอยหนี พระยาวชิรปราการ (สนิ ) คุมทหารตดิ ตามไปเผาค่ายและยึดเมืองระยองได้ใน
คนื นน้ั

การท่พี ระยาวชริ ปราการ (สิน) เขา้ ตีเมืองระยองได้และกรุงศรีอยุธยายังมิได้เสียทีแก่พม่าแต่ประการใด จึงถือ
เสมือนเป็นผู้ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง ดังนั้น พระยาวชิรปราการ (สิน) ก็ระวังตนมิได้คิดต้ังตัวเป็นกบฏ และให้เรียก
คาส่งั ว่า พระประศาสน์อย่างเจ้าเมอื งเอก พวกบริวารจึงเรียกว่า เจ้าตาก ตัง้ แต่นั้นมา

เม่ือเจ้าตากต้ังตัวเป็นอิสระที่เมืองระยอง ส่วนเมืองอ่ืน ๆ ทางหัวเมืองชายทะเลตะวันออกนับตั้งแต่เมืองบาง
ละมุง เมอื งชลบรุ ี เมืองจันทบุรี เมืองตราด ต่างก็ยังเป็นอิสระ เจ้าตากจึงมีความคิดท่ีจะรวบรวมเมืองต่าง ๆ เหล่าน้ีไว้
เปน็ พวกเดียวกนั เพอื่ ชว่ ยกนั ปราบปรามพม่าที่ล้อมกรุงศรอี ยธุ ยา และเลง็ เห็นว่าเมืองจันทบรุ เี ป็นเมืองใหญ่กว่าหัวเมือง
อื่น มีเจ้าปกครองอยู่เป็นปกติมีกาลังคนและอาหารบริบูรณ์ ชัยภูมิก็เหมาะท่ีจะใช้เป็นที่ตั้งมั่นย่ิงกว่าหัวเมืองใกล้เคียง

18

ทั้งหลาย จึงแต่งทูตให้ถือศุภอักษรไปชักชวนพระยาจันทบุรีช่วยกันปราบปรามข้าศึก ในครั้งแรกได้ตอบรับทูตโดยดี
และรบั ว่าจะมาปรกึ ษาหารือกบั เจา้ ตากเกรงจะถูก ชงิ เมืองจึงไม่ยอมไปพบ

คร้ันถึงเดือน ๕ ปีกุน พ.ศ. ๒๓๑๐ ข่าวกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าเมื่อวันท่ี ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ แล้ว
กม็ ีคนไทยทม่ี สี มคั รพรรคพวกมากต่างก็ตั้งตัวเป็นใหญ่พระยาจันทบุรียังไม่ยอม เป็นไมตรีกับเจ้าตาก ส่วนขุนรามหม่ืน
ซ่อง กรมการเมืองระยองผู้หน่ึงที่เคยปล้นค่ายเจ้าตากก็ไปซ่องสุมผู้คนอยู่ท่ี เมืองแกลง ซึ่งขณะนั้นข้ึนกับเมืองจันทบุรี
และคอยปล้นชิงช้างม้าพาหนะของเจ้าตาก เจ้าตากจึงยกกาลังไปปราบ ขุนรามหมื่นซ่องสู้ไม่ได้หนีไปอยู่กับพระยา
จนั ทบรุ ี ครนั้ เจา้ ตากจะยกพลติดตามไปกพ็ อดีไดข้ ่าววา่ ทางเมืองชลบุรี นายทองอย่นู กเล็กตงั้ ตัวเป็นใหญ่ ผู้ใดจะเข้ากับ
เจ้าตาก นายทองอยู่นกเล็กก็จะยึดเอาไว้เสีย เจ้าตากจึงรีบยกทัพไปเมืองชลบุรีแล้วส่งเพ่ือนฝูงของนายทองอยู่นกเล็ก
เกล้ีย กล่อม นายทองอยู่นกเล็กเห็นจะสู้รบไม่ไหวจึงยอมอ่อนน้อม เจ้าตากจึงตั้งนายทองอยู่นกเล็กเป็นพระยาอนุราฐ
บุรี ตาแหนง่ ผวู้ ่าราชการเมืองชลบุรี แล้วก็เลิกทพั กลบั

ฝ่ายพระยาจันทบุรีได้ปรึกษากับขุนรามหม่ืนซ่องเห็นว่าจะรบพุ่งเอาชนะเจ้าตากซึ่ง หน้าคงจะชนะยาก ด้วย
เจ้าตากมีฝีมือเข้มแข็งท้ังร้ีพลก็ชานาญศึก จึงคิดกลอุบายจะโจมตีกองทัพเจ้าตากขณะกาลังข้ามน้าเข้าเมืองจันทบุรี
โดยนมิ นต์พระสงฆ์ 4 รูป เป็นทูตมาเชิญเจ้าตากไปต้ังท่ีเมืองจันทบุรี แต่ในระหว่างเจ้าตากเดินทางจะข้ามน้าเข้าเมือง
จันทบุรีอยู่น้ันได้มีผู้ มาบอกให้เจ้าตากทราบกลอุบายน้ีเสียก่อน เจ้าตากจึงให้เล้ียวกระบวนทัพไปตั้งท่ีชายเมืองด้าน
เหนือบริเวณวดั แก้ว ห่างประตทู า่ ชา้ งเมอื งจันทบุรปี ระมาณ 5 เสน้ แลว้ เชญิ พระยาจันทบุรีออกมาหาเจ้าตากก่อนท่ีจะ
เข้าเมือง แต่พระยาจันทบุรีไม่ยอมออกมาต้อนรับพร้อมกับระดมคนประจารักษาหน้าที่ เชิงเทินเจ้า ตากได้ทบทวนถึง
สถานการณ์ต่าง ๆ แล้ว เห็นว่าแม้ข้าศึกจะคร่ันคร้ามฝีมือไม่กล้าโจมตีซ่ึงหน้าก็ตาม แต่ฝ่ายพระยาจันทบุรีมีจานวน
มากกวา่ ถา้ เจ้าตากล่าถอยไปเม่ือใด ทัพจนั ทบุรกี ็จะลอ้ มไล่ตีไดห้ ลายทาง เพราะไม่มีเสบียงอาหาร เจ้าตากจึงตัดสินใจ
จะตอ้ งเข้าตีเมอื งจนั ทบุรีในคา่ วันนใี้ หไ้ ด้ และแสดงออกถงึ น้าใจอนั เดด็ เด่ยี วโดยสัง่ นายทพั นายกองว่า

19

๕. พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระปยิ มหาราช

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยะมหาราช พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชา เป็นที่รักย่ิง
ของประชาชน ทรงนาประเทศชาติรอดพ้นจากการตกเป็นเมืองข้ึนของประเทศมหาอานาจหลายคร้ัง จนประเทศไทย
เป็นประเทศเดียวในเอเซียเฉียงใต้ ที่รอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้น ทรงปรับปรุงประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียม
อารยะประเทศ ทรงโปรดให้เลกิ ทาส ใหม้ กี ารรถไฟ การไปรษณีย์ การไฟฟ้าและการประปาขึ้นเปน็ ครงั้ แรก

พระราชประวตั ิ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๓๙๖ เป็น
พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่ีประสูติแต่กรมสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ (ต่อมา
ภายหลงั ในสมัยรชั กาลที่ ๖ ได้มกี ารเปลยี่ นแปลงพระนามเจา้ นายฝา่ ยในให้ถูกต้องชดั เจนตามโบราณราชประเพณีนิยม
ยคุ ถดั มาเปน็ สมเดจ็ พระเทพศริ นิ ทราบรมราชิน)ี ไดร้ ับพระราชทานนามวา่ สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพ
มหามงกุฎ บุรุษยรัตนราชรวิวงศ์วรุตมพงศบริพัตร สิริวัฒนราชกุมาร พระองค์ทรงมีพระขนิษฐาและพระอนุชารวม ๓
พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ และ สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์
กรมพระยาภาณุพนั ธุวงศว์ รเดช

20

วันท่ี ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๐๔ สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์ ได้รับการสถาปนาให้ข้ึนทรงกรมเป็น สมเด็จ
พระเจา้ ลูกยาเธอ เจา้ ฟา้ จุฬาลงกรณ์ กรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ และเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๙ พระองค์ทรงผนวชตามราช
ประเพณี ณ วัดบวรนเิ วศวหิ าร ภายหลังจากการทรงผนวช พระองค์ได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยขึ้นเป็น สมเด็จพระ
เจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๑๐ โดยทรงกากับราชการกรมมหาดเล็ก
กรมพระคลงั มหาสมบัติ และกรมทหารบกวังหน้า

วันท่ี ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๐ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตภายหลังทรงเสด็จออก
ทอดพระเนตรสุริยุปราคา โดยก่อนทพี่ ระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัวจะสวรรคตนั้น ได้มีพระราชหัตถเลขาไว้ว่า
"พระราชดาริทรงเห็นว่า เจ้านายซ่ึงจะสืบพระราชวงศ์ต่อไปภายหน้า พระเจ้าน้องยาเธอก็ได้ พระเจ้าลูกยาเธอก็ได้
พระเจ้าหลานเธอก็ได้ ให้ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ปรกึ ษากันจงพร้อม สุดแล้วแต่จะเห็นดีพร้อมกันเถิด ท่านผู้ใดมีปรีชาควรจะ
รักษาแผ่นดินได้ก็ให้เลือกดูตามสมควร" ดังนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเสด็จสวรคต จึงได้มีการประชุม
ปรึกษาเรอื่ งการถวายสิรริ าชสมบตั แิ ดพ่ ระเจา้ แผน่ ดนิ พระองค์ใหม่ ซึ่งในที่ประชุมนั้นประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์
ข้าราชการชัน้ ผู้ใหญ่ และพระสงฆ์ โดยพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทเวศร์วัชรินทร์ ได้เสนอสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวข้ึน
เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ซ่ึงท่ีประชุมน้ันมีความเห็นพ้องเป็นเอกฉันท์ ดังน้ัน พระองค์จึงได้รับการทูลเชิญให้ข้ึนครองราช
สมบัติต่อจากสมเด็จพระราชบดิ า โดยในขณะน้ันทรงมีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา ดังนั้น จึงได้แต่งต้ังเจ้าพระยาศรีสุ
ริยวงศ์ เป็นผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ จนกว่าพระองค์จะทรงมีพระชนมพรรษครบ 20 พรรษา โดยทรงประกอบ
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรก เม่ือวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๑ โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีพระนามตามจารึกในพระ
สุบรรณบฎั ว่า

" พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฏ บุรุษรัตนราชรวิวงศ วรุตมพงศ
บรพิ ัตร วรขตั ิยราชนกิ โรดม จาตรุ นั บรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ อุภโตสุชาติสังสุทธเคราะหณี จักรีบรมนาถ อดิศวร
ราชรามวรังกูร สภุ าธิการรงั สฤษดิ์ ธัญลักษณวิจิตรโสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประนตบาทบงกชยุคล ประสิทธิ
สรรพศุภผลอุดม บรมสุขุมมาลย์ ทิพยเทพาวตารไพศาลเกียรติคุณอดุลยวิเศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ วิสิษฐศักดิ์สมญา
พินิตประชานาถ เปรมกระมลขัติยราชประยูร มูลมุขราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต มหันตวรฤทธิเดช สรรวิเศษสิริ
นทร อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิ์วรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปดลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัตโนปลักษณมหา
บรมราชาภิเษกาภิลิต สรรพทศทิศวิชิตชัย สกลมไหสวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทร มหารามาธิราชวโรดม บรม
นาถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตยรัตนสรณารกั ษ์ อดุลยศกั ดอ์ิ รรคนเรศราธบิ ดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย อโนปมัยบุญการ
สกลไพศาล มหารษั ฎาธิบดินทร ปรมินทรธรรมิกหาราชาธิราช บรมนาถบพติ ร พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจา้ อยูห่ ัว"

เมอ่ื พระองคท์ รงมพี ระชนมายุครบ ๒๐ พรรษา จึงทรงลาผนวชเป็นพระภิกษุ และได้มีการจัดพระราชพิธีบรม
ราชาภิเษกครั้งท่ี ๒ ข้ึน เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๑๖ โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยในครั้งน้ีว่า
พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาจฬุ าลงกรณฯ์ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีพระนามตามจารึกในพระสุบรรณบัฎ
วา่

21

" พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฏ บุรุษรัตนราช รวิวงศ วรุตมพงศ
บรพิ ัตร วรขตั ยิ ราชนกิ โรดม จาตรุ นั ตบรมมหาจกั รพรรดริ าชสงั กาศ อุภโตสชุ าติสังสุทธเคราะหณี จกั รีบรมนาถ อดิศวร
ราชรามวรังกูร สุจริตมูลสุสาธิต อรรคอุกฤษฏไพบูลย์ บุรพาดูลย์กฤษฎาภินิหาร สุภาธิการรังสฤษด์ิ ธัญลักษณวิจิตร
โสภาคยสรรพางค์ มหาชโนตมางคประณต บาทบงกชยุคล ประสิทธิสรรพศุภผลอุดมบรมสุขุมมาลย์ ทิพยเทพาวตาร
ไพศาลเกยี รติคณุ อดุลยพเิ ศษ สรรพเทเวศรานุรักษ์ วิสิษฐศักดิ์สมญาพินิตประชานาถ เปรมกระมลขัติยราชประยูร มูล
มขุ มาตยาภิรมย์ อุดมเดชาธิการ บริบูรณ์คุณสารสยามาทินครวรุตเมกราชดิลก มหาปริวารนายกอนันต์ มหันตวรฤทธิ
เดช สรรวิเศษสิรินทร อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ ประสิทธิ์วรยศมโหดมบรมราชสมบัติ นพปดลเศวตฉัตราดิฉัตร สิริรัต
โนปลักษณมหาบรมราชาภิเษกาภิลิต สรรพทศทิศวิชิตชัย สกลมไหศวริยมหาสวามินทร์ มเหศวรมหินทรมหารามาธิ
ราชวโรดม บรมนาถชาติอาชาวศรัย พุทธาทิไตรรัตนสรณารักษ์ อดุลยศักดิ์อรรคนเรศราธิบดี เมตตากรุณาสีตลหฤทัย
อโนปมัยบุญการ สกลไพศาลมหารัษฎาธิบดินทร ปรมินทรธรรมิกหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจุลจอมเกล้า
เจา้ อยหู่ ัว"

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัวเสดจ็ สวรรคตดว้ ยโรคพระวกั กะ เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓
เวลา ๒.๔๕ นาฬิกา รวมพระชนมายไุ ด้ ๕๘ พรรษา

พระมเหสี พระราชนิ ี เจา้ จอม พระราชโอรส และ พระราชธดิ า

พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั ทรงมีพระมเหสี และ เจ้าจอม รวมทัง้ หมด ๙๒ พระองค์ โดย ๓๖
พระองค์มพี ระราชโอรส-ธดิ า อีก ๕๖ พระองค์ไมม่ ี และพระองค์ทรงมีพระราชโอรส-ธิดา รวมทง้ั สน้ิ ๗๗ พระองค์

พระราชกรณยี กจิ ทส่ี าคญั

พระราชกรณียกจิ ที่สาคัญของรัชกาลที่ 5 ได้แก่ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีเลิกทาส การป้องกันการเป็น
อาณานิคมของฝรั่งเศส และจักรวรรดิอังกฤษ ได้มีการประกาศออกมาให้มีการนับถือศาสนาโดยอิสระในประเทศ โดย
บคุ คลศาสนาครสิ ต์และศาสนาอสิ ลามสามารถปฏิบัติการในศาสนาไดอ้ ยา่ งอิสระ นอกจากน้ีได้มีมีการนาระบบจากทาง
ยุโรปมาใช้ในประเทศไทย ได้แก่ระบบการใช้ธนบัตรและเหรียญบาท ใช้ระบบเขตการปกครองใหม่ เช่น มณฑล
เทศาภิบาล จังหวัดและอาเภอ และได้มีการสร้างรถไฟ สายแรก คือ กรุงเทพฯ ถึง เมืองนครราชสีมา ลงวันท่ี ๑
มนี าคม ร.ศ.๑๐๙ ซึ่งตรงกบั พทุ ธศกั ราช ๒๔๓๓ นอกจากน้ไี ด้มงี านพระราชนิพนธ์ ท่ีสาคัญ

22

การเสยี ดินแดนให้ฝรั่งเศส

คร้ังท่ี ๑ เสียแคว้นเขมร (เขมรส่วนนอก) เนื้อท่ีประมาณ ๑๒๓,๐๕๐ ตารางกิโลเมตร และเกาะอีก ๖ เกาะ
วันท่ี ๑๕ กรกฎาคม ๒๔๑๐

ครัง้ ท่ี 2 เสยี แควน้ สบิ สองจไุ ท หวั พนั หา้ ท้งั หก เมอื งพวน แควน้ หลวงพระบาง แคว้นเวียงจันทน์ คาม่วน และ
แคว้นจาปาศักดิ์ฝั่งตะวันออก (หัวเมืองลาวท้ังหมด) โดยยึดเอาดินแดนสิบสองจุไทย และได้อ้างว่าดินแดนหลวงพระ
บาง เวียงจันทน์ และนครจาปาศักดิ์ เคยเป็นประเทศราชของญวนและเขมรมาก่อน จึงบีบบังคับเอาดินแดนเพ่ิมอีก
เนอื้ ท่ีประมาณ ๓๒๑,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร วันท่ี ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๓๑ ฝรั่งเศสข่มเหงไทยอย่างรุนแรงโดยส่งเรือ
รบลว่ งเขา้ มาในแม่น้าเจา้ พระยา เมื่อถงึ ปอ้ มพระจุลจอมเกลา้ ฝ่ายไทยยิงปืนไม่บรรจุกระสุน ๓ นัดเพ่ือเตือนให้ออกไป
แต่ทางฝรั่งเศสกลับระดมยิงปืนใหญ่เข้ามาเป็นอันมาก เกิดการรบกันพักหน่ึง ในวันท่ี ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๖
ฝรงั่ เศสนาเรือรบมาทอดสมอ หน้าสถานทตู ของตนในกรุงเทพฯ ไดส้ าเร็จ (ท้ังน้ีประเทศอังกฤษ ได้ส่งเรือรบเข้ามาลอย
ลาอยู่ ๒ ลา ที่อ่าวไทยเช่นกัน แต่มิได้ช่วยปกป้องไทยแต่อย่างใด) ฝรั่งเศสย่ืนคาขาดให้ไทย ๓ ข้อ ให้ตอบใน ๔๘
ชวั่ โมง เนอ้ื หา คอื

ให้ไทยใชค้ า่ เสยี หายสามลา้ นแฟรงค์ โดยจา่ ยเป็นเหรียญนกจากเงินถุงแดง พร้อมส่งเช็คใหส้ ถานทตู ฝรั่งเศส
แถวบางรัก

ให้ยกดนิ แดนบนฝัง่ ซ้ายแมน่ า้ โขงและเกาะตา่ งๆ ในแม่น้าด้วย
ใหถ้ อนทัพไทยจากฝง่ั แม่น้าโขงออกใหห้ มดและไม่สร้างสถานที่สาหรับการทหาร ในระยะ ๒๕ กิโลเมตร ทาง
ฝ่ายไทยไม่ยอมรบั ในข้อ ๒ ฝรงั่ เศสจงึ สง่ กองทัพมาปิดอา่ วไทย เมื่อวนั ท่ี ๒๖ กรกฎาคม – ๓ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๓๖
และยึดเอาจังหวัดจันทบรุ กี บั จงั หวดั ตราดไว้ เพ่ือบงั คับให้ไทยทาตาม
ไทยเสยี เนื้อทีป่ ระมาณ ๕๐,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ให้แก่ฝรงั่ เศส ในวันท่ี ๓ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๓๖ และฝรัง่ เศสได้ยดึ
เอาจันทบรุ ีกับตราด ไวต้ ่ออีก นานถึง ๑๑ ปี (พ.ศ. ๒๔๓๖- พ.ศ. ๒๔๔๗)
ปี พ.ศ. ๒๔๔๖ ไทยตอ้ งทาสัญญายกดนิ แดนให้ฝรงั่ เศสอีก คอื ยกจังหวดั ตราดและเกาะใตแ้ หลมสิงห์ลงไป (มีเกาะ
ช้างเป็นตน้ ) ไปถึง ประจันตคีรีเขตร์ (เกาะกง) ดงั นั้นฝร่งั เศสจงึ ถอนกาลงั จากจนั ทบรุ ีไปต้งั ทีต่ ราด ในปี พ.ศ. ๒๔๔๗
วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ ไทยต้องยกดินแดนมณฑลบูรพา คอื เขมรสว่ นใน ได้แก่เสียมราฐ พระตะบอง และ
ศรโี สภณ ให้ฝรง่ั เศสอกี ฝร่ังเศสจงึ คืนจังหวัดตราดให้ไทย รวมถึงเกาะท้งั หลายจนถงึ เกาะกูด รวมแลว้ ในคราวน้ี ไทย
เสยี เน้ือทป่ี ระมาณ ๖๖,๕๕๕ ตารางกโิ ลเมตร
และไทยเสียดนิ แดนอกี คร้ังทางดา้ นขวาของแม่น้าโขง คืออาณาเขต ไซยะบลู ี และ จาปาศักดติ์ ะวนั ตก ในวนั ที่
๒๓ กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๐

23

การเสยี ดนิ แดนให้องั กฤษ
เสยี ดินแดน รฐั ไทรบรุ ี รฐั กลันตัน รฐั ตรังกานู และรฐั ปะลิส ใหอ้ งั กฤษ เม่ือ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๑

( นบั อยา่ งใหม่ พ.ศ. ๒๔๕๒) เพอ่ื ขอกเู้ งนิ ๔ ล้านปอนด์ทองคาอตั ราดอกเบยี้ ๔% ตอ่ ปี มีเวลาชาระหนี้ ๔๐ ปี

พระราชปณิธาน

พระราชบิดาของฉัน ได้ทรงสละเวลาเป็นส่วนใหญ่ ในการศึกษาและคุ้มครองศาสนาของชาติ ส่วนฉันได้ข้ึน
ครองราชย์ในขณะอายุยังน้อย จึงไม่มีเวลาท่ีจะเป็นนักศึกษาอย่างพ่อ ฉันเองมีความสนใจในการศึกษาหนังสือ
หลักธรรมต่างๆ สนใจท่ีจะคุ้มครองศาสนาของเรา และต้องการให้มหาชนท่ัวไปมีความเข้าใจถูกต้อง ดูเหมือนว่า
ถ้าชาวยโุ รปเชื่อในคาสอนของคณะมชิ ชนั นารีว่า ศาสนาของเราโง่งมงาย และชั่วทราม คนทั้งหลายก็จะต้องถือว่าพวก
เราเป็นคนโง่งมงายและชั่วทรามไปด้วย ฉันจึงรู้สึกขอบคุณบรรดาบุคคล เช่น ท่านเป็นตัวอย่าง ท่ีสอนชาวยุโรปให้
ความคารวะแกศ่ าสนาของเรา

พระราชนพิ นธ์

ทรงมีพระราชนพิ นธ์ ทง้ั หมด 10 เรอ่ื ง
๑. ไกลบ้าน
๒. เงาะปา่
๓. นิทราชาครติ
๔. อาบหู ะซนั
๕. พระราชพธิ สี ิบสองเดือน
๖. กาพยเ์ หเ่ รอื
๗. คาเจรจาละครเร่อื งอเิ หนา
๘. ตารากบั ข้าวฝร่งั
๙. พระราชวจิ ารณจ์ ดหมายเหตคุ วามทรงจาของกรมหลวงนรินทรเทวี
๑๐. โคลงบรรยายภาพรามเกียรติ์

24

๖.พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช

ปฐมกษตั ริยแ์ ห่งราชวงศ์จักรี ผทู้ รงสรา้ งกรงุ เทพมหานครเป็นราชธานขี องไทย ทรงกระทาศึกสงครามกบั พมา่
หลายคร้ัง ขยายอาณาเขตออกไปอยา่ งกวา้ งขวาง ทรงสร้างปราสาทราชวงั ทรงอัญเชิญพระแก้วมรกตมาจากเวยี ง
จนั ทร์ สรา้ งวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และวดั อน่ื ๆ ทรงรือ้ ฟ้ืนสงั คยานาพระไตรปิฎก รวบรวมกฎหมายตราสามดวง
และโปรดใหแ้ ต่งบทละครต่างๆ ขึ้นแทนของเก่าท่ีถูกพมา่ เผาทาลาย

พระราชประวัติ

พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลก องค์ปฐมกษัตรยิ ์แหง่ ราชวงศ์จกั รี มีพระนามเดมิ วา่ ด้วง เป็นบุตรคน
ท่ี ๔ จากท้ังหมด ๕ คน ของนายทองดี หรือต่อมาได้เป็นหลวงพินิจอักษร เสมียนตราในกรมมหาดไทยกับนางหยก
หลานสาวของเจา้ พระยาอภยั ราชา ซงึ่ ดารงตาแหน่งสมหุ นายก ประสูตเิ มอ่ื วนั พุธที่ ๒๑ มนี าคม พทุ ธศกั ราช ๒๒๗๙
เม่ือเด็กชายด้วง มีอายุครบ ๑๓ ปี บิดามารดาได้ทาพิธีตัดจุกให้ จากนั้นจึงได้ถวายตัว ให้เป็นมหาดเล็กของ เจ้าฟ้า
อุทุมพร กรมขุนพรพินิต รัชทายาทแห่งองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ กระท่ัง นายด้วงมีอายุครบ ๒๒ ปี จึงได้
อุปสมบทเป็นพระภิกษุท่ีวัดมหาทลาย เม่ือปีพุทธศักราช ๒๓๐๐ ระหว่างที่จาพรรษาอยู่ พระภิกษุด้วงได้มีโอกาสรู้จัก
เป็นมิตรกับพระภิกษุหยง(หรือนายหยง แซ่แต้ บุตรจีนไหหง และนางนกเอ้ียง ซ่ึงต่อมาก็คือ สมเด็จพระเจ้าตากสิน
มหาราช ) ซึ่งได้บวชจาพรรษาอยู่ท่ีวัดโกษาวาสน์ ก่อนที่นายด้วงจะอุปสมบทประมาณ ๓ พรรษา ต่อมาเม่ือลา
สกิ ขาบทแล้ว นายหยงและนายด้วงก็ได้มโี อกาสเขา้ รับราชการ ต่อมาในตอน ปลายแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา โดยนายหยง

25

ได้เป็นตาแหน่งหลวงยกกระบัตรเมืองตาก และได้เปล่ียนช่ือใหม่เป็น"นายสิน" ส่วนนายด้วงก็รับราชการด้วยดีจนได้
เป็น หลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี บิดามารดาเมื่อเห็นว่านายด้วงได้บวชเรียนและ มีงานทาเป็นหลักฐานแล้ว จึงได้
ไปส่ขู อ ลกู สาวเศรษฐใี หญ่ชาวอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ชื่อ นางสาวนาค ให้สมรสกับหลวงยกกระบัตร เมือง
ราชบรุ ี ครั้นเมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียทีถูกพม่ายึด หลวงยกกระบัตรเมืองตากซึ่งตอนนั้นได้ ้เล่ือนตาแหน่งเป็นพระยาวชิร
ปราการ เจา้ เมืองกาแพงเพชร ไดท้ าการรวบรวมผูค้ น ซ่งึ แตกกระจายกัน เป็นก๊กเป็นเหล่าต่างๆ มากมายแล้วพากัน
มาต่งั มน่ั อยทู่ ่ีจนั ทบรุ ี เพือ่ คอยหาโอกาสกอบกเู้ อกราช ของชาติไทยกลบั คืนมา และเมื่อรวบรวมกาลังพล ได้พอสมควร
แลว้ พระยาวชิรปราการ หรือพระยาตากจึงได้ยกกองทัพซึ่งมีกาลังพล ประมาณ ๕,๐๐๐ คน โดยทางเรือจากจันทบุรี
มายังกรุงธนบุรี และสามารถยึดกรุงธนบุรี กี ลับคืนมาได้ จากนั้นจึงเคลื่อนทัพข้ึนไปยังกรุงศรีอยุธยา แล้วเข้าตีพม่า
ทคี่ า่ ยโพธิส์ ามตน้ แตก จนนายทพั พม่า ทีเ่ รยี กกนั ว่า สคุ ยี (ภาษาพม่าหมายถงึ นายกอง แต่คนไทยเอามาเรียกเป็นช่ือว่า
สุก้ี) ตายในที่ราบ ส่วนพวกพม่าท่ีเหลือหนีเตลิดไป จึงเป็นอันกอบกู้เอกราชของชาติกลับคืนมาได้เมื่อวันเสาร์ท่ี ๒๓
ตุลาคม พทุ ธศักราช ๒๓๑๐ จากน้นั พระยาตากจงึ ทาการอพยพผ้คู นมายังกรุงธนบุรี ด้วยเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาถูกพม่า
ทาลายจนเสียหายยากแก่การบูรณะซ่อมแซม ให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้ ประกอบกับกรุงธนบุรีมีชัยภูมิที่ดีกว่าและ
พอเหมาะกับกาลังไพร่พลที่มีอยู่ท่ีจะสามารถรักษาเมืองไว้ได้ จึงทรงประกาศตั้งกรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวงใหม่ของไทย
พร้อมกับประกอบพระราชพิธีปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ไทยทรงพระนามว่า พระบรมราชาธิราชท่ี ๔ ขึ้นเมื่อ
วันพุธท่ี ๒๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๓๑๑ แต่ประชาชนทั่วไปมักเรียกพระองค์ว่า สมเด็จพระเจ้าตากสิน บ้างก็
เรียกว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ต่อมาทรงได้รับการเฉลิมพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ภายหลงั จากที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงปราบดาภิเษกข้ึนเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้วได้ทรงรวบรวมญาติพี่น้อง
เพื่อสถาปนาข้ึนเป็นพระบรมราชวงศ์ รวมท้ังปูนบาเหน็จให้แก่บรรดาแม่ทัพนายกอง และ ผู้ร่วมกอบกู้ชาติจนได้รับ
เอกราชในครั้งน้ีอยา่ งถ้วนหนา้ ซึง่ ก็รวมไปถึงหลวงยกบตั รเมอื งราชบรุ ี เพื่อนเก่าท่ีชอบพอ และ ร่วมเป็นร่วมตายในการ
ศึกน้ีด้วย โดยโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์ข้ึนเป็น พระราชวรินทร์ เจ้ากรมพระตารวจขวานอก แล้วให้เข้ามารับ
ราชการใกล้ชิด พระราชวรินทร์ได้รับราชการสนองพระบรมราชโองการสมเด็จพระเจ้าตากสินด้วยความเข้มแข็ง
ซ่ือสัตย์สุจริตและจงรักภักดีเป็นที่ยิ่ง จนได้รับอาญาสิทธ์ิและเล่ือนบรรดาศักดิ์สูงข้ึนหลังจากที่ได้ออกไปในการศึก
สงคราม ตามลาดับดงั นี้

ครง้ั ที่ ๑ เป็นแม่ทัพออกไปรบและสามารตีด่านขุนทด เมืองนครราชสีมาและนครเสียมราชได้สาเร็จ จึงได้รับ
เล่อื นบรรดาศกั ดิเ์ ป็น พระยาอภยั รณฤทธ์ิ จางวางกรมพระตารวจ

ครั้งท่ี ๒ เป็นแม่ทัพยกกาลังไปตีเขมรได้เมืองพระตะบอง และเมืองเสียมราช แต่ต้องเลิกทัพกลับมาก่อน
เพราะไดร้ ับขา่ วลือทีว่ ่า สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินเสด็จสวรรคตแล้ว

คร้ังท่ี ๓ เมื่อพระชนมายได้ ๓๔ พรรษาได้ตามเสด็จฯ สมเด็จพระเจ้าตากสินไปปราบปรามพระเจ้าฝาง
จนได้รับชัยชนะ และได้รบั เล่ือนยศเปน็ พระยายมราช วา่ ทส่ี มุหนายก

คร้ังที่ ๔ ในปีพุทธศักราช ๒๓๑๒ ขณะท่ีมีพระชนั ษาได้ ๓๕ พรรษาทรงไดร้ บั พระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ
ให้เปน็ เจา้ พระยาจกั รี สบื แทนเจา้ พระยาจักรี(แขก) ท่ีถึงแกอ่ สัญกรรมไป พร้อมกับได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพไปตีเขมร
จนได้เมอื งบันทายเพชร และเมอื งบาพนม

26

คร้ังท่ี ๕ เป็นแม่ทัพหน้าของสมเด็จพระเจ้าตากสิน ยกกาลังไปตีเมืองนครเชียงใหม่ , เมืองนครลาปาง เมือง
นครลาพูน และเมืองนา่ น

ครั้งท่ี ๖ เป็นแมท่ ัพยกกาลังจากนครเชียงใหม่ลงมา ช่วยทัพหลวงรบกับพม่าท่ียกทัพมาตีเมืองราชบุรี จนไทย
ไดร้ ับชยั ชนะ

คร้ังท่ี ๗ เป็นแม่ทัพยกกาลังข้ึนไปรบกับพม่าที่ยกกาลังมาตีเมืองนครเชียงใหม่ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๑๗
ครั้งท่ี ๘ เป็นแม่ทัพยกไพร่พลไปรบกับอะแซหวุ่นก้ี แม่ทัพใหญ่ของพม่าท่ียกกาลังเข้ามาตีหัวเมืองทางเหนือ
ในช่วงพุทธศักราช ๒๓๑๘ - ๒๓๑๙ เจ้าพระยาจักรีได้นาทัพไทยเข้าต่อสู้ป้องกันอย่างเข้มแข็ง จนอะแซหวุ่นกี้ต้อง
เจรจาขอดูพระองค์ และเม่ือได้พบแล้วก็ออกปากยกย่องสรรเสริญว่า "ท่านน้ีรูปก็งาม ฝีมือก็เข้มแข็ง อาจสู้รบกับเรา
เปน็ ผ้เู ฒา่ ได้ จงอตุ ส่าหร์ ักษาตัวไวภ้ ายหนา้ จะได้ เป็นกษตั ริย์เป็นแน่แท้"
ครั้งที่ ๙ ขณะพระชนมายุได้ ๔๑ พรรษาเป็นแม่ทัพออกไปตีหัวเมืองของลาวและเขมร ได้เมืองนครจาปาศักด์ิ
เมืองสีทันดร เมืองอัตปือ เมืองตะลุง เมืองสุรินทร์ เมืองสังข์ เมืองขุขันธ์ มาเป็นเมืองขึ้นของไทย ในการนี้ได้รับพระ
มหากรุณาธิคุณเลื่อนให้เป็น" เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกพิลึกมหิมา ทุกนคราระย่อเดช นเรศราชสุริยวงศ์ องค์บาทมุลิ
กากร บวงรัตนปรินายก" โดยโปรดเกล้าฯใหม้ เี คร่อื งยศดุจเดยี วกันกบั เจ้านายต่างกรม
ครัง้ ท่ี ๑๐ เป็นแม่ทัพยกกาลังทหารไปตีอาณาจักรล้านช้าง ได้เมืองเวยี งจนั ทร์ และไดอ้ ญั เชิญพระพุทธมหา
มณรี ัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกตลงมาประดษิ ฐานไว้ที่ ณ กรุงธนบรุ ดี ว้ ย
ต่อมาสมเด็จพระเจ้าตากสินมีพระราชอัธยาศัยผิดไปจากพระองค์เดิมเป็นเหตุให้เกิดความวุ่ นวายข้ึนทั้งในหมู่
ภิกษสุ งฆ์และประชาชนคนไทย ในเวลานน้ั สมเด็จเจา้ พระยามหากษัตริย์ศึกไปราชการสงครามที่เขมร จึงเป็นโอกาสให้
พระยาสรรค์กับพวกคิดกบฏแยง่ ชิงราชสมบตั ิ โดยไดว้ างแผนขับไล่ให้สมเด็จพระเจ้าตากสินไปทรงผนวชที่วัดแจ้ง แล้ว
ประกาศตนเองเปน็ พระเจา้ แผ่นดิน แตเ่ ม่อื สมเดจ็ เจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึกทราบข่าวจึงรีบยกทัพกลับมา พระยาสรรค์
เกิดความเกรงกลัวจึงยอมลดตนเองกลับมาอยู่ในตาแหน่งเดิมเม่ือวันที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๓๒๕ แล้วอัญเชิญ
สมเด็จเจา้ พระยามหากษัตริย์ศึกข้ึนดารงสิริราชสมบัติ ประกอบพระราชพิธิปราบดาภิเษกเป็นพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระ
นามตามจารึกในพระสพุ รรณบฏั ว่า "พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิ
บดินทร์ ธรณินทราธิราช รตั นากาศภาสกรวงศ์ องคป์ รมาธเิ บศร ตรภี ูวเนตรวรนารถนายกดิลกรัตนราชชาติอาชาวศรัย
สมุทัยดโรมนต์ สกลจกั รวาฬาธิเบนทร์ สุริเยนทราธิบดินทร์หริหรินทรา ธาดาธิบดี ศรีสุวิบูลยคุณอกนิษฐ ฤทธิราเมศว
รมหันต์ บรมธรรมิกราชาธิราชเดโชไชย พรหมเทพาดิเทพนฤบดินทร์ ภูมินทรปรมาธิเบศร โลกเชฎวิสุทธิ์ รัตนมงกุฎ
ประกาศคตามหาพุทธางกูรบรมบพิตร พระพุทธเจ้าอยู่หัว" หรือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก นับเป็นองค์
ปฐมกษตั รยิ ์แห่งราชวงศ์จักรี เมื่อวันท่ี ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๓๒๕ ทรงมีพระชนมายุ ๔๖ พรรษา เมื่อเสด็จขึ้น
ครองราชย์แล้ว ทรงสถาปนาพระราชธิดาขึ้นเป็นองค์ปฐมบรมราชชนก และเจ้าพระยาสุรสีห์ (นายบุญมา) ผู้เป็น
น้องชายข้ึนเป็น กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทดารงตาแหน่งพระมหาอุปราช ตลอดรวมท้ังพระญาติพระวงศ์ที่
ร่วมพระชนกเดียวกันขึ้นเป็นพระราชวงศ์จักรีซ่ึงต่อมาก็คือต้นราชสกุลต่าง ๆ ที่นับเนื่องมาจนในปัจจุบันน้ี เช่น ราช
สกุล นรินทรางกูร ณ อยุธยา, เทพหัสดิน ณ อยุธยา, มนตรีกุล ณ อยุธยา, อิศรางกูร ณ อยุธยา และเจษฎางกูร ณ
อยธุ ยา เป็นตน้

27

๗.พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดลุ ยเดช มหาราช

พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเปรียบเสมือน “พ่อหลวงของ
ปวงชนชาวไทย” ทรงพระปรีชาสามารถในทุกแขนงวิชา ทรงรักและห่วงใยพสกนิกร และแก้ไขปัญหาต่างๆ ทรงริเริ่ม
จัดตั้งมูลนิธิต่างๆ ทรงค้นคว้า วิจัย การทาฝนเทียม ด้านการเกษตร การชลประทาน การสาธารณสุข และอื่นๆอีก
มากมาย ทรงส่งเสริมความรักและสามัคคีให้เกิดในชาติ ทรงดูแลทุกข์สุขประชาชน ตลอดพระชนม์ชีพของ
พระองค์ ทรงเป็นพระมหากษตั ริย์ซึ่งทรงงานหนักมากท่ีสดุ ของโลก

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถ เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์
ปัจจุบันแห่งประเทศไทย และพระมหากษัตริย์ลาดับท่ีเก้าแห่งราชวงศ์จักรี ทรงราชย์ต้ังแต่วันท่ี ๙ มิถุนายน พ.ศ.
๒๔๘๙ ขณะน้ี จึงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้เสวยราชย์นานที่สุดในโลกที่มีพระชนมชีพอยู่ และยาวนานที่สุดใน
ประวัติศาสตร์ไทย พระองค์ทรงเป็นท่ีสรรเสริญในประเทศไทยเกี่ยวกับพระราชดาริในเร่ืองปรัชญาเศรษฐกิจ
พอเพยี ง โดยโคฟี อนั นัน เลขาธิการสหประชาชาติ ได้ทลู เกลา้ ฯ ถวายรางวลั ความสาเรจ็ สงู สดุ ดา้ นการพัฒนามนุษย์แด่
พระองค์ กบั ทง้ั พระองค์ทรงเป็นเจา้ ของสทิ ธิบัตรสงิ่ ประดิษฐ์ งานพระราชนิพนธ์ และงานดนตรีจานวนหนึ่ง นอกจากน้ี
พระองคย์ งั ทรงเปน็ ผถู้ อื ห้นุ รายใหญ่ในบริษัทเอกชนหลายแห่ง ในปี ๒๕๕๓ นิตยสารฟอบส์ประเมินว่า พระองค์มีพระ
ราชทรัพย์ส่วนพระองค์ รวมถึงที่อยู่ในการบริหารจัดการของสานักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นมูลค่า
มากกว่าเก้าแสนหกหมื่นล้านบาท และด้วยเหตุน้ี จึงทรงได้รับการจัดอันดับให้เป็นพระมหากษัตริย์ผู้มีพระราชทรัพย์

28

มากท่ีสุดในโลกนับต้ังแต่เดือนกันยายน ๒๕๕๒ พระองค์แปรพระราชฐานจากพระตาหนักจิตรลดา
รโหฐาน ไป โรงพยาบาลศริ ริ าช ตราบปัจจบุ นั อันเน่อื งมาจากพระโรคไข้หวัดและพระปัปผาสะอักเสบ ในเดือนตุลาคม
ปเี ดียวกันนัน้ ข่าวลือว่าพระอาการประชวรทรุดหนกั ลง ไดย้ ังให้ตลาดหุ้นไทยร่วงลงอย่างสาหสั

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชสมภพใน ราชสกุลมหิดลอันเป็นสายหนึ่งใน
ราชวงศจ์ กั รี ณ โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา เม่ือวันจันทร์ เดือนอ้าย
ขึ้น ๑๒ ค่าปีเถาะ นพศก จุลศักราช ๑๒๘๙ ตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ซึ่งเหตุท่ีพระราชสมภพใน
สหรฐั อเมริกา เนอ่ื งจากพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนีกาลงั ทรงศึกษาวิชาการอยทู่ นี่ น่ั

พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดชเป็นพระโอรสองคท์ ส่ี ามในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรม
หลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ในกาลต่อมา) และหม่อมสังวาล
ตะละภัฎ (ชูกระมล) (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในกาลต่อมา) ทรงมีพระนามขณะนั้นว่า พระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจา้ ภูมิพลอดลุ เดช ทรงมีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ๒ พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นาง
เธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลาลองว่า "เล็ก" เม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๑
ได้เสดจ็ กลับสู่ประเทศไทยพรอ้ มพระบรมราชชนก ซึง่ ทรงสาเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจาก
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเจ้าพ่ีนางเธอ และสมเด็จพระ
เชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต
ขณะท่พี ระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั ทรงมีพระชนมายุไมถ่ ึงสองพรรษา
ทรงศกึ ษา

พ.ศ. ๒๔๗๕ เมื่อเจริญพระชนมายุได้สี่พรรษา เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอี จนถึงเดือนพฤษภาคม
พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงเสด็จพระราชดาเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนี
พระเชษฐภคินี และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เพ่ือการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช
จากน้ันทรงเข้าศึกษาต่อช้ันประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ทรง
ศึกษาวชิ าภาษาฝร่ังเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แลว้ ทรงเขา้ ช้ันมธั ยมศึกษา ณ โรงเรียนแห่งใหม่ของซืออีสโร
มองด์ เมืองแชลลี-ซูร์-โลซาน

พ.ศ. ๒๔๗๗ เมอื่ พระองคเ์ จา้ อานนั ทมหดิ ล พระบรมเชษฐาธริ าช เสด็จขึน้ ครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์
รัชกาลที่ ๘ แห่งราชวงศ์จักรี กท็ รงไดร้ บั การสถาปนาฐานนั ดรศกั ดเิ์ ปน็ "สมเดจ็ พระเจา้ น้องยาเธอ เจา้ ฟา้ ภูมิพลอดุย
เดช" เมอื่ วันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘

เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๑ ได้โดยเสด็จฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จนิวัตประเทศไทย
เป็นเวลา ๒ เดือน โดยประทับท่ีพระตาหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต จากนั้นเสด็จกลับไปศึกษาต่อท่ี
สวิตเซอรแ์ ลนดจ์ นถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ทรงรับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์ จากโรงเรียนยิมนาส คลาซีค กังโตนาล
แล้วทรงเข้าศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยโลซาน แผนกวิทยาศาสตร์ โดยเสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นคร้ังที่สอง ประทับ
ณ พระที่นง่ั บรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง

29

ทรงประสบอบุ ตั เิ หตุ และทรงหมนั้
หลังจากที่จบการศึกษาจากสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์เสด็จไปเยือนกรุงปารีส ทรงพบกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์

กิติยากร ซ่ึงเป็นลูกสาวของเอกอัครราชทูตไทยประจาฝร่ังเศส เป็นคร้ังแรก ในขณะน้ี ท้ังสองพระองค์มีพระชนมายุ
๒๑ พรรษาและ ๑๕ พรรษาตามพระลาดับ

เม่ือวนั ที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๙๑ ในระหว่างเสด็จประทับยังต่างประเทศ ขณะที่พระองค์ทรงขับรถยนต์พระที่
นัง่ จากเจนวี าไปยงั โลซาน ทรงประสบอุบตั ิเหตทุ างรถยนต์ชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทาให้เศษกระจกกระเด็นเข้าพระ
เนตรขวา พระอาการสาหัส หลังการถวายการรักษาพระองค์ทรงมีพระอาการแทรกซ้อนบริเวณพระเนตรขวา กระทั่ง
วนิ จิ ฉยั แล้วว่าพระองคไ์ มส่ ามารถทอดพระเนตรผา่ นทางพระเนตรขวาของพระองค์เองได้ต่อไปแล้ว ทั้งนี้ ม.ร.ว. สิริกิติ์
ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเยี่ยมพระอาการเป็นประจาจนกระทั่งหายจากอาการประชวร อันเป็นเหตุท่ีทาให้ท้ังสองพระองค์มี
ความสัมพนั ธ์กนั อยา่ งใกล้ชดิ นับตัง้ แตน่ น้ั เปน็ ตน้ มา
เสวยราชย์ และทรงอภเิ ษกสมรส

วนั ท่ี ๙ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตอย่างกะทันหัน
โดยต้องพระแสงปืนทพ่ี ระกระหมอ่ ม ณ พระท่นี ่ังบรมพมิ าน สมเด็จพระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟา้ ภูมิพลอดุลยเดชได้ตัดสิน
พระทัยรบั ตาแหน่งพระมหากษัตรยิ ์ เสดจ็ ขน้ึ ครองราชสมบัติ สืบราชสันตติวงศ์ในวันเดียวกันน้ัน แต่เนื่องจากยังมีพระ
ราชกิจด้านการศึกษา จึงทรงอาลาประชาชนชาวไทยเสด็จพระราชดาเนินไปศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยแห่งเดิม แต่
เปลี่ยนสาขาจากวิทยาศาสตร์ ไปเป็นสาขาสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ซึ่งมีความจาเป็นสาหรับตาแหน่ง
ประมุขของประเทศ เหตุการณ์หนึ่งเกิดข้ึน ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับรถพระท่ีนั่งเสด็จพระราช
ดาเนินไปยงั สนามบินดอนเมือง เพื่อทรงศึกษาเพิ่มเติมท่ีสวิตเซอร์แลนด์ ก็ทรงได้ยินเสียงราษฎรคนหนึ่งตะโกนว่า "ใน
หลวง อยา่ ทิ้งประชาชน" จึงทรงนกึ ตอบในพระราชหฤทัยว่า "ถ้าประชาชนไม่ท้ิงข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชน
อย่างไรได้” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตระหนักในหน้าที่พระมหากษัตริย์ของพระองค์ ดังที่ได้ตรัสตอบ
ชายคนเดมิ นน้ั ในอกี ๒๐ ปตี ่อมาพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ ัวทรงหม้ันกับ ม.ร.ว.สิริกิต์ิ เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ.
๒๔๙๒ เสด็จพระราชดาเนินนิวัตพระนครในปีถัดมา โดยประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ต่อมาวันที่ ๒๘
เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อม
ราชวงศส์ ิรกิ ิต์ิ กิติยากร ณ พระตาหนกั สมเด็จพระศรสี วรนิ ทริ าบรมราชเทวี พระพนั วัสสาอัยยกิ าเจา้ ในวังสระปทุม ซึ่ง
ในการพระราชพธิ ีราชาภิเษกสมรสน้ี มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิต์ิ กิติยากร
ข้ึนเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิต์ิ วันท่ี ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ต้ังการ
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบอย่างโบราณราชประเพณีข้ึน ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เฉลิมพระปรมาภิไธย
ตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบ
ดนิ ทร สยามมินทราธริ าช บรมนาถบพติ ร พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพ่ือ
ประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" และในโอกาสนี้ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เฉลมิ พระนามาภิไธย สมเด็จ
พระราชนิ สี ริ กิ ิติ์ เป็นสมเด็จพระนางเจา้ สริ ิกติ ์ิ พระบรมราชินี

30

พระราชบตุ ร
พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดชและสมเดจ็ พระนางเจา้ สริ กิ ติ ์ิ พระบรมราชนิ ีนาถมีพระราช

โอรสและพระราชธดิ าดว้ ยกนั สพ่ี ระองคต์ ามลาดับดงั ต่อไปนี้
ทลู กระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกญั ญา สิรวิ ัฒนาพรรณวดี (พระนามเดิม: สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟา้ อบุ ลรตั

นราชกญั ญา สริ วิ ฒั นาพรรณวดี; ประสูต:ิ 5 เมษายน พ.ศ. 2494, สถานพยาบาลมงต์ชวั ซี เมืองโลซาน ประเทศ
สวิตเซอร์แลนด์) สมเดจ็ พระเจ้าลูกเธอพระองค์นี้ได้ทรงลาออกจากฐานันดรศกั ด์ิแห่งพระราชวงศ์เพ่ือทรงสมรสกบั นาย
ปีเตอร์ เจนเซน่ ชาวอเมริกัน โดยมีพระโอรสหนึ่งองค์และพระธิดาสององค์ ทั้งน้ี คาวา่ "ทูลกระหม่อมหญิง" เปน็ คา
เรียกพระราชวงศท์ ม่ี ีพระชนนีเป็นสมเดจ็ พระบรมราชินี

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกฎุ ราชกมุ าร (พระนามเดิม: สมเดจ็ พระเจา้ ลูกยา
เธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักรยาดิศรสันตตวิ งศ เทเวศรธารงสบุ ริบาล อภิคณุ ปู ระการมหติ ลาดลุ เดช ภมู ิพลนเรศ
วรางกรู กิตติสิริสมบูรณส์ วางควฒั น์ บรมขัตตยิ ราชกมุ าร; ประสตู ิ: 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2495, พระท่ีนง่ั อมั พรสถาน)
ทรงอภเิ ษกสมรสกบั พระเจ้าวรวงศเ์ ธอพระองคเ์ จ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ นางสจุ าริณี ววิ ัชรวงศ์ และพระ
เจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจา้ ศรีรัศม์ิ ตามลาดับ โดยมีพระโอรสหน่งึ พระองค์และสอี่ งค์ กบั พระธดิ าสองพระองค์
สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ า เจา้ ฟา้ มหาจักรีสริ ินธร รัฐสมี าคณุ ากรปยิ ชาติ สยามบรมราชกุมารี (พระนามเดมิ : สมเด็จ
พระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสริ ินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์; ประสตู :ิ 2 เมษายน พ.ศ. 2498, พระทน่ี ั่งอัมพร
สถาน)

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟา้ จฬุ าภรณวลยั ลกั ษณ์ อัครราชกมุ ารี (ประสตู :ิ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2500, พระท่นี ง่ั
อัมพรสถาน) ทรงอภเิ ษกสมรสกับนาวาอากาศเอก วรี ะยุทธ ดษิ ยะศรนิ โดยมีพระธดิ าสองพระองค์

พระราชกรณยี กจิ พระราชนพิ นธ์ และผลงานอน่ื

ดา้ นศลิ ปวฒั นธรรมและวรรณคดี
ในฐานะท่ีพระองค์ทรงเปน็ พระมหากษตั รยิ ท์ ่ีมีพระปรชี าสามารถในศลิ ปะแขนงต่าง ๆ หลายแขนง จงึ ทรง

ไดร้ บั การยกย่องให้เป็นองค์อัครศลิ ปนิ แหง่ ชาติและบดิ าแห่งการดนตรี พระองคย์ ังทรงสนพระราชหฤทัยในการฝึกเขียน
ภาพ และมีพระปรีชาสามารถในเรอ่ื งการถ่ายภาพ และมีการพัฒนาอย่างตอ่ เนื่อง ตลอดจนทรงมีพระปรชี าสามารถปัน้
พระพุทธรูปพระสมเดจ็ จิตรลดาดว้ ยพระองคเ์ อง

งานทางด้านวรรณศิลป์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเช่ียวชาญในภาษาหลากหลายภาษา ทรงพระราช
นิพนธ์บทความ แปลหนังสือ เช่น นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ติโต พระมหาชนก และพระมหาชนก ฉบับการ์ตูน
เรอื่ ง ทองแดง เปน็ พระราชนพิ นธ์เกี่ยวกบั คุณทองแดง สนุ ขั ทรงเล้ียง เปน็ ต้น
ด้านการพฒั นาชนบท

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั เสด็จฯ ไปทกุ หนแห่งไม่ว่าดินแดนแห่งน้ันจะทุรกันดารเพียงใด ไม่ว่าใกล้ไกลแค่
ไหน พระองคจ์ ัดทาโครงการพฒั นาชนบทตามแนวพระราชดารคิ วบค่ไู ปในทุกๆ ดา้ น ไมเ่ น้นด้านใดด้านหน่ึง พระองค์มี
จุดประสงค์เดียวคือ เพื่อขจัดความทุกข์ยากของชาวชนบท และสนับสนุนส่งเสริมให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รวมท้ัง

31

แก้ปญั หาสังคมเมอื งให้ดขี น้ึ โดยจะเหน็ ได้จากโครงการในพระราชดารหิ ลายโครงการท่ีเกิดข้ึนจากความรับผิดชอบของ
หน่วยงานต่างๆ โครงการอันเน่ืองมาจากพระราชดาริจะเป็นโครงการเก่ียวกับปรับปรุงถนนหนทาง การก่อสร้างถนน
เพ่อื การ สัญจรไปมาไดส้ ะดวกและท่วั ถงึ การคมนาคมเป็นปจั จัยพ้นื ฐานที่ สาคัญของการนาความเจริญไปสู่ชนบท การ
ส่ือสาร ติดต่อท่ีดียังผล สาคัญทาให้เศรษฐกิจของราษฎรในพ้ืนที่ดีขึ้น ราษฎรก็มีความเป็นอยู่ท่ีดีข้ึน ในการพัฒนา
ชนบทน้ัน การคมนาคม เป็นปัจจัยพ้ืนฐานท่ีสาคัญที่จะมองข้ามไปเสียมิได้ เพราะเป็นเสมือนประตูเช่ือม ระหว่างใน
เมือง และชนบท ดงั น้นั การท่ีจะเร่มิ โครงการพฒั นาใดๆ น้ันจะต้องเริ่มจากการปรับปรุง และการก่อสร้างถนนหนทาง
เปน็ การเปดิ ประตูนาความเจรญิ เข้าไปสพู่ ืน้ ท่ี
ดา้ นการเกษตรและชลประทาน
เขอ่ื นภมู พิ ล

ในด้านการเกษตร จะทรงเน้นในเรื่องของการค้นคว้า ทดลอง และวิจัยหาพันธ์ุพืชใหม่ๆ ท้ังพืชเศรษฐกิจ
พืชสมุนไพร รวมถึงการศึกษาเก่ียวกับแมลงศัตรูพืช และพันธ์ุสัตว์ต่างๆ ท่ีเหมาะสมกับสภาพท้องถ่ินนั้นๆ ซึ่งแต่ละ
โครงการจะเน้นให้สามารถนาไปปฏิบัติได้จริง มีราคาถูก ใช้เทคโนโลยีง่าย ไม่สลับซับซ้อน เกษตรกรสามารถ
ดาเนินการเองได้ นอกจากน้ี ยังทรงพยายามไม่ให้เกษตรกรยึดติดกับพืชผลทางการเกษตรเพียงอย่างเดียว เพราะอาจ
เกดิ ปัญหาอนั เนอื่ งมาจากความแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศ หรือความแปรปรวนทางการตลาด แต่เกษตรกรควร
จะมีรายได้จากด้านอื่นนอกเหนือไปจากการเกษตรเพิ่มขึ้นด้วย เพื่อจะได้พึ่งตนเองได้ในระดับหนึ่งการพัฒนาแหล่งน้า
เพื่อการเพาะปลูกหรือการชลประทาน นับว่าเป็นงานที่มีความสาคัญและมีประโยชน์อย่างย่ิงสาหรับประชาชนส่วน
ใหญ่ของประเทศ เพราะเกษตรกรจะสามารถทาการเพาะปลูกได้อย่างสมบูรณ์ตลอดปี เน่ืองจากพื้นที่เพาะปลูกใน
ปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นพ้ืนที่นอกเขตชลประทาน ซ่ึงต้องอาศัยเพียงน้าฝนและน้าจากแหล่งน้าธรรมชาติเป็นหลัก ทาให้
พืชได้รับน้าไม่สม่าเสมอ และไม่เพียงพอ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสนพระราชหฤทัยเกี่ยวกับการ
พัฒนาแหล่งน้ามากกว่าโครงการพฒั นาอันเน่อื งมาจากพระราชดาริประเภทอื่น
ดา้ นการแพทย์

โครงการท่ีพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู ัวพระราชทานใหก้ ับประชาชนในระยะแรก ๆ ล้วนแต่เป็นโครงการด้าน
สาธารณสขุ เพราะพระองคท์ รงเห็นวา่ หากประชาชนมีร่างกายที่สมบูรณ์ แข็งแรง จะนาไปสู่สุขภาพจิตท่ีดี และส่งผล
ให้การพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมดีไปด้วย ในการเสด็จพระราชดาเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรตามท้องที่ต่าง ๆ ทุกครั้ง จะ
ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้มีคณะแพทย์ท่ีประกอบดว้ ย โดยเสด็จพระราชดาเนนิ ไปในขบวนอย่างใกล้ชิด พร้อมด้วย
เวชภัณฑแ์ ละเครื่องมือแพทย์ครบครัน นอกจากนั้น ยังมีโครงการทันตกรรมพระราชทาน ได้เดินทางออกไปช่วยเหลือ
บาบัดโรคเก่ียวกับฟัน ตลอดจนสอนการรักษาอนามัยของปากและฟัน แก่เด็กนักเรียนและราษฎรที่อาศัยอยู่ในท้องที่
ทุรกันดาร และห่างไกลจากแพทย์ทั่วทุกภาค โดยให้การบริการรักษาโรคฟัน โดยไม่คิดมูลค่า ทางด้านหน่วยแพทย์
หลวงทจี่ ะตอ้ งตามเสดจ็ พระราชดาเนนิ ไป ณ ทีป่ ระทบั แรมทกุ แห่งนนั้ จะมเี จ้าหนา้ ที่ให้การรกั ษาพยาบาลราษฎร ผู้มา
ขอรับการรักษา ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่ประการใด นอกจากนั้น หน่วยแพทย์หลวงยังจัดเจ้าหน้าท่ีออกเดินทาง ไป
รักษาราษฎรผู้ป่วยเจ็บ ตามหมู่บ้านท่ีอยู่ห่างไกลออกไปอีกด้วย ใน พ.ศ.๒๕๔๔ ทางองค์กรแพทย์ศัลยศาสตร์จากทั่ว

32

โลก ต่างพร้อมใจกันถวายใบประกาศเกียรติคุณ เกียรติบัตรสมาชิกกิตติมศักดิ์ และเหรียญสดุดี จากคุณูปการด้าน
การแพทยแ์ ละสาธารณสุขทพี่ ระองค์ทรงอุทศิ เพอ่ื พสกนิกรชาวไทยตลอดระยะเวลากว่า ๖๐ ปที ที่ รงครองราชย์
ดา้ นการศกึ ษา

นอกจากน้ี พระองค์ยังโปรดเกล้าฯ ให้จัดต้ังมูลนิธิอานันทมหิดล เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เพื่อสนับสนุนทางด้านคัดเลือกบัณฑิตในสาขาวิชาต่างๆ ไปศึกษาต่อ
ตา่ งประเทศ เพื่อจะไดใ้ ห้บัณฑติ เหล่านั้นนาความรู้ที่ไดไ้ ปศึกษาวิจัยนาผลงานที่ได้กลับมาพัฒนาประเทศอย่างต่อเนื่อง
โดยพระองค์ออกทุนให้ตลอดจนดูแลเก่ียวกับความเป้นอยู่ในต่างประเทศนั้นๆ อีกด้วย ส่วนในประเทศทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้รัฐบาลเป็นผู้ดาเนินการจัดการบริหารทางการศึกษา แบบให้เปล่าต้ังแต่ระดับชั้นประถมศกษา จนถึง
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในลักษณะทั้งอยู่ประจาและไปกลับ แบ่งเป็น โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ จานวน ๒๖
โรงเรียน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ จานวน ๑๔ โรงเรียน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงประกอบพระราช
กรณียกิจตลอดระยะเวลากว่า ๖๐ ปีท่ีทรงครองราชย์เป็นประมุขแห่งราชอาณาจักรไทย โดยสามารถยกตัวอย่างได้
ดังน้ี มูลนธิ ชิ ัยพฒั นา มูลนิธิโครงการหลวง โครงการสว่ นพระองค์สวนจติ รลดา โครงการหลวงอ่างขาง โครงการปลูกป่า
ถาวร โครงการแก้มลิง โครงการฝนหลวง โครงการสารานุกรมไทยสาหรบั เยาวชน โครงการแกล้งดิน กงั หนั ชยั พัฒนา
แนวพระราชดาริ ผลติ แกส๊ โซฮอล์ในโครงการสว่ นพระองค์ (พ.ศ. 2528) แนวพระราชดาริ เศรษฐกิจพอเพียง เพลง
พระราชนพิ นธ์ พระสมเดจ็ จิตรลดา เป็นตน้
ดา้ นการกฬี า

เรือใบเป็นกฬี าท่ีพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ วั โปรดเปน็ พิเศษ พระองค์ทรงเปน็ ตวั แทนของประเทศไทยลง
แข่งเรือใบในกฬี าแหลมทองคร้ังท่ี 4 ระหว่างวันที่ 9-16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยทรงเข้า
ค่ายฝกึ ซ้อมตามโปรแกรมการฝกึ ซอ้ ม และทรงไดร้ ับเบี้ยเลย้ี งในฐานะนักกีฬา เช่นเดียวกับนกั กีฬาคนอืน่ ๆ ในท่ีสุด
ด้วยพระปรชี าสามารถ พระองคท์ รงชนะเลิศเหรยี ญทอง และทรงได้รับการทลู เกล้าฯ ถวายรางวัลเหรยี ญทองจาก
สมเดจ็ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินนี าถ เม่ือวันท่ี 16 ธนั วาคม พ.ศ. 2510 ท่ามกลางความปลื้มปตี ิของพสกนิกรชาว
ไทยทั้งประเทศ และเป็นทปี่ ระจักษ์แกช่ นทั่วโลก ทาให้พระอัจฉรยิ ภาพทางกีฬาเรือใบของพระองค์ทย่ี อมรับกันทัว่ โลก
พระองค์ยังได้ทรงออกแบบและประดิษฐ์เรอื ใบยามว่างออกมาหลายรุ่น พระองค์พระราชทานนามเรือใบประเภทม็อธ
(Moth) ที่ทรงสรา้ งขนึ้ วา่ เรือใบมด เรอื ใบซูเปอร์มด และ เรือใบไมโครมด ถึงแม้ว่าเรือใบลาสดุ ท้ายท่พี ระองคท์ รงตอ่
คือ เรือโม้ค (Moke) เมอ่ื 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510 เรือใบซเู ปอร์มดยังถูกใช้แข่งขนั ในระดบั นานาชาตทิ ีจ่ ดั ใน
ประเทศไทยหลายครั้ง ครงั้ สุดท้ายคือเมื่อ พ.ศ. 2528 ในกีฬาซีเกมส์คร้งั ท่ี 13
ด้านดนตรี

งานทางด้านดนตรี พระองค์ทรงรอบรู้เร่อื งดนตรเี ป็นอย่างดีและทรงดนตรีได้หลายชนดิ เช่น แซ็กโซโฟน ครา
ริเนต็ ทรัมเป็ต กีตาร์ และเปียโน ทรงโปรดดนตรีแจ๊สเป็นอย่างมาก และพระองค์ได้ประพันธ์เพลงทมี่ ีความหมายและ
ไพเราะหลายเพลงด้วยกัน เช่น เพลงพระราชนิพนั ธแ์ สงเทียน เป็นเพลงแรก สายฝน ยามเย็น ใกลร้ งุ่ ลมหนาว ยิ้มสู้
ค่าแล้ว ไกลกังวล ความฝันอันสงู สดุ และเราสู้ หรอื จะเปน็ พรปีใหม่ ซ่ึงถือได้ว่าเปน็ สว่ นสาคัญอยา่ งหนึ่งท่เี ก่ียวข้องกับ
ชวี ติ ของชาวไทย เปน็ ต้น

33

พระเกยี รตยิ ศ

ธงประจาพระองค์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู ิพลอดุลยเดช ทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลและเกียรตยิ ศตา่ ง ๆ
มากมาย ทั้งจากบุคคลและคณะบุคคลในประเทศและต่างประเทศ อันเนอ่ื งมาจากพระราชกรณยี กิจและพระราช
อัธยาศยั ในการแสวงหาความรู้ ท่ีสาคัญเปน็ ตน้ ว่า
ประธานรฐั สภายโุ รปและสมาชิกร่วมกนั ทลู เกล้าฯ ถวาย "เหรียญรัฐสภายุโรป" (๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๙)
ประธานคณะกรรมาธิการเพอื่ สันตภิ าพของสมาคมอธิการบดรี ะหว่างประเทศ ทลู เกล้าฯ ถวาย "รางวลั สนั ติภาพ"
(๙ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๒๙)
ผอู้ านวยการใหญ่โครงการส่งิ แวดลอ้ มแหง่ สหประชาชาติ ทลู เกลา้ ฯ ถวาย "เหรียญทองประกาศพระเกียรติ
คณุ ด้านสงิ่ แวดล้อม" (๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๕)
คณะกรรมการสมาคมนเิ วศวทิ ยาเชิงเคมสี ากล (International Society of Chemical Ecology) ทลู เกล้าฯ
ถวาย "เหรียญรางวลั เทิดพระเกียรตใิ นการสงวนรักษาความหลากหลายทางชวี ภาพ" (๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๖)
หวั หนา้ สาขาเกษตร ฝา่ ยวชิ าการภมู ภิ าคเอเชยี ของธนาคารโลก ทลู เกลา้ ฯ ถวาย "รางวลั หญ้าแฝกชุบสาริด" สดดุ พี ระ
เกียรติคุณในฐานะท่ีทรงเป็นนักอนรุ ักษ์ดินและนา้ (๓๐ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๓๖)
องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญสดดุ พี ระเกียรตคิ ุณในด้านการ
พัฒนาการเกษตร" (๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๙)
สานกั งานโครงการพฒั นาแห่งสหประชาชาติ ทลู เกล้าฯ ถวาย "รางวลั ความสาเรจ็ สงู สุดด้านการพฒั นามนุษย์"
จากการที่ได้ทรงอุทศิ กาลงั พระวรกายและทรงพระวิรยิ ะอุตสาหะในการปฏบิ ตั ิพระราชกรณียกจิ มาตลอดพระชนม์ชพี
(๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๙)
ในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ องค์การทรพั ยส์ ินทางปญั ญาโลก (World Intellectual Property Organization) แถลง
ข่าวการทลู เกลา้ ฯ ถวาย "เหรยี ญรางวัลผูน้ าโลกดา้ นทรัพย์สินทางปญั ญา" (Global Leaders Award) โดยนายฟราน
ซิส เกอร์ร่ี ผอู้ านวยการใหญเ่ ปน็ ผูน้ าขนึ้ ทูลเกลา้ ฯ ถวาย ณ พระราชวังไกลกงั วล ในวนั ที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๒ เพ่ือ
เทิดพระเกียรติทท่ี รงมีบทบาทและผลงานด้านทรพั ย์สนิ ทางปัญญาทีโ่ ดดเด่น และพระองคท์ รงเป็นผ้นู าโลกคนแรกที่
องค์การทรัพยส์ ินทางปัญญาโลกทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญรางวลั ดงั กลา่ ว
พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ทรงเปน็ ผู้ท่ไี ด้รับมอบถวายปริญญากิตติมศักดิ์มากเปน็ สถิตโิ ลกถงึ ๑๒๖ ฉบบั
ใน พ.ศ. ๒๕๔๐ โดยทรงได้รบั มอบถวายจากมหาวิทยาลยั ในประเทศไทยเปน็ ส่วนใหญ่

-----------------------------------

บรรณานกุ รม

วกิ พิ เี ดยี มหาราช. (2563). พระมหากษัตรยิ ผ์ ทู้ รงไดร้ บั การเทดิ ทนู ยกยอ่ งวา่ เปน็ “มหาราช”. สบื ค้นเมือ่ วนั ท่ี 15
พฤษภาคม 2563, จาก https://sites.google.com/site/7mharachnisyam/home/phra-mha-ksatriy-
phuthrng-di-rab-kar-theid-thul-ykyxng-wa-pen-mharach/phra-rach-prawati-khxng


Click to View FlipBook Version