The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
จัดทำโดย นางสาวศิริพร สุขสิงห์สำอางค์
ห้องสมุดประชาชนจังหวัดปราจีนบุรี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ebookprachin, 2020-04-26 23:48:45

พ่อขุนรามคำแหงมหาราช

พ่อขุนรามคำแหงมหาราช
จัดทำโดย นางสาวศิริพร สุขสิงห์สำอางค์
ห้องสมุดประชาชนจังหวัดปราจีนบุรี

Keywords: E-book

~ก~

คำนำ

เอกสารฉบับน้ี เป็นสว่ นหนึง่ ของการอบรม โครงการผลิตหนงั สอื อิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ออนไลน์ ซง่ึ
จัดอบรม โดย สถาบนั พัฒนาการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั ภาคตะวันออก

ห้องสมดุ ประชาชนจงั หวดั ปราจนี บุรี หวงั เปน็ อยา่ งยิง่ ว่าเอกสารฉบบั นี้ จะเป็นประโยชน์ กบั ผทู้ ไ่ี ดเ้ ขา้
มาอา่ นและผทู้ ีน่ ำไปเผยแพร่

นางสาวศิริพร สขุ สงิ ห์สำอางค์
บรรณารักษจ์ ้างเหมาบรกิ าร
ห้องสมดุ ประชาชนจงั หวดั ปราจนี บุรี

~ข~

สารบญั

เรอื่ ง หนา้
คำนำ .............................................................................................................................................................. ก
สารบญั ........................................................................................................................................................... ข

• ประวตั ิพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ..................................................................................................๑
• ผลงาน...........................................................................................................................................๑
พระเจา้ รามคำแหงมหาราช ....................................................................................................................๑
• การขยายอาณาจักร ......................................................................................................................๒
ใน พ.ศ. ๑๘๔๒ ตไี ดป้ ระเทศเขมร (กัมพชู า) .........................................................................................๓
• การทำนุบำรุงบ้านเมือง .................................................................................................................๔
• การปกครอง..................................................................................................................................๔
• การวรรณคดี .................................................................................................................................๕
• การศาสนา ....................................................................................................................................๕
• ศลิ าจารกึ .....................................................................................................................................๖
หลักศลิ าจารกึ พ่อขุนรามคำแหง...........................................................................................................๖
• พระเกยี รตคิ ุณแผไ่ พศาล ...............................................................................................................๘
พระบรมราชานุสาวรยี พ์ ่อขนุ รามคำแหงมหาราช....................................................................................๘
• ลกั ษณะของตวั อักษรไทย ........................................................................................................... ๑๐
สระ ๒๐ ตัว......................................................................................................................................... ๑๐
วรรณยกุ ต์ ๒ รปู ตัวเลข ๖ ตัว ........................................................................................................... ๑๐
พยัญชนะ ๓๙ ตวั ................................................................................................................................ ๑๐

ประวัติพ่อขุนรามคำแหงมหาราช

พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นพระราชโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ปฐมกษัตริยแ์ ห่งกรุงสุโขทัย พ่อขุน
ศรีอินทราทิตย์ มีพระมเหสีคือพระนางเสือง มีพระราชโอรสสามพระองค์ พระราชธดิ าสองพระองค์ พระราชโอรส
องค์ใหญ่สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังเยาว์ องค์กลางมี พระนามว่า บานเมือง และพระราชโอรสองค์ที่สาม คือ พ่อขุน
รามคำแหงมหาราช เมื่อพระชันษาได้ ๑๙ ปี ได้ชนช้างชนะขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด พ่อขุนศรี อินทราทิตย์ จึง
พระราชทานนามว่า "พระรามคำแหง"เมื่อสิ้นรัชสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และพ่อขุนบานเมืองแล้ว พระองค์ได้
ครองกรุงสุโขทัย ต่อมาเป็น พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๓ แห่งราชวงศ์พระร่วงสันนิษฐานว่าพระองค์ สิ้นพระชนม์
ในราวปี พ.ศ.๑๘๖๐ รวมเวลาทที่ รงครองราชยป์ ระมาณ ๔๐ ปี

ผลงาน

พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ทรงรวมเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงอัจฉริยภาพทั้งด้านการปกครอง เศรษฐกิจ
ศาสนาและศิลปวทิ ยาตา่ งๆ ทสี่ ำคัญยิ่งคอื พระองค์ไดท้ รงประดษิ ฐ์อกั ษรไทยข้นึ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๑๘๒๖ ซ่ึงเปน็
ตน้ กำเนดิ ของอักษรไทยทใี่ ช้อยู่ในปจั จบุ นั

พระเจา้ รามคำแหงมหาราช

เมื่อแรกตั้งอาณาจักรสุโขทัยนั้น อาณาเขตยังไม่กว้างขวางเท่าใดนัก เขตแดนทางทิศใต้จดเพียงเมือง
ปากน้ำโพ ใต้จากปากน้ำโพลงมายังคงเป็นอาณาเขตของขอมอันได้แก่เมืองละโว้ ทางฝ่ายตะวันตกจดเพียงเขา
บันทัด ทางเหนือมีเขตแดนติดต่อกับประเทศลานนาที่ภูเขาเขื่อน ส่วนทางตะวันออกก็จดอยู่เพียงเขาบันทัดที่กั้น
แมน่ ้ำสักกบั แม่น้ำน่าน

~๒~

อย่างไรก็ตาม ในระหวา่ งท่ที รงครองราชย์อย่นู น้ั พระเจา้ ศรีอนิ ทราทิตยก์ ็ได้กระทำสงครามเพื่อขยายเขต
แดนของไทยออกไปอีกในทางโอกาสที่เหมาะสม ดังที่มีข้อความปรากฏอยู่ในศิลาจารึกว่า พระองค์ได้เสด็จยก
กองทัพไปดีเมืองฉอด ได้ทำการรบพุ่งตลุมบอนกันเป็นสามารถถึงขนาดที่พระเจ้าศรีอินทราทิตย์ ได้ทรงกระทำ
ยุทธหัตถีกับขนุ สามชนเข้าเมืองฉอด แต่พระองคเ์ สยี ทีแก่ขนุ สามชน แลในคร้งั น้เี องท่ีเจา้ รามราชโอรสองค์เล็กของ
พระองค์ได้เริ่มมีบทบาทสำคัญ ด้วยการทีท่ รงถลันเขา้ ช่วยโดยไสช้างทรงเข้าแก้พระราชบิดาไว้ทันท่วงทแี ลว้ ยังได้
รบพุ่งตีทพั ขนุ สามชนเข้าเมอื งฉอดแตกพ่ายกระจายไป

พระเจ้าศรีอินทราทิตย์ พระราชบิดาจึงถวายพระนามโอรสองค์เล็กนี้ว่า “เจ้ารามคำแหง” พระเจ้าศรี
อินทราทิตย์ ทรงครองอาณาจักรสุโขทัยอยู่จนถึงประมาณปี ๑๘๘๑ จึงเสด็จสวรรคต พระองค์มีพระโอรส
พระองคด์ ้วยกัน โอรสองคใ์ หญ่พระนามไม่ปรากฎเพราะได้ส้ินพระชนม์เสียต้ังแตเ่ ยาว์วัย องค์กลางทรง พระนาม
ว่า “ขุนบาลเมือง” องค์เล็กทรงพระนามว่า “เจ้าราม” และต่อมาได้รับพระราชทานใหม่ว่า “เจ้ารามคำแหง”
หลังจากตที ัพขุนสามชนเจา้ เมอื งฉอดแตกพา่ ยไป

เม่อื พระเจ้าศรีอินทราทติ ยเ์ สด็จสวรรคตแลว้ โอรสองค์กลางขนุ บาลเมือง ได้ขนึ้ ครองราชสมบัติสืบต่อมาอีก
ประมาณ ๙ ปี ก็เสด็จสวรรคต พระราชอนุชา คือ เจ้ารามคำแหง จึงได้เสวยราชย์สืบต่อมา ทรงพระนามว่า
พระเจา้ รามคำแหง

พระเจ้ารามคำแหง จะมีพระนามเดิมว่าอย่างไรไม่ปรากฏชัดแต่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
พระบิดา แห่งประวัติศาสตร์ ได้ทรงสันนิษฐานว่าคงจะเรียกกันว่า “เจ้าราม” แลเมื่อเจ้ารามมีพระชนมายุได้
๑๙ พรรษา ได้ตามสมเด็จพระราชบิดาไปทำศึกกับขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดและได้ทรงแสดงความเก่งกล้าในทาส
ไสช้างทรงเข้าแก้เอาพระราชบิดาไว้ได้ทั้งตีทัพขุนสามชนแตกพ่ายไปแล้วพระราชบิดาจึงถวายพระนามเสียใหม่
ว่า “เจา้ รามคำแหง”

พระเจ้ารามคำแหง ทรงเป็นมหาราชองค์ที่สองของชาวไทย และทรงเป็นมหาราชพระองค์เดียวในสมัย
สุโขทัย พระองค์ทรงเป็นอัจฉริยกษัตริย์ทรงชำนาญทั้งในด้านการรบ การปกครอง และการศาสนา พระองค์ทรง
ขยายอาณาจักรสโุ ขทยั ออกไปได้กว้างใหญ่ไพศาลด้วยวิเทโศบายอนั แยบยลสุขมุ คัมภีรภาพทั้งทรงปกครองไพร่ฟ้า
ข้าแผ่นดินด้วยความยุติธรรมได้รับความร่มเย็นเป็นสุขกันทั่วหน้า ซึ่งข้าพเจ้าจะได้กล่าวถึงพระราชกรณียกิจของ
พระองคเ์ ป็นอันดบั ไปดังตอ่ ไปน้ี

การขยายอาณาจกั ร

เมื่อพระเจ้ารามคำแหง เสด็จเถลิงถวัลราชสมบัติสืบต่อจากพ่อขุนบาลเมืองนั้น อาณาจักรสุโขทัย
นับว่าตกอยู่ในระหว่างอันตรายรอบด้านและยากทำการขยายอาณาจักรออกไปได้ เพราะทางเหนือก็ติดต่อกับ
แคว้นลานนา อันเป็นเชื้อสายไทยด้วยกันมีพระยาเม็งรายเป็นเจ้าเมืองเงินยางและพระยางำเมือง เป็นเจ้าเมือง
พะเยาและทั้งพระยาเม็งรายและพระยางำเมือง ขณะนั้นต่างก็มีกำลังอำนาจแข็งแกร่งทั้งคู่ ทางตะวันออกนั้นเล่า

~๓~

ก็ติดต่อกับดินแดนของขอม ซึ่งมีชาวไทยเข้าไปตั้งภูมิลำเนาอยู่มาก ตะวันตกของอาณาจักรสุโขทัยก็จดเขตแดน
มอญและพม่า สว่ นทางใตก้ ถ็ กู เมืองละโว้ของขอมกระหนาบอยู่

ด้วยเหตุนี้พระเจ้ารามคำแหงจึงต้องดำเนินวิเทโศบายในการแผ่อาณาจักรอย่างแยบยลและสุขุ มที่สุดเพื่อ
หลีกเลี่ยงการฆ่าฟันระหว่างคนไทยด้วยกันเองคือแทนที่จะขยายอาณาเขตไปทางเหนอื หรือตะวันออกซึ่งมีคนตงั้
หลกั แหลง่ อย่มู าก พระองคก์ ลบั ทรงตัดสินพระทยั ขยายอาณาเขตลงไปทางใต้อันเป็นดินแดนของขอม และทางทิศ
ตะวันตกอันเป็นดินแดนของมอญ เพื่อให้คนไทยในแคว้นลานนาได้ประจักษ์ในบุญญาธิการ และได้เห็นความ
แข็งแกร่งของกองทัพไทยแห่งอาณาจักรสุโขทัยเสียก่อน แล้วไทยในแคว้นลานนาก็อาจจะมารวมเข้าด้วยต่อ
ภายหลงั ไดโ้ ดยไม่ยาก

แตแ่ มจ้ ะไดต้ กลงพระทัย ดังนัน้ พระเจ้ารามคำแหงกย็ ังคงทรงวิตกอยู่ในข้อท่วี ่าถา้ แม้ว่าพระองค์กรีฑาทัพ
ขยายอาณาเขตลงไปสู้รบกับพวกขอมทางใต้แล้วพระองค์อาจจะถูกศัตรูรุกรานลงมาจากทางเหนือก็ได้ บังเอิญใน
ปี พ.ศ. ๑๘๒๙ กษัตริย์ในราชวงศ์หงวนได้ส่งฑูตเข้ามาขอทำไมตรีกับไทย พระองค์จึงยอมรับเป็นไมตรีกับจีน
เพื่อป้องกันมิให้กองทัพจีนยกมารุกรานเมื่อพระองค์ยกทัพไปรบเขมร พร้อมกันนั้นก็ได้ทรงพยายามสร้างความ
สนิทสนมกับไทยลานนาเช่นได้เสด็จด้วยพระองค์เองไปช่วยพระยาเม็งราย สร้างราชธานีที่นครเชียงใหม่เป็นต้น
แหละเม่ือเหน็ ว่าสัมพันธไมตรที างเหนือม่ันคงแล้ว พระองค์จงึ ได้เร่ิมขยายอาณาจักรสโุ ขทัยลงไปทางใต้ตามลำดับ
คือ ใน พ.ศ. ๑๘๒๓ ทรงตีได้เมืองนครศรธี รรมราช และเมืองตา่ งๆ ในแหลมลายูตลอดรวมไปถงึ เมืองยะโฮร์ และ
เกาะสงิ คโปรใ์ นปจั จบุ ันนี้

ใน พ.ศ. ๑๘๔๒ ตไี ด้ประเทศเขมร (กมั พชู า)

สว่ นทางทศิ ตะวนั ตกที่มีอาณาเขตจดเมืองมอญนนั้ เล่าพระเจ้ารามคำแหงกไ็ ดด้ ำเนินการอยา่ งสุขุมรอบคอบ
เช่นเมื่อได้เกิดความขึ้นว่า มะกะโท อำมาตย์เชื้อสายมอญ ซึ่งมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดและได้มารับราชการใกล้ชิด
พระองค์ได้กระทำความผิดชั้นอุกฤตโิ ทษ โดยลักพาเอาพระธิดาของพระองค์หนีกลับไปเมอื งมอญ แทนที่พระองค์
จะยกทัพตามไปชิงเอาตัวพระราชธิดาคนื มา พระองค์กลบั ทรงเฉยเสยี ดว้ ยไดท้ รงคาดการณ์ไกล ทรงม่ันพระทัยว่า
มะกะโท ผู้นี้คงจะคิดไปหาโอกาสตั้งตัวเป็นใหญ่ในเมืองมอญ ซึ่งถ้าเมื่อมะกะโทได้เป็นใหญ่ในเมืองมอญก็
เปรียบเสมือนพระองค์ได้มอญมาไว้ในอุ้มพระหัตถ์ โดยไม่ต้องรบราฆ่าฟันกันให้เสียเลือดเนื้อ ซึ่งต่อมาการณ์ก็ได้
เป็นไปตามที่ไดท้ รงคาดหมายไว้ คือมะกะโท ได้เป็นใหญ่ครอบครองอาณาจกั รมอญทัง้ หมด แลได้เข้าสามิภกั ดิ์ต่อ
อาณาจักรสุโขทัย โดยพระเจ้ารามคำแหงมิต้องทำการรบพุ่งประการใดพระองค์ได้เสด็จไปทำพิธีราชภิเษกให้
มะกะโท และพระราชทานนามใหใ้ หมว่ ่า “พระเจา้ ฟา้ รัว่ ”

ด้วยวิเทโศบายอันชาญฉลาด สุขุมคัมภีรภาพของพระองค์นี้เอง จึงเป็นผลให้อาณาจักรไทยในสมัยพระเจ้า
รามคำแหงแผข่ ยายออกไปอย่างกว้างขวาง ปรากฎตามหลกั ศลิ าจารึกว่าทางทศิ ใตจ้ ดแหลมมลายูทิศตะวันตกได้
หัวเมืองมอญทั้งหมด ได้จดเขตแดนหงสาวดี จดอ่าวเบงคอล ทิศตะวันออกเฉียงใต้ประเทศเขมร มีเขตตั้งแต่สัน
ขวานโบราณไปจดทะเลจีน ทิศตะวันออกเฉียงเหนือได้เมืองน่าน เมืองหลวงพระบางทั้งเวียงคำฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง

~๔~

ทิศเหนือมีอาณาเขตจดเมืองลำปาง กล่าวได้ว่าเป็นครั้งตั้งแต่ตั้งอาณาจักรไทยที่ได้แผ่นขยายอาณาเขตไปได้
กว้างขวางถึงเพียงนนั้

การทำนบุ ำรงุ บา้ นเมือง

เมื่อได้ทรงขยายอาณาเขตของอาณาจักรสุโขทัยออกไปอย่างกว้างขวางดังกล่าวแล้วพระเจ้ารามคำแหง
ยังได้ทรงทำนบุ ำรุงบ้านเมืองอีกเป็นอันมาก เชน่ ไดท้ รงสนบั สนนุ ในทางการค้าพานชิ เลิกด่าน เก็บภาษีอากรและ
จงั กอบ เพือ่ เปิดโอกาสให้ผู้คนไปมาค้าขายกันไดโ้ ดยสะดวกไดย้ ่ิงขึ้น ได้สง่ เสรมิ การทำอุตสาหกรรมทำเครื่องถ้วย
ชาม ถึงกบั ไดเ้ สดจ็ ไปดูการทำถว้ ยชามในประเทศจีนถึงสองคร้ัง แลว้ นำเอาช่างป่ันถว้ ยชามชาวจนี เข้ามาด้วยเป็น
อันมาก เพื่อจะได้ให้ฝึกสอนคนไทยให้รู้จักวิธีทำถ้วยชามเครื่องเคลือบดินเผาต่างๆ ซึ่งปรากฏว่าได้เจริญรุ่งเรือง
มากในระยะนัน้

ในด้านทางศาลก็ให้ความยุติธรรมแก่อาณาประชาราษฎรโดยทั่วถึงกันไม่เลือกหน้าทรงเอาพระทัยใส่ใน
ทุกข์สุขของอาณาประชาราษฎร์ถึงกับสั่งให้เจ้าพนักงานแขวนกระดิ่งขนาดใหญ่ไว้ที่ประตูพระราชวังด้านหน้าแม้
ใครมีทุกข์ร้อนประการใดจะขอให้ทรงระงับดับเข็ญแล้วก็ให้ลั่นกระดิ่งร้องทุกข์ได้ทุกเวลา ในขณะพิจารณา
สอบสวนและตัดสินคดี พระองคก์ เ็ สดจ็ ออกฟังและตดั สนิ ดว้ ยพระองค์เองไปตามความยุติธรรม แสดงความเมตตา
แก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเสมือนบิดากับบุตรทรงชักนำให้ศาสนาประกอบการบุญกุศล ศรัทธาในพระพุทธศาสนา
พระองค์เองทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกได้ทรงสร้างแท่นมนังศศิลาไว้ที่ดงตาล สำหรับให้พระสงฆ์แสดงธรรมและ
บางครัง้ กใ็ ช้เปน็ ท่ปี ระทับวา่ ราชการแผน่ ดิน

การปกครอง

ลักษณะการปกครองในสมัยของพระเจ้ารามคำแหงหรือราษฎรมกั เรยี กกันตดิ ปากว่าพ่อขนุ รามคำแหงนั้น
พระองค์ได้ทรงถือเสมือนหนึ่งว่าพระองค์เป็นบิดาของราษฎรทั้งหลาย ทรงให้คำแนะนำสั่งสอน ใกล้ชิด
เช่นเดียวกับบิดาจะพึงมีต่อบุตร โปรดการสมาคมกับไพร่บ้านพลเมืองไม่เลือกชั้นวรรณะ ถ้าแม้ว่าใครจะถวายทูล
ร้องทุกข์ประการใดแล้ว ก็อนุญาตให้เข้าเฝ้าใกล้ชิดได้ไม่เลือกหน้าในทกุ วันพระมักเสดจ็ ออกประทับยังพระแท่น
ศิลาอาสน์ ทำการสั่งสอนประชาชนให้ตั้งอยู่ในศีลธรรม ในด้านการปกครองเพื่อความปลอดภัยและมั่นคงของ
ประเทศนั้นพระองค์ทรงถือว่าชายฉกรรจ์ที่มีอาการครบ ๓๒ ทุกคนเป็นทหารของประเทศ พระเจ้าแผ่นดินทรง
ดำรงตำแหนง่ จอมทพั ข้าราชการก็มีตำแหนง่ ลดหล่นั เปน็ นายพล นายร้อย นายสิบ ถดั ลงมาตามลำดับ

ในด้านการปกครองภายใน จัดเป็นส่วนภูมิภาคแบ่งเป็นหัวเมืองชั้นใน ชั้นนอกและเมืองประเทศราช
สำหรับหัวเมืองชั้นใน มีพระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ปกครองโดยตรง มีเมืองสุโขทัยเป็นราชธานี เมืองศรีสัชนาลัย
(สวรรคโลก) เป็นเมืองอุปราช มีเมืองทุ่งยั้งบางยม สองแคว (พิษณุโลก) เมืองสระหลวง (พิจิ ตร) เมืองพระบาง
(นครสวรรค)์ และเมอื งตากเป็นเมืองรายรอบ

~๕~

สำหรับหัวเมืองชั้นนอกนั้น เรียกว่าเมืองพระยามหานคร ให้ขุนนางผู้ใหญ่ที่ไว้วางพระราชหฤทัยไป
ปกครองมีเมืองใหญ่บ้างเล็กบ้าง เวลามีศึกสงครามก็ให้เกณฑ์พลในหัวเมืองขึ้นของตนไปช่วยทำการรบป้องกั น
เมือง หัวเมืองชั้นนอกในสมัยนั้น ได้แก่ เมืองสรรคบุรี อู่ทอง ราชบุรี เพชรบุรี ตะนาวศรี เพชรบูรณ์ แลเมือง
ศรเี ทพ

สว่ นเมอื งประเทศราชนน้ั เป็นเมืองทีอ่ ยู่ชายพระราชอาณาเขตมักมีคนต่างด้าวชาวเมืองเดิมปะปนอยู่มาก
จึงได้ตั้งให้เจ้านายของเขานั้นจัดการปกครองกันเอง แต่ต้องถวายดอกไม้เงินดอกไม้ทองทุกปี แลเมื่อเกิดศึก
สงครามจะต้องถล่มทหารมาช่วย เมืองประเทศราชเหล่านี้ ได้แก่ เมืองนครศรีธรรมราช มะละกา ยะโฮร์
ทะวาย เมาะตะมะ หงสาวดี น่าน หลวงพระบาง เวียงจันทร์ และเวยี งคำ

การวรรณคดี

นอกจากจะได้ทรงขยายอาณาเขตของไทย ทางปกครองทำนุบำรุงบ้านเมือง และจัดระบบการปกครองท่ี
เปน็ ระเบยี บเรยี บร้อยดังกล่าวแล้ว พระเจ้ารามคำแหงยงั ได้ทรงสร้างส่ิงท่ีคนไทยจะลืมเสียมิได้อีกอย่างหนงึ่ สิ่งนั้น
ได้แก่ การประดิษฐอ์ กั ษรไทยขน้ึ อันเปน็ รากฐานของหนงั สอื ไทยทเี่ ราได้ใชก้ นั อยู่ในทกุ วันนี้

ตามหลกั ฐานปรากฎวา่ พระองค์ได้ทรงคิดอักษรไทยขึ้นใช้เมือ่ ปี พ.ศ. ๑๘๒๖ กล่าวกันว่าได้ดดั แปลงมาจาก
อักษรคฤนถ์อันเป็นอักษรที่ใช้กันอยู่ในอินเดียฝ่ายใต้ ตัวอักษรไทยซึ่งพระเจ้ารามคำแหงคิดขึ้นใช้ในสมัยนั้นตัว
พยัญชนะ สระและวรรณยุกต์จึงอยู่เรียงในบรรทัดเดียวกันหมดดังจะดูได้จากแผ่นศิลาจารึกในสมัยพระเจ้า
รามคำแหง ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ต่อมาจึงได้มีผู้ค่อยคิดดัดแปลงให้วัฒนาในทางดีและ
สะดวกในการเขียนมากขนึ้ เปน็ ลำดบั จนกระท่งั ถึงอกั ษรไทยทีเ่ ราไดใ้ ชก้ นั อยูใ่ นทุกวนั นี้

การศาสนา

ในสมัยพระเจ้ารามคำแหงนั้น ปรากฎว่าศาสนาพุทธได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมากเพราะพระองค์ทรงเลื่อมใส
ศรทั ธาอย่างมาก เชน่ เมอื่ มคี นไทยเดนิ ทางไปยังเกาะลังกา เพื่อบวชเรียนตามลัทธลิ งั กาวงศ์ คือถือคติอย่างหินยาน
มีพระไตรปิฎกเปน็ ภาษามคธ แลว้ เข้ามาตง้ั เผยแพร่พระพทุ ธศาสนาอย่ทู เี่ มืองนครธรรมราชน้นั พระเจา้ รามคำแหง
ยังไดเ้ สรจ็ ไปพบดว้ ยพระองค์เองแลว้ นิมนต์พระภิกษนุ ้ันข้นึ มาตั้งให้เป็นสงั ฆราชกรงุ สุโขทัย และไดบ้ วชในคนไทยท่ี
เลื่อมใสศรัทธาต่อมาตามลำดับ ต่อมาพระเจ้ารามคำแหงได้ทำไมตรีกับลังกาและได้ พระพุทธสิหิงค์มาจากลังกา
แลนบั แตน่ น้ั มาคนไทยจงึ ได้นับถอื ลัทธลิ งั กาวงศ์สบื มา

~๖~

ศิลาจารกึ

ในสมัยพระเจ้ารามคำแหง ได้มีการจัดทำศิลาจารึกขึ้นเป็นครั้งแรกแลนับว่าก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทาง
ประวัติศาสตรเ์ ป็นอย่างมาก เพราะถา้ พระองค์มิได้ทรงคิดอักษรไทยและทำศิลาจารึกไวแ้ ล้ว คนไทยรุ่นต่อมาก็จะ
คน้ ควา้ หาหลกั ฐานในทางโบราณคดแี ละประวตั ศิ าสตรไ์ ดย้ ากยิ่ง

หลกั ศิลาจารึก พอ่ ขุนรามคำแหง

เพื่อให้ท่านผู้อ่าน ได้ทราบถึงความเป็นมาในการค้นพบหลักศิลาจารึกในสมัยพระเจ้ารามคำแหง
มหาราช ข้าพเจ้าจึงขอคัดข้อความจากประชุมจารึกสยาม ภาคที่ ๑ จารึกสุโขทัยซึ่งศาสตราจารย์ ยอช เซเดส์
เป็นผชู้ ำระและแปลมาเสนอไวด้ งั ต่อไปนี้

เมอื่ ปีมะเสง็ เบญจศก ศักราช ๑๙๙๕ (พ.ศ.๒๓๗๖) เสดจ็ ไปประพาสเมืองเหนือนมัสการเจดยี ์ สถานตา่ งๆ
ไปโดยลำดับประทับเมืองสุโขทัย เสด็จไปเที่ยวประพาสพบแผ่นศิลา(พระแท่นมนังคศิลา) แผ่นหนึ่ง เขาก่อไว้ริม
เนนิ ปราสาทเก่าหักพังอยู่เป็นที่นับถือกลงั เกรงของหมู่มหาชน ถ้าบคุ คลไม่เคารพเดินกรายเขา้ ไปใกล้ให้เกิดการจับ
ไข้ไม่สบาย ทอดพระเนตรเห็นแล้วเสด็จตรงเข้าไปประทับแผ่น ณ ศิลานั้น ก็มิได้มีอันตราส่ิงหนึง่ ส่ิงใดด้วยอำนาจ
พระบารมี เมื่อเสด็จกลบั วนั สัง่ ใหท้ ำการชะลอลงมาก่อเปน็ แท่นไว้ทว่ี ดั ราชาธวิ าส ครงั้ ภายหลงั เสดจ็ เถลงิ ถวลั ยร์ าช
สมบัติแล้ว (รัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ดำรัสสั่งให้นำไปไว้ในวัดพระศรีรัตนศาสนาราม
อนึ่งทรงได้เสาศิลาจารึกอักษรเขมรเสาหนึ่ง จารึกอักษรไทยโบราณเสาหนึง่ ซึ่งตั้งอยู่ในวัดพระศรีรตั นศาสดาราม
น้นั ท่ีนพ่ี บศิลาจารกึ หลกั น้ีไม่ปรากฎแนช่ ัด แต่คดิ วา่ จารกึ นค้ี งจะใกล้ๆ กับพระแทน่ มนงั คศลิ า เพราในจารึกหลัก
นี้ด้านที่สามมีกล่าวถึง พระแท่นมนังคศิลา ซึ่งทำให้คิดว่า ศิลาจารึกหลักนี้จะได้ในเวลาฉลองพระแท่นนั้น
เพราะฉะนั้นศิลาจารึกหลกั นีค้ งจะอยู่ใกล้ๆ กับพระแท่นนัน้ คือ บนเนินปราสาทนั้นเองพระแท่นนั้น เมื่อชะลอลง
มากรุงเทพฯ แล้ว เดมิ เอาไวท้ ว่ี ัดราชาธิวาส กอ่ ทำเปน็ แทน่ ทป่ี ระทบั ไว้ตรงใต้ตน้ มะขามใหญ่ ข้างหน้าพระอโุ บสถ

ภายหลังเมื่อพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยูห่ ัวได้เสวยราชยเ์ มื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๔ ได้โปรดให้เอามา
ก่อแทนประดิษฐานไว้ที่หน้าวิหารพระคันธาราฐในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม อยู่มาจนถึงในรัชกาลปัจจุบันน้ี เม่ือ

~๗~

งานพระราชพิธีบรมราชาภิเศกสมโภชใน พ.ศ. ๒๕๔๕ จึงโปรดให้ย้ายไปทำเป็นแท่นเศวตฉัตรราชบัลลังก์
ประดษิ ฐานไวใ้ นพระท่นี ัง่ ดุสิตมหาปราสาทปรากฎอยใู่ นทุกวันน้ี

ส่วนศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงนั้น ครั้นพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาประทับอยู่
ณ วัดบวรนิเวศ โปรดให้ส่งหลักศิลานั้นมาด้วยภายหลังเมื่อได้เสวยราชย์ พระเจ้าเกล้าอยู่หัวโปรดฯ ให้ย้ายจาก
วัดบวรนิเวศ เอาเข้าไปตั้งไว้ศาลารายในวัดพระศรีรัตนศาสดารามข้างด้านเหนือพระอุโบสถหลังที่สองนับแต่ทาง
ตะวนั ตก อยู่ ณ ท่ีนต้ี ่อมาช้านานจนปลายเดอื นมนี าคม พ.ศ. ๒๔๖๖ จึงไดย้ ้ายเอามารวมไวท้ ห่ี อพระสมดุ

เรื่องหลักศลิ าจารึกพ่อขุนรามคำแหง ที่นักปราชญ์ชาวยุโรปแต่งไว้ในหนังสอื ต่างๆ นั้น มีอยู่ในบัญชีท้ายคำ
นำภาษาฝรั่งแลว้ ส่วนนกั ปราชญ์ไทยแต่ขึ้นนั้นได้เคยพิมพ์ในหนังสือวชริ ญาณเล่มที่ ๖ หนา้ ๓๕๗๔ ถึง ๒๕๗๗
ในหนังสือเรือ่ งเมอื งสุโขทยั ในหนงั สือพระราชนิพนธเ์ รอ่ื งเที่ยวเมอื งพระรว่ ง และในประชุมพงศาวดารภาคที่หน่งึ

เรื่องที่มีในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงนี้ แบ่งออกได้เป็นสามตอน ตอนที่ ๑ ตั้งแต่บรรทัดที่ ๑ ถึง ๑๘
เปน็ เรอื่ งพอ่ ขนุ รามคำแหงเลา่ ประวตั ขิ องพระองค์ตั้งแตป่ ระสูติจนได้เสวยราชสมบัติ ใช้คำวา่ “ก”ู เป็นพ้ืน ตอนที่
๒ ไม่ใช่คำว่า “กู” เลย ใช้ว่า “พ่อขุนรามคำแหง”เล่าเรื่องประพฤติเหตุต่างๆ และธรรมเนียมใน เมืองสุโขทัย
เร่ืองสรา้ งพระแทน่ มนังคศิลา เมือ่ ๑๒๑๔ เม่ือสรา้ งพระมหาธาตุ เมอื งศรสี ชั นาไลย เมอื่ ม.ศ. ๑๒๐๗ และที่สุด
เรอื่ งประดษิ ฐ์ตวั อักษรไทยขนึ้ เม่ือ พ.ศ.๑๒๐๕ ตอนท่ี ๓ ตง้ั แต่ด้านท่ี ๔ บรรทัดสุดท้าย เขา้ ใจว่าจารกึ ภายหลัง
ปลายปี เพราะตัวอักษรไม่เหมือนกับตอนที่ ๑ และที่ ๒ คือ ตัวพยัญชนะสั้นกว่าที่สระที่ใช้ก็ต่างกันบ้าง ตอนน้ี
(ท่ี ๓ ) เป็นคำสรรเสริญและขอพระเกียรติคุณพ่อขุนรามคำแหง และกล่าวถงึ อาณาเขตเมืองสุโขทยั ที่แผ่ออกไปใน
ครัง้ กระโน้น

ผู้แต่ศิลาจารึกนี้ เพื่อจะเป็นพ่อขุนรามคำแหงทรงเล่าเอง มิฉะนั้นก็คงตรัสสั่งให้แต่งและจารึกไว้ มูลเหตุที่
จารึกไว้คือเมื่อ ม.ศ. ๑๒๑๔ (พ.ศ.๑๘๓๕) ได้สะกัดกระดานหินพระแท่นมนังคศิลา ประโยชน์ของพระแท่นมนังค
ศลิ าก็คือ ในวันพระอุโบสถพระสงฆ์ได้ใชน้ ง่ั สวดพระปาตโิ มกข์และแสดงธรรมถ้าไม่ใชว้ ัดอโุ บสถพ่อขุนรามคำแหง
ก็ได้ประทับนั่งพระราชทานราโชวาทแก่ข้าราชบริพารและประชาราษฎรทั้งปวงที่มาเฝ้า และเมื่อปี ม.ศ. ๑๒๑๔
(พ.ศ.๑๘๓๕) นับเป็นปีที่สำคัญมากในรัชกาลของพ่อขุนรามคำแหงเพราะเป็นปีแรกที่ได้แต่งต้ังราชฑูตไปเมืองจีน
ศิลาจารึกกรุงสุโขทัยที่มีอยู่ในหอสมุดนี้ เริ่มรวบรวมแต่ในรัชกาลที่ ๓ มีจดหมายเหตุปรากฎว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๑๗๖
พระบาทสมเดจ็ ฯพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั ซง่ึ ทรงผนวชมาต้ังแตร่ ัชกาลท่ี ๒ ประทับอยู่ ณ วดั ราชาธิราชเสด็จขึ้น
ไปธุดงค์ทางมณฑลฝ่ายเหนือถึงเมืองพิษณุโลก สวรรคโลก และเมืองสุโขทัย เมื่อเสด็จไปถึงเมืองสุโขทัยครั้งนั้น
ทอดพระเนตรเหน็ ศลิ าจารึก ๒ หลกั คอื ศิลาจารกึ ของพ่อขุนรามคำแหง (หลักที่ ๑ ) และศิลาจารกึ ภาษาเขมรของ
พระมหาธรรมราชาลิไทย (หลักที่ ๔) กับแท่นมนังศิลาอยู่ที่เนินปราสาท ณ พระราชวังกรุงสุโขทัยเก่า ราษฎร
เช่นสรวงบชู านับถือกันว่าเปน็ ของศักดิ์สิทธิ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั ดำรัสถามว่าของท้ังสามส่ิงน้ัน
เดิมอยู่ที่ไหน ใครเป็นผู้เอามารวบรวมไว้ตรงนั้น ก็หาได้ความไม่ ชาวสุโขทัยทราบทลู วา่ แต่ว่าเห็นรวบรวมอย่ตู รง
นั้นมาตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตายายแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพิจารณาดูเห็นว่าเป็นของสำคัญจะทิ้งไว้เป็น

~๘~

อันตรายเสีย จึงโปรดเกล้าฯให้ส่งมากรุงเทพฯเดิมเอาไว้ที่วัดราชาธิวาส ทั้งสามสิ่ง พระแท่นมนังคศิลานั้นก่อทำ
เปน็ แท่นท่ีประทับไว้ตรงใต้ต้นมะขามใหญ่ ข้างหน้าพระอโุ บสถ คร้ันเสด็จมาประทบั ณ วัดบวรนิเวศ โปรดฯ ให้
ส่งหลักศิลาทั้งสองนั้นมาด้วย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพยายามอ่านหลักศิลาของพ่อขุน
รามคำแหงเอง แล้วโปรดฯให้สมเด็จพระมหาสมณะเจ้าพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ พร้อมด้วยล่ามเขมรอ่านแปล
หลักศิลาของพระธรรมราชาลิไทยได้ความทราบเรื่องทั้งสองหลัก ครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้
เสวยราชย์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๔ ต่อมาจึงโปรด ฯ ให้ย้ายพระแท่นมนังคศิลามาก่อแท่นประดิษฐานไว้หน้าวิหาร
พระคันธารราฐในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม “ในรัชกาลที่ ๕ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐ พระยาโบราณราชธานินทร
(พร เดชะคุปต์) ได้พบศิลาจารึก (หลักที่ ๕ ) ที่วัดใหม่ (ปราสาททอง) อำเภอนครหลวงแขวงจังหวัดอยุธยาหลัก
หนึ่ง แต่มีรอยถูกลบมีจนตัวอักษรลบเลือนโดยมาก แต่ยังมีเหลือพอทราบ ได้ว่าเป็นจารึกกรุงสุโขทัย สืบถามว่า
ใครได้มาแต่เมื่อใดก็หาได้ความไม่ พระยาโบราณฯ จึงได้ย้ายมารักษาไว้ในอยุธยาพิพิธภัณฑ์สถาน กรมพระยา
ดำรงราชนุภาพเสด็จขึ้นไปทอดพระเนตร ทรงพยายามอา่ นหนังสือที่ยงั เหลืออยู่ ไดค้ วามว่าเปน็ ศิลาจารกึ ของพระ
ธรรมราชาลิไทย คู่กับหลักภาษาเขมรซึ่งอยู่ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม คือ จารึกความอย่างเดียวกัน เป็นภาษา
เขมรหน่งึ หลัก ภาษาไทยหนงึ่ หลกั เดิมคงตงั้ ค่กู ันไว้ จึงรับสั่งใหส้ ง่ หลกั ศิลาจารกึ น้นั ลงไปไวใ้ นวัดพระศรีรตั นศาสดา
รามด้วยกันกับหลักภาษาเขมร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้มาจากเมืองสุโขทัยศิลาจารึก
ท้งั ๓ หลักนน้ั อยใู่ นวัดพระศรรี ัตนศาสดาราม จนย้ายมายังหอพระสมดุ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๗

พระเกียรติคณุ แผไ่ พศาล

พระบรมราชานสุ าวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทรง
ประกอบพิธีเททองหล่อพระบรมรูป ณ มณฑลพิธีกองหัตถศิลป กรมศิลปากร วันจันทร์ที่ ๗ ธันวาคม ปี
พระพุทธศักราช ๒๕๑๓ เวลา ๑๖.๓๐ นาฬกิ า

เมื่อกรมศิลปากรได้ปั้นหล่อพระบรมรูปพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และภาพจำหลักนูนแสดงเหตุการณ์
เรียบร้อยแล้ว จังหวัดสุโขทัยได้ประกอบพิธีอัญเชิญพระบรมรูปจากกองหัตถศิลป กรมศิลปากร ไปยังปะรำ
ประดิษฐานพระบรมรูปชั่วคราว เนินปราสาท เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายนปีพระพุทธศักราช ๒๕๑๘ และได้ประกอบ
พิธีอัญเชิญพระบรมรูปจากเนินปราสาท ไปประดิษฐานยังแท่นฐานปัจจุบัน เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน
ปพี ระพทุ ธศกั ราช ๒๕๑๙

ด้วยพระเกียรติคุณ พระราชกรณียกิจทีท่ รงสรา้ งไว้แก่ประเทศชาตินานัปการ มุ่งประโยชน์สุขของราษฎร
เป็นสำคัญ การรวมประเทศการแผ่ขยายอาณาเขต การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และการประดิษฐ์คิดค้น
อักษรไทย อันเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของชาติ ประชาชนชาวไทยจึงร่วมใจกันสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ของ
พระองค์ ประดษิ ฐานไว้ ณ เมืองกรุงเกา่ สุโขทยั เพื่อเป็นที่เคารพสักการะและเป็นการเฉลิมพระเกียรติคณุ ให้ย่ังยืน
สบื ไปช่วั กาลนาน

~๙~

คำจารึกพระบรมราชานสุ าวรยี พ์ อ่ ขนุ รามคำแหงมหาราช ณ จังหวัดสโุ ขทยั

สมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าชฯสยามกฎุ ราชกุมาร
เสด็จแทนพระองค์ทรงเปดิ พระบรมราชานสุ าวรีย์ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เมอื งสโุ ขทัย

วนั พฤหัสบดที ี่ ๑๗ พฤศจกิ ายน ๒๕๒๖ เฉลมิ ฉลอง ๗๐๐ ปีลายสือไท

สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี
ทรงถวายสกั การะพระบรมราชานสุ าวรีย์ พอ่ ขุนรามคำแหงมหาราช เมอื งสโุ ขทยั

วันเสาร์ท่ี ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๖ เฉลมิ ฉลอง ๗๐๐ ปลี ายสอื ไท

~ ๑๐ ~

ลกั ษณะของตวั อกั ษรไทย

สระ ๒๐ ตวั

วรรณยุกต์ ๒ รูป ตวั เลข ๖ ตวั
พยัญชนะ ๓๙ ตวั


Click to View FlipBook Version