1
ปก
2
คำนำ
เอกสารฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานในด้านการแต่งคำ
ประพันธ์ไทยอันได้แก่ความหมายของคำประพันธ์ คุณค่าหรือคุณประโยชน์ของคำประพันธ์ และ
คำศัพท์ทค่ี วรทราบในการแตง่ คำประพนั ธ์ไทย ความรู้ต่าง ๆ เหล่านจี้ ะเปน็ พืน้ ฐานหรอื เป็นเบ้ืองต้นท่ี
ทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจเรื่องการแต่งคำประพันธ์ไทยได้ง่ายเข้า และสามารถศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับคำ
ประพนั ธไ์ ด้อย่างละเอียดกวา้ งขวางต่อไป จนสามารถจะแต่งคำประพันธ์ได้
3
สารบญั
บทท่ี ๑.............................................................................................................................................. 1
ความนำ ...................................................................................................................................... 1
ลกั ษณะคำประพันธ์ท่ีดี................................................................................................................ 3
คณุ คา่ ของคำประพันธ์................................................................................................................. 3
คำศัพท์ที่ควรทราบในการแต่งคำประพันธ์................................................................................. 13
การใช้คำรับและสง่ สมั ผัส........................................................................................................... 21
แบบฝึกหดั ................................................................................................................................. 24
บทท่ี ๒............................................................................................................................................ 25
ลกั ษณะบงั คบั ของกวีนิพนธ์ไทย................................................................................................. 22
กลอน ........................................................................................................................................ 25
กาพย์ ........................................................................................................................................ 32
โคลง.......................................................................................................................................... 35
ฉนั ท์ .......................................................................................................................................... 40
1
บทที่ ๑
ความรูเ้ บื้องต้นเกยี่ วกับคำประพันธ์
ความนำ
เมื่อจะแต่งคำประพันธ์ก็จำเป็นจะต้องศึกษาเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานในด้านการแต่งคำ
ประพันธ์ไทยอันได้แก่ความหมายของคำประพันธ์ คุณค่าหรือคุณประโยชน์ของคำประพันธ์ และ
คำศัพทท์ คี่ วรทราบในการแตง่ คำประพนั ธ์ไทย ความร้ตู า่ ง ๆ เหล่านจี้ ะเปน็ พื้นฐานหรือเป็นเบ้ืองต้นท่ี
ทำให้ผู้ศึกษาเข้าใจเรื่องการแต่งคำประพันธ์ไทยได้ง่ายเข้า และสามารถศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับคำ
ประพันธไ์ ดอ้ ย่างละเอียดกวา้ งขวางตอ่ ไป จนสามารถจะแตง่ คำประพันธ์ได้
ความหมายของ “คำประพนั ธ์”
ประพนธ์ น. คำร้อยกรอง เชน่ โคลง ฉนั ท์ กาพย์ กลอน ก. รอ้ ยกรอง ผูก แตง่
ประพันธ์ ก. แต่ง เรยี บเรยี ง ผูกถอ้ ยคำเป็นความเชิงวรรณคดี๑
คำประพันธ์ หมายถึง ถ้อยคำผูกขึ้นตามแบบบังคับของลักษณะคำประพันธ์ชนิดนั้น ๆ ที่กำหนดไว้๒
คำประพันธ์ หมายถึง การเรียบเรียงถ้อยคำโดยมีกฎเกณฑ์บังคับสุดแต่ชนิดของคำประพันธ์นั้น๓
ถ้อยคำที่ได้รับร้อยกรองหรือเรียบเรียงขึ้น โดยมีข้อบังคับ จำกัดคำและวรรคตอนให้รับสัมผัสกัน
ไพเราะตามกฎเกณฑท์ ีว่ างไว้ในฉันทลักษณ์เรยี กวา่ คำประพนั ธ์๔
ดังนั้นเราอาจจะสรุปได้ว่าคำประพันธ์นั้น หมายถึง การเรียบเรียงถ้อยคำขึน้ ให้เป็นเรือ่ งราว
โดยมีกฎเกณฑ์บังคับตามฉันทลักษณ์ที่ปราชญ์ได้วางไว้เป็นแบบอย่าง เช่น การกำหนดจำนวนคำใน
วรรคในบท การบังคับเสียงสูงต่ำ หนักเบา การบังคับตำแหน่งสัมผัสและอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความ
ไพเราะแปลกกวา่ ภาษาที่ใชก้ ันตามธรรมดา
๑ พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ (กรุงเทพมหานคร : อักษรเจรญิ ทัศน์, ๒๕๒๕), หน้า ๕๐๑.
๒ กรมวิชาการ. หลกั ภาษาไทย (กรุงเทพมหานคร : องค์การคา้ ของครุ ุสภา, ๒๕๐๘), หน้า ๒๒๒.
๓ ประเสรฐิ แสงหิรญั และวสิ ทิ ธ์ิ โรจน์พจนรตั น์ แบบเรียนภาษาไทย ท ๒๐๓ – ๒๐๔, พิมพค์ ร้ังท่ี ๒ (กรงุ เทพมหานคร : พัฒนา
ศึกษา, ๒๕๒๓), หนา้ ๑๔๗.
๔ วนั เนาว์ ยเู ด็น, บทเรียนสำเร็จรปู เรื่อง การเขยี นกลอน หนว่ ยที่ ๑ รอ้ ยสัมผสั (กรงุ เทพมหานคร : อมรนิ ทรก์ ารพมิ พ,์ ๒๕๒๒),
หนา้ ๑๑.
2
อนึ่งค่า คำประพันธ์ นั้นอาจหมายถึงทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองก็ได้ แต่ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะ
ร้อยกรองเท่านั้น ซึ่งกวีในแต่ละยุคแต่ละสมยั จะใช้คำแตกต่างกันไป เช่น คำกานท์ กาพย์กลอน ร้อย
กรอง กวีนพิ นธแ์ ละกววี จั นะ เป็นต้น
ท่านผู้หญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา ได้ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับร้อยกรองเพิ่มเติมไว้ว่า
บทร้อยกรองเป็นดนตรี กวีหรือผู้แตง่ จะต้องเลอื กถ้อยคำเสยี งสูงต่ำให้เหมาะกับลีลาบท ความหมาย
ของเสียงของคำที่นำมาเรียงกัน ต้องมีความหมายจับอารมณ์ จับความคิดของผู้ได้ยินได้อ่าน จังหวะ
และสัมผัสบทร้อยกรองต้องมีเสียงสัมผัสหนักเบา ลักษณะสามประการนี้ เมื่อรวมกันก็เกิดเป็นแบบ
ของฉนั ทลกั ษณ์หรือแบบกาพย์กลอนซ่ึงผใู้ ดจะคิดประดิษฐแ์ บบใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอยา่ งไรกย็ ่อมทำได้๕
คำประพันธ์ร้อยกรองเป็นสิ่งที่อยู่คู่คนไทยมาช้านานจนกล่าวได้ว่าเอกลักษณ์ของคนไทย
อย่างหนึ่งก็คือ ความเป็นเจ้าบทเจ้ากลอนและรักการกวี จะเห็นได้ว่าคนไทยเรานิยมใช้คำที่สัมผัส
คล้องจองกันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ดังปรากฏหลักฐานเด่นชัดในหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง
มหาราชหลักที่ ๑ ว่า เมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ลู่ทาง
เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าทองค้า ไพร่ฟ้าหน้าใส๖
และการที่คนไทยมีนิสัยเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนนี้เองที่ทำให้วรรณกรรมประเภทร้อยกรองของไทย
ส่วนใหญม่ อี ายยุ นื กว่าวรรณกรรมร้อยแก้ว๗
กวีนิพนธ์หรือร้อยกรองมีคุณลักษณะเด่น คือ การที่มีการจำกัดจำนวนคำหรือพยางค์ จำกัด
ความยาว มีการกำหนดเสียงสงู ตำ่ กำหนดเสียงสัน้ ยาว เสียงหนักเสียงเบา กำหนดสัมผัสและกำหนด
จังหวะไวอ้ ย่างแน่นอน เช่น
กลอนหกมคี ำวรรคละ ๖ คำ
โคลงสีส่ ุภาพต้องมีคำเอก ๗ แห่ง คำโท ๔ แหง่
อินทรวิเชียรฉันทร์มีคำครุลหเุ ป็นแผนผงั เฉพาะ
๕ สมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา, คู่มือครูวิชาภาษาไทย เลม่ ๓ (กรุงเทพมหานคร : องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๑๒), หน้า ๒๘๒-
๒๘๖.
๖ ฉำ่ ทองคำวรรณ, คำอา่ นศลิ าจารึกพอ่ ขุนรามคำแหงมหาราช , พมิ พ์ครัง้ ที่ ๖ (กรงุ เทพมหานคร : สำนกั ทำเนียบนายนกรฐั มนตรี
, ๒๕๑๔), หนา้ ๓.
๗ นัยนา สทุ ธิธรรม, ฉนั ทลักษณ์ไทยร่วมสมัยในการสอนแตง่ คำประพนั ธ์ในระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย ปรญิ ญานพิ นธ์ครุศาสตร์
มหาบัณฑติ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, หน้า ๓.
3
ดังนั้นลักษณะบังคับของร้อยกรอง คือ คณะและสัมผัส ซึ่งเป็นลักษณะบังคับร่วมของร้อย
กรองทุกประเภท ส่วนคำเป็น คำตาย คำเอก คำโท คำครุ คำลหุ คำขึ้นต้น คำลงท้าย คำสร้อยและ
เสียงวรรณยุกต์น้ันเปน็ ลักษณะบงั คบั เฉพาะร้อยกรองบางประเภท
จุดเด่นของกวีนิพนธ์อีกประการหนึ่ง คือ ศิลปะการประดิษฐ์และเลือกสรรถ้อยคำมาใช้ให้
ไพเราะอ่านแล้วเกิดมโนภาพ แล้วเกิดอารมณ์สะเทือนใจ กวีจะเลือกใช้ถ้อยคำที่มีเสียงสัมผัส จังหวะ
และความหมายชัดเจน บางคร้ังอาจจะมีการใช้กวีโวหารด้วย เพือ่ ใหเ้ กิดความงดงามทางภาษา เชน่
ดวงเอยดวงยหิ วา งามอย่างนางฟา้ กระยาหงัน
นวลละอองผ่องพักตรผ์ วิ พรรณ ด่งั บหุ ลันทรงกลดหมดมลทนิ
งามเนตรดงั เนตรมฤคมาศ งามขนงวงวาดดง่ั วงศลิ ปะ
อรชรออ้ นแอ้นด่ังกินริน งามสิ้นทกุ สงิ่ พริง้ พร้อม
อิเหนา – รชั กาลที่ ๒
ลกั ษณะคำประพนั ธท์ ่ดี ี
คำประพนั ธ์ทด่ี จี ะต้องประกอบด้วยลกั ษณะต่อไปนค้ี ือ
๑. ฉันทลักษณ์ถูกต้องเหมาะสม คำประพันธ์ที่มีลักษณะดีควรจะแต่งให้ถูกต้องตามลักษณะ
บังคับของคำประพนั ธน์ ั้น ๆ เปน็ เบื้องแรก เช่น คณะ สัมผัส จังหวะและเสยี งเปน็ ต้น
๒. เนื้อความดีหรือใจความดี ซึ่งหมายความว่ามีเนื้อหาสาระที่มีประโยชน์ ก่อให้เกิด
จนิ ตนาการความคดิ สร้างสรรคแ์ ละสอ่ื ความหมายใหผ้ ้อู ่านเข้าใจตรงกับท่ผี ู้แต่งต้องการ
๓. มีความไพเราะ กล่าวคือ กวีมีความประณีตในการเลือกใช้คำที่มีเสียง จังหวะและสัมผัส
คล้องจองกลมกลืนกัน มีสำนวนโวหารเปรียบเทียบอุปมาอุปไมย ก่อให้เกิดอรรถรสและมโนภาพ ซ่ึง
จะทำใหผ้ ้อู า่ นเข้าใจได้ง่ายขึ้นและเกดิ อารมณ์ร่วมคล้อยตามกวีไปด้วย
อนึ่ง เพื่อให้เข้าใจความหมายลักษณะคำประพันธ์ที่ดีตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ก็จะขอ
ยกตัวอยา่ งกลอนบทละครเรื่องอเิ หนา พระราชนิพนธใ์ นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ท่ีมี
ลักษณะของคำประพนั ธ์ทด่ี ีครบถ้วน เช่น
เหมอื นเขาเปรียบเทียบความเมอ่ื ยามรัก แตน่ ำ้ ผกั ตม้ ขมก็ชมหวาน
ถึงยามชืดจดื กร่อยทั้งอ้อยตาล เคยโปรดปรานเปรย้ี วเค็มรเู้ ต็มใจ
คณุ ค่าของคำประพนั ธ์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงอรรถาธิบายถึงคุณประโยชน์หรือคุณค่ าของ
คำประพนั ธ์ไว้ว่า
4
สว่ นผลซง่ึ โคลงฉนั ทก์ าพย์กลอนจะให้แก่ผู้อ่านหรือผู้ฟงั น้นั อาจจะมไี ดด้ ังตอ่ ไปน้ีคือ
๑. สบายใจ คลา้ ย ๆ ฟงั เพลงบรรเลง
๒. เพลนิ ทำให้ลมื ส่งิ ซ่ึงระคายเคืองใจอยบู่ า้ งไดช้ ่ัวคราว
๓. ได้ฟงั โวหารอนั แปลก
๔. ได้ทราบความคิดของผู้แต่ง
สว่ นผู้ทีแ่ ต่งโคลงฉนั ท์กาพย์กลอนเองนัน้ เล่า ก็ไดร้ ับผลดเี หมือนกัน กลา่ วคอื
๑. สบายใจ คล้ายผทู้ ีเ่ ลน่ ดนตรพี ิณพาทย์
๒. เพลิน เพราะใชส้ มองในทางที่นึกถ้อยคำอนั ไพเราะ
๓. ต้องเขม้นขะมักแสดงโวหารให้แปลก
๔. มโี อกาสไดแ้ สดงความคดิ ให้ผู้อนื่ ฟงั
การแต่งรอ้ ยกรองถ้อยคำเป็นโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน นอกจากเปน็ ประโยชน์แกต่ วั ผู้แต่งเอง
โดยการอันกลา่ วมาแล้วนน้ั ยังนับว่าผ้แู ต่งทำความพอใจใหแ้ ก่เพอ่ื นมนุษย์ได้อีกเปน็ อนั มาก๘
นอกจากพระอรรถาธิบายดังกล่าวแล้วข้างต้น คำประพันธ์ไทยยังก่อให้เกิดประโยชน์อื่น ๆ
อีกหลายประการดงั น้ี
๑. คณุ ประโยชน์ตอ่ ผู้อ่านหรอื ผ้ฟู ัง
๑.๑ ผอู้ ่านหรอื ผ้ฟู งั จะทราบวฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณีและสภาพชีวิตความเป็นอยู่
ตลอดจนความเชื่อและค่านิยมของคนไทยในแต่ละยุคแต่ละสมัย อันจะเป็นแนวทางให้ชนรุ่นหลังได้
เรียนรู้และปฏิบัติตามสืบเนื่องกันไป คำประพันธ์ร้อยกรองจึงเปรียบเสมือนผู้ที่ทำหน้าที่รักษา
วฒั นธรรมประเพณใี ห้เป็นมรดกไทยสบื ตอ่ ใหแ้ ก่เยาวชนรุน่ หลังต่อไป เช่น
ข้อพงึ ปฏบิ ัติของกลุ สตรีไทย
๏ประการหนึง่ ซ่ึงจะเดินดำเนินนาด ค่อยเย้ืองยาตรยกยา่ งไปกลางสนาม
อย่าไกวแขนสดุ แขนเขาหา้ มปราม เสง่ียมงามสงวนไว้แต่ในที
อย่าเดินกรายย้ายอกยกผ้าห่ม อย่าเสยผมกลางทางหว่างวถิ ี
อยา่ พูดเพ้อเจ้อไปไมส่ ดู้ ี เหยา้ เรือนมีกลับมาจงึ หารือ
สุภาษิตสอนหญงิ – สนุ ทรภู่
๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบรมราชาธิบายในการประพันธ์ (กรุงเทพมหานคร : องค์การค้าของคุรุสภา,
๒๕๑๗), หนา้ ๑-๒.
5
กิจวตั รประจำวนั
อนึง่ เลา่ เขา้ ที่ศรีไสยาสน์ อย่าประมาหมัน่ คำนบั ลงกับหมอน
เปน็ นิรนั ดรส์ รรเสริญเจริญพร คณุ บิดรมารดาคุณอาจารย์
สวสั ดิรักษาคำกลอน – สุนทรภู่
ประเพณีบายศรสี ู่ขวญั
ครั้นพลบค่ำยำ่ ฆ้องทองประศรี เรียกยายปลยี ายเปลเข้าเคหา
เยบ็ บายศรีนมแมวจอกแกว้ มา ใสข่ ้าวปลาเปร้ียวหวานเอาพานรอง
เทยี นดอกไม้ไข่ขา้ วมะพรา้ วพร้อม นำ้ มนั หอมแป้งปรุงฟงุ้ ท้ังห้อง
ลูกปะหล่ำกำไลไขออกกอง บอกวา่ ของพ่อเจ้าแตเ่ ยาว์มา
เอาสอดใสใ่ ห้หลานสงสารเหลอื ด้วยหนอ่ เนอื้ นึกรักเปน็ หนกั หนา
เหมือนพ่อแผนแสนเหมือนไม่เคล่ือนคลา ท้งั หตู าคมสันเป็นมนั ยบั
พลางเรยี กหาข้าคนมาบนหอ ใหน้ งั่ ต่อต่อกันเป็นอนั ดับ
บายศรีตง้ั พรั่งพร้อมน้อมคำนับ เจริญรบั ม่งิ ขวัญรำพนั ไป
มาชมภาชนะทองอนั ผ่องใส
ขวัญพอ่ พลายงามทรามสวาดิ ขวัญอยา่ ไปปา่ เขาลำเนาเนนิ
ลว้ นของขวญั จนั ทนจ์ วงพวงมาลยั จะอ้างวา้ งเวยี นวกระหกระเหิน
เห็นแตเ่ นื้อเสือสงิ หฝ์ ูงลิงคา่ ง จงเจริญร้อยปีอยา่ มภี ัย
ขวัญมาหายา่ เถิดอยา่ เพลิดเพลิน มนั โหก่ ราวเกรียวลน่ั สน่นั ไหว
แล้วจดุ เทยี นเวยี นวงส่งให้บา่ ว แล้วดบั ไฟโบกควันให้ทนั ที
คอยรบั เทยี นเวยี นสง่ เปน็ วงไป กระแจะจันทนเ์ จิมหน้าเปน็ ราศี
มะพร้าวออ่ นป้อนเจา้ ทัง้ ขา้ วขวัญ มาซอปี่อ้อซั้นทำขวญั นาย
ให้สาวสาวลาวเวียงท่ีเสยี งดี
เสภาขนุ ช้างขนุ แผน – สนุ ทรภู่
การละเล่นของไทย พนกั งานการเล่นทั้งหลาย
อสุรนายวานรมนุษย์นาง
บัดนั้น สอ่ื เมืององคตพดหาง
คร้ันรุ่งกร็ ีบแต่งกาย ทง้ั สองขา้ งอ้างอวดฤทธี
พวกโขนเบิกโรงแล้วจบั เรอ่ื ง นายโรงรอ้ งชา้ รบั ป่ี
ตลกเล่นเจรจาเปน็ ทา่ ทาง ท่วงทีชม้ายชายตา
ละครเล่นอุณรทุ สมอษุ า
ทำบทสมบทงดงามดี
6
พวกหนุ่ ชูเชดิ ชักสาย คลอ่ งคลา้ ยคนรำทำท่า
เลน่ เรอ่ื งพระรามคลัง่ ฆา่ สีดา ตะวนั บ่ายปล่อยม้าอปุ การ
บทละครเรื่องอิเหนา – รชั กาลท่ี ๒
๑.๒ วรรณกรรมร้อยกรองมีส่วนช่วยส่ังสอนและส่งเสริมศิลและทำจรรยาที่ดีงามแก่
ประชาชนอาจจะยกระดับจิตใจของผู้อ่านให้มีคุณธรรมประจำใจ โดยอาจจะสั่งสอนโดยตรงหรือ
สอดแทรกในตอนใดตอนหนึ่งของเร่ืองก็ได้ อาทเิ ชน่
เมตตาตอบตอ่ มิตร
คดิ แล้วจึงเจรจา
อยา่ นินทาผู้อน่ื
อยา่ ตน่ื ยกยอตน
คนจนอยา่ ดูถูก
ปลูกไมตรีทั่วชน
สภุ าษติ พระรว่ ง
๏ใดใดในโลกล้วน อนิจจงั
คงแต่บาปบุญยัง เที่ยงแท้
คือเงาตดิ ตวั ตรงั ตรงึ แน่น อยู่นา
ตามแตบ่ าปบุญแล้ ก่อเกอ้ื รักษา
ลิลิตพระลอ
๑.๓ ร้อยกรองมักทำให้ผู้อ่านเกดิ ความซาบซึ้งและอารมณส์ ะเทือนใจไดม้ ากกว่าร้อยแก้ว จึง
น่าสนใจเสียงของคำ จังหวะ สัมผัสและความหมายที่ผสมผสานอย่างสอดคล้องกันในกวีนิพนธ์ย่อม
ก่อให้เกิดอรรถรสนานาประการ ดังที่ศาสตราจารย์เจือ สตะเวทิน กล่าวไว้ว่า ภาษากลอนเข้าเส้น
กว่าภาษาความเรียง๙ ดังนั้นเมื่อต้องการแสดงความรู้สึกอันลึกซึ้ง ภาษาธรรมดาย่อมไม่เพียงพอ จึง
เขียนเปน็ รอ้ ยกรองเพ่ือสอ่ื อารมณ์ถงึ ผรู้ บั ๑๐
๙ เจือ สตะเวทิน, ตำรบั ร้อยกรอง (กรงุ เทพมหานคร : สทุ ธสิ ารการพมิ พ์, ๒๕๑๗), หนา้ ๑๒๑.
๑๐ หมาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ภาษาไทย ๒ การประพันธ์ไทย (กรุงเทพมหานคร : สาขาวิชาศึกษาสาสตร์, ๒๕๒๖), หน้า
๔๒.
7
๒. คณุ ประโยชน์ตอ่ ผู้แตง่
๒.๑ การแต่งคำประพันธ์จะช่วยให้ผู้แต่งเกิดจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ แสดง
ความสามารถถา่ ยทอดความรสู้ ึก ความคิด ทศั นคติ ชวี ติ ความเปน็ อยู่ แม้กระทัง่ บุคลกิ ภาพของตนเอง
ออกมาด้วยการเลือกสรรและเรียบเรียงถ้อยคำได้อย่างประณีตและมีอรรถรสในกวีนิพนธ์ของเขา ซ่ึง
จะชว่ ยให้ผอู้ า่ นเข้าใจในตวั ผู้แตง่ จุดประสงคใ์ นการเขียนและเนื้อหาสาระท่ผี ู้แตง่ ต้องการจะถ่ายทอด
หรือนำเสนอแกผ่ ู้อา่ นได้อยา่ งถูกต้องและชัดเจนยงิ่ ข้ึน เชน่
ความรู้สกึ ต่อสภาพชีวิต
๏ ถึงหนา้ วงั ดงั หนึ่งใจจะขาด คดิ ถึงบาทบพิตรอดิศร
โอผ้ ่านเกลา้ เจา้ ประคณุ ของสุนทร แตป่ างก่อนเคยเฝา้ ทกุ เช้าเยน็
พระนิพพานปานประหนึง่ ศรี ษะขาด ด้วยไรญ้ าติยากแคน้ ถึงแสนเข็ญ
ทงั้ โรคซ้ำกรรมซัดวบิ ัตเิ ป็น ไม่เลง็ เห็นทีซ่ ึ่งจะพ่งึ พา
จะสร้างพรตอตสา่ ห์ส่งสว่ นบญุ ถวาย ประพฤตฝิ า่ ยสมถะทง้ั วสา
เป็นส่งิ ของฉลองคณุ มลุ ิกา ขอเป็นขา้ เคยี งพระบาททุกชาติไป
นิราศภูเขาทอง – สุนทรภู่
ทศั นคติ
๏ควรคงคตแิ ท้ เปน็ ไทย
ใชล่ อกตำราไป ทุกดุน้
นน่ั เทศนี่ไทยไฉน เหมอื นหมด ได้ฤๅ
ลอกแต่ท่ีกระตนุ้ กระเต้ืองให้ไทยเจรญิ
ตำรับรอ้ ยกรอง – เจอ สตะเวทนิ
บุคลกิ ภาพ
สตรีมสี องมือ
ม่ันยดึ ถอื ในแก่นสาร
เกลียวเอ็นจกั เปน็ งาน
มิใช่ร่านหลงแพรพรรณ
ใบไม้ทีห่ ายไป – จริ ะนนั ท์ พติ รปรชี า
๒.๒ สามารถทำให้ผูเ้ ขียนคลายความเครียดได้ นักจิตวิทยากลา่ วว่าถ้ามีความรู้สึกรัก เกลียด
โกรธ ก็ให้ระบายอารมณ์เหล่านั้นด้วยการเขียนข้อความที่บ่งบอกความรู้สึกในขณะนั้นลงไปใน
กระดาษแล้วจุดไฟเผาท้ิงเสีย จะช่วยให้ระบายความเครียดได้ดกี วา่ จะไปทำร้ายบคุ คล ซึ่งเป็นต้นเหตุ
8
ของความไม่สบอารมณ์ในทำนองเดียวกันถ้าต้องการระบายอารมณ์ต่าง ๆ ก็อาจจะเขียนถ่ายทอด
ออกมาเป็นคำประพันธ์ ซึ่งนอกจากจะทำให้หายเครียดแล้ว อย่างสร้างสรรค์งานศิลปะทางภาษาได้
ดว้ ย นบั ว่าเปน็ การคลายความเครยี ดทส่ี รา้ งสรรคเ์ ปน็ อย่างดที เี ดยี ว
๒.๓ ฝึกให้ผู้แต่งเป็นคนมีสุนทรียภาพในอารมณ์ ผู้ที่จัดแต่งคำประพันธ์ได้ดีต้องมีสมาธิและ
ความละเอียดอ่อน มคี วามสามารถในการถา่ ยทอดอารมณแ์ ละเรียบเรยี งถ้อยคำให้สละสลวย
๒.๔ ผู้แต่งจะได้รับเกียรติยศชื่อเสียงและทรัพย์สินเงินทองเพิ่มขึ้น บทร้อยกรองสามารถทำ
ให้บุคคลซึ่งไม่มีคนรู้จักกลายเป็นผู้ซึ่งเป็นที่นิยมชมชอบและมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ ดังเช่น กวีซีไรท์ของ
ไทยหลาย ๆ คนที่มีชื่อเสียงเป็นทีร่ ู้จักท้ังในและต่างประเทศและอาจจะได้รับรางวัลเป็นทรัพย์สินเงนิ
ทองอีกด้วย
๓. คณุ ประโยชนใ์ นการนำไปใช้
๓.๑ นำมาใช้แทนร้อยแก้ว กล่าวคือ บางครั้งคำประพันธ์ร้อยกรองยังถูกนำมาใช้แทนร้อย
แกว้ เพ่อื หลีกเลย่ี งถอ้ ยคำไมส่ ุภาพ และไมเ่ หมาะสมถ้าเขียนออกมาตรง ๆ ด้วยภาษาความเรยี ง การใช้
สำนวนเปรียบเทียบอุปมาอุปไมยในภาษาร้อยกรอง ย่อมก่อให้เกิดความไพเราะ กินใจ และสื่อ
ความหมายได้ตรงใจผู้เขียนมากกว่าภาษาร้อยแก้ว มักพบบ่อย ๆ ในการตัดพ้อต่อว่าหรือเสียดสีของ
ตวั ละครในวรรณคดไี ทย เชน่
ตวั นางเปน็ ไทแตใ่ จทาส ไมร่ กั ชาติรสหวานมาพานขม
ดั่งสกุ รฟอนฝา่ แต่อาจม ห่อนนยิ มรักรสสคุ นธาร
นำ้ ใจนางเปรยี บอย่างชลาลัย ไม่เลอื กไหลห้วยหนองคลองละหาน
เสยี ดายทรงวไิ ลแต่ใจพาล ประมาณเหมือนหน่ึงผลอุทุมพร
สุกแดงด่งั แสงปัทมราช ข้างในลว้ นกิมชิ าตเิ บยี นบ่อน
เรารใู้ จแล้วมใิ ห้อนาทร จะพาคืนนครในราตรี
กากีกลอนสภุ าพ – เจ้าพระยาพระคลงั (หน)
๓.๒ จดจำงา่ ย กล่าวคอื การใชถ้ ้อยคำสัน้ ๆ กะทดั รดั มสี มั ผัสคลอ้ งจองกันจะสะดวกแก่การ
จดจำมากกวา่ ขอ้ ความยาว ๆ ในรอ้ ยแก้ว เชน่
แล้วสอนวา่ อยา่ ไวใ้ จมนุษย์ มนั แสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลยพ์ ันเก่ียวทีเ่ ลย้ี วลด ก็ไม่คดเหมือนหนึง่ ในนำ้ ใจคน
พระอภยั มณี – สนุ ทรภู่
ด้วยเหตุน้ปี ัจจุบันในการโฆษณา ประชาสมั พนั ธ์และการรณรงคเ์ รอ่ื งต่าง ๆ ก็มกั จะนยิ มเขียน
เปน็ คำขวญั สัน้ ๆ ทคี่ ลอ้ งจองกัน เพอ่ื ใหจ้ ำงา่ ย เชน่
9
หลงทางเสียเวลา หลงตดิ ยาเสยี อนาคต (ส่งิ เสพติด)
รักครอบครวั ต้องป้องกนั ตวั และรทู้ ัน (เอดส์)
ศักดิศ์ รหี มดสิน้ หากแลกด้วยทรพั ยส์ ินอันมิชอบ (สำนักงาน ก.พ.)
เจ้าพระยาใส ด้วยนำ้ ใจทกุ คน (ตาวิเศษ)
ร่วมขจดั มลพิษ เสริมสร้างชีวิตและอนามัย (สิง่ แวดล้อม)
๓.๓ ใช้ประกอบร้อยแก้วเพื่อก่อให้เกิดความหลากหลาย สร้างความสนใจ เร้าใจหรือเปล่ยี น
บรรยากาศ ดังน้นั ในการพูดหรือเขยี นในปจั จบุ ันทม่ี คี วามยาวมาก ๆ มักจะนยิ มเปลี่ยนบรรยากาศมีให้
ผู้อ่านหรือผู้ฟังเกิดความจำเจเบื่อหน่ายด้วยการยกบทร้อยกรองแทรกเป็นระยะ ๆ เช่น เมื่อพูดหรือ
เขยี นเกย่ี วกบั ผลดีและผลเสยี ของคำพูดก็มกั จะยกตัวอยา่ งกลอนของสุนทรภ่ดู งั นี้
ถึงบางพูดพดู ดีเป็นศรีศักดิ์ มคี นรักรสถ้อยอร่อยจติ
แมพ้ ูดชวั่ ตวั ตายทำลายมิตร จะชอบผิดในมนุษยเ์ พราะพดู จา
๓.๔ เราจะใช้คำประพันธ์ในโอกาสพิเศษทางสื่อมวลชน เช่น ในการถวายพระพรเนื่องในวัน
เฉลิมพระชนมพรรษานั้น สื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ มักนิยมแต่งคำประพันธ์ร้อยกรองถวายพระพร
มากกว่าจะเขียนเปน็ รอ้ ยแกว้ เชน่
อาศริ วาท
เน่ืองในอภิลกั ขิตสมยั คลา้ ยวันพระราชสมภพ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
วนั ที่ ๒ เมษายน พทุ ธศักราช ๒๕๓๓
บงั คมบวั บาทดว้ ย ภักดี
บญุ เบกิ พระบารมี เพรศิ พรอ้ ม
เจา้ ฟา้ มหาจักรี ทรงสิริ
พระมิ่งขวัญราษฎร์น้อม เทิดไวส้ ถาวร
กฤษฎา พระเอย
ยอกรอญั ชลติ แก้ว เลศิ ลำ้
ชมชื่นพระจริยา ชาญย่งิ
สรรพศาสตรเ์ ช่ยี วปรชี า อย่หู ้องหทัยชน
เพ็ญภาคพระกรณุ ยำ้ ทิพวาร เวียนแล
ร่งุ ฟ้า
เปรมกมลทวยราษฎรแ์ ท้ เชงิ ศาสตร์ ศลิ ป์แฮ
สมภพพระเยาวมาลย์ โลกซ้องสรรเสริญ
อินทรพ์ รหมชนื่ ชมชาญ
พระเกยี รตพิ ระเกริกกลา้
10
จำเริญธรี ภาพแพรว้ ไพบลู ย์
คดิ ค่าควรไอศรู ย์ สืบด้าว
ราชกจิ แจม่ จรญู จำรัส
บรมจักรอี ะครา้ ว ผอ่ งแพร้วพรรณศรี
เชิญตรรี ัตนะเอ้ือ อำรุง พระเอย
เกษมโสตถิ์สิทธิผดุง บาทเบื้อง
พระยศอย่หู ลา้ คุง หมืน่ ขวบ ปีนา
ทรงพระเจริญรุ่งเร้ือง โลกกม้ ถวายกร
ดว้ ยเกลา้ ดว้ ยกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้า คณะหนังสือพิมพ์สกลุ ไทยรายสปั ดาห์
ที่มา : สกลุ ไทย ปีที่ ๓๖ ฉบบั ที่ ๑๘๕๑ ประจำวันองั คารท่ี ๑๐ เมษายน ๒๕๓๓
คำศพั ท์ทีค่ วรทราบในการแตง่ คำประพนั ธ์
ในการแต่งคำประพนั ธ์นน้ั มีคำศัพท์ซงึ่ เกย่ี วข้องกบั วธิ ีการแต่งทค่ี วรศึกษาดังน้ีคือ
๑. ฉนั ทลกั ษณ์ หมายถึง ตำราวา่ ดว้ ยคำประพันธ์หรอื ลักษณะบงั คับของคำประพันธ์๑๑
๒. ลักษณะบังคับในคำประพันธ์ หมายถึง แบบแผนข้อบังคับของร้อยกรองไทย ซึ่งมี
ลักษณะบังคับร่วม ได้แก่ คณะและสัมผัส และลักษณะบังคับเฉพาะร้อยกรองบางประเภท ได้แก่ คำ
เปน็ คำตาย คำเอก คำโท คำครุ คำลหุ คำขน้ึ ต้น คำลงท้าย คำสร้อยและเสยี งวรรณยุกต์
๓. คำ หมายถึง เสียงที่เปล่งออกมาครั้งหนึ่ง ๆ ไม่ว่าจะสั้นหรือยาวเพียงใด และจะมี
ความหมายหรือไม่มีก็ตามในวิชาการประพันธ์เราเรียกว่า คำ แต่วิชาหลักภาษาไทยเรียกว่า พยางค์
คำ เป็นส่วนย่อยของวรรค เชน่ กลอนแปดวรรคหนงึ่ มี ๘ คำ เป็นตน้
อนึ่ง คำวา่ คำ ยงั หมายถงึ คำกลอน ซง่ึ มี ๒ วรรคดว้ ย
๔. วรรค คอื สว่ นย่อยของบาท หน่งึ บาทจะมี ๑-๒ วรรคขน้ึ ไป
๑๑ มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช, ภาษาไทย ๒ การประพนั ธ์ไทย, หนา้ ๔๘.
11
๕. บาท คือ ส่วนย่อยของบท คำประพันธ์บทหนึ่งจะมีตั้งแต่ ๑-๔ บาท บาทหนึ่งอาจจะมีได้
หลายวรรคแลว้ แต่ประเภทของคำประพันธ์ เชน่ โคลงสี่สภุ าพ ๑ บาทมี ๒ วรรค เป็นต้น
๖. บท คือ คำประพันธ์ตอนหนึ่ง ๆ จะสั้นหรือยาวแล้วแต่ประเภทของคำประพันธ์
อนึ่งเพื่อให้เข้าใจเรื่องวรรค บาท และบทมากยิ่งขึ้น จึงจะขอยกตัวอย่างคำประพันให้เห็น
อยา่ งชดั เจน ดังนี้
โคลงส่ีสุภาพ ๑ บทมี ๔ บาทและบาทละ ๒ วรรค
ฉนั ท์ ส่วนใหญ่ ๑ บทมี ๒ บาท หรอื ๔ วรรค
๗. คณะ แตเ่ ดิมนั้นหมายถึง การกำหนดจำนวนคำในวรรค ในบ้านหรอื ในบทของคำประพันธ์
ประเภทฉันท์ที่เรานำแบบอย่างมาจากอินเดีย แต่ต่อมาหมายถึง การกำหนดจำนวนคำในวรรค
ในบาทและในบทของคำประพันทุกชนดิ ของไทยดว้ ย เช่น กาพย์ยานบี ทหน่ึงจะตอ้ งมี ๔ วรรค วรรคท่ี
๑ และวรรคที่ ๓ มีวรรคละ ๕ คำ วรรคที่ ๒ และวรรคที่ ๔ มีวรรคละ ๖ คำบาทหนึ่งมี ๑๑ คำ เป็น
ตน้
๘. สมั ผัส คือ การจัดเรยี งถ้อยคำในบทประพนั ธ์ให้สอดคล้องกัน เพอื่ ความไพเราะ สัมผัสใน
ร้อยกรองไทยแบ่งไดเ้ ปน็ ๒ ลกั ษณะคือ
๑. แบ่งตามตัวอักษร มี ๒ ชนิด คือ สัมผัสสระ และ สัมผัสพยัญชนะ
๒. แบ่งตามตำแหน่ง มี ๒ ชนิด คือ สัมผัสนอก และสมั ผสั ใน
๑. แบง่ ตามตวั อักษร
ก. สัมผัสสระ หมายถึง การจัดคำให้คล้องจองกัน โดยใช้สาระตัวเดียวกันหรือเสียงเดียวกัน
ส้นั ยาวเท่ากัน และถ้ามีตวั สะกดตอ้ งอยู่ในมาตราเดียวกันดว้ ย โดยดูจากรูปสละเปน็ เกณฑ์ มิใชฟ่ งั จาก
เสยี งเท่านนั้ เชน่ ไป – ไฉน – ไกล – ไว้ – ใคร – ใช้ – ใหญ่ หรือ มาร – กาล – ราน –นาน – ขาน –
กา้ น แต่ ท่าน – ฉัน หรือ ให้ – ชาย สัมผัสกนั ไมไ่ ด้
ข. สัมผัสอักษรหรือสัมผัสพยัญชนะ หมายถึง คำท่ีจัดให้คล้องจองกัน โดยใช้พยัญชนะต้น
ตัวเดียวกันหรือเสียงเดียวกัน ถ้าเป็นพยัญชนะควบกล้ำก็ต้องอยู่ในชุดเดียวกัน ทั้งนี้โดยไม่คำนึงถึง
สละวันในยุคและตัวสะกด เช่น ที่ – เธอ – ท่าน – เทอญ – เถิด หรือ พร้อง – เพริศ – แพร้ว – พริ้ง
– พราย หรอื อาจจะใชอ้ กั ษรคกู่ นั เช่น ฉัน – ชื่อ เศร้า – ซา แซง – แทรก ทรพั ย์ – สร้าง เปน็ ต้น
๒. แบง่ ตามตำแหนง่
12
ก. สัมผัสนอก หมายถึง คำทีจดั ใหค้ ล้องจองกันในบทประพันธ์ทกุ ชนดิ เป็นสมั ผัสบงั คบั ถ้าไม่
มีถือว่าผิดฉันทลักษณ์และให้ใช้แต่สัมผัสสระเท่านั้น ที่เรียกว่าสัมผัสนอกก็เพราะว่าเป็นสัมผัสที่ออก
จากท้ายวรรคไปยังคำหน่งึ คำใดในวรรคหรือในบทตอ่ ๆ ไป เช่น
โอ้นกึ นกึ ดึกเงยี บยะเยยี บอก เ ห ็ น แ ต่ ก ก ก อ ป ร ง เ ป ็ น พ ง ไ ส ว
ลดาวลั ย์พันพมุ่ ชอมุ่ ใบ เรไรไพเราะรอ้ งซอ้ งสำเนียง
นิราศเมอื งเพชร – สุนทรภู่
ข. สมั ผัสใน คือ สัมผสั ท่กี วีคิดเติมเขา้ ภายในวรรคเดียวกัน เพื่อให้เกิดความไพเราะย่งิ ข้ึนมิได้
เป็นสัมผัสบังคับ และอาจจะใช้สัมผัสสระหรือสัมผัสพยัญชนะก็ได้ ลักษณะการสัมภาษณ์อาจจะเป็น
สัมผัสของคำทีอ่ ยู่ชดิ กนั หรอื สัมผสั ท่มี คี ำอนื่ ขน้ั กลางก็ได้ เชน่
สมั ผัสสระ
โอ้นกึ นึกดกึ เงียบยะเยยี บอก เ ห ็ น แ ต ่ ก ก ก อ ป ร ง เ ป ็ น พ ง ไ ส ว
ลดาวัลย์พันพมุ่ ชอ่มุ ใบ เรไรไพเราะรอ้ งซอ้ งสำเนยี ง
นิราศเมืองเพชร – สนุ ทรภู่
สัมผัสพยัญชนะหรอื สมั ผสั อักษร
ดนู ำ้ วิ่งกล้งิ เช่ียวเปน็ เกลยี วกลอก กลบั กระฉอกฉาดฉดั ฉวดั เฉวียน
บ้างพลงุ่ พลุ่งวงุ้ วงเหมอื นกงเกวยี น ดูเปลย่ี นเปล่ียนควา้ งคว้างเป็นหวา่ งวน
นิราศภเู ขาทอง – สุนทรภู่
๙. คำเป็น คือ คำที่มีเสียงตวั สะกดในแม่กง กน กม เกย เกอว เช่น คง จน ข่ม เชย เป็นตน้
และคำทปี่ ระสมกบั สระเสียงยาวในแม่ ก กา เชน่ ดี มา รวมทงั้ ทปี่ ระสมกบั สระอำ ไอ ใอ เอา เชน่ จำ
ใจ ไป เบา เปน็ ตน้ เปน็ คำทีผ่ นั ได้มากเสยี ง
๑๐. คำตาย คือ คำที่มีเสียงตัวสะกดในแม่กก กด กบ เช่น รัก ตัด แอบ และคำที่ประสมกับ
สระเสียงสั้นไมม่ ีตวั สะกดในแม่ ก กา เช่น ก็ มุทะลุ เอะอะ นะซิ (ยกเว้นสระอำ ไอ ใอ เอา) เป็นคำท่ี
ผันไดน้ ้อยเสียง
๑๑. คำเอก คือ คำทมี่ ีรปู วรรณยกุ ตเ์ อกกำกบั เช่น พ่ี ป่า น่า ตำ่ ตอ่ ในการแต่งคำประพันธ์
ประเภทโคลงและร่าย อนโุ ลมให้ใชค้ ำตายที่ไมม่ ีรูปวรรณยุกตแ์ ทนคำเอกได้ เช่น จิต ปวด คิด รัก
13
๑๒. คำเอกโทษ คือ คำทม่ี ีรูปวรรณยกุ ตโ์ ท แล้วเปลย่ี นการเขียนให้มรี ูปวรรณยุกต์เอกกำกับ
เพื่อให้ถกู กฎเกณฑ์ทางฉันทลักษณ์ของคำประพันธน์ ัน้ ๆ เช่น คอ่ ง (ข้อง) เคา่ (เข้า) เซ่า (เศร้า) ท่อย
(ถ้อย) ว่าย (ไหว้) ซู่ (สู)้ เป็นต้น
๑๓. คำโท คือ คำที่มีรูปวรรณยุกต์โทกำกับ เป็นลักษณะบังคับของโคลงและร่าย เช่น ห้าม
ข้าม สรอ้ ย กา้ น ช้า เปน็ ตน้
๑๔. คำโทโทษ คือ คำที่มีรูปวรรณยุกต์เอก แล้วเปลี่ยนการเขียนให้มีรูปวรรณยุกต์โทกำกับ
เพื่อให้ถูกกฎเกณฑ์ทางฉันทลักษณ์ของคำประพันธ์นั้น ๆ เช่น เหล้น (เล่น) หว้าย (ว่าย) ฉ้วย (ช่วย)
แหน้ (แน่) ผ้ี (พ่ี) ขา้ (ค่า) หนา้ (นา่ ) เป็นต้น
๑๕. คำครุ ซึ่งใช้สัญลักษณ์ ั ใช้เฉพาะในคำประพันธ์ประเภทฉันท์ หมายถึง คำทุกคำที่มี
ตัวสะกด เช่น ยักษ์ จน หมด ชม พบ คง และคำที่ประสมกับสระเสียงยาวในแม่ ก กา เช่น มี ย่า ป้า
รวมทงั้ สระ อำ ไอ ใอ เอา เช่น ทำ ไป ใจ เยาว์ เป็นตน้
๑๖. คำลหุ ซ่ึงใช้สญั ลกั ษณ์ ุ ใช้เฉพาะในคำประพนั ธ์ประเภทฉนั ท์ หมายถึง คำท่ีประสมกับ
สระเสียงสั้นในแม่ ก กา ยกเว้นสระ อำ ไอ ใอ เอา เช่น ชิชะ เพราะ ศิวะ ดนุ ติ เป็นต้น และคำที่ใช้
พยัญชนะตัวเดยี ว เชย่ ณ ธ ก็ บ บ่
๑๗. คำนำหรือคำขึ้นต้น คือ คำที่ใช้ขึ้นต้นร้อยกรองบางชนิด ได้แก่ กลอนสักวา กลอน
ดอกสรอ้ ย กลอนเสภาและกลอนบทละคร ทง้ั นี้เพอื่
ก. บอกใหท้ ราบชนดิ ของคำประพันธ์น้ัน เชน่ สกั วาหวานอน่ื มหี มน่ื แสน
ข. บอกใหท้ ราบวา่ เปน็ การข้ึนตน้ เร่อื ง ขึ้นตน้ ตอนใหญห่ รือตอนใหม่ เชน่ ครานน้ั ใช้
ขน้ึ ต้นตอนใหญ่ในเสภา เม่อื นั้น บอกให้ทราบว่าจะกลา่ วถึงตวั กษัตรยิ ห์ รอื ตัวละครสำคัญ และ บัดนั้น
เม่ือกล่าวถึงตัวรองในคำประพนั ธ์ประเภทกลอนบทละคร เป็นต้น
๑๘. คำสรอ้ ย คือ คำทใี่ ชล้ งทา้ ยวรรค ท้ายบาทหรอื ท้ายบทในคำประพันธ์ประเภทโคลงและ
รา่ ยท้ังนเ้ี พ่อื
ก. ทำใหเ้ สียงไพเราะข้ึน หรือเสรมิ ความใหเ้ ต็ม เมือ่ ความในวรรคหน้ายงั ไมเ่ ตม็ ความ
เชน่
สรุ ิยาเรือ่ งเร่ือพน้ื อมั พร แผ้วเอย
ประมาณกึ่งเดือนดล จรหล่ำ แลนา
บแ่ ปรพกั ตรต์ ่อไท้ บส่ ง่ั สกั คำไว้
แก่แมเ่ ลย้ สดุ ใจ แม่เอยฯ
14
ข. บอกการลงจบ เช่น ใจหาญตายก่อนเจ้า เป็นเพื่อนตายคลึงเคล้า คู่หน้ารักใจ
บารนฯี
ค. อาจบอกเพศ บอกความถาม บอกความเก่ียวข้องและอนื่ ๆ ไดอ้ ีกบา้ ง เชน่ ก็ดี ฤๅ
พ่อ แต่มักเป็นคำสร้อยแท้เพียงคำเดียว เช่น นอ นา เนอ ฮา ฮือ แฮ ส่วนอีกคำมักเป็นคำที่มี
ความหมายประกอบอยู่ในวรรคหรือในบท เช่น บินลุพจ่ี กั บนิ มาสู่ นชุ นา
อนึ่งคำสร้อยมักใช้คำเป็น ไม่ควรใช้คำตาย เพราะจะทำให้เสียงห้วนกระด้าง ขาดความ
ไพเราะในรสการประพนั ธ์
๑๙. เสยี งวรรณยกุ ต์ หมายถงึ เสยี งวรรณยุกตท์ ั้ง ๕ เสยี ง คอื เสียงสามัญ เสยี งเอก เสียงโท
เสยี งตรี และเสยี งจัตวา มกั นยิ มกำหนดใชใ้ นคำประพนั ธบ์ างชนิด เชน่ กาพยก์ ลอน เปน็ ต้น
คำแนะนำในการแต่งคำประพันธ์
เมื่อจะเริ่มแต่งคำประพันธ์นั้น ย่อมมีปัญหาอยู่บ้างสำหรับนักเขียนมือใหม่ที่ขาดท้ัง
ประสบการณ์และความมั่นใจว่าจะเริ่มตรงไหนดีหรือเร่ิมอย่างไรดี จึงมีข้อแนะนำสำหรับนักศึกษาวา่
ควรปฏบิ ัตดิ งั น้ี คอื
กอ่ นแต่ง
(1) ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการแต่งคำประพันธ์น้ันเราอาจศึกษาได้หลายวิธี อาทิเชน่
อ่านจากตำราต่าง ๆ การพูดคุยสนทนากับกวี หรือการได้มีโอกาสเข้าฟังการบรรยาย หรืออภิปราย
ของผู้เชย่ี วชาญในด้านการแต่งคำประพันธ์ในโอกาสต่าง ๆ ดังนั้นผูท้ รี่ กั การประพนั ธ์ควรไฟหาความรู้
ด้วยวธิ ีการตา่ ง ๆ ให้มากทส่ี ุดเท่าทจ่ี ะทำได้
(2) ควรพยายามหากวีนิพนธ์มาอ่านให้มาก ๆ เพื่อเก็บสะสมถ้อยคำสำนวนที่ไพเราะ และ
ศึกษาลีลาการแต่งคำประพันธ์ประเภทต่าง ๆ ของกวีให้ถูกต้องแม่นยำ ซึ่งในเรื่องนี้ศาสตราจารย์เจอื
สตะเวทิน ได้ใหค้ ำแนะนำไว้ว่า
นักกลอนทั้งหลายควรจะต้องมอี ุดมคติประจำใจว่าเราจะสะสมความรูค้ วามคิดไว้ให้มาก เรา
ต้องเรียนแบบผ้ึง หาน้ำหวานจากเกสรดอกไม้มารวมไว้ เราตอ้ งเรียนอย่างตำรวจ คอื ตรวจอยู่เสมอว่า
15
มีอะไรเกิดขึ้นบ้างในวันหนึง่ ๆ ทำได้ดังน้ีแสดงวา่ เราทันโลกเสมอ ใครเป็นหนอนหนังสอื ได้เท่าใดกย็ ิง่
ด๑ี ๒
(3) ก่อนจะลงมือแต่งคำประพันธ์ควรจะศึกษากฎเกณฑ์ทางสัณฐานรักของคำประพันธ์ชนิด
ต่าง ๆ ให้เขา้ ใจเสยี กอ่ น
(4) ควรศึกษาเรือ่ งคำที่มเี สียงคลอ้ งจองกันใหแ้ ม่นยำ เพราะไม่ว่าคำประพันธ์ประเภทใด คน
ไทยเราก็มักจะแต่งให้มีสัมผัสคล้องจองกัน แม้กระทั่งฉันท์ ซึ่งเป็นคำประพันธ์ที่ดัดแปลงมาจาก
อนิ เดีย คนไทยเราก็ยงั เพิ่มสัมผัสเข้าไปเพ่อื ให้เกดิ ความไพเราะตามวสิ ยั ของคนไทย
(5) ฝึกฝนการแต่งร้อยกรองงา่ ย ๆ ถา้ ยังคิดเปน็ ถ้อยคำทเ่ี ปน็ ร้อยกรองไม่ได้โดยอัตโนมัติก็ให้
คิดข้อความที่จะเขียนเป็นคำพูดปกติเสียก่อน แล้วจึงแปลงเนื้อความนั้นเป็นร้อยกรอง ซึ่งจะช่วยให้
แต่งคำประพันธ์ได้ง่ายขน้ึ อาทิเช่น
ความคดิ ธรรมดาไมม่ ีสัมผสั ความคดิ เปน็ กาพย์กลอนมีสัมผสั
ป่าไม้มีคา่ ป่าไมม้ ีคณุ ค่าน่าถนอม
เราจะเรียนต่อ เราจะเพยี รเรียนต่อให้จงได้
เป็นคนควรขยัน เกิดเปน็ คนควรขยนั หมน่ั เพยี รไว้
พระจนั ทรส์ วยเมื่อข้างขนึ้ พระจันทร์งามยามเม่ือเป็นข้างข้ึน
ดอกมะลสิ ีขาวนา่ รัก มะลขิ าวพราวตาชา่ งนา่ รกั
ระหวา่ งแต่ง
(1) เลอื กเร่ืองท่ีมีสาระมาแต่งเปน็ คำประพนั ธ์
(2) กำหนดจดุ มุ่งหมายและวางเคา้ โครงเรื่องให้เป็นระบบระเบียบต้ังแต่เน้ือเรื่อง เช่น จะเริ่ม
เรื่องและดำเนินเรื่องอย่างไรตั้งแต่ต้นจนจบ คำประพันธ์ที่ใช้ จะใช้คำประพันธ์ชนดิ ใดจงึ จะเหมาะสม
กับเนื้อหาสาระและวตั ถุประสงคใ์ นการแต่ง จะใช้คำประพันธ์ประเภทเดยี วหรือหลายประเภทปะปน
กัน และจะใชค้ ำประพนั อะไรในช่วงใด
(3) ควรเริ่มแต่งคำประพันธจ์ ากง่ายไปหายากทีละข้ัน กล่าวคือ อาจจะเร่ิมจากกาพย์-กลอน-
โคลง-ฉันท์ ตามลำดับ
(4) เมอ่ื คิดจะแต่งคำประพนั ธ์ก็ต้องเร่มิ แต่งทันที อยา่ รรี อหรือท้อถอย อาจจะขลกุ ขลักบ้างใน
ตอนแรก แต่การฝกึ หัดเขียนบ่อย ๆ จะทำใหเ้ รามีความชำนาญเพ่ิมขึน้ จนสามารถแต่งคำประพันธ์ให้
ไพเราะได้ในที่สุด
๑๒ เจอื สตะเวทิน, ตำรบั รอ้ ยกรอง (กรงุ เทพมหานคร : สทุ ธิสารการพิมพ์, ๒๕๑๗), หน้า ๑๑๙.
16
(5) ควรเคร่งครัดในกฎระเบียบตามฉันทลักษณ์ของคำประพันธ์แต่ละประเภท จนเกิดความ
ชำนาญเสียก่อน ดกี ว่าจะพลิกแพลงโดยไม่ยึดกฎเกณฑ์
(6) พิถีพิถันในการเลือกใช้ถ้อยคำที่จะแต่งเป็นร้อยกรองให้ได้เนื้อความไพเราะและเกิด
อรรถรสโดยเนน้ เรอื่ งการสร้างความ จดั คำและใส่สมั ผัส ซึง่ ในเรื่องทีพ่ ระราชธรรมนเิ ทศทา่ นไดแ้ นะนำ
ไว้ว่า
การจำลองความฝนั ประพันธพ์ จน์ ให้หมดจดจำเรียงส่งเสยี งใส
เหมอื นระฆงั ดังสน่นั ลั่นหวั ใจ จำต้องใชส้ มาธิริเร่มิ ดี
ต้องเรียกรอ้ งพลพรรคตวั อักษร เขา้ บทกลอนประจำตามหนา้ ที่
แลว้ เลอื กคดั จดั ทพั ปรบั โยธี เอาแตท่ ี่มวี ญิ ญาณอา่ นจบั ใจ
หลังแตง่
ขัดเกลาหรือแก้ไขคำประพันธ์ที่แต่งให้มีลักษณะของคำประพันธ์ที่ดี คือ ความดี มีอรรถรส
และถูกหลักเกณฑ์ ซึ่งท่านผู้รู้แนะนำว่าเมื่อแต่งคำประพันธ์นั้นเสร็จ ให้ทิ้งไว้สัก ๒-๓ วัน แล้วค่อย
กลับมาอ่านทบทวนใหม่ เพื่อตรวจสอบว่าถูกต้องตามฉันทลักษณ์หรือไม่ ใช้ถ้อยคำที่สื่อความหมาย
ตรงตามความต้องการหรือไม่และใช้ถ้อยคำหรือสัมผัสก่อใหเ้ กดิ ความไพเราะ และเหน็ ภาพหรอื ไม่
ศลิ ปะในการแต่งคำประพันธใ์ ห้ไพเราะ มเี น้ือหาสาระ และความคิดสรา้ งสรรค์
ในการแต่งคำประพันธ์ให้ไพเราะและมีเนื้อหาสาระสร้างสรรค์นั้น นอกจากเราจะดำเนิน
วิธีการตามฉันทลักษณ์บังคับของคำประพันธ์แต่ละชนิดแล้ว ยังมีข้อแนะนำปลีกย่อยอื่น ๆ ที่ควร
ยึดถือเปน็ หลกั ในการเขยี นดงั ตอ่ ไปนี้คือ
การเลอื กสรรถ้อยคำมาใช้
๑. ไม่ควรใช้คำที่ไม่มีความหมายหรือมีความหมายไม่ตรงกับที่ต้องการในบทประพันธ์นั้น ๆ
คำว่าไซร้ หนา พลัน พรู อย่าใช้โดยปราศจากความหมายที่เหมาะสม เพราะจะทำให้เสียทั้งรสและ
ความ ตัวอย่างเชน่ ดอกไม้บานพลัน ย่อมเป็นไปไม่ได้๑๓ หรือใช้ถ้อยคำที่ทำให้เน้ือหาผิดไปจากความ
เป็นจรงิ เช่น แสงสุรีย์สอ่ งฟ้าคราคำ่ คืน
๑๓ วนั เนาว์ ยเู ดน็ , บทเรยี นสำเรจ็ รูปเรอื่ งการเขยี นกลอน หน่วยท่ี ๒ จดั คำ (กรุงเทพมหานคร : อมรนิ ทร์การพมิ พ,์ ๒๕๒๒), หน้า
๑๑๙.
17
๒. อย่าใช้คำซ้ำซากจนฟุ่มเฟือย คำทุกคำที่ใช้ในการเขียนร้อยกรองจึงต้องระมัดระวังให้
ประณีตในการร้อยกรองนั้นต้องพึงระวังการใช้คำอยู่อย่างหนึ่ง คือ ระวังการใช้คำที่ซ้ำ ๆ กันหรือมี
ความหมายอย่างเดียวกัน ตัวอย่างเช่น เมื่อยามย่ำสนธยาเวลาเย็น หรือ เมื่อยามย่ำสนธยาเข้า
สายณั ห์และมว้ ยชีวนิ ส้ินชีวาถึงอาสัญ หรอื ตอ้ งเศร้าโศกโศการ่ำจาบัลย์ หรือ แมแ้ ต่ขอ้ ความทซี่ ้ำ ๆ
ซาก ๆ กัน เชน่
หัวใจฉันนน้ั มอี ยสู่ าหอ้ ง ห้องที่หนึง่ ที่สองหอ้ งทีส่ าม
หอ้ งทส่ี ามแลว้ มีห้องสี่ตาม เมอื่ รวมความแล้วมสี ี่หอ้ งเอย๑๔
๓. ควรเขียนด้วยถ้อยคำที่สั้น ๆ ง่าย ๆ เพื่อสื่อความหมายให้ชัดเจน ไม่ควรจะใช้คำที่เป็น
คำศัพทย์ ากเกินไป เช่น
ปา่ ไมม้ คี ณุ ค่าน่าถนอม ควรเกบ็ ออมรกั ษาไวใ้ หล้ ูกหลาน
ช่วยกนั ปลกู คนละตน้ อยทู่ นนาน ผลดิ อกบานสะพรั่งท่วั ท้งั เมอื ง
นิธี สตะเวทิน
จะสังเกตได้ว่ากลอนบทนี้ใช้ถ้อยคำสัน้ ๆ ง่าย ๆ สื่อความหมายชัดเจน โดยไม่มีคำศัพท์ยาก
อา่ นแล้วเข้าใจได้ทันที
๔. ในการแตง่ คำประพันธ์ควรใช้คำน้อย แตม่ ีความหมายกวา้ งขวาง ไม่ควรใชค้ ำเสริมบทแต่ง
ภายในวรรค เพราะจะทำให้ เปลืองคำ โดยใชเ่ หตุ เช่น
พจี่ ำจรจำไกลไปจากน้อง ขอเจา้ ครองกายใจไวเ้ ถิดหนา
๕. ไม่ควรใช้คำภาอื่นหรือคำท่ียงั มิได้รบั รองมาใช้เป็นส่วนหนึง่ ในภาษาไทยโดยไม่จำเปน็ เช่น
โอโ้ ฉมคำประพนั ธ์ดาลิ่งยอดมง่ิ มติ ร ยกเวน้ คำบาลี – สันสกฤต ภาษาเขมรหรือภาษาท่เี ราเคยนำมาใช้
จนชินแล้ว ทั้งนี้เพราะคำเหล่านี้อาจมีสำเนียงผิดกันกับลักษณะสำเนียงของภาษาไทยเรา แต่ถ้าจะ
แตง่ เล่นเป็นสำนวนตลก ๆ กต็ อ้ งระบุไว้ใหช้ ัดเจนลงไปเลยวา่ เป็นหนังสือตลก อาทิเช่น พระมะเหลเถ
ไถ ของคุณสวุ รรณ เป็นต้น
๖. ไม่ควรใช้คำแสลง หรือ คำที่คนฟังฟังแล้วไม่เข้าใจ เช่น คำว่า มั่ว สน ถังแตก ยกล้อ จ้ำ
บ๊ะ ฯลฯ หรอื คำที่ใช้พดู ไม่ใชภ่ าเขียน เชน่ จงั เลย ไหมละ่ รึยัง ในกวีนพิ นธ์
๗. ไมค่ วรใชค้ ำทใ่ี ช้กันอยู่แต่ในวงแคบเฉพาะกลุม่ เช่นเป็นถ้อยคำทใ่ี ช้พดู กันเฉพาะในหมู่ญาติ
มติ รหรือเพอื่ นฝงู ทีค่ ุ้นเคยกนั เทา่ นั้น เชน่ คำวา่ เป๋อเหรอ แทนคำว่า เก้อ เป็นต้น
๑๔ เรอ่ื งเดียวกนั , หนา้ ๑๑๕.
18
๘. ใช้ภาษาให้ถูกระดับและวัฒนธรรม ซึ่งในเรื่องนี้ตามหลักการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารได้
กล่าวไว้วา่ การใชภ้ าษาแต่ละระดับจะตอ้ งเลือกใชใ้ ห้ถูกต้องตามกาลเทศะ บุคคล โอกาส และสถานท่ี
เป็นสำคัญโดยคำนึงถึงมารยาท และวัฒนธรรมอันดีงามของไทย ๑๕ เช่น คำที่ใช้สำหรับ
พระมหากษัตริย์ พระสงฆ์ และบุคคลธรรมดา เป็นต้น
การใชค้ ำรับและส่งสัมผสั
๑. ไม่ใชค้ ำเดยี วกนั รับสง่ สัมผสั กัน เช่น
แวว่ เสยี งสำเนยี งจ้ิงหรดี ร้อง ดังเสียงร้องรำ่ เพราะเสนาะเหลือ
หรือคำท่แี มจ้ ะเขียน และมคี วามหมายตา่ งกันหรือตาม นารี – อารี – รอรี หรือ กมล – มล –
มนตร์ – มืดมน หรือ ตัณหา – ปัญหา – ใฝ่หา หรือถ้าไม่จำเป็นไม่ควรใชค้ ำที่ออกเสยี งคล้ายกนั หรอื
คำทอ่ี อกเสียงเปน็ อกั ษรคู่ เชน่ คำกบั ขำ ในกบั ไหน คามกับขาม เรือกับเหลอื เป็นตน้
๒. ไม่ใช้คำเสียงเดียวกันที่รับส่งสัมผัสมาแล้ว ไปรับส่งสัมผัสใหม่อีกแห่งหนึ่งในบทเดียวกัน
เช่น
เดินพลางนางชมดมพฤกษา พวงระยา้ ย่ัวใจใฝฝ่ นั หา
บานยะแยม้ ย่ัวภมรบนิ ร่อนมา ปวงบปุ ผาดาระดาษเกลอ่ื นกลาดตา
๓. ไม่ควรใช้คำที่มีรูปสระสั้น – ยาวแตกต่างกันมารับหรือส่งสัมผัสกัน เช่น ท่านกับฉัน หรือ
จำไดไ้ หมใครคนหนง่ึ ซงึ่ เคยรกั แลว้ ถกู พรากพาไปไกลเกินฝัน
๔. ไม่ควรลงท้ายด้วยคำที่ใช้รูปวรรณยุกต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นคำสุดท้ายในการแต่ง
คำประพนั ธ์ครง้ั นั้น เช่น
๏อันนามตัวฉัน หาใดมีใครเทยี บทัน
นารชี ่อื เสกสรร บิดาฉันท่านต้ังให้
การแบง่ คำตามจังหวะ
๑. การแบ่งคำในวรรคเป็นช่วง ๆ ควรให้ลงตามจังหวะที่กำหนดไว้ในฉันท-ลักษณ์แต่ละ
ประเภททง้ั น้เี พือ่ ความไพเราะในการอา่ น ไม่ควรคร่อมหรือฉกี คำ เช่น
๑๕ มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช, เอกสารการสอนชุดวิชาภาษาเพอ่ื การสอ่ื สารหน่วยที่ ๑-๗, หน้า ๒๑๖.
19
กลอนแปด ควรเรียนรู้ / เจนจบ / ครบศิลปะ ทั้งวิท / ยาเลิศ / ประเสริฐศรี
กาพยฉ์ บงั ฉันลง / เรอื สำ / เภาไป / ในทะ / เลใหญ่ / ประสบ / พบพา / ยุแรง
๒. ไมค่ วรใช้คำมากพยางค์ ซึง่ มีสาระประจำเสียงให้เห็นเด่นชัด นับรวมเขา้ เป็นพยางคเ์ ดียวกัน เชน่
กาพยย์ านี เปรยี บวทิ ยา / คอื อาวธุ วเิ ศษสดุ แสวงหา
ประดับคู่กายา อาจพกพาท่ัวแดนไตร
กาพย์ยานีบทนี้ถ้าพิจารณากันจริง ๆ คำเกินในช่วงแรก คือ เปรียบวิทยาคำว่า วิทยา อาจ
เปน็ คำ ๒ หรือ ๓ พยางค์ได้ แต่ไมใ่ ช่ ๑ พยางค์ เพราะมีเสยี งสระอาเดน่ ชดั จงึ รวมเสยี งไมไ่ ด้
เน้ือหาสาระ
๑. เนื้อหาสาระควรจะมีความสอดคล้องกลมกลืนเป็นเรื่องเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน และตรง
ตามวตั ถุประสงค์ท่ีตงั้ ไวห้ รือตามหัวขอ้ ทีต่ งั้ ไว้
๒. เนื้อเรื่องและถ้อยคำสำนวนที่นำมาแต่งควรมีสาระและสอดแทรกความคิดสร้างสรรค์
แปลก ๆ ใหม่ ๆ ทนี่ า่ สนใจ ไม่หยาบโลน จงึ จะเกดิ ประโยชนแ์ ละมีคณุ ค่า
บทสรุป
คำประพันธ์ หมายถึง การเรียบเรียงถ้อยคำให้เป็นไปตามลักษณะบังคับของคำประพันธ์แต่
ละประเภทเพื่อให้เกิดความไพเราะ คำว่า คำประพันธ์ บางยุคบางสมัยอาจจะใช้คำว่า คำกานท์
กาพย์ กลอน ร้อยกรอง กวีนิพนธ์ กวีวัจนะก็ได้
ลักษณะของคำประพันธ์ที่ดีนั้นได้แก่ มีใจความหรือเนื้อความดี สัมผัสดี ก่อให้เกิดความ
ไพเราะ เห็นภาพพจน์อย่างชัดเจน มีคารมเปรียบเทียบอุปมาอุปไมย และแต่งถูกต้องตามลักษณะ
บังคบั ของคำประพันธแ์ ต่ละชนดิ
คุณประโยชน์ของคำประพันธ์นั้นมีอยู่มากมาย กล่าวคือ เป็นการรักษาภาษาและวัฒนธรรม
ไทยทำให้อนุชนรุ่นหลังทราบสภาพชีวิต ความเป็นอยู่ วัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อหรือค่านิยมจาก
ข้อความในคำประพันธ์ และเป็นสื่อที่ใช้สั่งสอนศีลธรรมแก่ประชาชนได้ ในด้านของผู้ประพันธ์นั้นก็
ก่อให้เกิดทักษะทางภาษา จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ คลายเครียด และมีชื่อเสียงเกียรติยศ
ขณะเดียวกันผู้อ่านก็ได้ทราบความคิดเห็น ความรู้สึก บุคลิกภาพ และความสามารถในการประพันธ์
ของผู้เขียนได้จากร้อยกรองนั้น ๆ ปัจจุบันนี้เราก็ยังนิยมใช้คำประพันธ์ในโอกาสต่าง ๆ กัน อาทิเช่น
ใช้แทนข้อความในรอ้ ยแก้ว เพื่อให้เกิดอรรถรสลกึ ซึง้ กินใจ จำง่าย ดังเช่นในการรณรงค์ โฆษณาและ
ประชาชนสัมพันธ์ทางสื่อมวลชนบางครั้งเราก็ใช้คำประพันธ์สลับกับร้อยแก้วทั้งในการพูด และการ
20
เขียน เพื่อให้เกิดความน่าสนใจมากขึ้น นอกจากนั้นในโอกาสพิเศษต่าง ๆ เช่น ในวาระเฉลิมพระ
ชนมพรรษาเราก็มกั นยิ มถวายพระพรดว้ ยการแต่งคำประพนั ธช์ นิดตา่ ง ๆ
สว่ นคำศัพทต์ ่าง ๆ ที่ควรทราบเมอื่ จะแต่งคำประพนั ธ์น้ันกล็ ้วนแลว้ แตเ่ ปน็ ลักษณะบงั คับของ
คำประพันธ์ชนิดต่าง ๆ นั่นเอง เช่น คำ วรรค บาท บท คณะ สัมผัส คำเป็น คำตาย คำเอก คำโท คำ
ครุ คำลหุ คำนำหรอื คำข้นึ ตน้ คำสร้อย และเสยี งวรรณยุกต์ เป็นต้น
21
แบบฝกึ หัด
๑. จงตอบคำถามตอ่ ไปน้ี
(๑) คำประพันธ์คืออะไร
(๒) คำประพันธ์ท่ีดีมลี กั ษณะอยา่ งไร
(๓) คุณประโยชน์ของคำประพันธใ์ นทัศนะของทา่ นเปน็ อยา่ งไรบ้าง
(๔) ลกั ษณะบังคบั ของคำประพันธม์ อี ะไรบ้าง
(๕) วรรค บาทและบทแตกต่างกนั อยา่ งไร
๒. จงอธบิ ายคำทพ่ี มิ พ์ตัวหนา เรยี กเป็นศพั ทท์ ใ่ี ช้ในการแต่งคำประพันธ์ว่าอะไร
(๑) เพกาหมู่กามา จับอยู่ ลลิ ติ พระลอ
(๒) สบุ รรณแผลงเดชลำ้ บินบน บทแหเ่ รื่องกากี – เจ้าฟ้าธรรมธเิ บศร
(๓) เน้ือออ่ นห่อนซเู่ น้ือ น้องหญิง นิราศเมืองสพุ รรณ – สุนทรภู่
(๔) หากอกนิษฐ์พรหมฉว้ ย พี่ไว้จงึ คง ศรีปราชญ์
(๕) ตัวไกลจติ ก็ยงั เนาแนบ กาพย์เหเ่ รือ – รัชกาลท่ี ๖
(๖) สบเนตรยงิ่ คมศร บาดซ้ำ กาพยเ์ ห่เรอื – รัชกาลที่ ๕
(๗) พศิ โฉมและฟงั เสยี ง ละกเ็ พยี งจะขาดใจ มัทนะพาธา – รัชกาลที่ ๖
(๘) โขดเขินศิขรเขา ณ ลำเนาพนาลยั อลิ ราชคำฉนั ท์ – พระยาศรสี นุ ทรโวหาร
(๙) เม่อื น้นั ระเดน่ มนตรเี รืองศรี บทละครเร่ืองอิเหนา – รัชกาลที่ ๒
(๑๐) รอู้ ายห่อนแอบเอื้อ เอาสนิ บนแฮ สภุ าษิตเจ้านาย – รชั กาลที่ ๕
22
บทท่ี ๒
ลักษณะบังคบั ของกวีนิพนธ์ไทย
ลกั ษณะบังคับของกวนี ิพนธไ์ ทย
ลักษณะบังคับของกวีนิพนธไ์ ทย คือ ลักษณะสำคัญซ่ึงเกี่ยวข้องเน้นหลักในการแต่งกวีนิพนธ์
แบ่งออกเป็นดงั น้ี
๑. คณะ หมายถึงการจัดหมวดหมู่ของคำประพันธท์ ุกประเภท ว่าบทหนึง่ ประกอบ บท บาท
วรรค หรือคำอยา่ งไร เช่น กาพย์ฉบังบทหนง่ึ จะต้องมี ๓ วรรค วรรคที่ ๑ และ ๓ มีวรรค ๖ คำ ส่วน
วรรคที่ ๒ ต้องมี ๔ คำ รวม ๑ บท มี ๑๖ คำ เรียกว่า กาพย์ฉบัง ๑๖ ดังนี้เป็นต้น (ปาจรีย์ บุษยกุล,
ม.ป.ป. : ๕)
คำว่า “คณะ” ยังมีที่ใช้อีกความหมายหนึ่ง สำหรับคำประพันธ์ประเภทฉันท์ ซึ่งจะ
กล่าวถงึ ตอ่ ไป
๒. พยางค์ คือ เสยี งทเ่ี ปลง่ ออกมาครง้ั หน่งึ ๆ บางทีก็มีความหมายเช่น พอ่ แม่ รัก บางทีก็ไม่
มีความหมาย เช่น ภิ ในคำ อภินิหาร ในกวีนิพนธ์ไทยถือว่าพยางค์คือ คำ กวีนิพนธ์แต่ละชนิดมีการ
กำหนด (พยางค์) ไวแ้ นน่ อน ว่าวรรคหนึ่งมีกีค่ ำ (พยางค)์
ในกวีนิพนธ์ประเภทฉันท์ แต่ละพยางค์มีความสำคัญมากเพราะตำแหน่ง ครุ ลหุ ท่ี
ระบุไว้นั้น ต้องถือจากเสียงของพยางค์แต่ละครั้งที่เปล่งออกมา พยางค์หนึ่ง ๆ จึงเรียกว่า คำ (หนึ่ง
พยางค์ คือ หนึ่งคำ) ส่วนคำประพันธ์ชนิดอื่นไม่ค่อยจะยึดถือเคร่งครัดนัก อาจนับ ๒ พยางค์เป็น ๑
คำ ได้เช่น แสดง ถนน สตรี ฯลฯ หรือ ๓ พยางค์เป็น ๒ คำ เช่น อดิศร อัญชลี ฯลฯ หรือ ๔ พยางค์
เป็น ๓ คำ เชน่ กตัญชลี สรุ างคนางค์ เป็นตน้
๓. สัมผัส หมายถึง ลักษณะที่บังคับให้ใช้คำคล้องจองกัน เป็นลักษณะบังคับในร้อยกรองทุก
ประเภท ถอื ได้ว่าเป็นลกั ษณะทส่ี ำคัญที่สุดในคำประพันธข์ องไทย (วิเชยี ร เกษประทุม, ม.ป.ป. : ๑๕)
สัมผัส ได้แก่ การคล้องจองของคำท่ีประสมสระเดียวกัน ถ้ามีตัวสะกดต้องเป็นตัวสะกดใน
มาตราเดียวกัน เช่น จะ – นะ , ดุ – จุ , นา – ป้า , จัก – รัก , นิด – ปิด , รัก – จัก เป็นต้น เรียกว่า
สัมผัสสระ
การคล้องจองของคำที่ประสมด้วยพยัญชนะต้นเสียงเดียวกนั (เสียงสระอาจแตกต่างกัน) เช่น
กราบ – กราน , ริ – รัก , อิ่ม – เอม , ทราบ – ศร เปน็ ตน้ เรียกวา่ สมั ผัสอกั ษร หรือสัมผสั พยัญชนะ
สมั ผสั จำแนกออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๓.๑ สัมผัสนอก เป็นสัมผัสบังคับ กวีนิพนธ์ทุกชนิดจะต้องมี เน้นสัมผัสระหว่าง
วรรค ระหวา่ งบาทและระหว่างบท จะต้องใชเ้ ฉพาะสัมผัสสระเท่าน้ัน
23
๓.๒ สมั ผสั ใน เปน็ สมั ผสั ทอี่ ยู่ภายในวรรค จะมหี รอื ไม่มกี ็ไดแ้ ต่ถ้ามีสัมผัสในก็จะทำ
ให้กวีนิพนธ์ มีความไพเราะขึน้ สมั ผสั ในใช้ได้ท้ังสัมผสั สระและสัมผสั อักษร
๔. คำเป็นคำตาย หมายถึงลักษณะบังคับที่วางไว้ในคำประพันธ์ชนิดโคลงและร่ายบางชนิด
โดยเฉพาะคำตายซึ่งทำหน้าที่แทนตำแหน่งคำเอก ส่วนคำประพันธ์ชนิดอื่นก็มีใช้เกี่ยวกับคำเป็นคำ
ตายเหมือนกัน แต่ไม่มีการบังคับไว้ ใช้เป็นเพียงส่วนเสริมแต่งให้ความไพเราะแก่บทประพันธ์นั้น ๆ
เท่านั้น (ปาจรีย์ บุษยกุล, ม.ป.ป. : ๑๐) เช่น คำลงท้ายบทกาพย์ กลอน ควรใช้คำเป็นจะไพเราะกว่า
คำตาย
คำเปน็ คือ ๑. คำที่ประสมด้วยสระเสียงดาวในแม่ ก กา รวมทั้งคำที่ประสม
ดว้ ยสระ อำ ไอ ใอ เอา
๒. คำที่ประสมในมาตราตัวสะกด ๕ มาตรา คือ แม่ กง กน กม
เกย เกอว
คำตาย คอื ๑. คำที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นในแม่ ก กา ยกเว้น อำ ไอ ใอ เอา
๒. คำท่ปี ระสมในมาตราตัวสะกด ๓ มาตรา คือ แม่ กก กด กบ
๕. คำ ครุ ลหุ หมายถึงลักษณะบังคับที่วางไว้ใช้ในคำประพันธ์ประเภทฉันท์ เมื่อเขียนฉันท
ลกั ษณ์ของฉนั ท์ คำครุ ใชเ้ คร่อื งหมายไม้ผัด ั คำลหุ ใหเ้ ครือ่ งหมายสระ อุ ุ
คำครุ คอื ๑. คำที่ประสมด้วยสระเสียงยาวในแม่ ก กา รวมทั้งคำที่ประสม
ดว้ ยสระอำ ไอ ใอ เอา
๒. คำทปี่ ระสมในมาตราตัวสะกดทงั้ ๘ มาตรา
(คำทีม่ ตี วั สะกดทกุ คน)
คำลหุ คอื ๑. คำทป่ี ระสมด้วยสระเสียงสัน้ ในแม่ ก กา
๒. คำที่ใชพ้ ยัญตัวเดียว เชน่ บ ป ณ ธ
สำหรับคำที่ประสมด้วยสระอำนั้น บางทีก็อนุโลมใหเ้ ป็นคำลหไุ ด้ อย่างไรก็
ตามมขี ้อท่ีน่าสังเกตว่าเมื่อนำคำประพันธป์ ระเภทฉันท์มาอา่ นออกเสยี ง ตำแหนง่ ครุจะออกเสียงหนัก
ตำแหนง่ ลหจุ ะออกเสยี งเบา
๖. คำเอก คำโท หมายถึง การบังคับคำใหใ้ ช้รูปวรรณยุกต์เอกและโทในตำแหน่ง ซึ่งบังคับไว้
ในคำประพันธ์ประเภทโคลงและร่ายบางชนิด ซึ่งคำเอกคำโทนี้ยึดรูปเขียนไม่ใช่เสียงอ่านคำเอกมี รูป
วรรณยุกต์เอก เช่น ค่า ถึงจะมีเสียงโทรคือเป็นคำเอก หรือคำโทก็มีรูปวรรณยุกต์โท เช่น ค้า ถึงจะมี
เสยี งตรีกค็ อื เป็นคำโท
24
คำเอก คอื ๑. คำทกุ คำที่มรี ูปวรรณยกุ ต์เอก เช่น แต่ อย่า นา่ ไม่ ฯลฯ
๒. คำตายทั้งหมดจะเป็นเสียงวรรณยุกต์ใด ๆ ก็ตามใช้แทนคำเอกได้ทั้งนั้น
เช่น จติ รกั มาก ฯลฯ
คำโท คือ คำทุกคำที่มรี ูปวรรณยกุ ตโ์ ท เชน่ ข้า น้อย ร้าย ฯลฯ
คำเอกคำโทนี้คือเป็นข้อบังคับที่สำคัญในการแต่งโคลงและร่ายบางชนิดแต่เพื่อความสะดวก
แกผ่ ู้แต่งในเมอื่ หาคำท่ีต้องการไม่ได้ซ่ึงอนโุ ลมให้มกี ารแปลงคำมาใชโ้ ดยจากโทเป็นเอกหรือเอกเป็นโท
ซ่ึงเรียกว่าคำเอกโทษและคำโทโทษ
คำเอกโทษ คือ คำที่เดิมมีรูปเป็นโทแตเ่ ม่ือมาอยู่ในตำแหน่งที่โคลงหรอื ร่ายน้ันวา่ ต้องเปน็ คำ
เอกจึงต้องเปลย่ี นรปู ให้เปน็ เอกเพือ่ จะให้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ เชน่
บาท ๔ ของโคลง “ขนึ้ น่าไม้ไวใ้ ห้ หย่อนแทเ้ สียสาย”
คำวา่ “น่า” เป็นคำเอกโทษโดยปกตแิ ลว้ จะใช้หนา้ ไม้ แตต่ ำแหนง่ นบี้ งั คับวา่ จะเป็นคำเอก จงึ
เปล่ียนหนา้ เปน็ น่า
คำโทโทษ คือ คำที่เดิมมีรปู เป็นเอกแต่เมื่อมาอยู่ในตำแหนง่ ทีโ่ คลงหรอื ร่ายบังคับว่าต้องเปน็
คำโทจงึ ตอ้ งเปล่ยี นรปู ให้เปน็ โทเพอ่ื ใหถ้ ูกตอ้ งตามฉันทลักษณ์ เช่น
บาท ๔ ของโคลง “หากอกนษิ ฐพรพรหมฉ้วย พไ่ี วจ้ ง่ึ คง”
คำว่า “ฉ้วย” เป็นคำโทโทษ โดยปกติแล้วจะใช้ “ช่วย” แต่ในตำแหน่งนี้มีบังคับว่าต้องเป็น
คำโท จงึ เปล่ียน ช่วย เป็น ฉ้วย
คำเอกโทษ คำโทโทษ นจ้ี ะใช้เมอ่ื จำเปน็ เท่าน้ัน
๗. คำนำในบทกวนี ิพนธ์ หมายถึง คำทีใ่ ชข้ ้ึนต้นของคำประพนั ธ์บางชนดิ เชน่ กลอนบทละคร
มีคำวา่ เมือ่ น้นั บัดนนั้ ครานน้ั ถา้ เป็นบทดอกสร้อยกม็ ีคำนำเปน็ ...เอย๋ ... เชน่ เด็กเอย๋ เดก็ น้อย วังเอ๋ย
วังเวง ฯลฯ ถ้าเป็นสักวาก็จะนำดว้ ยคำวา่ สกั วา เชน่ “สักวาหวานอื่นมีหม่ืนแสน” คำนำโดยมากมีใช้
ในคำประพนั ธ์ทเี่ ปน็ กลอนขบั ร้อง (ชวน เพชรแกว้ , ๒๕๒๔ : ๙๑)
๘. คำสร้อย หมายถึง คำที่เติมท้าย ต่อท้ายบาท หรือบทในคำประพันธ์ชนิดโคลงและร่าย
เพื่อเพิ่มความไพเราะ หรือให้เต็มข้อความ คำสร้อยควรจะใช้คำเป็น ไม่ควรใช้คำตายเพราะจะทำให้
เสยี งหว้ นกระด้างขาดความไพเราะ
ตัวอย่างคำสร้อย นา ฤๅ แล แฮ เฮย เอย รา ที่เปน็ คำสร้อย ๒ พยางค์ เช่น แลนา ก็ดี นาพ่อ
นาแม่ นะพ่ี เป็นตน้
25
กลอน
๑. ทม่ี า
กลอนเป็นคำประพันธ์ของไทยเราเองมีมาแต่สมัยโบราณเชื่อกันว่ามีมาก่อนสมัยสมเด็จพระ
นารายณ์มหาราชเพราะจากจดหมายเหตุของลาลูแบร์ชาวฝรั่งเศส (ซึ่งเข้ามาเมืองไทยสมัยนั้น) ได้
กล่าวว่า “ มีโขนและละคร(เกิดขึ้น)แล้ว” ซึ่งคำประพันธ์สำหรับบทโขนและละครก็คือกลอนนั่นเอง
บทกลอนรุ่งเรืองที่สุดในสมัยสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่๒ กวีที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ
ท่สี ดุ ในเรอื่ งกระบวนกลอนในสมยั นัน้ คือ สนุ ทรภู่ (พระสุนทรโวหาร)
๒. การแบง่ ชนิดของกลอน
จากหนังสือศลิ ปะการประพนั ธ์ ๒๕๐๔ และประชุมลำนำ ของ รองอำมาตยเ์ อกหลวงธรรมาภิ
มณฑ์ (ถึกจิตรกถึก-๒๕๑๔)
กลอน
สภุ าพ
กลอน กลอน
ขบั ร้อง เพลง
สักวา เสภา ดอกสรอ้ ย บท เพลง เพลง นิราศ หนังสือ กล กลอน
ละคร ไทย ยาว กลอน กลอน หก
กลอนขบั ร้อง คือกลอนที่ใช้สำหรับขับร้องลำนำมาแต่โบราณ
กลอนเพลง คือคำกลอนสุภาพ ที่แต่งขึ้นใช้อ่าน หรือขับร้อง
กลอนสุภาพ หรือ เรียกกันว่า กลอนแปด มีลักษณะบังคับสำคัญ ๒ อย่างคือ คณะ และ
สัมผัส
๓. ผังภมู กิ ลอนสภุ าพ
๔. ตวั อย่างลลี ากลอนสภุ าพ อา่ นทกุ ตอน สามวรรค ประจกั ษแ์ ถลง
ตอนสามแจ้ง สามคำ ครบจำนวน
กลอนสุภาพ แปดคำ ประจำบอ่ น ให้ฟาดฟัด ชัดความ ตามกระสวน
ตอนตน้ สาม ตอนสอง สองแสดง จงึ จะชวน ฟงั เสนาะ เพราะจบั ใจ
มีกำหนด บทระยะ กะสัมผัส
วางจงั หวะ กะทำนอง ต้องกระบวน
26
หลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรก
ถกึ )
๕. ขอ้ แนะนำ (ข้อหา้ ม) สำหรบั การแตง่ กลอนใหไ้ พเราะ
คำสุดท้ายของวรรคสดับและวรรครับ ไม่ควรใช้คำสุภาพที่เป็นอักษรกลางและอักษรต่ำ ควร
ใช้คำสุภาพที่เป็นอักษรสูงอย่างเดียว และในทางตรงกันข้ามห้ามใช้คำสุภาพที่เป็นอักษรสูงในคำ
สดุ ทา้ ยของวรรครองและวรรคส่งควรใช(้ ให้ใช้)คำสุภาพท่ีเปน็ อักษรกลางหรอื อักษรต่ำเท่านั้น
๖. ตวั อยา่ งกลอนทมี่ ีในบทกลอนไทย (๒-๘)
กลอนสอง บัญญตั ิ ๒ คำ บงั คบั ๘ วรรค เป็นหนึ่งบท
บทเอ๋ย พจน์ผอ่ น
เป็นกลอน ตอนจดั
จำกัด
สองคำ ชัดเอย
บัญญตั ิ
กลอนสาม บญั ญัติ ๓ คำ บังคับ ๘ วรรคเปน็ บท
กลอนสี่
กลอนหา้ บทกลอนเอย สุนทรเทียบ
กลอนหก ตามระเบยี บ เรยี งเรยี บรบั
บญั ญตั นิ ับ
สามคำจดั บงั คับเอย
แบบฉบบั
บัญญัติ ๔ คำ บังคับ ๘ วรรคเป็นบท
จงกำหนดเอย ในบทกลอนน้ี
จำกดั ไว้มี ใชส้ ค่ี ำคง
จังหวะอยา่ หลง
บัญญตั คิ ณะ ให้จงจำเอย
สมั ผสั รบั ส่ง
บญั ญตั ิ ๕ คำ บงั คับ ๘ วรรคเปน็ บท
บังคับนับคำเอย มปี ระจำอกั ษร
จงกำหนดบทกลอน ให้แน่นอนแนบเนียน
แจง้ ประจกั คำเขียน
หาคำบำญตั วิ รรค ใหแ้ ลกเปล่ียนกนั เอย
อยา่ ฉงนวนเวยี น
บญั ญตั ิ ๖ คำ บังคับ ๘ วรรคเป็นบท
27
แบบบงั คับซบั ซอ้ นเอย ในบทกลอนบญั ญัติจัด
วางระเบยี บประเทยี บทดั พกิ ดั วรรคละหกคำ
สมั ผัสพจนอ์ ย่าเผลอพลำ้
อย่าใหข้ ัดวิบตั บท จงจำใหแ้ นน่ อนเอย
กำหนดไว้ให้แมน่ ยำ
กลอนเจ็ด บญั ญัติ ๗ คำ บงั คับ ๘ วรรคเปน็ บท
ในบทน้มี บี ญั ญัติเอย แจ้งกำหนดไวเ้ จด็ อักษร
ต้ังกำหนดไวเ้ ปน็ บทกลอน วางวรรคตอนต้องตามบังคบั
สังเกตจำกัดให้รองรบั
เรียงเรียบระเบียบบทบญั ญตั ิ กำหนดนับให้แน่ใจเอย
จัดถอ้ ยคำไปตามลำดับ
๗. บทสรุป และ ตัวอยา่ ง กลอนเบ็ดเตล็ด
กลอนสักวา (สักวา)
เป็นกลอนสภุ าพชนดิ หนึ่งใช้สำหรบั ขบั ร้องลำนำตา่ ง ๆ มาแต่โบราณกำหนดวรรคละ ๗-๙ คำ
ที่นับว่าเหมาะและนิยมว่าสมบูรณ์แบบแต่ง ๘ วรรคเป็น ๑ บท (๔ คำกลอน) อาจนับโดยอนุโลมให้
แต่ง ๔ วรรคก็ได้ (โบราณ) แต่ในปัจจุบันกำหนดให้แต่ง ๘ วรรคเป็น ๑ บท ขึ้นต้นบทต้องใช้คำว่า
“สักวา” และลงท้ายบทดว้ ยคำวา่ “เอย” เสมอทกุ ๆ บท
ตวั อย่าง (นิยมเรยี งลำดับ วรรคละ ๑ บรรทัด)
สกั วาดาวจรเข้ก็เหหก
ศรี ษะตกหนั หางขึ้นกลางหาว
เป็นวนั แรมแจม่ แจง้ ดว้ ยแสงดาว
นำ้ ค้างพราวปรายโปรยโรยละออง
ลมเรื่อยเร่อื ยเฉอื่ ยฉิวตอ้ งผวิ เนอื้
ความหนาวเหลอื ทานทนกมลหมอง
สกณุ าดเุ หว่าก็เรา่ ร้อง
พอแสงทองสอ่ งฟ้าขอลาเอย
(ของเกา่ )
28
กลอนดอกสร้อย
ลักษณะบังคับ คณะ สัมผัสเหมือนกลอนสักวาทุกประการแต่บังคับเพิ่มเติมว่าต้องมีคำนำ
วรรคแรก ๔ คำเสมอโดยนำคำนำเป็น ๑ วรรคและต้องทอดสัมผัสเหมือนกลอนโดยทั่วไป จบลงท้าย
ด้วยคำว่า “เอย” เช่นกนั
ตัวอยา่ ง มมี ากนักนะหนูฟังครูสอน
ความเอ๋ยความรกั รกั กอ่ นรักบชู ากว่าผใู้ ด
รักวชิ ารักชอบประกอบไว้
รักพ่อรักรักแมน่ ั้นแนน่ อน ต่อพ้นวยั เรียนเล่าเถดิ เจา้ เอย
รกั ครูรกั อาจารย์หมั่นศกึ ษา
รกั อีกรักพักก่อนอยา่ รอ้ นใจ
(สงั เวียน ภูร่ ะหงษ์)
กลอนเพลงยาว
คือ จดหมายรักคำกลอนของชายหญิงสมัยโบราณเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายสมัย
เจา้ ฟ้าธรรมาธิเบศร์ (กงุ้ ) มาในสมยั รตั นโกสนิ ทร์มีการแตง่ กันตง้ั แต่รัชกาลท่ี ๑-๔ เพลงยาวมีลักษณะ
บังคับ คณะ และสัมผสั เชน่ เดยี วกับกลอนสุภาพทั่วไป คอื วรรคละ ๖-๙ คำ แตท่ ี่นยิ มกนั ว่าไพเราะคือ
วรรคละ ๘ คำ การแต่งขนึ้ ตอนทีว่ รรครบั แล้วแต่งตอ่ ไปยดื ยาวจนจบ จบท้ายด้วยคำว่า “เอย”
กลอนนิราศ
คือ กลอนสุภาพที่แต่งเพื่อบรรยายการเดินทางไปแห่งใดแห่งหนึ่งซึ่งหากแต่งเป็นร้อยแก้วก็
อาจทำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังเบื่อหน่ายได้จึงได้ประพันธม์ ีลีลาเป็นกลอนสุภาพโดยสมมตวิ ่ารำพึงรำพันถงึ
คนที่รักที่ต้องจากไปซึ่งไม่จำเป็นว่าคนรักจะมีจริงหรือไม่ ผู้ประพันธ์ต้องใช้ศิลปะในการแต่งให้เกิด
ความไพเราะและที่สำคัญผู้แต่งจะต้องบรรยายถึงเส้นทางและสถานที่ที่ได้ผ่านไปด้วย คำว่านิราศ
แปลว่าจาก แต่งข้นึ ต้นดว้ ยวรรครับและลงท้ายด้วยคำว่า เอย
กลกลอน
หรือ กลบทกลอนก็คือกลอนสุภาพซึ่งกวีประดิษฐ์ขึ้นเพื่อประกวดความคิดเห็นว่ากลอนของ
ใครจะแปลกและไพเราะกว่ากันถือเป็นกีฬาของกวีกลอนกลบทนี้มีมาแต่สมัยอยุธยา กวีคนสำคัญคือ
หลวงศรปี รชี า(เซ่ง) ขา้ ราชการในกรมพระราชวังบวรเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้า
เจ้าอยู่หัวได้โปรดให้กวีแต่งกลอนกลบทประกวดกันและโปรดให้เลือกสำนวนทีด่ ี ๆ จารึกไว้ ณ ศาลา
รอบพระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ฉะนั้นชุมนุมกลบทกลอนแห่งใหญ่ก็คือ “จารึกวัด
พระเชตพุ น”
กลอนกลบท มีชื่อเป็นต้นอย่าง เช่น บัวบานขยายกลีบ ระลอกแก้วกระทบฝั่ง งูกินหาง ถอย
หลังเข้าคลอง ฉัตรสามชัน้ เป็นต้น
29
ตัวอยา่ งกลอนกลบท
บวั บานขยายกลีบ (กลบี ขยาย)
เจ้างามพักตรผ์ อ่ งเพียงบุหลันฉาย
เจ้างามเนตรประหนง่ึ นัยนาทราย
เจ้างามขนงก่งละม้ายคันศรทรง
เจา้ งามนาสายลดงั กลขอ
เจา้ งามสอเหมอื นคอสวุ รรณหงส์
เจา้ งามกรรณกลกลบี บุษบง
เจา้ งามวงวิลาสเรียบระเบียบไร ฯ
(ร.๓)
งูกนิ หาง (งูกลนื หาง)
โออ้ กเอ๋ยแสนวติ ก
กระไรเลยระกำใจ
จะจากไกลไม่เคย
สงสารนชุ สุดแสน
จะโหยไหไ้ หนจะหยุด
รนั ทดใจให้สลด
ตอ้ งไกลจรกรรมไฉน ฯ
(หลวงศรีปรชี า – เซ่ง)
30
กาพย์
๑. ทีม่ า
กาพย์เป็นคำประพันธท์ ี่ไทยได้ปรับปรุงขึ้นเป็นคำประพันธ์ประเภทเดียวกับฉันท์แตก่ ลับมิได้
บังคบั ครุ-ลหดุ งั นน้ั กวจี ึงมักแห่งปะปนไปกับฉนั ทต์ ำรากาพย์ของไทยมี ๒ คมั ภรี ์ คือ กาพย์สารวิลาสินี
ซงึ่ มี กาพย์ อยูถ่ งึ ๑๕ ชนดิ และ กาพย์คนั ถะ มี ๕ ชนิด
กาพยท์ ี่นยิ มแตง่ ในวรรณกรรมไทยอย่างแพรห่ ลาย คอื
๑. กาพยย์ านี ๕. กาพย์ขับไม้
๒. กาพย์ฉบงั ๖. กาพยข์ บั ไมข้ องเกา่
๓. กาพย์สุรางคนางค์ ๗. กาพยเ์ หเ่ รอื
๔. กาพย์หอ่ โคลง ๘. กาพยล์ ำนำเห่กลอ่ มพระบรรทม
๒. กาพย์ยานี ๑๑
มีลักษณะบังคับตามฉันทลักษณ์ที่สำคัญ ๒ อย่าง คือ คณะ และ สัมผัส คำที่กำหนดไว้ใน
กาพย์ยานีมี ๒๒ คำ รวมลงเป็น ๒ บาท เป็น ๑ บท บาทแรกเรียกบาทเอก บาทที่สองเรียกบาทโท
แตล่ ะบาทมี ๒ วรรค คือวรรคหนา้ และวรรคหลงั วรรคหน้ามีวรรคละ ๕ คำ และวรรคหลงั มีวรรคละ
๖ คำ รวมเป็นบาทละ ๑๑ คำ
ผงั ภมู ิ และการสมั ผสั
ตัวอย่าง
บทเอยบทสิบเอด็ บอกไวเ้ สร็จตามลำดับ
บัญญตั ิจัดบงั คบั กำหนดนับใหจ้ งดี
วรรคตน้ ห้าคำครบ วรรคสองทบหกตามท่ี
วรรคสามหา้ คำมี วรรคสหี่ กคำจำกัด
สีว่ รรคนบั เป็นบท จงจำจดให้แนช่ ัด
กลอนลงส่งสัมผัส สามฟัดกลอนสี่นน้ี า
๓. กาพย์ฉบงั ๑๖
มีลักษณะบังคับตามฉันทลักษณ์ที่สำคัญ ๒ อย่าง คือ คณะ และ สัมผัส คำที่กำหนดไว้ใน
กาพย์ฉบังมี ๑๖ คำ รวมลงเป็น ๑ บท บทหนึ่งมี ๓ วรรค วรรคแรกมี ๖ คำ วรรคที่ ๒ มี ๔ คำ และ
31
วรรคสุดท้าย มี ๖ คำ สัมผัส คำที่ ๖ วรรคแรก สัมผัสกับคำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ และคำที่ ๖ วรรค
สุดท้าย สัมผัสกับคำที่ ๖ ของวรรคแรกในบทต่อไป ดังนี้เรื่อย ๆ ไป จะแต่งกี่บทก็จะต้องอยู่ใน
ลกั ษณะบงั คบั ทีก่ ลา่ วนีจ้ นกว่าจะหมดเนือ้ ความท่ีต้องการ
ผงั ภูมคิ ณะ และสมั ผสั กาพย์ฉบัง ๑๖
ตวั อยา่ ง
๑) กาพยส์ บิ หกยกบัญญัติ ตามแบบที่จัด มาประกอบไว้จงจำ
วรรคตน้ วรรคสามหกคำ วรรคสองสคี่ ำ หมดบทละสามวรรคเอย
๒) กวฤี ๅรแู้ ลง้ แหลง่ ไทย มีชกุ ทกุ สมยั
คนดคี ศู่ รีอยุธยา
สนิ ธุคู่สัตว์มัจฉา โคถกึ มฤคา
คงค่ปู า่ ใหญ่ไพศาล
สรู ย์จันทร์คศู่ ักด์จิ ักรวาล ราชาไชยชาญ
ประจำบำรงุ กรุงศรี
จนั ทร์สรู ยส์ ญู สิน้ รวี จงึ สญู เมธี
กวฤี ๅรแู้ ล้งแหลง่ ไทย
(ร.๖)
๔. กาพยส์ รุ างคนางค์ ๒๘
ลกั ษณะบังคบั ตามฉันทลักษณท์ ี่สำคัญ ๒ อยา่ ง คือ คณะ และ สัมผัส
คณะ กำหนดใหม้ ีจำนวนคำ ๒๘ คำ เป็น ๑ บท ในบทหนึ่งแบ่งเปน็ ๒ บาท คอื บาทเอก และ
บาทโท บาทเอกมี ๓ วรรค และบาทโทมี ๔ วรรค รวม ๗ วรรค
สมั ผสั คำท่ี ๔ วรรคแรก สมั ผสั คำท่ี ๔ วรรคท่ี ๒ คำท่ี ๔ วรรคท่ี ๓ สมั ผสั คำที่ ๔ วรรคท่ี ๕
และวรรคที่ ๖ และในบาทโท คำที่ ๔ วรรคที่ ๔ ส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๒ วรรค ๕ และคำที่ ๔ วรรค ๕
ส่งสมั ผสั ไปยังคำท่ี ๔ วรรค ๖ และถา้ แตง่ ต่อไปบทอ่นื คำที่ ๔ วรรค ๗ สง่ สัมผสั ไปยงั คำท่ี ๔ วรรค ท่ี
๓ ในบทต่อไป เปน็ สัมผัสเชือ่ มระหว่างบท
ผงั ภมู คิ ณะ และสมั ผัส กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘
32
ตวั อยา่ ง
พระชวนนวลนอน เข็ญใจไมข้ อน เหมอื นหมอนแมน่ า
ภธู รสอนมนต์ ให้บน่ ภาวนา เยน็ คำ่ ร่ำว่า กนั ปา่ ภัยพาล
วนั น้ันจนั ทร มดี ารากร เปน็ บริวาร
เหน็ ส้นิ ดินฟ้า ในป่าทา่ ธาร มาลคี ลบ่ี าน ใบกา้ นอรชร
โคลง
๑. ทม่ี า
โคลงเป็นศลิ ปะทางอกั ษรของไทยทางภาคเหนือ ปจั จบุ นั ยังมีปรากฏเรยี กกนั ว่า “กะรง” ไทย
ภาคกลางได้นำมาแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับเข้าไปอีกบ้างวรรณกรรมโคลงเรื่องแรกที่ไทยภาคกลางถอด
ความมาไดแ้ กโ่ คลงหรภิ ุญชัย(พ.ศ.๒๑๘๑) แตท่ ม่ี าของโคลงน้ยี ังเปน็ ปัญหาว่าได้มาจากภาคเหนือหรือ
มอี ยู่แล้วในภาคกลางเพราะปรากฏวา่ โคลงโองการแชง่ น้ำ ทเ่ี รยี กวา่ มณฑกคติ ในสมัยของพระเจ้าอู่
ทองก็มีอยกู่ อ่ นแลว้ เป็นโคลงดน้ั กม็ ี เช่น ลิลติ ยวนพ่าย หรือเป็นโคลงส่สี ภุ าพ เช่น ลิลิตพระลอ เป็นตน้
รวมความว่าโคลงเป็นศิลปะการประพันธ์เก่าแก่ชนิดหนึ่งของไทยกวีที่มีชื่อเสียงในเรื่องการแต่งโคลง
ได้แก่ศรีปราชญ์ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและนายนรินทร์ธิเบศ(อิน) ในสมัยรัชกาลที่ ๒
เป็นต้น ส่วนวรรณคดีที่เป็นโคลงอันได้รับความนิยมว่าไพเราะก็มีหลายฉบับ เช่น ลิลิตพระลอ
กำสรวลศรปี ราชญ์ นริ าศนรนิ ทร์ ลลิ ติ ตะเลงพา่ ย และสุภาษิตโคลงโลกนิติ เปน็ ต้น
๒. ประเภทของโคลง โคลงแบง่ ออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ คือ
๑. โคลงสภุ าพ คือโคลงที่ใช้คำสุภาพในการแต่ง (คือคำเป็นและคำที่ไม่ใช้วรรณยุกต์) เว้น
แต่บางคำ ทบ่ี งั คบั ใช้วรรณยุกต์ เท่านั้น โคลงสุภาพมี ๘ ชนดิ คอื
๑. โคลงสอง ๒. โคลงสาม ๓. โคลงสี่ ๔. โคลงหา้ (มณฑกคต)ิ
๕. โคลงจตั วาทัณฑี ๖. โคลงตรีพิธพรรณ ๗. โคลงกระทู้
๘. โคลงกลบท
33
๒. โคลงด้ัน คือโคลงทไี่ ม่ได้บังคับใช้คำสภุ าพในการแต่ง มีลลี าไม่ออ่ นโยนเหมือนโคลงสุภาพ
มี ๕ ชนิด คอื
๑. โคลงสอง (ด้ัน) ๒. โคลงสาม (ดน้ั ) ๓.โคลงววิ ธิ มาลี
๔. โคลงบาทกุญชร ๕. โคลงกลบท
๓. โคลงสองสุภาพ บังคับ คณะ คำเอก คำโท สัมผัส
ผงั ภูมิ
ตวั อยา่ ง
ก.) โคลงสองเป็นอย่างนี้ แสดงแก่กุลบุตรช้ี
เช่นให้เหน็ เลบง แบบนา
(ของเก่า)
ข.) พระผาดผาย ส่หู อ้ ง หาอนุชนวลน้อง
หนมุ่ เหนา้ พระสนม
(ลิลิตตะเลงพ่าย)
๔. โคลงสามสุภาพ บงั คับ คณะ คำเอก คำโท สัมผัส
ผังภมู ิ
ตัวอยา่ ง ตามทำนองท่แี ท้
ก.) โคลงสามแปลกโคลงสอง เล่ห์นีจ้ งยล เยีย่ งเทอญ
วรรคหนง่ึ พึงเพิ่มแล้ (ของเกา่ )
34
ข.) ภูบาลอ้นื อำนวย อวยพระพรเลศิ ล้น พอ่ นา ฯ
จงอยุธยอ์ ย่าพน้ แห่งเงือ้ มมือเทอญ (ลลิ ติ ตะเลงพ่าย)
๕. โคลงส่สี ุภาพ บังคบั คณะ คำเอก คำโท สมั ผัส
ผงั ภมู ิ
ตัวอย่าง อนั ใด พี่เอย
ท่วั หลา้
ก.) เสียงลือเสยี งเล่าอ้าง ลืมต่ืน ฤๅพ่ี
เสียงยอ่ มยอยศใคร อย่าได้ถามเผือ
สองเขือพ่หี ลับใหล
สองพ่ีคดิ เองอา้ (ลิลติ พระลอ)
ข.) จากมามาล่วิ ลำ้ ลำบาง
บางยีเ่ รอื ราพลาง พี่พร้อง
เรือแผงชว่ ยพานาง เมยี งม่าน มานา
บางบ่รบั คำคล้อง คลา่ วน้ำตาคลอ
(นริ าศนรินทร)์
๖. โคลงจัตวาทณั ฑี
คอื โคลงสีส่ ุภาพนน่ั เอง การบงั คบั คณะ คำเอก-คำโท ตา่ งกนั ตรงสัมผสั เน่อื งจากคำท่ี ๔ (จตั วา) ของ
วรรคหน้าบาทท่ี ๒ เปน็ คำที่ถูกบงั คบั ใหส้ ัมผัส กับ คำที่ ๒ วรรคหลงั บาทที่ ๑ จงึ ไดช้ อื่ วา่ โคลงจัตวาทัณฑี
ผังภมู ิ
35
ตวั อย่าง
โคลงหนง่ึ นามแจง้ จตั - วาทัณ ฑนี า
บังคับรับกนั แสดง อย่างพรอ้ ง
เลบงแบบแยบยลผัน แผกชนิด อน่ื นา
คำสบ่ี าทสองคล้อง ทอ่ นทา้ ยบาทประถม
(ของเก่า)
๗. โคลงตรีพธิ พรรณ
คือ โคลงสี่สุภาพอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีการบังคับคณะ คำเอก-คำโท ต่างกันตรงสัมผัส คือ คำที่ ๓ (ตรี)
ของวรรคหนา้ บาทท่ี ๒ จะรบั สมั ผสั จากคำที่ ๒ วรรคหลงั ของบาทแรก จึงมชี อื่ วา่ โคลงตรพี ิธพรรณ
ผังภูมิ
ตัวอย่าง โคลงอย่างวางฉบับตั้ง นามมี
๘. โคลงกระทู้ คอื ชอื่ ตรีพิธพรรณ พากย์ไว้
ปวงปราชญฉ์ ลาดพาที เชลงลกั ษณ์ น้นี า
กลอนที่สามรับใช้ แตเ่ บอ้ื งบทสอง
(ของเกา่ )
36
คือโคลงสี่สุภาพที่มีลักษณะบังคับคำประพันธ์โดยกำหนดคำไว้เป็นหลักในการแต่งก่อนซึ่ง เรียกว่า
กระทู้ แล้วขยายความกระทู้นั้นออกไปให้ได้ความกลมกลืนกับความหมายของกระทู้นั้นคำที่เป็นกระทู้นั้นจะ
เรียงไว้ครั้งหน้าของแต่ละบาทในแนวเดียวกันเว้นระยะเล็กน้อยพอให้รู้ว่าเป็นกระทู้ คำกระทู้มีตั้งแต่ ๑ ถึง ๔
คำ
กระทู้ ส่วนมากจะเป็นคำที่มีความหมายอาจเป็นคติ สุภาษิต คำพังเพย หรือข้ามแยกพยางค์จากชื่อ
ต่าง ๆ กวโี บราณท่มี ีความสามารถอาจใช้คำท่ีแปลกหรือเปน็ คำที่คิดขึน้ มาเพ่ือแต่งประชนั ความสามารถกันดัง
ตวั อยา่ ง
ตัวอย่างโคลงกระทู้ ๑ คำ
สวน อนิ ทรเทพสร้าง ฤๅไฉน
สุ ระโปรดวิศวกรรมไ์ พ- จติ รแต้ม
นัน ทนอุทยานใน มนุษยโลก
ทา ทาบมธรุ แย้ม ยง่ิ แมน้ สรวงสวรรค์
(พ.เรอื งนาม)
นก ใหญ่นอ้ ยท่ัวด้าว แดนดง
ไร้ เรดิ รงั ยงั พง พมุ่ ไม้
ไม้ ใดดกบินลง เลม็ ล่า
โหด เหือดผลนกไร้ รบี ร้างราบิน
(ของเกา่ )
ตวั อย่างโคลงกระทู้ ๒ คำ
ช้างสาร หกศอกไซร้ เสียงา
งูเห่า กลายเปน็ ปลา อยา่ ตอ้ ง
ขา้ เก่า เกดิ แต่ตา ตนปู่ กด็ ี
เมียรัก อยรู่ ว่ มห้อง อยา่ ไว้วางใจ
(กรมพระยาเดชาดิศร)
ตวั อย่างโคลงกระทู้ ๓ คำ 37
ไม่เหน็ นำ้ หน้าดว่ น
ชวนกัน
ตดั กระบอก แบ่งปัน สว่ นไซร้
ไมเ่ ห็นรอก อวดขัน มอื แมน่
ข้นึ นา่ ไม้ ไว้ให้ หย่อนแท้เสยี สาย
ตวั อยา่ งโคลงกระทู้ ๔ คำ (กรมพระยาเดชาดศิ ร)
ฝนตกแดดออก จา้
แจม่ แสง
นกกระจอกเข้ารัง แฝง ฟุบเร้น
แม่หม้ายใสเ่ ส้ือ แดง ดูฉาด
เอาเส่อื คลมุ หลัง เต้น ไต้เตา้ ตามทาง
(โคลงโลกนิติ)
ตวั อย่างกระทู้ ๑ คำท่ีไม่มคี วามหมาย
โก มลเดียรดาษท้อง สินธู
วา ลกุ าประดับดู ด่ังแก้ว
ปา รังระบดั ปู ปุยนุ่น เปรียบฤๅ
เปิด จอกกระจับแผว้ ผอ่ งน้ำเห็นปลา
(ศรีปราชญ์)
ฉนั ท์
ฉันท์ แปลวา่ “ คำประพนั ธ์อันปราศจากโทษมลทิน ซึ่งเต็มไปดว้ ยความพอใจ” หมายถึง คำประพันธ์
อันไพเราะนั่นเองเดิมมีที่มาจากบาลีสันสกฤตไทยนำมาปรับปรุงขึ้นโดยเพิ่มคำสัมภาษณ์ตามลักษณะอัน
กอ่ ให้เกดิ ความไพเราะมีลลี าสัมผัสคลา้ ยกลบั กาพย์และกลอน
คัมภีร์เดิมในการแต่งฉันท์ คือ “ คัมภีร์วุตโตทัย” มีฉันท์อยู่สองชนิดคือ ฉันท์วรรณพฤติ มีฉันท์ ๘๑
ชนิด และฉันท์มาตราพฤติ มีฉันท์ ๒๗ ชนิด รวมเป็น ๑๐๘ชนิด แต่ฉันท์ที่ไทยนำมาปรับปรุงและนิยมแต่งคือ
ฉันท์ในมาตราวรรณพฤติ เพราะมีลลี าในการแต่งงา่ ยกวา่ ฉันในมาตราพฤติ
ฉันท์เปน็ คำประพนั ธ์ทีย่ ากทงั้ การอ่านและการแต่ง เพราะมีฉนั ทลักษณซ์ ึ่งบังคับเฉพาะคือต้องใช้คำครุ
และคำลหุ นอกเหนอื จากบังคบั สัมผัสและคณะ มีการบงั คับจำนวนคำต้งั แตน่ ้อยไปจนมากสดุ
38
การแต่งฉันท์โดยใช้คำไทยล้วน ๆ เป็นเรื่องยาก ต้องอาศัยคำภาษาบาลีและสันสกฤตเป็นส่วนมากผู้
แต่งฉันท์จึงต้องควรศึกษาหาความรู้เรื่องการแต่งฉันท์ควบคู่ไปกับการศึกษาคำในภาษาบาลีสันสกฤตไปด้วย
ซง่ึ จะเป็นสง่ิ ที่ดี
ฉนั ท์จะไพเราะไดด้ ้วยหลักเกณฑ์ ๒ ประการคอื
๑) ผ้ปู ระพนั ธต์ อ้ งใชภ้ าษางา่ ย ๆ ไพเราะสละสลวยได้ความทด่ี ี
๒) ต้องรู้จักคำครุ-ลหุ และ ลักษณะบังคับของฉันท์ชนดิ นัน้ ๆ ให้ทองแท้จึงจะเกิดความไพเราะทางผู้
แต่งและผู้อ่าน
ผ้แู ตง่ ฉันต้องรู้คณะและจำคำครุ-ลหุให้แม่นยำเพราะฉันท์บังคบั คณะอยา่ งเครง่ ครดั การนับจำนวนคำ
ในคณะหนงึ่ ๆ นั้นนับหนึ่งพยางค์เปน็ หนึ่งคำเสมอ คณะของฉันท์ (ตามมาตรการแตง่ ฉนั ท์) มี ๘ คณะคอื
๑) มะคณะ มี ๓ คำ เปน็ ครุล้วน เชน่ “ฉันรกั เธอ” ใชเ้ ครอ่ื งหมาย ั ั ั
๒) นะคณะ มี ๓ คำ เป็นลหุล้าน เช่น “จะปะทะ” ใชเ้ ครอื่ งหมาย ุ ุ ุ
๓) สะคณะ มี ๓ คำ ลหุ ๒ ครุ ๑ เช่น “มลุลี” ใชเ้ ครอ่ื งหมาย ุ ุ ั
๔) ชะคณะ มี ๓ คำ ลหหุ นา้ และหลัง ครุ กลาง เชน่ “สบายนะ” ใชเ้ ครื่องหมาย ุ ั ุ
๕) ตะคณะ มี ๓ คำ ครุ ๒ คำหน้า และ ลหุ ๑ คำหลงั เชน่ “สกั การะ” ใช้เคร่ืองหมาย ั ั ุ
๖) ภะคณะ มี ๓ คำ ครุ ๑ คำหนา้ ลหุ ๒ คำหลงั เช่น “ดอกมะล”ิ ใช้เครื่องหมาย ั ุ ุ
๗) ระคณะ มี ๓ คำ ครุ หน้าและหลงั ลหุ กลาง เชน่ “ศาสดา” ใชเ้ ครอื่ งหมาย ั ุ ั
๘) ยะคณะ มี ๓ คำ เปน็ ลหุ ๑ ครุ ๒ เชน่ “ลดาวลั ย”์ ใช้เครอ่ื งหมาย ุ ั ั
ตัวอยา่ งการใชค้ ณะในการแต่งฉนั ท์
อนิ ทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
ตัวอย่างอินทรวเิ ชยี รฉันท์ ๑๑
39
สาครกระแสสินธุ์ สิขรนิ ทรว์ นาลัย
ดาดาษประดับใน มหดิ ลก็พึงชม
ศศสิ ูรย์ก็สวยสม
อากาศประดับดาว ยเกษตรเกษมศรี
ท่วั ท้งั วนารม-
(รชั กาลท่ี ๖)
จากตัวอย่างของอินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ ข้างต้นจะเห็นว่าฉันดังกล่าวจะใช้คณะ(ทั้ง๘) ๒ คณะ และใช้
คำครุลอย (ครุลอยจะมีในฉันทห์ ลายชนิด) ๒ คำ ซง่ึ ในการแต่งจะต้องจดจำคณะต่าง ๆ ท้ัง ๘ คณะ ให้แม่นยำ
และต้องจำดว้ ยว่าฉันทน์ ้นั ๆ ตอ้ งใชค้ รลุ อยหรอื ไม่ ซงึ่ เปน็ เรื่องคอ่ นขา้ งยุง่ ยาก
ดังนั้นวิธีที่ง่ายกว่าคือการจดจำตัวอย่างฉันท์ต่าง ๆ ให้แม่นยำเพื่อสังเกตคำครุ-ลหุ คณะและบังคับ
สัมผัสทั้งในบทและระหว่างบท เนื่องจากในปัจจุบันวรรณกรรมประเภทคำฉันท์ที่ตกทอดมา และได้รับการ
อนรุ ักษ์ตลอดจนใชเ้ ป็นแบบเรียนในโรงเรียนนนั้ ล้วนแลว้ แต่เป็นวรรณกรรมช้นั เยีย่ ม เป็นพระราชนิพนธ์ พระ
นิพนธ์ หรืองานเขียนของกวีที่ส่งไวด้ ้วยวรรณศลิ ป์อันอุดมทั้งสิน้ เช่น พระราชนิพนธ์ “มัทนะพาธา” ใน ร.๖ ,
อลิ ราชคำฉนั ท์ ของ พระยาศรสี นุ ทรโวหาร (ผนั สาลักษณ)์ , หรอื สามคั คเี ภทคำฉนั ท์ ของ นายชติ บุรทัต เปน็
ต้น ซ่ึงลว้ นแตเ่ ป็นแบบในการแต่งฉันท์ทสี่ มบรู ณ์ทั้งส้ิน
40
41