The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การวิเคราะห์ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายใน และภายนอกองค์กร
Ed.D. Educ. สาขาวิชาการบริหารการศึกษา รุ่น 63
มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pannaton.la, 2021-11-09 03:55:43

การวิเคราะห์ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายใน และภายนอกองค์กร

การวิเคราะห์ปัจจัยสภาพแวดล้อมภายใน และภายนอกองค์กร
Ed.D. Educ. สาขาวิชาการบริหารการศึกษา รุ่น 63
มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช

การวิเคราะห์ปั จจัย 5 ด้าน ของ FIVE FORCES MODEL

1. อำนาจการต่อรองของลูกค้า (Bargaining Power)

ความต้องการพื้นฐานของลูกค้าก็คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ได้สิ่งที่ต้องการมาด้วยราคา
ที่คุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งวิธีที่ลูกค้าจะได้สิ่งที่ต้องการมาก็เพียงแค่หาตัวเลือกในตลาดที่ตอบ
สนองความต้องการทั้งด้านคุณภาพและราคาตามความตั้งใจของตนเองแนวคิดนี้เองที่
จะบังคับให้ผู้ประกอบการต้องหาวิธีในการสร้างรายได้โดยที่ยังจำกัดกรอบในตัวเลือก
ของลูกค้าอยู่

ซึ่ งก็มีปั จจัยหลายอย่างที่ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญเพื่อรับมือกับแรง
กดดันในข้อนี้ ตัวอย่างเช่น ราคาที่เหมาะสม, คุณภาพที่คุ้มราคา เป็นต้น แต่ก็ต้อง
ระวังหากเราตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากเกินไป ก็จะทำให้เราขาดทุนเสีย
เอง หรือถ้าไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการได้เท่าที่ควร เราก็จะเสียลูกค้าไป
ให้กับคู่แข่ง จึงเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องหาจุดสมดุลของตัวเองและลูกค้า เพื่อให้
ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้

การวิเคราะห์ปั จจัย 5 ด้าน ของ FIVE FORCES MODEL

2. อำนาจต่อรองจากคู่ค้า (Power of Suppliers)

ความต้องการพื้นฐานของ Supplier หรือ คู่ค้า คือ ทำอย่างไรก็ได้ให้ได้กำไร
มากที่สุดโดยเสียสินค้าในปริมาณที่น้อยที่สุด ในส่วนนี้จะมีผลกระทบโดยตรงกับ
“ต้นทุน” หากเรามีอำนาจการต่อรองที่ต่ำ ตัวของเราก็ต้องแบกรับความเสี่ยงของ
ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นไปด้วย เพราะเมื่อมองไปทางฝั่ งของลูกค้าเอง ลูกค้าก็ต้องการ
สินค้าของเราในราคาที่ต่ำ แต่ Supplier กลับทำให้ต้นทุนสูงขึ้น

วิธีการที่จะเพิ่มอำนาจการต่อรองให้มากขึ้นก็มีหลายวิธี เช่น การสั่งซื้อ
วัตถุดิบในปริมาณที่มากขึ้นเพื่อลดราคาต่อชิ้นของวัตถุดิบลง หรือรวมกลุ่มในธุรกิจ
ที่ผลิตสินค้าชนิดเดียวกันเพื่อต่อรองกับ Supplier ในการซื้อสินค้าทีละมาก ๆ
เพื่อให้ราคาของวัตถุดิบถูกลงนั่นเอง

การวิเคราะห์ปั จจัย 5 ด้าน ของ FIVE FORCES MODEL

3. การแข่งขันของคู่แข่งในธุรกิจสายงานเดียวกัน (Industry Rivalry)

ในการทำธุรกิจย่อมมีคู่แข่งในสายงานเดียวกันที่พยายามพัฒนาธุรกิจของตัวเองอยู่
เช่นกัน การแข่งขันที่สูงในอุตสาหกรรมจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงจุดยืนของธุรกิจของเราได้ว่า ระดับ
ของธุรกิจเราอยู่ในส่วนไหน และต้องทำอะไรบ้างในสายงานที่กำลังทำอยู่

การรับมือในส่วนนี้หลัก ๆ ก็คือ ทำอย่างไรให้ธุรกิจของเรามีความแตกต่างและได้
เปรียบในตลาดของอุตสาหกรรมนั้นๆ ซึ่งในส่วนนี้เราจะต้อง ‘รู้เขารู้เรา’ หรือ ทำความ
เข้าใจในจุดเด่น-จุดด้อยทั้งของธุรกิจเราเอง และธุรกิจคู่แข่ง เพื่อมองให้เห็นภาพรวมว่า
ธุรกิจของเรายังขาดหรือมีจุดด้อยตรงไหน แล้วจะพัฒนาจุดแข็ง
ของเราได้อย่างไร

การวิเคราะห์ปั จจัย 5 ด้าน ของ FIVE FORCES MODEL

4. การคุกคามจากผู้ประกอบการรายใหม่ (Threat of New Entrants)

เป็นเรื่องปกติที่จะมีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้น ซึ่งการเกิดมาของผู้ประกอบการรายใหม่มัก
จะเป็นตัวที่เปลี่ยนกติกาการแข่งขันในวงการด้วยสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นในสายงานธุรกิจนั้น ๆ
การรับมือกับแรงกดดันในข้อนี้ จึงมีเพียงข้อเดียวคือ การปรับตัว เพราะเมื่อมีรายใหม่เข้า
มา มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เราจะใช้วิธีการขายแบบเดิม ๆ เหมือนกับที่เคยทำมาก่อน

เมื่อโลกเปลี่ยน เราก็ต้องเปลี่ยนตาม หลักสำคัญคือทำความเข้าใจให้ได้ว่าผู้ประกอบ
การรายใหม่เหล่านั้นมีอะไรที่ทำให้พวกเขามีอิทธิพลในกลุ่มผู้บริโภคบ้าง จากนั้นก็มาดูกันว่า
เราจะปรับให้เข้ากับธุรกิจที่เรามีอยู่ได้อย่างไร เพื่อตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้าเดิมของเราให้ดี
ยิ่งขึ้น และพัฒนาฟังก์ชันเพื่อหากลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ให้เข้ามาเพิ่มด้วยเช่นกัน

การวิเคราะห์ปั จจัย 5 ด้าน ของ FIVE FORCES MODEL

5. การคุกคามจากสินค้า หรือ บริการทดแทน (Threat of Substitutes)

สินค้าที่มาทดแทนสินค้าที่เราขายหรือผลิตอยู่ แต่ไม่ใช่สินค้าประเภทเดียวกัน หากแต่
วัตถุประสงค์ในการใช้งานคล้ายกันหรือเหมือนกัน หรือสินค้าที่สามารถตอบสนองต่อความ
ต้องการบางอย่างได้ใกล้เคียงกัน ทำให้เพิ่มทางเลือกแก่ลูกค้าในการเลือกซื้อสินค้าทดแทน
หากลูกค้าพิจารณาแล้วว่า คุ้มค่ากว่าสินค้าของเรา

ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ เป็นต้นว่า หากเราเปิดร้านอาหารก็จะมีธุรกิจร้านสะดวก
ซื้อที่สามารถตอบสนองในเรื่องของ “ความหิว” ได้เช่นเดียวกัน การรับมือกับแรงกดดันในข้อ
นี้ก็จะเหมือนกับข้อที่สี่ คือ เราต้องปรับตัวเพื่อก้าวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เช่น
ธุรกิจร้านอาหาร หากเพิ่มช่องทางการจัดส่งอาหารแบบ Delivery ก็จะสามารถตอบสนองใน
ส่วนของความง่ายในการรับประทานได้ เป็นต้น

ประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้รับจากการนำ FIVE FORCES ANALYSIS ไปใช้วิเคราะห์

เห็นภาพรวม จุดแข็ง และจุดอ่อนของอุตสาหกรรม
ตรวจสอบระความเข้มข้นของการแข่งขัน การเติบโตของตลาด ความสามารถในการดึงลูกค้า
เข้ามา
รู้และเข้าใจอุปสรรคของธุรกิจในตลาดนั้น ๆ
จัดลำดับความสำคัญ และหาทิศทางในการสร้างกลยุทธ์เพื่อตอบโต้แรงกดดันได้
สำหรับมือใหม่ หรือธุรกิจใหม่ที่กำลังจะกระโดดไปเล่นในตลาดนั้น เครื่องมือนี้จะช่วยให้เห็น
ภาพตลาดโดยรวม และรู้ว่าควรเข้าไปเล่น หรือถอยออก

สรุป

ทั้งหมดนี้คือแรงกดดันจากปั จจัยภายนอกทั้ง 5 ข้อ โดยให้นำปั จจัยทั้ง
5 ข้อนี้มาวิเคราะห์ว่า แต่ละข้อส่งผลต่อธุรกิจมากน้อยแค่ไหนและเพราะ
อะไร ซึ่งอาจจะแบ่งระดับของผลกระทบที่เกิดขึ้นกับธุรกิจ ออกเป็น ส่งผล
มาก ส่งผลปานกลาง และ ส่งผลน้อย

สรุป

นอกจากนี้ก็ต้องอธิบายให้ได้ว่าทำไมถึงวิเคราะห์ออกมาแบบนั้น โดย
ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการใช้การวิเคราะห์แบบ FIVE FORCES MODEL คือ ผล
กระทบจากแรงกดดันจากปั จจัยภายนอกในแต่ละข้อ ส่งผลต่อธุรกิจของเรา
น้อย หรือ ส่งผลในระดับที่ต่ำ หลังจากนั้นก็ต้องนำผลที่ได้ไปเปรียบเทียบกับ
บริษัทคู่แข่งว่า เราได้เปรียบ หรือ เสียเปรียบอะไรบ้าง เพื่อนำไปใช้วางกลยุทธ์
ในการแข่งขันทางธุรกิจหรือกลยุทธ์ทางการตลาดของเราในอนาคตต่อไป

PEST MODEL

ประวัติของ ก่อนใช้งานจริง การรู้ที่มาที่ไป
PESTEL อาจช่วยให้คุณทราบว่าการใช้งานแต่เดิมแล้วมีที่มา
อย่างไร เพื่อที่จะเข้าใจบริบทของการใช้งานใน
ปั จจุบันได้ดียิ่งขึ้น ประวัติของ PESTLE จากการ
ค้นคว้านั้นมีความคลุมเครือ ไม่มีเอกสารอ้างอิง
เกี่ยวกับ บุคคลหรือองค์กร แต่ก็พอจะหาที่มาได้
ตามนี้

ปี 1967

: ในบทความวิชาการหัวข้อ ....
“Scanning the Business Environment” มีการกล่าวถึงบุคคลชื่อ
Francis J. Aguilar ว่าได้มีการวิเคราะห์ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม
โดยมีคำย่อว่า “ETPS” เพื่อระบุปัจจัยด้าน เศรษฐกิจ การเมือง
และสังคม

ปี 1970

: ในช่วงต้นทศวรรษ 1970 บุคคลชื่อ Arnold Brown ได้ให้
ทำการวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกที่ชื่อว่า “STEP” สำหรับการประเมิน
แนวโน้มเชิงกลยุทธ์ และได้เพิ่มเติมเป็น STEPE ในภายหลัง ปัจจัยใน
การวิเคราะห์จึงประกอบด้วย ด้านสังคม ด้านเทคนิค ด้านเศรษฐกิจ
ด้านการเมือง และนิเวศวิทยา

หลัง
ปี 1980

: หลังการวิเคราะห์ของ Arnold Brown ได้มีการต่อยอดเพื่อกำหนด
ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมในหลายด้าน ซึ่งส่งผลให้เกิดการวิเคราะห์
แบบอื่น ๆ ตามมา ได้แก่ PEST , STEP , STEEPLE และ PESTEL
Analysis

PESTEL Analysis คือ กรอบการคิดเชิงกลยุทธ์ทางการตลาดที่ใช้
ในการประเมินสภาพแวดล้อมภายนอกของธุรกิจ โดยแบ่งโอกาสและ
ความเสี่ยงออกเป็นปั จจัยต่างๆ 6 ปั จจัย ซึ่งปั จจัย
ภายนอก(ExternalFactors) : ปั จจัยที่มีผลกับธุรกิจแต่เป็นสิ่งที่ไม่
สามารถควบคุมได้ โดยแต่ละปั จจัยมีความหมาย ดังนี้

P: Political = ปั จจัยด้านการเมือง

E: Economic = ปั จจัยด้านเศรษฐกิจ

S: Social = ปั จจัยด้านสังคม

T: Technological = ปั จจัยด้านเทคโนโลยี

E: Environmental = ปั จจัยด้านสภาพแวดล้อม

L: Legal = ปั จจัยด้านกฎหมาย

ข้อดีของ การวิเคราะห์ PESTLE
PESTLE Analysis มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการวางแผนเชิงกล
ยุทธ์ด้านการตลาด รวมถึงการวางแผนพัฒนา
ผลิตภัณฑ์ระดับองค์กร การเข้าใจถึงต้นทุน
รวมถึงการรับรู้ถึงภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้น
ถือเป็นประโยชน์หลักของ PESTLE

ข้อดีของ PESTLE Analysis

เวลาและความพยายามเป็นต้นทุนเดียวที่คุณ จะเสียในการวิเคราะห์
ลดค่าใช้จ่าย

ในความเป็นจริงการวิเคราะห์ PESTLE อาจไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจของคุณ แต่
ช่วยให้คุณมองมิติทางธุรกิจได้รอบด้านและลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น

ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ใช้ประโยชน์จากโอกาส คือ การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกเพื่อประเมินถึงโอกาสและภัยคุกคาม ซึ่งจะช่วย
ให้องค์กรเข้าใจแนวโน้มภายนอก ตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์ปัจจัยด้านสังคม อาจทำให้
เห็นถึงโอกาสจาก โซเชียลมีเดีย ว่าเกิดกระแสบางอย่างแล้วองค์กรของคุณมีสินค้าหรือ
บริการที่สามารถใช้กระแสนี้เพื่อเติบโตได้ จะช่วยให้คุณเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น รวมถึงการ
สร้างฐานลูกค้าใหม่ๆจากตลาดเดิมที่เคยมี

สรุป

PESTEL Analysis คือ กรอบเชิงกลยุทธ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ปั จจัย
ที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานขององค์กร ฝ่ายบริหารใช้ผลการวิเคราะห์
นี้เพื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ทั้งการวางแผนทางธุรกิจ
การตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์ วางแผนองค์กร เพียงแต่หลังจาก
วิเคราะห์แล้ว ควรมีการนำปั จจัยไปวิเคราะห์และวางแผนร่วมกับเครื่อง
มืออื่น เพื่อต่อยอดกลยุทธ์และแผนขององค์กร.

Diamond Model

Diamond Model คือ กรอบแนวคิดหรือตัวแบบสำหรับการ
วิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขัน ของเครือข่ายวิสาหกิจ โดย
Michael E. Porter ได้พัฒนาขึ้นเมื่อปี 1990 ได้มีการศึกษากันว่า
เครื่องมือและกระบวนการอันสำคัญ ที่จะนำไปสู่การพัฒนาขีดความ
สามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศได้คือการพัฒนาเครือ
ข่ายวิสาหกิจ หรือ “คลัสเตอร์” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญใน
การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

รูปแบบ DiamondModel

เป็นการพิจารณาและประเมินสภาวการณ์ปั จจุบันของปั จจัยแวดล้อมทาง
ธุรกิจที่สำคัญ 4 ด้าน ที่จะมีผลกระทบต่อความสามารถในการเพิ่มผลิตภาพ
(productivity) ของบริษัทที่อยู่ในในเครือข่ายวิสาหกิจ อันจะนำไปสู่การเพิ่ม
ขีดความสามารถในการแข่งขันของเครือข่ายวิสาหกิจ ทั้งนี้ปัจจัยดังกล่าว
ประกอบด้วย

01 เงื่อนไขด้านปั จจัยการผลิต (Input Factor Conditions)

ปัจจัยด้านทรัพยากรมนุษย์ทรัพยากรธรรมชาติ โครงสร้างพื้นฐานด้าน
สาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แหล่งเงินทุน

02 เงื่อนไขด้านอุปสงค์ (Demand Conditions)

ทัศนคติและรสนิยมของผู้บริโภค ระดับความพิถีพิถันและความเรียก
ร้องต้องการของผู้บริโภคต่อสินค้าและบริการของบริษัท ลักษณะและ
โครงสร้างการแบ่งส่วนการตลาดสำหรับสินค้าและบริการของบริษัท ความ
ต้องการของผู้บริโภคในแต่ละส่วนการตลาดเป็นที่คาดเดาได้ในระดับใด

03 บริบทด้านการแข่งขันและกลยุทธ์ของธุรกิจ (Strategy and
Rivalry Context)

ลักษณะและบรรยากาศของการแข่งขันทางธุรกิจ กลไกการตลาด ที่จะ
มีผลต่อการกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัท

04 อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและสนับสนุนกัน (Related and
Supporting Industries)

กิจกรรมทางธุรกิจต่างๆที่เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกันมีความครบถ้วน
มากน้อยเพียงใด และ มีระดับของความสัมพันธ์ร่วมมือระหว่างกันเพียงใด

สภาวการณ์มีลักษณะที่เป็นการเอื้อหรือจะเป็นอุปสรรคต่อการปรับปรุงหรือ

พัฒนาผลิตภาพขององค์การทางธุรกิจ

โดยปั จจัยสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ทั้ง 4 ด้าน

ด้านปั จจัยการผลิต ด้านเงื่อนไขด้านอุปสงค์
(Factor Conditions) (Demand Conditions)

อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องและ กลยุทธ์ โครงสร้าง และสภาพการ
สนับสนุนกัน (Related and แข่งขันขององค์การ (Strategy and
Supporting Industries) Rivalry Context)

โครงสร้างซัพพลายเชน

อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

การวิเคราะห์ โอกาส และบทบาทของรัฐบาล
เหตุสุดวิสัย/โอกาสทางธุรกิจ (Chance)
บทบาทของภาครัฐ (Government)

เหตุสุดวิสัย/โอกาสทางธุรกิจ (Chance)

เป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่มีผลต่อ 4 องค์ประกอบ
หลักของตัวแบบแต่ไม่ได้เป็นองค์ประกอบที่สามารถสร้างความ
ได้เปรียบทางการแข่งขันของบริษัทหรือของชาติโดยตรง เพราะ
โอกาสของการพัฒนามาจากนอกระบบหรืออยู่นอกเหนือการ
ควบคุมของบริษัท หรือรัฐบาลตัวอย่าง เช่น เทคโนโลยี ภัยพิบัติ
สงคราม การก่อการร้าย ภาวะขาดแคลนน้ำมัน และการ
เปลี่ยนแปลงทางการเมือง

บทบาทของภาครัฐ (Government)

รัฐบาลในทุกระดับชาติสามารถที่จะพัฒนาหรือเป็น อุปสรรค
ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมชาติได้ เพราะแม้ภาครัฐจะไม่ใช่องค์
ประกอบโดยตรงที่สามารถ สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน
แต่การออกนโยบาย มาตรการ กฎ ระเบียบ และพิธีการต่าง ๆ
สามารถที่จะทำให้เกิดผลกระทบกับองค์ประกอบทั้ง 4 ของตัว
แบบซึ่งส่งผลต่อความสามารถทางการ แข่งขันของอุตสาหกรรม
ต่อไปได้

จัดทำโดย

ชื่อ - นามสกุล รหัสนักศึกษา ชื่อ - นามสกุล รหัสนักศึกษา

นางสาวมลทิรา รัตนบุรี 6377701001 นางสาวอรอุมา ชูสุวรรณ์ 6377701010

นางสาวอุษา ปานดำ 6377701002 นางสาวสุมาลี หลีจิ 6377701011

นางนิตยารัตน์ คงนาลึก 6377701003 นายอัสสยุช รักษ์พงศ์ 6377701014

นายอนิวัช แก้วจำนงค์ 6377701004 นายศักดิ์ชัย สุวรรณคช 6377701015

นายธีรยุทธ ศรีสงค์ 6377701005 นางสาวหยาดพิรุณ รักษ์พิกุลทอง 6377701016

นางศุภรัตน์ ทรายทอง 6377701006 นายกรัสนัย คงทอง 6377701017

นายจีรนันท์ ปรีชาชาญ 6377701007 นายปัณณธร ละม้าย 6377701018

นายพิเชษฐ์ สกุณา 6377701008 นางสาวรุ่งนภา วัจนะพันธ์ 6377701019

นายเศกสรรค์ กังสะวิบูลย์ 6377701009


Click to View FlipBook Version