The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Natthida Suwankham, 2024-02-06 04:08:15

Francisco

Francisco

FRANCISCO FRANCISCO G O Y A FRANCISCOゴ ー ヤ Complier By


" Imagination without reason produces impossible monsters; with reason, it becomes the mother of the arts, and the source of its marvels "


INTRODUCTION หากพูดถึงผลงานศิลปะอันเป็นที่โด่งดังและมีชื่อเสียงในด้านตีแผ่สภาพบ้านเมือง และ ความน่ากลัวของจิตใจมนุษย์แล้ว คงไม่พลาดที่จะพูดถึงผลงานของ Francisco Goya ศิลปิน ชาวสเปนที่ได้รับขนานนามว่าเป็น “มาสเตอร์คนสุดท้ายของศิลปะยุคเก่า” และเป็นผู้ที่สร้าง แรงบันดาลใจให้แก่ศิลปินรุ่นหลังไม่ว่าจะเป็นแนวสำ แดงพลังอารมณ์ (Expressionist) หรือ แนวเหนือจริง (Surrealist) เพราะผลงานที่น่าดึงดูดเป็นเอกลักษณ์อันเฉพาะตัว จึงนำ มาสู่ การนำ เสนอให้กับผู้อ่านทุกท่าน หนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา History of art & design โดยหนังสือเล่มนี้จัดทำ ขึ้น เพื่อศึกษาหาความรู้และนำ เสนอเกี่ยวกับศิลปินชื่อดัง “Francisco Goya” ซึ่งหนังสือเล่มนี้จะ มี ชีวประวัติ และผลงานที่สำ คัญของศิลปิน ข้าพเจ้าหวังว่าผู้อ่านจะได้รับความรู้และชื่นชอบกับผลงงานของ Francisco Goya เป็น อย่างมากจากหนังสือเล่มนี้ไม่มากก็น้อยจากหนัง ณัฐธิดา สุวรรณขำ ผู้จัดทำ


CONTENTS INTRODUCTION CONTENTS BIOGRAPHY EARLY YEARS GOYA AND THE SPANISH COURT ADULT LIFE FINAL YEARS PERSONAL LIFE QUINTA DEL SORDO GOYA'S OWNERSHIP BLACK PAINTING TWO OLD MAN TWO OLD ONES EATING SOUP LEOCADIA THE DOG WITCHES' SABBATH ATROPOS (THE FATES) FIGHT WITH CUDGELS THE PILGRIMAGE OF SAN ISIDRO ASMODEA THE HOLY OFFICE YOUNG PEOPLE LAUGHING MEN READING JUDITH AND HOLOFERNES SATURN DEVOURING ONE OF HIS SONS CONCLUSION REFERENCES 1 - 4 5 - 7 8 9 - 10 11 - 12 13 - 14 15 16 - 18 19 20 - 21 22 - 23 24 - 25 26 - 27 28 - 29 30 - 31 32 33 34 - 35 36 37 38 - 39 40 - 41 42 - 43 44 45


BIOGRAPHY


FRANCISCO GOYA ฟรานซิสโก โกยา (Francisco Goya) หรือชื่อเต็มคือ ฟรานซิสโก โคเซ เด โกยา อี ลู เซียนเตส (Francisco José de Goya y Lucientes) เกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2289 (ค.ศ. 1746) และเสียชีวิตลงในวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2371 (ค.ศ. 1828) เป็นจิตรกรและ ศิลปินภาพพิมพ์แนวศิลปะจินตนิยม (Romanticism) ชาวสเปน ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “Old Master” คนสุดท้ายและเป็นศิลปินแนวสมัยใหม่คนแรก เขาวาดทิวทัศน์งดงามในสไตล์ โรโกโกได้อย่างสมบูรณ์แบบไม่เหมือนจิตรกรชาวสเปนท่านอื่น และเขายังถูกแต่งตั้งให้เป็น จิตรกรราชสำ นักคนแรกของสเปน ฟรานซิสโก โกยา (Francisco Goya) มีชื่อเสียงจากงานจิตรกรรม และการวาดเส้น ด้วย ผลงานที่น่าสยดสยอง สะท้อนด้านมืดของมนุษย์ และเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งความเป็น ขบถทางศิลปะทำ ให้เกิดแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นหลังๆ ในแนวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแนว สำ แดงพลังอารมณ์ (Expressionist) หรือ แนวเหนือจริง (Surrealist) ต่างได้รับแรงบันดาลใจ จากฟรานซิสโก เด โกยาทั้งสิ้น 1


ภาพเหมือนของฟรานซิสโก โกยา วาดโดย Vicente López Portaña (1826) ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ปราโด, มาดริด 2


ตลอดช่วงชีวิตของโกยา (Goya) เขาได้สร้างสรรค์ผลงานภาพเขียนและภาพสีน้ำ มัน มากมายจนนับไม่ถ้วน ชีวิตของเขามีทั้งช่วงขึ้นลงดังรถไฟเหาะ และมีทั้งช่วงเวลาอันสว่างไสว และมืดหม่น จากการนำ เสนอความสดใส มีชีวิตชีวา และความโลกสวยเป็นผ่านภาพของเหล่า สมาชิกราชวงศ์ชั้นสูง สู่ช่วงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับโรคร้ายที่ไม่สามารถหาทางรักษาได้ จน กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสร้างสรรค์ผลงานสุดน่าสะพรึงกลัวที่หลายคนน่าจะเคยผ่านตา กันดีอย่าง Saturn Devouring His Son (1819-23) ที่สะท้อนฉากจากตำ นานเทพกรีกขณะที่ โครนัสกำ ลังเขมือบลูกของตัวเอง หรือ The Third of May 1808 (1814) ที่ได้นำ เสนอภาพ เหตุการณ์อันเลวร้ายที่ชาวสเปนผู้รักชาติลุกขึ้นต่อสู้กับกองทัพฝรั่งเศส จนนำ ไปสู่เหตุการณ์ นองเลือดที่สะเทือนขวัญชาวสเปนเป็นอย่างมาก และเหนือสิ่งอื่นใด ผลงานของเขายังมุ่งตีแผ่สภาพบ้านเมืองและเปิดเปลือยสภาพสังคมที่ หม่นหมองไปด้วยควันสงครามและความโหดร้ายที่เพื่อนมนุษย์ทำ กับมนุษย์ด้วยกันเอง ซึ่งการ อุทิศชีวิตและผลงานให้กับการสำ รวจความโหดร้ายและด้านมืดในจิตใจของมนุษย์อย่างเต็ม เปี่ยมนี้ก็ทำ ให้โกยาต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยทางจิตใจในช่วงบั้นปลายสุดท้ายของชีวิต 3


Goya Attended by Doctor Arrieta (1820) วาดโดย Francisco Goya ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ปราโด, มาดริด 4


EARLY YEARS ฟรานซิสโก โกยา (Francisco Goya) เกิดในเมืองฟูนเดโตดอส (Fuendetodos) แคว้น อารากอง (Aragon) ประเทศสเปน ซึ่งห่างจากเมืองหลวงกรุงมาดริด (Madrid) เป็นระยะทาง กว่า 300 กิโลเมตรและต้องใช้เวลาเดินทางในยุคนั้นถึง 8 วัน โกยามีพี่น้องถึง 6 คน และเขา เป็นบุตรชายคนที่ 4 ของ นาย José Benito de Goya y Franqueล และ นาง Gracia de Lucientes y Salvador พวกเขาใช้ชีวิตวัยเยาว์อยู่ที่เมืองซาราโกซาที่นั่น และเขาเริ่มศึกษา การวาดภาพเมื่ออายุประมาณ 14 ปี เขาเป็นลูกศิษย์ของ José Luzán Martínez ในตอนแรกโกยาเรียนรู้การวาดภาพจากการเลียนแบบ เขาคัดลอกผลงานของปรมาจารย์ ผู้ยิ่งใหญ่โดยค้นหาแรงบันดาลใจในผลงานของศิลปินเช่น Diego Rodríguez de Silva y Velázquez และ Rembrandt ต่อมาโกยาได้ย้ายไปเมืองหลวงกรุงมาดริดซึ่งเขาได้ไปทำ งานร่วมกับพี่น้อง Francisco และ Ramón Bayeu y Subías ในสตูดิโอของพวกเขา เขาพยายามศึกษาด้านศิลปะต่อ ในปี พ.ศ. 2313 โกยาได้เดินทางไปอิตาลี ในกรุงโรม และได้ศึกษาผลงานคลาสสิกที่นั่น เขาส่งภาพ วาดเข้าร่วมการแข่งขันที่จัดขึ้นโดย Academy of Fine Arts ที่ปาร์มา แม้ว่ากรรมการจะชอบ ผลงานของเขา แต่เขากลับไม่ได้รับรางวัลสูงสุด 5


ภาพเหมือนของ José Luzán วาดโดย ฟรานซิสโก โกยา (1795) ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ปราโด, มาดริด 6


โกยาจิตรกรอายุน้อยผู้ทะเยอทะยาน แม้ว่าการเข้าแข่งขันของเขาในตอนแรกไม่ ประสบความสำ เร็จ แต่เขาไม่หมดกำ ลังใจ ในช่วงเวลานั้นสเปนถูกปกครองโดยพระ เจ้าชาร์ลส์ที่สาม พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ ถูกแนะนำ โดยความคิดต่างๆ ของแสงสว่าง (Enlightenment) ในสภาพใจกว้างนี้ เป็น ไปได้สำ หรับลูกชายของช่างฝีมือที่ไม่มีใคร รู้จักที่จะรับความชื่นชอบของพระราชา แม้ว่าเขาจะเรียนศิลปะที่สตูดิโอเล็กๆ ในซา ราโกซา แต่ภาพวาดของโกยาก็ถูกครอบงำ โดยความสุขในการใช้ชีวิต (joie de vivre) และการมองโลกในแง่ดีของโรโกโก โดย ความเชื่อของศตวรรษที่ 18 ในเรื่องของ แสงสว่างและอารมณ์ของเหตุผล St. Bernardino of Siena preaching to Alfonso V of Aragon ประเภทจิตรกรรม ปัจจุบันอยู่ที่มหาวิหารซานฟรานซิสโก เอล กรันเด กรุงมาดริด ประเทศสเปน 7


GOYA AND THE SPANISH COURT โกยาได้เริ่มสร้างสรรค์ผลงานมากมายให้กับราชวงศ์สเปนผ่านทางศิลปินชาวเยอรมัน Anton Raphael Mengs และเป็นครั้งแรกที่เขาวาดการ์ตูนเกี่ยวกับพรมซึ่งเป็นงานศิลปะที่ใช้ เป็นแบบจำ ลองการทอพรมสำ หรับโรงงานแห่งหนึ่งในกรุงมาดริด ผลงานเหล่านี้นำ เสนอฉาก จากชีวิตประจำ วัน เช่น “The Parasol” (1777) และ “The Pottery Vendor” (1779) ในปี พ.ศ. 2322 โกยาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจิตรกรในราชสำ นัก และเขายังคงได้รับ สถานะเพิ่มขึ้น โดยได้รับการตอบรับเข้าเรียนใน Royal Academy of San Fernando ในปี ถัดมา โกยาเริ่มสร้างชื่อเสียงในฐานะจิตรกรวาดภาพเหมือน โดยได้รับค่าคอมมิชชั่นจากหลาย สำ นักในราชวงศ์ ยกตัวอย่างผลงานต่างๆ เช่น “The Duke and Duchess of Osuna and their Children” (1787-1788) แสดงให้เห็นรายละเอียดของโก เขาจับภาพองค์ประกอบที่ เล็กที่สุดของใบหน้าและเสื้อผ้าของพวกเขาได้อย่างชำ นาญ The Parasol (1777) 104 x 152 cm Oil on canvas Museo del Prado, Madrid, Spain 8


ADULT LIFE ในพ.ศ. 2335 (ค.ศ. 1792) โกยาป่วยอย่างร้ายแรง เขาอายุ 46 ปีและเป็นอัมพาตหลาย เดือน เขาหูหนวกจนถึงปลายของชีวิตเขา แต่ความพิการนี้ไม่อาจทำ ให้ความคิดสร้างสรรค์ ของเขาน้อยลง ตรงกันข้าม มันปรับปรุงศักยภาพการมองเห็นของเขาให้ดีขึ้นและลึกขึ้น เขา เริ่มวาดภาพที่ไท่ได้รับหน้าที่ในระหว่างช่วงพักฟื้น รวมถึงภาพผู้หญิงจากทุกสาขาอาชีพ สไตล์ ของเขาก็เปลี่ยนไปบ้างเช่นกัน ทำ ให้เขามีชื่อเสียงจากการวาดภาพในช่วง พ.ศ. 2336-2337 ซึ่งเป็นช่วงที่เขากำ ลังป่วยจากอาการสมองอักเสบและเจอกับสภาพสงครามกลางเมืองในสเปน และสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ทำ ให้งานของโกยาในช่วงนั้นสะท้อนด้านมืดของสังคมได้อย่างดี ในพ.ศ. 2338 โกยาได้รับการแต่งตั้งเป็น ผู้อำ นวยการการวาดภาพที่ราชสถาบันศิลปะ (Royal Academy of Art) ในกรุงมาดริด ขณะเดียวกันเขาเปลี่ยนความสนใจไปที่คน ธรรมดาเพิ่มขึ้น เพราะเขาอาจเคยเป็นส่วน หนึ่งของสถาบันกษัตริย์ แต่เขาก็ไม่เพิกเฉยต่อ ชะตากรรมของชาวสเปนในงานของเขาได้ โก ยาได้หันไปใช้การแกะสลัก ได้สร้างชุดรูปภาพ ชื่อ “Los Caprichos” ในปี พ.ศ. 2342 ซึ่ง ผลงานของเขาถูกมองว่าเป็นการวิจารณ์ของ เขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมืองและสังคม “The Chinchillas” (1799) ภาพแกะ สลักกระดาษ วาดโดย ฟรานซิสโก โกยา 9


โกยายังคงใช้งานศิลปะของเขาเพื่อบันทึกช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ของประเทศด้วย ในปี ค.ศ. 1808 ฝรั่งเศสนำ โดย “นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte)” บุกสเปน นโป เลียนได้แต่งตั้งโจเซฟน้องชายของเขาเป็นผู้นำ คนใหม่ของประเทศ ในขณะที่เขายังคงเป็นแค่ จิตรกรในราชสำ นักภายใต้นโปเลียน โกยาได้สร้างชุดภาพแกะสลักที่แสดงถึงความน่าสะพรึง กลัวของสงคราม หลังจากที่ราชวงศ์สเปนขึ้นครองบัลลังก์อีกครั้งในปี พ.ศ. 2357 เขาก็วาด ภาพ “The Third of May” ซึ่งแสดงให้เห็นต้นทุนที่แท้จริงของการทำ สงครามของมนุษย์ งานนี้บรรยายถึงการจลาจลในกรุงมาดริดเพื่อต่อต้านกองกำ ลังฝรั่งเศส The Third of May 1808 (Execution of the Defenders of Madrid) 266 x 345 cm Oil on canvas Museo del Prado, Madrid, Spain 10


เมื่อเฟอร์ดินานด์ที่ 7 อยู่ในอำ นาจ โกยายังคงรักษาตำ แหน่งในราชสำ นักสเปนแม้จะเคย ทำ งานให้กับโจเซฟ โบนาปาร์ต ก็ตาม แต่มีรายงานว่าเฟอร์ดินานด์เคยบอกกับโกยาว่า "คุณ สมควรได้รับการดูแล แต่คุณเป็นศิลปินที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นเราจึงให้อภัยคุณ" คนอื่นๆ ในสเปน ไม่โชคดีนักเมื่อกษัตริย์พยายามปราบปรามพวกเสรีนิยมที่พยายามทำ ให้ประเทศเป็นรัฐตาม รัฐธรรมนูญ แม้จะมีความเสี่ยงส่วนตัว โกยาแสดงความไม่พอใจต่อการปกครองของเฟอร์ดินานด์ จึง สร้างผลงานในรูปแบบการแกะสลักที่เรียกว่า "Los disparates" ผลงานเหล่านี้นำ เสนอธีมงาน รื่นเริงและสำ รวจความโง่เขลา ตัณหา ความชรา ความทุกข์ทรมาน และความตาย ท่ามกลาง ประเด็นอื่นๆ ด้วยภาพที่แปลกประหลาดของโกยาดูเหมือนจะแสดงให้เห็นถึงความไร้สาระ ของยุคสมัยเป็นอย่างมาก FINAL YEARS “A circus queen timely Absurdity”ภาพแกะสลักกระดาษ วาดโดย ฟรานซิสโก โกยา 11


ต่อมาบรรยากาศทางการเมืองตึงเครียดมากจนโกยาเต็มใจลี้ภัย ในปี พ.ศ. 2367 แม้ว่า สุขภาพของเขาจะย่ำ แย่ แต่โกยาก็คิดว่าเขาอาจจะปลอดภัยกว่าเมื่ออยู่นอกสเปน โกยาย้ายไป บอร์กโดซ์ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเขาใช้ชีวิตที่เหลือ ในช่วงเวลานี้เขายังคงวาดภาพต่อไป ผลงาน บางชิ้นในเวลาต่อมาของเขามีภาพเหมือนของเพื่อนๆ ที่ลี้ภัยเช่นกัน โกยาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2371 ในเมืองบอร์โดซ์ ประเทศฝรั่งเศส Quinta del Sordo ในแบบจำ ลองขนาดที่สร้างขึ้นระหว่างปี 1828 - 1830 ที่ Museo de Historia de Madrid (พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์) 12


โกยาได้แต่งงานกับ Josefa Bayeu y Subías เธอเป็นน้องสาวของครูสอนศิลปะ Francisco และ Ramón Bayeu y Subías โกยาได้ตั้งชื่อเล่นให้กับเธอว่า "เปปา" เธอให้กำ เนิดลูก 7 คนแก่เขา แต่มีเพียงคนเดียว เท่านั้นที่มีชีวิตอยู่ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ ชื่อของเขาคือ Francisco Javier de Goya y Bayeu เกิดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2327 งานศิลปะด้านล่างนี้จัดทำ โดย Goya PERSONAL LIFE Francisco Javier Goya y Bayeu (1805) ภาพวาดลูกชายของโกยา ปัจจุบันอยู่ที่หอศิลป์แห่งชาติลอนดอน 13


“Portrait thought to be Josepha Bayeu (or Leocadia Weiss) ” ภาพภรรยาของโกยา วาดโดย ฟรานซิสโก โกยา 14


QUINTA DEL SORDO


กินตา เดล ซอร์โด หรือ Quinta del Sordo (อังกฤษ: Villa of the Deaf ) หรืออีกชื่อ คือ Quinta de Goya เป็นชื่อของที่ดินและบ้านในชนบทที่กว้างขวาง ตั้งอยู่บนเนินเขาในเขต เทศบาลเก่าของ Carabanchel ในเขตชานเมืองของกรุงมาดริด บ้านหลังนี้เป็นที่รู้จักกันเป็น อย่างดีในฐานะบ้านของ ฟรานซิสโก โกยา ในช่วงหลายปีก่อนถูกเนรเทศและเป็นที่ที่เขาวาด ภาพจิตรกรรมสีดำ ซึ่งประกอบด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังสิบสี่ภาพ ตรงกันข้ามกับความเชื่อที่ นิยม คฤหาสน์หลังนี้ได้รับการตั้งชื่อมาจากเจ้าของคนก่อนที่เป็นหูหนวก บ้านหลังนี้ถูกรื้อถอน ในปี พ.ศ. 2335 และสุดท้ายบ้านพังยับเยินในปี พ.ศ. 2452 QUINTA DEL SORDO Quinta del Sordo ในแบบจำ ลองขนาดที่สร้างขึ้นระหว่างปี 1828 - 1830 ที่ Museo de Historia de Madrid (พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์) 15


ฟรานซิสโก โกยา ซื้อบ้านเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2362 จากเจ้าของคนก่อนซึ่งเป็น หูหนวก ในตอนแรกบ้านหลังนี้ประกอบด้วยห้องหลักเพียง 2 ห้อง แต่ละห้องมีขนาด 9 คูณ 4.5 เมตร และตกแต่งด้วยลวดลายแบบชนบท ก่อนที่โกยาจะซื้อมัน เขาได้เพิ่มปีกใหม่สำ หรับ ห้องครัว GOYA'S OWNERSHIP โกยาอาศัยอยู่ในบ้านจนกระทั่งถูกเนรเทศไปยังบอร์กโดซ์ในปี พ.ศ. 2367 เมื่อเขาทิ้ง “Mariano” หลานชายวัย 17 ปี ให้ดูแลที่ดินนี้ในช่วงเวลาสั้น ๆ เมื่อเขาจะเดินทางกลับกรุง มาดริด โกยาจะพักอยู่ที่บ้านของเขา มีการเสนอเหตุผลหลายประการสำ หรับการซื้อ อสังหาริมทรัพย์ของโกยา เมื่อพิจารณาจากลัทธิเสรีนิยมของโกยา มันค่อนข้างสำ คัญสำ หรับ เขาที่จะต้องตีตัวออกห่างจากศาลเผด็จการของเฟอร์ดินานด์ที่ 7 หลังจากการล่มสลายของรา ฟาเอล เดล ริเอโกในปี พ.ศ. 2366 โกยารู้สึกว่าจำ เป็นต้องย้ายออกจากประเทศและย้ายไปอยู่ ที่บอร์กโดซ์ 16


“Portrait of Mariano Goya” ภาพหลานชายของโกยา วาดโดย ฟรานซิสโก โกยา 17


บ้านหลังนี้ตั้งอยู่บนที่ดินที่ปัจจุบันกั้นถนน Caramuel และถนน Juan Tornero ในเขต Latina ของกรุงมาดริดบนฝั่งขวาของแม่น้ำ Manzanares ประมาณ 200 เมตร จากสะพาน Segovia ที่จุดเริ่มต้นของถนนไปยังอาศรมของ San Isidro ในตอนต้นของศตวรรษที่ 19 สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่เป็นธรรมชาติมีสวนผลไม้และเป็นบ้านในชนบทที่โดดเดี่ยว หลาย ทศวรรษหลังจากการเสียชีวิตของโกยา ได้เผยให้เห็นลักษณะของบ้านที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมมีสอง ชั้น ในบริเวณโดยรอบของการก่อสร้างจะมีพื้นที่สวนสวนผลไม้และระเบียงกรวดหรือทราย รายละเอียดของแผนที่มาดริดของ Facundo Cañada ในปี 1900-1901 แสดงตําแหน่งของ Quinta de Goya หรือ Quinta del Sordo ใกล้กับสะพาน Segovia 18


บ้านของโกยา สร้างขึ้นมาด้วยสภาพที่ไม่ได้ดีมากนัก แต่ภายในบ้านมีผลงงานที่มีชื่อเสียง มากมายจากชุดภาพวาดสีดําที่ใช้เทคนิคน้ำ มันบนปูนปลาสเตอร์ของผนัง และภาพวาดเหล่านี้ มีการติดตั้งกรอบกระดาษ โดยส่วนที่เหลือของซุ้มตกแต่งด้วยวอลล์เปเปอร์ที่มีลวดลายดอกไม้ และพืชที่ชั้นล่างของบ้าน และลวดลายเรขาคณิตแนวทแยงที่ชั้นบนของอาคารทั้งหมดมีเพียง ปีกที่ตกแต่งด้วยภาพวาดสีดําเท่านั้นที่ถูกรวบรวมคําอธิบายโดยละเอียด โดยภาพวาดจะถูก แสดงที่ห้องขนาดใหญ่ 2 ห้องและ 1 ห้องต่อชั้น ที่ชั้นล่างประตูจะมีผนังสั้น ๆ ด้านใดด้านหนึ่งซึ่งจะนําไปสู่โถงทางเดินหลักของบ้านและ เป็นที่ตั้งของบันไดกว้าง บนผนังยาวคาดว่าจะมีหน้าต่างสองบานที่ปลายและบนผนังสั้นตรง ข้ามประตูหน้าต่างเดียว ชั้นบนที่มีขนาดเท่ากันจะมีประตูอยู่ในตําแหน่งเดียวกับห้องล่างโดยมี การกระจายเหมือนกันยกเว้นการมีหน้าต่างบานเดียวอยู่ตรงกลางผนังยาวแต่ละด้าน BLACK PAINTING การจัดเรียงภาพวาดสีดําใน Quinta del Sordo 19


TWO OLD MEN / TWO MONKS / AN OLD MAN AND A MONK ภาพวาดชายชราสองคนหรือที่รู้จักกันในชื่อพระสองคนหรือชายชรากับพระภิกษุ (ภาษา สเปน: Dos viejos, Dos frailes หรือ Un viejo y un fraile) เป็นชื่อที่มอบให้กับหนึ่งใน 14 ภาพเขียนสีดำ ที่วาดโดย ฟรานซิสโก โกยา ในช่วงปี 1819 - 1823 โกยาในตอนนั้นอายุ 70 กลางๆ และมีความทุกข์ทั้งกายและใจ เขาวาดภาพผลงานบนผนังภายในบ้านที่เรียกว่า "บ้าน ของคนหูหนวก" (Quinta del Sordo) ที่เขาซื้อในปี 1819 ในภาพมีชายชราอายุสองคนที่แต่งกายด้วยนิสัยของนักบวชยืนอยู่บนพื้นหลังสีดำ ชาย ข้างหน้ามีหนวดเครายาวสีเทา ตัวสูงและนอนอยู่บนไม้เท้า เขาอาจเป็นตัวแทนของโครโนส เทพเจ้าแห่งกาลเวลา และข้างๆ เขามีรูปล้อเลียนที่มีใบหน้าเหมือนสัตว์ ดูเหมือนว่าร่างนี้จะ ตะโกนอยู่ข้างหูของชายชราซึ่งอาจเป็นการพาดพิงถึงอาการหูหนวกของโกยาก็เป็นได้ และทั้ง สองมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน ระหว่าง ชายมีหนวดมีเคราวางมือบนไม้เท้าอย่าง สงบด้วยสีหน้าที่เศร้าแต่ดูเงียบสงบ ทำ ให้นึกถึงนักปรัชญาที่เบลัซเกซวาดภาพ ซึ่งโกยาได้คัด ลอกมา ในทางตรงกันข้าม รูปลักษณ์ของสหายผู้ชั่วร้ายของเขาทำ ให้นึกถึงนักบวชที่โกยาได้ บรรยายไว้ใน Caprichos และ Disparates ของเขา 20


21


ภาพวาดชายชราสองคนกำ ลังกินซุป (ภาษาสเปน: Dos viejos comiendo sopa) หรือ The Witchy Brew (ภาษาสเปน : Dos Brujas) เป็นหนึ่งใน 14 ภาพเขียนสีดำ ที่สร้างสรรค์ โดย ฟรานซิสโก โกยา ในช่วงปี 1819 - 1823 เป็นภาพชายชราสองคนกำ ลังกินซุปน่าจะเป็น ครองตำ แหน่งเหนือประตูหลักของบ้าน ระหว่างลาลีโอคาเดียกับชายชราสองคน เช่นเดียวกับภาพวาดสีดำ อื่นๆ มันถูกย้ายไปยังผืนผ้าใบในปี พ.ศ. 2417-2521 ภายใต้ การดูแลของซัลวาดอร์ มาร์ติเนซ คิวเบลส์ ภัณฑารักษ์ที่พิพิธภัณฑ์ปราโด กรุงมาดริด บารอน Émile d'Erlanger เจ้าของได้บริจาคผืนผ้าใบให้กับรัฐสเปนในปี พ.ศ. 2424 และปัจจุบันจัด แสดงอยู่ที่ปราโด TWO OLD ONES EATING SOUP / THE WITCHY BREW 22


ในภาพมีชายชราอายุเยอะสองคนปรากฏข้างหน้าจากพื้นหลังสีดำ แม้ว่าพวกเขาจะถือว่า เป็นผู้ชาย แต่เพศของพวกเขายังไม่ชัดเจน ปากของชายชราด้านซ้ายมีสีหน้าบูดบึ้งซึ่งอาจเป็น เพราะไม่มีฟัน ตรงกันข้ามกับการแสดงออกของชายชราด้านขวาได้อย่างสิ้นเชิง ใบหน้าของ เขาแทบจะไม่ดูมีชีวิตชีวาเลย ดวงตาของเขาเป็นโพรงสีดำ สนิทและศีรษะมีลักษณะเหมือน กะโหลกศีรษะ เช่นเดียวกับภาพวาดสีดำ อื่น ๆ การสื่อสารภาพวาดของโกยา แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจ ที่มาจากประสบการณ์ตลอดชีวิตเท่านั้น จัดการสีได้อย่างอิสระ รวดเร็ว และมีความเด็ดขาด สูง เกียงปาดสียังใช้ในการทาสีในบางพื้นที่ สีดำ สีเหลืองสด สีเอิร์ธโทน และสีเทาเป็นสีเดียวที่ ใช้ เช่นเดียวกับสีอื่นๆ ของภาพวาดสีดำ 23


La Leocadia (ภาษาสเปน: Doña Leocadia) หรือ The Seductress (ภาษาสเปน: Una Manola) เป็นชื่อที่ตั้งให้กับจิตรกรรมฝาผนังโดยศิลปินชาวสเปน Francisco Goya (1746–1828) ซึ่งสร้างเสร็จในช่วงระหว่างปี 1819–1823 โดยเป็นหนึ่งใน 14 ผลงาน ภาพ วาดดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่โดยทั่วไประบุว่าเป็นสาวใช้ของโกยาหรือสหาย และคาดว่าน่าจะเป็นคนรักมากที่สุด Leocadia Weiss เธอแต่งกายด้วยชุดมาจาสีเข้มที่เกือบจะดูเหมือนชุดงานศพ และพิงกับ สิ่งที่เป็นหิ้งหรือกองศพ ขณะที่เธอมองออกไปด้านนอกด้วยสีหน้าโศกเศร้า Leocadia เป็น หนึ่งในผลงานชิ้นสุดท้ายของ "ภาพวาดสีดำ " ซึ่งเขาวาดเมื่ออายุได้ 70 ปีในช่วงเวลาที่เขาถูก ครอบงำ ด้วยความวุ่นวายทางการเมือง ร่างกาย และจิตใจ หลังจากที่เขาหนีไปยังประเทศจาก ตำ แหน่งจิตรกรประจำ ศาลในกรุงมาดริด LEOCADIA 24


25


The Dog เป็นชื่อที่มักจะตั้งให้กับภาพวาดของศิลปินชาวสเปน Francisco Goya ซึ่ง ปัจจุบันอยู่ใน Museo del Prado กรุงมาดริด แสดงให้เห็นหัวของสุนัขตัวเล็กที่จ้องมองขึ้นไป ตัวสุนัขเกือบจะหายไปในความกว้างใหญ่ของส่วนที่เหลือของภาพ ซึ่งเป็นที่ที่ดูว่างเปล่า ยกเว้นบริเวณทางลาดมืด ๆ ใกล้ด้านล่างของภาพ ซึ่งเป็นมวลที่ไม่สามารถระบุได้ และมันได้ ปกปิดหรือทับร่างกายของสุนัขไว้ สุนัขเป็นหนึ่งในภาพวาดสีดำ ของ Goya ซึ่งเขาวาดภาพลงบนผนังบ้านของเขาโดยตรงใน ช่วงระหว่างปี 1819 - 1823 เมื่อเขาอยู่ในช่วงอายุ 70 เขาอาศัยอยู่ตามลำ พังและทุกข์ทรมาน จากความทุกข์ทรมานทางจิตใจและร่างกายอย่างเฉียบพลัน เขาไม่ได้ตั้งใจวาดภาพเพื่อจัด แสดงต่อสาธารณะ (ไม่ได้ถูกย้ายออกจากบ้านจนกระทั่ง 50 ปีหลังจากที่โกยาจากไป) ดังนั้น จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่เขาจะตั้งชื่อให้กับพวกเขา THE DOG ในปี พ.ศ. 2362 โกยาได้ซื้อบ้านชื่อ "ควินตา เดล ซอร์โด" (วิลล่าของคนหูหนวก) บนฝั่ง Manzanares ใกล้กรุงมาดริด เป็นบ้านสองชั้นเล็กๆ หลังหนึ่งซึ่งตั้งชื่อตามผู้อาศัยคนก่อนซึ่ง เคยหูหนวก แม้ว่าโกยาจะหูหนวกตามการใช้งานเช่นกัน อันเป็นผลมาจากอาการป่วยที่เขา ป่วย (อาจเป็นสารตะกั่ว) ในปี พ.ศ. 2335 ระหว่างปี พ.ศ. 2362 ถึง พ.ศ. 2366 เมื่อเขาย้าย ไปบอร์กโดซ์ Goya ได้ผลิตผลงาน 14 ชิ้นซึ่งเขาวาดด้วยสีน้ำ มันลงบนผนังบ้านโดยตรง 26


27


ในปีต่อๆ มา โกยาใช้ชีวิตสันโดษโดดเดี่ยวและหูหนวก ไม่แยแสกับสังคม เขาอาศัยอยู่ใน บ้านของเขาที่รู้จักกันในชื่อ La Quinta del Sordo ซึ่งตั้งอยู่นอกกรุงมาดริด เขาวาดภาพสีดำ จำ นวน 14 ภาพ โกยาใช้ภาพวาดเหล่านี้บนผนังปูนปลาสเตอร์ของบ้านของเขาโดยตรง และ ถึงแม้จะมีลักษณะส่วนตัวอย่างเข้มข้น แต่เขาก็ไม่ได้ระบุชื่อเรื่องหรือเขียนเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ ในจดหมายของเขา ผลงานเหล่านี้ได้รับการพิจารณาอย่างกว้างขวางจากนักประวัติศาสตร์ ศิลป์เพื่อสะท้อนถึงสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ทรุดโทรมลง ขณะที่ผลงานเหล่านี้แสดงความ กลัวที่ลึกที่สุดและความหดหู่ที่มืดมนที่สุดในรูปแบบฝันร้ายและน่าหนักใจ หนึ่งในภาพวาดเหล่านี้เรียกว่า Witches' Sabbath หรือ The Great He-Goat แสดงให้ เห็นภาพเงามืดของปีศาจในรูปแพะ กำ ลังสั่งสอนผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่น่าจะเป็นแม่มด การใช้ พู่กันที่หยาบและเงอะงะของโกยา ช่วยเพิ่มคุณภาพที่ดิบและน่าสังเวชของภาพ โดยมีกลุ่มตัว ละครที่น่ากลัวรวมตัวกัน การใช้แสงและความมืดที่ตัดกันระหว่างการแสดงละครทำ หน้าที่เน้น ใบหน้าที่น่ารังเกียจของผู้หญิง น่าเสียดายที่ภาพเขียนส่วนใหญ่สูญหายไปในการถ่ายโอนจาก ปูนปลาสเตอร์สู่ผืนผ้าใบ ทิ้งความหมายและเนื้อหาทั้งหมดไว้เป็นความลับ WITCHES' SABBATH / THE GREAT HE-GOAT 28


เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าวันสะบาโตของแม่มดเป็นการวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติอันกดขี่ และการประหัตประหารของกลุ่ม Inquisition ซึ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นหลังจากการบูรณะ สถาบันกษัตริย์บูร์บงในปี พ.ศ. 2357 และการขึ้นครองราชย์ของเฟอร์ดินานด์ที่ 7 กษัตริย์ต่อ ต้านการรู้แจ้ง โกยาเป็นผู้สนับสนุนอย่างแข็งขันต่อหลักการตรัสรู้ ซึ่งให้ความสำ คัญกับเหตุผล มากกว่าความเชื่อทางไสยศาสตร์ทางศาสนาและลัทธิ และเขาเกลียดการกระทำ ที่มีแรงจูงใจ ทางการเมืองของการสืบสวน 29


ภาพวาดนี้เป็นการตีความหัวข้อในตำ นานของเทพีแห่งโชคชะตา เช่น มอยไร หรือโชค ชะตาตามที่เล่าไว้ในโฮเมอร์ เฮเซียด เวอร์จิล และนักเขียนคลาสสิกคนอื่นๆ "ธิดาแห่ง รัตติกาล" เหล่านี้นำ โดย Atropos เทพีแห่งความตายผู้ไม่มีวันสิ้นสุดซึ่งถือกรรไกรสองสามอัน เพื่อตัดด้ายแห่งชีวิต Clotho พร้อมด้วยไม้เท้าของเธอ (ซึ่งโกยาแทนที่ด้วยตุ๊กตาหรือเด็กแรก เกิด ซึ่งอาจเป็นสัญลักษณ์เปรียบเทียบของชีวิต) และ Lachesis ซึ่งหมุนได้ ซึ่งในการเป็น ตัวแทนนี้มองผ่านเลนส์หรือในกระจกและเป็นสัญลักษณ์ของเวลา เนื่องจากเธอเป็น ผู้ที่วัด ความยาวของเส้นใย ร่างหญิงทั้งสามที่ลอยอยู่ในอากาศมีร่างที่สี่เพิ่มเข้ามาเบื้องหน้า อาจเป็น เพศชาย มือของร่างนี้ถูกมัดไว้ข้างหลังราวกับเป็นเชลย หากการตีความนี้เป็นจริง ชะตากรรม จะเป็นตัวตัดสินชะตากรรมของชายผู้ถูกมัดมือไม่สามารถต่อต้านชะตากรรมของเขาได้ มีการ คาดเดาว่าเขาอาจเป็นตัวแทนของโพรมีธีอุสที่ถูกมัดไว้บนภูเขาและถูกทิ้งให้ถูกนกอินทรี ทำ ลายเพื่อเป็นการลงโทษที่ขโมยไฟจากภูเขาโอลิมปัส ทั้งสี่คนน่าเกลียดน่ากลัวมาก ATROPOS (THE FATES) 30


ช่วงสีของภาพวาดจะลดลงมากหรือมากกว่าภาพวาดสีดำ อื่นๆ ไปจนถึงสีเหลืองสดและสี ดำ สิ่งนี้ตอกย้ำ บรรยากาศกลางคืนและไม่สมจริง ซึ่งเหมาะสมกับหัวข้อที่เป็นตำ นานของงาน นี้ ลักษณะที่ไร้เหตุผลและไร้เหตุผลของภาพวาดสีดำ ของโกยา ทำ ให้พวกเขากลายเป็นต้น กำ เนิดของศิลปะสมัยใหม่ 31


เป็นภาพชายสองคนต่อสู้กันด้วยไม้กระบอง ขณะที่พวกเขาดูเหมือนจะติดอยู่ลึกถึงเข่าใน หล่มโคลนหรือทราย ตามคำ กล่าวของฟรานซิสโก-ซาเวียร์ เดอ ซาลาส บอช โกยาอาจอ้างอิง ถึงสัญลักษณ์เปรียบเทียบ (หมายเลข 75) ที่ปรากฏในผลงานของดิเอโก เด ซาเวดรา ฟาจาร์ โด หนังสือสัญลักษณ์ Empresas Politicos [Political Maxims], Idea de un príncipe politico cristiano ซึ่งมี บทความสั้น ๆ ร้อยเรื่องเกี่ยวกับการศึกษาของเจ้าชาย สัญลักษณ์ เปรียบเทียบกล่าวถึงตำ นานกรีกเรื่องแคดมุสและฟันมังกร ตามคำ แนะนำ ของเอเธน่า แคดมุส ได้หว่านฟันมังกรลงบนพื้น ทำ ให้เกิดเผ่าพันธุ์ผู้ติดอาวุธดุร้าย เรียกว่า Spartoi ("sown") ด้วย การขว้างก้อนหินใส่พวกเขา Cadmus ทำ ให้พวกเขาล้มทับกันจนเหลือเพียงห้าคนที่รอดชีวิต ซึ่งช่วยให้เขาสร้าง Cadmea หรือป้อมปราการแห่งธีบส์ Saavedra ใช้จินตภาพนี้เพื่ออภิปรายว่าผู้ปกครองบางคนปลุกปั่นความขัดแย้งเพื่อสร้าง สันติภาพในอาณาจักรของตนในท้ายที่สุดได้อย่างไร การใช้สัญลักษณ์เปรียบเทียบของโกยา อาจหมายถึงนโยบายและการเมืองของ Ferdinand VII FIGHT WITH CUDGELS 32


การจาริกแสวงบุญไปยังซาน อิซิโดร แสดงให้เห็นภาพการแสวงบุญไปยังอาศรมมาดริด ของซาน อิซิโดร ซึ่งตรงกันข้ามกับการปฏิบัติของโกยาในเรื่องเดียวกันเมื่อ 30 ปีก่อน ในทุ่ง หญ้าซานอิซิโดร หากงานก่อนหน้านี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการแสดงขนบธรรมเนียมประเพณีในวัน หยุดตามประเพณีในกรุงมาดริด และการให้ทัศนียภาพของเมืองที่แม่นยำ พอสมควร ภาพวาด ปัจจุบันจะพรรณนาถึงกลุ่มบุคคลสำ คัญในตอนกลางคืน ดูเหมือนจะมึนเมาและร้องเพลงด้วย ใบหน้าที่บิดเบี้ยว บุคคลจากชั้นทางสังคมที่หลากหลายก็ปรากฏอยู่ในภาพวาดเช่นกัน ในเบื้อง หน้า กลุ่มของการสกัดอย่างถ่อมตัวปรากฏขึ้น ในขณะที่ไกลออกไปในพื้นหลัง สามารถมอง เห็นหมวกทรงสูงและนิสัยของแม่ชีได้ หัวข้อของขบวนแห่นั้นใช้เพื่อเน้นการแสดงละครหรือการเสียดสี ในแง่ของภาพมีความ คล้ายคลึงกับ The Burial of the Sardine ซึ่งวาดระหว่างปี 1812 - 1819 เป็นหัวข้อที่เกิด ขึ้นซ้ำ ๆ ในภาพวาดของโกยา เพื่อนำ เสนอฝูงชนที่ค่อย ๆ จางหายไปในระยะไกล มีอยู่แล้วใน ทุ่งหญ้าของ San Isidro และต่อมาถูกใช้บ่อยๆ ใน The Disasters of War ที่ขอบสุดของ ภาพวาดนี้ มีภาพเงาของโขดหินโผล่ขึ้นมาและฝูงชนที่แห่ขบวนพาเหรดเกิดขึ้นพร้อมกัน ด้วย วิธีนี้ พื้นที่เปิดโล่งจะเน้นส่วนที่เหลือทั้งหมดของมวลแข็งและกะทัดรัด การลดทอนความเป็น มนุษย์ของแต่ละบุคคลให้กลายเป็นกลุ่มที่ไม่มีรูปแบบ ยกเว้นมุมขวาด้านขวาซึ่งสามารถมอง เห็นใบหน้าที่ดูเหมือนกำ ลังคร่ำ ครวญหรือร้องเพลง THE PILGRIMAGE OF SAN ISIDRO 33


ไม่มีบันทึกที่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือปากเปล่าหลงเหลืออยู่ตามความหมายที่ตั้งใจไว้ ของซีรีส์นี้ และอาจเป็นไปได้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่เคยตั้งใจให้ผู้ที่อยู่นอกแวดวงเล็กๆ ของเขาเห็น Goya ไม่ได้ตั้งชื่อผลงานใด ๆ ในซีรีส์นี้ ต่อมาชื่อ Asmodea ได้รับการมอบให้โดยเพื่อนของ เขาซึ่งเป็นจิตรกรชาวสเปน Antonio Brugada ชื่อนี้น่าจะเป็นการตั้งชื่อที่เป็นเพศหญิงของ ราชาปีศาจ Asmodeus จากหนังสือของ Tobias Asmodeus ยังปรากฏในตำ นานของ Greek Titan Prometheus ซึ่งเทพธิดา Minerva พาเขาไปที่ภูเขาคอเคซัส มีการแสดงร่างสองร่าง ชายและหญิงหนึ่งตัวลอยอยู่เหนือภูมิประเทศอันกว้างใหญ่ ผู้ หญิงสวมชุดสีขาวคลุมด้วยเสื้อคลุมสีแดงกุหลาบ ทั้งคู่ดูหวาดกลัว เธอคลุมใบหน้าครึ่งล่างด้วย เสื้อคลุม ใบหน้าของเขาถูกรบกวนอย่างมาก พวกเขาต่างมองไปในทิศทางตรงกันข้าม ในขณะ ที่เขาชี้ไปที่เมืองบนยอดเขาทางด้านขวาของผืนผ้าใบ ASMODEA / FANTASTIC VISION 34


นักวิจารณ์ อีวาน คอนเนล ตั้งข้อสังเกตว่ารูปร่างของภูเขานี้มีลักษณะคล้ายกับยิบรอล ตาร์ ซึ่งเป็นที่หลบภัยของพวกเสรีนิยมสเปนในช่วงหลังสงครามคาบสมุทร ในเบื้องหน้า ทหาร ฝรั่งเศสแถวหนึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายกับทหารจากงาน The Third of May 1808 ของ Goya ในปี 1814 กำ ลังเล็งไปที่กลุ่มคนที่เดินผ่านไปในระยะไกลกว่า กลุ่มนี้เดินทางพร้อมกับม้าและ เกวียน และอาจเป็นผู้ลี้ภัยที่หนีจากสงครามกับฝรั่งเศสก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นเหยื่อที่ Goya ได้ให้ รายละเอียดไว้อย่างใกล้ชิดใน The Disasters of War ของเขา นักเขียน Richard Cottrell ได้สังเกตเห็นความคล้ายคลึงกันในการระบายสีของท้องฟ้า 'สดใส' กับผลงานอีกชิ้นจากซีรีส์จิตรกรรมสีดำ The Dog ผลงานนี้มีความคล้ายคลึงกับ Atropos และ A Pilgrimage to San Isidro โดยจะใช้อุปกรณ์ภาพรูปวงรีเพื่อบิดเบือนมุม มองของผู้ชม ในกรณีนี้ เสื้อคลุมของนักบินชายทำ ให้เขาแทบจะหลุดออกจากผืนผ้าใบและใกล้ ชิดกับผู้ชมมากกว่านักบินหญิงมาก เช่นเดียวกับ Atropos งานชิ้นนี้เป็นหนึ่งในผลงานชุดเดียว ที่สามารถอนุมานความหมายที่ตั้งใจไว้ได้จากแหล่งข้อมูลคลาสสิก 35


การจาริกแสวงบุญเป็นภาพขบวนแห่ที่นำ โดยกลุ่มคนที่มองเห็นได้ชัดเจนอีกแปดคน ชาย คนหนึ่งสวมเสื้อผ้าจากศตวรรษที่ 17 และถือแก้ว อีกคนหนึ่งเป็นพระภิกษุหรือภิกษุณี ครึ่ง ซ้ายของภาพเขียนที่มีท้องฟ้าสดใสเป็นหนึ่งในข้อความสีอ่อนของภาพเขียนสีดำ ซึ่งโดดเด่น ด้วยสีน้ำ ตาล สีเทา และสีดำ ภาพวาดสีดำ อีกภาพหนึ่ง ภาพ A Pilgrimage to San Isidro ดู เหมือนเป็นงานแสวงบุญยกเว้นโทนสีเข้ม ทั้งสองอาจพรรณนาถึงขบวนแห่ไปยังแท่นบูชาของ San Isidro ซึ่งเป็นความคิดที่สะท้อนอยู่ในตำ แหน่งของพวกเขา (ไม่มีผู้มอบให้โดย Goya) ซึ่ง อยู่ใกล้กับบ้านของเขา Quinta del Sord PILGRIMAGE TO THE FOUNTAIN OF SAN ISIDRO / THE HOLY OFFICE 36


ตอนนั้นโกยา เขาใช้ชีวิตอยู่กับ ความสิ้นหวัง และผลงานของเขาก็ มืดมนอย่างมาก เกิดจากความกดดัน ทั้งในด้านอารมณ์และขาดสีสัน มัน แสดงให้ถึงเห็นผู้หญิงสองคนที่มีรอย ยิ้มบ้าคลั่งดูเหมือนหัวเราะกับผู้ชายที่ มีจิตใจเรียบง่ายที่ดูเหมือนจะช่วยตัว เองอยู่ที่มือขวาของภาพ แม้จะมีการ เยาะเย้ย แต่ผู้หญิงทางซ้ายก็อาจจะ กำ ลังช่วยตัวเอง ซึ่งนักวิจารณ์ศิลปะ และนักประวัติศาสตร์เชื่อว่าภาพดัง กล่าวมีเจตนาไร้ประโยชน์และไร้เชื้อ แม้จะไม่มีการแสดงความคิดเห็นเป็น ลายลักษณ์อักษรหรือด้วยวาจาเกี่ยว กับงานใดๆ ในซีรีส์นี้เลยก็ตาม YOUNG PEOPLE LAUGHING 37


Men Reading แสดงให้เห็นกลุ่มชายหกคนรวมตัวกันอ่านหน้าที่พิมพ์โดยถือไว้บนตัก ของผู้ที่นั่งตรงกลาง แม้ว่าจะไม่ทราบแน่ชัด แต่พวกเขามักคิดว่าเป็นนักการเมืองที่อ่านและ แสดงความคิดเห็นในบทความในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับตัวเอง โกยาน่าจะวางงานนี้ไว้บนผนัง เล็กๆ ของชั้น 1 ของ Quinto ถัดจากผลงานคู่หู Women Laughing และอยู่ตรงข้ามกับ The Dog and Two Old Men Eating Soup รังสีเอกซ์เผยให้เห็นว่าภาพวาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากก่อนที่โกยาจะตกลงกับสิ่งที่ อยู่บนผืนผ้าใบในขณะนี้ ในบางช่วงทิวทัศน์ด้านหลังแสดงให้เห็นคนขี่ม้า ร่างที่อยู่ตรงกลางใส่ ชุดสีขาวที่ดูมีเขาขนาดใหญ่หรืออาจเป็นปีกนก ที่ดูเหมือนจะงอกออกมาจากหัวของเขา MEN READING จากการศึกษาการเอกซเรย์ นักประวัติศาสตร์ศิลป์ การ์เมน การ์ริโด ค้นพบว่าตรงกลาง ของภาพมีอิมพาสโตตะกั่วสีขาวขนาดใหญ่ โดยเริ่มต้นที่ศีรษะของชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นไป และ "ทั้งส่วนที่อยู่ด้านบนของอิมปัสโตและส่วนที่อยู่ในระดับเดียวกับ ส่วนจิตรกรรมที่เหลือก็ เหมือนกัน และไม่มีทั้งพื้นผิวหรือโครงสร้างปกติตามฝีแปรงที่แท้จริงของจิตรกร” 38


39


จานสีของ Judith และ Holofernes ประกอบด้วยสีดำ สีเหลือง และสีแดง ที่ใช้พู่กันที่ อิสระ กว้าง และมีพลัง การจัดแสงมีทั้งการเน้นและการแสดงละครอย่างมาก และดูเหมือนว่า จะสื่อถึงฉากกลางคืนที่จุดคบเพลิง ซึ่งส่องใบหน้าของจูดิธ และแขนที่ยื่นออกไป และทิ้ง ใบหน้าของหญิงรับใช้ชราซึ่งมีโครงร่างสีเข้มในการอธิษฐานทิ้งไว้ในความมืดมิด น่าสังเกตเป็น อย่างยิ่งว่าทั้งโฮโลเฟิร์นเนสและเลือดที่ไหลออกมาจากคอของเขาไม่ปรากฏให้เห็น ดังที่เป็น ปกติของการเรนเดอร์ทางศิลปะส่วนใหญ่ เมื่อพิจารณาจากความท้อแท้อันขมขื่นของโกยา ต่อการบูรณะ Fernando VII ครั้งที่ สอง จึงเป็นไปได้ที่ Holofernes เป็นตัวแทนของกษัตริย์สเปน ซึ่งโกยาดูหมิ่นเป็นการส่วนตัว การเสียชีวิตของโฮโลเฟิร์นเนสมักถูกนำ เสนอในงานศิลปะเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความพ่ายแพ้ ของระบอบเผด็จการ นี่คงเป็นการพาดพิงถึงความกล้าหาญและกล้าหาญสำ หรับศิลปินที่มี ความผูกพันกับมงกุฎเช่นเดียวกับที่โกยามี อย่างไรก็ตามโกยาไม่เชื่อว่าใครก็ตามสามารถชมซี รีส์เรื่องนี้ได้ ซึ่งทำ ให้เขามีอิสระในการแสดงออกมากขึ้น เขาเคยเป็นความลับมาก่อนเมื่อนำ เสนอมุมมองทางการเมืองที่ไม่น่ารับประทานผ่านงานของเขา การแกะสลักชุด The Disasters of War ของเขาแสดงความคิดเห็นอย่างรุนแรงเกี่ยวกับทั้งสงครามคาบสมุทรและ การฟื้นฟู Bourbon ในเวลาต่อมา แต่ได้รับการตีพิมพ์เพียง 35 ปีหลังจากการตายของเขา สามารถตีความได้อีกหลายประการ งานนี้อาจพาดพิงถึง Leocadia สาวใช้และเพื่อนของเขา ในปีสุดท้ายของเขา อาจเป็นไปได้ว่าภาพนี้เกี่ยวข้องกับอำ นาจของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จาก มุมมองทางจิตวิเคราะห์ ภาพวาดนี้มองได้ว่าเกี่ยวข้องกับหัวข้อการตัดตอน ซึ่งเป็นมุมมองที่ ควรวางไว้ในบริบทของสถานการณ์ส่วนตัวของโกยา เขาเป็นชายชราอายุมากกว่า 70 ปีอาศัย อยู่กับคนรักที่อายุน้อยกว่ามาก บางทีอาจมีนัยสำ คัญว่าภาพวาดนี้เดิมตั้งอยู่ตรงข้ามกับภาพ วาดที่เชื่อกันว่าเป็นภาพเลโอคาเดียข้างหลุมศพของโกยา JUDITH AND HOLOFERNES 40


41


SATURN DEVOURING ONE OF HIS SONS ภาพวาดของยักษ์ไททัน “โครนัส” หรือเรียกในภาษาโรมันว่า แซตเทิร์น จากปรกรณัม กรีกผ่านสายตาของจิตรกรชาวสเปนผู้โด่งดัง ตามปรกรณัมกรีกแล้ว หลังจากที่ไททันโครนัส แย่งชิงอำ นาจมาจากบิดาของเขาได้สำ เร็จ เขาได้รับคำ ทำ นายว่า หนึ่งในลูกชายของโครนัสจะ ทำ เช่นเดียวกับที่เขาทำ กับบิดา และแย่งชิงอำ นาจมาจากโครนัสในที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้คำ ทำ นายเป็นจริง ทุกครั้งที่เทพีเรอาผู้เป็นชายาของโครนัสคลอดให้ เกิดเนิด โครนัสจะกินพวกเขาทั้งเป็น แต่โชคร้ายสำ หรับโครนัส เทพีเรอาได้วางแผนเพื่อซ่อน ลูกชายคนสุดท้อง ซึ่งเด็กคนนั้นก็คือ เทพเจ้าซูส ท้ายที่สุดแล้วซูสก็ได้ทำ ให้คำ ทำ นายเกิดขึ้น จริง เขาขับไล่โครนัส และสิ้นสุดการปกครองของเหล่าไททัน เรื่องราวนี้เป็นตำ นานที่รู้จักกัน อย่างแพร่หลาย แต่โกยากลับตีความภาพแตกต่างออกไป มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่ทำ ให้ภาพนี้แตกต่างจากตำ นานปกรณัมกรีก อย่างแรก คือในตำ นานแล้ว โครนัสจะกินลูกของเขาทั้งตัว และลูกๆของเขาจะยังมีชีวิตอยู่ในท้องของโค รนัส แต่โกย่ากลับวาดสิ่งที่น่าสยดสยองกว่านั้น ในเวอร์ชันของโกย่า เราได้แต่จ้องมองสัตว์ ประหลาดอันน่าสะพรึงกลัว โครนัสได้เคี้ยวหัวของลูกของเขาไปแล้ว ปากสีดำ ของเขาเปิด กว้างเตรียมพร้อมที่จะกัดหัวไหล่ด้านซ้าย เขากำ ลังนั่งยองในท่าที่พิสดาร มือทั้งสองข้างของ เขาเจาะไปที่ลำ ตัวของเด็ก เลือดสีแดงสดไหลออกมา เมื่อเราพิจารณาดูดีๆแล้ว จะเห็นได้ว่านี่ ไม่ใช่เด็กทารก แต่กลับเป็นเด็กที่โตขึ้นมาแล้วของโครนัส และเห็นได้ชัดว่าเด็กได้พยายามสู้ กลับ และรู้ดีว่ากำ ลังเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง 42


Click to View FlipBook Version