สอบปลายภาค
อาหารไทยโบราณ อาหารไทย เป็นอาหารประจำ ของชนชาติไทยที่มีการสั่งสมและถ่ายทอดมาอย่าง ต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนเป็นเอกลักษณ์ประจำ ชาติถือได้ว่า ว่ อาหารไทยเป็นวัฒ วั นธรรม ประจำ ชาติที่สำ คัญของไทย ขณะที่อาหารพื้นบ้าน หมายถึง อาหารที่นิยมรับประทาน กันเฉพาะท้องถิ่น ซึ่งเป็นอาหารที่ทำ ขึ้นได้ง่าย โดยอาศัยพืชผักหรือ รื เครื่อ รื่ งประกอบ อาหารที่มีอยู่ในท้องถิ่นมีการสืบทอดวิธี วิธีปรุงและการรับประทานต่อๆ กันมา จุดกำ เนิดอาหารไทย อาหารไทยมีจุดกำ เนิดพร้อมกับการตั้งชนชาติไทยและมี การพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบัน เรื่อ รื่ งความเป็นมาของ อาหารไทยยุคต่างๆ สรุปได้ดังนี้ สมัยสุโขทัย ทั อาหารไทยในสมัยสุโขทัยได้อาศัยหลักฐานจากศิลาจารึก รึ และวรรณคดี สำ คัญ คือ ไตรภูมิพระร่วงของพญาลิไทที่ได้กล่าวถึงอาหารไทยในสมัยนี้ว่า ว่ มีข้าวเป็นอาหาร หลัก โดยกินร่วมกับกับข้าว ที่ส่วนใหญ่ได้มาจากปลา มีเนื้อสัตว์อื่ ว์ อื่ นบ้าง การปรุง อาหารได้ปรากฏคำ ว่า ว่ “แกง” ในไตรภูมิพระร่วงที่เป็นที่มาของคำ ว่า ว่ ข้าวหม้อแกงหม้อ ผักที่กล่าวถึงในศิลาจารึก รึ คือ แฟง แตงและน้ำ เต้า ส่วนอาหารหวานก็ใช้วัต วั ถุดิบพื้น บ้าน เช่น ข้าวตอกและน้ำ ผึ้งส่วนหนึ่งนิยมกินผลไม้แทนอาหารหวาน สมัย มั อยุธ ยุ ยา สมัยนี้ถือว่าเป็นยุคทองของไทยได้มีการติดต่อกับชาวต่างประเทศมาก ขึ้นทั้งชาวตะวันตกและตะวันออกจากบันทึกเอกสารของชาวต่างประเทศ พบว่า คนไทยกินอาหารแบบเรีย รี บง่ายยังคงมีปลาเป็นหลัก มีต้ม แกงและคาดว่ามีการ ใช้น้ำ มันในการประกอบอาหารแต่เป็นน้ำ มันจากมะพร้าวและกะทิมากกว่าไขมัน หรือ รื น้ำ มันจากสัตว์มากขึ้น คนไทยสมัยนี้มีการถนอมอาหาร เช่นการนำ ไปตาก แห้งหรือ รื ทำ เป็นปลาเค็มมีอาหารประเภทเครื่อ รื่ งจิ้ม เช่นน้ำ พริก ริ กะปิ นิยมบริโริ ภค สัตว์น้ำ มากกว่าสัตว์บกโดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ไม่นิยมนำ มาฆ่าเพื่อใช้เป็นอาหาร ได้ มีการกล่าวถึงแกงปลาต่างๆ ที่ใช้เครื่อ รื่ งเทศ เช่น แกงที่ใส่หัวหอม กระเทียม สมุนไพรหวาน และเครื่อ รื่ งเทศแรงๆ ที่คาดว่านำ มาใช้ประกอบอาหารเพื่อดับ กลิ่นคาวของเนื้อปลาหลักฐานจากการบันทึกของบาทหลวงชาวต่างชาติที่แสดง ให้เห็นว่าอาหารของชาติ ต่าง ๆ เริ่ม ริ่ เข้ามามากขึ้นในสมเด็จพระนารายณ์ เช่น ญี่ปุ่น โปรตุเกส เหล้าองุ่นจากสเปนเปอร์เซีย และฝรั่งเศส สำ หรับอิทธิพลของ อาหารจีนนั้นคาดว่าเริ่ม ริ่ มีมากขึ้นในช่วงยุคกรุงศรีอ รี ยุธยาตอนปลายที่ไทยตัด สัมพันธ์กับชาติตะวันตก
สมัยธนบุรี จากหลักฐานที่ปรากฏในหนังสือแม่ครัวหัวป่าก์ ซึ่งเป็นตำ ราการทำ กับข้าวเล่มที่ 2 ของไทย ของท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงษ์ พบความต่อเนื่องของวัฒ วั นธรรมอาหาร ไทยจากกรุงสุโขทัยมาถึงสมัยอยุธย และสมัยกรุงธนบุรี และยังเชื่อว่า ว่ เส้นทางอาหารไทย คงจะเชื่อมจากกรุงธนบุรีไรีปยังสมัยรัตนโกสินทร์ โดยผ่านทางหน้าที่ราชการและสังคม เครือ รื ญาติ และอาหารไทยสมัยกรุงธนบุรีน่ รีน่ าจะคล้ายคลึงกับสมัยอยุธยา แต่ที่พิเศษเพิ่ม เติมคือมีอาหารประจำ ชาติจีน [แก้] สมัยรัตนโกสินทร์ การศึกษาความเป็นมาของอาหาร ไทยในยุครัตนโกสินทร์นี้ได้จำ แนกตามยุคสมัยที่ นักประวัติ วั ติ ศาสตร์ได้กำ หนดไว้ คือ ยุคที่ 1 ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 3 และยุคที่ 2 ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 จนถึง รัชกาลปัจจุบัน สมัยรัตนโกสินทร์ ยุคที่ 1 (พ.ศ. 2325 – พ.ศ. 2394) อาหารไทยในยุคนี้เป็นลักษณะเดียวกันกับสมัยธนบุรีแ รี ต่มีอาหารไทยเพิ่มขึ้นอีก 1 ประเภท คือ นอกจากมีอาหารคาวอาหารหวานแล้วยังมีอาหารว่า ว่ งเพิ่มขึ้น ในช่วงนี้ อาหารไทยได้รับอิทธิพลจากวัฒ วั นธรรมอาหารของประเทศจีนมากขึ้น และมีการปรับ เปลี่ยนเป็นอาหารไทย ในที่สุด จากจดหมายความทรงจำ ของกรมหลวงนริน ริ ทรเทวี ที่ กล่าวถึงเครื่อ รื่ งตั้งสำ รับคาวหวานของพระสงฆ์ ในงานสมโภชน์พระพุทธมณีรัตนมหา ปฏิมากร (พระแก้วมรกต) ได้แสดงให้เห็นว่า ว่ รายการอาหารนอกจากจะมีอาหารไทย เช่น ผัก น้ำ พริก ริ ปลาแห้ง หน่อไม้ผัด แล้วยังมีอาหารที่ปรุงด้วยเครื่อ รื่ งเทศแบบอิสลามและมี อาหารจีนโดยสังเกตจากการใช้หมูเป็นส่วนประกอบ เนื่องจากหมูเป็นอาหารที่คนไทยไม่ นิยม แต่คนจีนนิยม สมัยรัตนโกสินทร์ ยุคที่ 2 (พ.ศ. 2394 – ปัจ ปั จุบัน) ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างมาก และมีการตั้งโรง พิมพ์แห่งแรกในประเทศไทย ดังนั้น ตำ รับอาหารการกินของไทยเริ่ม ริ่ มีการบันทึกมากขึ้น โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 เช่นในบทพระราชนิพนธ์เรื่อ รื่ งไกลบ้าน จดหมายเหตุ เสด็จ ประพาสต้น เป็นต้น และยังมีบันทึกต่างๆ โดยผ่านการบอกเล่าสืบทอดทางเครือ รื ญาติ และบันทึกที่เป็นทางการอื่น ๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นลักษณะของอาหารไทย ที่มีความหลากหลายทั้งที่เป็น กับข้าวอาหารจานเดียว อาหารว่า ว่ ง อาหารหวาน และ อาหารนานาชาติ
ข้าวแช่อาหารโบราณประจำ ฤดูร้อนที่มีต้นกำ เนิดมาจากประเพณีสงกรานต์ ของชาวมอญในสมัยโบราณนิยมรับประทานข้าวแช่ในช่วงกลางเดือนมีนาคม จนถึงกลางเตือพฤษภาคมเพื่อช่วยคลายร้อนให้รู้สึกเย็นชื่นใจ ข้าวแช่มีหลาก หลายตำ รับทั้งตำ รับทั่วไปและตำ รับชาววัง วั หนึ่งในความเป็นมาของข้าวแช่ตำ รับ ชาววัง วัได้มีการกล่าวถึงเจ้าจอมมารดากลิ่นสตรีเ รี ชื้อสายมอญผู้ปฏิบัติราชการใน ราชสำ นักได้ถ่ายทอดความรู้การทำ ข้าวแช่ให้แก่ห้องเครื่อ รื่ งและประชาชนระหว่า ว่ ง ติดตามไปถวายราชการที่จังหวัด วั เพชรบุรี ทำ ให้เมนูข้าวแช่มีการแพร่หลาย เป็น เมนูที่ได้รับความนิยมในหน้าร้อนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ข้าวแช่มีองค์ประกอบหลัก คือ ข้าวหุงสุก น้ำ ลอยดอกไม้หอม และเครื่อ รื่ ง เคียง แต่ในสำ รับข้าวแช่แบบชาววัง วั จะมีผักแกะสลักจัดเสิร์ฟเคียงสำ รับมาเพื่อ ทานคู่กับข้าวแช่เพื่อเพิ่มรสและสัมผัสให้ครบถ้วนมากขึ้น โดยสำ รับข้วแช่แบบ ชาววัง วั จะเป็นหนึ่งในเนื้อหาของหลักสูตรประกาศนียบัตรวิช วิ าการครัวไทย ที่ โรงเรีย รี นสอนการประกอบอาหาร เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต โดยนักเรีย รี นจะได้ เรีย รี นรู้และปฏิบัติการทำ สำ รับข้วแช่ การหุงข้าว การเตรีย รี มน้ำ ลอยดอกไม้ พร้อมเทคนิคการทำ เครื่อ รื่ งเคียงต่างๆ รวมถึงการแกะสลักผักให้สวยงามและ เหมาะสมในการเสิร์ฟสำ รับข้าวแช่ ข้า ข้ วแช่
การปรุงน้ำ ข้า ข้ วแช่ 1.เทียนอบๆ หม้อดินปิดฝาสนิท 1 คืน แล้วใส่น้ำ ต้มสุกทิ้งไว้ใว้ ห้เย็น 2.ดอกกระดังงา 3-5 ดอก ลนเปลวเทียนอบ แล้วฉีกใส่ในหม้อน้ำ 3.ดอกมะลิ ดอกใกล้จะบาน ปลิดก้านออกล้างน้ำ ให้สะอาด ตอนค่ำ พอแย้มหยิบลงรอย ทีละดอกอย่าให้แน่นนัก ปิดฝาทิ้งไว้ รุ่งเช้าค่อยๆช้อนขึ้นมาจากน้ำ เบาๆ มือ กรองน้ำ ปิดฝาให้สนิท การหุงข้า ข้ ว ส่วนผสม ข้าวเจ้าเก่าเม็ดงาม 1 ถ้วย น้ำ ลอยดอกมะลิ 5 ถ้วย น้ำ มะนาว 1 ช้อนชา วิธีทำ ธี ทำ 1. ซาวข้าวให้สะอาดผึ่งจนเสด็จน้ำ 2. เทน้ำ ใส่หม้อ ใส่น้ำ มะนาว ตั้งไฟพอเดือด ใส่ข้าว รถไฟลง พอข้าวสุกเป็นตากบเทใส่ ตะแกรงยกตะแกรงวางบนปากชามอ่างใส่น้ำ เย็นจนท่วมข้าวนิดหน่อยปล่อยไว้จ ว้ นข้าว เย็น 3. ขัดข้าวโดยใช้มือสีข้าวไปมากับตะแกรงเบาๆมือระวัง วั อย่าให้แรงมากเม็ดข้าวจะหักขัด พ่อให้ข้าวหมดเมือกยกตะแกรงขึ้นเทน้ำ ทิ้งทำ เช่นนี้ 2-3 ครั้งจนข้าวหมดเมือกขึ้นเป็น เงาและเม็ดขาวใส 4. ปูผ้ ปู ผ้ าขาวบางในลังถึงที่เข้าลงบนผ้าผืนนึ่งในน้ำ เดือดประมาณ 10-15 นาทีพอข้าวไม่ เป็นไตสุกระอุดียกลงปล่อยไว้ใว้ ห้เย็น 5. ห่อด้วยผ้าขาวบาง วางบนน้ำ แข็งก้อนใหญ่หรือ รื เก็บในตู้เย็นช่องธรรมดา 6.เวลารับประทานตักข้าวใส่ถ้วยใส่น้ำ แช่ข้าวพอท่วมข้าวใส่น้ำ แข็งทุบรับประทานกับ เครื่อ รื่ งชนิดต่างๆ
ส่วนผสม กะปิอย่างดี 3 ช้อนโต๊ะ หัวหอม 5 หัว 1/3 ถ้วย กระชาย 5 ราก 1/3 ถ้วย ตะไคร้หั่นฝอย 2 ช้อนโต๊ะ ปลาย่างแกะใช้แต่เนื้อ 1/2 ถ้วย น้ำ ตาลปี๊บ 1/2 ถ้วย น้ำ ปลา 1 ช้อนชา กะทิ 1/2 ถ้วย ไข่เป็ด 1 ฟอง แป้งข้าวเจ้า 1/4 ถ้วย น้ำ ปูน ปู ใส 3-4 ถ้วย น้ำ มันสำ หรับทอด 3 ถ้วย วิธีทำ ธี ทำ 1. โขลกตะไคร้ กระชาย หัวหอม ให้ละเอียด ใส่กะปี เนื้อปลาโขลกต่อจนเข้าเป็น เนื้อเดียวกัน 2. ใส่กะทิลงในกระทะตั้งไฟให้เดือด ตักส่วนผสมข้อ 1 ลงผัด ใส่น้ำ ปลา น้ำ ตาล ผัดให้แห้ง ทิ้งไว้จ ว้ นเย็นปิ้นเป็นก้อนเล็ก ๆ 3. ต่อยไข่ใส่ชามแป้ง ใช้ไม้ตีไข่คนให้เข้ากัน ใสน้ำ ปูน ปู ใสเรื่อ รื่ ยๆ ลักษณะแป้งชั้นซุปปิด 4. ใส่น้ำ มันลงในกระทะตั้งไฟปานกลาง พอน้ำ มันร้อนนำ กะทิที่ปั้นลงชุบแป้ง แล้วทอดพอเหลืองตักขึ้นวางบนกระดาษชับน้ำ มัน ลูกกะปิ
ส่วนผสม พริก ริ หยวกเม็ดเล็กสั้น 10 เม็ด เนื้อหมูสับหรือ รื บด ¼ ถ้วย กุ้งสดสับหรือ รื บด ¼ ถ้วย รากผักชีหั่น ½ ถ้วย กระเทียม ½ ช้อนโต๊ะ พริก ริไทยป่น 1 ช้อนชา น้ำ ปลา 2 ช้อนโต๊ะ ไข่เป็ด 3 ฟอง วิธีทำ ธี ทำ 1. ล้างพริก ริ หยวก คว้า ว้ นไส้ออก เก็บขั้วพริก ริไว้ 2. โขลกรากผักชี กระเทียม พริก ริไทย ให้ละเอียด ผสมกับเนื้อหมู เนื้อกุ้ง เติมน้ำ ปลา ใช้ช้อนคนให้เข้ากันและเหนียว บรรจุลงในพริก ริ หยวก ปิดขั้วพริก ริ ที่เก็บ ไว้นำ ว้ นำไปนึ่งให้สุก 10 นาที ทิ้งไว้ใว้ ห้เย็น 3. ต่อยไข่ คนพอเข้ากัน โรยเป็นตาข่ายในกระทะแบน เมื่อเย็นแล้วนำ มาห่อพริก ริ ข้อ2 ให้สวยงาม หมายเหตุ ถ้าใช้หัวหอม เลือกหัวหอมโทนมีจุก ห้ามตัดจุกและปอกเปลือก เพราะจะทำ ให้แป้ง ไม่ติดกับตัวหัวหอม หัวหอมหรือพริกหยวกสอดไส้
ส่วนผสม ปลาช่อนแห้งขนากกลาง 1 ตัว น้ำ มัน 2 ช้อนโต๊ะ น้ำ ตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ หอมเจียว 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ธี ทำ 1. ล้างปลา ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ นั่นตามขวางบางๆ 2. เทน้ำ มันในกระทะเล็กน้อย ทั่วปลาจนกรอบ ใช้ไฟอ่อน เมื่อปลาก รอบตักขึ้น 3. ตักน้ำ ตาลใส่กระทะ ใส่น้ำ 2 ช้อนโต๊ะ พอน้ำ ตาลเดือดเริ่ม ริ่ เหนียวใส่ ปลาข้อ 2ผัดไปมาจนกระทั่งเข้ากันดี ตักใส่จาน โดยหอมเจียว ปลาช่อนผัด ผั หวาน
ส่วนผสม หัวผักกาดเค็มหั่นฝอย 1 ถ้วย น้ำ ตาลปิ๊บ 1/4 ถ้วย น้ำ 1/4 ถ้วย น้ำ มัน สำ หรับทอด 1 ช้อนชา วิธีทำ ธี ทำ 1. ล้างผัดกาดหถาย ๆ น้ำ จนคลายความเต็ม ผึ่งให้สะเด็ดน้ำ 2. ตักกระเทียมเจียวใส่กระทะ ใส่ผัดกาค ผัดจนผักกาคสุกดี ใส่น้ำ ตาล ใส่น้ำ ผัดไฟ อ่อนกลับไปมาจนกระทั่งแห้งและเหนียว ตักขึ้น ผัก ผั กาดผัด ผั หวาน
“มัสมั่น มั่ แกงแก้วตา หอมยี่หร่า รสร้อนแรง” บทขึ้นต้นของกาพย์เห่ชมเครื่อ รื่ ง คาวหวาน พระราชนิพนธ์ในล้นเกล้ารัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า นภาลัย คงเป็น ป็ เครื่อ รื่ งยืนยันได้ถึงความสำ คัญของแกงมัสมั่น มั่ ซึ่งเป็น ป็ เมนูอาหารที่ถือ ได้ว่า ว่ อยู่คู่กับวิถี วิถี ชีวิต วิ คนไทยมายาวนาน แกงมัสมั่น มั่ นั้น นั้ มีต้นตำ รับเดิมมาจากอินเดียเข้ามาอยู่ในทำ เนียบอาหารไทย ตั้ง ตั้ แต่รัชกาลที่ 2 ซึ่งเป็น ป็ เวลากว่า ว่ 230 ปีม ปี าแล้ว โดยตำ รับเดิมจะนิยมทำ ด้วยเนื้อ วัว ปัจ ปั จุบันจะใช้เนื้อสัตว์ช ว์ นิดใดก็ได้ตามใจชอบ นอกจากนี้ยังมีการค้นพบอีกว่า ว่ มัสมั่น มั่ มีจุดกำ เนิดในไทยตั้ง ตั้ แต่ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช นำ เข้ามาโดย แขกเจ้าเซนที่มาจากเปอร์เซีย (อิหร่าน) เป็น ป็ แกงที่นิยมรับประทานในหมู่ผู้ชื่นชอบ กลิ่นเครื่อ รื่ งเทศที่โดดเด่น บางแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับที่มาของเมนูระบุว่า ว่ ชาวไทย มุสลิมมักเรีย รี กแกงชนิดนี้ว่า ว่ ซาละหมั่น มั่ ขณะที่ต้นตำ รับของมุสลิมจะออกรสเค็มมัน แต่มัสมั่น มั่ ของไทยจะออกรสหวาน ถือได้ว่า ว่ เป็น ป็ สุดยอดอาหารไทยที่ได้รับการโหวต จากนักชิมทุกหนแห่งให้เป็น ป็ เมนูอาหารอร่อยที่สุดอันดับ 1 ของโลก มัสมั่น มั่ เป็น ป็ อาหารรสชาติเผ็ดร้อน หอมมัน หวาน อร่อยกลมกล่อมและเป็น ป็ อาหารที่หาทานได้ยากขึ้นทุกวัน เพราะแกงชนิดนี้ต้องใช้ความพิถีพิถัน ใส่ใจตั้ง ตั้ แต่ การเลือกวัตถุดิบที่ดีมาทำ เป็น ป็ พริก ริ แกง รวมถึงขั้น ขั้ ตอนการปรุงอีกด้วย ซึ่งอาจไม่ สอดคล้องกับสภาพสังคมในยุคปัจ ปั จุบันสักเท่าไหร่ หัวใจหลัก คือ เครื่อ รื่ งแกง ที่ สำ คัญกะทิต้องคั้น คั้ เอง ถ้าใช้กะทิสำ เร็จรูปจากกล่องจะไม่อร่อยเท่าที่ควร ตามด้วย มันฝรั่ง หรือ รื มันเทศก็ได้ หัวหอมใหญ่ ถั่ว ถั่ ลิสงคั่ว คั่ ลูกกระวาน ซึ่งมีสรรพคุณช่วย บำ รุงธาตุในร่างกาย ทำ ให้เจริญ ริ อาหาร ช่วยขับเสมหะ แก้อาการคลื่นไส้อาเจียนได้ และสารเพิ่มความหอมรสร้อนแรงคือ ยี่หร่าบดผง มัสมั่น มั่ ไก่
ส่วนผสมน้ำ พริกแกง พริก ริ แห้งแกะเม็ดคั่ว 20 กรัม เกลือป่น 10 กรัม หัวหอมเผาซอย 60 กรัม กระเทียมเผาซอย 60 กรัม รากผักชีคั่ว 20 กรัม ตะไคร้หันคั่ว 50 กรัม ข่าหันฝอยคั่ว 10 กรัม พริก ริไทยเม็ด 2 กรัม กะปิเผา 5 กรัม ลูกผักชีคั่ว 10 กรัม ลูกจันทร์คั่ว 1 กรัม กานพลูคั่ว 2 กรัม ดอกจันทร์คั่ว 2 กรัม ยี่หร่าคั่ว 3 กรัม เม็ดลูกกระวานคั่ว 2 กรัม อบเชยคั่วป่น 1 กรัม วิธีทำ ธี ทำเครื่องแกง โขลกเครื่อ รื่ งแกงให้ละเอียดรวมกันเป็นเนื้อเดียว
ส่วนผสม เนื้อไก่ส่วน่องสับครึ่ง รึ่ 2 น่อง กะทิ 5 ถ้วย มันฝรั่งต้มสุกผ่าลบมุม 2 หัว หัวหอมใหญ่ลูกเล็กจักครึ่ง รึ่ 2 หัว ถั่วลิสง 1/2 ถ้วย น้ำ ตาลปี๊บ 1 ถ้วย น้ำ มะขามเปียก 1/2 ถ้วย น้ำ มันสำ หรับทอด 1/4 ถ้วย ใบกระวาน 2 ใบ เม็ดลูกกระวานคั่ว 2 กรัม วิธีทำ ธี ทำ 1.คั่วเนื้อไก่กับหางกะทิพอนุ่มใส่ถั่วลิสงคั่วใช้ไฟอ่อนประมาณ 20 นาที 2.ผัดน้ำ แกงกับน้ำ มันให้หอมค่อยๆใส่หัวกะทิทีละน้อยผัดให้แตกมันจนหมดหัวกะทิ 3.ตักใส่หม้อที่เคี้ยวไก่คนให้เข้ากันเคี้ยวต่อใส่มันฝรั่งต้มใช้ไฟอ่อนประมาณ20นาที ใส่หัวหอมใหญ่พอเดือดปรุงด้วยน้ำ ปลาน้ำ ปลา น้ำ ตาลปี๊บ น้ำ มะขาม ชิมให้ได้ 3 รส หวานเปรี้ย รี้ วเค็มใส่ลูกกระวานคั่วและใบกระวานคั่วลอยหน้ายกลง
ข้า ข้ วบุหรี่ แรกเริ่ม ริ่ เดิมที เจ้าของสูตรข้าวบุหรี่ คือ แขกจากตะวันออกกลาง ชาว เปอร์เซีย ที่ได้เข้ามาทำ การค้าขายกับสยามประเทศเมื่อครั้งกรุงศรีอ รี ยุธยาเป็น ป็ ราชธานี เมื่อเข้ามาทำ การค้าขาย ก็ได้นำ สูตรข้าวบุหรีเ รี ข้ามาด้วย บริย ริ านี่ หรือ รื ข้าว บุหรี่ จึงเป็น ป็ อาหารของชนชาวอาหรับโดยแท้ และได้มีการพลิกแพลง ปรับปรุงสูตร ดั้ง ดั้ เดิมของข้าวบุหรี่ เมื่อครั้งถวายเป็น ป็ เครื่อ รื่ งต้นในสมัยพระพุทธเจ้าหลวง ล้นเกล้า รัชกาลที่ ๕ โดยมีอ้างอิงถึงผู้คิดค้นสูตรว่า ว่ เป็น ป็ ของเจ้าจอมในตระกูลบุนนาคใน หนังสือเจ้าจอมก๊กออ ข้าวบุหรี่ จึงเป็น ป็ ของเสวยในล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ที่ต้นเครื่อ รื่ งมักจะปรุงขึ้น ถวาย ขั้น ขั้ ตอนยุ่งยากและพิถีพิถันตั้ง ตั้ แต่การเลือกข้าว ซึ่งต้องเป็น ป็ ข้าวหอมมะลิเม็ด ยาวเท่านั้น นั้ ซึ่งลักษณะก็จะคล้ายกับข้าวบัสมาติของอินเดีย ในการหุงข้าว ก็จะหุง แบบวิธี วิธี ของแขก คือ มีเครื่อ รื่ งปรุงและเนื้ออยู่ในตัว มีการหมักเนื้อจนนุ่มด้วยสูตร พิเศษเฉพาะ เนื้อที่เลือกมาจะต้องแน่นและสด และการหุงแบบดั้ง ดั้ เดิมถึงจะได้รสชาติ ของข้าวบุหรี่อ รี่ ย่างแท้จริง ริ นั่น นั่ คือ การหุงด้วยเตาถ่านเท่านั้น นั้ ในการทานมักทานคู่ กับเครื่อ รื่ งเคียงคือ อาจาดซึ่งมีส่วนผสมเป็น ป็ แตงกวาดองกับน้ำ ส้ม น้ำ ตาล เกลืออีก เล็กน้อย โรยหน้าอาจาดด้วยขิงซอยบางๆ หอมแดง พริก ริ เหลือง ไว้ท ว้ านสำ หรับแก้ เลี่ยน นอกจากมีการนำ ข้าวบุหรี่ม รี่ าขึ้นโต๊ะเสวยแล้วนั้น นั้ ยังสันนิษฐานว่า ว่ เมนูชนิดนี้ก็ เป็น ป็ ที่นิยมมานานตั้ง ตั้ แต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งจะได้เห็นได้จากกาพย์ยานี ๑๑ ซึ่งเป็น ป็ บทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่ง ทรงกล่าวถึงข้าวบุหรี่ว่ รี่ า ว่ ทำ ยาก จำ เป็น ป็ ต้องรู้วิธี วิธีในการปรุงให้อร่อย ดังเช่น “ข้าวหุง ปรุงอย่างเทศ รสพิเศษใส่ลูกเอ็น ใครหุงปรุงไม่เป็น ป็ เช่นเชิงมิตรประดิษฐ์ทำ ”
ส่วนผสม ข้าวสารเก่า 1/2 กิโลกรัม ไก่ 1 ซีก น้ำ มันพืช 1 ถ้วย เต้าเจี้ยวขาว 1/4 ถ้วย ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนโต๊ะ ขิงอ่อนซอย 2 ช้อนโต๊ะ กระเทียม 2 ช้อนโต๊ะ เห็ดฟางฝ่า 2ซีก 1/2 ถ้วย มะเขือเทศสีดาผ่าสี่ 5 ผล ผงกะหรี่ 1 ช้อนโต๊ะ ใบกระวาน 2 ใบ อบเชย 1 ท่อน(1นิ้ว) อาจาด น้ำ ส้มสายชู 1/2 ถ้วย น้ำ ตาลทราย 1/4 ถ้วย เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ แตงกวาผ่าสี่หั่นตามขวาง 6 ผล หอมเล็กหั่นตามขวาง 5 หัว พริก ริ ขี้สีฟ้าหั่นตามขวาง 4 เม็ด ผักชีเด็ดใบ วิธีทำ ธี ทำ 1.ซาวข้าวให้ซาใส่กระชอนพักไว้ 2.ไก่แล่เอาแต่เนื้อหั่นชิ้นใหญ่พอคำส่วนกระดูกนำ ไปต้มซุปอย่าปิดฝา 3.โลขกกระเทียม เต้าเจี้ยว ขิงพอละเอียดแล้วผัดด้วยน้ำ มันให้หอมใส่ผง กะหรี่ใรี่ ส่ไก่ แล้วข้าวสารที่พักไว้ใส่เห็ดฟาง มะเขือเทศผัดให้เข้ากันตักพักไว้ 4.นำ น้ำ มันที่เหลือผสมกับน้ำ ซุปสำ หรับนึ่งข้าวโดยใช้ข้าว1ส่วน น้ำ ซุป1 1/4 -1 1/4ถ้วย ก่อนหนึ่งใส่ใบกระวานอบเชยลงไปด้วย
สมาชิกในกลุ่ม ลุ่ น.ส.จุฑามาศ โสภา เลขที่ 6 น.ส.ทิพนภา วงศ์บา เลขที่ 10 น.ส.ธมนวรรณ บริสุ ริ สุ ทธิ์ เลขที่ 12 น.ส.นารี เหลาโพธิ์ เลขที่ 16 น.ส.เปรมฤทัย ไหลหลั่ง เลขที่ 17 น.ส.พรพิมล ลีลาศ เลขที่ 19 น.ส.พิทยารัตน์ ศรีคุ รี คุ ณ เลขที่ 20 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7.