ภาษาเปน็ เครื่องมือทีม่ นษุ ย์ใช้ในการสื่อสารร่วมกัน เราใช้ภาษาในการแสดงความคิด
ความตอ้ งการ ถา่ ยทอดเรือ่ งราวตา่ ง ๆ ส่งถึงกันและกนั การที่มนษุ ยอ์ ย่รู วมกนั เปน็ สงั คมจึงจาเปน็
มากทีจ่ ะต้องมีภาษาในการสือ่ สารระหวา่ งกัน และผู้ที่ได้ศึกษาภาษาจึงถือเป็นผู้ทีไ่ ด้เรียนรใู้ นสิ่งทมี่ ี
คุณคา่ และประโยชน์อยา่ งยิง่
ในการศึกษาภาษาไมว่ ่าจะเปน็ ภาษาใดก็ตาม นักภาษาศาสตร์จะให้
ความสาคัญกบั การศึกษาเสียงพูดเป็นอันดับแรก เพราะจะสามารถนามา
อธิบายไดด้ ว้ ยหลักเกณฑท์ างวิทยาศาสตร์ทีเ่ ปน็ สากล ที่ไม่ว่าจะเป็นภาษา
อะไรกจ็ ะสามารถนามาพิจารณาและอธิบายใหร้ ้ลู กั ษณะการออกเสียงและ
ตาแหนง่ ที่เกิดเสียง ซึ่งจะทาให้เขา้ ระบบของภาษานั้น ๆ ไดด้ ียิ่งขึ้น ดังนนั้ ใน
การศึกษาเรือ่ งเสียงพูด สิ่งสาคญั ทีจ่ ะต้องรูป้ ระกอบดว้ ย อวัยวะส่วนใดที่ใช้
ในการออกเสียงแต่ละเสียง จะสามารถทาใหเ้ ขา้ ใจกระบวนการในการออก
เสียงแตล่ ะเสียงและจะช่วยใหเ้ ขา้ ใจและจาแนกเสียงในภาษาไดด้ ีขึน้
อวัยวะทีใ่ ชใ้ นการออกเสียงพดู มีอยดู่ ว้ ยกันหลายสว่ น แต่ละสว่ นสามารถทาใหเ้ กิดเสียงพดู
ทีแ่ ตกตา่ งกัน ในขณะเดียวกนั คนทีอ่ ยู่ในสงั คมที่ใชภ้ าษาเดียวกันก็สามารถออกเสียงที่แตกตา่ งกัน
ออกไปได้ ขึ้นอย่กู ับอวัยวะที่ใช้ในการออกเสียงของแต่ละบุลคล ดังน้ันการเรียนรู้หน้าที่และ
ลกั ษณะของอวยั วะน้นั ๆ จึงเป็นสิ่งสาคญั ทีจ่ ะส่งผล ส่งเสริมพฒั นาให้เราสามารถออกเสียงตา่ ง ๆ
ได้อยา่ งถกู ต้อง โดยอวัยวะเหล่านนั้ ประกอบด้วย ปาก และส่วนต่าง ๆ ที่อยู่ภายในปาก เช่น
ชอ่ งคอ กล่องเสียง เปน็ ตน้
เราสามารถแบ่งอวัยวะ ที่ใ ช้ใ นการ ออกเสียง ได้ 2ป ระ เภ ทใ หญ่ ๆ ตามลักษณะ
การเคลื่อนไหวไดด้ ังนี้
1. กรณ์ หรืออวัยวะสว่ นทีเ่ คลื่อนไหวเพือ่ กล่อมเกลาลมไปยงั ที่ตา่ ง ๆ ประกอบได้ดว้ ยอวยั วะที่
สาคญั คือ ลิน้ ซึง่ สามารถเคลือ่ นไหวได้มากทีส่ ดุ ริมฝีปากลา่ ง โคนลิ้น และเส้นเสียง หาก
สงั เกตจะพบว่าอวยั วะส่วนนี้ทัง้ หมดจะเปน็ อวยั วะสว่ นลา่ งที่เคลื่อนไหวได้
2. ฐาน หรืออวยั วะทีม่ ีตาแหนง่ เปน็ ฐานทีเ่ กิดเสียงตา่ ง ๆ เชน่ ริมฝีปากบน ฟันบน ปุ่มเหงือก
เพดานแขง็ เพดานอ่อน ลิ้นไก่ และผนังคอ หากสงั เกตจะพบว่าจะเปน็ อวัยวะที่อยู่ส่วนบน
และไมเ่ คลื่อนไหวเกือบท้งั หมด
อวยั วะในการออกเสียงมีลักษณะสาคญั และมีหนา้ ทีใ่ นการออกเสียงดังตอ่ ไปนี้
ริมฝีปาก (Lips) เป็นอวัยวะทีส่ ามารถเคลอ่ื นไหว สามารถบงั คับให้อยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ได้ เช่น
เหยียดออกหรือห่อกลมได้ เปน็ ต้น ซึ่งมีอิทธิพลตอ่ การออกเสียงทีแ่ ตกตา่ งกันออกไป
ฟัน (tooth) เป็นอวยั วะทีท่ าใหเ้ กิดเสียงหลายชนดิ เชน่ เมื่อฟันบนจรดริมฝีปากล่าง ลมทีผ่ ่านออกมา
ได้จะลอดผา่ นชอ่ งเล็ก ๆ ออกมาทาใหเ้ กิดเป็นเสยี งเสยี ดแทรกที่เกิดระหวา่ งริมฝีปากกับฟนั เป็นต้น
ปุ่มเหงือก (alveolus) เป็นอวัยวะสว่ นทนี่ นู ออกมาตรงบริเวณหลังฟันด้านบน ถ้าเอาลน้ิ แตะดจู ะร้สู กึ วา่ มีลักษณะ
เป็นคลืน่ จัดเป็นตาแหน่งหรือฐานสาคญั ในการออกเสียงพูด
เพดานแข็ง (palate) หรือ เพดานปาก คือ เพดานสว่ นทีโ่ ค้งเป็นกระดูกแข็ง เพดานแขง็ เป็นตาแหน่งสาคัญอีก
ตาแหน่งหนึ่งในการอธิบายทีเ่ กิดของเสียง
เพดานออ่ น (velum) คือ ส่วนของเพดานทีอ่ ยตู่ ่อจากเพดานแข็งเขา้ ไปขา้ งใน มีลกั ษณะเปน็ กระดกู อ่อนทีข่ ยับขึ้น
ลงไดเ้ ลก็ น้อย เวลาหายใจเพดานออ่ นและลิ้นไก่ ซึง่ อย่ปู ลายเพดานออ่ น จะลดระดับลงมาเปิดชอ่ งให้ลมไปทาง
จมูก ฉะนัน้ เวลาทีเ่ ราไมพ่ ดู เพดานอ่อนและลิน้ ไก่จะลดระดบั ลงมา เวลาพูดส่วนใหญเ่ พดานออ่ นและลิน้ ไกจ่ ะถกู
ยกขึ้นไปจดกบั ผนงั คอ ในเวลาออกเสียงนาสิกเทา่ น้ันทีเ่ พดานออ่ นจะลดระดับลงมาเพื่อใหล้ มออกไปทางจมูกได้
ลิน้ ไก่ (uvula) เป็นกอ้ นเนือ้ เล็กๆ อยู่ตอ่ ปลายเพดานออ่ นตรงกลางปาก ส่ันร่ัวได้
ช่องจมูก (nasal cavity) คือ โพรงในชอ่ งจมกู ซึ่งอยู่เหนือลิน้ ไก่ขึน้ ไปเป็นช่องทีล่ มซึง่ ผา่ นเสน้ เสียงขึ้นมาจะผ่าน
ออกไปทางจมกู ได้ เมื่อเวลาหายใจออกและเวลาออกเสียงนาสิก ในเวลาเปล่งเสียงอืน่ ๆ ลิน้ ไกจ่ ะถกู ยกขึน้ ไปปิด
ช่องจมกู เพือ่ ให้ลมออกทางช่องปาก
ลิ้น (tongue) เปน็ สว่ นที่เคลือ่ นไหวได้มากทีส่ ุดในการออกเสียงพดู สว่ นทีเ่ คลื่อนไหวของลิ้นแต่ละส่วนมีผลต่อ
การออกเสียงทีต่ ่างกนั ไป เราจึงแบง่ ลิน้ ออกเป็น 3 สว่ นตามหนา้ ทีใ่ นการออกเสียงคือ
ปลายลิน้ (tip of the tongue) คือ สว่ นปลายของลิน้ ซึง่ สามารถจะยกขึน้ ไปแตะอวัยวะส่วนต่างๆ ในปาก
ตอนบนไดโ้ ดยงา่ ย
ลิน้ สว่ นหนา้ (blade of the tongue) คือ ลิ้นสว่ นซึง่ ถา้ วางลิน้ ราบกับปากตามปกติจะอยู่ตรงข้ามกบั เพดานแขง็
ลิ้นสว่ นหลงั (back of the tongue) คือ ส่วนของลิ้นซึง่ ถ้าวางลิ้นราบกบั ปากตามปกติจะอยตู่ รงข้ามกบั เพดาน
อ่อน
เส้นเสยี ง (vocal cords) หรือสายเสยี ง เปน็ อวยั วะสาคญั ทที่ าใหเ้ กิดเสยี ง เสน้ เสยี งมีลกั ษณะทีป่ ระกอบด้วยเสน้ เอน็
และกลา้ มเนื้อเปน็ แผ่น 2 แผ่น เสน้ เสียงทง้ั สองจะวางขวางอยตู่ รงกลางกลอ่ งเสียงหรือที่เรียกว่าลกู กระเดือก เมือ่
ลมที่ถกู ขบั ออกมาจากปอดกระทบกับเส้นเสียงจะทาใหเ้ สน้ เสียงส้ันและเกิดเป็นเสียง
ฐานทเ่ี กิดของเสียงในภาษาไทย
ฐานทีเ่ กิดสียง คือ จุดที่ลมถกู กกั หรือกัน้ ไว้ก่อนที่จะปล่อยให้ลมน้ัน
ผา่ นออกไปทางชอ่ งปากหรือช่องจมูก และช่องว่างดังกล่าวก็เกิดจากการ
เคลือ่ นไหวของกรณ์หรืออวัยวะที่เคลื่อนไหวไดเ้ คลื่อนไปสัมพันธ์กับฐานหรือ
อวยั วะทีใ่ ช้ในการออกเสียงทีไ่ ม่เคลือ่ นที่ สามารถจาแนกประเภทของฐานที่
เกิดเสียงได้ดงั นี้
1. ฐานริมฝีปาก มีฐานคือ ริมฝีปากบน และกรณค์ ือ ริมฝีปากล่าง มีวิธีการออกเสียงโดยการใช้ริม
ฝีปากล่างขึน้ ไปแตะที่ริมฝีปากบน เกิดเปน็ เสียงพยญั ชนะในภาษาไทยที่ใชฐ้ านกรณ์นี้ ไดแ้ ก่ เสียง /ป/
/พ/ /บ/ และ /ม/
2. ฐานริมฝีปากกบั ฟนั มีฐานคือ ฟันบน และกรณค์ ือ ริมฝีปากลา่ ง มีวิธีการออกเสียงโดยการใช้ฟนั
บนไปแตะทีร่ ิมฝีปากลา่ ง เกิดเปน็ เสียงพยัญชนะในภาษาไทยที่ใชฐ้ านกรณน์ ี้ ได้แก่ เสียง /ฟ/
3. ฐานปุ่มเหงือก มีฐานคือ ปมุ่ เหงือก และกรณค์ ือ ปลายลิน้ มีวิธีการออกเสียงโดยการใชป้ ลายลิน้
ยกขึ้นไปแตะทีป่ ุม่ เหงือก เกิดเป็นเสียงพยญั ชนะในภาษาไทยที่ใชฐ้ านกรณ์นี้ ไดแ้ ก่ เสียง /ต/ /ท/ /ด/
/น/ /ล/ /ร/ และ /ส/
4. ฐานเพดานแข็ง มีฐานคือ เพดานแขง็ และกรณค์ ือ ลิ้นสว่ นหน้า มีวิธีการออกเสียงโดยการใช้ลิ้น
สว่ นหนา้ ยกขึน้ ไปแตะที่บรเิ วณเพดานแข็ง เกิดเป็นเสียงพยญั ชนะในภาษาไทยที่ใชฐ้ านกรณ์นี้ ไดแ้ ก่
เสียง /จ/ /ช/ และ /ย/
5. ฐานเพดานอ่อน มีฐานคือ เพดานอ่อน และกรณ์คือ ลิ้นส่วนหลงั มีวิธีการออกเสียงโดยการใชล้ ิ้น
สว่ นหลงั ยกขึน้ ไปแตะบรเิ วณเพดานอ่อน เกิดเป็นเสียงพยญั ชนะในภาษาไทยทีใ่ ช้ฐานกรณ์นี้ ไดแ้ ก่
เสียง /ก/ /ข/ และ /ง/
6. ฐานชอ่ งระหวา่ งเสน้ เสียง มีกรณค์ ือเส้นเสียงท้ังสองเสน้ สั้นหรือเคลือ่ นที่ทาใหเ้ กิดเสียง เกิดเปน็
เสียงพยญั ชนะในภาษาไทยทีใ่ ช้ฐานกรณน์ ี้ ได้แก่ เสียง /อ/ และ /ห/
เสียงต่าง ๆ ในภาไทยไม่ว่าจะเป็นเสียงพยัญชนะและเสียงสระ
บางเสียง นอกจากเราจะทราบฐานที่ใช้ในการออกเสียงแลว้ ในฐานะผูใ้ ชภ้ าษา
เพื่อการออกเสียงทีถ่ ูกตอ้ งเราจาเป็นอย่างยิง่ ทีจ่ ะตอ้ งทราบถึงลักษณะในการ
ออกเสียง และลกั ษณะการออกเสียงภาษาไทย มีลกั ษณะดงั ตอ่ ไปนี้
ลักษณะการออกเสียงภาษาไทย
ลกั ษณะการออกเสียง (manner of articulation) หรือความสัมพันธร์ ะหว่างอวัยวะในการ
ออกเสียงที่เคลื่อนไหวไดแ้ ละเคลื่อนไหวไมไ่ ด้
1. เสียงระเบิดหรือเสียงกกั คือ เสียงพยัญชนะที่เกิดจากการที่ลมเปลง่ ออกมาจากปอดผา่ นเส้นเสียงแลว้ ถูกกักอยู่ ณ
ที่ใดทีห่ นึ่งของปาก เมือ่ เปิดสว่ นที่กกั ไว้ลมจึงพุ่งออกมาอย่างแรง เช่น ปิดริมฝีปากทงั้ สอง หรือเอาลิ้นปิดป่มุ เหงือก
เสียงระเบิดแบ่งไดเ้ ป็น 2 แบบคือ
1.1 เสียงระเบิดแบบไม่มีกลุ่มลมตาม หมายถึงการทีล่ มจากปอดถกู กกั ในชอ่ งปากแล้วถกุ ปลอ่ ยออกมาอยา่ ง
แรง แตเ่ มื่อเอามืออังทีบ่ ริเวณริมฝีปากจะไม่รสู้ ึกว่ามีลมตามเสียงน้นั ออกมาหรือออกมาน้อยมาก เช่น เสียง ป /p/
หรือเสียง ก /k/ เปน็ ต้น
1.2 เสียงระเบิดแบบมีกลุม่ ลมตาม หมายถึงการที่ลมจากปอดถกู กกั ในช่องปากแล้วถกู ปล่อยออกมาพร้อม
กับกลุ่มลมกลุม่ หนึง่ สามารถรับรู้ไดด้ ้วยการเอามือองั บริเวณริมฝีปาก เช่น เสียง พ ผ /ph/ หรือเสียง ฉ ช /ch/
2. เสียงนาสิก คือ เสียงพยัญชนะซึง่ เกิดจากลมที่ออกจากปอดผา่ นเสน้ เสียงออกมาแลว้ ถกู กักอยู่ ณ ที่ใดทีห่ นึง่ แลว้
จึงปล่อยลมใหอ้ อกมาทางช่องจมกู เช่นเสียง ม /m/ หรือเสียง น /n/ เปน็ ต้น
3. เสียงข้างลิ้น คือ เสียงพยญั ชนะทีเ่ กิดจากลมออกจากปากทางด้านข้างของลิ้น เมือ่ ลมผา่ นเสน้ เสียงออกมาถึงช่อง
ปาก ลิน้ กดเพดานตรงแนวชอ่ งกลางของลิ้นปลอ่ ยลมให้ออกทางด้านข้าง เช่น เสียง ล /l/ เป็นตน้
4. เสยี งรวั ลน้ิ คือ เสยี งพยัญชนะซึ่งถูกลมไปกระทบอวยั วะอนื่ หลาย ๆ คร้งั จนเกิดอาการรวั เช่น ปลายลน้ิ กระทบปมุ่
เหงือกหลายครั้งจนทาให้เกิดเสียง ร /r/ เป็นตน้
5. เสยี งเสยี ดแทรก คือ เสยี งพยัญชนะทีเ่ มือ่ เวลาออกเสยี งลมจะออกมาอย่างไมส่ ะดวก ต้องผา่ นชอ่ งแคบในปากจน
เกิดเสียงดงั ซู่ซา่ เช่น ริมฝีปากหรือฟันที่อยู่ใกลก้ ันมาก หรือลิ้นทอี่ ยใู่ กลอ้ วัยวะในปากมากเชน่ เสียง ฟ ฝ /f/ เสียง ซ
ส ศ ษ /s/ เป็นต้น
6. เสียงกึง่ เสียดแทรก คือ เสียงพยญั ชนะที่ออกประสมกันระหวา่ งเสียงกักและเสียงเสียดแทรก โดยออกเสียงครั้ง
แรกจะหยุดลมไว้ที่ตาแหน่งของฐานกรณ์ก่อนแลว้ จึงปล่อยลมออกมาแบบเสียงเสียดแทรก
7. เสียงกึง่ สระ คือ เสียงพยญั ชนะที่เวลาออกเสียงจะทาอาการทุกอยา่ งเหมือนสระอี และสระอู แตป่ ลอ่ ยลมออกมา
ทางชอ่ งปาก กล่าวคือ เมื่อออกเสียงสระอี ให้ยกลิน้ ใกล้เพดานแข็ง แลว้ ปล่อยลมเลือ่ นปากลงมาจะได้เสียง ย /j/
และเมื่อออกเสียงสระอู ใหย้ กลิ้นส่วนหลงั ยกขึ้นใกล้เพดานอ่อนแตป่ ลอ่ ยลมออกทางชอ่ งปากดว้ ยริมฝีปากหอ่ กลม
จะได้เสียง ว /w/
จะเห็นไดว้ า่ ในการทีจ่ ะออกเสียงแตล่ ะเสียงน้ันให้ถูกต้อง ในฐานะผู้ใช้ภาษาจะต้อง
คานึงถึงการใชฐ้ านกรณใ์ ดและเปน็ อวยั วะส่วนใดในการดัดแปลงกระแสลมในช่องปาก แล้ว
ลกั ษณะในการออกเสียง เป็นเสียงชนิดใด จึงจะถือว่าเสียงที่เปล่งออกมาน้ันถูกต้องจะต้อง
เปน็ ไปตามเงือ่ นไขดงั กลา่ ว ตัวอยา่ งเช่น หากต้องการออกเสียง /ด/ ให้ถูกต้อง จะต้องใช้ฐาน
กรณ์ คือปมุ่ เหงือกและปลายลิน้ แลว้ ตอ้ งออกเสียงแบบเสียงระเบิด เปน็ ตน้