" ภูมิปัญญาท้องถิ่น อำ เภอวังน้อย " จัดทำ โดย 1.นาย นิติศาสตร์ จูงตระกูลรัตน์ ม.6/15 เลขที่ 2 2.นายอัครพัชร์ บุณยานันต์ ม.6/15 เลขที่ 8 3.นายอาทิตย์ นาโควงค์ ม.6/15 เลขที่ 14 4.นายมงคลชาย วิวัฒนทีปะ ม.6/15 เลขที่ 20 5.นายรณพีร์ บุญสุยา ม.6/15 เลขที่ 23 6.นายสราวุธ จันโสดา ม.6/15 เลขที่ 30 โโคครรงงงงาานน โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย
AMPHOE WANG NOI ประวัติอำ เภอวังน้อย แต่เดิมอำ เภอวังน้อยเดิมเป็นส่วนหนึ่งของอำ เภอบางปะอิน อำ เภอ อุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และอำ เภอหนองแค จังหวัดสระบุรี ทางราชการได้แบ่งพื้นที่การปกครองแยกพื้นที่ตำ บลบ้านสร้าง ตำ บล บ่อตา โล่ บางส่วนของตำ บลเชียงรากน้อย บางส่วนของตำ บลลานเท ของอำ เภอพระราชวัง บางส่วนของตำ บลหนองน้ำ ส้ม ของอำ เภออุไทย ใหญ่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และตำ บลหนองแขม ของอำ เภอ หนองแค จังหวัดสระบุรี มาตั้งเป็น อำ เภออุไทยน้อย นำ มาจัดตั้งเป็น ตำ บลใหม่รวมท้องที่ทั้งหมด 10 ตำ บล คือ ตำ บลบ่อตา โล่ ตำ บลลำ ไทร ตำ บลลำ ตา เสา ตำ บลพะยอม ตำ บลวังน้อย ตำ บลหันตะเภา ตำ บลชะ แมบ ตำ บลวังกุลา ตำ บลสนับทึบ และตำ บลข้าวงาม ตามประกาศ กระทรวงมหาดไทยลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2450 โดยมีผลบังคับ ตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกัน Fun fact * อำ เภอวังน้อยแต่เดิมชื่ออำ เภออุทัยน้อย มีนายอำ เภอคนแรกคือ หลวงอุทัยบำ รุงรัฐ ต้นตระกูล บุณ ยานันต์ ซึ่งเป็นสกุลหนึ่งที่ได้รับพระราชทานโดยตรงจากรัชกาลที่ 6 และในกลุ่มของเราก็มีคนที่ใช้นามสกุลบุณ ยานันท์คือ อัครพันร์ บุณยานันท์ อำเภอ วังน้อย
ข้าวเกรียบปากหม้อ เรียกโดยย่อว่า ปากหม้อ บ้างเรียก ข้าวเกรียบ น้ำ จิ้ม เป็นอาหารไทยชนิดหนึ่ง ทำ จากแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน และแป้งเท้า ยายม่อม ห่อด้วยไส้ชนิดต่าง ๆ เช่น ไส้หมู ไส้หวาน หรือไส้ไก่ ก่อนคลุก กับกระเทียมเจียว แล้วราดด้วยน้ำ จิ้มหรือกะทิ รับประทานเคียงกับผัก กาดหอม ผักชี และพริกขี้หนูสด AMPHOE WANG NOI ข้าวเกรียบปากหม้อ อำเภอ วังน้อย ความเป็นมา ข้าวเกรียบปากหม้อญวน หรือภาษา เวียดนามเรียกว่า “บั๋นก๋วน”มีต้น กำ เนิดมาจากประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นอาหารว่างของชาวเวียดนาม และเป็นอีกหนึ่งเมนูที่นิยมทานกันมากในประเทศไทย เหตุที่เป็นที่นิยม ในหมู่คนไทยเพรา ะมีตัวแป้งที่คล้ายข้าวเกรียบปากหม้อของประเทศ แต่ต่างกันที่ตัวไส้และน้ำ จิ้ม ต่อมาจึงมีการปรับเปลี่ยนเรื่อยๆ ให้ ถูกปากคนไทยตามยุคสมัย แต่ยังคงใช้วัตถุดิบที่คงรสชาติของ เวียดนามไว้ เช่น หมูยอ ที่มีต้นกำ เนิดมาจากเวียดนามและยังเป็นที่ นิยมของคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย
AMPHOE WANG NOI ลักษณะของขนมทองม้วน ทองม้วนเป็นขนมไทยชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นแผ่นแล้วนำ ม้วนกลมเป็น แท่งกลม สัมผัสตอนกินกรอบ โดยมีส่วนผสมหลักคือแป้ง อเนกประสงค์ หลายๆคนนิยมใช้แป้งสาลีอเนกประสงค์ ยูเอฟเอ็ม ตรา ว่าว หรือแป้งว่าว มะพร้าว น้ำ ตาล ไข่ไก่ น้ำ มันพืชและงานำ มา เทราดลง ในพิมพ์วงกลมแล้วละเลงให้เป็นแผ่นบาง ผิงไฟให้สุกแล้วม้วนเป็นแท่ง หลอด หลังจากผิงไฟแล้วสีขนมจะออกสีน้ำ ตาลเหลืองคล้ายทอง จึงถูก เรียกว่า “ขนมทองม้วน”คนไทยมักให้ทองม้วนเป็นของขวัญเนื่องจาก ชื่อสื่อถึงการมั่งมี การเคียงคู่กัน เหมือนขนมที่ถูกคีบหรือประกบกันไว้ อำเภอ วังน้อย ความเป็นมา ทองม้วนเป็นขนมโบราณจากสมัยกรุงศรีอยุธยาช่วงของ “ท้าวทองกีบ ม้า ” (ชื่อในประวัติศาสตร์ชื่อว่า มารี กีมาร์ ท้าวทองกีบม้า เป็นคริสตัง เชื้อสายโปรตุเกส เบงกอลและญี่ปุ่น)ในรัชสมัยของสมเด็จพระ นารายณ์มหาราชไม่ได้เป็นของไทยแท้ตั้งแต่แรกเริ่มท้าวทองกีบม้า ได้ ประดิษฐ์ขนมไทยที่ได้รับอิทธิพลจากอาหารโปรตุเกสหลายอย่าง เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทองทองพลุ ทองโปร่ง ขนมผิงสังขยา สัม ปันนี และทองม้วนก็เป็นหนึ่งในนั้น ผู้ที่ทำ งานกับท้าวทองกีบม้า ได้นำ วิชาความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น
วุ้นกะทิเป็นขนมหวานสามารถปรับเปลี่ยนรสชาติให้แตกต่างกันได้ หลายรส นอกจากจะมีรสชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างหลากหลายแล้วยังเป็นการ เพิ่มความสวยงามของสีสันและกลิ่นอีกด้วย โดยวุ้นกะทิเป็นขนมไทย โบราณที่ได้รับอิทธิพลมาจากขนมโปรตุเกสโดยมาจาก ท้าวทองกีบม้า หัวหน้าห้องเครื่องต้นในสมัยอยุธยาซึ่งเป็นคนเชื้อชาติญี่ปุ่น-โปรตุเกส AMPHOE WANG NOI ขนมวุ้นกะทิ อำเภอ วังน้อย
Amphoe wang noi ตลาดวังน้อยเมืองใหม่ ตลาดวังน้อยเมืองใหม่เป็นตลาดที่อยู่ในเขตเทศบาลเมืองใหม่วังน้อย โดยก่อตั้งในปี พ.ศ. 2517 โดยเป็นการพัฒนาตลาดใหม่เพื่อรองรับ การเจริญเติบโตของเมืองใหม่วังน้อย ซึ่งได้ก่อสร้างตลาดโดยเน้นที่ การจัดสร้างสถานที่ตลาดที่สะดวกสะบายและสอดคล้องกับการใช้ชีวิต ของชุมชนในบริเวณ จึงทำ ให้ตลาดวังน้อยเมืองใหม่เป็นแหล่งการค้า สำ คัญในเขตเทศบาลเมืองใหม่วังน้อย มีบทบาทในการส่งเสริม เศรษฐกิจในท้องถิ่น และสร้างโอกาสให้แก่ชาวบ้านในการค้าขายการ เจริญเติบโตขอพื้นที่นี้ อำ เภอ วังน้อย
ตลาดสี่ขวาพัฒนาก่อตั้งในปี พ.ศ. 2516 โดยเป็นแหล่งซื้อขายสินค้า และบริการสำ หรับชุมชนในบริเวณใกล้เคียง ตลาดสี่ขวาพัฒนา ได้รับ ความสนใจและการสนับสนุนจากท้องถิ่นและองค์กรที่เกี่ยวข้อง ทำ ให้มี การพัฒนาต่อเนื่องชุมชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ร่วมมือเพื่อสร้าง ความเจริญก้าวหน้าของตลาดและเป็นศูนย์กลางสินค้าและบริการทั้ง ในระดับท้องถิ่นและบริเวณใกล้เคียง มีการค้าปลีกและค้าส่งครอบคลุม ลากหลายประเภท AMPHOE WANG NOI ตลาดสี่ขวาพัฒนา อำเภอ วังน้อย
AMPHOE WANG NOI พุทธอุทยาน หลวงปู่ทวด พุทธอุทยาน หลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 200 ไร่และได้สร้าง รูปเหมือนสมเด็จหลวงพ่อทวด เหยียบน้ำ ทะเลจืด ขนาดหน้าตักกว้าง 24 เมตร ความสูงรวมฐาน 51 เมตร สร้างจากปูนหุ้มสัมฤทธิ์ เคลือบสี ทองทังองค์นับได้เป็นรูปเหมือนพระสงฆ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดย ในประวัติศาสตร์หลวงพ่อทวดได้เคยเดินทางมาพำ นักที่กรุงศรีอยุธยา หลายปี อำเภอ วังน้อย
มีการจัดตั้งเป็นวัดเนื่องมาจาก โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จะ ย้ายมาตั้งอยู่หลังตลาดอำ เภอวังน้อย เมื่อคณะพวกทหารช่างมา เคลีย์ และปรับปรุงพื้นที่ ได้มีความเห็นพ้องกันว่า เมื่อจะเป็นโรงเรียนนาย ร้อยพระจุลจอมเกล้าแล้ว น่าจะมีวัดอยู่ในบริเวณโรงเรียน เพื่อเป็นที่ บำ เพ็ญบุญกุศล สำ หรับคณะนายทหารและข้าราชการของโรงเรียน โดยคุณเสวก และหม่อมหลวงหญิงทินกร ท่านทั้งสองมีความยินดีอุทิศ ที่ดินซึ่งมีประมาณ ๑๕ ไร่เศษ ให้เป็นสถานที่ตั้งวัด คณะนายทหารและ ประชาชนก็พากันสร้างเป็นสำ นักสงฆ์ขึ้นก่อน เรียกว่า “สำ นักสงฆ์วัด ตาลเดี่ยว”เรียกชื่อตามที่มีต้นตาลต้นเดียวขึ้นอยู่ ณ ที่นั้น และต้นตาล เดียวจึงกลายเป็นสัญญลักษณ์คู่กับวัดมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งต้นตาล เดียวนี้มีอายุนับสองร้อยกว่าปี AMPHOE WANG NOI วัดสันติธรรมาราม (วัดตาลเดี่ยว) อำเภอ วังน้อย
โครงงาน เรื่อง ภูมิปัญญาท้องถิ่น อำเภอวังน้อย เสนอ คุณครูน้ำทิพย์ มหานิยม จัดทำโดย 1.นาย นิติศาสตร์จูงตระกูลรัตน์ ม.6/15 เลขที่ 2 2.นาย อัครพัชร์ บุณยานันต์ ม.6/15 เลขที่ 8 3.นาย อาทิตย์ นาโควงค์ ม.6/15 เลขที่14 4.นาย มงคลชาย วิวัฒนทีปะ ม.6/15 เลขที่ 20 5.นาย รณพีร์ บุญสุยา ม.6/15 เลขที่ 23 6.นาย สราวุธ จันโสดา ม.6/15 เลขที่ 30 โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ส30233 หน้าที่พลเมือง 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธย
ง สารบัญ เรื่อง หน้า กิตติกรรมประกาศ ก บทคัดย่อ ข คำนำ ค สารบัญ ง บทที่ 1 บทนำ 1 1.1 ที่มาและความสำคัญ 1.2 วัตถุประสงค์ของการดำเนินโครงงาน 1.3 ขอบเขตการดำเนินโครงงาน 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2 2.1 ข้อมูลทั่วไปของอำเภอวังน้อย 2.2 ความหมายและความสำคัญของภูมิปัญญา 2.3 ภูมิปัญญาท้องถิ่นขนมทองม้วน 2.4 ภูมิปัญญาท้องถิ่นขนมวุ้นกะทิ 2.5 ภูมิปัญญาท้องถิ่นข้าวเกรียบปากหม้อ 2.6 การอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน 7 3.1 ขั้นตอนการดำเนินงาน 3.2 อุปกรณ์ บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน 8 4.1 ผลการทำ infographic ภูมิปัญญาไทยท้องถิ่น
บทที่ 5 ผลสรุปและข้อเสนอแนะ 9 5.1 สรุปผลการศึกษา 5.2 ปัญหาและอุปสรรค 5.3 ข้อเสนอแนะและแนวทางในการพัฒนา บรรณานุกรม จ ภาคผนวก ฉ
ก คำนำ รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อประกอบการเรียนวิชา ส30233 หน้าที่พลเมือง 3 โดยมีจุดประสงค์เพื่อ อนุรักษ์สืบสาน และเผยแพร่ ภูมิปัญญาท้องถิ่นอำเภอวังน้อยโดยได้จัดทำเป็นลักษณะของโครงงาน ทั้งนี้ทาง คณะผู้จัดทำหวังว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนหน้าที่พลเมือง 3 และประชาชนทั่วไป ในการเป็น แนวทางการศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นอำเภอวังน้อยโดยได้แยกออกมาในปี พ.ศ. 2450
ข กิตติกรรมประกาศ โครงงานภูมิปัญญาท้องถิ่นนี้ที่นักเรียนได้ทำการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ได้รับการสนับสนุน ให้คำปรึกษา โดยเฉพาะคุณครูน้ำทิพย์มหานิยม ครูผู้สอนวิชาหน้าที่พลเมือง และนาย อิสสระ บุณยานันต์ ผู้ปกครองนาย อัครพัชร์ บุณยานันต์ที่ได้ช่วยให้การรับส่งคณะผู้จัดทำไปยังสถานที่ค้นคว้าได้ยังปลอดภัย จนโครงงานนี้สำเร็จ เสร็จสิ้นสมบูรณ์ คณะผู้จัดทำโครงงานขอขอบคุณท่านมา ณ โอกาสนี้ คณะผู้จัดทำ 1 กรกฎาคม 2566
ค บทคัดย่อ โครงงานนี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นของอำเภอวังน้อยเพื่อการอนุรักษ์สืบสาน ภูมิ ปัญญาท้องถิ่น โดยคณะผู้จัดทำได้ทำการออกสำรวจด้วยตนเองที่อำเภอวังน้อยเป็นเวลา 1 วันและได้เก็บ ตัวอย่างภูมิปัญญาท้องถิ่นมาทั้งหมด 3 อย่าง ได้แก่ ขนมทองม้วน ขนมวุ้นกะทิข้าวเกรียบปากหม้อ โดยได้ ทราบว่าขนมไทยส่วนใหญ่นั้นมิเพียงแต่ที่ไม่ได้เป็นขนมไทยมาตั้งแต่แรก แต่มีเท้าทองกีบม้าซึ่งเป็นชาวโปรตุกี สมาประดิษฐ์ขนมไทยโดยมีต้นแบบมาจากอาหารโปรตุเกส และได้ศึกษาถึงประวัติของอำเภอวังน้อย และได้ ทราบอีกว่าโดยแต่เดิมอำเภอวังน้อยนั้น แต่เดิมเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอบางปะอิน อำเภออุทัย จังหวัด พระนครศรีอยุธยา และอำเภอหนองแค ในจังหวัดสระบุรี โดยได้แยกออกมาในปี พ.ศ. 2450 มีชื่อเดิมคือ อำเภออุทัยน้อย ซึ่งแต่เดิมอำเภอวังน้อยเป็นเขตเกษตรกรรมมีการเพาะปลูกข้าวและสวนผลไม้
1 บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญ โครงงานนี้จัดทำขึ้นเพื่ออนุรักษ์ สืบสาน และเผยแพร่ ภูมิปัญญาท้องถิ่นอำเภอวังน้อยโดยได้ จัดทำเป็นลักษณะของโครงงาน มิให้ภูมิปัญญานี้ได้จางหายไปตามกาลเวลา ให้ภูมิปัญญานี้สืบต่อไปยัง รุ่นลูกรุ่นหลาน ให้เป็นเครื่องมือสร้างอาชีพต่อไป วัตถุประสงค์ของการดำเนินโครงงาน เพื่อศึกษา อนุรักษ์และเผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่นอำเภอวังน้อย ขอบเขตการศึกษา ภายในอำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยเฉพาะที่ 1) ตลาดสี่ขวาพัฒนา 2) พิพิธภัณฑ์พุทธ หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด 3) ตลาดวังน้อยเมืองใหม่ 4) วัดสันติธรรมาราม (วัดตาลเดี่ยว) ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ได้เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นอำเภอวังน้อย และได้ร่วมเผยแพร่ภูมิ ปัญญาท้องถิ่นอำเภอวังน้อย
2 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลทั่วไปอำเภอวังน้อย ประวัติศาสตร์ แต่เดิมอำเภอวังน้อยเดิมเป็นส่วนหนึ่งของอำเภอบางปะอิน อำเภออุทัย จังหวัด พระนครศรีอยุธยา และอำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี ทางราชการได้แบ่งพื้นที่การปกครอง แยกพื้นที่ตำบลบ้านสร้าง ตำบลบ่อตาโล่ บางส่วนของตำบลเชียงรากน้อย บางส่วนของตำบล ลานเท ของอำเภอพระราชวัง บางส่วนของตำบลหนองน้ำส้ม ของอำเภออุไทยใหญ่ จังหวัด พระนครศรีอยุธยา และตำบลหนองแขม ของอำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี มาตั้งเป็น อำเภออุไทยน้อย นำมาจัดตั้งเป็นตำบลใหม่รวมท้องที่ทั้งหมด 10 ตำบล คือ ตำบลบ่อตาโล่ ตำบลลำไทร ตำบลลำตาเสา ตำบลพะยอม ตำบลวังน้อย ตำบลหันตะเภา ตำบลชะแมบ ตำบลวังกุลา ตำบลสนับทึบ และตำบลข้าวงาม ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2450 โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกัน อำเภอวังน้อยแต่เดิมชื่ออำเภออุทัยน้อย มีนายอำเภอคนแรกคือ หลวงอุทัยบำรุงรัฐ ต้น ตระกูล บุณยานันต์ ซึ่งเป็นสกุลหนึ่งที่ได้รับพระราชทานโดยตรงจากรัชกาลที่ 6 ที่ตั้ง อำเภอวังน้อยตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการ ปกครองข้างเคียงดังนี้ - ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอบางปะอินและอำเภออุทัย - ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอหนองแค (จังหวัดสระบุรี) - ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอหนองเสือและอำเภอคลองหลวง (จังหวัดปทุมธานี) - ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอบางปะอิน เศรษฐกิจ อำเภอวังน้อยแต่เดิมเป็นเขตเกษตรกรรมมีการเพาะปลูกข้าวและสวนผลไม้ ปัจจุบัน กลายเป็นเขตอุตสาหกรรม มีนิคมอุตสาหกรรมวังน้อยแฟคตอรีแลนด์ จึงกลายเป็นแหล่งของ ผู้ขายแรงงานย้ายมาอยู่เป็นจำนวนมาก
3 ความหมายและความสำคัญของภูมิปัญญา เป็นภูมิปัญญาซึ่งแสดงถึงวัฒนธรรมการกินของคนในอำเภอวังน้อยโดยทั้ง 3 ภูมิปัญญาที่ได้เก็บ ตัวอย่างมาล้วนเป็นขนมทั้งสิ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าลักษณะการกินขนมของผู้คนในอำเภอวังน้อยนั้นมี ลักษณะเป็นอย่างไร และมีการนำมาต่อยอดมาเป็นสินค้าท้องถิ่นที่ค้าขายสร้างอาชีพให้แก่ชาวบ้านใน อำเภอวังน้อยได้อย่างไร ภูมิปัญญาท้องถิ่นขนมทองม้วน ทองม้วนเป็นขนมไทยชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นแผ่นแล้วนำม้วนกลมเป็นแท่งกลม สัมผัสตอนกิน กรอบ โดยมีส่วนผสมหลักคือแป้งอเนกประสงค์ หลายๆคนนิยมใช้แป้งสาลีอเนกประสงค์ ยูเอฟเอ็ม ตราว่าว หรือแป้งว่าว มะพร้าว น้ำตาล ไข่ไก่ น้ำมันพืชและงา นำมาเทราดลงในพิมพ์วงกลม แล้ว ละเลงให้เป็นแผ่นบาง ผิงไฟให้สุกแล้วม้วนเป็นแท่งหลอด หลังจากผิงไฟแล้วสีขนมจะออกสีน้ำตาล เหลืองคล้ายทอง จึงถูกเรียกว่า “ขนมทองม้วน” คนไทยมักให้ทองม้วนเป็นของขวัญเนื่องจากชื่อสื่อ ถึงการมั่งมี การเคียงคู่กัน เหมือนขนมที่ถูกคีบหรือประกบกันไว้ ความเป็นมา ทองม้วนเป็นขนมโบราณจากสมัยกรุงศรีอยุธยาช่วงของ “ท้าวทองกีบม้า” (ชื่อในประวัติศาสตร์ ชื่อว่า มารี กีมาร์ ท้าวทองกีบม้าเป็นคริสตังเชื้อสายโปรตุเกส เบงกอล และญี่ปุ่น) ในรัชสมัยของ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ไม่ได้เป็นของไทยแท้ตั้งแต่แรกเริ่ม ท้าวทองกีบม้าได้ประดิษฐ์ขนมไทย ที่ได้รับอิทธิพลจากอาหารโปรตุเกสหลายอย่าง เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ทองพลุ ทอง โปร่ง ขนมผิง สังขยา สัมปันนี และทองม้วนก็เป็นหนึ่งในนั้น ผู้ที่ทำงานกับท้าวทองกีบม้าได้นำวิชา ความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น ประเภทและการเก็บรักษา สำหรับขนมทองม้วน ในปัจจุบันที่ผู้เขียนพบเจอจะมี 2 แบบใหญ่ ๆ คือ ทองม้วนกรอบและ ทองม้วนสด หากพิจารณาถึงสูตรของทั้ง 2 แบบแล้ว บางร้านที่ทำขายจะใช้สูตรแป้งตัวเดียวกัน แต่ เพิ่มส่วนของมะพร้าวอ่อนลงไปในทองม้วนสด แต่บางร้านก็แยกจากกันโดยสิ้นเชิง แต่อย่างไรก็ดี แป้ง ข้าวสาลีอเนกประสงค์ (แป้งว่าว) ยังคงเป็นแป้งที่ใช้ในการทำทองม้วนทั้ง 2 แบบ ลักษณะที่ดีของ ทองม้วนกรอบ คือ กรอบเบา แต่กัดมาไม่ร่วงกราว มีความหอมของกะทิและงา ส่วนทองม้วนสดต้อง
4 เหนียวนุ่ม ไม่แข็งกระด้าง มะพร้าวต้องอ่อนไม่แข็งเหมือนหนังหมู มีความหอมกะทิ ซึ่งหาร้านที่ทำ อร่อยยากพอควร สำหรับการเก็บบรรจุขนมทองม้วนกรอบนั้น หลังจากทิ้งให้คลายความร้อนหลังม้วนแล้วให้รีบ เก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิด แนะนำให้วางสารกันความชื้นลงที่บรรจุภัณฑ์ด้วยเพื่อยืดอายุการเก็บของขนม ส่วนทองม้วนสดแนะนำให้รับประทานวันต่อวันจะเป็นการดีที่สุด เพราะไม่สามารถเก็บได้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นขนมวุ้นกะทิ วุ้นกะทิ เป็นขนมหวานสามารถปรับเปลี่ยนรสชาติให้แตกต่างกันได้หลายรส นอกจากจะมี รสชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างหลากหลายแล้วยังเป็นการเพิ่มความสวยงามของสีสันและกลิ่นอีกด้วย โดย วุ้นกะทิ เป็นขนมไทยโบราณที่ได้รับอิทธิพลมาจากขนมโปรตุเกส โดยมาจาก ท้าวทอง กีบม้า หัวหน้าห้องเครื่องต้นในสมัยอยุธยา ที่เป็นคนเชื้อชาติญี่ปุ่น-โปรตุเกส ส่วนผสม ส่วนผสมสำคัญของวุ้นกะทิ ส่วนผสมวุ้นกะทิ 1.กะทิ 2-3 ถ้วย 2.น้ำตาลทราย ½ ถ้วย 3.ผงวุ้น 1 ½ ช้อนโต๊ะ 4.เกลือป่น ขั้นตอนการทำวุ้นกะทิ 1.นำกะทิและผงวุ้นใส่หม้อ คนจนผงวุ้นกระจายทั่ว ไม่จับตัวเป็นก้อน พักทิ้งไว้สักครู่ 2.นำกะทิกับผงวุ้นขึ้นตั้งไฟกลาง คนส่วนผสมเรื่อยๆ จนผงวุ้นละลาย ใส่น้ำตาลทรายตามลงไป คนจน น้ำตาลทรายละลายอีกเช่นกัน
5 3.คนส่วนผสมให้เข้ากัน รอจนน้ำวุ้นกะทิเดือดอีกครั้ง แต่ไม่ต้องเดือดจนกะทิแตกมัน ปิดไฟ ยกลงจาก เตา 4.นำพิมพ์วุ้นใบเตยออกมาจากตู้เย็น เทน้ำวุ้นกะทิลงในพิมพ์ส่วนที่เหลือทับวุ้นใบเตยจนเต็ม 5.นำวุ้นกะทิไปแช่ในตู้เย็นอีกครั้งให้วุ้นกะทิเซตตัว เป็นอันเสร็จ ตัดแบ่งเป็นชิ้นหรือนำออกจากพิมพ์ ใส่จานพร้อมเสิร์ฟ ภูมิปัญญาท้องถิ่นข้าวเกรียบปากหม้อ ข้าวเกรียบปากหม้อ เรียกโดยย่อว่า ปากหม้อ บ้างเรียก ข้าวเกรียบน้ำจิ้ม เป็นอาหารไทยชนิด หนึ่ง ทำจากแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน และแป้งเท้ายายม่อม ห่อด้วยไส้ชนิดต่าง ๆ เช่น ไส้หมู ไส้หวาน หรือ ไส้ไก่ ก่อนคลุกกับกระเทียมเจียว แล้วราดด้วยน้ำจิ้มหรือกะทิ รับประทานเคียงกับผักกาดหอม ผักชี และพริกขี้หนูสด ความเป็นมา ข้าวเกรียบปากหม้อญวน หรือภาษาเวียดนามเรียกว่า “บั๋นก๋วน” (Bánh cuốn) มีต้นกำเนิดมา จากประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นอาหารว่างของชาวเวียดนามและเป็นอีกหนึ่งเมนูที่นิยมทานกันมากใน ประเทศไทย เหตุที่เป็นที่นิยมในหมู่คนไทยเพราะมีตัวแป้งที่คล้ายข้าวเกรียบปากหม้อของประเทศ แต่ ต่างกันที่ตัวไส้และน้ำจิ้ม ต่อมาจึงมีการปรับเปลี่ยนเรื่อยๆ ให้ถูกปากคนไทยตามยุคสมัย แต่ยังคงใช้ วัตถุดิบที่คงรสชาติของเวียดนามไว้ เช่น หมูยอ ที่มีต้นกำเนิดมาจากเวียดนาม และยังเป็นที่นิยมของ คนไทยมาทุกยุคทุกสมัย ส่วนผสม ส่วนผสมของแป้งขนมปากหม้อ 1.แป้งมัน 1 ถ้วย (จะใช้ถ้วยตวงของขนมก็ได้ หรือจะใช้ในครัวเราก็ได้น่ะค่ะ) 2.แป้งท้าวยายม่อม 1 ถ้วย
6 3.แป้งข้าวจ้าว 1 ถ้วย 4.เกลือ 1 ช้อนชา 5.น้ำเปล่า 5 ถ้วย วิธีผสมแป้ง 1.ใส่แป้งทั้งสามอย่างลงในหม้อที่ใช้และใส่เกลือลงไปด้วย แล้วคนให้แป้งเข้ากัน 2.ใส่น้ำลงไป คนให้แป้งไม่จับตัวเป็นก้อน 3.ได้แป้งสำหรับขนมปากหม้อแล้วเราก็มา เตรียมส่วนผสมและวิธีทำไส้ของปากหม้อต่อเลย ค่ะ ส่วนผสมไส้ขนมปากหม้อ 1.เนื้อหมูบด 1 กิโลกรัม 2.พริกไทยเม็ด 3 ช้อนโต๊ะ (โขลกละเอียด) 3.ต้นหอม 1 กิโลกรัม 4.เกลือ 1-2 ช้อนโต๊ะ 5.ซีอิ้วขาว 1 ช้อนโต๊ะ 6.ผงปรุงรส วิธีและขั้นตอนในการผัดไส้ขนมปากหม้อ 1.ล้างต้นหอมให้สะอาด แล้วหั่นหรือซอยบางๆ เทคนิคการหั่นหอมถ้าจำนวนเยอะๆใช้ฟางมัด แล้วใช้มีดที่คมๆซอยจะได้หอมที่บางและก็รวดเร็วค่ะ 2.นำต้นหอมที่ซอยแล้วไปต้ม แล้วนำมาผึ่งให้ต้นหอมแห้งและสะเด็ดน้ำ อันนี้เป็นเทคนิคนะ คะเพราะเวลานำไปผัดจะได้ไม่ต้องใช้เวลานาน ตอนที่ไปเรียนสูตรนั้น เพื่อนบอกว่าผู้เขียนขี้ เกียจเลยต้มหอมให้สุกแล้วไปผัด ถ้าใครไม่อยากต้ม ก็ให้ผึ่งต้นหอมใส่ถาดเพื่อให้ต้นหอมแห้ง เวลาไปผัดจะไม่มีน้ำเพราะไส้ของปากหม้อต้องแห้งๆค่ะ
7 3.ตั้งกะทะใช้ไฟปานกลาง คั่วหมูให้สุกถ้าหมูติดกะทะ ก็ให้ใส่น้ำมันพืชประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ เพื่อไม่ให้ติดกะทะก็ได้ค่ะ ใส่พริกไทยป่น,เกลือ,ซีอิ้วขาว,ผงปรุงรส ผัดให้เข้ากัน แล้วใส่ ต้นหอมที่แห้งแล้วลงไปผัดให้เข้ากันกับเนื้อหมู ถ้าต้นหอมที่ต้มแล้วก็คนพอให้เข้ากัน แต่ถ้า เป็นต้นหอมสด ก็ผัดให้ต้นหอมสุกค่ะ 4.ตักเอาเนื้อหมูและต้นหอม ส่วนน้ำที่ออกมาจากน้ำของผักและเครื่องปรุงไม่ต้องเอาค่ะ เอา แบบไส้แห้งๆ ชิมดูให้กลมกล่อมหอมพริกไทยไม่ต้องปรุงเค็มนะคะ เดี๋ยวไม่อร่อย การอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น ส่งต่อความรู้ให้คนรุ่นต่อไปเพื่อให้ภูมิปัญญายังคงอยู่ โดยการทำสื่อประกอบการเรียนการสอน และเผยแพร่สู่สาธารณะ ให้นักเรียน หรือคุณครูหรือประชาชนทั่วไป บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน ขั้นตอนการดำเนินงาน 1.รวบรวมสมาชิกกลุ่ม 2.กำหนดอำเภอที่จะไป 3.ศึกษาข้อมูลของอำเภอที่จะไปศึกษา (อำเภอวังน้อย) 4.ประชุมวางแผนการดำเนินงาน โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ไปสำรวจในสถานที่จริง และส่วนที่ ไม่ได้ไปสำรวจ โดยส่วนที่ไม่ได้ไปสำรวจจะทำงานในส่วนของการทำรายงาน infographic และตัดต่อ คลิปวิดิโอ 5.กำหนดวันที่ต้องการจะไปสำรวจ 6.ให้ส่วนที่จะไปสำรวจไปทำการสำรวจ 7.ให้ส่วนที่ไปสำรวจส่งข้อมูลให้ส่วนที่ไม่ไปสำรวจเพื่อทำรายงาน infographic และวีดิโอ 8.ส่วนที่ไม่ได้ไปสำรวจค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม
8 9.เมื่อส่วนที่ไม่ได้ไปสำรวจทำงานเสร็จแล้วให้เริ่มทำการเผยแพร่ อุปกรณ์ 1.โทรศัพท์มือถือ 2.คอมพิวเตอร์ 3.กล้องถ่ายวีดิโอ บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน ได้การจัดทำ infographic ได้แบบออกเป็น 2 อย่าง คือ วีดิโอ และบอร์ดนำเสนอ 1.แบบวีดิโอ ได้มีการนำฟุตเทจจากการถ่ายทำระหว่างทำการค้นคว้าออกสำรวจมาจัดทำเป็นวีดิโอความยาวไม่เกิน 10 นาที 2.แบบบอร์ดนำเสนอ ได้มีการนำข้อมูลที่ได้มาจากการค้นคว้านอกจากจะจัดทำเป็นรายงานแล้ว ยังมีมาจัดในรูปแบบของ บอร์ดนำเสนออีกด้วย
9 บทที่ 5 ผลสรุปและข้อเสนอแนะ สรุปผลการศึกษา อำเภอวังน้อยมีภูมิปัญญาในการทำขนมที่สานต่อมาตั้งแต่สมัยอยุธยาโดยมีต้นสายมาจากเท้า ทองกีบม้าซึ่งเป็นชาวโปรตุเกสที่ได้เข้ามาในสมัยอยุธยา โดยแต่เดิมอำเภอวังน้อยนั้นเดิมเป็นส่วนหนึ่ง ของอำเภอบางปะอิน อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และอำเภอหนองแค ในจังหวัดสระบุรี โดยได้แยกออกมาในปี พ.ศ. 2450 มีชื่อเดิมคือ อำเภออุทัยน้อย ซึ่งแต่เดิมอำเภอวังน้อยเป็นเขต เกษตรกรรมมีการเพาะปลูกข้าวและสวนผลไม้ ปัญหาและอุปสรรค สภาพอากาศที่ร้อนค่อนข้างมากทำให้สมาชิกที่เกือบจะเป็นลม และปัญหาสมาชิกทุกคนมีเวลา ว่างไม่ตรงกันทำให้หาเวลาที่จะไปทำการสำรวจค่อนข้างยากทำให้ตัวงานดำเนินไปอย่างล่าช้า ข้อเสนอแนะและแนวทางในการพัฒนา ควรเพิ่มการเตรียมพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจ และการวางแผนที่ยืดหยุ่น มากกว่านี้
จ บรรณานุกรม Wikipedia. 2566. อำเภอวังน้อย. [ออนไลน์]. .เข้าถึงได้จาก https://shorturl.asia/SGuCX (2 กรกฎาคม 2566). UFM. ม.ป.ป. แป้งสาลีกับการทำขนมทองม้วน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https://shorturl.asia/SGuCX (2 กรกฎาคม 2566). Patternpack. 2564. วุ้นกะทิ เมนูขนมชาววังความอร่อยไม่เคยเปลี่ยน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https://patternpack.org/?p=304 (2 กรกฎาคม 2566). Makesend. 2565. #พะโล้รีวิว วุ้นกะทิ เค้กวุ้นดอกไม้ ขนมไทยโบราณที่ไม่โบราณจาก Mellow Jello. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https://www.makesend.asia/paloureview-mellow-jello-coconut-milkjelly/ (2 กรกฎาคม 2566). Maethuan. 2565. ปากหม้อญวน ที่มา พร้อม วิธีทำ. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก https://shorturl.asia/zldL1 (2 กรกฎาคม 2566).
ฉ ภาคผนวก รูปภาพการลงพื้นที่สำรวจ 1. 2. 3.
4. 5. 6.