คนเข้าเมอื งท่ัวไปหรอื คนพลดั ถ่นิ ?: การตอ่ รองนยิ าม
ตัวตนของไทยพลดั ถ่นิ ในสังคมไทย1
Generic Immigrant or Diaspora?: Negotiation on
Self-defining of Thai Diaspora in Thai Society
มนต์ชยั ผอ่ งศิร2ิ / มณีมัย ทองอยู่3
Monchai Phongsiri / Maniemai Thongyou
บทคัดย่อ
การปักปันเขตแดนระหว่างอาณานิคมอังกฤษในพม่า (British-Burma)
กับราชอาณาจักรสยามในปี พ.ศ. 2411 ท�ำให้คนไทยกว่า 40,000 คน ที่อาศัย
อยู่ในดินแดนมะริด ทวาย ตะนาวศรี ได้กลายเป็นประชากรของรัฐ-ชาติพม่าแทนท่ี
จะเป็นของไทย แต่คนไทยกลุ่มนถ้ี ือว่าตนอยู่ในแผ่นดนิ เดมิ ของไทยและถือตนเป็น
ไทย ตอ่ มาในชว่ งพทุ ธทศวรรษท่ี 2520 รฐั บาลทหารพมา่ เขา้ มาคกุ คามและควบคมุ
หมบู่ า้ นคนไทยในพมา่ ท�ำใหป้ ระมาณ 3 ใน 4 ของคนไทยกลมุ่ นอี้ พยพเขา้ มาอาศยั
ในฝั่งไทย พวกเขาจึงตกอยู่ในภาวะเป็น “ไทยพลัดถิ่นในสังคมไทย” เน่ืองจาก
ไม่ได้รับสิทธิการเป็นพลเมืองไทย “คนพลัดถ่ิน” เป็นตัวแบบของการถกเถียงถึง
กลุ่มคนท่ีมีความลื่นไหล หลากหลาย และข้ามพรมแดน รวมถึง “ไทยพลัดถ่ิน”
1 บทความน้ีเป็นส่วนหน่ึงของดุษฎีนิพนธ์ สาขาสังคมวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น เรื่อง “ยุทธศาสตร์การด�ำรงชีพของไทยพลัดถ่ินคืนถ่ินในสังคมไทย”
ได้รับทุนสนับสนุนจาก ศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สังคมลุ่มนำ้� โขง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ และ
ทุนการศึกษาระดับปริญญาโท ปริญญาเอก คลัสเตอร์สหสาขาบูรณาการ โครงการมหาวิทยาลัยวิจัย
แห่งชาติ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น
2 นักวิจัยศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สังคมลุ่มน้�ำโขง และนักศึกษาปริญญาเอก สาขาสังคมวิทยา
คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น
3 ผู้อ�ำนวยการศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สังคมลุ่มน้�ำโขง และอาจารย์ประจ�ำสาขาวิชาสังคมวิทยาและ
มานุษยวทิ ยา คณะมนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น
วารสารสังคมลุม่ นํา้ โขง : ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สงิ หาคม 2556 หน้า 1-24
Journal of Mekong Societies : Vol.9 No.2 May-August 2013, pp. 1-24
2 Journal of Mekong Societies
ก็เป็นตัวแบบของการถกเถียงว่าพวกเขาเป็นเพียง “คนเข้าเมืองทั่วไป” หรือเป็น
“คนพลัดถ่ิน” และเป็นที่น่าสนใจว่าไทยพลัดถ่ินในสังคมไทยได้ใช้ประโยชน์จาก
ข้อถกเถยี งนีใ้ นการตอ่ รองนยิ ามตวั ตนของพวกเขาต่อรัฐไทยอย่างไร
ค�ำสำ� คัญ: ไทยพลัดถ่นิ คืนถน่ิ การนยิ ามตัวตน ความเป็นไทย
Abstract
As a result of the 1868 demarcation of the border between British Burma and the
Kingdom of Siam, more than 40,000 Thai people living in the territories of Tavoy, Mergui,
and Tenasserim are considered citizens of what is now Myanmar instead of Thailand.
But these people regard themselves as Thai citizens living in what was originally Thai
territory. Since the 1980s, about three-fourths of this group of Thai people have moved
over the border into Thailand. Their status has become that of the “Thai diaspora in Thai
society” because they have not been granted Thai citizenship. “Diasporas” are debated
prototypes in flux, diverse, and transnational groups of people. The “Thai diaspora in Thai
society” also is a debated prototype on the issues of whether it is composed of generic
immigrants or members of a diaspora and how its members have taken advantage of
this argument in negotiating with the Thai state.
Keywords: returning Thai diaspora, self-defining, Thainess
บทน�ำ
ในทศวรรษที่ 1970 นักวิชาการท่ีสนใจศึกษาเกีย่ วกบั เรอื่ งกล่มุ ชาติพันธ์ุ
(ethnicity) และการย้ายถิ่น (immigration) ได้ให้ความสนใจเร่ือง “คนพลัดถ่ิน”
นอ้ ยมาก จะปรากฏค�ำวา่ Diaspora เปน็ ค�ำสำ� คญั ในดษุ ฎนี พิ นธเ์ พยี งปลี ะหนง่ึ หรอื
สองครงั้ เทา่ นน้ั จากนนั้ กม็ เี พมิ่ ขนึ้ 13 เทา่ ในทศวรรษที่ 1980 และมกี ารใชค้ ำ� สำ� คญั
นเ้ี กือบ 130 ครัง้ ในปี 2001 (Brubaker, 2005: 1) แนวคิดคนพลัดถนิ่ ไดก้ ลายมา
เปน็ แนวคดิ สำ� คญั ในการศกึ ษาของนกั วจิ ยั และผกู้ ำ� หนดนโยบายในชว่ งสองทศวรรษ
ท่ีผ่านมาน้ีเอง โดยส่วนใหญ่มุ่งศึกษาผลกระทบของคนพลัดถิ่นที่มีต่อเง่ือนไข
ปที ี่ 9 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2556
คนเข้าเมอื งทัว่ ไปหรอื คนพลัดถ่ิน?:
การต่อรองนิยามตัวตนของไทยพลัดถ่นิ ในสังคมไทย 3
ทางเศรษฐกจิ -สงั คม และการเมอื งทง้ั ในประเทศทอ่ี าศยั (hostlands) และในมาตภุ มู ิ
(homelands) โดยมองพฤตกิ รรมของคนพลดั ถิน่ แบง่ ออกเปน็ 2 ขว้ั คือ ดกี บั ไมด่ ี
ผู้สนับสนุนความขัดแย้งกับความสงบ ผู้ท�ำลายกับผู้สร้างความสงบ (Baser &
Swain, 2009: 45) การศึกษาคนพลัดถิ่นในแวดวงวิชาการเติบโตอย่างรวดเร็ว
จนพฒั นาเป็น “คนพลัดถนิ่ ศกึ ษา” (diaspora studies) (Hu-Dehart, 2005: 429)
แต่การศึกษาวิจัยเก่ียวกับไทยพลัดถิ่นในสังคมไทยยังมีน้อยมาก จากการค้นคว้า
ในฐานข้อมูลงานวิจัยและวทิ ยานิพนธใ์ นมหาวิทยาลยั ไทย พบวา่ มีการศกึ ษาเกย่ี วกับ
ไทยพลัดถิ่นในระดับดุษฎีนิพนธเ์ พยี งเรอื่ งเดยี วเท่าน้ัน โดยวิเคราะหป์ รากฏการณ์
ไทยพลดั ถ่ินในสังคมไทยดว้ ยมุมมองทางรฐั ศาสตร์ (Senakham, 2007)
ด้วยการศึกษาที่มีค่อนข้างจ�ำกดั จึงท�ำให้เกิดปญั หาการก�ำหนดนโยบาย
ให้สอดคล้องกับปรากฏการณ์คนไทยพลัดถ่ินในสังคมไทยที่เป็นจริง ท�ำให้กลไก
ท่ีเกี่ยวข้องของรัฐไทยปฏิบัติต่อไทยพลัดถ่ินแบบเป็น “คนอ่ืน” กล่าวคือ รัฐไทย
ด�ำเนนิ การกับไทยพลัดถิ่นในฐานะ “บุคคลซ่ึงไม่มสี ญั ชาติไทย” โดยให้คำ� นยิ ามวา่
เป็น “คนต่างด้าวซ่ึงเป็นชนกลุ่มน้อยท่ีได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักร
เป็นกรณีพิเศษ” โดยจัด “ไทยพลัดถ่ิน” เป็นชนกลุ่มน้อยประเภทหน่ึงในจ�ำนวน
ชนกลมุ่ นอ้ ยทอ่ี าศยั อยใู่ นประเทศไทยทงั้ หมด 18 กลมุ่ ซง่ึ ในเอกสารของทางราชการ
เรยี กวา่ “กลุ่มผูพ้ ลัดถิน่ สัญชาตพิ มา่ เชอื้ สายไทย” (FACE Foundation, 2008: 14)
จากประเดน็ ปญั หาดงั ทก่ี ลา่ วมาจงึ เกดิ คำ� ถามวา่ ไทยพลดั ถน่ิ ในสงั คมไทยเปน็ เพยี ง
“คนเข้าเมอื งทวั่ ไป” หรือเป็น “คนพลัดถิน่ ” และที่ส�ำคญั ยง่ิ กวา่ นน้ั คอื ไทยพลัดถิน่
ในสังคมไทยไดใ้ ชป้ ระโยชนจ์ ากข้อถกเถยี งน้ีอย่างไร การจะวเิ คราะหป์ รากฏการณ์น้ี
เราจ�ำเป็นต้องย้อนกลับไปท�ำความเข้าใจไทยพลัดถ่ินในมิติทางประวัติศาสตร์
ทบทวนแนวคิดคนพลัดถิ่น (diaspora) ในกระบวนทศั นแ์ บบคลาสสกิ และสมยั ใหม่
และมมุ มองทางสงั คมวทิ ยาแบบมานษุ ยวธิ ี (ethnomethodology) จะทำ� ใหเ้ ราเขา้ ใจ
ปรากฏการณไ์ ทยพลัดถ่ินในสังคมไทยมากขนึ้
การมสี ถานะเปน็ “ไทยพลดั ถนิ่ ในสงั คมไทย” ท�ำใหม้ ขี อ้ จำ� กดั ในการเขา้ ถงึ
ทรัพยากรและกิจกรรมที่จ�ำเป็นต่อการด�ำรงชีพ เช่น ไม่สามารถเป็นเจ้าของบ้าน
ท่ดี นิ มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ เปน็ ต้น ไม่สามารถเดนิ ทางข้ามจังหวดั ได้ ท�ำให้เดก็ ๆ
ปีท่ี 9 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม-สงิ หาคม 2556
4 Journal of Mekong Societies
ไม่สามารถเดินทางไปศึกษาต่อในระดับสูง หรือเดินทางไปประกอบอาชีพในแหล่ง
จ้างงานนอกจังหวัด การไม่มีบัตรประชาชนท�ำให้ไทยพลัดถิ่นไม่ได้รับการจ้างงาน
ตามกฎหมาย ต้องเป็นแรงงานนอกระบบท่ีได้รับค่าจ้างต่�ำ และบ่อยคร้ังก็ถูกโกง
คา่ จา้ ง นอกจากนี้ พวกเขายงั ไมม่ สี ทิ ธิทางการเมืองทุกระดับ ไทยพลดั ถ่นิ จงึ ตอ้ ง
สร้างยุทธศาสตร์การด�ำรงชีพเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดได้ในสังคมไทย และพยายาม
อยา่ งย่ิงในการหาหนทางให้คนในสงั คมไดย้ ินเสยี งของพวกเขา
ความสำ� คัญเชิงนโยบายในการศึกษาไทยพลดั ถนิ่ ในสงั คมไทย ถึงแม้จะมี
จ�ำนวนประชากรไม่มากนัก แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนไร้รัฐ-ไร้สัญชาติ
ในประเทศไทย การปฏิบัติต่อไทยพลัดถ่ินในสังคมไทยท่ีผ่านมา รัฐไทยยังไม่มี
นโยบายท่ชี ัดเจนต่อเร่ืองน้ี ถงึ แมว้ ่าพระราชบญั ญัติสญั ชาติ (ฉบับท่ี 5) พ.ศ. 2555
จะประกาศใชแ้ ลว้ กต็ าม กลมุ่ ไทยพลดั ถน่ิ ไดม้ สี ว่ นรว่ มในการเรยี กรอ้ งขอคนื สญั ชาติ
ไทยให้พวกเขา โดยนิยาม “ไทยพลัดถ่ิน” แยกออกจากกลุ่มคนต่างด้าวและ
ชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในประเทศ แต่กฎกระทรวงท่ีเก่ียวข้องซ่ึงประกาศ
ตามมาภายหลัง กลับเป็นอุปสรรคส�ำคัญที่ท�ำให้ปัญหาของพวกเขายังไม่ได้รับ
การแก้ไข อาจจะเป็นเพราะการศึกษาเกี่ยวกับไทยพลัดถิ่นในสังคมไทย
ยังมีค่อนข้างจ�ำกัด จึงขาดการมองในมิติอ่ืนๆ ท่ีหลากหลายไปกว่ามุมมองเดิมๆ
ทีใ่ ชก้ ันอยู่ เช่น ด้านความม่ันคง ปญั หาขอ้ กฎหมายทางปกครอง เป็นต้น
บทความนจ้ี งึ มงุ่ นำ� เสนอ “การตอบสนอง” (response) (รวมถงึ การเรยี กรอ้ ง
ตอบโต้ ต่อรอง ฯลฯ) ซง่ึ เป็นยุทธศาสตร์การดำ� รงชีพอย่างหนึ่งและปฏบิ ตั ิการของ
ไทยพลดั ถนิ่ ในสงั คมไทย ทไ่ี ดร้ บั ผลกระทบจากการด�ำเนนิ นโยบายของรฐั ทผี่ า่ นมา
พวกเขามกี ระบวนการนยิ ามตนเองอยา่ งไรตอ่ ขอ้ ถกเถยี งวา่ เปน็ “ผอู้ พยพเขา้ เมอื ง”
หรอื “คนพลดั ถิ่น” และผลลพั ธข์ องการน�ำข้อถกเถียงไปใชป้ ระโยชน์ในการต่อรอง
กับรฐั ไทยเปน็ อยา่ งไร
ผู้เขียนได้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการศึกษาเฉพาะกรณี
(case study approach) ทใี่ หค้ วามสำ� คญั กบั สง่ิ ทถ่ี กู ศกึ ษา (case) ทมี่ ลี กั ษณะเฉพาะ
เจาะจง (Podhisita, 2007: 162-163) ในกรณีไทยพลัดถิ่นซ่ึงเป็นกลุ่มคนที่อยู่ใน
บรบิ ทของความเปราะบาง มียุทธศาสตร์การด�ำรงชีพท่หี ลากหลายและซับซ้อน
ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2556
คนเข้าเมืองท่วั ไปหรอื คนพลัดถนิ่ ?:
การตอ่ รองนิยามตัวตนของไทยพลดั ถิ่นในสังคมไทย 5
ไทยพลดั ถิน่ คอื ใคร?
ในการพัฒนาประเทศจ�ำเป็นต้องอาศัยทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยส�ำคัญ
ดว้ ยเหตนุ จี้ งึ มี “คนเขา้ เมอื ง” (immigrant) จ�ำนวนมากหลง่ั ไหลเขา้ มาสตู่ ลาดแรงงาน
ในภาคส่วนต่างๆ การเข้ามาถึงคร้ังแรกของคนเข้าเมืองเหล่าน้ีต้องเผชิญกับ
การกดี กนั ทางธรรมชาตทิ จ่ี ะเขา้ ไปมสี ว่ นรว่ มทงั้ ดา้ นสงั คม เศรษฐกจิ และการเมอื ง
ดังน้ัน อัตลักษณ์ชาติพันธุ์ (ethnic identity) จึงกลายเป็นสิ่งท่ีโดดเด่นท่ามกลาง
กระบวนการผสมผสานทางวัฒนธรรม (acculturation) ท่ีเกิดข้ึนเม่ือคนเข้าเมือง
มาถึงสังคมใหม่ (Phinney et al, 2001: 494-495)
พระราชบญั ญตั คิ นเขา้ เมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 4 ไดน้ ิยามคนเข้าเมอื ง
หมายความว่า “คนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักร” เป็นค�ำนิยามกว้างๆ ที่ใช้
อธบิ ายคณุ ลกั ษณะของ “คนเขา้ เมอื งทวั่ ไป” โดยเหมารวมเอา “บคุ คลทไี่ มม่ สี ญั ชาติ
ไทย” ทง้ั หมดทเ่ี ขา้ มาอาศยั อยใู่ นประเทศไทยไมว่ า่ จะดว้ ยเหตผุ ลใดกต็ าม ซงึ่ กอ่ ให้
เกดิ ปญั หาตอ่ ความรสู้ กึ ของกลมุ่ คนทถี่ กู นยิ ามวา่ เปน็ “คนตา่ งดา้ ว” ในประเทศไทย
บางกลมุ่ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ “ไทยพลดั ถนิ่ ในสงั คมไทย” หากจะดตู ามนยิ ามทปี่ รากฏ
ในพระราชบญั ญัตคิ นเขา้ เมือง พ.ศ. 2522 ดงั กล่าวข้างตน้ “ไทยพลดั ถิ่นในสังคม
ไทย” ก็ตอ้ งจดั ว่าเป็นคนเข้าเมอื งด้วยเช่นกนั
การนยิ ามแบบเหมารวมเชน่ นไ้ี ดท้ ำ� ใหค้ วามโดดเดน่ ของอตั ลกั ษณช์ าตพิ นั ธ์ุ
ถูกลดทอนลงไป และการด�ำเนินนโยบายของรัฐภายใต้กรอบคิดแบบเหมารวมนี้
ยังได้ส่งผลกระทบต่อการด�ำรงชีพของไทยพลัดถ่ินในสังคมไทยด้วย เน่ืองจาก
ประสบการณข์ องมนษุ ยม์ ากมายในโลกลว้ นมคี ณุ สมบตั เิ ปน็ คนพลดั ถนิ่ (Hu-Dehart,
2005: 431) การขยายขอบเขตนิยามคนพลัดถ่ินกระบวนทัศน์สมัยใหม่ ท�ำให้
การศึกษาปรากฏการณ์คนพลัดถิ่นต้องไม่ละเลยการศึกษามิติทางประวัติศาสตร์
เพ่ือแสดงให้เห็นถึงความเป็นมาและลักษณะเฉพาะของกลุ่มคนขนาดใหญ่ท่ีถูกจัด
ว่าเป็น “คนอื่น” ในสังคมไทย การนิยามตัวตนของไทยพลัดถ่ินถูกนำ� มาใช้เป็น
“กรอบอา้ งองิ ” หรอื ความหมายทตี่ อ้ งองิ อยกู่ บั เงอ่ื นไขเชงิ บรบิ ท (indexicality) ทนี่ �ำ
มาใชใ้ นการตอบโต/้ ตอ่ รองกบั รฐั ไทย อนั เปน็ มติ เิ ชงิ สะทอ้ นกลบั (reflexivity) บรบิ ท
ปที ่ี 9 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2556
6 Journal of Mekong Societies
ของไทยพลดั ถน่ิ ทางประวตั ศิ าสตรด์ ว้ ย ไทยพลดั ถนิ่ จงึ ตอบสนองตอ่ การนยิ ามแบบ
เหมารวมดงั กลา่ ว ผา่ นปฏบิ ตั กิ ารทางสงั คมตา่ งๆ เพอื่ ทจ่ี ะนยิ ามตวั ตนของพวกเขา
เอง และทำ� ให้คนในสังคมไดย้ นิ เสยี งของพวกเขามากขนึ้
ไทยพลัดถ่ินในพม่า4 อาศัยอยู่ในดินแดนมะริด ทวาย ตะนาวศรีมานาน
แล้ว ก่อนมกี ารปกั ปันเขตแดนระหว่างอาณานิคมอังกฤษในพม่า (British-Burma)
กบั ราชอาณาจกั รสยามในปี พ.ศ. 2411 แมจ้ ะอยใู่ นพนื้ ทที่ เ่ี ปน็ สว่ นหนงึ่ ของรฐั -ชาติ
พมา่ ตามแผนท่สี มัยใหม่ แต่พวกเขาถือว่าตนอย่ใู นแผ่นดินเดมิ ของไทยและถือตน
เป็นไทย ในช่วงพุทธทศวรรษท่ี 2520 เป็นต้นมา รัฐบาลทหารพม่าเข้าคุกคาม
และควบคุมหมู่บ้านคนไทยมากขึ้น ท�ำให้ไทยพลัดถ่ินส่วนใหญ่อพยพกลับเข้ามา
ตง้ั หลกั แหลง่ ในฝง่ั ไทย โดยอาศยั อยู่ในจงั หวดั ประจวบคีรขี นั ธ์ ชมุ พร และระนอง
แต่พวกเขาไม่ได้รับสิทธิการเป็นพลเมืองไทย จึงตกอยู่ในภาวะเป็นไทยพลัดถ่ิน
ในสงั คมไทย (Senakham, 2007: 21-24) แมจ้ ะมอี ตั ลกั ษณแ์ ละส�ำนกึ ความเปน็ ไทย
ท่ีสามารถเชื่อมโยงกับทุนทางประวัติศาสตร์ได้ เช่น การมีพระบรมฉายาลักษณ์
ของพระมหากษตั รยิ ไ์ ทยเปน็ รูปเคารพในทุกครวั เรือน การพูดภาษาไทย (ปักษ์ใต)้
การเขียนอักษรไทย อีกท้ังยังยึดถือปฏิบัติวัฒนธรรมประเพณีไทย เป็นต้น
การปกั ปนั เขตแดนดงั กลา่ วสง่ ผลใหค้ นไทยสว่ นหนงึ่ ทอี่ าศยั อยใู่ นดนิ แดนทเี่ คยเปน็
ของไทยกลายเป็น “คนอ่ืน” และเมื่อไทยพลัดถิ่นเหล่าน้ีกลับคืนถิ่นหรือมาตุภูมิ
ผู้คนในมาตุภูมิกลับไม่รู้จักพวกเขา และรัฐไทยก็ปฏิบัติต่อพวกเขาแบบเป็นคนอื่น
ด้วยเช่นกัน พวกเขาจึงเปรียบเสมือนคนพลัดถ่ินที่อยู่ในมาตุภูมิของตัวเอง ยังคง
ความรู้สึกแปลกแยก เจ็บปวดจากการถูกกีดกัน และต้องปรับตัวเม่ือเข้ามาอยู่ใน
ดนิ แดนใหม่ (แมจ้ ะเปน็ มาตภุ มู กิ ต็ าม) เปน็ เชน่ เดยี วกบั กรณผี สู้ บื เชอื้ สายคนพลดั ถน่ิ
ชาวญ่ีปุ่นในประเทศบราซิลและเปรูที่กลับคืนสู่ประเทศญี่ปุ่นในช่วงคริสต์ทศวรรษ
4 ตามประกาศส�ำนักนายกรัฐมนตรีในราชกิจจานุเบกษา (เล่ม 118 ตอนพิเศษ 117ง) เมื่อวันที่ 26
พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 ก�ำหนดให้เรียกชื่อประเทศนี้อย่างเป็นทางการในภาษาไทยแบบส้ันและ
แบบยาววา่ “พม่า: สหภาพพม่า” แตใ่ นภาษาอังกฤษให้เรยี กว่า “Myanmar: Union of Myanmar” จนถึง
ทุกวันน้ียังไม่มีประกาศส�ำนักนายกรัฐมนตรีในราชกิจจานุเบกษาให้เปล่ียนการเรียกช่ือประเทศนี้
อย่างเป็นทางการว่าอย่างไร (The Royal Institute, 1989) ด้วยเหตุน้ีผู้เขียนจึงเรียกชื่อประเทศน้ี
ในภาษาไทยตามประกาศส�ำนักนายกรัฐมนตรีฉบับล่าสุด เก่ียวกับเร่ืองการเรียกชื่อประเทศฯ ว่า
“พม่า: สหภาพพม่า”
ปที ี่ 9 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2556
คนเข้าเมืองทั่วไปหรอื คนพลดั ถิ่น?:
การต่อรองนยิ ามตัวตนของไทยพลัดถ่ินในสังคมไทย 7
ท่ี 1990 แล้วเข้ามาต้ังชุมชนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ของตัวเองที่เรียกว่า “Nikkeijin”
แยกตัวออกจากคนญ่ีป่นุ ทัว่ ไป (Shoji, 2005: 1-4) หรอื คนพลัดถิ่นชาวเวยี ดนาม
กวา่ 2.7 ลา้ นคนทห่ี นภี ยั สงครามเวยี ดนาม กระจดั กระจายไปอยใู่ นกวา่ 90 ประเทศ
ท่ัวโลก ซึง่ เรารู้จักกนั ในนาม “Viet-kieu” หรือ Overseas Vietnamese ท่ีกลบั คนื สู่
เวยี ดนามมากขนึ้ หลงั จากหมดยคุ ของสงครามเยน็ (Carruthers, 2008: 68) เปน็ ตน้
คนพลดั ถน่ิ (Diaspora): กระบวนทศั นแ์ บบคลาสสกิ และแบบสมยั ใหม่
ค�ำวา่ “Diaspora” ปรากฏคร้ังแรกในคัมภีร์ไบเบลิ ภาษาฮบิ รูที่แปลไปเปน็
ภาษากรีก (Septuagint) ในช่วงศตวรรษท่ี 2-3 ก่อนคริสตกาล กลา่ วถงึ ชาวยวิ โบราณ
ถูกเตือนว่าถ้าไม่เชื่อในบัญชาของพระเจ้า พวกเขาจะกลายเป็นคนพลัดถิ่น
กระจดั กระจายไปอยตู่ ามอาณาจกั รตา่ งๆ เมอื่ ใดทพ่ี วกเขาหนั กลบั มาท�ำตามบญั ชา
ของพระเจ้า พระองค์จะรวบรวมพวกเขากลับคืนถิ่นก�ำเนิด ซึ่งเป็นการอธิบาย
แบบแผนของการเนรเทศและการกลบั คืน (Evans, 2009: 1-3) และต่อมาได้พัฒนา
ไปเปน็ แนวคดิ ทางสงั คมศาสตรโ์ ดยพบค�ำวา่ “Diaspora” ในสารานกุ รมสงั คมศาสตร์
ที่พิมพ์เม่ือปี ค.ศ. 1937 ที่อ้างถึงเฉพาะกรณีการขับไล่ชาวยิวออกจากดินแดน
ศักด์ิสิทธ์ิ มีนัยยะของการถอนราก การกดข่ี และความเจ็บปวดในการปรับตัว
เมื่อเข้าไปอยู่ดินแดนใหม่ เนื่องจากเจ้าของดนิ แดนไม่ไวว้ างใจ คนพลัดถิน่ เหล่านค้ี อ่ ยๆ
ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่จนสามารถสร้างศูนย์กลางวัฒนธรรมของตนเองได้
และธ�ำรงรักษาไว้อย่างต่อเน่ือง โดยปฏิเสธท่ีจะละทิ้งอัตลักษณ์ของตน ปลูกฝัง
ความคดิ ท่ีมุง่ คนื ส่มู าตุภมู ิ เปน็ เสน้ แบง่ พวกเขาออกจากการเปน็ เพียงคนเข้าเมือง
แนวคดิ คนพลดั ถนิ่ ตามความหมายนถ้ี กู เรยี กวา่ เปน็ “กระบวนทศั นค์ นพลดั ถน่ิ แบบ
คลาสสกิ ” (classical diaspora paradigm) ซง่ึ Safran เหน็ วา่ หากปลอ่ ยใหก้ ารนยิ าม
คนพลัดถิ่นเลื่อนไหล รวมเอาผู้ย้ายถ่ินที่ไม่ปรารถนาจะกลับคืนมาตุภูมิเป็น
คนพลดั ถนิ่ ดว้ ย จะเปน็ การขยายขอบเขตการนยิ ามคนพลดั ถนิ่ มากเกนิ ไปจนกลายเปน็
ปญั หาทยี่ ากแกไ้ ข Safran ไดน้ ำ� เสนอเกณฑพ์ จิ ารณาอตั ลกั ษณร์ ว่ มของคนพลดั ถนิ่
7 ประการทเ่ี ปน็ เสน้ แบ่งจากคนเขา้ เมอื งทว่ั ไป คือ 1) ถกู ขับออกจากถ่ินกำ� เนิดไป
อยู่ตา่ งแดน 2) ยงั คงรกั ษาความทรงจำ� รว่ มของถนิ่ กำ� เนดิ 3) ไมไ่ ดร้ บั การยอมรับ
ปที ่ี 9 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2556
8 Journal of Mekong Societies
โดยสมบรู ณจ์ ากประเทศอาศยั 4) ถอื วา่ มาตภุ มู คิ อื บา้ นทแี่ ทจ้ รงิ ทล่ี กู หลานผสู้ บื ทอด
จะตอ้ งกลับไป 5) มีความสัมพนั ธก์ ับมาตภุ มู อิ ยา่ งต่อเนอื่ ง 6) อยู่ในชุมชนท่ชี ัดเจน
รกั ษาวฒั นธรรมของบรรพบรุ ษุ และสถาปนาศนู ยก์ ลางวฒั นธรรมของตนเองขน้ึ มา และ
7) มาตุภูมมิ ีความสำ� คญั ตอ่ วถิ ปี ฏบิ ตั เิ ชิงสถาบนั ของพวกเขา (Safran, 2005: 36-37)
กระแสโลกาภิวัตน์ท�ำให้แนวคิดคนพลัดถิ่นถูกน�ำไปใช้อธิบายในมุมมอง
ที่กว้างกว่าความหมายเดิมท่ียึดเอาตัวแบบคนพลัดถิ่นชาวยิวซึ่งถูกเนรเทศจาก
ดนิ แดนอสิ ราเอลโบราณเมอื่ กวา่ 2,000 ปมี าแลว้ ปจั จบุ นั มกี ารน�ำแนวคดิ นไ้ี ปใชอ้ ธบิ าย
ปรากฏการณ์เคลื่อนย้ายประชากรในระดับนานาชาติ รวมถึงการอพยพของผู้คน
จากประเทศยากจนไปสปู่ ระเทศพฒั นา การสอ่ื สารทางไกลและการปฏวิ ตั กิ ารขนสง่
และการพฒั นาวฒั นธรรมท่กี า้ วขา้ มพรมแดนไปทั่วโลก โดยเรียกว่า “กระบวนทศั น์
คนพลัดถิ่นสมัยใหม่” (modern diaspora paradigm) ท�ำให้ขอบเขตการนิยาม
คนพลดั ถน่ิ ในบรบิ ทนขี้ ยายออกไปทบั ซอ้ นแนวคดิ อน่ื ๆ เชน่ กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ (ethnic
minority) ผลู้ ภี้ ยั (refugee) และคนเขา้ เมอื ง (immigrant) เปน็ ตน้ (Popescu, 2006:
106-107)
นกั วิชาการหลายท่านถกเถยี งกับเกณฑพ์ ิจารณาคนพลัดถนิ่ ของ Safran
วา่ เปน็ วาทกรรมทยี่ ดึ ตดิ กบั แหลง่ กำ� เนดิ (fixed origins) แมว้ า่ สำ� นกึ ของคนพลดั ถน่ิ
คือปรารถนาจะกลับบ้าน/คืนถิ่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนพลัดถิ่นทั้งหมด
มีอดุ มการณท์ ี่มนั่ คงวา่ จะกลบั บ้าน/คืนถิน่ (Brah, 1996: 117) หรอื วิพากษว์ ่าเปน็
เกณฑท์ ่ีค่อนข้างคับแคบ ยึดติดกบั ตวั แบบคนพลัดถนิ่ ชาวยวิ มากเกนิ ไป (Cohen,
1997: 22-23) นอกจากนยี้ ังมีขอ้ ถกเถียงวา่ ควรทบทวนฐานคตทิ ีเ่ คยมองการพลัดถ่ิน
ตามแบบแผนการอพยพหรือลี้ภัยท่ีให้ความส�ำคัญกับการเคลื่อนย้ายผู้คน
ข้ามพรมแดน เนื่องจากการพลัดถิ่นลักษณะใหม่เกิดจากพรมแดนถูกย้ายข้ามผู้คนไป
ดงั เชน่ กรณกี ารลม่ สลายของสหภาพโซเวยี ตในอดตี ไดท้ �ำใหช้ าวรสั เซยี 25 ลา้ นคน
กลายเปน็ คนพลดั ถน่ิ อยา่ งไมต่ งั้ ใจเพยี งชวั่ ขา้ มคนื จงึ จำ� เปน็ ตอ้ งศกึ ษากระบวนการ
กอ่ รปู ของคนพลดั ถนิ่ ในลกั ษณะใหมแ่ ละนยิ ามคนพลดั ถนิ่ เสยี ใหม่ (Voutira, 2006:
380) ดว้ ยแนวคดิ เชงิ พน้ื ที่ ในฐานะ “ชมุ ชนชาตพิ นั ธท์ุ ถี่ กู แบง่ แยกโดยพรมแดนรฐั ”
(Brubaker, 2005: 5)
ปที ่ี 9 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สงิ หาคม 2556
คนเขา้ เมืองทว่ั ไปหรือคนพลดั ถนิ่ ?:
การต่อรองนยิ ามตัวตนของไทยพลดั ถิ่นในสังคมไทย 9
การพิจารณานัยยะของ “บ้าน/ถิ่น” (home) ท่ีท�ำให้แนวคิดคนพลัดถ่ิน
เป็นรปู เปน็ รา่ งข้ึนมานน้ั (Brah, 1996: 187) จึงสามารถเช่อื มโยงกับแนวคิดเรอ่ื ง
“พน้ื ท่”ี (space) กลา่ วคอื สาระสำ� คญั ในการศกึ ษา “พื้นท”่ี อย่ทู ่กี ารสบื ค้นวา่ สถานทีแ่ ห่ง
นั้นถูกประกอบสร้างหรือจินตนาการข้ึนมาอย่างไร โดยให้ความส�ำคัญกับ “วาทกรรม”
ท่ีใช้ในการประกอบสร้าง กลุ่มคนที่ให้ความหมาย วัตถุประสงค์ของการสร้าง
และผลกระทบจากจินตนาการเพ่ือสร้างความชอบธรรมในการยึดครองพื้นที่นั้น
การโหยหาอดตี เกิดจากภาวะท่ีผพู้ ดู รู้สึกว่าตนไมไ่ ดเ้ ป็นส่วนหนึ่งของสังคมทอ่ี าศยั
อยู่ในปัจจุบัน แต่ส�ำหรับผู้พลัดถิ่นแล้วการหวนกลับไปยังมาตุภูมิเป็นส่ิงที่เป็นไป
ไม่ได้ เพราะบา้ นทเ่ี คยอยอู่ าศัยไดส้ ูญหาย ถกู ท�ำลาย หรือถกู ครอบครองโดยผ้อู นื่
ดังน้ัน การถวิลหาบ้านเกิดจึงเป็นที่มาของเร่ืองเล่าเกี่ยวกับบ้านเกิดท่ีเหลือเพียง
ความทรงจ�ำ “บา้ น” ในความหมายของคนพลดั ถน่ิ จงึ เปน็ เพยี ง “บา้ นในจนิ ตนาการ”
เท่านน้ั ประสบการณพ์ ลัดถิน่ ได้ปรบั เปล่ียนความหมายของ “บ้าน” จากสถานทอี่ ยู่
อาศยั ใหก้ ลายมาเปน็ ความทรงจำ� ทค่ี นพลดั ถน่ิ สามารถพกพาไป เมอื่ อพยพเขา้ ไป
อยชู่ มุ ชนแหง่ ใหมใ่ นประเทศอาศยั ถงึ แมว้ า่ คนพลดั ถน่ิ ไมอ่ าจหวนกลบั ไปยงั มาตภุ มู ิ
แตพ่ วกเขาสามารถ “กลบั บา้ น” ผา่ นทางจนิ ตนาการหรอื เรอื่ งเลา่ “บา้ น” สถานทใ่ี น
ความทรงจ�ำหรือเรื่องเล่าของคนพลัดถ่ิน ถูกแปรเปล่ียนจากพื้นที่ทางกายภาพไป
เปน็ พน้ื ทจ่ี นิ ตนาการทท่ี บั ซอ้ นอยู่ และไดบ้ รรจคุ วามทรงจำ� เอาไว้ (Pragatwutisarn,
2008: 171-173)
ดังน้ัน “บ้าน” จึงเป็นพื้นที่ที่มีความส�ำคัญต่อคนพลัดถิ่น โดยมี
“จินตนาการ” เป็นเครื่องมือส�ำคัญในการร้ือฟื้นอดีต ท�ำให้ “บ้าน” เป็นสถานที่
ยึดเหนี่ยวตัวบุคคลกับบรรพบุรุษและชุมชนทางวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกัน ถึงแม้ว่า
บา้ นหรอื สถานทจ่ี ะถกู ทำ� ลายหรอื สญู หายไปแลว้ กต็ าม แตเ่ รอ่ื งเลา่ ไดท้ �ำหนา้ ทแี่ ทน
สถาบนั ทางสงั คมอนั เปน็ สว่ นหนง่ึ ของชมุ ชนคนพลดั ถน่ิ ทำ� หนา้ ทป่ี ลกู ฝงั คณุ ธรรม
และจริยธรรมให้กับสมาชิกในชุมชนคนพลัดถ่ินเหล่าน้ี หรืออาจกล่าวได้ว่า “บ้าน”
(home) ก็คือ “ราก” (root) ของคนพลัดถิ่นน่ันเอง ในขณะที่นักวิชาการบางท่าน
ตั้งขอ้ ถกเถียงว่าคนพลัดถนิ่ มีอตั ลักษณแ์ บบลกู ผสมและไร้ราก
ปที ี่ 9 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2556
10 Journal of Mekong Societies
Stuart Hall (1990) นักวิชาการทฤษฎีเชิงวิพากษ์ด้านวัฒนธรรมศึกษา
แห่งสำ� นักเบอร์มิง่ แฮม (The Birmingham School of Cultural Studies) เห็นวา่
แกนกลางของปัญหา “คนพลัดถิ่น” อยู่ในบริบทของเชื้อชาติและชาติพันธุ์
Hall ไดใ้ ช้ตัวแบบคนพลดั ถิ่นคารบิ เบียนในอังกฤษเพอ่ื น�ำเสนอมมุ มองทต่ี า่ งออกไป
โดยชใี้ หเ้ หน็ วา่ แอฟรกิ าหรอื โลกใหมเ่ ปน็ ภาพทนี่ �ำเสนอถงึ ความไรอ้ �ำนาจ “โลกใหม”่
(new world) จึงเป็นเพียงสถานท่ีหรือดินแดนว่างเปล่าท่ีผู้บุกเบิกอาณานิคม
ชาวยโุ รปตอ้ งการท�ำใหม้ ันวา่ ง และกลายมาเป็นจุดปะทะ/ประสานทางวฒั นธรรมของ
คนแปลกหนา้ จากท่วั ทกุ มมุ โลก เป็นผลใหเ้ กดิ การพลัดถ่นิ จากระบบทาส การยึดครอง
อาณานิคม และผู้บุกเบิกอาณานิคมใหม่ “โลกใหม่” จึงไม่ได้เป็นภูมิล�ำเนา
ดั้งเดิมที่แท้จริง (originally belonged) และเป็นสถานที่ที่มีการพลัดถ่ินเกิดขึ้น
อยา่ งตอ่ เนอื่ งในหลายวถิ ที าง มมุ มองอตั ลกั ษณท์ างวฒั นธรรมและคนพลดั ถน่ิ ที่ Hall
น�ำเสนอจึงดูเหมือนว่า “ผู้ย้ายถิ่น” (migrant) ท้ังหลายถูกจัดอยู่ในตัวแบบของ
ผู้เร่ร่อนในภาวะความทันสมัยหรือหลังทันสมัย ท่ีมีการเคลื่อนย้ายอย่างต่อเน่ือง
ระหว่างศูนย์กลางและเขตบริวารรอบนอก (centre and periphery) เขาเห็นว่า
ประสบการณข์ องคนพลดั ถน่ิ ไมส่ ามารถนยิ ามถงึ ความเปน็ แกน่ สาร (essence) หรอื
ความบรสิ ทุ ธ์ิ (purity) ได้ การมองวา่ คนพลดั ถนิ่ มอี ตั ลกั ษณแ์ บบลกู ผสม (hybridity)
และไร้ราก (rootless) เพราะว่าอัตลักษณ์เป็นส่ิงที่ถูกผลิตและผลิตซ�้ำตัวมันเอง
ข้ึนมาใหม่อย่างต่อเน่ือง มันจึงอยู่ในกระบวนการสร้างตลอดเวลาไม่เคยเสร็จสมบูรณ์
เปน็ การสรา้ งภาพตวั แทน (representation) จากภายในไมใ่ ชภ่ ายนอก ทงั้ ใน “ภาวะ
ที่เปน็ อยู่” (being) และ “ภาวะท่กี ำ� ลังจะเป็น” (becoming) เปน็ เรือ่ งของท้งั อนาคต
และอดีต ซึ่งไม่ได้มีเพียงหน่ึงเดียวและหยุดน่ิงตายตัว ประสบการณ์และเรื่องเล่า
ของคนพลดั ถนิ่ มคี ณุ คา่ ใหจ้ ดจำ� ในฐานะเปน็ วาทกรรมทย่ี ดึ ตดิ กบั “สถานท”่ี (placed)
เท่านนั้ (Hall, 1990: 235-237)
วิธีคิด “คนพลัดถิ่น” ในกระบวนทัศน์ที่ต่างกันน้ัน สามารถสรุปได้ว่า
1) คนพลดั ถน่ิ แบบคลาสสกิ มองแบบแผนการถกู เนรเทศและการกลบั คนื ตามหลกั
ปรชั ญาแบบ “นยิ ตั นิ ยิ ม/ลทั ธบิ งการ” (determinism) ทมี่ องวา่ มนษุ ยเ์ ปน็ ผถู้ กู กำ� หนด
ไมไ่ ดม้ เี จตจำ� นงเสรที จ่ี ะตดั สนิ ใจเลอื กไดอ้ ยา่ งเปน็ อสิ ระ ซงึ่ มาจากความเชอื่ พน้ื ฐาน
ปที ี่ 9 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2556
คนเข้าเมอื งทว่ั ไปหรอื คนพลัดถนิ่ ?:
การตอ่ รองนิยามตวั ตนของไทยพลดั ถิ่นในสงั คมไทย 11
ท่ีว่ามนุษย์ทั้งมวลอยู่ในอาณาจักรและภายใต้การปกครองของพระเจ้า ดังนั้น
การถูกเนรเทศหรือการกลับคืนจึงเป็นบัญชาของพระเจ้า มนุษย์ไม่สามารถกระทำ�
การสง่ิ ใดไดต้ ามใจปรารถนา 2) คนพลดั ถน่ิ แบบสมยั ใหม่ ใหค้ วามสำ� คญั กบั ปรชั ญา
“เจตจ�ำนงเสรี” (free will) เปรียบเสมือนการเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ท่ีมนุษย์แสวงหา
ความรู้และเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง ดังที่ Kant (1784: 1) กล่าวถึง
ลักษณะส�ำคัญของยุคนี้คือ กล้าท่ีจะใช้ความเข้าใจของตนเอง คนพลัดถิ่น
ตามกระบวนทัศน์น้ีจึงไม่จำ� เป็นต้องถูกบังคับหรือถูกกำ� หนดเท่านั้น แต่ไปรวมถึง
ความสมัครใจดว้ ย ดงั น้ัน แม้ว่าคนพลัดถิ่นท่ไี ม่ได้มุ่งมัน่ จะกลับบา้ น แต่หากพวกเขา
ยังคงรักษาสายสัมพันธ์กับมาตุภูมิที่ยึดโยงบ้านหรือรากเอาไว้ได้ พวกเขา
ก็ยังคงจัดว่าเป็นคนพลัดถ่ิน 3) คนพลัดถ่ินแบบหลังสมัยใหม่หรือเชิงวิพากษ์
ใหค้ วามสำ� คญั กบั “เงอ่ื นไข” (conditions) มองคนพลดั ถน่ิ ในมติ อิ ตั ลกั ษณว์ า่ ถกู สรา้ ง
ขนึ้ ใหมห่ ลายประการภายใตเ้ งอ่ื นไขของสงั คมยคุ โลกาภวิ ตั น์ ทง้ั ในมติ ปิ ระวตั ศิ าสตร์
วัฒนธรรม การเมอื งและวาทกรรม มองวา่ อัตลกั ษณค์ นพลดั ถ่ินเปน็ เพยี งเรื่องเล่า
ที่ไม่อาจสืบรากเหง้าได้
Van Hear (1998: 41-47) เห็นว่า รูปแบบของการย้ายถ่ินมีความ
หลากหลาย จนท�ำให้เกิดความสับสน ดงั น้นั เขาจงึ สรปุ องค์ประกอบส�ำคัญทีก่ อ่ ให้
เกดิ “คนพลัดถ่นิ แบบใหม”่ (new diasporas) ว่ามีองคป์ ระกอบสำ� คญั 5 ประการ
โดยในแต่ละองค์ประกอบมีระดับของการเป็นผู้เลือกและถูกบังคับ (degrees of
choice and coercion) แตกต่างกันไป ดังนี้
1) การเคลอื่ นยา้ ยออกไป (moving out) คอื การเคลอื่ นยา้ ยจากถนิ่ กำ� เนดิ
หรือถิ่นอาศัย จากท่หี นง่ึ ไปอย่อู ีกทห่ี น่งึ
2) การเคลื่อนย้ายเข้ามา (coming in) ซึ่งควบคู่กับการเคล่ือนย้าย
ออกไป เนอ่ื งจากการเคล่อื นยา้ ยออกจากสถานท่แี หง่ หนึ่ง ก็ต้อง “ไปถึง” สถานท่ี
อกี แหง่ หนึง่ ถงึ แมจ้ ะมาอย่ชู ่ัวคราวก็ตาม
3) การกลับมา (going back หรือ return) คนบางกล่มุ อาจตอ้ งการกลับ
คนื ถน่ิ อนั เปน็ แหลง่ กำ� เนดิ หรอื สถานทเ่ี คยอยอู่ าศยั มากอ่ น เปน็ องคป์ ระกอบควบคู่
กันกบั การเคลื่อนยา้ ยเขา้ มาด้วย
ปที ี่ 9 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สงิ หาคม 2556
12 Journal of Mekong Societies
4) การเคลอื่ นยา้ ยไปขา้ งหนา้ ตอ่ ไป (moving on) ผยู้ า้ ยถนิ่ อาจมที างเลอื ก
หลากหลาย สามารถย้ายถ่ินต่อไปที่แห่งอ่ืนที่ไม่ใช่ถ่ินก�ำเนิดหรือถิ่นอาศัย
โดยไม่จ�ำเป็นต้องเป็นการย้ายกลับมาเท่าน้ัน ซ่ึงจ�ำเป็นต้องพิจารณาควบคู่กับ
การเคลอ่ื นยา้ ยเข้ามาดว้ ยเชน่ กัน
5) การอยู่กับที่ (staying put) คนพลัดถ่ินในบางองค์ประกอบท่ีไม่ได้
เป็นการเคล่ือนย้าย คนพลัดถิ่นยังคงเป็นประชากรในชุมชนเดิมที่เปล่ียนผ่านจาก
สถานะหนึ่งไปสู่อีกสถานะหนึ่ง (transit) เท่าน้ัน ดังเช่นกรณีไทยพลัดถ่ินในพม่า
เปน็ ตน้
จากการทบทวนแนวคดิ คนพลดั ถนิ่ เมอ่ื นำ� มาพจิ ารณากบั ขอ้ ถกเถยี งกรณี
ไทยพลดั ถนิ่ ในสงั คมไทยดงั ทกี่ ลา่ วมา สามารถอธบิ ายปรากฏการณไ์ ทยพลดั ถนิ่ ใน
พมา่ ได้ว่าเป็น “คนพลดั ถ่นิ ผตู้ กเปน็ เหย่อื ” (victim diaspora) ของการเคลื่อนยา้ ย
เขตแดนประเทศ (border displacement) สว่ นไทยพลดั ถ่ินในสังคมไทย เปน็ การ
พลดั ถนิ่ ทแี่ มจ้ ะกลบั คนื สมู่ าตภุ มู ิ แตก่ จ็ ดั วา่ เปน็ คนพลดั ถนิ่ ทตี่ กเปน็ เหยอ่ื เนอื่ งจาก
ไทยพลัดถ่ินถูกบังคับให้ต้องอพยพออกจากดินแดนที่อยู่อาศัยเดิม (ดินแดนที่
ในอดตี เคยเปน็ ของไทย แตต่ ามแผนทป่ี จั จบุ นั เปน็ ของพมา่ ) ไปอาศยั อยใู่ นดนิ แดน
ใหม่ (ดินแดนทอ่ี ยใู่ นอาณาเขตประเทศไทย) ซงึ่ มนี ัยยะของการถอนรากถอนโคน
การกดข่ี และความเจ็บปวดในการปรับตัวเม่ือเข้าไปอยู่ในดินแดนใหม่เช่นกัน
รูปแบบการพลัดถิ่นของไทยพลัดถิ่นจึงเป็นทั้ง “อยู่กับท่ี” และ “เคล่ือนย้าย”
พวกเขาจงึ เป็นคนพลัดถิ่นแบบใหมท่ ่ี “กลับคนื ถนิ่ ” หรือเปน็ “ไทยพลัดถนิ่ คืนถนิ่ ”
(returning Thai diaspora) มากกว่าท่ีจะเป็นเพียง “คนเข้าเมืองท่ัวไป” ซ่ึงข้อ
ถกเถยี งนไ้ี ทยพลดั ถน่ิ ไดน้ ำ� ไปใชป้ ระโยชนใ์ นการตอ่ รองนยิ ามตวั ตนกบั รฐั ไทยดว้ ย
ไทยพลัดถนิ่ : การนิยามที่แตกต่างระหว่างรฐั ไทยกบั ไทยพลัดถิ่น
“คนพลัดถ่ิน” ก็จัดเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ (ethnic groups) แบบหนึ่งด้วย
เชน่ กนั (Amersfoort, 2004: 362) โดยที่ “ชาตพิ นั ธ”์ุ เปน็ สงิ่ ประดษิ ฐท์ างวฒั นธรรม
ทเี่ กดิ จากกระบวนการผลติ ซำ�้ หรอื ประดษิ ฐ์ และเปน็ กลมุ่ คนทถี่ กู นยิ ามหรอื ประดษิ ฐ์
ปที ่ี 9 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2556
คนเข้าเมอื งทว่ั ไปหรือคนพลัดถนิ่ ?:
การต่อรองนยิ ามตวั ตนของไทยพลัดถ่ินในสงั คมไทย 13
ขน้ึ โดยพวกเขาเองและโดยคนอน่ื ทพ่ี วกเขามปี ฏสิ มั พนั ธด์ ว้ ย วธิ กี ารนยิ ามอตั ลกั ษณ์
มีสองแบบ คือ การนิยามตัวเองมักจะมีมิติเชิงบวก และการนิยามคนอ่ืน มักจะมี
มิติเชิงลบ เช่น เราเรียกตัวเองว่าคนไทย และเรียกคนต่างชาติว่าฝร่ังหรือแขก
เปน็ ต้น (Winichakul, 1994: 3-5)
“ไทยพลัดถ่ิน” ตามเอกสารทางราชการเรียกว่า “ผู้พลัดถ่ินสัญชาติพม่า
เชอ้ื สายไทย” จากบนั ทกึ ความเขา้ ใจของเลขาธกิ ารสภาความมนั่ คงแหง่ ชาติ (สมช.)
ส่งถึงคณะรัฐมนตรีเมื่อ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2540 ได้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มแรก เป็นกลุ่มคนไทยที่อพยพไปท�ำงานในประเทศพม่า อพยพกลับเข้ามา
ประเทศไทยเม่อื รัฐบาลพม่าปราบปรามชนกลุ่มน้อย และกลมุ่ ทส่ี อง เป็นกล่มุ คน
ไทยอาศยั อยใู่ นดนิ แดนทส่ี ญู เสยี ไปหลงั การปกั ปนั เขตแดนระหวา่ งองั กฤษกบั สยาม
ไดแ้ ก่ เมอื งทวาย มะรดิ และตะนาวศรี แตก่ ารนยิ ามความเปน็ ไทยพลดั ถน่ิ เปน็ เรอื่ ง
ของความรู้สึกเก่ียวกับตัวตนของเขาเองหรือเป็น “อัตวิสัย” (subjective) ซ่ึงใน
ความเป็นจริงแล้วการจะระบุว่าใครมีสัญชาติอะไรก็เป็นเรื่องอัตวิสัยเช่นกัน
ไทยพลัดถิ่นจึงควรเป็น ผู้นิยามตัวเองว่าเขาคือใคร สัญชาติอะไร การนิยามหรือ
การแบง่ กลุ่มไทยพลดั ถ่ินของ สมช. ดงั กลา่ วข้างตน้ จงึ ต่างไปจากมมุ มองของไทย
พลดั ถิน่ เอง
“...ไทยพลดั ถิน่ ดงั้ เดมิ มคี นอยูส่ องพวก คือ คนไทยตกค้างกับคนไทย
ที่อพยพเข้าไปอยู่ก่อนสงครามโลกคร้ังท่ี 2 มีทั้งคนไทยที่ไปท�ำเหมือง
ท�ำไม้ ค้าขาย พวกเสือจากเพชรบุรีที่ปล้นในฝั่งไทยแล้วหนีคดีไปอยู่กับ
ญาติพี่น้องก็มี ส่วนอีกพวกหนึ่งไปอยู่หลังสงครามโลกคร้ังที่ 2 เป็นคน
ประจวบฯ นแ่ี หละ ตอนนน้ั ญปี่ นุ่ ยกพลขนึ้ บกทป่ี ระจวบฯ คนไทยบางกลมุ่
กเ็ ลยหนเี ข้าไปอยใู่ นเขตแผน่ ดนิ ไทย (ในฝัง่ พมา่ ) ทพ่ี วกอังกฤษยึดเอาไว้
เขาคิดว่าถ้าพวกอังกฤษไปแล้วก็คงคืนแผ่นดินให้ไทย ไม่นานไทยคงมา
ทวงแผ่นดนิ คนื ...” (Thinthai, 2011)
จากคำ� บอกเลา่ นี้ ไทยพลดั ถนิ่ แบง่ กลมุ่ พวกเขาเองออกเปน็ 2 กลมุ่ ใหญๆ่
ซงึ่ อาจจะแตกตา่ งจากการนยิ ามของ สมช. ทไ่ี มไ่ ดร้ วมเอากลมุ่ ผหู้ นภี ยั สงครามเขา้
ปีที่ 9 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม-สงิ หาคม 2556
14 Journal of Mekong Societies
ไว้ด้วย กล่าวคือ กลุ่มแรก เป็นกลุ่มคนไทยตกค้างอันเป็นผลมาจากการปักปัน
เขตแดนระหวา่ งสยามกบั อาณานคิ มองั กฤษในพมา่ โดยรวมเอากลมุ่ คนไทยทอี่ พยพ
เขา้ ไปอาศัยอยู่ด้วยหลายวตั ถปุ ระสงค์ ในช่วงกอ่ นสงครามโลกคร้งั ท่ี 2 เข้าไว้ด้วย
และกลุ่มท่ีสอง คือ กลุ่มคนไทยท่ีหนีภัยสงคราม โดยอพยพเข้าไปอยู่หลัง
สงครามโลกครง้ั ที่ 2 เนอ่ื งจากกองทพั ญป่ี นุ่ ยกพลขนึ้ บกทบ่ี รเิ วณจดุ ส�ำคญั ทางภาคใต้
โดยเฉพาะอย่างย่ิงที่อ่าวมะนาว จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เม่ือตอนเช้ามืดของวันท่ี
8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 (Senanarong, 1969: 6) การนิยามตัวเองของไทยพลดั ถนิ่ น้ี
ผู้เขียนเห็นว่าค่อนข้างมีเหตุผล เนื่องจากการจะจำ� แนกไทยพลัดถิ่นที่เป็นคนไทย
ตกคา้ ง และผทู้ อี่ พยพเขา้ ไปอาศยั อยดู่ ว้ ยวตั ถปุ ระสงคต์ า่ งๆ นนั้ ทำ� ไดค้ อ่ นขา้ งยาก
เพราะท้ังคนไทยท่วั ไปและไทยพลดั ถ่นิ ทเ่ี ปน็ คนไทยตกค้างตา่ งก็มวี ิถีการด�ำรงชพี
ขา้ มพรมแดน ซง่ึ เดนิ ทางข้ามไป-ขา้ มมาระหวา่ งสองประเทศมาเป็นเวลานานแลว้
นับต้ังแต่อุษาคเนย์ยังมีรูปแบบการปกครองแบบ “ปริมณฑลอ�ำนาจ” (mandala)
มกี ารทำ� สงครามกวาดตอ้ นเชลยมาจนถงึ ยคุ การเกดิ ขน้ึ ของรฐั -ชาติ รวมถงึ การหนี
ภัยสงครามท้ังจากไทยไปพม่าหรือจากพม่ากลับมาไทย อีกท้ังไทยพลัดถิ่นเอง
กเ็ ดินทางเข้ามาฝง่ั ไทย เพือ่ น�ำผลผลิตและสนิ ค้ามาขาย พร้อมทง้ั ซือ้ ส่ิงของท่จี ำ� เปน็
กลับไป บางกลุ่มก็เข้ามาบวชเรียนหรือมาอาศัยอยู่ในฝั่งไทยเป็นเวลานานหลายปี
แล้วจึงกลับไปอาศัยอยู่ในชุมชนเดิมฝั่งพม่าก็มีเป็นจ�ำนวนมาก ในขณะที่คนไทย
ท่ีเดินทางไปท�ำการค้าขายหรือไปกับคณะแสดงในงานสมโภชต่างๆ มีท้ังลิเกป่า
หนังตะลงุ มโนราห์ หรอื การชกมวย ทีไ่ ทยพลัดถิ่นในฝ่งั พมา่ จา้ งไปแสดง เมอ่ื ได้
เหน็ ความอดุ มสมบรู ณแ์ ลว้ ตดั สนิ ใจตงั้ ถนิ่ ฐานอยทู่ น่ี นั่ เลย โดยทย่ี งั คงความสมั พนั ธ์
กบั คนที่อย่ใู นฝ่งั ไทยก็มีจ�ำนวนไมน่ ้อย ดังท่ผี ู้อาวุโสไทยพลดั ถนิ่ เล่าให้ฟงั วา่
“...แตก่ อ่ นคนไทยทต่ี ะนาวศรจี ะตอ้ งขา้ มมาฝง่ั นี้ มาเอาลเิ ก[ปา่ ] หนงั ตะลงุ
มโนราห์ไปเล่น เอามวยไปต่อย สองคืนสามคืนโน่น พอเสร็จแล้วก็กลับ
เพราะวา่ บรรพบรุ ษุ แตเ่ ดมิ เปน็ คนไทยเขาชอบ ถา้ ไมไ่ ดเ้ อาไปจะเดอื ดรอ้ น
มีการเจ็บไขไ้ ด้ป่วย อยู่ไม่เปน็ สขุ ตอ้ งเอาไปเฉลิมฉลองเมืองทุกปี ไปถงึ
จงั หวดั มะรดิ โน่น บางคนชอบแล้วไปอยูเ่ ลยก็มี จะขา้ มกลับมาเขาก็ไมว่ ่า
ทางการเพงิ่ จะมาเขม้ งวดเอาเมอื่ ไม่นานมาน้ี...” (Thinthai, 2011)
ปีท่ี 9 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2556
คนเข้าเมืองท่ัวไปหรือคนพลดั ถนิ่ ?:
การต่อรองนยิ ามตวั ตนของไทยพลดั ถ่ินในสังคมไทย 15
ส่วนไทยพลัดถิ่นท่ีเข้ามาอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทย สามารถแบ่งได้
เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทแรก ไทยพลดั ถ่นิ ที่ถอื บัตรคนไทยพลดั ถ่นิ โดยได้รับ
อนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นการชั่วคราว และประเภทท่ีสอง ไทยพลัดถ่ิน
ซ่ึงไม่มีหลักฐานทางทะเบยี นหรือเอกสารใดๆ บางคนไม่เคยแสดงตัวเมือ่ รัฐบาลให้
มกี ารส�ำรวจหรือบางคนตกส�ำรวจ อย่างไรกต็ าม ทางราชการถือวา่ ไทยพลดั ถิน่ ดงั
ท่ีกล่าวมาน้ีเป็นคนไทยไม่ใช่พม่า จึงมีมติให้สัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ
(FACE Foundation, 2008: 11) แต่การ “แปลงสัญชาติ” สง่ ผลกระทบต่อความรสู้ ึก
ในเรือ่ ง “จติ ส�ำนกึ ความเป็นไทย” ของพวกเขา ดังทผี่ อู้ าวุโสไทยพลดั ถ่นิ ท่านหนึ่ง
กล่าวว่า
“...ผใู้ หญบ่ า้ นเขากบ็ อกวา่ จะไปเดอื ดรอ้ นทำ� ไม รฐั เขาเปดิ โอกาสใหส้ ญั ชาติ
มาแลว้ เขาใหม้ ากจ็ รงิ แตใ่ หม้ าเปน็ บตั รเลขแปด5 มนั ไมไ่ ดเ้ ปน็ คนไทยจรงิ
เปน็ คนแปลงสญั ชาติ แตเ่ ราอยากไดบ้ ตั รทเ่ี ปน็ คนไทยจรงิ ๆ เพราะเราเปน็
คนไทย จะมาแปลงสญั ชาตเิ ราไดย้ งั ไง เราไม่ใช่พมา่ ...” (Thaithin, 2011)
ถงึ แมว้ า่ ไทยพลดั ถน่ิ จะมปี ระวตั ศิ าสตรร์ ว่ มกบั คนไทยทวั่ ไป พวกเขาธำ� รง
รกั ษาอตั ลกั ษณค์ วามเปน็ ไทยเอาไวอ้ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง ทง้ั การพดู การเขยี น ปฏบิ ตั ติ าม
ประเพณีวัฒนธรรมไทย รวมถึงจิตส�ำนึกความเป็นไทยเอาไว้อย่างม่ันคง ปฏิเสธ
ที่จะละท้ิงอัตลักษณ์ความเป็นไทย แม้บรรพบุรุษของพวกเข้าต้องอาศัยอยู่ใน
ดนิ แดนทต่ี กไปเปน็ ของพมา่ หลงั การปกั ปนั เขตแดนมานานนบั รอ้ ยปกี ต็ าม แตร่ ฐั ไทย
กลับมีแนวปฏิบัติต่อไทยพลัดถิ่นแบบเป็นคนอ่ืน ซึ่งปรากฏออกมาอย่างชัดเจน
ทั้งในรูปกฎหมาย นโยบาย กฎระเบียบ ประกาศ และกลไกของรัฐท่ีเลือกปฏิบัติ
ท�ำให้ไทยพลัดถ่ินเลือกที่จะรวมตัวเป็นเครือข่ายเรียกร้องการคืนสัญชาติไทยให้
พวกเขา
5 บตั รประจ�ำตัวประชาชนทม่ี เี ลข 13 หลกั ขึ้นต้นดว้ ยเลข 8 ซงึ่ เปน็ ทีเ่ ข้าใจกันในหมูไ่ ทยพลดั ถิน่ วา่ เปน็
บตั ร “คนแปลงสัญชาติ”
ปีท่ี 9 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2556
16 Journal of Mekong Societies
ความเป็นไทย (Thainess): กรอบอ้างอิงในการตอบโต้/ต่อรอง
ของไทยพลดั ถนิ่
มุมมองทางสังคมวิทยาแบบมานุษยวิธี (ethnomethodology) สนใจว่า
ส่ิงท่ีถูกมองว่าเป็นเรื่อง “ปกติ” นั้น มันได้รับการยอมรับจากผู้คนในสังคมว่าเป็น
เรอ่ื งปกตขิ องโลกไดอ้ ยา่ งไร แลว้ ผคู้ นมวี ธิ กี ารทจี่ ะน�ำเอาสงิ่ ทถี่ กู ยอมรบั วา่ เปน็ เรอ่ื ง
“ปกต”ิ (แบบแผน ระเบยี บวธิ ี กฎเกณฑ์ ขอ้ ตกลง บรรทดั ฐาน ฯลฯ) มาใชป้ ระโยชน์
ในชวี ติ ประจำ� วนั ไดอ้ ยา่ งไร โดยใหค้ วามสนใจวา่ ผคู้ นมแี บบแผนในการอา้ งองิ อยกู่ บั
บริบทการกระท�ำทางสังคม (indexicality) อย่างไร ซึ่งผู้เขียนต้องท�ำความเข้าใจ
บริบทและเงื่อนไขของสถานการณ์อย่างชัดเจนแล้วจึงสะท้อนกลับ (reflexivity)
มองวา่ ผคู้ นในสงั คมไมไ่ ดถ้ กู ก�ำหนดใหต้ อ้ งกระท�ำตามแบบแผน/ระเบยี บวธิ ี แตเ่ ขา
ใชแ้ บบแผน/ระเบยี บวธิ นี น้ั เปน็ ตวั อา้ งองิ (ซง่ึ กค็ อื indexicality) แลว้ จงึ เลอื กวธิ กี าร
ทจ่ี ะนำ� ไปใชป้ ระโยชน์ (ซง่ึ กค็ อื reflexivity) ใหค้ วามสำ� คญั กบั วธิ กี ารและกระบวนการ
แกไ้ ขปญั หามากกวา่ ผลของปญั หา (Panyagaew, 2000: 111-116) ในกรณขี องไทย
พลัดถิ่นคืนถิ่น พวกเขาได้น�ำแบบแผนหรือส่ิงท่ีคนไทยทั่วไปเช่ือว่าเป็นจริงคือ
“ความเป็นไทย” (Thainess) ซ่ึงตามปกติแล้วจะถูกใช้เพ่ือกีดกัน “คนท่ีไม่ใช่ไทย”
แตไ่ ทยพลดั ถนิ่ ไดน้ ำ� มาใชป้ ระโยชนเ์ ปน็ กรอบอา้ งองิ ในการตอ่ รองขอคนื สญั ชาตกิ บั
รฐั ไทย
ในมมุ มองของ Winichakul (1994: 126) มองวา่ การปกั ปนั เขตแดนระหวา่ ง
สยามกับประเทศเจ้าของอาณานิคมไม่ได้ก่อให้เกิดผลลบเพียงอย่างเดียว
เพราะได้ท�ำให้ประเทศไทยก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นมา เขาเสนอแนวคิด “ภูมิกายา”
(geo-body) โดยช้ใี หเ้ ห็นว่าดนิ แดนทเ่ี ปน็ รูปรา่ งประเทศในปัจจบุ นั ไม่ได้เปน็ เพยี ง
แค่พ้ืนท่ีตามธรรมชาติบนผิวโลกเท่านั้น ความคิดเรื่องดินแดนของสยามสมัยก่อน
ขึน้ อยกู่ บั การแผ่อ�ำนาจของกษัตรยิ ต์ ามแนวคิดปรมิ ณฑลอ�ำนาจ ไมม่ เี ส้นเขตแดน
ชดั เจนรอบประเทศอย่างทีเ่ รารู้จกั กันในปัจจุบนั ตา่ งกับความคดิ เร่ืองดนิ แดนสมัย
ใหม่ท่ีให้ความสำ� คัญกับ “อธิปไตยเหนือดินแดน” ตามแนวคิดภูมิศาสตร์การเมือง
สมยั ใหมท่ ม่ี าพรอ้ มกบั ความหมาย คณุ คา่ ทผ่ี กู พนั กบั ดนิ แดน ระบบระเบยี บปฏบิ ตั ิ
ปที ี่ 9 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2556
คนเข้าเมืองท่วั ไปหรอื คนพลัดถิ่น?:
การตอ่ รองนิยามตัวตนของไทยพลดั ถ่ินในสงั คมไทย 17
การของรัฐและสังคมเพ่ือควบคุมดินแดนแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน “...ดินแดนทาง
ภูมิศาสตรเ์ ปน็ มากกวา่ พนื้ ผิวโลก แตเ่ ป็น ‘ตัวตน’ ทางภมู ศิ าสตรข์ องชาตสิ มยั ใหม่
รวมท้งั สยาม เปน็ ‘ภูมิกายา’ (geo-body) ของสยาม...” (Winichakul, 1994: 88) ในยคุ ท่ี
“ภูมกิ ายา” ของสยามยงั ไม่ก่อรูปข้นึ นัน้ “ความเปน็ ไทย” และ “ความเป็นอนื่ ” จึงไม่แบง่
แยกชัดเจน แต่หลังจากตัวตนทางภูมิศาสตร์ของสยามก่อรูปข้ึน “ภูมิวิญญาณ”
(geo-soul) ก็เกิดข้ึนตามมา โดยเฉพาะอย่างย่ิงในช่วงจอมพล ป. พิบูลสงคราม
เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ด�ำเนินนโยบายชาตินิยมแบบสุดโต่ง ด้วยการหล่อหลอม
จติ วิญญาณแหง่ ชาติ ศาสนา และความเป็นไทย ท�ำให้ “ภูมิวิญญาณ” ไดแ้ ผ่ไปท่วั ทง้ั
“ภูมิกายา” (Ricks, 2008: 120) น�ำไปสู่การแบ่งแยก “ความเป็นไทย” และ
“ความเป็นอ่ืน” อย่างชัดเจน เมื่ออยู่ภายใต้กรอบโครงความคิดเรื่องความมั่นคง
แห่งชาติและกฎหมายด้านการปกครองที่รัฐไทยยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติต่อ
คนเขา้ เมอื ง หรอื คนต่างดา้ ว/ต่างถนิ่ เชน่ ในปัจจบุ ัน
ปัจจุบันสังคมไทยไม่สามารถปฏิเสธหรือเพิกเฉยต่อความต่างของผู้คน
ทอ่ี ยใู่ นสงั คมนไี้ ดอ้ กี ตอ่ ไป อกี ทง้ั ยงั ตอ้ งพยายามทกุ วถิ ที างทจี่ ะท�ำใหค้ วามแตกตา่ ง
ของวถิ ชี วี ติ และความเชอ่ื ของผคู้ นด�ำรงอยไู่ ดอ้ ยา่ งมศี กั ดศ์ิ รี เปดิ โอกาสใหก้ บั ความ
เป็นไทยอื่นๆ ที่แตกต่างหลากหลายได้มีพ้ืนท่ีอยู่ในสังคมไทยร่วมกันอย่างสงบสุข
และไม่แปลกแยก ตามกรอบแนวคิด “จินตนาการใหม่ความเป็นไทย” ได้ข้อสรุป
2 ประการ คือ ประการแรก ความคิดความเข้าใจเร่อื ง “ความเปน็ ไทย” ไดก้ อ่ ให้
เกิดปัญหาเม่ือคนจ�ำนวนหน่ึงพูดถึงความเป็นไทย ในแง่ที่เน้นความจริงแท้ของ
ลกั ษณะ “ไทย” ทยี่ ดึ โยงฝงั แนน่ กบั การสรา้ งรฐั -ชาตไิ ทย ไมว่ า่ จะเปน็ ภาษา ทศั นคติ
บคุ ลกิ จารตี ประเพณี ประวตั ศิ าสตร์ วฒั นธรรม และการด�ำเนนิ วถิ ชี วี ติ แลว้ ขดี เสน้
แบ่งความแท้หรือบริสุทธิ์กับสิ่งซ่ึงคิดว่าไม่บริสุทธิ์ออกไป และประการที่สอง
กระบวนทัศน์ท่ีหลอมสร้างความเป็นพลเมืองของรัฐไทย ได้ก่อปัญหาความรู้สึก
ไม่เป็นอันหน่ึงอันเดียวกันในสังคมไทย นโยบายรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม
ในสมัยสร้างชาตทิ ก่ี ำ� หนดให้ “ความเปน็ ไทย” มีแบบแผนตายตัว คับแคบ ปดิ กน้ั
และเบยี ดบงั คบั ใหค้ นสลายตวั ตนลง เพอื่ รบั เอาอตั ลกั ษณร์ ว่ มของพลเมอื งไทยอยา่ ง
เหมือนกันท้งั หมด (Archavanitkul, 2008: 3-7)
ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2556
18 Journal of Mekong Societies
“ความเป็นไทย” สามารถสรุปออกมาได้ใน 5 ลกั ษณะ คือ 1) ภาษาไทย
เป็นภาษากลางท่ีใช้ท้ังภาษาพูดและการมีตัวอักษรไทย ถือเป็นเอกลักษณ์
ทางวฒั นธรรมทสี่ ำ� คญั ทส่ี ดุ ในการชวี้ ดั ความเปน็ ไทยหรอื ระบเุ ชอ้ื ชาติ 2) การยดึ ถอื
ในระบบคุณคา่ -คา่ นิยมทดี่ ีงาม และพฤติกรรมทีแ่ สดงออกในปฏิสัมพนั ธท์ างสงั คม
ทหี่ ลอ่ หลอมมาจนเปน็ คณุ ลกั ษณะสำ� คญั ของความเปน็ ไทย 3) จารตี ประเพณดี งั้ เดมิ
ทสี่ บื ทอดตอ่ กนั มา โดยเฉพาะทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั วนั สำ� คญั ทางพทุ ธศาสนาและประเพณี
ทอ้ งถน่ิ 4) วตั ถสุ ญั ลกั ษณ/์ สง่ิ ประดษิ ฐท์ างวฒั นธรรมทบ่ี ง่ บอกถงึ ความเปน็ ไทย และ
5) การอ้างองิ ความเป็นไทยผ่านอุดมการณช์ าตินยิ ม โดยยดึ ม่ันผูกพันต่อรฐั -ชาตไิ ทย
การนับถือศาสนาพุทธและการยอมรับพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ
(Archavanitkul, 2008: 51-54) “ความเป็นไทย” ทด่ี ำ� รงอยู่ในความร้สู กึ นึกคดิ ของ
คนไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน เป็นผลมาจากการหลอมสร้างทางประวัติศาสตร์
ผ่านการนิยามของปัญญาชนคนส�ำคญั ๆ เรม่ิ ตน้ จากสมยั รชั กาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6
และพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ รวมถึงปัญญาชนสามญั ชนหลายคน โดยใช้
สอ่ื นานาชนดิ ในการปลกู ฝังความหมายของ “ความเป็นไทย” อยา่ งจรงิ จงั จนฝังลง
ไปในความรสู้ ึกนึกคิดของคนในประเทศ กลายเป็น “ระบอบแหง่ สจั จะ” ท่มี อี ทิ ธิพล
อยา่ งสงู ตอ่ วธิ คี ดิ เกยี่ วกบั สงั คมและวฒั นธรรมไทยสบื มาจนถงึ ปจั จบุ นั จนยากจะรอื้
ถอนได้ (Sattayanurak, 2008: 61-83)
หากพจิ ารณาจนิ ตนาการความเปน็ ไทยควบคกู่ บั มมุ มองมานษุ ยวธิ จี ะเหน็
ไดว้ า่ ไทยพลดั ถนิ่ กไ็ ดใ้ ชป้ ระโยชนจ์ าก “ความเปน็ ไทย” ซงึ่ เปน็ กระบวนทศั นท์ ห่ี ลอม
สรา้ งความเปน็ พลเมอื งของรฐั ไทย อนั เปน็ “โครงสรา้ ง” ทกี่ ดทบั พวกเขาอยู่ โดยนำ�
มาใช้เป็นกรอบอ้างอิงและแสดงให้สังคมได้เห็นว่าพวกเขาเป็นคนไทย จึงมีความ
ชอบธรรมที่จะเรียกร้องเพื่อขอคืนสัญชาติจากรัฐไทยได้ ท้ังน้ีเพราะพวกเขายังคง
ยดึ ถอื และธำ� รงรกั ษา “แบบแผน” ความเปน็ คนไทยเอาไว้ ตงั้ แตบ่ รรพบรุ ษุ มาจนถงึ
ปัจจุบัน แม้จะกลายเป็นคนพลัดถิ่นท่ีอาศัยอยู่ในดินแดนอื่น (ท่ีเคยเป็นของไทย)
กต็ าม
ตามแนวคิดคนพลัดถิ่น “บ้าน” คือ สถานที่ที่คนพลัดถ่ินไม่สามารถกลับ
คนื ไปได้ (the place of no return) เพราะมันกลายเปน็ สถานทใ่ี นเรอ่ื งเลา่ ขานหรอื
ปีท่ี 9 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สงิ หาคม 2556
คนเข้าเมืองท่วั ไปหรือคนพลัดถ่นิ ?:
การตอ่ รองนยิ ามตวั ตนของไทยพลดั ถ่นิ ในสังคมไทย 19
เป็นเพียงพ้ืนที่ในจินตนาการของคนพลัดถ่ินเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แนวคิดคนพลัด
ถ่ินกระบวนทัศน์สมัยใหม่ได้ถูกนำ� ไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ในขอบเขตที่กว้างกว่า
เดิม “บ้าน” จึงถูกตีความในความหมายท่ีกว้างกว่าเดิมเช่นกันว่าอาจจะหมายถึง
แหลง่ กำ� เนดิ สถานทต่ี ง้ั ถนิ่ ฐาน ทอ้ งถน่ิ ชาติ พน้ื ทขี่ า้ มพรมแดน หรอื แมก้ ระทง่ั เปน็
ชมุ ชนในจนิ ตนาการก็ได้ สว่ นค�ำวา่ “มาตภุ ูมิ” (homeland) มีนยั ยะของการหาทาง
กลับคืนสู่ “รากเหง้า” (roots) ซ่ึงมีความหมายเหมือนกับค�ำว่า แผ่นดินพ่อ
แผน่ ดินแม่ แผ่นดินของกลมุ่ เชอ้ื ชาติ หรือแผน่ ดินที่เคยอย่มู าแต่โบราณ (Cohen,
2009: 118-119) ดังน้ัน “บ้าน” ของคนพลัดถิ่นจึงถูกนิยามใหม่โดยยึดโยงอยู่กับ
ค�ำว่า “homeland” ซึ่งไทยพลัดถ่ินได้ถือเอาประเทศไทยเป็น “บ้านพ่อเมืองแม่”
หรือ “แผ่นดินพ่อ-แผ่นดินแม่” ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ใช่คนแปลกหน้าต่างถิ่น
และถือว่าการกลับเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นการกลับคืนแผ่นดินแม่ หรือเป็น
“ผู้กลับบ้าน/คืนถ่นิ ” (returnee)
ไทยพลัดถิ่นได้หยิบยกเอาข้อถกเถียงว่าตนเป็นคนไทยท่ีกลายเป็น
“คนอืน่ ” เน่อื งจากถูกแบ่งแยกโดยพรมแดนรฐั ดงั น้นั “ความเป็นไทย” จงึ ถกู นำ� มา
ใชเ้ ปน็ “กรอบอา้ งองิ ” วา่ พวกเขามคี วามชอบธรรมมากกวา่ คนตา่ งดา้ วหรอื ชนกลมุ่
น้อยอื่นๆ ที่จะเรียกร้องการคืนสัญชาติไทย เช่น การมีพระบรมฉายาลักษณ์ของ
พระมหากษัตริย์ไทยเป็นรูปเคารพในทุกครัวเรือน การพูดภาษาไทย (ปักษ์ใต้)
การเขียนอักษรไทย อีกท้ังยังยึดถือปฏิบัติวัฒนธรรมประเพณีไทย เป็นต้น และ
ผลส�ำเร็จของการเรียกร้อง/ต่อรองที่เกิดขึ้นคือ การประกาศใช้พระราชบัญญัติ
สัญชาติ (ฉบบั ที่ 5) พ.ศ. 2555 มาตรา 3 ทไี่ ด้เพม่ิ การนยิ าม “คนไทยพลดั ถนิ่ ” โดย
แยกออกจากบทนิยามคนต่างด้าวกลุ่มอื่นๆ โดยนิยามใหม่คือ “...คนไทยพลัดถ่ิน
หมายความว่า ผู้ซงึ่ มเี ช้ือสายไทยทตี่ ้องกลายเปน็ คนในบังคับของประเทศอ่ืน โดย
เหตอุ นั เกดิ จากการเปลย่ี นแปลงอาณาเขตของราชอาณาจกั รไทยในอดตี ซง่ึ ปจั จบุ นั
ผนู้ นั้ มไิ ดถ้ อื สญั ชาตขิ องประเทศอน่ื และไดอ้ พยพเขา้ มาอยอู่ าศยั ในประเทศไทยเปน็
ระยะเวลาหน่ึงและมีวิถีชีวิตเป็นคนไทย...” และมาตรา 9/6 ก�ำหนดว่าให้ผู้ซ่ึง
คณะกรรมการรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นให้การรับรองความเป็นคนไทย
พลดั ถน่ิ เปน็ ผ้มู สี ัญชาตไิ ทยโดยการเกิด
ปที ี่ 9 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2556
20 Journal of Mekong Societies
ถึงแม้ว่าในทางปฏิบัติแล้วยังคงมีปัญหาอีกหลายประการที่ยากต่อ
การได้คืนสัญชาติไทยตามที่พวกเขาเรียกร้อง เน่ืองกฎกระทรวงท่ีเกี่ยวข้อง
ซึ่งประกาศตามมาภายหลัง กลับเป็นอุปสรรคส�ำคัญท่ีท�ำให้ปัญหาของพวกเขา
ยงั ไมไ่ ดร้ บั การแกไ้ ข แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามผลสำ� เรจ็ ของการเรยี กรอ้ งการคนื สญั ชาตไิ ทย
ของไทยพลัดถ่ิน ก็เป็นช่องทางท่ีเปิดโอกาสให้พวกเขาสามารถคืน “สัญชาติไทย
ด้วยการเกิด” ไม่ใช่ “การแปลงสัญชาติ” ซ่ึงจะท�ำให้พวกเขาเข้าถึงทุนการเมือง
ไดเ้ ชน่ เดยี วกบั คนไทยทวั่ ไป หลงั จากทเี่ ผชญิ อปุ สรรคและถกู กดทบั อยใู่ นสงั คมไทย
มาเป็นเวลานาน และเป็นการยืนยันให้คนในสังคมไทยรับรู้สถานะของพวกเขา
อีกคร้ัง ท้ังตามความเชื่อของพวกเขาเอง ในทางวิชาการและในทางกฎหมายว่า
พวกเขาเป็น “คนพลดั ถ่ิน” ไม่ได้เปน็ เพียง “คนเข้าเมอื งทัว่ ไป”
บทสรปุ
จุดมุ่งหมายของบทความนี้ต้องการน�ำเสนอปฏิบัติการของไทยพลัดถิ่น
ในสังคมไทยที่ตอบสนองต่อการด�ำเนินนโยบายของรัฐท่ีผ่านมา หลังจากท่ีได้รวม
ตัวเป็น “เครือข่ายการแก้ปัญหาคืนสัญชาติคนไทย” ต้ังแต่เม่ือปี พ.ศ. 2545
และปฏิบัติการหน่ึงของพวกเขาก็คือ “การต่อรองนิยามตัวตนของไทยพลัดถ่ินใน
สังคมไทย” และการน�ำข้อต่อรอง/ถกเถียงดังกล่าวไปใช้ประโยชน์เพื่อการบรรลุ
เปา้ หมายสงู สดุ คอื “สทิ ธคิ วามเปน็ พลเมอื ง” โดยการไดค้ นื สญั ชาตไิ ทยดว้ ยการเกดิ
บทความนี้ยังได้น�ำเสนอข้อถกเถียงกับแนวคิดคนพลัดถิ่นแบบคลาสสิกด้วย
โดยพิจารณาว่าไทยพลัดถ่ิน คืนถิ่นมีคุณสมบัติเป็น “คนพลัดถ่ินผู้ตกเป็นเหย่ือ”
ของการเคล่ือนย้ายเขตแดนประเทศ ไม่ได้เป็นเพียง “คนเข้าเมืองทั่วไป” ดังนั้น
ไทยพลดั ถน่ิ จึงใช้ “ความเป็นไทย” เป็นกรอบอ้างองิ ท่ีแสดงให้เห็นวา่ พวกเขาไดใ้ ช้
ชีวิตประจ�ำวนั ท่เี ป็นเรอ่ื ง “ปกต”ิ เชน่ เดียวกับคนไทยทวั่ ไป หรืออาจจะยังคงรกั ษา
ความเป็นไทยไว้ได้อย่างเข้มข้นกว่าคนไทยท่ัวไปเสียอีก แต่ชีวิตประจ�ำวันที่เป็น
“ปกติ” ถูกหยุดลง (paused) ด้วยเส้นพรมแดนอันเป็นผลจากการปักปันเขตแดน
ระหวา่ งไทยกบั พมา่ และไดเ้ ปลยี่ นสถานะ (transit) พวกเขาใหก้ ลายเปน็ “คนพลดั ถนิ่ ”
ปีที่ 9 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2556
คนเขา้ เมอื งทั่วไปหรือคนพลัดถ่ิน?:
การต่อรองนิยามตวั ตนของไทยพลัดถ่นิ ในสังคมไทย 21
ซึ่งพวกเขาไม่ได้เป็นผู้กระท�ำ การกลับคืนประเทศไทยที่พวกเขายึดถือว่าเป็น
“บ้านพ่อเมืองแม่” ท�ำให้ต้องประสบปัญหาอุปสรรคและแรงกดดันต่างๆ มากมาย
ดงั นนั้ วธิ กี ารแกไ้ ขปญั หาทส่ี �ำคญั ของพวกเขากค็ อื การกลบั ไปอา้ งองิ กฎเกณฑต์ า่ งๆ
ทค่ี นในสงั คมไทยถอื วา่ เปน็ “ความจรงิ ” และเปน็ เรอื่ งปกตใิ นชวี ติ ประจ�ำวนั ซง่ึ กค็ อื
“ความเป็นไทย” ที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐไทยใช้เป็นกรอบแนวคิดในการกีดกัน
“คนอ่ืน” นั่นเอง ท�ำให้พวกเขามีความชอบธรรมท่ีจะต่อรองกับรัฐไทย ในการ
เรียกร้องสิทธิความเป็นพลเมืองมากกว่ากลุ่มคนไร้รัฐ-ไร้สัญชาติ หรือคนต่างด้าว
กลุ่มอืน่ ๆ
เอกสารอ้างองิ
Amersfoort, Hans van. (2004). Gabriel Sheffer and the Diaspora Experience.
Diaspora: A Journal of Transnational Studies. 13(2/3), 359-373.
Archavanitkul, Kritaya (Ed). (2008). Jintanakan Kwaum Pen Thai. (In Thai)
[Thainess Immagination]. Nakhon Pathom: Institute for Population and
Social Research, Mahidol University.
Baser, B. & Swain, A. (2009). Diaspora design versus homeland realities:
Case study of Armenian Diaspora. Caucasian Review of International
Affairs, 3(1), 45-62.
Brah, Avtar. (1996). Cartographies of Diaspora: Contesting Identities.
New York: Routledge.
Brubaker, Rogers. (2005). The ‘Diaspora’ Diaspora. Ethnic and Racial
Studies, 28(1), 1-19.
Carruthers, Ashley. (2008). Saigon from the Diaspora. Singapore Journal
of Tropical Geography, 29(2008), 68-86.
Cohen, Robin. (1997). Global Diaspora: An Introduction. Seattle:
University of Washington Press.
ปีที่ 9 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม-สงิ หาคม 2556
22 Journal of Mekong Societies
. (2009). Solid, Ductile and Liquid: Changing Notions of Homeland and
Home in Diaspora Studies. In Ben-Raffael, Sternberg. (Ed.).
Transnationalism: Diasporas and the Advent of a New (Dis)order.
Leiden: Brill.
Evans, Carl D. (2009). The Concept of Diaspora in Biblical Literature.
In Ehrlich. (Ed.). Encyclopedia of the Jewish Diaspora: Origins,
Experiences, and Culture. Santa Barbara, California: ABC-CLIO, LLC.
FACE Foundation. (2008). Koomue Kaekhai Panha Sathana Bukkhon Tam
Kodmay lae Kan Jangkerd khong Bukkhon sueng Kerd nai Prated
Thai. (In Thai) [Capacity Building on Birth Registration and Citizenship
in Thailand: Citizenship Manual]. Bangkok: UNESCO Bangkok.
Hall, Stuart. (1990). Cultural Identity and Diaspora. In Rutherford. (Ed.).
Identity: Community, Culture, Difference. London: Lawrence and
Wishart.
Hu-Dehart, Evelyn. (2005). Afterword: Brief Meditation on Diaspora Studies.
Modern Drama: World Drama from 1850 to the Present, 48(20),
428-439.
Kant, Immanuel. (1784). An Answer to the Question: “What is
Enlightenment?”. Cambridge University Press.
Panyagaew, Wasan. (2000). Chatpan Witee Wittaya. (In Thai)
[Ethnomethodology]. Journal of Social Sciences, 12(2), 102-133.
Phinney, Jean S. et al. (2001). Ethnic Identity, Immigration, and Well-Being:
An Interactional Perspective. Journal of Social Sciences, 57(3),
493-510.
Podhisita, Chai. (2007). Sart lae Silt Hang Kan Wijai Cherng Kunnapab.
(In Thai) [Sciences and Arts of Qualitative Research Approach].
Bangkok: Amarin Printing & Publishing.
ปที ่ี 9 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม-สงิ หาคม 2556
คนเข้าเมอื งท่ัวไปหรือคนพลัดถ่นิ ?:
การต่อรองนยิ ามตวั ตนของไทยพลดั ถน่ิ ในสังคมไทย 23
Popescu, Gabriel. 2006. Diaspora. In Warf (Ed.). Encyclopedia of Human
Geography. California: SAGE Reference Publication.
Pragatwutisarn, Chutima. (2008). Puentee nai Kwaum Songjam kab Kan
Sang Attaluck Pladthin nai Wannakum Satree Ruom Samai.
(In Thai) [Remembering Home and the Construction of Displaced
Subjects in Contemporary Women Literature]. Bulletin of the Faculty
of Arts Chulalongkorn University. 37(Special Issue), 165-195.
Ricks, J. I. (2008). National identity and the Geo-soul: Spiritually Mapping
Siam. Studies in Ethnicity and Nationalism, 8(1), 120-141.
Safran, William. (2005). The Jewish Diaspora in a Comparative and
Theoretical Perspective. Israel Studies. 10(1), 36-60.
Sattayanurak, Saichol. (2008). Prawatsart Kan Sang “Kwaum Pen Thai”
Krasae Lak. (In Thai) [The Construction of Mainstream Thought
History on “Thainess”]. Nakhon Pathom: Institute for Population and
Social Research, Mahidol University.
Senakham, Thirawuth. (2007). Thai Pladthin kab Khorjamkad khong Ong
Kwaumrue Wa Duey Rat-chat nai Sangkhom Thai. (In Thai)
[Thai Diaspora and Limitations of Nation-State Knowledge in Thai
Society. Dissertation (Ph.D. Political Science), Thammasat University.
Senanarong, Sawat. (1969). Pumisart Prated Thai. (In Thai) [Geography of
Thailand]. Bangkok: Thai Watana Panich.
Shoji, Rafael. (2005). “Book Review”, Migrants and Identity in Japan and
Brazil by Daniela de Carvalho. Journal of Global Buddhism, 6, 1-6.
Thaithin, Boonsong. (Assumed Name). (2011, August 11). Interview. Seniors
in the Thai Diaspora Community, Prachuap Khiri Khan Province.
ปีที่ 9 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2556
24 Journal of Mekong Societies
The Royal Institute. (1989). Kan Raieg Chue Prated Pama pen Pasa Thai.
(In Thai) [The Official Name of Burma in Thai]. Retrieved March 7,
2013, from http://www.royin. go.th/th/knowledge/ detail.php?ID=650.
Thinthai, Prakob. (Assumed Name). (2011, July 22). Interview. Seniors in
the Thai Diaspora Community, Prachuap Khiri Khan Province.
Van Hear, Nicholas. (1998). New Diasporas: The Mass Exodus, Dispersal
and Regrouping of Migrant Communities. London: UCL Press.
Voutira, Eftihia. (2006). Post-Soviet Diaspora Politics: The Case of the
Soviet Greeks. Journal of Modern Greek Studies. 24, 379-414.
Winichakul, Thongchai. (1994). Siam Mapped: A History of the Geo-body
of a Nation. Honolulu: University of Hawaii Press.
ปที ี่ 9 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2556