รายงานการวิจัยในชั้นเรียน ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ เรื่อง ระบบย่อยอาหาร ต่อผลสัมฤทธิ์ทางเรียนและทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดย นางสาวนูรณี สาและ ราบงานการวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา 2 ระดับปริญญาตรี สาขาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ปีการศึกษา 2565
ก ชื่อวิจัย ผลผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ เรื่อง ระบบย่อยอาหารต่อ ผลสัมฤทธิ์ทางเรียนและทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านบูเกะคละ (บุญชอบ สาครินทร์) ผู้วิจัย นางสาวนูรณี สาและ สาขาวิชา วิทยาศาสตร์ทั่วไป ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของสื่อวีดีทัศน์ เรื่อง ระบบย่อยอาหาร ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2 )เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการ เรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ เรื่องระบบย่อยอาหาร 3) เพื่อศึกษาทักษะการแก้ปัญหาก่อนและ หลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ เรื่องระบบย่อยอาหาร โดยการวิจัยนี้เป็น การวิจัยเชิงทดลองโดยใช้แบบแผนการวิจัยแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง ซึ่งกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบ้านบูเกะคละ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา จำนวน 13 คน ซึ่งได้จากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการ จัดการเรียนรู้ด้วยจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิทยาศาสตร์ 3) แบบวัดทักษะคิดอย่างมีวิจารณญาณ และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการ จัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนที่ได้รับการ จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2) หลัง เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์นักเรียนมีทักษะการแก้ปัญหาอยู่ในระดับมาก และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์อยู่ในระดับมาก คำสำคัญ: การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ทักษะการแก้ปัญหา
ข Research name The results of problem-based learning management in conjunction with the video on digestive system to achieve academic achievement and problem-solving skills of 6th graders of Ban Bukekkla School (Boonchok Sasarin). Researcher Nurnee Salaeh Degree General Science Academic Year 2022 The objective of this study was to 1) build and find the effectiveness of the pre- and postgraduation video to be 80/802; 2) to compare pre- and post-graduation performance with the pre- and post-graduation video; 3) problem-solving skills by problem-solving.It's a collaborative foundation with the media on the digestive system, and this research is: Experimental research using a single-group research plan measured before and after the experiment. The sample group in this study was a sixth-grade student in the first semester of the school year 2025, Ban Bukekkla School, Mueang District, Yala Province. The research tools include: 1) Knowledgebased learning management plan (5E) 2) Science achievement test, 3 cognitive skills test, and 4) students' satisfaction with problem-based learning management with video media. Statistics used in data analysis include average, deviation, baseline, and sample value test.It's not mutual. Research has found that 1) students who manage knowledge-seeking learning 5E has higher post-school science achievements, 2) after learning with problems as a base with video media, students have high problem solving skills, and 3) students are very satisfied with problem-based learning with video media. Keywords: problem-based learning management as a base.Science, problem-solving skills.
ค กิตติกรรมประกาศ รายงานวิจัยเล่มนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี เพราะผู้วิจัยได้รับความกรุณาอย่างยิ่งจาก ดร.โรซวรรณา เซพโมลาม อาจารย์ที่ปรึกษารายวิชาการวิจัยทางการศึกษาซึ่งให้คำปรึกษา และข้อเสนอแนะ ตลอดจนช่วยปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ในการวิจัยจนมีคุณภาพ ผู้วิจัยขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ ที่นี้ ขอขอบคุณท่านผู้อำนวยการ คณะครู และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านบูเกะคละ (บุญ ชอบ สาครินทร์) อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา ที่ให้ความอนุเคราะห์ และอำนวยความสะดวกในการเก็บรวบรวม ข้อมูลเพื่อการวิจัยในครั้งนี้ ขอขอบคุณครูณัฐพัชร์ ลี้กุลเสฎฐ์ คุณครูรุสนานี อาลีและคุณครูเยาวนุช โซะสะอิผู้เชี่ยวชาญที่กรุณา ให้คำแนะนำตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ จนทำให้งานวิจัยสมบูรณ์ สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ขอขอบพระคุณท่านเจ้าของเอกสารและงานวิจัยทุกท่านที่ผู้วิจัยนำมาอ้างอิงในรายงานวิจัยครั้งนี้ ตลอดจนขอขอบคุณ คุณพ่อคุณแม่และครอบครัวที่ให้คำปรึกษาต่าง ๆ รวมทั้งเป็นกำลังใจที่ดีเสมอมา และ ขอขอบคุณเพื่อนนิสิตนักศึกษาสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไปทุกท่านที่ให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งคำแนะนำที่เป็น ประโยชน์ต่อการศึกษาคว้า และคอยเป็นกำลังใจเสมอมา จนทำให้การศึกษาครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี นูรณี สาและ
ง สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อภาษาไทย (ก) บทคัดย่อภาษอังกฤษ (ข) กิตติกรรมประกาศ (ค) สารบัญ (ง) สารบัญตาราง (จ) บทที่ 1 บทนำ 1 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย 3 3. สมมติฐานของการวิจัย 3 4. ขอบเขตของการวิจัย 3 5. ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 4 6. ศัพท์เฉพาะ 5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6 1.แนวคิดและทฤษฏีการเรียนรู้ของ PBL 6 2.ความหมายของสื่อวีดีทัศน์ 9 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 10 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 14 5.กรอบแนวคิด 15 6.สมมุติฐานของการวิจัย 16 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย 17 1.กลุ่มเป้าหมาย 17 2. แบบแผนตัวอย่าง 17 3. เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล 18 4. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 18 5. การดำเนินการวิจัย 19 6. กาวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 19
จ สารบัญ (ต่อ ) เรื่อง หน้า บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 2 3 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมู ล 2 3 2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 24 บทที่5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแน ะ 2 8 1. สรุปผลการวิจัย 2 8 2. อภิปรายผลการวิจัย 2 8 3. ข้อเสนอแนะ 29 บรรณาณุกรม 3 0 ภาคผนวก 3 1 ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 34 ภาคผนวก ข รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ 40 ภาคผนวก ค คุณภาพของเครื่องมือการวิจัย 43 ภาคผนวก ง ภาพแสดงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 48 ประวัติผู้วิจัย 50
ฉ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า ตารางที่ 2.1 แบบแผนการทดลอง 18 ตารางที่ 4.1 ผลการประเมินคุณภาพสื่อวีดีทัศน์ ด้านเนื้อหา ตารางที่ 4.2 ผลการประเมินคุณภาพสื่อวีดีทัศน์ ด้านสื่อ 25 ตารางที่ 4.3 ผลการเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้น ป.6 27 ตารางที่ 4.4 แสดงตารางคะแนนการทดสอบวัดความสามารถด้านการแก้ปัญหา ตารางที่ ค.1 แสดงผลการทดสอบทางการเรียนก่อนและหลังผลของการจัดการเรียนรู้โดย ใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางเรียนและทักษะการ แก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตารางที่ค.4 ค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระย่อยอาหาร ตารางที่ ค.5 แสดงตารางคะแนนการทดสอบวัดความสามารถด้านการแก้ปัญหา หลังเรียนแบบอัตนัย
1 บทที่ 1 บทนำ 1.ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และฉบับที่ 3 พ.ศ. 2553 ระบุไว้ในมาตรา 22 และ 24 ว่าการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถในการ เรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนา ตามธรรมชาติ และเต็มศักยภาพ อีกทั้งหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กำหนดให้มี ตัวชี้วัดที่ใช้สมรรถนะที่สำคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์เป็นเป้าหมายหลักของการ พัฒนาเด็กและ เยาวชน โดยยึดหลักว่า ผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด การจัดการเรียนรู้ต้องคำนึงถึง ความแตกต่างระหว่างบุคคล และ ให้ความสำคัญทั้งความรู้และคุณธรรม ผู้สอนต้องพยายามคัดสรรกระบวนการ เรียนรู้ การออกแบบการเรียนรู้ที่ สอดคล้องกับศักยภาพและบริบทของผู้เรียนการ กำหนดบทบาทของผู้สอนและ ผู้เรียน การใช้สื่อการเรียนรู้ที่ หลากหลาย และการออกแบบการวัดผลและประเมินผล เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐาน และนำไปสู่ การพัฒนาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ต่อไป กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(ฉบับ ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ นี้ได้กำหนดสาระ การเรียนรู้ออกเป็น ๔ สาระ ได้แก่ สาระที่ ๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ สาระที่ ๓ วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ และสาระที่ ๔ เทคโนโลยี ซึ่งองค์ประกอบของหลักสูตร ทั้งในด้านของ เนื้อหา การจัดการเรียนการสอนและการวัดและ ประเมินผล การเรียนรู้นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในการ วางรากฐานการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนในแต่ละ ระดับชั้นให้มี ความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันตั้งแต่ชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๑ จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ สำหรับกลุ่มสาระ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้กำหนดตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง ที่ผู้เรียนจำเป็นต้องเรียน เป็นพื้นฐาน เพื่อให้สามารถ นำความรู้นี้ไปใช้ในการดำรงชีวิต หรือศึกษาต่อในวิชาชีพที่ต้องใช้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีได้ โดยจัดเรียงลำดับความยากง่าย ของเนื้อหาทั้ง ๔ สาระในแต่ละระดับชั้นให้มีการเชื่อมโยงความรู้กับ กระบวนการ เรียนรู้ และการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาความคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิด สร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะที่สำคัญทั้งทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะใน ศตวรรษ ที่ ๒๑ ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สามารถแก้ปัญหา อย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลหลากหลายและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ สถาบันส่งเสริม การสอนวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (สสวท.) ตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มุ่งหวังให้ เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อผู้เรียนมากที่สุด จึงได้จัดทำตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ขึ้น เพื่อให้สถานศึกษา ครูผู้สอน ตลอดจนหน่วยงานต่าง ๆ ได้ใช้เป็น แนวทางในการพัฒนา หนังสือเรียน คู่มือครู สื่อ ประกอบการเรียนการสอน ตลอดจนการวัดและประเมินผล โดยตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระ
2 การเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ที่จัดทำขึ้นนี้ได้ปรับปรุง เพื่อให้มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงกันภายในสาระการเรียนรู้ เดียวกันและระหว่างสาระการเรียนรู้ใน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตลอดจนการเชื่อมโยง เนื้อหาความรู้ ทางวิทยาศาสตร์กับ คณิตศาสตร์ด้วย นอกจากนี้ ยังได้ปรับปรุงเพื่อให้มีความทันสมัยต่อการ เปลี่ยนแปลง และความ เจริญก้าวหน้าของวิทยาการต่าง ๆ และทัดเทียมกับนานาชาติ นอกจากนี้การดำเนินการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและการจัดการศึกษาแผนใหม่ ได้มี การนำเอาเทคโนโลยีทางการศึกษาเข้ามาช่วยให้การสอนมีประสิทธิภาพและบรรลุจุดมุ่งหมายทางการศึกษา เปลี่ยนแปลงบทบาทของครูจากผู้สอนให้เป็นผู้แนะแนวทางและส่งเสริมให้ผู้เรียนมีโอกาสพูดและทำมากขึ้น สื่อ วัสดุอุปกรณ์ที่นำมาใช้จะช่วยให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาต่าง ๆ ในกระบวนการสอนนั้น อุปกรณ์และสื่อการสอนเป็น องค์ประกอบที่สำคัญ และด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่สามารถเสนอข้อมูลที่จำเป็นต่อการ เรียนรู้ได้ทุกแบบทุกระดับ ทั้งในลักษณะของตัวอักษร ภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียง ภาพ จำลองแม้กระทั่ง ภาพยนตร์หรือวีดิทัศน์ ทำให้กระบวนการเรียนรู้มีชีวิตชีวาน่าสนใจ ชวนให้ติดตาม อีกทั้งได้ก้าวหน้าไปสู่หัวใจของ การเรียนรู้ที่ไม่มีขีดจำกัดเฉพาะแต่ในห้องเรียน หรือเฉพาะแต่ที่มีในตำราที่กำหนดไว้ [3,4] สื่อวิดิทัศน์จึงเป็นสื่อที่ สร้างความน่าสนใจให้กับเนื้อหาได้เป็นอย่างดี ในบรรดาสื่อและเครื่องมือต่างๆ ที่นำมาใช้ในการเรียนการสอนที่นั้นวีติทัศน์เพื่อการศึกษานับว่าเป็นสื่อที่ มีความสอดคล้องกับวิธีสอนมากที่สุด เนื่องจากวีดิทัศน์เพื่อการศึกษานั้นประกอบไปด้วยภาพและเสียงซึ่งมี ประสิทธิภาพจากการศึกษาพบว่าวีดิทัศน์การศึกษา สามารถรวบรวมเอาสื่อต่างๆเข้าไว้ได้ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น ตัวหนังสือ สไลด์ ภาพยนตร์ บทเรียนโปรแกรม และอื่นๆซึ่งมีประสิทธิภาพ ไม่น้อยไปกว่าครูผู้สอนหรือการใช้สื่อ อื่นๆ สามารถแก้ปัญหาต่างๆในการสอนได้ เช่นการขาดแคลนของวัสดุอุปกรณ์ การขาดแคลนครูผู้สอน หรือ ข้อจำกัดในเรื่องเวลาในการสอนด้านทักษะหรือกระบวนการ เป็นตัน วีติทัศน์จึงเป็นสื่อที่มีบทบาทและมีคุณค่าต่อ การเรียนการสอนในคุณส่งปัจจุบันอย่างมากโดยช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน รวมทั้งมีส่วนที่ทำให้ กระบวนการศึกษาต้องเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเฉพาะต้านวัสดุเครื่องมืออุปกรณ์ที่ได้นำเทคในโลยีมาใช้ในการ ผลิหสีอการสอน เพื่อทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์หรือจุดบุหมายที่ผู้สอนได้วายไว้เป็นอย่างดี(กิ ดานันท์ มลิทอง 2540) โดยมีการทำสื่อหลากหลายประเภทเข้ามาจัดการเรียนการสอน รวมไปถึงการนำวีดีทัศน์มา ใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งมีประโยชน์และมีคุณค่าต่อการเรียนรู้เป็นอย่างมากเพราะวีดีทัศน์สามารถถ่ายทอดได้ทั้ง ภาพและเสียง สะดวกในการเก็บรักษาและสามารถนำไปเผยแพร่ได้ง่ายกว่า มีความทนทานสูง เก็บรักษาง่าย พกพาได้สะดวก สามารถเสนได้กับคอมพิวเตอร์ทั่วไปตลอดจนเครื่องเล่นวีดีทัศน์มีราคาไม่แพง และยังมีอิทธิพสใน การสร้างแรงจูงใจให้กับผู้เรียนอีกด้วยอีกทั้งในวีดีทัศน์มี 2 รูปแบบคือ ภาพและเสียงบรรยาย ซึ่งการบรรยายก็เป็น ตัวแปรหนึ่งที่จะเป็นสิ่งที่จะช่วยเสริมอธิบายการเรียนรู้ และเนื้อหาให้นักศึกษา แต่รูปแบบของการบรรยายมีหลาย วิธีเช่น การบรรยาย การสนทนา การบอกเรื่อง ซึ่งเทคนิคการบรรยายแต่ละวิธีก็มีข้อดีแตกต่างกัน ซึ่งในบางครั้ง การใช้วีดิทัศน์เพื่อการสอนเราต้องให้มีการบันทึกเสียงบรรยายที่แปลกออกไปเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและมีการโน้ม น้าวจิตใจของผู้ฟังให้มากขึ้น การบรรยาย ช่วยให้การอภิปรายเรื่องราวในวิดีทัศน์ได้ดีขึ้นทำให้นักศึกษาได้รับทราบ
3 ข้อมูลเพิ่มเต็มและสามารถเน้นจุดที่สำคัญของภาพได้ บทเรียนวีดิทัศน์เป็นนวัตกรรมทางการศึกษาที่สามารถช่วย ให้เกิดประสิทธิภาทในการเรียนการสอนได้อย่างน่าเชื่อถือได้ เมื่อพีจารณาจากหลักการของสื่อวิทัศน์แล้วผู้เรียนจะ ได้เห็นภาพในลักษณะต่าง ๆ ได้ยินเสียงประกอบที่สมจริง มีคำถามมีคำตอบ และเสียงคนตรีประกอบที่นำสนใจ วี ติทัศน์นับเป็นสื่อที่ใช้ในการเรียนการสอนชนิดหนึ่งที่วงการศึกษาให้ความสนใจ ทั้งยังช่วยให้ครูดำเนินการสอนที่มี ประสิทธิภาพเท่าทียมกันในมาตรฐานเดียวกัน และยังทำให้ประหยัดเวลาในการเตรียมการสอนทำให้การสอนเรื่อง นั้น 1 บรรลุวัตถุประสงค์เดียวกัน วัวยวิธีเดียวกันและช่วยให้การเรียนการสอนบรรลุจุดมุ่งหมายได้อย่างมี ประสิทธิภาพ จากลักษณะของวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งเป็นวิชาที่เน้นการปฏิบัติเพื่อสร้างทักษะให้เกิดกับ ผู้เรียนตามพระราชบัญญัติการศึกษา ดังกล่าวข้างต้นผู้วิจัยจึงได้พัฒนาผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็น ฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ เรื่อง ระบบย่อยอาหารต่อผลสัมฤทธิ์ทางเรียนและทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 เพื่อให้ได้สื่อวีดิทัศน์ประกอบการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และเป็นสื่อ การสอนที่ช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนตลอดจนเพิ่มความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ต่อผู้เรียน 2.วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2.1 เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของสื่อวีดีทัศน์ เรื่อง ระบบย่อยอาหาร ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็น ฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ เรื่องระบบย่อยอาหาร 2.3 เพื่อศึกษาทักษะการแก้ปัญหาก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับ สื่อวีดีทัศน์ เรื่องระบบย่อยอาหาร 3.ขอบเขตของการวิจัย 3.1 กลุ่มเป้าหมาย 1) ประชากร คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบูเกะ คละ(บุญชอบ สาครินทร์) จำนวนนักเรียน 13 คน 2) กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบูเกะ คละ(บุญชอบ สาครินทร์จำนวนนักเรียน 13 คน ซึ่งได้มาโดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive) 3.2 ตัวแปรที่ศึกษา 1) ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้โดยใช่ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ เรื่อง ระบบย่อยอาหาร 2) ตัวแปรตาม คือ 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2) ความพึงพอใจต่อทักษะการแก้ปัญหา
4 4.ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 4.1 นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์เรื่อง ระบบย่อยอาหาร มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 4.2 นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ เรื่อง ระบบย่อยอาหาร มี ทักษะการแก้ปัญหาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 4.3 สามารถนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ไปประยุกต์ใช้ในรายวิชา อื่น ๆได้ 5.ศัพท์เฉพาะ 5.1 การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน หมายถึง การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based learning หรือ PBL) เป็นรูปแบบ การ เรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากแนวคิดตามทฤษฎีการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์นิยม (Constructivism) โดยให้ผู้เรียนสร้าง ความรู้ใหม่ จากการใช้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในโลกเป็นบริบทของการเรียนรู้(Learning Context) เพื่อให้ผู้เรียน เกิด ทักษะในการคิดวิเคราะห์และคิดแก้ปัญหา รวมทั้งได้ความรู้ตามศาสตร์ในสาขาวิชาที่ตนศึกษา ไปพร้อม กันด้วย การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานจึงเป็นผลมาจากกระบวนการท างานที่ต้องอาศัยความเข้าใจและการ แก้ไขปัญหา เป็นหลัก ถ้ามองในแง่ของยุทธศาสตร์การสอน PBL เป็นเทคนิคการสอน ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ลง มือปฏิบัติด้วย ตนเอง เผชิญหน้ากับปัญหาด้วยตนเอง จะทำให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะในการคิดหลายรูปแบบ เช่น การคิด วิจารณญาณ คิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ 5.2 การจัดการเรียนรู้โดยสื่อวีดีทัศน์ หมายถึง วีดิทัศน์เพื่อการศึกษาเป็นสื่อการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่ง ที่มีบทบาทและสำคัญมาก ปัจจุบันวีดิทัศน์เป็นสื่อที่สำคัญและได้รับความนิยมทั้งจากวงการบันเทิงและวงการการศึกษาเพราะ สามารถนำไปใช้งานได้สะดวกโดยเฉพาะในปัจจุบันวีดิทัศน์ได้รับเปลี่ยนไปประยุกต์เข้ากับเครือข่าย อินเตอร์เน็ต จึงทำให้การรับชมแพร่หลายและการเข้าถึงวีดิทัศน์สามารถทำได้มากขึ้นสำหรับความหมาย ของวีดิทัศน์ มีผู้ให้คำยามไว้ดังนี้ 5.3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบย่อยอาหารของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งวัดได้จากการทำแบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลังเรียน ที่ผู้วิจัย สร้างขึ้นตาม จุดประสงค์การเรียนรู้ เป็นแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ โดยใช้การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) และทดสอบหลังเรียน (Posttest) โดยวัดด้านความรู้ ดังนี้ 1) ด้านความรู้ความจำ 2) ด้านคามเข้าใจ 3) ด้านการ นำไปใช้ 4) ด้านการวิเคราะห์
5
6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยในชั้นเรียน เรื่อง ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ เรื่อง ระบบ ย่อยอาหารต่อผลสัมฤทธิ์ทางเรียนและทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านบูเกะ คละ (บุญชอบ สาครินทร์) อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังนี้ 1.แนวคิดและทฤษฏีการเรียนรู้ PBL 2.ความหมายของสื่อวีดิทัศน์ 3.ผลสัมฤทธิ์ทางเรียน 4.แนวคิดทฤษฏีเกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ 5.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6.กรอบแนวคิดการวิจัย 7.สมมติฐานการวิจัย 2.1 แนวคิดและทฤษฎีการเรียนรู้ที่เป็นพื้นฐานของ PBL แนวคิดในเรื่องของการเรียนรู้ ที่นักจิตวิทยาทางการศึกษา นำมาเป็นประเด็นในการถกเถียงกันมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มทฤษฎีการเรียนรู้เชิงพฤติกรรมนิยม (Behaviorist learning theory) ในกลุ่มนี้เชื่อว่า ความรู้มีอยู่มากมายในโลก แต่ความรู้ที่สามารถถ่ายโยงมายังผู้เรียนอย่างเป็นรูปธรรมนั้นมีเพียง เล็กน้อย การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง นักจิตวิทยาที่ได้รับการ ยอมรับกันในกลุ่มนี้ คือ สกินเนอร์ (Skinner) 2. กลุ่มทฤษฎีการเรียนรู้เชิงพุทธิปัญญานิยม (Cognitive learning theory) มีความเชื่อว่า ความรู้เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างที่มีลักษณะเฉพาะ (particular structure) กับ สิ่งแวดล้อมทางจิตวิทยา (psychological environment) ของผู้เรียนแต่ละบุคคล การเรียนรู้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ ผู้เรียนได้ปรับเปลี่ยนโลกภายในของตน โดยอาศัยกระบวนการปฏิสัมพันธ์ที่เกิดจากการรับความรู้ใหม่เข้าไปใน สมองหรือจากการปรับเปลี่ยนความรู้เก่าให้เข้ากับความรู้ใหม่ นักจิตวิทยาที่ได้รับการยอมรับแนวคิดมากที่สุดใน กลุ่มนี้ คือ เพียเจท์ (Piaget) ในปี ค.ศ.1990 สหรัฐอเมริกาได้ประกาศให้ทศวรรษต่อไปเป็น ทศวรรษของสมองและทศวรรษขอ’ การศึกษา (The decade of brain and the decade of education) เนื่องมาจาก ผลการค้นคว้าวิจัยเรื่องสมอง ทำให้นักการศึกษารู้ว่า สมองมนุษย์มีลักษณะเฉพาะเป็นแหล่งเก็บ เป็นแหล่งกำเนิดของพฤติกรรมเป็นอวัยวะที่มี
7 ความสลับซับซ้อนมากที่สุด ในร่างกายมนุษย์ สมองของคนเราสามารถรับเรื่องราวที่เกิดจากการเรียนรู้ ได้ทุกอย่าง (receive all education) และด้วยความแตกต่างกันของสมอง ส่งผลให้คนเรามีลักษณะของการเรียนรู้ (Learning style) ที่แตกต่างกัน จึงท าให้ วิธีการเรียนรู้ของมนุษย์แต่ละคนมีความแตกต่างกันไป ต่อมาได้มีทฤษฎีการเรียนรู้ใหม่ ๆ เกิดขึ้นหลายทฤษฎี ทฤษฎีการเรียนรู้ที่นักการศึกษาส่วนใหญ่ให้ความ สนใจกันมากได้แก่ ทฤษฎีการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์นิยม (Constructivist learning theory) ซึ่งมีแนวคิดTJ สอดคล้องกับการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 มากที่สุด ซึ่งในกลุ่มนี้มีความเชื่อว่า การเรียนรู้จะ เกิดขึ้น เมื่อ ผู้เรียนได้สร้างความรู้ที่เป็นของตนเองขึ้นมา จากความรู้ที่มีอยู่เดิมหรือจากความรู้ที่รับเข้ามา ใหม่ จากแนวคิด ดังกล่าวจึงนำไปสู่การปรับเปลี่ยนวิธีเรียน วิธีสอน แนวใหม่ ห้องเรียนในศตวรรษที่ 21 ครูไม่ใช่ผู้จัดการทุกสิ่งทุก อย่าง ผู้เรียนต้องได้ลงมือปฏิบัติเอง สร้างความรู้ที่เกิดจากความเข้าใจของตนเอง และ มีส่วนร่วมในการเรียนมาก ขึ้น (Active learning) รูปแบบการเรียนรู้ ที่เกิดจากแนวคิดนี้ มีอยู่หลาย รูปแบบ ได้แก่ การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative learning) การเรียนรู้แบบช่วยเหลือกัน (Collaborative learning) การเรียนรู้โดยการค้นคว้า อย่างอิสระ Independent investigation method) รวมทั้งการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based learning) สำหรับในประเทศไทยนั้น ปัจจุบันการสอนโดยใช้รูปแบบ PBL ในการสอนทั้งระดับการศึกษาขั้น พื้นฐาน และระดับอุดมศึกษาเป็นที่นิยมกันมากขึ้น มีงานวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน ที่เรียกว่าการวิจัยใน ชั้นเรียนที่ ใช้ PBL มากมาย มหาวิทยาลัยหลายแห่งที่ส่งเสริมและได้ทดลองน าไปใช้แล้ว เช่น จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รวมถึง มหาวิทยาลัยเอกชนหลายแห่ง โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มีการ พัฒนารูปแบบ PBL ในการสอนร่วมกับ ผู้สอนจากมหาวิทยาลัย Stanford และ Vanderbuilt สำหรับผู้เขียน เองได้ทดลองใช้รูปแบบ PBL ในการสอน นักศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ศึกษา คณะ ศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น พบว่า ผู้เรียนมี พัฒนาการทางความคิด อย่างหลากหลาย ส่งผลให้เกิด การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม เป็นที่พึงประสงค์ตาม หลักสูตรผลิตครูวิทยาศาสตร์ 2.1.1 การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based learning หรือ PBL) เป็นรูปแบบการ เรียนรู้ที่เกิดขึ้น จากแนวคิดตามทฤษฎีการเรียนรู้แบบสร้างสรรค์นิยม (Constructivism) โดยให้ผู้เรียนสร้าง ความรู้ใหม่ จากการ ใช้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในโลกเป็นบริบทของการเรียนรู้(Learning Context) เพื่อให้ผู้เรียน เกิดทักษะในการคิด วิเคราะห์และคิดแก้ปัญหา รวมทั้งได้ความรู้ตามศาสตร์ในสาขาวิชาที่ตนศึกษา ไปพร้อม กันด้วย การเรียนรู้โดยใช้ ปัญหาเป็นฐานจึงเป็นผลมาจากกระบวนการทำงานที่ต้องอาศัยความเข้าใจและการ แก้ไขปัญหาเป็นหลัก ถ้ามอง ในแง่ของยุทธศาสตร์การสอน PBL เป็นเทคนิคการสอน ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ลง มือปฏิบัติด้วยตนเอง เผชิญหน้า กับปัญหาด้วยตนเอง จะทำให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะในการคิดหลายรูปแบบ เช่น การคิดวิจารณญาณ คิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ หลายท่านอาจมีความสงสัยว่า การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (PBL) และการเรียนรู้เพื่อการ แก้ปัญหา (problem solving learning) ต่างกันอย่างไร ความแตกต่างที่ชัดเจนคือ การ
8 เรียนรู้โดยใช้ปัญหา เป็นฐานจะเน้นที่การกำหนดสิ่งที่จะเรียนรู้และกระบวนการค้นคว้าหาความรู้ใหม่เพื่ออธิบาย ปัญหาที่พบ ส่วน การเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาจะเน้นที่การประยุกต์ใช้ความรู้ที่มีอยู่และตัดสินใจทางเลือกที่เหมาะสม สำหรับการแก้ปัญหานั้นๆ จะเห็นว่าการเรียนรู้ทั้งสองแบบไม่ใช่เป็นสิ่งเดียวกัน แต่จะมีความสัมพันธ์กันและเป็น กระบวนการที่ต่อเนื่องกัน 2.1.2 ลักษณะสำคัญของการเรียนรู้แบบ PBL รูปแบบของการจัดการเรียนรู้แบบการใช้ปัญหาเป็นฐาน หรือ PBL มีลักษณะสำคัญดังนี้ 1. ให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้อย่างแท้จริง (student-centered learning) 2. จัดผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อย ๆ ให้มีจำนวนกลุ่มละประมาณ 5–8 คน 3. ผู้สอนทำหน้าที่ เป็นผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) หรือผู้ให้คำแนะนำ (guide) 4. ใช้ปัญหาเป็นตัวกระตุ้น (สิ่งเร้า) ให้เกิดการเรียนรู้ 5. ลักษณะของปัญหาที่นำมาใช้ ต้องมีลักษณะคลุมเครือ ไม่ชัดเจน มีวิธีแก้ไขปัญหาได้อย่าง หลากหลาย อาจมีคำตอบได้หลายคำตอบ 6. ผู้เรียนเป็นผู้แก้ปัญหาโดยการแสวงหาข้อมูลใหม่ ๆ ด้วยตนเอง (self-directed learning) 7.การประเมินผล ใช้การประเมินผลจากสถานการณ์จริง (authentic assessment) ดูจาก ความสามารถในการปฏิบัติของผู้เรียนในขณะทำกิจกรรมการเรียนรู้(Learning process) และพิจารณาจากผลงาน ที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ (Learning product) 2.1.3 จุดเด่นและข้อจำกัดของการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน จากงานวิจัยหลายชิ้นพบว่าการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานมีจุดเด่นที่สำคัญ คือ ผู้เรียนจะมี ทักษะใน การตั้งสมมติฐานและการให้เหตุผลดีขึ้น สามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำงานเป็นกลุ่มและ สื่อสารกับผู้อื่นได้ดีขึ้นและมีประสิทธิภาพ ความคงอยู่ของความรู้นานกว่าการเรียนแบบบรรยาย นอกจากนั้น บรรยากาศการเรียนรู้มีชีวิตชีวา จูงใจให้ผู้เรียนอยากเรียนรู้มากขึ้น และยังส่งเสริมความร่วมมือและการท ำงาน ร่วมกันระหว่างภาควิชาหรือหน่วยงาน ข้อจำกัดของการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ซึ่งยังเป็นประเด็นที่ถกเถียง กัน ได้แก่ครูมีความกังวลว่า ผู้เรียนจะมีความรู้น้อยลง ความรู้ที่ได้รับจะไม่เป็นระบบ ความถูกต้องของเนื้อหาหรือ ข้อมูลที่ผู้เรียนไปค้นคว้า ศึกษามา ตลอดจนครูต้องมีทักษะที่หลากหลายมากกว่าการสอนแบบบรรยาย ในส่วนของ ผู้เรียน จะกังวล เกี่ยวกับความถูกต้องของเนื้อหา ไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ตนเองไปเรียนรู้มาถูกต้องหรือไม่ขอบเขตของการ เรียนรู้ต้อง เรียนรู้มากน้อยเพียงไร รวมถึงความแตกต่างกันของครูหรือผู้สอนประจำกลุ่ม นอกจากนี้อาจยังมี ข้อจำกัด เกี่ยวกับงบประมาณหรือสิ่งสนับสนุนที่ใช้จำนวนครูการบริหารจัดการ ซึ่งต้องมีการประสานงานและ ร่วมมือ กันอย่างดีระหว่างภาควิชา และเวลาที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน
9 2.1.4 ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพของการจัดการเรียนรู้แบบ PBL คุณภาพของการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานจะขึ้นกับปัจจัยต่อไปนี้ 1. ความสำคัญของเนื้อหา ต้องเลือกเนื้อหาที่เป็นแกนหรือหลักการและสอดคล้องกับการนำไปใช้ ใน สถานการณ์จริง 2. คุณภาพของโจทย์ปัญหา ต้องเลือกปัญหาที่พบบ่อยในสถานการณ์จริงและสร้างปัญหาให้ สอดคล้องกับ วัตถุประสงค์ของหลักสูตร ปัญหาที่ดีจะต้องน่าสนใจและกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถอภิปรายและเรียน ลงไป ในระดับลึกจนเข้าใจแนวคิดของปัญหามากกว่าการท่องจำ สามารถเชื่อมโยงความรู้เดิมของผู้เรียนกับ ข้อมูล ใหม่ 3. กระบวนกลุ่ม ทั้งครูและผู้เรียนต้องเข้าใจพลวัตรของกระบวนการกลุ่ม บทบาทของสมาชิกแต่ ละคนในกลุ่ม กระบวนการกลุ่มที่ดีจะทำให้การเรียนรู้มีประสิทธิผลยิ่งขึ้น 4. บทบาทและทักษะของครูครูหรือผู้สอนยังมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน แต่จะเปลี่ยนไปจากการสอนแบบบรรยาย คือไม่ได้เป็นผู้เอาความรู้มาบอกแต่มีบทบาทที่สำคัญในการออกแบบ กิจกรรมและบริหารจัดการให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมการเรียนรู้ตามที่วางแผนไว้ เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และพัฒนา วิธีการเรียนรู้และความสามารถในการแก้ปัญหาไปพร้อม ๆ กัน 5. การพัฒนาทักษะต่างๆ ของทั้งครูและผู้เรียน ครูอาจไม่มั่นใจตนเองในการที่ต้องเป็นครูในวิชา ที่ตนไม่ชำนาญ ครูจะต้องได้รับการพัฒนาและฝึกทักษะต่างๆ ของการเป็นครูประจำกลุ่ม จะช่วยให้การเรียนการ สอนประสบความสำเร็จมากขึ้น ผู้เรียนก็จะต้องได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน และการเตรียมความพร้อมก่อนการเรียนแบบนี้ 6. ทรัพยากรการเรียนรู้เนื่องจากเป็นแหล่งข้อมูลหรือความรู้ที่สำคัญ การเตรียมและจัดหาแหล่ง ทรัพยากรการเรียนรู้ที่หลากหลาย พร้อมทั้งเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องจึงมีความจำเป็นต่อการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็น ฐาน 7. การบริหารจัดการ ความร่วมมือและประสานงานกันระหว่างภาควิชาหรือหน่วยงาน ตลอดจน การวางแผนที่เหมาะสมจะทำให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ 2.2 ความหมายของสื่อวีดิทัศน์ คําว่า “วีดิทัศน์” มีความหมายตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Video Tape” ซึ่งมีความหมายว่า แถบ บันทึกวีดิทัศน์ แถบบันทึกภาพ เทปบันทึกภาพ เทปวีดิทัศน์ ซึ่งแต่เดิมคำว่า Video เป็นภาษาลาติน แปลว่า “I see = ฉันเห็น” เมื่อมาเป็นภาษาไทยก็ใช้คำว่า “ภาพ” ต่อมาปี พ.ศ.2525
10 มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช แนะนำให้ใช้ คำว่า “ภาพทัศน์” โดยอาศัยบัญญัติคำใกล้เคียงกับ ภาพยนตร์ คำนี้ปรากฏในเอกสารมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช จนกระทั่ง พ.ศ.2530 ราชบัณฑิตยสถานได้บัญญัติคำว่า “วีดิทัศน์” แทนคำว่า Video คําว่า วีดิ มาจากคำว่า วิติ ซึ่งแปลว่า รื่นรมย์หรือชวนให้รื่นรมย์จึงทำให้ใช้ คำว่า วีดิทัศน์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา (ชัยยงค์ พรหมวงศ์, 2540) รัชนก ถิระแก้ว(2555,น.38)กล่าวว่าวีดิทัศน์หมายถึงเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ใช้บันทึกได้ทั้งภาพ และเสียงได้พร้อมๆกันในเวลาเดียวกัน สามารถเก็บวีดิทัศน์ที่บันทึกไว้เรียกกลับมาดูได้ทุกเวลาและ สามารถลบการบันทึกออกได้ ซึ่งวีดิทัศน์นั้นครอบคลุมรวมไปทั่วทุกแห่งหน กาญจนา ตุ่นคำแดง (2554) กล่าวไว้ว่า การพัฒนาสื่อวิดีทัศน์เป็นการสร้างงามสามมิติทีมี ประสิทธิภาพเหมาะกับการใช้งานได้ทั้งในและนอกห้องเรียนและยังสามารถเรียงลำดับเหตุการณ์ที่สร้าง ขึ้นจากชิ้นงานที่ยากเป็นสื่อที่ทำให้นักเรียนมีความรู้พื้นฐานในเรื่องที่เรียน จากความหมายที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า วีดิทัศน์ หมายถึง แถบ วัสดุอุปกรณ์ ซึ่งเป็นแถบ เคลือบแม่เหล็กสามารถเก็บบันทึกข้อมูลได้หลายมิติ เช่น ภาพ และเสียง ในรูปแบบของคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้า สามารถติดต่อเพิ่มเติม ลบออกได้โดยมีสื่อแพร่ภาพ แพร่เสียง เช่น เครื่องรับโทรทัศน์ หรือ คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องแสดงภาพและเสียง 2.3 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหมายถึงความสามารถของนักเรียนซึ่งวัดได้จากแบบทคสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจำนวน1ชุดโดยเป็นการวัดความเข้าใจในเนื้อหาวิชาเรื่องระบบย่อยอาหารของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 กระทรวงศึกษาธิการ (2554) ได้ระบุผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ในหนังสือประมวลศัพท์ทางการ ศึกษาว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จหรือความสามารถในการกระทำใด ๆ ที่ต้องอาศัยทักษะ หรือมิฉะนั้นก็ต้องอาศัยความรอบรู้ในวิชาใดวิชาหนึ่งโดยเฉพาะ อรทัย จันใด (2553, หน้า 18) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ความสามารถ ในการ ที่จะพยายามเข้าถึงความรู้ หรือทักษะซึ่งเกิดจากการกระท าที่ประสานกันต้องอาศัยความพยายามอย่าง มาก ทั้งองค์ประกอบทางด้านที่เกี่ยวข้องกับสติปัททา และองค์ประกอบที่ใช้สถิติปัททา แสดงออกในรูปของ ความสำเร็จ ซึ่งสามารถสังเกตและวัดได้ด้วยเครื่องมือทางจิตวิทยาหรือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทั่วไป ไพโรจน์ คะเชนทร์ (2556) ให้คำจำกัดความ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า คือ คุณลักษณะ รวมถึง ความรู้ ความสามารถของบุคคลอันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน หรือมวลประสบการณ์ทั้งปวงที่บุคคลได้รับ จากการเรียนการสอน ทำให้บุคคลเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในด้านต่าง ๆ ของสมรรถภาพทางสมอง ซึ่งมี จุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถสมองของบุคคลว่าเรียนแล้วรู้อะไรบ้าง และมีความสามารถ
11 ด้านใดมากน้อยเท่าไร ตลอดจนผลที่เกิดขึ้นจากการเรียน การฝึกฝนหรือประสบการณ์ต่าง ๆ ทั้งในโรงเรียน ที่บ้าน และสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ รวมทั้งความรู้สึก ค่านิยม จริยธรรมต่าง ๆ ก็เป็นผลมาจากการฝึกฝนด้วย ชนิดา ยอดสาลี และ กาญจนา บุทส่ง (2559, หน้า 13)ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ หรือทักษะที่ต้องใช้สติปัททาและสมรรถภาพทางสมองที่ได้รับมาจากการสั่งสอน แสดงออกมาในรูปความสำเร็จ สามารถวัดได้โดยการแสดงออกมาทั้ง 3ด้าน คือพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย ด้านทักษะพิสัย และใช้แบบทดสอบ ความสามารถในการเรียนรู้เกี่ยวกับเนื้อหาวิชาที่เรียน กูด (Good, 1993, p. 7 อ้างถึงใน รสริน พันธุ, 2550, หน้า 42) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์คือ การทำ ให้สำเร็จ (accomplishment) หรือประสิทธิภาพทางด้านการกระทำที่กำหนดให้ หรือในด้านความรู้ ส่วน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง การซึ้งความรู้ (knowledge attained) การพัฒนาทักษะในการเรียน ซึ่งอาจจะ พิจารณาจากคะแนนสอบที่กำหนดให้ คะแนนที่ได้จากงานที่ครูมอบหมายให้หรือทั้งสองอย่าง สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสำเร็จ ความสามารถของบุคคลในด้านต่าง ๆ ทั้งด้าน ความรู้ ทักษะกระบวนการ ตลอดจนค่านิยม ความเห็นต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากผ่านกระบวนการเรียนการสอน การฝึกฝนอบรมมาแล้ว 2.3.1 การวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ การวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์การวัดและประเมินผลกลุ่มสาระการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ว่า การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์เป็นการพิจารณาผลที่เกิดจากการวัด การเรียนรู้ในภาพรวม การประเมินผลกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์จึงประกอบด้วย การประเมินความเข้าใจ กระบวนการวิทยาศาสตร์ เจตคติวิทยาศาสตร์ ทักษะการใช้ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์และความรับผิดชอบ ในการปฏิบัติงานวิทยาศาสตร์ซึ่งความก้าวหน้าด้านต่างๆ ของผู้เรียนจะส่งผลต่อจุดประสงค์ของรายวิชา ผลการ เรียนรู้ที่คาดหวัง และมาตรฐานการเรียนรู้ที่สถานศึกษากำหนดไว้ การวัดและประเมินผล ตัวผู้เรียนกลุ่มสาระการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์จึงวัดและประเมิน 2 แนวทางคือการวัดและประเมินผลตามคู่มือ Taxonomy of educational objectives ของ Bloom และ การประเมินตามสภาพจริง (Authentic assessment)พฤติกรรมที่ต้องการท าการ วัดประเมินผู้เรียน ดังนี้ 1. ด้านความรู้ความจำ หมายถึง ความสามารถในการระลึกถึงสิ่งที่เคยเรียนรู้มาแล้วเกี่ยวกับ ข้อเท็จจริง ศัพท์นิยาม มโนทัศน์ ข้อตกลง การจัดประเภท เทคนิควิธีการ หลักการ กฎ ทฤษฎี และแนวคิดที่สำคัญ ทางด้านวิทยาศาสตร์ นักเรียนที่มีความสามารถในด้านนี้ จะแสดงออกโดยสามารถให้คำจำกัดความหรือนิยาม เล่า เหตุการณ์ จดบันทึก เรียกชื่อ อ่านสัญลักษณ์ และระลึกข้อสรุปได้ การวัดพฤติกรรมด้านความรู้ความจำลักษณะ ของข้อสอบจะถามเกี่ยวกับความรู้ความจ าไม่เกินร้อยละยี่สิบของข้อสอบทั้งหมด 2. ด้านความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถในการอธิบาย การแปลความ การตีความสร้างข้อสรุป ขยายความ นักเรียนมีความสามารถในด้านนี้จะแสดงออกโดยสามารถเปรียบเทียบแสดงความสัมพันธ์ การอธิบาย ชี้แนะ การจำแนกเข้าหมวดหมู่ ยกตัวอย่าง ให้เหตุผล จับใจความเขียนภาพประกอบ ตัดสินเลือก แสดงความเห็น อ่านกราฟแผนภูมิและแผนภาพได้
12 2.1 พฤติกรรมความเข้าใจ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ 2.1.1 ความสามารถอธิบายความเข้าใจต่างๆได้ด้วยตนเอง 2.1.2 ความสามารถจำแนกหรือระบุความรู้ได้เมื่อปรากฏในรูป สถานการณ์ใหม่ 2.1.3 ความสามารถแปลความรู้จากสัญลักษณ์หนึ่งไปสู่อีกสัญลักษณ์ หนึ่ง 2.2 การวัดพฤติกรรมความเข้าใจ ลักษณะของข้อสอบจะถามให้นักเรียนอธิบายหรือบรรยาย ความรู้ต่างๆ ด้วยคำพูดของตัวหรือให้ระบุข้อเท็จจริง มโนทัศน์ หลักการ กฎ หรือทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง กับ สถานการณ์ที่กำหนดให้หรือให้แปลความหมายสถานการณ์ ที่ก าหนดให้ซึ่งอาจอยู่ในรูปของข้อความ สัญลักษณ์ รูปภาพ หรือแผนภาพ เป็นต้น 3. ด้านการนำไปใช้ เป็นการวัดความสามารถด้านการนำเอาความรู้ความเข้าใจ มาประยุกต์ใช้ หรือแก้ปัญหาในเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ใหม่ได้อย่างเหมาะสม การเขียนคำถามในระดับนี้อาจเขียนคำถาม ความสอดคล้องระหว่างวิชาและการปฏิบัติ ถามให้อธิบาย หลักวิชา ถามให้แก้ปัญหา ถามเหตุผลของภาคปฏิบัติ 4. ด้านการวิเคราะห์ เป็นการวัดความสามารถในการแยกแยะหรือแจกแจง รายละเอียดของ เรื่องราว ความคิด การปฏิบัติออกเป็นระดับย่อยๆ โดยอาศัยหลักการหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อค้นพบข้อเท็จจริง และคุณสมบัติบางประการ คำถามระดับการวิเคราะห์ แบ่งออก 3 ประเภท คือ การวิเคราะห์ความสำคัญ การ วิเคราะห์ความสัมพันธ์ และการวิเคราะห์หลักการ 5. ด้านการสังเคราะห์ เป็นการวัดความสามารถในการรวบรวมและผสมผสานในด้านรายละเอียด หรือเรื่องราวปลีกย่อย ของข้อมูลสร้างเป็นสิ่งใหม่ที่แตกต่างจากเดิม ความสามารถดังกล่าวเป็นพื้นฐานของ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ค าถามระดับนี้แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ การสังเคราะห์ข้อความ การสังเคราะห์ แผนงาน การสังเคราะห์ความสัมพันธ์ 6. ด้านการวัดและประเมินค่า เป็นการวัดความสามารถในด้านการสรุปค่าหรือตีราคา เกี่ยวกับ เรื่องราว ความคิด พฤติกรรมว่าดี-เลว เหมาะสม-ไม่เหมาะสม เพื่อหาจุดประสงค์บางประการมาอ้างโดยใช้เกณฑ์ ภายในและการประเมินโดยใช้เกณฑ์ภายนอกดังนั้นการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ จะเป็นไปตาม แนวคิดของ Bloom โดยเป็นการวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ทั้งหมด 6 ด้าน คือความรู้ความจ า ด้านความเข้าใจ ด้านการน าไปใช้ ด้านการวิเคราะห์ ด้านการประเมินค่า ซึ่งผู้วิจัยใช้เป็นแนวทางในการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาชีววิทยาในการวิจัยครั้งนี้ พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2545 : 96) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ ทักษะ และความสามารถทางวิชาการที่นักเรียนได้เรียนรู้มาแล้วว่าบรรลุผลสำเร็จตาม จุดประสงค์ที่กำหนดไว้เพียงใด สิริพร ทิพย์คง (2545 : 193) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึงชุด คำถามที่มุ่งวัดพฤติกรรมการเรียนของนักเรียนว่ามีความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพด้านสมองด้านต่างๆ ในเรื่องที่ เรียนรู้ไปแล้วมากน้อยเพียงใด สมพร เชื้อพันธ์ (2547 : 59) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบหรือชุดของข้อสอบที่ใช้วัดความสำเร็จหรือความสามารถในการทำกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนที่ เป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอนว่าผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้เพียงใด
13 ไอแซงค์ อาโนลด์ และไมลี (อ้างถึงใน ปริยทิพย์ บุญคง, 2546: 7) ให้ความหมายของคำว่า ผลสัมฤทธิ์หมายถึงขนาดของความสำเร็จที่ได้จากการทำงานที่ต้องอาศัยความพยายามอย่างมากซึ่งเป็นผลมาจาก การกระทำที่ต้องอาศัยทั้งความสามารถทั้งทางร่างกายและทางสติปัญญา ดังนั้นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจึงเป็น ขนาดของความสำเร็จที่ได้จากการเรียนโดยอาศัยความสามารถเฉพาะตัวบุคคลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอาจได้จาก กระบวนการที่ไม่ต้องอาศัยการทดสอบ เช่นการสังเกตหรือการตรวจการบ้านหรืออาจได้ในรูปของเกรดจาก โรงเรียน ซึ่งต้องอาศัยกระบวนการที่ซับซ้อนและระยะเวลานานพอสมควรหรืออาจได้จากการวัดแบบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนทั่วไปซึ่งสอดคล้องกับ ไพศาล หวังพานิช (2536: 89) ที่ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า หมายถึงคุณลักษณะและความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและ ประสบการณ์การเรียนที่เกิดขึ้นจากการฝึกอบรมหรือการสอบจึงเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถของบุคคล ว่าเรียนแล้วมีความรู้เท่าใดสามารถวัดได้โดยการใช้แบบทดสอบต่างๆ เช่น ใช้ข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ข้อสอบวัด ภาคปฏิบัติสามารถวัดได้ 2 รูปแบบ ดังนี้ 1. การวัดด้านปฏิบัติเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถในการปฏิบัติโดยทักษะของผู้เรียน โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนแสดงความสามารถดังกล่าวในรูปของการกระทำจริงให้ออกเป็นผลงานการวัดต้องใช้ข้อสอบ ภาคปฏิบัติ 2. การวัดด้านเนื้อหาเป็นการตรวจสอบความสามารถเกี่ยวกับเนื้อหาซึ่งเป็นประสบการณ์เรียน รวมถึงพฤติกรรมความสามารถในด้านต่างๆ สามารถวัดได้โดยใช้แบบวัดผลสัมฤทธิ์ ดังนั้นในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จึงเป็นวิธีการวัดประเมินผลการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ซึ่งมีการสร้างแบบทดสอบหลากหลายได้แก่ ข้อสอบอัตนัยหรือความเรียงข้อสอบแบบกาถูกกาผิด ข้อสอบแบบเติมคำ ข้อสอบแบบตอบสั้นๆ ข้อสอบแบบจับคู่ และข้อสอบแบบเลือกตอบในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัย สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบเลือกตอบเนื่องจากเป็นแบบทดสอบที่สามารถวัดพฤติกรรมทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ ด้านความเข้าใจ ด้านการนำไปใช้ด้านการวิเคราะห์ ด้านการสังเคราะห์และด้านการ ประเมินค่า 2.3.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีหลายแบบ แต่ที่นิยมใช้มี 6 แบบดังนี้ 1. ข้อสอบอัตนัยหรือความเรียง (Subjective or Essay test) เป็นข้อสอบที่มีเฉพาะคำถาม แล้ว ให้นักเรียนเขียนตอบอย่างเสรี เขียนบรรยายตามความรู้และเขียนข้อคิดเห็นของแต่ละคน 2. ข้อสอบแบบกาถูก-ผิด (True-false test) คือข้อสอบแบบเลือกตอบที่มี 2 ตัวเลือกแต่ตัวเลือก ดังกล่าวเป็นแบบคงที่และมีความหมายตรงกันข้าม เช่น ถูก-ผิด ใช่-ไม่ใช่ จริง-ไม่จริง เหมือนกัน-ต่างกัน เป็นต้น 3. ข้อสอบแบบเติมคำ (Completion test) เป็นข้อสอบที่ประกอบด้วยประโยค หรือข้อความที่ ยังไม่สมบูรณ์แล้วให้ตอบเติมคำหรือประโยค หรือข้อความลงในช่องว่างที่เว้นไว้นั้นเพื่อให้มีใจความสมบูรณ์และ ถูกต้อง 4. ข้อสอบแบบตอบสั้นๆ (Short answer test) เป็นข้อสอบที่คล้ายกับข้อสอบ แบบเติมคำ แต่ แตกต่างกันที่ข้อสอบแบบตอบสั้นๆเขียนเป็นประโยคคำถามสมบูรณ์ (ข้อสอบเติมคำเป็นประโยคหรือข้อความที่ยัง ไม่สมบูรณ์) แล้วให้ผู้ตอบเขียนตอบ คำตอบที่ต้องการจะสั้นและกะทัดรัดได้ใจความสมบูรณ์ไม่ใช่เป็นการบรรยาย แบบข้อสอบอัตนัยหรือความเรียง
14 5. ข้อสอบแบบจับคู่ (Matching test) เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบชนิดหนึ่งโดยมีค่าหรือข้อความ แยกออกจากกันเป็น 2 แล้วให้ผู้ตอบเลือกจับคู่ว่าแต่ละข้อความในชุดหนึ่งจะคู่กับคำหรือข้อความใดในอีกชุดหนึ่ง ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้ออกข้อสอบกำหนดไว้ 6. ข้อสอบแบบเลือกตอบ (Multiple choice test) คำถามแบบเลือกตอบโดยทั่วไปจะ ประกอบด้วย 2 ตอน คือ ตอนนำหรือคำถาม (Stem) กับตอนเลือก (Choice) ในตอนเลือกนั้นจะประกอบด้วย ตัวเลือกที่เป็นคำตอบถูกและตัวเลือกลวง ปกติจะมีคำถามที่กำหนดให้พิจารณา แล้วหาตัวเลือกที่ถูกต้องมากที่สุด เพียงตัวเลือกเดียวจากตัวเลือกอื่นๆและคำถามแบบเลือกตอบที่ดีนิยมใช้ตัวเลือกที่ใกล้เคียงกันดังนั้นในการสร้าง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จึงเป็นวิธีการวัดประเมินผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ซึ่งมีการสร้าง แบบทดสอบหลากหลายได้แก่ ข้อสอบอัตนัยหรือความเรียงข้อสอบแบบกาถูกกาผิด ข้อสอบแบบเติมคำข้อสอบ แบบตอบสั้นๆ ข้อสอบแบบจับคู่ และข้อสอบแบบเลือกตอบ ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบเลือกตอบเนื่องจากเป็น แบบทดสอบที่สามารถวัดพฤติกรรมทั้ง 6 ด้านได้แก่ ด้านความรู้ ด้านความเข้าใจ ด้านการนำไปใช้ ด้านการ วิเคราะห์ ด้านการสังเคราะห์และด้านการประเมินค่า 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง Husain A. Alansari (2013) ได้ศึกษาเรื่องการประชาสัมพันธ์ในห้องสมุดวิชาการในสภาความร่วมมืออ่าว (GCC) วัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้คือเพื่อตรวจสอบลักษณะและขอบเขตของกิจกรรมการประชาสัมพันธ์ใน ห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาในประเทศ GCC (Gulf CooperationCouncil) เน้นการทำความเข้าใจว่าห้องสมุด สถาบันการศึกษาดำเนินการและจัดหาผลิตภัณฑ์และบริการด้านการประชาสัมพันธ์ของตนอย่างไร การออกแบบ / วิธีการ / แนวทาง การศึกษารายงานที่นี่ใช้วิธีการสำรวจทำในสองขั้นตอน ขั้นตอนที่หนึ่งประกอบด้วยการสำรวจ แบบสอบถามและขั้นตอนที่สองเป็นการอภิปรายกลุ่มย่อยตามผลการสำรวจ ผลการวิจัย แม้ว่าห้องสมุดทั้งหมด ระบุว่าการประชาสัมพันธ์มีความสำคัญ แต่ส่วนใหญ่ (72.2 เปอร์เซ็นต์) ไม่มีหน่วยงานหรือหน่วยงาน ประชาสัมพันธ์ แต่มีพนักงานจำนวนน้อยที่เกี่ยวข้องกับงานประชาสัมพันธ์และครึ่งหนึ่งของห้องสมุดที่ตอบสนอง (50 ร้อยละ) ไม่ได้มีพนักงานเต็มเวลาสำหรับการประชาสัมพันธ์ เว็บไซต์ห้องสมุดจดหมายแบบดั้งเดิม การแสดง และกระดานข่าวและคู่มือ/โบรชัวร์ของห้องสมุดเป็นช่องทางการสื่อสารที่สำคัญ การศึกษายังได้รายงานถึงปัญหา หลักที่ทำให้ห้องสมุดสถาบันไม่สามารถทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชวกิจ ทองนุ้ยพราหมณ์ (2554 บทคัตย่อ) ได้พัฒนาบทเรียนวีดิทัศน์ด้วยตนเอง เรื่อง การสร้างสรรค์งาน ทัศนศิลป์ด้วยดินน้ำมัน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระทัศนศิลป์ สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 2 (ประถมศึกษาปีที่ 5) ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของบทเรียนวีดิทัศน์ 96.16/9353 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนวีดิทัศน์ มีความพึง พอใจในระดับมากที่สุด
15 เทียมยศ ปะสาวะ โน (2555) ได้พัฒนารูปแบบวีดิทัศน์แทรกคำบรรยายใต้ภาพสำหรับนักศึกษาระดับ ปริญญาตรี ผลการวิจัยพบว่า สื่อวีดิทัศน์ที่ผลิดขั้นมีดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ0.58 และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักศึกษา ในรายวิชาการผลิตรายการโทรทัศน์การศึกษาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 สุรศักดิ์ ปาเฮ (2556) กล่าวว่า ห้องเรียนกลับค้าน กลายเป็นนวัตกรรมและมุมมองหนึ่งของตัวอย่างจาก ประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นในวงการศึกษา เป็นวิธีการใช้ห้องเรียนให้เกิดคุณค่าแก่เด็กโดยใช้ฝึกประยุกต์ความรู้ใน สถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้แบบรู้จริง (Mastery Leazning) และเป็นวิธีจัดการเรียนรู้เพื่อยกระดับและ คุณคู่แห่งวิชาชีพครูที่ปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่งให้เกิดขึ้นผ่านสื่อเทคในโลยีที่นำมาใช้โดยมุ่งเน้นไป ที่กก็รียนของผู้เรียน Fipped Classroom มีหัวใจหลักในการจัดการเรียนการสอน ตามเอกสารประกอบการ สัมมนาเชิงวิชาการ เรื่อง Fliped Classroom "กลับด้านการเรียนรู้" (2558) ดังนี้ F - Flexible Environm ment การเรียนการสอน ต้องการความยึดหยุ่นของสภาพแวดล้อมนักศึกมา สามารถใช้รูปแบบการเรียนแบบใคก็ได้เพื่อที่จะรองรับบทเรียนต่างๆ ผู้เรียนจะเลือกสภาพแวดล้อมที่มีความ แตกต่าง เวลาและสถานที่ นอกจากนี้ครูจะต้องมีความยืดหยุ่นในเรื่องของระยะเวลาในการเรียนรู้ของผู้เรียน และ จะต้องมีการประเมินที่มีความเหมาะสมกับผู้เรียนและครู L - Leming Cuure การเรื่อนการสอนต้องการยกระดับจากวัฒนธรรมการเรียนรู้ในรูปแบบครูเป็น ศูนย์กลางแบบดั้งเดิม เปลี่ยนเป็นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ในสิ่งที่ผู้เรียนสนใจในเชิง ลึกมากขึ้น และศร้างโอกาสในการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ดียิ่งขึ้น โดยผู้เรียนจะมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ I -Intentionl Content การเรียนการสอนต้องการความตั้งใจในการศึกษาเนื้อหา เพื่อที่ครูจะให้รู้ใน เนื้อหาของตัวเองจริง1 รวมถึงการวางแผ่นด้วยว่าจะใช้สื่อใดในการสอนเนื้อหานั้นๆรวมถึงสื่อไหนที่อนุญาตให้ ผู้เรียนได้คืนหาต่อไป ถ้ำหากผู้เรียนต้องการเรียนรู้เรื่องนั้นเพิ่มเติม ควรจำเป็นต้องเข้าใจในเรื่องต่างๆ เพื่อวาง เแผนการเรียนการสอนให้เกิดประโยชน์กับผู้เรียนสูงสุด P - Professiom Edtcator การเรียนการสอบต้องการ์ดรูที่มีทักษะด้านการศึกษามืออาชีพมากขึ้นกว่าเดิม เพราะจะต้องกำหนดเวลและเปลี่ยนการเรียนการสอนแบบเดิม ไปเป็นการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล การเพิ่มเวลา พบปะระหว่างครูกับผู้เรียนมากขึ้น จะทำให้สามารถนำรูปแบบการสอนมาใช้กับผู้เรียนได้เป็นอย่างดี 2.6 กรอบแนวคิดการวิจัย สื่อวีดิทัศน์ 1.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.ความพึงพอใจที่มีต่อสื่อวีดีทัศน์
16 2.7 สมมติฐานของการวิจัย 2.7.1 สื่อวีดีทัศน์ เรื่อง ระบบย่อยอาหารมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ร้อยละ 80/80 2.7.2 นักเรียนที่ได้รับการเรียนรู้โดยใช่สื่อวีดีทัศน์ เรื่อง ระบบย่อยอาหาร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2.7.3 นักเรียนที่ได้รับการเรียนรู้โดยใช่ทักษะการแก้ปัญหาร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ เรื่อง ระบบย่อยอาหาร ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 มีความพึงพอใจในการเรียนมากยิ่งขึ้น
17 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การดำเนินการวิจัยในครั้งนี้ เป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยมีขั้นตอนการดำเนินงาน วิจัย ดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. แบบแผนตัวอย่าง 3. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา 4. การหาคุณภาพของเครื่องมือ 5. การดำเนินการวิจัย 6. การเก็บรวบรวมข้อมูล 7. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 กลุ่มเป้าหมาย 1) ประชากร คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบูเกะ คละ(บุญชอบ สาครินทร์) จำนวนนักเรียน 13 คน 2) กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนบูเกะ คละ(บุญชอบ สาครินทร์จำนวนนักเรียน 13 คน ซึ่งได้มาโดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive) 3.2 แบบแผนการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยแบบแผนที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ใช้กลุ่มตัวอย่างเดียว มี การวัดผล 2 ครั้ง คือ ก่อนเรียนและหลังเรียน ตารางที่ 3.2 แบบแผนการทดลอง กลุ่มตัวอย่าง การทดสอบก่อนเรียน ทดลอง การทดสอบหลังเรียน กลุ่มตัวอย่าง T1 X T2 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิจัย T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน X แทน การจัดการเรียนรู้โดยใช่ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ T2 แทน การทดสอบหลังเรียน
18 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ได้แก่ 3.1 แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์เรื่อง ระบบย่อยอาหาร 3.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนเป็นแบบทดสอบชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 3.4 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นคือ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง ระบบย่อยอาหาร กลุ่มสาระการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้สื่อวีดีทัศน์จำนวน 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 คาบ จำนวน 10 ชั่วโมง ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างแผนการจัดการเรียนรู้ตามขั้นตอนดังนี้ 3.4.1 การสร้างและการหาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน 1) ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2560 กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียน ขอบข่ายเนื้อหา การวัดการประเมิน 2) กำหนดเนื้อหาและตัวชี้วัดของเนื้อหาวิชา เพื่อกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนการ สอน จะต้องคำนึงถึงความพร้อมของผู้เรียน จัดกิจกรรมการเรียนการสอน เน้นการมี ส่วนร่วมของผู้เรียนในการ ปฏิบัติกิจกรรม 3) นำสื่อวีดิทัศน์เพื่อประกอบการเรียนรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์เรื่อง ระบบย่อยอาหาร ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ไปทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมาย โดยทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน (Pre-test) เพื่อวัดความรู้พื้นฐานของนักเรียนในชั่วโมงเรียนแรกด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น 4) ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (Post-test) โดยใช้แบบทดสอบชุดเดิมกับที่ใช้ ทดสอบก่อนเรียน 5) หาประสิทธิภาพสื่อวีดิทัศน์ เพื่อประกอบการเรียนรู้รายวิชาวิทยาศาตร์ เรื่อง ระบบย่อย อาหาร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 6) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้สื่อวีดิทัศน์ เพื่อ ประกอบการเรียนรู้รายวิชาวิทยาศาสตร์เรื่อง ระบบย่อยอาหารชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 7) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้สื่อวีดิทัศน์ เพื่อประกอบการเรียนรู้รายวิชา วิทยาศาสตร์ เรื่อง ระบบย่อยอาหาร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 3.4.2 การสร้างและการหาคุณภาพแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้ทำวิจัยได้ดำเนินการสร้างและหาคุณภาพแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ระบบ ย่อยอาหาร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็นการทดสอบที่ใช้ก่อนเรียน (Pre-test) และหลังเรียน (Post-test) เป็น แบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก มีขั้นตอนในการสร้างดังนี้ 1) ศึกษามาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และจุดประสงค์การเรียนรู้ 2) ศึกษาหลักการทฤษฏีและเทคนิควิธีการสร้างแบบทดสอบ
19 3) สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ให้สอดคล้องกับเนื้อหา เรื่อง ระบบย่อยอาหาร มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด สร้างข้อสอบเป็นแบบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ และต้องการใช้ จริง 20 ข้อ ตอบถูกได้ 1 คะแนน ตอบผิดได้ 0 คะแนน 4) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ระบบย่อยอาหาร เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ เพื่อ พิจารณาความเหมาะสมกับเนื้อหา โดยให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินข้อสอบแต่ละข้อว่า ตรงกับตัวชี้วัดหรือไม่ โดย กำหนดเกณฑ์การพิจารณาค่าดัชนีความสอดคล้อง คือ เห็นว่า ข้อสอบนั้นสอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ให้คะแนน +1 ไม่แน่ใจ ข้อสอบนั้นสอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ให้คะแนน 0 เห็นว่า ข้อสอบนั้นไม่สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง ให้คะแนน -1 5) นำผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ มาวิเคราะห์ข้อมูลหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่าง ข้อสอบกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง โดยใช้สูตร IOC แล้วเลือกข้อสอบที่มีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป 6) นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ที่ได้ผ่านการปะเมินจากผู้เชี่ยวชาญและได้ทำการ ปรับปรุงเรียบร้อยแล้วไปทดสอบกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านบูเกะคละ จำนวน 13 คน 7) จัดพิมพ์แบบทดสอบที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแล้ว เพื่อนำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนไปใช้จริงต่อไป 3.5 การดำเนินการวิจัย ขั้นตอนการดำเนินการวิจัยครั้งนี้ โดยรูปแบบของการวิจัยซึ่งใช้กลุ่มเดียวของลักษณะของการทดสอบก่อน เรียนและหลังเรียน โดยให้นักเรียนทำกิจกรรมดังนี้ 5.1 นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียน เรื่อง ระบบย่อยอาหาร 5.2 นักเรียนเรียนใช้ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดิทัศน์เรื่อง ระบบย่อยอาหาร จำนวน 4 แผน 5.3 นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียน เรื่อง ระบบย่อยอาหาร 3.6 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้ทำวิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลในครั้งนี้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบูเกะคละ (บุญชอบ สาครินทร์) โดยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โดยเก็บรวบรวมข้อมูล ตามรายละเอียดดังนี้ 1) ผู้วิจัยดำเนินการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบูเกะ คละ (บุญชอบ สาครินทร์) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 13 คน ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทาง เรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรื่อง วัสดุและสสาร จำนวน 20 ข้อ ซึ่งผู้ทำวิจัยดำเนินการทดสอบด้วย ตนเอง
20 2) ผู้วิจัยดำเนินการสอน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ระบบย่อยอาหารโดยใช้รูปแบบการสอนแบบใช่สื่อวีดีทัศน์จำนวน 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 คาบ จำนวน 10 ชั่วโมง 3) เมื่อสิ้นสุดการจัดการเรียนการสอน ผู้ทำวิจัยให้นักเรียนทำการทดสอบหลังเรียน (Pre-test) เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้แบบแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง ระบบย่อยอาหาร จำนวน 4 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 คาบ จำนวน 10 ชั่วโมง ฉบับ เดียวกันกับการทดสอบก่อนเรียนและนำคะแนนไปเปรียบเทียบกับคะแนนก่อนเรียนเพื่อหาค่าสถิติต่อไป 3.7 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 3.7.1 สถิติที่ใช้หาคุณภาพเครื่องมือ 1) ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์โดยใช้สูตรค่า IOC (ประจักษ์ ปฏิทัศน์2555) N R IOC = เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับพฤติกรรมที่ต้องวัด R แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ 2) การค่าหาค่าความเชื่อมัน (Reliability) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทยาศาสตร์และแบบวัด ความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ โดยใช้สูตรของ คูเดอร์-ริชาร์ดสัน สูตร KR-20 ดังนี้ เมื่อ −20แทน ความเที่ยงของแบบทดสอบ K แทน จำนวนข้อสอบ p แทน ความยากง่ายของข้อสอบแต่ละข้อ (สัดส่วนที่ตอบถูก) q แทน สัดส่วนที่ตอบผิด (1-p) S2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวมของแบบทดสอบ
21 3.7.2 วิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน 1) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) n 1 n 2 i 1 x) i (x S.D. − = − = เมื่อ S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน x แทน ค่าเฉลี่ย i x แทน คะแนนที่แต่ละตัว n แทน จำนวนข้อมูลตัวอย่าง แทน ผลรวมทั้งหมด 2) ค่าเฉลี่ย ̅= Σ เมื่อ x̅แทน ค่าเฉลี่ย X แทน ผลรวมของข้อมูลทั้งหมด N แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมด 3.7.3 การหาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สูตร KR-20 ของคู เดอร์-ริชาร์ตสัน (kuder-Richardson) (สมนึก ภัททิยธนี2555) โดยใช้สูตรดังนี้ rn= − − 2 S pq 1 n 1 n เมื่อ rn แทน ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ n แทน จำนวนข้อของแบบทดสอบ p แทน สัดส่วนของผู้เรียนที่ทำข้อสอบข้อนั้นถูก q แทน สัดส่วนของผู้เรียนที่ทำข้อสอบข้อนั้นผิด S 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนสอบทั้งฉบับ
22 3.7.4 สถิติที่ใช้วิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้ สถิติt-test Dependent Samples โดยใช้สูตรดังนี้ n 1 n D ( D ) D 2 2 t − − = เมื่อ t แทน ค่าที่ใช้ในการทดสอบ D แทน ผลต่างของคะแนนหลังเรียนกับก่อนเรียน n แทน จำนวนข้อมูลตัวอย่าง แทน ผลรวมทั้งหมด D แทน ผลรวมของผลต่างจากคะแนนของแต่ละคน ระหว่างแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
23 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล จากการศึกษา เรื่อง ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ เรื่อง ระบบย่อย อาหาร ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านบูเกะ คละ (บุญชอบ สาครินทร์) 1. สัญลักษณ์ทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ทำวิจัยได้กำหนดความหมายของสัญลักษณ์ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้ได้เกิดความเข้าใจที่ ตรงกันในการแปลความหมายข้อมูล ดังนี้ N แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง X แทน คะแนนเฉลี่ย (Mean) ของกลุ่มตัวอย่าง S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ∑X แทน ผลรวมของคะแนน ∑X 2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตัวยกกำลัง 2 D แทน ผลต่างระหว่างข้อมูลแต่ละคู่ D 2 แทน ผลต่างระหว่างข้อมูลแต่ละคู่ยกกำลัง 2 ∑D แทน ผลรวมของผลต่าง ∑D 2 แทน ผลรวมของผลต่างยกกำลัง 2 t แทน ค่าสถิติที่ใช้ในการแจกแจงแบบที (t-test Dependent Sample) * แทน ความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
24 2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 4.1 ผลการประเมินคุณภาพสื่อวีดีทัศน์ เรื่อง ระบบย่อยอาหาร เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา ด้าน เนื้อหา รายการ X S.D. แปลผล ด้านเนื้อหา 1. ความสอดคล้องของวัตถุประสงค์กับเนื้อหา 3.33 0.57 มากที่สุด 2. ความเหมาะสมของผู้เรียนกับเนื้อหา 4 0 มาก 3. ความน่าสนใจของเนื้อหา 5 0 มาก 4. ความถูกต้องของเนื้อหา 4 1 มาก 5.ภาษาที่ใช้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย 4.66 0.57 ค่าเฉลี่ย 4.19 0.57 มาก จากตารางที่ 4.1 พบว่า สื่อวีดีทัศน์ เรื่อง ระบบย่อยอาหาร เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาด้านเนื้อหาอยู่ใน ระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากกับ 4.19 4.2 ผลการประเมินคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อ จำนวน 3 ท่าน ที่ประเมิน สื่อวีดีทัศน์ เรื่อง ระบบ ย่อยอาหาร เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา ดังแสดงในตาราง 4.2 ตารางที่ 4.2 ผลการประเมินคุณภาพสื่อวีดีทัศน์ เรื่อง ระบบย่อยอาหาร เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาด้านสื่อ ̅ S.D แปลผล ด้านคุณภาพสื่อ 1. ขนาดของภาพเคลื่อนไหวมีความน่าสนใจ 4.66 0.57 ปานกลาง 2. ความเหมาะสมของของภาพเคลื่อนไหว 4 1 มาก 3. ความเหมาะสมของภาพประกอบ 5 0 มากที่สุด 4. เสียงในสื่อ มีความชัดเจน 4.33 0.57 มากที่สุด 5.ความชัดเจนของภาพ 5 0 มาก ค่าเฉลี่ย 4.59 0.42 มาก
25 จากตารางที่ 4.2 พบว่า สื่อวีดีทัศน์ เรื่อง ระบบย่อยอาหาร เพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยรวมมีคุณภาพด้านสื่อ อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.59 ตอนที่ 2 ผู้ทำวิจัยได้นำรูปแบบผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ เรื่อง ระบบย่อยอาหาร ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยก่อนที่จะเรียนผู้วิจัยได้ทำการทดสอบก่อนเรียน เมื่อ ผู้เรียนได้เรียนจบแล้ว ผู้วิจัยได้ทำการทดสอบหลังเรียนด้วยแบบทดสอบชุดเดียวกัน แล้วหาค่าเฉลี่ยและส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบความแตกต่างของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน ปรากฏผลดังตารางที่ 4.1 ตารางที่ 4.3 ผลการเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ สิ่งที่ศึกษา n ก่อนเรียน หลังเรียน ̅ SD ̅ SD t ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 13 6.15 1.23 12.38 1.85 0.53 จากตาราง 4.3 ก่อนเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดิทัศน์นักเรียนมี คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเท่ากับ 6.15 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.23 แต่หลังเรียนด้วย การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เท่ากับ 6.53 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.73 ซึ่งจะเห็นได้ว่า คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ดังนั้นสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ เรื่อง ระบบย่อยอาหาร ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 สามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสามารถทำให้ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น
26 ตอนที่ 3 ผลการประเมินทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตารางที่ 4.4 แสดงตารางคะแนนการทดสอบวัดความสามารถด้านการแก้ปัญหาหลังเรียนแบบอัตนัย เลขที่ การระบุ ปัญหา การรวบรวม ข้อมูลและ แนวคิดที่ เกี่ยวข้องกับ ปัญหา การ ออกแบบ วิธีการ แก้ปัญหา การ วางแผน และ ดำเนินการ แก้ปัญหา การทดสอบ ประเมินผลและ ปรับปรุงแก้ไข วิธีการ แก้ปัญหาหรือ ชิ้นงาน การนำเสนอ วิธีการ แก้ปัญหา ผลการ แก้ปัญหา หรือชิ้นงาน คะแนน รวม 16 16 16 16 16 16 80 1 11 10 11 12 12 13 69 2 13 10 13 12 13 13 74 3 13 10 12 10 10 13 68 4 11 10 11 10 10 13 65 5 13 10 13 12 13 13 74 6 11 10 12 10 10 13 66 7 13 10 12 12 12 13 72 8 13 10 10 10 10 13 66 9 12 10 13 10 12 13 70 10 11 10 11 10 13 13 68 11 11 10 12 10 12 13 68 12 12 10 12 10 12 13 69 13 13 10 13 10 13 13 72 รวม 157 130 155 138 152 169 901 เฉลี่ย 12.07 10 11.92 10.61 11.69 13 69.30 ร้อย ละ 75.43 62.5 74.5 66.31 73.06 81.25 86.62 จากตาราง 4.4 พบว่าคะแนนเฉลี่ยความสามารถด้านการแก้ปัญหาร่วมกับการใช้วิธีกาสอนการจัดการ เรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 69.30 คิดเป็นร้อยละ 86.62 เมื่อพิจารณาเป็นราย ด้าน พบว่า คะแนนเฉลี่ยของความสามารถด้านการด้านการแก้ปัญหาร่วมกับการใช้วิธีกาสอนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ทั้ง 6 ด้าน ด้านที่มีค่ามากที่สุด คือ การระบุปัญหา เท่ากับ 12.07 คิดเป็น ร้อยละ 75.43 และด้านที่มีค่าน้อยสุด คือ การระบุประเด็นปัญหาสำคัญที่ต้องแก้ไข้ได้ชัดเจนเท่ากับ 10 คิดเป็น
27 ร้อยละ 62.5 หลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ นักเรียนมีทักษะการ แก้ปัญหาอยู่ในระดับมาก
28 บทที่ 5 สรุปและอภิปรายผลการศึกษา การวิจัยครั้งนี้ มุ่งส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และทักษะการแก้ปัญหา โดยใช้การจัดการ เรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านบูเกะคละ (บุญ ชอบสาครินทร์) ซึ่งผู้วิจัยได้สรุปสาระสำคัญไว้ดังนี้ 1. สรุปผล 2. อภิปรายผล 3. ข้อเสนอแนะ 1. สรุปผล 1. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. หลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์นักเรียนมีทักษะการแก้ปัญหา อยู่ในระดับมาก 3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์อยู่ในระดับมาก 2. อภิปรายผล จากการวิจัย เรื่อง ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ เรื่อง ระบบย่อย อาหารต่อผลสัมฤทธิ์ทางเรียนและทักษะการแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านบูเกะคละ (บุญชอบ สาครินทร์) สามารถอภิปรายผลการวิจัยดังนี้ 1 ผลการประเมินคุณภาพด้านเนื้อหาและด้านสื่อของสื่อวีดีทัศน์เพื่อส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหา คุณภาพ เนื้อหาโดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.19คุณภาพสื่อโดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.59 โดยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา 3 ท่าน ที่มีประสบการณ์ในการสอน เรื่องสมบัติของสารบริสุทธิ์ และด้านสื่อ 3 ท่าน ที่มีประสบการณ์ในการสอนและพัฒนาสื่อการเรียนการสอน ได้ประเมินและนำข้อเสนอแนะต่างๆ ของผู้เชี่ยวชาญ มาปรับปรุงแก้ไข 2. ผลการวิจัยพบว่า จากผลการทดลองของนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ร่วมกับสื่อวีดีทัศน์มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยมีค่าเฉลี่ยคะแนนหลังเรียน เท่ากับ 6.15 และค่าเฉลี่ยคะแนนก่อนเรียนมีค่าเท่ากับ 6.53 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้อาจเป็นเพราะการ สอนโดยใช้การการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ เรื่อง ระบบย่อยอาหาร ทั้งนี้เกิดจาก รูปแบบกิจกรรมที่หลากหลายให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในบทเรียนได้ดีขึ้น ทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่าง แท้จริงได้ฝึกปฏิบัติ
29 3. ผลการวิจัยพบว่า จากผลการทดลองของนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ร่วมกับสื่อวีดีทัศน์นักเรียนมีทักษะการแก้ปัญหาอยู่ในระดับมาก ซึ่งเป็นเพราะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ท้าทาย ให้นักเรียนกล้าคิด กล้าทำ และกล้าแสดงออกอย่างชาญฉลาด อีกทั้งได้เปิดโอกาสให้นักเรียนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ได้แสดงความคิดเห็นตามศักยภาพ ทั้งนี้อาจเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การเรียน โดยจัด บรรยากาศของชั้นเรียนให้มีความสะอาด สงบ เหมาะแก่การเรียน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เรียน ด้วยการยิ้ม แย้มแจ้มใส พูดจาไพเราะ รับฟังความคิดเห็น และพร้อมจะปรับปรุงแก้ไข ไม่เครงเครียด และจัดกิจกรรมที่ท้าทาย โดยการเร้าความสนใจของผู้เรียนด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ใช้เกม เพลง ข่าวสาร การทายปัญหา 3. ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนำวิจัยไปใช้ 1.2 การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ ให้ต่อเนื่องกัน ซึ่งทำให้ผู้เรียนสามารถ ปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม 2. ข้อเสนอแนะการทำวิจัยครังต่อไป 2.1 ควรมีการศึกษาวิจัยโดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ เสริมด้วยเทคนิค การจัดแผนผังมโนทัศ ไปใช้พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความสามารถในการวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 เพื่อจะได้สรุปครอบคลุมอย่างชัดเจน
30 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2554). ประมวลคำศัพท์ทางการศึกษา. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพาณิช. กาญจนา แก้วเทพ. (2551). การวิเคราะห์สื่อ : แนวคิดและเทคนิค. กรุงเทพฯ : อินฟินิตี้เพรส กมลฉัตร กล่อมอิ่ม. (2559). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้ แบบบูรณาการสะเต็มศึกษากับการจัดการเรียนรู้แบบปกติสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร. 18(4), 334-335. การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการสะเต็มศึกษากับการจัดการเรียนรู้แบบปกติ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร.18(4), 334-335. ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์,อุษา ชูชาติ. (2544). ฝึกสมองให้คิดอย่างมีวิจารณญาณ. กรุงเทพฯ: ภาพพิมพ์, 2554. จำนงค์ ทองช่วย. (2551). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และเจตคติทางวิทยาศาสตร์โดยใช้ การสอนรูปแบบซิปปาร่วมกับเทคนิคการใช้คำถาม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. สงขลา : วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยทักษิณ. รัชนก ถิระแก้ว.(2555).รูปแบบรายการวีดีทัศน์เพื่อส่งเสริมความรับผิดชอบของนักเรียนประถมศึกษา.(วิทยา นิพนธ์ปริญญามหาบันฑิต,มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี). ไพโรจน์ ขาวจันทร์.(2528).เทคนิคการผลิตรายการวีดีโอเทปเพื่อการศึกษา.กรุงเทพ : ศูนย์สื่อเสริมกรุงเทพ พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2545). การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ : ปฏิบัติการวิจัยในชั้นเรียน. (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ : ครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร. สิริพร ทิพย์คง. (2545). หลักสูตรและการสอนคณิตศาสตร์. กรุงเทพฯ : พัฒนาคุณภาพวิชาการ. สมพร เชื้อพันธ์. (2547). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 โดยใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองกับการจัดการเรียนการสอน ตามปกติ. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (หลักสูตรและการสอน).พระนครศรีอยุธยา: บัณฑิตวิทยาลัย สถาบัน ราชภัฏพระนครศรีอยุธยา.
31 ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
32 แบบทดสอบก่อน-หลังเรียน คำชี้แจง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียวและทำเครื่องหมาย × ลงในกระดาษ 1. ข้อใดหมายถึงการย่อยอาหาร ก. การที่อาหารเปลี่ยนลักษณะไปอย่างชัดเจน ข. การที่อาหารอนุภาคใหญ่สลายตัวออกเป็นอนุภาคเล็ก ค. การที่อาหารอย่างหนึ่งเปลี่ยนไปเป็นอาหารอีกอย่างหนึ่ง ง. การที่อาหารมีการเผาผลาญ โดยการรวมตัวกับออกซิเจน 2. ข้อใดไม่ใช่การย่อยเชิงกล ก. การเคี้ยว ข. การสับอาหาร ค. ข้าวปนกับน้ำตาล ง. การบีบตัวของทางเดินอาหาร 3. การย่อยอาหารโดยเอนไซม์เกิดขึ้นครั้งแรกที่ใด ก. ปาก ข. ลำไส้เล็ก
33 ค. หลอดอาหาร ง. กระเพาะอาหาร 4. เอนไซม์ คืออะไร มีหน้าที่อย่างไร ก. สารประกอบประเภทโปรตีนมีหน้าที่ย่อยอาหาร ข. สารประกอบโปรตีน ช่วยเร่งปฏิกิริยาในสิ่งมีชีวิต ค. สารประกอบประเภทไขมัน ช่วยให้ร่างกายมีการลำเลียง ง. สารประกอบประเภทแร่ธาตุ ช่วยกำจัดของเสียในร่างกาย 5. เนยแข็งที่เรารับประทานจะถูกย่อยที่บริเวณใด ก. ลำไส้เล็ก ข. ลำไส้ใหญ่ ค. กระเพาะอาหาร ง. ไม่มีการย่อย เพราะเนยแข็งจะถูกดูดซึมเข้าหลอดเลือดฝอยได้ทันที 6. บริเวณใดที่มีการย่อยและดูดซึมมากที่สุด ก. ปาก ข. ลำไส้เล็ก ค. ลำไส้ใหญ่ ง. ทวารหนัก 7. สารอาหารที่ย่อยแล้วจะถูกดูดซึมเข้าสู่หลอดเลือด เพื่อไปเลี้ยงร่างกายที่อวัยวะใด ก. ปาก ข. ลำไส้เล็ก ค. ลำไส้ใหญ่ ง. กระเพาะอาหาร
34 8. อวัยวะใดที่ไม่มีการย่อยอาหารเกิดขึ้น ก. คอหอย – ลำไส้เล็ก ข. คอหอย – หลอดอาหาร ค. ลำไส้เล็ก – กระเพาะอาหาร ง. หลอดอาหาร – กระเพาะอาหาร 9. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับลำไส้ใหญ่ ก. ทำหน้าที่ดูดซึมน้ำและเกลือ ข. ทำหน้าที่ย่อยสารอาหารประเภทไขมัน ค. ทำหน้าที่ย่อยสารอาหารประเภทโปรตีน ง. ทำหน้าที่ย่อยสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ดูภาพแล้วตอบคำถามข้อ 10 – 12 10. หมายเลขใดที่มีการดูดซึมสารอาหารมากที่สุด ก. หมายเลข 1 ข. หมายเลข 4 ค. หมายเลข 5 ง. หมายเลข 6 11. หมายเลขใดไม่ได้ทำหน้าที่ย่อยอาหาร ก. หมายเลข 1
35 ข. หมายเลข 2 ค. หมายเลข 5 ง. หมายเลข 6 12. การย่อยอาหารสิ้นสุดที่หมายเลขใด ก. หมายเลข 1 ข. หมายเลข 3 ค. หมายเลข 4 ง. หมายเลข 7 13. บุคคลใดปฏิบัติตนเพื่อดูแลรักษาอวัยวะในระบบย่อยอาหารได้ถูกต้อง ก. นัสฟูชอบรับประทานอาหารรสเปรี้ยว ข. บัสซามรับประทานอาหารข้าวผัดเผ็ด ค. นูรมีกินผักสดโดยไม่ล้างผักให้สะอาด ง. ญุบัยชอบรับประทานอาหารตรงต่อเวลา 14.การกระทำใดไม่จัดเป็นการย่อย ก.ฟันบดเคี้ยว ข.ทางเดินอาหารบีบตัว ค.กระเพาะอาหารยืดหด ง.ลำไส้เล็กเปลี่ยนเพปไทด์เป็นกรดอะมิโน 15.น้ำย่อยจัดเป็นสารประเภทใด ก.ไขมัน ข.โปรตีน ค.วิตามิน ง.คาร์โบไฮเดรต
36 16.การย่อยคาร์โบไฮเดรตครั้งแรกเกิดขึ้นที่ใด ก.ปาก ข.ลำไส้เล็ก ค.หลอดอาหาร ง.กระเพาะอาหาร 17.ครูนีทานขนมปังการย่อยเกิดขึ้นที่อวัยวะใดบ้าง ก.ปาก ข.ปาก ลำไส้เล็ก ค.ปาก กระเพาะอาหาร ง.ปาก กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก 18.กระเพาะอาหารมีการย่อยอาหารหมู่ใด ก.ไขมัน ข.โปรตี ค.วิตามิน ง.คาร์โบไฮเดรต 19.แป้งเมื่อผ่านการย่อยจะเปลี่ยนเป็นสารชนิดใด ก.น้ำตาลกลูโคส ข.น้ำตาลฟรักโทส ค.น้ำตาลมอลโทส ง.น้ำตาลกาแลกโทส 20.น้ำดีถูกผลิตมาจากอวัยวะใดและช่วยเรื่องใด ก. ถุงน้ำดี ช่วยย่อยไขมัน ข. ตับ ช่วยให้ไขมันแตกตัว
37 ค. ตับอ่อน ช่วยให้ละลายไขมัน ง. ต่อมน้ำลาย ช่วยละลายไขมัน
38 แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญการใช้สื่อวีดีทัศน์ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดี ทัศน์นักเรียนชั้นประถมสกษปีที่ 6 แบบประเมินนี้ เป็นแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการใช้สื่อวีดีทัศน์ในการจัดการ เรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์นักเรียนชั้นประถมสกษปีที่ 6 คำชี้แจง แบบประเมินผลนี้แบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือ ด้านเนื้อหา และด้านคุณภาพสื่อ กรุณาทำเครื่องหมาย ถูก (√) ลงในช่องว่างทางขวามือที่ตรงกับความคิดเห็นของท่าน ถ้ามีข้อแก้ไข กรุณาเติมข้อความลงใน ข้อเสนอแนะ อื่นๆ รายการประเมิน ระดับความความคิดเห็น มากที่สุด (5) มาก (4) ปานกลาง (3) น้อย (2) น้อยที่สุด (1) ด้านเนื้อหา 1. ความสอดคล้องของวัตถุประสงค์กับเนื้อหา 2. ความเหมาะสมของผู้เรียนกับเนื้อหา 3. ความน่าสนใจของเนื้อหา 4. ความถูกต้องของเนื้อหา 5. ภาษาที่ใช้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ด้านคุณภาพสื่อ 1. ขนาดของภาพเคลื่อนไหวมีความน่าสนใจ 2. ความเหมาะสมของภาพเคลื่อนไหว 3. ความเหมาะสมของภาพประกอบ 4. เสียงในสื่อ มีความชัดเจน 5. ความชัดเจนของภาพ
39 เกณฑ์การประเมินความสามารถด้านการแก้ปัญหาแบบทดสอบอัตนัยของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านบูกะคละ(บุญชอบ สาครินทร์) ประเด็นการ ประเมิน ระดับคุณภาพ 4 3 2 1 1.การระบุปัญหา ระบุปัญหาและ เงื่อนไขของการ แก้ปัญหาได้ สอดคล้องกับ สถานการณ์ที่ กำาหนดได้ครบถ้วน สมบูรณ ระบุปัญหาและ เงื่อนไขของการ แก้ปัญหาได้ สอดคล้องกับ สถานการณ์ที่ กำาหนด ระบุปัญหาและ เงื่อนไขของการ แก้ปัญหาได้ สอดคล้องกับ สถานการณ์ที่ กำาหนดบางส่วน ไม่สามารถระบุ ปัญหาและเงื่อนไข ของการแก้ปัญหา 2.การรวบรวม ข้อมูลและแนวคิดที่ เกี่ยวข้องกับปัญหา รวบรวมข้อมูลที่ สอดคล้องกับแนว ทางการแก้ปัญหา ได้อย่างครบถ้วนสม บูรณ รวบรวมข้อมูลที่ สอดคล้องกับแนว ทางการแก้ปัญหา ได้อย่างครบถ้วนแต่ ไม่สมบูรณ รวบรวมข้อมูลที่ สอดคล้องกับแนว ทางการแก้ปัญหาได้ บางส่วน ไม่สามารถรวบรวม ข้อมูลที่สอดคล้อง กับแนวทางการ แก้ปัญหา 3.การออกแบบ วิธีการแก้ปัญหา ออกแบบชิ้นงาน หรือวิธีการได้ สอดคล้องกับแนว ทางการแก้ปัญหา และเงื่อนไขที่ กำาหนด โดยแสดง รายละเอียด ครบถ้วนสมบูรณ์ และสามารถ สื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจ ตรงกัน ออกแบบชิ้นงาน หรือวิธีการได้ สอดคล้องกับแนว ทางการแก้ปัญหา และเงื่อนไขที่กำา หนด โดยแสดง รายละเอียดได้ และสื่อสารให้ผู้อื่น เข้าใจตรงกัน ออกแบบชิ้นงาน หรือวิธีการได้ สอดคล้องกับแนว ทางการแก้ปัญหา และเงื่อนไขที่ กำาหนดบางส่วน และสามารถสื่อสาร ให้ผู้อื่นเข้าใจ ตรงกัน ไม่สามารถออกแบบ ชิ้นงานหรือวิธีการ ได้สอดคล้องกับ แนวทางการแก้ ปัญหาแลเงื่อนไข ที่กำาหนด และไม่ สามารถสื่อสารให้ ผู้อื่นเข้าใจตรงกัน
40 4.การวางแผน และดำาเนินการ แก้ปัญหา มีการวางแผนใน การทำงานและดำา เนินการ แก้ปัญหาตาม ขั้นตอนการทำงาน ได้อย่าง ถูกต้องและ เหมาะสม มีการวางแผนใน การทำงานและดำา เนินการ แก้ปัญหาตาม ขั้นตอนการทำงาน ได้ มีการวางแผนใน การทำงาน แต่ไม่ได้ ดำาเนิน การแก้ปัญหาตาม ขั้นตอนที่วางแผนไว้ ดำาเนินการ แก้ปัญหา โดยไม่มีการ วางแผนในการ ทำงาน 5.การทดสอบ ประเมินผลและ ปรับปรุงแก้ไขวิธี การแก้ปัญหาหรือ ชิ้นงาน กำาหนดประเด็น ในการทดสอบได้ สอดคล้องกับ สถานการณ์ที่กำา หนดและบันทึกผล การทดสอบได้อย่าง ละเอียด ครบถ้วนมี การปรับปรุงหรือ เสนอแนวทางแก้ไข ที่สอดคล้องกับ ปัญหาหากชิ้นงาน หรือ วิธีการมีข้อบกพร่อง กำาหนดประเด็นใน การทดสอบได้ สอดคล้องกับ สถานการณ์ที่กำา หนดและบันทึกผล การทดสอบได้ โดย ขาดรายละเอียด บางส่วน มีการปรับปรุงหรือ เสนอแนวทางแก้ไข ที่สอดคล้องกับ ปัญหาหากชิ้นงาน หรือ วิธีการมีข้อบกพร่อง กำหนดประเด็นใน การทดสอบได้ สอดคล้องกับ สถานการณ์ที่ กำาหนด บันทึกผล การทดสอบ แต่ไม่ ครบถ้วน ขาดรายละเอียด มี การปรับปรุงหรือ เสนอแนวทางการ แก้ไข ที่ไม่สอดคล้องกับ ข้อบกพร่องของ ชิ้นงานหรือวิธีการ ไม่กำาหนดประเด็น ในการทดสอบ และ บันทึกผลการ ทดสอบไม่ชัดเจน ไม่ครบถ้วน ไม่มีการปรับปรุง แก้ไขชิ้นงานหรือ วิธีการเมื่อพบ ข้อบกพร่อง 6.การนำาเสนอ วิธีการ แก้ปัญหา ผลการ แก้ปัญหาหรือ ชิ้นงาน นำาเสนอ รายละเอียด ขั้นตอนการ แก้ปัญหาได้ชัดเจน สื่อสารให้ ผู้อื่นเข้าใจได้อย่าง ครบถ้วน สมบูรณ์ นำาเสนอ รายละเอียด ขั้นตอนการ แก้ปัญหาได้ชัดเจน สื่อสารให้ ผู้อื่นเข้าใจได้ นำาเสนอขั้นตอน การแก้ปัญหาได้ แต่ มีรายละเอียดไม่ ชัดเจน ไม่สามารถนำา เสนอขั้นตอนการ แก้ปัญหา
41 ภาคผนวก ข รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ
42 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เรื่อง ผลของการจัดการเรียนรู้โดย ใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ เรื่อง ระบบย่อยอาหารต่อผลสัมฤทธิ์ทางเรียนและทักษะการ แก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6โรงเรียนบ้านบูเกะคละ(บุญชอบ สาครินทร์) 1. นางณัฐพัชร์ ลี้กุลเสฎฐ์ ตำแหน่ง ครูโรงเรียนบ้านบูเกะคละ(บุญชอบสาครินทร์) วุฒิการศึกษา ครุศาสตรบัณฑิต วิชาเอกวิทยาศาสตร์ทั่วไป 2. นางสาวรุสนี เจ๊ะดาโอ๊ะ ตำแหน่ง ธุรการ โรงเรียนบ้านบูเกะคละ (บุญชอบสาครินทร์) วุฒิการศึกษา ปวช. การบัญชี 3. นางสาวเยาวนุช โซะสะอิ ตำแหน่ง ครู โรงเรียนบ้านบูเกะคละ (บุญชอบสาครินทร์) วุฒิการศึกษา วท.บ. คณิตศาสตร์
43 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบประสิทธิภาพของสื่อ รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เรื่อง ผลของการจัดการเรียนรู้โดย ใช้ปัญหาเป็นฐานร่วมกับสื่อวีดีทัศน์ เรื่อง ระบบย่อยอาหารต่อผลสัมฤทธิ์ทางเรียนและทักษะการ แก้ปัญหาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6โรงเรียนบ้านบูเกะคละ(บุญชอบ สาครินทร์) 1. นางณัฐพัชร์ ลี้กุลเสฎฐ์ ตำแหน่ง ครูโรงเรียนบ้านบูเกะคละ(บุญชอบสาครินทร์) วุฒิการศึกษา ครุศาสตรบัณฑิต วิชาเอกวิทยาศาสตร์ทั่วไป 2. นางสาวรุสนี เจ๊ะดาโอ๊ะ ตำแหน่ง ธุรการ โรงเรียนบ้านบูเกะคละ (บุญชอบสาครินทร์) วุฒิการศึกษา ปวช. การบัญชี 3. นางสาวเยาวนุช โซะสะอิ ตำแหน่ง ครู โรงเรียนบ้านบูเกะคละ (บุญชอบสาครินทร์) วุฒิการศึกษา วท.บ. คณิตศาสตร์