ววิ ฒั นาการของตวั อกั ษรจนี
tCeonnt
ตวั อกั ษรจีนเป็นหน่ึงในตวั อกั ษรท่ีเก่าแก่ท่ีสุดในโลก และยงั เป็นตวั อกั ษรที่ คนใชม้ ากท่ีสุดในโลก
เช่นเดียวกนั จานวนของตวั อกั ษรจีนมีมากกวา่ 6 หมื่นตวั ในน้ีมีตวั อกั ษรที่ใชบ้ ่อย 6000 ตวั ตวั อกั ษรจีนมี
ประวตั ิศาสตร์อนั ยาวนาน มีตน้ กาเนิดมาจากการจดบนั ทึกรูปภาพ ตวั อกั ษรจีนที่เก่าแก่ท่ีสุดท่ีได้ดข้ ดุ คน้ พบ
ในขณะน้ีคือ "เจี๋ยกู่เหวนิ 甲骨文" ซ่ึงเป็นตวั อกั ษรที่มีอายมุ ากกวา่ 3400 ปี มาแลว้
อกั ษรบนกระดองเต่า เจี๋ยก่เู หวิน 甲骨文
อกั ษรบนกระดูกสตั ว(์ 甲骨文)เป็นอกั ขระโบราณท่ีมีอายเุ ก่าแก่ที่สุดของจีน โดยมากอยใู่ นรูป
ของบนั ทึกการทานายท่ีใชม้ ีดแกะสลกั หรือจารลงบนกระดองเต่า หรือกระดูกสตั ว์ ปรากฏแพร่หลายในราช
สานกั ซางเมื่อ 1,100 – 1,300 ปี ก่อนคริสตกาล ลกั ษณะของตวั อกั ขระบางส่วน ยงั คงมีลกั ษณะของความเป็น
อกั ษรภาพอยู่ โครงสร้างตวั อกั ษรเป็นรูปวงรี มีขนาดใหญ่เลก็ แตกต่างกนั ที่ขนาดใหญบ่ า้ งสูงถึงนิ้วกวา่
ขนาดเลก็ เท่าเมลด็ ขา้ ว บางคร้ังในอกั ขระตวั เดียวกนั ยงั มีวธิ ีการเขียนท่ีแตกต่างกนั ตวั อกั ษรมีการพฒั นาการ
ในแต่ละช่วงเวลา โดยมีลกั ษณะพิเศษ กล่าวคือ ยคุ ตน้ ตวั อกั ษรมีขนาดใหญ่ ยคุ กลาง มีขนาดเลก็ และ
ลายเสน้ ที่เรียบง่ายกวา่ เม่ือถึงยคุ ปลายจะมีลกั ษณะใกลเ้ คียงกบั อกั ษรจินเหวินหรืออกั ษรโลหะ
อกั ษรโลหะ(金文)
เป็นอกั ษรที่ใชใ้ นสมยั ซางต่อเนื่องถึงราชวงศโ์ จว (1,100 – 771 ปี ก่อนคริสตศกั ราช) มีชื่อเรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ ‘จงต่ิง
เหวนิ ’(钟鼎文)หมายถึงอกั ษรท่ีหลอมลงบนภาชนะทองเหลืองหรือสาริด เนื่องจากตวั แทนภาชนะสาริดในยุคน้นั ได้ดแ้ ก่
‘ต่ิง’ซ่ึงเป็นภาชนะคลา้ ยกระถางมีสามขา ใชแ้ สดงสถานะทางสงั คมของคนในสมยั น้นั
และตวั แทนจากเคร่ืองดนตรีที่ทาจากโลหะ คือ ‘จง’ หรือระฆงั ดงั น้นั อกั ษรท่ีสลกั หรือหลอม
ลงบนเครื่องใชโ้ ลหะดงั กล่าวจึงเรียกวา่ ‘จงติ่งเหวนิ ’ มีลกั ษณะพิเศษ คือ มีลายเสน้ ที่หนาหนกั
ร่องลายเส้นราบเรียบที่ได้ดจ้ ากการหลอม ได้ม่ใช่การสลกั ลงบนเน้ือโลหะ อกั ษรโลหะในสมยั หลงั
รัชสมยั เฉิงหวงั และคงั หวงั แห่งราชวงศโ์ จว จะมีความสง่างาม สะทอ้ นภาพลกั ษณ์
ที่สุขมุ เยอื กเยน็ เน้ือหาท่ีบนั ทึกดว้ ยอกั ษรโลหะ โดยมากเป็น คาสงั่ การของชนช้นั ผนู้ า
พิธีการบูชาบรรพบุรุษ บนั ทึกการทาสงคราม เป็นตน้ มีการบนั ทึกการคน้ พบอกั ษรโลหะ
ต้งั แต่รัชสมยั ฮนั่ อู่ต้ีในราชวงศฮ์ นั่ (116 ปี ก่อนคริสตศกั ราช) บนภาชนะ ‘ต่ิง’ ท่ีส่งเขา้ วงั หลวง
ดงั น้นั จึงมีการศึกษาและการทาอรรถาธิบายจากปัญญาชนในยคุ ต่อมา
อกั ษรเส่ียวจ้วน(小篆)
สมยั ชุนชิวจ้นั กว๋อจนถึงยคุ การก่อต้งั ราชวงศฉ์ ิน (770 – 202 ปี ก่อนคริสตศกั ราช) โครงสร้างของตวั อกั ษรจีน
ยงั คงรักษารูปแบบเดิมจากราชวงศโ์ จวตะวนั ตกซ่ึงนอกจากอกั ษรโลหะแลว้ ยงั มีอกั ษรรูปแบบต่าง ๆท่ีเหมาะกบั การบนั ทึก
ลงในวสั ดุแต่ละชนิด เช่น อกั ษรที่ใชใ้ นการลงนามสตั ยาบนั ร่วมระหวา่ งแวน่ แควน้ ที่สลกั ลงบนแผน่ หยกก็ เรียกวา่
หนงั สือพนั ธมิตร หากสลกั ลงบนได้มก้ เ็ รียกสาส์นได้ม้ หากสลกั ลงบนหินกเ็ รียก ตวั หนงั สือกลองหิน ฯลฯ นอกจากน้ี ก่อน
การรวมประเทศจีนบรรดาเจา้ นครรัฐหรือแวน่ แควน้ ต่างกม็ ีตวั อกั ษรท่ีใชแ้ ตก ต่างกนั ได้ป ซ่ึงส่วนหน่ึงได้ดแ้ ก่อกั ษรจว้ นใหญ่
หรือตา้ จว้ น (大篆)ซ่ึงเป็นตน้ แบบของเส่ียวจว้ นในเวลาต่อมา
ภายหลงั จากจ๋ินซีฮ่องเตไ้ด้ดร้ วมแผน่ ดินจีนเขา้ ดว้ ยกนั ในปี ค.ศ. 221 แลว้ กท็ าการปฏิรูประบบตวั อกั ษรคร้ังใหญ่
โดยการสร้างมาตรฐานรูปแบบตวั อกั ษรท่ีเป็นหน่ึงเดียวกนั ทว่ั ได้ดม้ ีการนาเอาตวั อกั ษรด้งั เดิมของรัฐฉิน(อกั ษรจว้ น)มาปรับ
ใหเ้ รียบง่ายข้ึน อกั ษรที่ผา่ นการปฏิรูปน้ี รวมเรียกวา่ อกั ษรเสี่ยวจว้ นหรือจว้ นเลก็ (小篆)ถือเป็นอกั ษรท่ีใชท้ ว่ั ประเทศ
จีนเป็ นคร้ ังแรก
อกั ษรลชี่ ู(隶书)
สาหรับท่ีมาของอกั ษรลี่ซูน้นั กล่าวกนั วา่ สมยั ฉินมีทาสท่ีเรียกวา่ เฉิงเหมี่ยวผหู้ น่ึง
เน่ืองจากกระทาความผดิ จึงถูกสงั่ จาคุก เฉิงเหมี่ยวที่อยใู่ นคุกคุมขงั
จึงคิดปรับปรุงตวั อกั ษรจว้ นใหเ้ ขียนง่ายข้ึน
จากโครงสร้างกลมเปล่ียนเป็นสี่เหล่ียมกลายเป็นอกั ษรรูปแบบใหม่
จิ๋นซีฮ่องเตท้ อดพระเนตรเห็นแลว้ ทรงโปรดอยา่ งมาก จึงทรงแต่งต้งั
ใหเ้ ฉิงเหมี่ยวทาหนา้ ที่อารักษใ์ นวงั หลวง ต่อมาตวั หนงั สือชนิดน้ี
แพร่หลายออกได้ป จึงมีการเรียกช่ือตวั หนงั สือชนิดน้ีวา่
อกั ษรล่ีซูหรืออกั ษรทาส (คาวา่ ‘ลี่’ ในภาษาจีนหมายถึง ทาส)
อกั ษรข่ายซู(楷书)
หรือเรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ อกั ษรจริง (真书)เป็นอกั ษรจีนรูปแบบมาตรฐานใชก้ นั อยา่ งแพร่หลายใน
ปัจจุบนั (คาวา่ ‘楷’ อ่านวา่ ข่าย มีความหมายวา่ แบบฉบบั หรือตวั อยา่ ง) อกั ษรข่ายซูเป็นเสน้ สญั ลกั ษณ์ท่ีประกอบกนั
ข้ึน ภายใตก้ รอบส่ีเหล่ียม หลุดพน้ จากรูปแบบอกั ษรภาพของตวั อกั ขระยคุ โบราณอยา่ งสิ้นเชิง
อกั ษรข่ายซูมีตน้ กาเนิดในยคุ ปลายราชวงศฮ์ น่ั ตะวนั ออก ภายหลงั ราชวงศว์ ยุ่ จิ้น(สามกก๊ ) (คริสตศกั ราช 220 – 316)
ได้ดร้ ับความนิยมอยา่ งแพร่หลาย จากการกา้ วเขา้ สู่ขอบเขตข้นั ใหม่ของอกั ษรลี่ซู พฒั นาตามมาดว้ ย อกั ษรข่ายซู เฉ่าซู
และสิงซู กา้ วพน้ จากขอ้ จากดั ของลายเสน้ ท่ีมาจากการแกะสลกั เมื่อถึงยคุ ถงั (คริสตศกั ราช 618 – 907) จึงกา้ วสู่ยคุ ทอง
ของอกั ษรข่ายซูอยา่ งแทจ้ ริง จวบจนปัจจุบนั อกั ษรข่ายซูยงั เป็นอกั ษรมาตรฐานของจีน
อกั ษรเฉ่าซู (草书)
คาวา่ ‘เฉ่า’ ในภาษาจีนหมายถึง อยา่ งลวก ๆหรืออยา่ งหยาบ)
อกั ษรเฉ่าซู เกิดจากการนาเอาลายเส้นท่ีมีแต่เดิมมายน่ ยอ่
เหลือเพียงขีดเสน้ เดียวโดยฉีกออกจากรูปแบบอนั จาเจของ
กรอบสี่เหล่ียมในอกั ษรจีน หลุดพน้ จากขอ้ จากดั ของข้นั ตอน
วธิ ีการขีดเขียนอกั ษรในแบบมาตรฐานตวั คดั หรือ ขา่ ยซู
ในขณะท่ีอกั ษรข่ายซูอาจประกอบข้ึนจากลายเสน้ สิบกวา่ สาย
แต่อกั ษรเฉ่าซูเพียงใช้ 2 – 3 ขีดกส็ ามารถประกอบเป็นสญั ลกั ษณ์
เช่นเดียวกนั ได้ด้
อกั ษรสิงซู(行书)
เป็นรูปแบบตวั อกั ษรที่อยกู่ ่ึงกลางระหวา่ งอกั ษรข่ายซูและ อกั ษรเฉ่าซู เกิดจากการเขียนอกั ษรตวั
บรรจงท่ีเขียนอยา่ งหวดั หรืออกั ษรตวั หวดั ที่เขียน อยา่ งบรรจง อาจกล่าวได้ดว้ า่ เป็นตวั อกั ษรก่ึงตวั หวดั และก่ึง
บรรจง อกั ษรสิงซูกาเนิดข้ึนในราวปลายราชวงศฮ์ นั่ ตะวนั ออก รวบรวมเอาปมเด่นของอกั ษรข่ายซูและเฉ่าซูเขา้
ดว้ ยกนั
ววิ ฒั นาการของอกั ษร 鸡