The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by bonustt48, 2022-11-20 02:11:37

Dull Minimalist Book Cover

Dull Minimalist Book Cover

มหาเวสสันดรชาดก
กัณฑ์มัทรี

จัดทำโดย
นายวรกร นวลศรีทอง
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕/๖ เลขที่ ๑๙

เสนอ
คุณครูสุวรรณ ชำนาญธุระกิจ

ประวัติผู้แต่ง

เจ้าพระยาพระคลัง (หน)

เกิดในช่วงปลายสมัยอยุธยา
รับราชการในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน กรุงธนบุรี
โดยมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงสรวิชิต ต่อมาในรัชสมัย
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้รับการ
แต่งตั้งให้เป็นพระยาพิพิฒนโกษา ก่อนจะเลื่อนมาเป็น
เจ้าพระยาพระคลัง เสนาบดีจตุสดมภ์กรมท่า ซึ่ง
นอกจากผลงานด้านราชการแล้ว เจ้าพระยาพระคลัง
(หน) ยังมีผลงานด้านการประพันธ์จำนวนมาก เช่น
สามก๊ก (ฉบับแปล) ราชาธิราช บทมโหรีเรื่องกากี
อิเหนาคำฉันท์ ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์กุมาร

และกัณฑ์มัทรี

ที่มาของ มหาเวสสันดรชาดก

มีความเชื่อว่า พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติมาหลายชาติ ทั้งคนทั้งสัตว์
เดรัจฉาน โดยแต่ละชาติพระองค์ได้บำเพ็ญบารมีแตกต่างกันออกไป

ซึ่งมหาเวสสันดรชาดกเป็นชาติสุดท้ายก่อนจะประสูติมาเป็น
พระพุทธเจ้าในชมพูทวีป และมีการบำเพ็ญบารมีด้วยการให้ทาน โดย
บริจาคลูกและบริจาคเมียเป็นทาน สำหรับที่มาที่ไปของมหาเวสสันดร
ชาดก เริ่มต้นขึ้นเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่เมืองกบิลพัสดุ์ พร้อมกับ
พระอรหันต์สองรูป เพื่อจะไปเทศนาโปรดพระบิดาและพระญาติ แต่
พระญาติเกิดอัตตา ไม่ยอมไหว้พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงแสดงปาฏิ
หารย์ โดยการเหาะเหินเดินอากาศ ทำให้ฝุ่นใต้พระบาทาปลิวมาติดหัว
พระญาติ และมีฝนโบกขรพรรษตกลงมาสู่เบื้องล่าง ฝนโบกขรพรรษ
เป็นฝนที่มีสีแดงใสบริสุทธิ์ราวกกับทับทิม ถ้าต้องการเปียกฝนนั้น ฝน
ก็จะเปียกเนื้อตัวตามปกติ แต่ถ้าไม่ต้องการเปียกฝน เม็ดฝนนั้นก็จะ

ระเหยหายไปทันที

ที่มาของ มหาเวสสันดรชาดก



เมื่อเกิดฝนโบกขรพรรษขึ้น พระอรหันต์ที่ตามพระพุทธเจ้าไปจึงถาม
ว่าฝนนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร พระองค์จึงบอกว่า ฝนนี้เคยเกิดมาแล้วใน
ครั้งที่พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร พระพุทธเจ้าเลยถือ
โอกาสนี้เล่าว่าพระองค์สามารถระลึกชาติได้ โดย ๑๐ ชาติสุดท้ายหรือ
ทศชาติ ได้แก่ เตมีย์ชาดก มหาชนกชาดก สุวรรณสามชาดก เนมิราช
ชาดก มโหสถชาดก ภูริทัตชาดก จันทชาดก นารทชาดก วิทูรชาดก
และเวสสันดรชาดก ซึ่งแต่ละชาติพระองค์ได้บำเพ็ญบารมีในรูปแบบที่

แตกต่างกันออกไป



สำหรับชาติสุดท้าย คือ
เวสสันดรชาดก ประกอบด้วย
๑๓ กัณฑ์ แต่ละกัณฑ์จะมีผู้
ประพันธ์แตกต่างกันออกไป
โดยจุดประสงค์หลักในการ
แต่งคือใช้สำหรับเทศนาให้กับ
พุทธศาสนิกชนหรือบุคคลที่
สนใจ ส่วนกัณฑ์ที่เจ้าพระยา
พระคลัง (หน) ประพันธ์ มี ๒
กัณฑ์ ได้แก่ กัณฑ์กุมาร และ

กัณฑ์มัทรี

ลักษณะคำประพันธ์

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี มีลักษณะคำประพันธ์เป็น
แบบร่ายยาว โดยหนึ่งบทจะมีกี่วรรคก็ได้ ส่วนใหญ่จะนิยม
แต่ง ๕ วรรคขึ้นไป แต่ละวรรคมีจำนวนคำ ๖-๑๐ คำ และ
ใช้คำสร้อย เช่น นั้นแล แล้วแล ดังนี้ ฯลฯ ซึ่งคำสร้อยนี้จะมี

ก็ได้หรือไม่มีก็ได้
ฉันทลักษณ์ของร่ายยาว จะมีการบังคับเฉพาะคำสุดท้าย
ของวรรคก่อนหน้าจะสัมผัสกับคำที่ ๑ ถึงคำที่ ๕ ของวรรค

ถัดไป

เนื้อเรื่องย่อ
(เฉพาะตอน กัณฑ์มัทรี)

กล่าวถึงพระนางมัทรีได้เสด็จออกจากพระอาศรมเพื่อไปแสวงหา
ผล ไม้เผือกมันมาเป็นอาหาร ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว แต่
ในพระทัย ของพระนางในวันนี้มีความหวาดหวั่นถึงสองกุมาร คือ
พระชาลีและ พระกัณหายิ่งนัก (เพราะเมื่อคืนนี้พระนางทรงฝัน
ร้าย แต่พอทูลให้พระ เวสสันดรทรงแก้ความฝันให้พระเวสสันดร
กลับทรงบอกว่าไม่มีอะไรร้าย แรง แต่จริงๆแล้วมี เพราะชูชกเดิน
ทางมาขอสองกุมารจากพระ เวสสันดรได้สำเร็จ) เดินทางไปพลาง

พระนางก็ร้องไห้คร่ำครวญตลอด เวลา ผลหมากรากไม้ที่เคย
พบเห็นอยู่มากมาย ในวันนี้กลับหายไปหมด สิ้น ทำให้พระนาง
ต้องเดินทางไปไกลกว่าทุกวัน และขณะที่กำลังเดิน ทางจะกลับ
อาศรม ก็มีเทวดาแปลงกายมาเป็นสัตว์ร้าย อาทิ ราชสีห์ เสือโคร่ง
และเสือเหลืองขวางทางไว้ จำทำให้พระนางมัทรีกลับถึงพระ

อาศรมเป็นเวลาค่ำมากกว่าทุกวัน และพอมาถึงพระอาศรม
พระนางก็ เรียกหาลูกทั้งสองก็ไม่มีเสียงตอบตามหาก็ไม่พบ พระ
นางมัทรีจึงมาทูล ถามพระเวสสันดร ตอนแรกพระเวสสันดรก็ทรง
ทำเฉย แต่พอพระนาง มัทรีเซ้าซี้ถามอีก พระเวสสันดรก็ทรงแสร้ง
ทำเป็นโมโหหึงหวงต่อว่า ต่อขานพระนางที่กลับมาถึงพระอาศรม
จนมืดค่ำ ทั้งยังทรงกล่าว บริภาษพระนางมัทรีต่างๆนาๆ พระนา
งมัทรีได้กล่าวขออภัยโทษพระ เวสสันดรก็ทรงทำเฉยอีก พระนา
งมัทรีจึงออกตามหาสองกุมารตลอดทั้ง คืน พร้อมทั้งรำพึงรำพัน

ไปตลอดเวลาด้วยความเศร้าโศกเสียพระทัย และความอิดโรย
ทำให้พระนางมัทรีมาสลบลงตรงหน้าพระอาศรมพระ เวสสันดร
จึงทรงแก้ไขจนพระนางฟื้ นขึ้นมา แล้วก็ทรงเล่าความจริง(ที่ได้
ทรงมอบสองกุมารให้ไปเป็นข้ารับใช้ของชูชก) ให้พระนางมัทรีฟัง
พระ นางมัทรีจึงอนุโมทนาต่อบุตรทานในครั้งนี้ด้วยความปีติยินดี
ยิ่ง บรรดา ทวยเทพยดาก็พลอยยินดีปรีดาไปกับบุตรทานในครั้ง
นี้ด้วย จึงพร้อมกับ สาธุการสรรเสริญพระอินทร์ผู้เป็นเจ้าแห่ง
ดาวดึงส์สวรรค์ ก็มาโปรด ดอกไม้ทิพย์เป็นการบูชาพระนางมัทรี

ด้วย

ถอดคำประพันธ์
มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

คืนก่อนที่พระนางมัทรีจะออกจากอาศรมไปเก็บผลไม้ในป่า พระกุมาร
ทั้งสองฝันร้าย ทำให้พระนางหวั่นวิตกนึกถึงลูกตลอดเวลาจนน้ำตาอาบ
แก้มทั้งสองข้าง พลางสังเกตเห็นว่าต้นที่มีผลไม้กลับกลายเป็นดอกไม้
ส่วนต้นที่มีดอกไม้กลับกลายเป็นผลไม้ขึ้นแทน ส่วนดอกไม้ที่เคยเก็บไป

ร้อยให้ลูกก็ถูกลมพัดปลิวร่วงลงมา เมื่อมองไปรอบทิศก็มืดมัวทุกหน
แห่ง ท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีแดงคล้ายกับลางบอกเหตุร้าย สายตาของ
พระนางก็เริ่มพร่ามัว ตัวสั่นใจสั่น ของที่ถือก็หลุดจากมือ คานที่หาบไว้ก็
ร่วงลงจากบ่าซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ยิ่งพระนางคิดเท่าไร

ก็ยิ่งทุกข์ใจมากขึ้นเท่านั้น

ถอดคำประพันธ์
มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

ด้วยความหวั่นใจเรื่องลูก พระนางจึงรีบเก็บผลไม้เพื่อจะได้รีบกลับไป
หาลูกที่อาศรม แต่ระหว่างทางกลับเจอ สิงโต เสือเหลือง และเสือโคร่ง
ขวางทางไว้ นางกลัวจนใจสั่นร่ำไห้ คิดไปว่าเป็นกรรมของตนเอง นาง

จะหนีไปทางไหนก็ไม่ได้เพราะถูกสัตว์ทั้งสามกั้นไว้ทุกทิศทางจนฟ้า
มืด พระนางมัทรีไม่รู้จะทำอย่างไร จึงยกมือไหว้อ้อนวอนขอให้สัตว์
หิมพานต์ทั้งสามเปิดทางให้ตน โดยกล่าวว่า พระนางคือพระนางมัทรี
เป็นภรรยาของพระเวสสันดร ตามมาอยู่ที่อาศรมในป่าด้วยความ
บริสุทธิ์ใจและกตัญญูต่อสามี นี่ก็เวลาย่ำค่ำแล้วลูกคงหิวนม โปรดเปิด
ทางให้พระนางกลับไปที่อาศรมแล้วตนจะแบ่งผลไม้ให้ จากนั้นไม่นาน
สัตว์หิมพานต์ทั้งสามจึงยอมเปิดทางให้ พระนางมัทรีก็รีบวิ่งกลับไปที่

อาศรมด้วยแก้มที่อาบน้ำตา

ถอดคำประพันธ์
มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

เมื่อถึงที่พักพระนางมัทรีก็ตกใจไม่เห็นลูกอยู่ในอาศรม ร้อง
เรียกหาเท่าไรก็ไม่มีใครตอบ ทั้งที่ก่อนหน้านี้จะออกมาหาแม่กัน
พร้อมหน้า ทั้งกัณหาขอกินนม ส่วนชาลีจะขอกินผลไม้ พระนา
งมัทรีเสียใจมาก พร่ำบอกว่าที่ผ่านมาก็ดูแลลูกอย่างดีแบบยุง
ไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม หวังจะกลับมาพบลูกให้ชื่นใจ ก่อนหน้านี้
ยังได้ยินเสียงลูกเล่นกันอยู่แถวนี้ นั่นก็รอยเท้าชาลี นี่ก็ของเล่น
กัณหา แต่เมื่อลูกหายไปอาศรมกลับดูเงียบเหงาเศร้าหม่น นาง

จึงไปถามพระ
เวสสันดรว่าลูกหายไป
ไหน เหตุใดจึงปล่อย
ให้คลาดสายตา หากมี
สัตว์ป่าจับไปจะทำ
อย่างไร แต่พระ
เวสสันดรกลับไม่ตอบ
อะไร ทำให้นางกลุ้มใจ
ยิ่งไปว่าเก่า

ถอดคำประพันธ์
มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

ด้วยความกลุ้มใจ ตัวก็ร้อน น้ำตาก็ไหล กระวนกระวายพลาง
บอกว่า ไม่เคยมีครั้งใดที่นางรู้สึกแค้นเคืองใจขนาดนี้ เพราะ
นางออกจากเมืองมาก็หวังว่าอย่างน้อยจะได้สุขใจเพราะอยู่
พร้อมหน้ากับลูกและสามี แต่เมื่อลูกหายตัวไป ความหวังนั้น

ก็คล้ายจะดับสิ้น





พระนางมัทรีอ้อนวอนขอให้พระเวสสันดรตรัสกับนางบ้าง
เพราะการนั่งนิ่งเหมือนโกรธเคืองพระนางมัทรีนั้นยิ่งทำให้
ปวดใจราวกับมีคนเอาเหล็กรนไฟมาแทงที่หัวใจ หรือเป็น
คนไข้ที่หมอนำยาพิษมาให้ดื่ม อีกไม่กี่วันคงสิ้นชีวิตอย่าง
แน่นอน เมื่อพระเวสสันดรได้ยินพระนางมัทรีดังนั้น ก็คิดว่า
หากใช้ความหึงหวงคงเป็นวิธีคลายความโศกให้พระนางได้

จึงตรัสว่า ในป่าหิมพานต์แห่งนี้มีทั้งพระดาบสและนาย
พรานจำนวนมาก เจ้าออกไปเก็บผลไม้ตั้งแต่เช้าจนย่ำค่ำ
หากไปทำอะไรในป่าแห่งนี้ก็คงจะไม่มีใครรู้เห็น เหตุใดจึงทิ้ง
ลูกหนีเข้าไปในป่านานถึงเพียงนี้ พอกลับมายังห่วงแต่ลูก ไม่
ห่วงสามีแต่อย่างใด หรือหากไม่นึกถึงสามีก็ไม่ควรหาย

เข้าไปในป่านานถึงเพียงนี้ จะให้เราเข้าใจได้อย่างไร

ถอดคำประพันธ์
มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

เมื่อพระนางมัทรีได้ยินดังนั้น จึงกราบทูลว่า เหตุใดพระองค์จึงไม่
ได้ยินเสียงของราชสีห์ เสือโคร่ง และเสือเหลือง เพราะสัตว์ทั้งสามนี้
ทำให้ทำให้พระนางไม่สามารถกลับอาศรมได้ ทั้งยังเกิดเหตุร้ายหลาย
ประการขณะที่นางเข้าไปในป่า ทั้งของที่ถือก็หลุดจากมือ คานที่หาบไว้
ก็ร่วงลงจากบ่า ต้นไม้ที่เคยผลิดอกก็ออกผล ต้นไม้ที่เคยออกผลก็ผลิ
ดอกออกมา ชวนให้หวาดกลัวจนตัวสั่น อธิษฐานภาวนาให้ลูกและสามี
ปลอดภัย แล้วรีบกลับมายังอาศรมแต่ถูกสัตว์ร้ายทั้งสามตัวนอนขวาง

ทางเอาไว้ จึงต้องกราบอ้อนวอนสัตว์ทั้งสามให้เปิดทางให้จน
พระอาทิตย์ตกดินสัตว์ทั้งสามจึงหลีกทาง แล้วพระนางมัทรีก็รีบวิ่ง
กลับมายังอาศรมนี้ มิได้ไปทำสิ่งใดที่ไม่เหมาะไม่ควรแต่อย่างใด ฝ่าย
พระเวสสันดรเมื่อฟังคำตอบของพระนามัทรีก็เอาแต่นิ่งเงียบทั้งคืน

จนกระทั่งรุ่งเช้า

ถอดคำประพันธ์
มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

ระหว่างนั้นพระนางมัทรีโศกเศร้าร่ำไห้ คร่ำครวญว่าตนปฏิบัติต่อสามีดั่ง
ศิษย์ปฏิบัติต่อครู ดูแลลูกทั้งสองแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ทั้งบดขมิ้นไว้
ให้อาบน้ำ จัดหาอาหารมาให้มิได้ขาด แล้วอ้อนวอนให้สามีเรียกลูกมากิน
อาหารที่ตนหามา ถามว่าลูกอยู่แห่งหนใดเหตุใดจึงยังไม่ยอมออกมา แต่ไม่
ว่าจะร้องขออ้อนวอนอย่างไรสามีก็นิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา พระนางจึง
ถวายบังคมลาออกไปตามหาลูกทั้งสองในป่าหิมพานต์ เมื่อออกตามหาจน
ทั่วแล้วไม่พบจึงกลับมาที่อาศรมพบว่าพระเวสสันดรยังคงนั่งนิ่งอยู่เหมือน
ก่อนหน้านี้ไม่มีผิด พระนางจึงตัดพ้อว่า เหตุใดพระเวสสันดรจึงยังนั่งนิ่งอยู่

ไม่ลุกมาผ่าฝืน ตัดน้ำใส่บ่อ หรือก่อไฟไว้อย่างที่เคยทำเป็นประจำทุกวัน
พร้อมกับบอกว่าพระเวสสันดรนั้นเป็นที่รักของพระนางมัทรีอย่างยิ่ง เมื่อ
กลับมาจากป่าเห็นพระพักตร์ของพระองค์และได้เห็นลูกทั้งสองวิ่งเล่น ก็
คลายความเหนื่อยล้าเป็นปลิดทิ้ง แต่วันนี้กลับกลายเป็นความทุกข์ร้อน
เศร้าโศก เพราะพระองค์ไม่ยอมตรัสสิ่งใดกับพระนาง แม้พระนางมัทรีจะได้
ออกตามหาพระกัณหาและพระชาลีไปทั่วป่า ทั้งราตรี แล้วกลับมาหาพระ
เวสสันดรอย่างไรพระองค์ก็ไม่ยอมตรัสสิ่งใดอยู่เช่นเดิม นางมัทรีสะอื้นไห้

จนหมดสติล้มลงกับพื้น

ถอดคำประพันธ์
มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี

พระเวสสันดรบรรพชาเป็นดาบสมากว่า 7 เดือน ไม่เคยได้แตะ
ต้องตัวพระนางมัทรี แต่วันนี้ด้วยความเศร้าโศกและตระหนก
ตกใจเกรงว่าพระนางจะเป็นอะไรไป พระเวสสันดรจึงเข้าไปตรวจ
ชีพจรดูแลนางจนได้สติตื่นฟื้ นขึ้นมา ฝ่ายพระนางมัทรีเมื่อฟื้ นขึ้น
มาก็ทูลถามอีกครั้งว่าลูกทั้งสองอยู่แห่งหนใด กลับมาแล้วหรือไม่
พระเวสสันดรจึงตอบว่าตนได้ยกพระกัณหากับพระชาลีให้กับชูชก
ไปแล้ว แต่พระองค์มิได้บอกกับพระนางมัทรีตั้งแต่ต้นเกรงว่า
พระนางจะเศร้าโศกเสียใจ เมื่อได้รู้ความจริงแล้ว พระนางมัทรีจึง
คลายความทุกข์เศร้าลงแล้วอนุโมทนาบุญกับบุตรทานที่พระ

เวสสันดรได้ปฏิบัติในครั้งนี้

ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง มหาเวสสันดรชาดก
ตอน กัณฑ์มัทรี

ความรักของแม่ที่มีต่อลูก
เห็นได้จาก ความกังวลที่เกิดขึ้นเมื่อมีลางร้าย หรือความเศร้าโศก

เสียใจเมื่อพระนางมัทรีไม่เจอลูกอยู่ในอาศรม



ความเชื่อเรื่องการทำนายฝัน หรือโชคลาง
เห็นได้จาก ความเชื่อเรื่องดวงชะตา การทำนายฝัน หรือโชคลางยัง
คงอยู่ในสังคมไทยมาจนถึงปัจจุบัน แม้จะลดน้อยลงเมื่อเทียบกับ

อดีต



ความซื่อสัตย์
เห็นได้จาก พระนางมัทรีมีความซื่อสัตย์ต่อพระเวสสันดร



ความสำคัญของการมีปัญญา
เห็นได้จาก การที่พระเวสสันดรมีไหวพริบ สามารถแก้ปัญหาได้ดี


Click to View FlipBook Version