การขับร้องเพลงไทย สันนิฐานว่ามีวิวัฒนาการมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย สมัยกรุงศรีอยุธยา
และมาเจรญิ ถึงที่สดุ ในสมยั กรุงรัตนโกสนิ ทร์ โดยมพี ระมหากษตั รยิ ์เป็นผ้ทู รงอุปถัมภ์
การขบั รอ้ งเพลงไทยได้เรมิ่ ต้นมาจาการเปลง่ เสียงร้อง การสวด การขับ และการเออ้ื น พัฒนามานาน
กว่าจะเปน็ รปู แบบการขบั ร้องท่ีมีความไพเราะ งดงาม สละสลวย เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ วิวัฒนาการท่ีผ่าน
มานี้ ได้สะสมความงาม ความไพเราะ และคุณค่าทางความคดิ ของบรรพบุรษุ ไว้อย่างมากมาย ดงั นั้น
ศิลปและวัฒนธรรมทางดา้ นการดนตรีและการขับร้องจงึ สมควรอย่คู ปู่ ระเทศไทยสบื ต่อไป
กาเนิดของเสียง ทกุ สงิ่ ทกุ อย่างจะเกดิ ขึ้นได้ต้องมเี หตุ เสียงกเ็ ช่นเดียวกันต้องมีต้นเหตทุ ี่ทาให้เกิดขน้ึ
แตใ่ นที่นีเ้ ราจะไมเ่ รยี กว่าตน้ เหตทุ ่ีทาให้เกิดเสียงจะเรียกว่ากาเนดิ ของเสียง เสียงเกดิ ข้นึ จากอาการกระทบกนั
โดยให้ขอ้ สังเกตไดว้ า่ เมื่อเกิดเสียงก็ตอ้ งหมายถงึ ได้เกดิ การกระทบกระแทกของส่ิงหนึ่งกับของอีกส่งิ หนงึ่ เสมอ
เปน็ ต้นวา่ เม่อื ฝนตกกจ็ ะเกิดเสยี งเรียกวา่ เสยี งฝนตก ซึง่ เสียงนี้กค็ อื เสียงท่เี กิดจากการกระทบกันระหวา่ งฝน
ที่หยดลงจากท้องฟา้ ลงมากระทบหลงั คาหรือสิง่ ต่างๆ อยู่ขา้ งลา่ งนนั่ เอง
เสยี งคอื สงิ่ ที่สามารถได้ยนิ ไดด้ ้วยหแู ยกออกได้ ๓ ประเภท
๑. เสียงตามธรรมชาติ เชน่ น้าตก ฝนตก ลมพัด เสยี งคลนื่ เป็นเสยี งท่เี กดิ ขน้ึ เองโดยธรรมชาติ
๒. เสียงเกิดจากวิกฤตกาล เช่น เสยี งเคร่ืองยนต์ เสียงระเบดิ อาจจะเปน็ เสยี งทมี่ นุษย์ก่อขน้ึ
๓. เสียงดนตรี เชน่ เสียงซออู้ เสียงขลยุ่ เสยี งระนาด เสียงกลอง เสยี งฉงิ่ เกดิ จากการสัน่ สะเทือน
ของโลหะ หรอื เสยี งทีป่ ระดิษฐ์ขน้ึ ท่ีเราเรียกเครือ่ งดนตรชี นดิ นัน่ ๆวา่ เสยี งดนตรี
ในการขับร้อง กอ่ นท่ีจะเปลง่ เสียงออกมาเปน็ การรอ้ งเป็นเพลงไดน้ น้ั ยอ่ มตอ้ งมตี าแหน่งของเสยี ง
เพื่อส่งเสียงออกมาได้หลายแหง่ ทัง้ นี้เพอื่ จะให้การขบั รอ้ งน้นั เกดิ ความไพเราะถูกตอ้ งชดั เจน
ตาแหน่งของเสยี งทสี่ าคญั มี ๕ ตาแหนง่ คือ
๑. คอ เปน็ ตาแหนง่ ของเสียงทใี่ ช่ในการขับรอ้ งทม่ี ีเสยี งต่า และใช้คอในการออกเสียงบางสระ
เช่น สระออ โดยมากใช้ในการขบั มากกว่าการรอ้ ง ตัวอักษรทีใ่ ช้มีตัวพยญั ชนะ ก ข ค ง ห อ ฮ
๒. เพดาน เปน็ ตาแหน่งของเสียงท่ใี ชป้ ระกอบกับตัวอกั ษรบางตัว เพอื่ ให้เกิดความชดั เจนไพเราะย่งิ ขึ้น
ในการขับรอ้ ง ตัวอกั ษรท่ใี ชม้ ตี วั พยญั ชนะ จ ฉ ช ซ ฌ ญ ย ศ เป็นตาแหน่งของเสยี งทีเ่ กิดจากเพดาน
๓. ปาก ตาแหนง่ ของเสียงในการขับร้องเพลงไทย นับว่าเป็นตาแหน่งท่ใี ชม้ ากที่สดุ กวา่ ตาแหนง่ อื่น
๔. ไรฟัน ตาแหน่งของเสียงนร้ี วมเรียกทง้ั ปุม่ เหงอื กภายในไรฟันดว้ ยเปน็ ตาแหน่งเสยี งท่ีจะเน้นเสยี ง
คลบกล้าให้ชดั เจนยง่ิ ขึ้น
๕. จมกู เป็นตาแหนง่ ของเสยี งทใ่ี ช้มาก แตใ่ นการขับร้องเพลงไทยตอ้ งระวังเสียงไมใ่ ห้ออกจมกู โดยตรง
เพลงไทย ทมี่ ีอยูน่ ้นั สามารถทจ่ี ะจาแนกออกไดเ้ ป็น ๒ ประเภทใหญ่ๆ เพลงบรรเลงและเพลงขับร้อง
สาหรับบทเพลงทจี่ ัดอยใู่ นประเภทเพลงขบั รอ้ งมอี ยู่หลายชนิด ดังนี้
๑. เพลงเถา เปน็ เพลงประเภทบรรเลงและขบั ร้อง ในเพลงเถาจะมอี ัตราจังหวะ ทงั้ ๓ ช้ัน ๒ ชนั้
และช้ันเดยี วรวมอยู่ในเพลงเดยี วกัน เรยี กว่าเพลงเถา
๒. เพลงตับ แบง่ ไดเ้ ปน็ ๒ ชนิด คือ
ตบั เร่ือง เพลงตบั ท่ีเรยี บเรยี งขนึ้ จากเพลงหลายเพลงโดยยดึ เอาเนือ้ ร้องหรือบทร้องท่ีเป็นเรื่องราว
เดยี วกันเปน็ สาคัญ ไมย่ ดึ ทานองเพลงเป็นหลกั เชน่ ตับนางลอย ตบั พระลอ (ตบั ลาวเจริญศรี)
ตบั นางซลิ เดอเรลลา เปน็ ตน้
ตบั เพลง เพลงตับทเ่ี รียบเรยี งข้ึนจากเพลงหลายเพลง โดยถือเอาทานองเพลงเปน็ หลัก
เพลงทีน่ ามาบรรเลงจะต้องเปน็ เพลงที่มีอัตราจงั หวะเดียวกัน ทานองกจ็ ะมสี าเนยี งท่กี ลมกลนื กนั ไปดว้ ย เช่น
ตับต้นเพลงฉ่ิง ๓ ชัน้ ตบั ลมพดั ชายเขา ๓ ชั้น ตับสมิงทอง ตับมอญกละ
เพลงเกรด็ เพลงทไ่ี มไ่ ด้นาไปเรยี บเรยี งเขา้ เป็นชดุ เหมอื นกับเพลงชนดิ อ่ืน ใชบ้ รรเลงในเวลาสนั้ ๆ
เพลงเกรด็ ท่ีขบั รอ้ งและบรรเลงกันอยู่โดยทัว่ ๆ ไป มักจะมีบทร้องทีม่ ีความหมาย มีคติมีความซาบซึ้ง ประทบั ใจ
และมชี ว่ งทานองทม่ี ีความไพเราะ
เพลงลา เป็นเพลงที่ใชบ้ รรเลงและขับรอ้ งเปน็ เพลงสุดทา้ ย เพ่ือยุติการบรรเลง เนื้อร้องจะมีความหมาย
ในเชงิ อาลยั ลาทจ่ี ะตอ้ งจากกนั เพลงท่ีนิยมนามาบรรเลงและขบั ร้องเป็นเพลงลา ไดแ้ ก่ เพลงเต่ากนิ ผักบ้งุ
เพลงนกขม้ิน เพลงอกทะเล เพลงพระอาทติ ย์ชงิ ดวง เป็นตน้
ประเภทของการขับรอ้ งเพลงไทย มี ๓ ประเภท คือ
๑. รอ้ งอิสระ
๒. ร้องประกอบดนตรี
๓. ร้องประกอบการแสดง
๑. การร้องอิสระ คอื การร้องเพลงอะไรก็ได้โดยไม่มดี นตรีมาประกอบไมว่ า่ จะเปน็ ดนตรปี ระเภทใดกต็ าม
เชน่ การรอ้ งเพลงเลน่ ๆ หรอื การร้องเพลงในช้ันเรียน การร้องเพลงในห้องน้า โดยมีการเคาะจังหวะประกอบกัน
ในการรอ้ งเพลงประเภทน้ีดว้ ย
๒. ร้องประกอบดนตรี คือการร้องส่งเข้ากับปี่พาทย์หรือเครื่องสาย การร้องชนิดน้ีผู้ขับร้องต้องยึด
เสียงดนตรีเป็นหลัก จะร้องตามเสียงหรือตามจังหวะของตัวเองไม่ได้ ผู้ร้องจะต้องเทียบเสียงร้องให้เข้ากับ
เสียงดนตรี
การรอ้ งประกอบดนตรี แบ่งออกเป็น ๓ อย่าง คอื
๑. รอ้ งรับ (หรือสง่ รอ้ ง) หรือเรียกอกี อยา่ งวา่ รอ้ งส่ง ได้แก่การรอ้ งรับและบรรเลงสลับกัน คอื ร้องร้อง
รอ้ งเพลงจบท่อนหนึ่งแล้ว ผูบ้ รรเลงดนตรีจงึ บรรเลงดนตรีรับไปจนจบท่อนของเพลง เชน่ การรอ้ งเพลง ๓ ช้ัน
เพลงเถา เปน็ ต้น
๒. ร้องสอดดนตรี ได้แก่การร้องที่มีดนตรีเข้าบรรเลงสอดในระหวา่ งการร้องเพื่อให้เกิดความไพเราะ
ย่ิงข้นึ เช่น เพลงขอมสุวรรณ เพลงนา่ นเจา้ เป็นต้น
๓. ร้องพร้อมดนตรี การรอ้ งชนิดนแ้ี บ่งได้เป็น ๔ ชนิด คอื
๑. คลอ คือการรอ้ งพรอ้ มดนตรี การดาเนนิ ทานองของดนตรแี ละขับร้องจะต้องเปน็ ทานองเดยี วกัน เชน่
การร้องคลอกบั ซอสามสาย เพลงบหุ ลนั ลอยเล่ือน ๒ ชั้น
๒. เคลา้ เปน็ การร้องพรอ้ มกับดนตรเี ชน่ กนั เพลงทบี่ รรเลงและขบั รอ้ งตอ้ งเปน็ เพลงเดียวกนั แตต่ า่ งกนั
ก็คือ ตา่ งฝ่ายต่างดาเนินไปในทางของตน ร้องดาเนนิ ไปในทางรอ้ ง ดนตรีกด็ าเนินไปในทางของดนตรี
ยดึ ถอื เพียงแต่เน้ือเพลงในการรวมแสดง จังหวะและเสยี งต้องอย่ใู นระดับเสียงเดียวกนั เทา่ นั้น เช่น การขับร้อง
เพลงทะแยในตบั พรหมาสตร์
๓. ลาลอง คาคาน้ีแปลว่า “อสิ ระ” เป็นการดาเนินทานองไปอยา่ งอสิ ระของทง้ั รอ้ งและบรรเลง ตา่ งฝ่าย
ตา่ งปฏบิ ัติไปตามหน้าทข่ี องตน เพยี งแต่ตอ้ งให้การร้องและการบรรเลงมรี ะดบั เสียงเดียวกนั ทานองเพลง
ท้ังสองฝา่ ยต้องผสมกลมกลนื สมั พนั ธ์กันเปน็ อนั มาก เช่น การร้องเพลงเห่เชิดฉ่ิงในตับพรหมาสตร์
๔. ประสาน เป็นการขับรอ้ งและบรรเลงในเพลงเดียวกนั และ พร้อมกันหากแต่มีเสียงแตกแยกกันออกไป
เปน็ คนละเสยี งบา้ ง รวมกันบา้ ง โดยอาศยั ทฤษฎกี ารประสานเสียง (Harmony) ของดุรยิ างคส์ ากล
และการประสานเสียงนั้นอาจจะกระทาด้วยการร้องต่อร้องหรือร้องกับดนตรี หรือในระหว่างเครื่องดนตรีด้วยกัน
ได้ การร้องประสานเสียงเพลงไทยน้ีมีตวั อย่าง เช่น การรอ้ งเพลงช้าประสม ประสานเสยี งระฆังในละคร
ดึกดาบรรพ์เรื่องอิเหนา ซ่ึงเป็นพระราชนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
๓. ร้องประกอบการแสดง คือการร้องประกอบราต่างๆ วิธีร้องชนิดนี้ค่อนข้างจะยาก ผู้ร้องต้องร้อง
ให้เหมาะสมกบั ผู้ราหรือบทบาทของผู้รา หมายความวา่ ผขู้ บั ร้องต้องรอ้ งช้าหรือเร็วก็ต้องให้เข้าถึงกบั กริยาหรือ
อารมณ์ของผู้แสดง เช่น เมื่อผู้แสดงแสดงถึงบทโกรธผู้ขับร้องก็ต้องแสดงอารมณ์ผ่านมาทางน้าเสียงให้รู้สึกว่า
โกรธ การรอ้ งประกอบการแสดงแยกได้ ดังนี้
- การร้องประกอบการสะดรละครโนหร์ าชาตรี
- การร้องประกอบการแสดงละครนอก
- การร้องประกอบการแสดงละครในและโขน
- การรอ้ งประกอบการแสดงละครพนั ทาง
- การร้องประกอบการแสดงละครพันทาง
- การร้องประกอบการแสดงละครเสภา
- การรอ้ งประกอบการแสดงหนุ่ กระบอก
- การรอ้ งประกอบการแสดงรา ระบา ฟอ้ น เบ็ดเตลด็ ต่างๆ
หลักเกณฑ์ของการขับร้องเพลงไทย มไี วใ้ ห้ผู้ขบั ร้องยดึ ถอื เป็นหลักเกณฑใ์ นการขับรอ้ งเพลงไทยว่า
การขบั รอ้ งเพลงไทยใชว่ า่ นึกจะร้องกร็ อ้ งออกไปอยา่ งนน้ั จะถกู ตอ้ งกับหลกั ของการขบั ร้องหรือไม่กไ็ ม่คานึง
ถงึ เช่นนีแ้ ลว้ จะเป็นนักร้องทดี่ ไี ม่ได้ ฉะน้นั การขบั รอ้ งเพลงไทยโดยผ้ทู จ่ี ะยดึ เป็นอาชพี ควรมหี ลกั การรอ้ งท่ีดี
ซ่ึงหลกั การขบั ร้องเพลงไทยแบง่ ออกได้ ๕ อยา่ ง คอื
๑. เนอื้ เพลง
๒. เสยี ง
๓. ทานอง
๔. ถอ้ ยคา
๕. จงั หวะ
๑. เน้ือเพลง คอื ใช้เรียกบทประพนั ธ์ซงึ่ เป็นถ้อยคาทใ่ี ช้ในการขบั รอ้ ง แต่เพือ่ ให้ไดค้ วามหมายชัดเจน
มักจะใชเ้ รียก”เนอ้ื ร้อง” ถ้าจะเรยี กใหถ้ กู ตอ้ งตามลักษณะของการขับรอ้ ง จะเรียกว่า “บทรอ้ ง”
๒. เสยี ง คอื สิง่ ที่ธรรมชาตสิ ร้างมาใหผ้ ขู้ ับรอ้ งต้องมีเสยี งดีมาจากธรรมชาตโิ ดยตรง และมนุษย์
มาดัดแปลงให้เกดิ ความไพเราะนา่ ฟงั ย่ิงขึน้ ผ้ทู ีจ่ ะร้องเพลงได้ดีจะตอ้ งมเี สยี งทีก่ ังวาน แจม่ ใส ไม่แหบเครือ
สนั่ พร่าและมกี ระแสเสยี งท่ีไพเราะ
๓. ทานอง หมายถงึ เสียงสงู ๆ ต่าๆ สน้ั ยาว เบา แรง ท่ีบรรเลงสลบั สบั สนกันไป เรยี บเรยี งเป็น
ทานองเพลงตา่ งๆ นักร้องทีด่ ีควรรจู้ กั ทาเปน็ ทานองให้สละสลวยท้ังขนึ้ และลง ไมว่ า่ จะเปน็ ตอนเอือ้ นหรือ
มถี อ้ ยคาดาเนนิ ทานองใหอ้ ่อนหวานน่าฟงั ไม่หลบเสยี ง ความดขี องการร้องอย่ทู ่ีทานองนี้เปน็ ส่วนมาก
เพราะการร้องเพลงไทยเปน็ เครือ่ งชใี้ ห้เหน็ วา่ ทานองเพลงทดี่ าเนินอยู่จะดหี รอื ไมเ่ พียงใด
๔. ถ้อยคา คอื บทกวี บทประพนั ธท์ ผ่ี ูป้ ระพนั ธ์ได้ประพนั ธ์ เช่น วรรณคดเี ร่อื งตา่ งๆ เปน็ ตน้ ผู้ทเ่ี ป็น
นักรอ้ งจะตอ้ งคานงึ ถงึ ความชัดเจนของถอ้ ยคาตามบทที่ผปู้ ระพันธไ์ ดป้ ระพันธไ์ ว้ เมอ่ื รอ้ งออกมาแล้วจะต้องร้อง
ใหช้ ัดถอ้ ยชดั คา ร , ล , คาควบกลา้ ตอ้ งชัดเจน รกั ษาบทกวใี หถ้ ูกลักษณะ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และก็ตอ้ ง
แบ่งวรรคตอนให้เป็นไปตามบทกวีนั้น ๆ
๕. จงั หวะ จงั หวะเป็นสิ่งสาคัญในการขับรอ้ ง และการบรรเลงดนตรี จงั หวะหมายถงึ การดาเนินไป
โดยสม่าเสมอของเวลา แบง่ เป็นจังหวะทว่ั ไป และจังหวะหนา้ ทับ
ลักษณะคาประพันธ์ที่พบในเร่ือง มที ั้งกาพยแ์ ละฉันท์กาพย์ คือคาประพนั ธช์ นิดหนง่ึ ซงึ่ มีกาหนด
คณะพยางค์ และสมั ผัส มีลักษณะคลา้ ยกบั ฉันท์ แต่ไมน่ ยิ ม ครุ ลหุ เหมือนกบั ฉนั ท์ กาพย์ แปลตามรูปศัพท์วา่
เหล่ากอแหง่ กวี หรอื ประกอบดว้ ย คณุ แหง่ กวี หรือ คาทกี่ วี ไดร้ อ้ ยกรองไว้ กาพยม์ าจากคาวา่ กาวยฺ หรอื
กาพย์ และคากาวฺย หรือ กาพย์ มาจากคา กวี กวีออกมาจากคาเดิม ในภาษาบาลี และสนั สกฤต กวี แปลว่า
ผคู้ งแกเ่ รียน ผู้เฉลียวฉลาด ผู้มปี ญั ญาเปรอ่ื งปราด ผู้ประพันธก์ าพยก์ ลอน และแปลอย่างอ่ืนได้อีกกาพย์
ตามความหมายเดมิ มีความหมายกวา้ งกวา่ ทเี่ ข้าใจกนั ในภาษาไทย คอื บรรดาบทนิพนธ์ ทกี่ วไี ด้ รอ้ ยกรอง
ขึ้นไม่วา่ จะเปน็ โคลง ฉนั ท์ กาพย์ หรือ รา่ ย นบั ว่าเป็นกาพย์ ทง้ั นนั้ แต่ไทยเรา หมายความ แคบ หรือ
หมายความถึง คาประพันธช์ นดิ หน่ึง ของกวเี ท่าน้ัน
รสวรรณคดีไทย
หมายถึง รสของความไพเราะในการใช้ถ้อยคาให้เกดิ ความงดงามและเกดิ อารมณแ์ บ่งเปน็ ๔ รส คือ
๑.เสาวรสจนี เปน็ ลักษณะของรสวรรณคดแี ต่ละประเภทเป็นรสความไพเราะเกย่ี วกบั การชม
ความงาม อาจเปน็ ความงามของตัวละคร สถานที่ หรอื ธรรมชาติ เชน่
ตาเหมือนตามฤคมาศ พศิ ค้ิวพระลอราช
ประดุจแก้วเกาทณั ฑ์ ก่งนา
พศิ กรรณงามเพรศิ แพร้ว กลกล่มิ บงกชแก้ว
อีกแก้มปรางทอง เปรยี บนา
(ลิลิตพระลอ)
๒.นารีปราโมทย์ เปน็ รสทแ่ี สดงความรกั ใคร่ หรือพดู จาโอ้โลมให้อกี ฝ่ายเกิดความปฏพิ ัทธ์ เช่น
เจ้างามปลอดยอดรักของพลายแก้วได้มาแล้วแมอ่ ยา่ ขบั ใหก้ ลบั หนี
พส่ี ตู้ ายไม่เสยี ดายแกช่ วี ี แกว้ พี่อย่าไดพ้ ร่าร่าพันความ
พผ่ี ิดพี่ก็มาลแุ ก่โทษ จงคลายโกรธแมอ่ ย่าถอื วา่ หยาบหยาม
พช่ี มโฉมโลมลบู ดว้ ยใจงาม ทราบสวาทด้นิ ไปไมไ่ ยดี
(ขุนช้างขุนแผน)
๓.พโิ รธวาทัง เปน็ บทแสดงความโกรธ ตัดพ้อ เหนบ็ แนม เสียดสี หรอื แสดงความเคยี ดแคน้ เชน่
ฮดึ ฮดั ขัดแคน้ แน่นใจ ตาแดงด่งั แสงไฟฟา้
เปน็ ชายดดู ู๋มาหมน่ิ ชาย มิตายกจ็ ะไดเ้ ห็นหนา้
(รามเกยี รต์ิตอนนารายณ์ปราบนนทุก)
๔.สัลลาปงั คพสิ ยั เป็นรสทแ่ี สดงการคร่าครวญ โศกเศร้า เช่น
สีดาเอยถงึ จะตาย จะวอดวายพระชนมา
จงเออ้ื นโอษฐ์ออกเจรจา จะจากแลว้ จงส่ังกนั
เจ้าชายเนตรดูพบี่ า้ ง ให้พสี่ ร่างซึ่งโศกศลั ย์
เราจะรว่ มพระเพลงิ กนั ในเขตขณั ฑ์พระคงคา
(บทพากย์รามเกยี รต์ิ ตอนกาพย์นางลอย)
จังหวะ คือ หน่วยที่ใชว้ ดั ความสัน้ ยาวของเสยี งดนตรีโดยการเคาะหรอื นับ ทาใหด้ นตรเี กิดการ
เคลอื่ นไหว ในดนตรไี ทยมีจังหวะทีส่ าคัญ ดังนี้
จงั หวะสามญั คือ จงั หวะทเ่ี คาะประกอบบทเพลง ประกอบดว้ ยจังหวะตก-ยก การเคาะตอ้ งเคาะ
ใหพ้ อดีตรงกับจงั หวะ ทกุ เพลงมกี ารเคาะจงั หวะสามญั เหมอื นกนั หมดต่างกันเพยี งความชา้ -เร็ว
จังหวะฉ่งิ หมายถงึ จงั หวะความสัน้ ยาว เรว็ เช้า ท่ีกาหนดโดยฉงิ่ จงั หวะฉ่งิ หลักทีใ่ ช้ในการ
บรรเลงแบ่งเปน็ ๓ อัตราจังหวะ ได้แก่ สามชัน้ สองชน้ั และชั้นเดยี ว แต่ละอัตรามีความลดหลั่นกนั ตามลาดบั
จังหวะหน้าทับ หมายถึง กระสวนการตีจังหวะกลอง กระสวนจงั หวะหนา้ ทบั ใชห้ ลักเกณฑ์สาเนยี ง
ภาษาดนตรีและโครงสร้างรูปลกั ษณข์ องเพลง กจ็ ะใช้กระสวนจงั หวะตามลักษณะ และประเภทของเพลงนนั้ ๆ
และท่สี าคญั ท่สี ดุ กระสวนจังหวะหน้าทับเป็นตัวบอก หรือกาหนดความสน้ั ยาวของเพลง วา่ เพลงนั้นมคี วามสัน้ ยาว
เท่ากบั ก่ีประโยค ทานองวัดความส้นั ยาวของเพลงอัตราจังหวะหนา้ ทบั
๑. หน้าทบั ปรบไก่ ใชป้ ระกอบจังหวะในเพลงประเภทท่ีมสี าเนียงไทย และเพลงสาเนียงมอญ
สาเนียงเขมร สาเนยี งแขก ทเ่ี ป็นเพลงเถาที่เกิดจากการขยายจากเพลงเดิมในอัตรา ๒ ชั้น และขัน้ เดียว
ขยายข้ึนเปน็ ๓ ชัน้ เพอื่ ให้ครบเป็นเพลงเถา หลายเพลงใชห้ นา้ ทับปรบไก่ในอตั รา ๓ ช้ัน
สว่ นอัตรา ๒ ชัน้ หรอื ชน้ั เดียว อาจจะใชห้ นา้ ทบั ปรบไก่ หรอื หนา้ ทับสาเนยี งน้นั ๆ จนครบเถากไ็ ด้
๒. หน้าทับสองไม้ ใช้บรรเลงประกอบเพลงที่มสี าเนียงลาว และสาเนียงพเิ ศษ เช่น เพลงทยอย
เพลงสองไม้ รวมทง้ั เพลงไทยบางเพลง อาจมีประเภทสาเนียงแขกอยูบ่ า้ ง ท้งั นข้ี ึ้นอยู่กับผปู้ ระพันธ์เพลง
จะกาหนดให้ใชห้ น้าทบั อะไร
ศัพท์สังคีต หมายถึง คาศัพท์ที่เกี่ยวกับการขับร้อง ซึ่งผู้ท่ีจะเป็นนักร้องก็ควรจะศึกษาไว้เพื่อช่วยเสริม
ในการขับร้องให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นและเป็นสิ่งสาคัญท่ีผู้ขับร้องควรศึกษาอย่างท่องแท้ ตัวอย่างศัพท์สังคีต
ทางด้านการขับร้อง มีดังนี้
๑. รอ้ ง คอื การเปล่งเสียงออกไปใหเ้ ป็นทานองจะมถี อ้ ยคาหรอื ไม่มี แต่ตอ้ งยดึ ทานองเปน็ สาคญั
๒. เอ้อื น คือ ใชใ้ นการขับร้อง หมายถงึ การรอ้ งเป็นทานองโดยใชเ้ สยี งเปล่า ไม่มถี ้อยคา
เสียงที่ร้องเอ้อื นนี้อนโุ ลมคล้ายสระเออ ประโยชน์ของเออ้ื นใช้สาหรบั บรรจทุ านองเพลงให้ครบถ้วนถกู ต้อง
๓. ครนั่ คอื เปน็ วธิ ีการทาใหเ้ สียงสะดุดสะเทอื น เพอื่ ความไพเราะเหมาะสมกับทานองเพลงบางตอน
๔. เพีย้ น คือ เสยี งท่ไี ม่ตรงกบั ระดบั ทถ่ี กู ตอ้ ง ไมว่ ่าจะเป็นเสยี งรอ้ งหรือเสียงดนตรี
๕. ลัก หรือ ลักจังหวะ การร้องหรือบรรเลงด้วยเครื่องดนตรี ท้งั เคร่ืองทาทานองและเครื่องประกอบ
จงั หวะ ซ่ึงดาเนนิ ไปไม่ตรงกับจงั หวะแต่การกระทานีเ้ ป็นการกระทาโดยเจตนา เพ่อื ให้เกดิ ความไพเราะ
ผขู้ บั ร้องเพลงไทยท่ดี ีควรศึกษาหลกั การฝึกหดั ขบั ร้องเพลงไทยเบ้อื งต้น ดงั นี้
๑. ท่านง่ั ควรน่ังพบั เพยี บเก็บปลายเทา้ ไปทด่ี ้านหลงั ตั้งตวั ตรง ไม่น่ังหลังงอ มืออประสานกันอยู่ท่หี น้าตกั
๒. การหายใจ ในการขบั ร้องเพลงไทยทุกประเภท การรูจ้ กั ใช้ลมหายใจให้ถูกต้องน้ันจะทาให้การร้อง
เพลงนุ่มนวล อ่อนหวาน เสียงไม่ขาดช่วง และยังช่วยผ่อนแรงในการร้อง ทาให้นักร้องไม่รู้สึกเหนื่อย
จนเกนิ ไป
๓. การเปลง่ เสยี ง เปน็ การเปลง่ เสียงรอ้ งให้ดาเนนิ ไปโดยสม่าเสมอและถกู ตอ้ งตามระดบั ของเสียงดนตรี
มารยาทในการขบั ร้องเพลงไทย ซึ่งเป็นสิง่ สาคัญอย่างย่ิงทคี่ วรปฏิบตั ใิ นการขบั ร้อง มีขอ้ ควรปฏบิ ัตดิ ังนี้
ผรู้ ้องควรคานงึ กค็ อื การวางอริ ยิ าบทในเวลาร้องเพลงบนเวที มคี วามเรียบรอ้ ย ไม่หลุกหลกิ
รจู้ กั ใชป้ ฏิภาณ มไี หวพริบ และสารวมกิรยิ าต้องอยู่ในลักษณะสงบ นุ่นนวล ยิ้มเพียงเล็กนอ้ ย ไมเ่ อยี งหน้าไปมา
ในขณะร้อง ไม่นามือไขวห้ ลังควรทจ่ี ะเอามือประสานวางไว้ท่หี น้าตัก ไม่ใชเ้ ท้าเคาะจงั หวะควรใช้ปลายน้ิวมอื
เคาะจงั หวะเพยี งเล็กนอ้ ยเทา่ น้นั และต้องตรงตอ่ เวลาโดยเคร่งครดั ในการขบั ร้อง
Kru.jinna